ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 6
ห้องในกุฏิขององค์ดำ ตอนกลางคืน
พระองค์ดำนอนห่มผ้าจับไข้หลับอยู่ที่พื้นห้อง มีไอ้จันนั่งถือแส้ปัดยุงให้อยู่ใกล้ๆ พระมหาเถรเดินเข้ามายืนดู กับไอ้สมิงและบุญทิ้งที่เดินตามมาด้วย
"คงต้องจับไข้อยู่สักคืน-ครึ่งคืน พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นเอง" มหาเถรว่า
"ข้าไม่น่าทำให้พระองค์ต้องเป็นอย่างนี้เลย" สมิงบอก
"อย่าโทษตัวเองเลย ที่จริงพระองค์ท่านก็อยากให้เอ็งทำอย่างนั้นอยู่แล้ว"
"อะไรกัน อยากให้ตีแรงๆนี่หรือขอรับ" บุญทิ้งว่า
"พระองค์ยอมเจ็บเพื่อจะหาทางแก้เพลงดาบนี้ให้ได้ เหมือนเหล็กกําลังร้อน ต้องถูกตีให้หนักหลายๆที มันถึงจะแกร่งกล้าและคมกริบ ...ไอ้จัน เอ็งเฝ้าองค์ท่านไปก่อนนะ ตื่นเมื่อไหร่ ค่อยเอายาให้กิน"
พระมหาเถร กับไอ้สมิงและบุญทิ้งเดินออกจากห้องไป ไอ้จันนั่งปัดยุงอยู่ครู่หนึ่ง องค์ดำก็ขยับตัวลืมตาตื่น
"มณีจันทร์ เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่"
"มาปัดยุงให้ หลวงตาบอกว่าถ้าองค์ดำตื่น ให้กินยาอีกถ้วย เอ้า นี่ ยา กินซะ"
ไอ้จันส่งถ้วยยาให้พระองค์ดำ แล้วนั่งดูพระองค์ดำดื่มจนหมดถ้วย จึงได้ถาม
"พระสุวรรณ เป็นใคร บอกได้ไม๊ หรือว่าเป็นความลับ"
"เจ้าได้ยินชื่อนี้มาจากไหน"
"ข้าได้ยินคนป่วยเพ้อชื่อนี้ออกมาตั้งหลายครั้ง สงสัยจะเป็นคนสำคัญที่พิษณุโลกละมัง"
"พระสุวรรณเทวี เป็นพี่หญิงของข้าเอง พี่หญิงคอยดูแลข้ามาตั้งแต่เล็ก เป็นเหมือนแม่คนที่สองก็ว่าได้ ตอนที่ข้าจากพิษณุโลกมา พี่หญิงอายุได้ 11 ปีแล้ว"
"ป่านนี้พี่หญิงก็อายุ 16 ปีแล้วสิ"
" ไว้มีเวลาข้าจะคุยเรื่องพี่หญิงให้ฟัง แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญกว่า จะต้องคิด ข้าจะยอมให้พวกหงสามีเพลงดาบที่เหนือกว่าเราไม่ได้ ข้าต้องหาวิธีปราบมัน ไม่งั้นเราจะชนะหงสาวดีได้ยังไง"
"เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่า เราจะรบกับหงสาวดีไปทำไม ในเมื่อเราอยู่ เมืองนี้ก็สบายดีแล้ว แต่หลวงตาบอกว่า ใครที่รบกับหงสาวดีก็ เพราะเขาต้องการอิสรภาพ ทุกวันนี้คนรามัญที่อยู่ใต้บังคับของ
พวกหงสามีแต่ระทมขมขื่น จะถูกบัญชาให้เอาตัวไปปิ้งไฟวันไหนก็ ไม่รู้ เหมือนกับแม่ของข้าที่เป็นเหยื่อของมันไง องค์ดำเป็นเชลยของหงสา คิดจะเอาชนะหงสาก็ถูกแล้ว ข้ามันโง่เองที่เอาแต่กลัวว่า เจ้าจะมาเป็นใหญ่ในวัดนี้ ข้ามันโง่จริงๆนะ"
ไอ้จันพูดจนรู้สึกว่า พระองค์ดำเงียบไป จึงหันมาดู ก็พบว่าองค์ดำหลับไปแล้ว
มณีจันทร์นั่งมองดูพะองค์ดำด้วยความเห็นใจและห่วงใย
วัดในยามเช้าตรู่ พระมหาเถรนำพระลูกวัดและลูกศิษย์เดินเป็นแถวยาวอย่างมีระเบียบจากหน้าศาลาผ่านลานกว้างไปออกประตูหน้าวัด ไอ้จัน ไอ้สมิงและบุญทิ้งอยู่กันที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ปล่อยให้ขบวนพระบิณฑบาตเดินผ่านเลยไป
"ข้านอนคิดทั้งคืนเลยว่า ถ้าครูดาบอีกคนยังไม่ตาย และถ้าเราเจอตัวเขาได้ เขาอาจจะบอกเราได้ทุกอย่างที่เราอยากรู้" สมิงบอก
"ข้าก็คิดเหมือนเอ็ง คิดว่าเราน่าจะช่วยองค์ดำหาคำตอบได้ ว่าแต่ เราจะไปหาครูคนนั้นได้ที่ไหน" มณีจันทร์ว่า
"ไอ้ทิ้ง เอ็งมันโฉบไปโฉบมาในเมืองนี้ตั้งแต่เด็ก เอ็งจะไม่รู้เรื่องครูดาบบ้างเลยเหรอ" สมิงถาม
บุญทิ้งทำท่าคิดทบทวน แล้วตอบเรียบๆไม่โวยวาย
"ก็ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนี้นี่หว่า .....นอกจาก..."
"นอกจากอะไร" จันถาม
"นอกจาก เฒ่าสา คนที่เก็บข้ามาเลี้ยง เคยพูดว่า แกมีเพื่อนเป็นครูดาบรามัญที่เก่งที่สุด"
"แต่ตอนนี้เฒ่าสากับเมียก็ตายไปหมดแล้ว เราจะไปตามเรื่องได้ที่ไหน"
"ได้สิวะ ก็เฒ่าสาเคยบอกว่า ครูดาบมีหลานสาวเป็นแม่ค้าขายแป้งขาย นํ้าหอมนํ้ามันอยู่ที่ตลาดโยเดียนี่หว่า ร้านนี้ข้าก็คุ้นๆอยู่"
"งั้นก็มีทางแล้ว เราไปตลาดกันเถอะ" มณีจันทร์บอก
"ตลาดแค่นี้เอง เอ็งไปกับไอ้ทิ้งก็แล้วกัน ข้าจะอยู่ดูองค์ดำเอง"
"ได้เลย ไป ไอ้ทิ้ง" มณีจันทร์บอก
"ไม่รอกินข้าวเช้าก่อนหรือ"
"ไอ้บ้า กลับมาค่อยกิน"
ไอ้จันไล่เตะไอ้ทิ้งออกจากประตูวัดไป
สมิงยิ้มมองตาม
บรรยากาศตลาดโยเดียยามเช้า
คนเดินไปมาหาซื้อข้าวของแต่ไม่หนาแน่นนัก ไอ้จันและบุญทิ้งนั่งอยู่ที่แผงลอยขายแป้งแต่งหน้า นํ้าหอมนํ้ามันฯลฯ ตรงหน้าไอ้จันมีแป้งที่เลือกไว้แล้ววางอยู่หลายถ้วย กำลังคุยกับแม่ค้าแป้งซึ่งเป็นหญิงสาวชาวรามัญผู้มีอัธยาศัยดี
"ลุงของข้าตายไปตั้งสามปีแล้วจ้ะ แต่ข้าว่าตายไปก็ยังดีกว่าทนอยู่นะ เพราะแกอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากเลย"
"ลุงท่านไม่ได้ถูกตามล่าเหมือนอย่างที่เขาเล่าๆกันหรอกหรือ"
"เรื่องมันเป็นอย่างนี้จ้ะ คือพระอุปราชเป็นคนออกคำสั่งให้แบ่งกําลังกันออกตามล่าครูดาบสองคน ครูคนที่เป็นชาวตองอู ถูกตามล่า โดยกลุ่มที่มีลักไวทำมูเป็นหัวหน้า"
"บ๊ะ ไอ้นี่อีกแล้ว รู้สึกว่ามันจะเลวครบทุกเรื่องเลย" บุญทิ้งบอก
"ฟังซี่ แล้วยังไงต่อไปล่ะ น้องสาว"
"ครูดาบตองอูถูกจับได้ แล้วถูกกรอกยาพิษตาย ส่วนครูดาบที่เป็นลุงของข้า ถูกตามล่าโดยกลุ่มของพญาทะละ"
ในอดีต หน้ากระท่อมเก่าๆแห่งหนึ่ง หน้าพญาทะละดูเหี้ยมเกรียมดุดัน
"ด้วยความที่พญาทะละเห็นว่า ลุงข้าก็เป็นคนรามัญเหมือนท่าน ท่าน จึงไม่ฆ่าคนเลือดเดียวกัน"
หลังครูดาบ ซึ่งถูกราชมัลหรือผู้คุมร่างยักษ์จับแขนซึ่งข้อมือทั้งสองมีเลือดไหลโชกแดงฉาน ให้กางไว้ทั้งสองข้าง
"พญาทะละจึงให้พวกราชมัลลงโทษลุงของข้าด้วยการตัดเส้นเอ็นข้อมือทั้งสองข้าง และตัดลิ้นเพื่อจะได้สอนฟันดาบให้ใคร ไม่ได้อีกต่อไป"
ราชมัลร่างกํายำอีกสองคนที่ยืนอยู่หน้าครูดาบ ใช้คีมและมีดตัดลิ้นครูดาบอย่างโหดเหี้ยม
"ลุงของข้าจึงมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างคนพิการและลำบากยิ่งกว่าขอทานหลายเท่า"
ครูดาบนั่งอยู่ในสภาพของคนพิการที่แก่ชราทรุดโทรมในเวลาต่อมา
"แต่ลุงก็คิดว่าเป็นเพราะผีปู่ย่าตายายลงโทษ ที่เอาวิชาความรู้ของคนรามัญไปมอบให้แก่ศัตรูผู้ยึดครอง"
สาวขายแป้งเล่าต่อ โดยมีไอ้จันและบุญทิ้งนั่งฟังอย่างสนใจ
"แล้วในที่สุด ลุงก็ตายจากลูกหลานไป เรื่องก็มีแค่นี้ละจ้ะ"
"อยากจะถามหน่อยว่า ลุงของน้องสาวเคยบอกไหมว่า เพลงดาบที่ลุงเขาคิดขึ้นนี่ มันมีจุดอ่อนหรือช่องโหว่อะไรบ้างไหม"
"ก็ เคยพูดอยู่เหมือนกันจ้ะ ว่าเพลงดาบนี้ยังมีจุดที่ต้องแก้ไข แต่ลุงก็ไม่ได้บอกใคร แม้แต่พวกหงสา จนกระทั่งลุงตายไป ความลับข้อนี้ ก็เลยตายไปพร้อมกับลุงนั่นแหละจ้ะ"
บุญทิ้งร้องบอก
"โธ่ ๆๆๆๆ หมดกัน เลยไม่มีใครรู้คำตอบ เรามาเสียเที่ยวเปล่าซะ แล้วว่ะ ไอ้จันเอ๊ย"
"พูดโง่ๆอีกแล้วนะไอ้ทิ้ง ใครบอกไม่รู้คำตอบ เราเพิ่งจะได้รู้คำตอบเดี๋ยวนี้เอง"
"รู้คำตอบ รู้ว่าไง หา"
"ก็รู้ว่า เพลงดาบนี้มีจุดอ่อน มีจุดอ่อนอยู่จริงๆไงล่ะวะ แค่นี้ก็พอแล้ว ที่จะบอกให้องค์ดำท่านมั่นใจ จะได้พยายามต่อไปอย่างมีจุดหมาย ไม่เลื่อนลอย เข้าใจยัง"
"โอ เอ็งนี่มันฉลาดนี่หว่า ไอ้จัน"
"ข้าไม่ฉลาดหรอก เอ็งต่างหากที่โง่กว่าข้า"
"อ้าว ดันมาทับถมเราซะอีก"
"แล้วตกลงแป้งที่เลือกไว้ จะซื้อหรือเปล่าจ๊ะ"
"ซื้อสิซื้อ ขอบใจมากนะ"
ไอ้จันเก็บรวบรวมแป้งที่เลือกไว้ตรงหน้า ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มยินดีในความสำเร็จ
บริเวณหน้าตำหนักอุปราชวังหน้า พระอุปราชมังชัยสิงห์หันกลับมาพูดอย่างขัดเคืองใจ
"นี่มันจะเกินเลยไปกันถึงไหน ขนาดแต่งตั้งให้เป็นเจ้าฟ้า ก็บ้าพออยู่แล้ว"
มังกยอชวา และลักไวทำมูยืนอยู่ด้วยที่ลานหน้าตำหนัก โดยเฉพาะลักไวทำมูยังมีผ้าคล้องแขนที่หักจากตอนตกม้าอยู่ด้วย
"ยังจะจัดงานฉลองใหญ่ ให้เชิญเจ้าเมืองทั้งหลาย มาแสดงความยินดีอีก ฟังแล้วข้าทนไม่ไหวจริงๆ" อุปราชมังชัยสิงห์เดินพูดด้วยความหงุดหงิด "ถึงสองแควมันจะเป็น ราชธานีของไทยฝ่ายเหนือ แต่แค่พริบตาเดียว เราก็ยึดมาได้ง่ายๆ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องยกยอปอปั้น ให้ความสำคัญกันถึงขนาดนั้นเลย บ้าชัดๆ"
ลักไวทำมูบอก
"แต่ในเรื่องบ้าๆ ก็ยังพอมีเรื่องดีๆอยู่นะพระพุทธเจ้าข้า"
"ยังมีอะไรดีอีกหรือ"
"ทรงฟังจากพระราชบุตรเถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระอุปราชหันมองมาทางมังกยอชวา ซึ่งมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
"ข่าวว่าในงานฉลองครั้งนี้ จะมีการประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ ต่อหน้าพระที่นั่งให้บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายได้ดูกัน เป็นการต่อสู้ที่ใครจะท้าสู้กับใครก็ได้ไม่กําหนดฝ่าย ลูกจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะท้าฟันดาบกับไอ้ตองเจ แล้วเอาชนะมัน ต่อหน้าต่อตาแขกเมืองทั้งหลาย"
" ด้วยเพลงดาบหงส์ผงาดฟ้า ที่ทรงฝึกมาแล้วอย่างชํ่าชอง แล้วเช่นนี้ ลูกชายของเจ้าฟ้าสองแคว จะเอาอะไรมาสู้ จะมีอะไรเหลือเล่าพระพุทธเจ้าข้า"
อุปราชคิดได้-ยิ้มออก
"เอ๊ะ ได้ฉีกหน้าเจ้าฟ้าสองแคว ในงานฉลองของมันเองนี่ ....ก็สะใจดีเหมือนกันนะ"
"แพ้ชนะกันให้เห็นเด็ดขาดกันไปเลย ว่าใครเหนือกว่าใคร ใช่ไหมพระเจ้า พ่อ"
"ใช่ จะหาโอกาสไหน งดงามเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว"
พระอุปราชยิ้มอย่างมองเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า
พระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าส่องแสงแจ่มสว่าง
ขบวนเสด็จอย่างไม่เป็นทางการของพระมหินทร์ มีทหารราชองครักษ์เดินตามหลังกลุ่มหนึ่ง บนทางเดินที่ปูด้วยแผ่นอิฐขนาดใหญ่ มาสู่ประตูวัดสวนหลวงสบสวรรค์ อันเป็นวัดที่อยู่ในเขตวังหลัง ทั้งขบวนมีทหารถือคบไฟเพียงสองคน ขณะพระศรีพระศรีเสาวราช พระอนุชาต่างมารดาเดินออกมาจากมุมมืดใต้ร่มไม้ใหญ่กับทหารองครักษ์อีก2คน โดยไม่มีคบไฟ
"อ้อ ศรีเสาวราช มาถึงนานแล้วหรือ"
"ถึงก่อนหน้าเสด็จพี่เพียงครู่เดียว พระพุทธเจ้าข้า มีเรื่องสำคัญอะไรหรือ ถึงได้มีรับสั่งให้หม่อมฉันมาพบที่นี่ คืนนี้"
"เรื่องสำคัญน่ะมีแน่ เจ้ารอไว้รู้พร้อมๆกับเสด็จพ่อเถอะ"
ต่อมา ในอุโบสถในวัดสวนหลวง พระมหาจักรพรรดิขณะเป็นพระภิกษุ รินนํ้าชาใส่ถ้วยแล้วจึงพูดกับพระมหินทร์และพระศรีเสาวราชซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้า มีทหารราชองค์รักษ์ส่วนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ห่างๆเป็นแถวหน้ากระดานที่ชานเรือนกุฏิ
พระมหาจักรพรรดิอ่อนใจ
"ถึงไม่ใช่วันนี้ วันหน้าเขาก็ต้องแยกตัวจากเราอยู่ดี เพราะ ใครๆก็รู้ว่า พิษณุโลกยอมเป็นเบี้ยล่างของหงสามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
" ลำพังตัวเองไปนบนอบต่อเขาก็พอว่า แต่นี่ลากเอาพิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมด ไปยกให้เขาด้วยนี่สิ เจ้าแผ่นดินอยุธยาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ เสด็จพ่อ"
พระศรีเสาวราชบอก
"เราเริ่มผิดพลาดมาตั้งแต่ มอบอำนาจให้ขุนพิเรนทรเทพขึ้นเป็นกษัตริย์ฝ่ายเหนือแล้ว เขาถึงได้มีจิตคิดการใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และที่เราแพ้ศึกเสียช้างเผือก ก็ไม่ใช่เพราะเขาเปิดทางผ่านให้ศัตรูดอกหรือ"
พระมหาจักรพรรดิถอนใจ
"เอาเถอะ ๆ พ่อว่าเราอย่ามาพูดเรื่องเก่าๆกันดีกว่า ในเมื่อยังแก้ไขไม่ได้ พ่อก็ขออยู่อย่างสงบๆเถอะ"
"สงบไม่ได้แล้วนะเสด็จพ่อ ถ้าพิษณุโลกจับมือกับหงสา ก็เท่ากับเรามีศัตรูมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน ครั้งนี้เสด็จพ่อต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"
"ทำอะไร ?"
"ลาผนวชกลับมากู้ชื่ออยุธยา ขณะนี้เราต้องรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ข้าแผ่นดินทุกคนกําลังรอให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จกลับมาเป็นหลักรวมใจให้พวกเขาใหม่อีกครั้ง"
"กลับมารับราชบัลลังก์อีกครั้งเถอะเสด็จพ่อ อย่างน้อยๆก็จะได้แก้สิ่งที่เราทำผิดมาแล้ว ให้ถูกเสียที"
พระมหาจักรพรรดิคิดตัดสินใจ
วันใหม่ พระองค์ดำนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานวัด อ่านข้อความที่เขียนอยู่บนผืนจีวรเก่าๆอันเป็นตำราหงส์ผงาดฟ้าที่หลวงตาได้มาจากครูดาบตองอูที่เขียนให้ก่อนตาย โดยมีไอ้จันนั่งมองดูอยู่ด้วย
"ตำราหงส์ผงาดฟ้า เป็นเพลงดาบในเชิงรุกเท่านั้น ถ้าข้าเรียนรู้จนขึ้นใจ ข้าก็จะรู้ล่วงหน้าว่าคู่ต่อสู้จะใช้กระบวนท่าไหนบ้าง ทำให้รับมือได้ทัน"
"งั้นก็สู้ได้แล้วสิ"
"ยังหรอก" พระองค์ดำทำจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่น "เอ๊ะ นี่เจ้าใส่นํ้าหอมด้วยหรือ มณีจันทร์"
"เปล่า คงจะเป็นตอนที่ข้าหอบแป้งหอบนํ้าหอมกลับมาจากร้านหลานลุงครู ดาบ ที่ข้าเล่าให้ฟังน่ะแหละ นํ้าหอมคงหกใส่เสื้อตอนนั้น ช่างเหอะ เจ้า พูดต่อสิ"
"ที่ว่ายังสู้ไม่ได้ก็เพราะ เพลงดาบนี้มีไม้ตายที่ปัดดาบศัตรูให้หลุดมือได้ ตรงนี้แหละที่ข้ายังไม่พบทางแก้ ข้าจะต้องพยายามต่อไป
พระองค์ดำยกผืนผ้าจีวรขึ้นมาสูงเพื่อจะพับเก็บ ทำให้ฝุ่นเข้าตาไอ้จัน
"โอ๊ย อะไรเข้าตา"
"คงจะเป็นฝุ่นจากจีวรนี่ อย่าขยี้ตานะ มา ข้าดูให้"
พระองค์ดำขยับเข้าไปนั่งใกล้ จับไหล่มณีจันทร์ไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปดูดวงตาของมัน
"อึ้มม์ ตาเจ้าสวยสมเป็นสาวรามัญจริงๆนะ ยิ่งมีนํ้าตายิ่งดูสมเป็นผู้หญิงมากขึ้น"
ไอ้จันเสียงขุ่นทันที
"จะช่วยหรือไม่ช่วย ถ้าไม่ช่วยก็ออกไปห่างๆ"
"ช่วยซี่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ข้าจะพาเจ้าไปกระพริบตาในนํ้า"
ไอ้จันยืนถือขัน มีนํ้าเต็ม กําลังก้มหน้ากระพริบตากับนํ้าในขัน ที่บริเวณหลังกุฏิซึ่งมีโอ่งนํ้าตั้งเรียงกันอยู่หลายใบ ทุกใบมีฝาไม้ปิดเรียบร้อย พระองค์ดำยืนอยู่ด้วยและถามเมื่อไอ้จันเงยหน้าขึ้น มีนํ้าเกาะพราวเต็มขนตาและแก้ม
" เป็นไง"
"เดี๋ยว จวนแล้ว"
ไอ้จันก้มลงไปกระพริบตาในขันนํ้าอีกที แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างดีใจ
"เรียบร้อย ฝุ่นออกไปแล้ว นี่ถ้าเจ้าไม่บอกวิธีให้ ข้าคงขยี้ตาจนตาแดงแน่"
"ข้าจำวิธีนี้มาจากพี่หญิง ตอนเด็กๆข้าซนมาก ทำขี้ดินขี้ทรายเข้าตาบ่อย พี่หญิงก็จะให้ข้ากระพริบตาในนํ้าอย่างนี้"
"ฟังแล้ว ทำให้ข้าอยากมีพี่สาวบ้างจังเลย"
พระองค์ดำสะท้อนใจ
"มีก็ควรจะอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แยกกันอยู่ไกลแสนไกลอย่างนี้"
พระองค์ดำมองไปเห็นมีดเล่มหนึ่งมีใบมีดเล็กแต่ด้ามจับยาวเกือบศอก วางอยู่บนฝาโอ่ง ตรงปลายด้ามจับมีเชือกเล็กๆผูกเป็นบ่วงกลมไว้
" เอ๊ะ นี่มีดอะไรรูปร่างแปลกดี"
"อ๋อ มีดตัดต้นสมุนไพรของข้า ข้าใช้ตัดสมุนไพรให้หลวงตาทำยาเป็นประจำ"
" แล้วทำไมต้องมีบ่วงกลมๆตรงปลายด้ามนี้ด้วย"
"ก็บ่วงคล้องข้อมือเวลาปีนต้นไม้สูงๆไง ถ้าถือมีดด้วยแล้ว ปีนด้วย มันลำบาก ก็เลยต้องคล้องมีดห้อยไว้กับข้อมือเวลาปีน อย่างต้นสะเดาที่หน้าวัด ข้าก็ปีนบ่อย เจ้าไม่เห็นเอง"
พระมหาธรรมราชานอนพิงหมอนอิงใช้ความคิดอยู่บนตั่งที่ชานเรือน
ครู่หนึ่งพระสุนทรสงครามก็ขึ้นมาบนชาน ลงนั่งถวายบังคม
" เข้ามาสิคุณพระ"
พระสุนทรสงครามคลานเข้ามานั่งที่หน้าตั่ง
"ขบวนของพระนางศิริเทวีเดินทางออกไปแล้วพระพุทธเจ้าข้า ทางหงสาได้ให้นายกองสองนายนำทหารหลวงไปส่งถึงอยุธยาด้วย"
"หวังว่าคราวนี้ พระนางจะได้พ้นทุกข์พ้นร้อนเสียที"
พระสุนทรสงครามเศร้าซึมลง
"พระนางกับข้าพุทธเจ้า เดินทางมาถึงที่นี่พร้อมกันเมื่อ 5 ปี ก่อน ต่างกันที่พระนางมาในกลุ่มตัวประกัน แต่ข้าพุทธเจ้าและพระ ยาจักรีมาในกลุ่มผู้ถูกลงโทษ คงยากนักที่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กลับไป บ้าง"
"ไม่หรอกคุณพระ ข้าตั้งใจไว้แล้วว่า เมื่อใดที่ข้ากลับเมืองไทย ข้าจะขอตัวท่านและพระยาจักรีกลับไปช่วยราชการด้วย"
พระสุนทรสงครามดีใจ
"จริงหรือพระพุทธเจ้าข้า"
พระมหาธรรมราชาพยักหน้ารับ
"ขอเพียงแค่นี้คงเล็กน้อยสำหรับเขา เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขา ได้จากเราไป"
พระสุนทรสงครามก้มกราบ
"โอ เป็นพระมหากรุณาต่อชีวิตข้าพระพุทธเจ้ายิ่งแล้ว ข้าพุทธเจ้าจะได้พ้นจากไอ้เมืองบ้าอำนาจนี่เสียที พระคุณครั้งนี้ข้าพุทธเจ้าจะขอจดจำและถวายชีวิตรับใช้พระองค์ ด้วยความภักดีสืบไป พระพุทธเจ้าข้า"
พระมหาธรรมราชามีแววเจ็บปวดในใจ
"ที่จริงแล้ว ข้าอยากจะขอเจ้านเรศกลับไปพร้อมกับข้าใจแทบขาด แต่รู้ว่าเขาต้องไม่ให้ เพราะในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ลูกชายของข้ากําลังเป็นตัวประกันที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา"
ณ โรงทานซึ่งปลูกขึ้นชั่วคราวตรงหน้าประตูพระราชวังจันทน์ กําลังมีการแจกทาน อันมีอาหารคาวหวานแก่ชาวบ้านผู้ยากจน โดยสาววังจันทน์ 4 นางทำหน้าที่จัดแจกด้วยกริยานุ่มนวล ส่วนชาวบ้านเมื่อรับกระทงอาหารแล้วก็หาที่ลงนั่งกิน บางคนก็ยกมือไหว้เข้าไปในวังเป็นการขอบคุณ มีขุนศรีและทหารวังจันทน์ 4 นาย ยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่ แต่แล้วความสงบนั้นก็พลันถูกทำลายในฉับพลัน โดยทหารกรุงหมู่หนึ่งปราดเข้ามาใช้กำลังขับไล่ชาวบ้านที่นั่งๆยืนๆอยู่หน้าประตูวังให้หลีกทางไป
"เฮ้ย หลีก หลีกไปให้พ้น ไป"
ชาวบ้านต่างตกใจกลัว พากันทิ้งอาหารลุกหนี เปิดทางให้พระยาทั้งสองเดินเข้ามาอย่างวางอำนาจ ขุนศรีและทหารวังรีบปราดเข้าขวาง
ขุนศรีบอก " เดี๋ยวก่อน นี่มันอะไรกัน ท่านมาทำไม"
"ข้า พระยาพิชัยรณฤทธิ์ และนี่พระยาวิชิตณรงค์ มีราชการจะเข้าเฝ้าพระแม่เมืองเดี๋ยวนี้"
"ก็ได้ เจ้าคุณ แต่ต้องให้ข้าเข้าไปกราบทูลก่อน ขอได้โปรดรอ"
พระยาวิชิตณรงค์บอก
"อุ๊วะ ข้ามาตามพระราชโองการ ใครขวางหัวขาดนะโว๊ย ทหาร ลาก คอมันไปให้พ้นๆ"
พอทหารกรุงขยับตัว ก็มีเสียงดังมาจากประตูวัง
"ก็ลองดูซี่ ไอ้พวกบ้าอำนาจ"
ทุกคนชะงักมอง พระองค์ขาวในวัย 14 ก้าวออกมาจากประตูวังพร้อมดาบในมือ
ทหารวังจันทน์ชักดาบเตรียมสู้ทันที พระองค์ขาวก้าวเข้ามายืนเผชิญหน้าสองพระยาอย่างไม่สะทกสะท้าน
พระยาวิชิตณรงค์บอก
"นี่เป็นราชการบ้านเมืองนะ เจ้าชาย ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาเถอะ"
"เสด็จพ่อไม่อยู่ ข้ามีหน้าที่ดูแลวัง พวกเจ้ามีอะไร พูดกับข้าได้"
พระยาวิชิตณรงค์ยังคงวางอำนาจ
"เราอัญเชิญพระกระแสรับสั่งจากพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา มา กราบทูลพระแม่เมือง จะทรงโปรดให้เข้าได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า"
พระสุวรรณ ในวัย16ปี ยืนเด่นอยู่ที่ประตูวัง
" ไม่ได้ ถ้าไม่มีพระราชสาส์น มีแค่รับสั่งฝากมา ก็ฝากต่อให้เราสิ เราจะ ไปทูลเสด็จแม่เอง แต่ถ้าไม่ฝาก ก็เชิญกลับไปได้"
สาววังจันทน์ทั้งสี่คว้าดาบมาถือจ้องอย่างเอาจริง พระยาทั้งสองเริ่มลังเลใจ
"ก็ได้ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาถึงพิษณุโลกแล้ว บัดนี้ประทับอยู่ที่วัดจุฬามณี มีรับสั่งให้พระแม่เมืองวิสุทธิกษัตรีย์ ไปเข้าเฝ้าเป็นการด่วนพระพุทธเจ้าข้า"
พระสุวรรณถาม
พระสุวรรณเทวีและพระองค์ขาวยืนคู่กัน มองตามพวกทหารกรุงไปอย่างสะใจ
เวลาต่อมา ณ ลานวัดจุฬามณี
ทหารวังยืนถือหอกและโล่เรียงเป็นแถวหน้ากระดาน ณ ที่ประทับชั่วคราวของพระมหาจักรพรรดิ ทรงนั่งบนพระที่นั่งบนยกพื้นสูง ส่วนพระมหินทร์นั่งอยู่บนแท่นตํ่าลงมา พระวิสุทธิกษัตรีย์ก้มลงกราบพระบิดา แล้วเงยหน้าขึ้น
พระมหาจักรพรรดิกล่าวถามเสียงอ่อนโยน
"ในเมื่อบ้านเมืองเข้าเกณฑ์ร้ายถึงปานนี้แล้ว ลูกยังไม่คิดจะกลับบ้านเราอีกหรือ"
"กลับอยุธยา แล้วลูกๆของหม่อมฉัน กับพวกข้ารับใช้ล่ะเพคะ"
พระมหินทร์บอก
"ก็พาไปให้หมดซี่ ในเมื่อสามีของพี่ก็เอาแคว้นเอาแผ่นดิน ไปยกให้เขาหมดแล้วอย่างนี้ จะอยู่ไปทำไมให้อายชาวเหนือเขาอีกเล่า"
"หงสาวดีมีกําลังรบแข็งกล้ามหาศาล ถ้าเราไม่ยอมเป็นมิตรกับเขา ไหนเลยที่วัดวาเวียงวังของเราจะอยู่รอด"
" อย่าเอาคำของคนขี้ขลาดมาพูดสิพี่หญิง พูดซะใหม่ว่า เราต้องสู้ สู้อย่างมีศักดิ์ศรี ยอมตายเสียดีกว่าอยู่เป็นทาสเขา"
"โธ่ ทำไมถึงไม่เข้าใจนะ ที่เราต้องเสียเสด็จแม่สุริโยทัยไป ก็ไม่ใช่เพราะ เราคิดอย่างนี้หรือ"
"เอาละ ไม่ต้องมาเถียงกัน"พระมหาจักรพรรดิเสียงแข็งจริงจัง "พ่อตั้งใจแล้วว่า จะต้องพาลูก
พาหลานทุกคน กลับไปในวันนี้"
"แต่ ....เสด็จพ่อ"
"กลับไปกับพ่อเถอะลูก กลับไปอยู่ในเมืองของเรา เราจะไม่เสียอะไรอีก เราเสียมามากพอแล้ว"
พระวิสุทธิกษัตรีย์ จำยอม และหนักใจในเหตุที่จะตามมาภายหน้า
บริเวณลานฝึกอาวุธหลังวัดมหาเถร ยามเย็น พระองค์ดำกําลังรับดาบที่ไอ้สมิงโถมฟันเข้ามาอย่างรวดเร็วว่องไว ทั้งสองกําลังฝึกต่อสู้กันตามลำพังสองคน คราวนี้แม้จะเป็นเพลงดาบหงส์ผงาดฟ้า แต่ดาบไม้ของไอ้สมิงก็ไม่โดนผิวหนังและร่างกายของพระองค์ดำเลยแม้แต่น้อย ไอ้สมิงแปลกใจมากถึงกับออกปากถาม เมื่อทั้งสองผละตัวออกยืนจ้องดาบ
"คราวนี้พระองค์รับดาบของข้าได้หมด ทำได้ไง"
"ข้าอ่านจากตำราที่หลวงตาใช้สอนเจ้า ข้าถึงได้รู้กระบวนท่าของหงส์ผงาดฟ้าทั้งหมดว่า จะฟันแทงเข้ามาแบบไหน ถึงได้รับดาบของเจ้าได้"
"งั้นพระองค์ก็สู้เพลงดาบนี้ได้แล้ว"
"ยัง ข้ายังหาวิธีแก้ไม้ตาย และวิธีตอบโต้กลับไม่ได้ ข้าต้องพยายามต่อไป มาไอ้สมิง เข้ามา"
ทั้งสองปราดเข้าฟาดฟันกันอีกครั้ง พระองค์ดำเป็นฝ่ายรับการบุกอีกตามเคย เป็นการต่อต้านการบุกที่ได้ผล แต่พอถึงท่าไม้ตาย ไอ้สมิงก็สามารถใช้ดาบตวัดดาบของพระองค์ดำกระเด็นหลุดจากมือได้ แล้วหมุนตัวถีบพระองค์ดำกระเด็นล้มลงไปก้นกระแทกพื้นอย่างรวดเร็ว
"ขอโทษด้วย แต่ท่าไม้ตายมันเป็นอย่างนี้"
" ไม่เป็นไร เจ้าทำดีแล้ว"
สายตาของพระองค์ดำมองเลยไหล่ไอ้สมิงไปถึงบนต้นไม้สูงใหญ่เบื้องหลัง เห็นไอ้จันกําลังปีนต้นไม้โดยมีมีดด้ามยาวคล้องอยู่ที่ข้อมือ ไอ้จันมองลงมาแล้วยิ้มให้ พระองค์ดำยิ้มรับแล้วส่ายหัวแสดงว่ายังแก้ไม้ตายนี้ไม่สำเร็จ
ต่อมา สาววัง 4 คนหามหีบใส่ของสองใบ เดินลงจากชานในตำหนักวังจันทน์ พระองค์ขาวซึ่งยืนอยู่บนชาน พูดกับพระสุวรรณซึ่งกําลังมัดห่อสัมภาระที่วางอยู่อีกหลายชิ้นบนชานนั้น
"ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าเขาจะเอาเราไปเป็นตัวประกัน ประกันไม่ให้เสด็จพ่อคิดร้ายต่ออยุธยา ทำไม เดี๋ยวนี้ใครๆกลับเห็นเสด็จพ่อเป็นศัตรูกับอยุธยาไปแล้ว ลืมไปแล้วหรือว่า เสด็จพ่อเองแท้ๆ ที่เป็นคนกู้บัลลังก์อยุธยามาถวายพระเฑียรราชาน่ะ"
"ใจเย็นๆซี่ชายน้อย บางทีสมเด็จตาอาจจะรักเรา เป็นห่วงเรา ถึงได้พยายามรวบรวมพระญาติที่เหลือให้ไปอยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้พ้นภัย"
"ภัยจากอะไรล่ะ สมเด็จตาไม่เข้าพระทัยเลยหรือว่า เสด็จพ่อทรงรักแผ่นดินเมืองเหนือขนาดไหน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็เพราะความจำเป็นทั้งนั้น"
พระองค์ขาวเดินมาที่บันไดชานซึ่งขุนศรีนั่งเฝ้าอยู่
"นี่แน่ะ ขุนศรี เมื่อพวกเราเดินทางไปแล้ว ท่านรีบไปหงสาวดีเร็วที่สุดเลยนะ แล้วกราบทูลเสด็จพ่อให้ทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย"
"พระพุทธเจ้าข้า กระหม่อมจะไปเตรียมม้าให้พร้อม"
ขุนศรีถวายบังคมแล้วออกไป พระองค์ขาวหันมองที่หัวบันไดชาน สีหน้าเศร้าลง
"พี่จำได้ไหม เมื่อห้าปีก่อน ที่ตรงนี้ เราสามคนพี่น้องเคยกอดกันร้องไห้ เพราะพี่ชายใหญ่กําลังจะถูกนำตัวไปหงสา"
สุวรรณเทวีเดินเข้ามาใกล้
"จำได้ ตอนนั้น เสด็จพ่อยังปลอบเราว่า ลูกๆ อย่าเสียใจไปเลย พระเจ้าบุเรงนองทรงรับปากว่า จะเลี้ยงชายใหญ่อย่างดีที่สุด"
"พี่หญิงคิดถึงชายใหญ่ไหม"
สุวรรณเทวีสะเทือนใจ
"พี่คิดถึงอยู่ทุกวัน หวังว่าสักวัน เราสามคนจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่ จะเป็นไปได้สักแค่ไหน ตราบที่บ้านเมืองยังอยู่ใต้อำนาจเขา ลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องเป็นเชลยเขาไปจนตายนั่นแหละ"
" ป่านนี้ ชายใหญ่จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"
ลักไวทำมูซึ่งยังมีผ้าคล้องแขนที่หัก เดินอาดๆนำทหารวังหน้า อาวุธครบมือกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางประตูวัดพระมหาเถร มา ศิษย์วัดที่กําลังกวาดลาน ยกของ และเดินผ่านไปมาตกใจหลบกันชุลมุน ลักไวทำมูหยุดยืนสั่งทหารที่กลางลาน
"แยกย้ายกันค้นให้ทั่ววัด เจออาวุธหรืออะไรที่ใช้เป็นอาวุธได้ยึดมาให้หมด ใครขัดขวางถือว่าฝ่าฝืนรับสั่งพระวังหน้า ลงโทษได้เลย"
ทหารรับคำสั่งต่างแยกกันหลายทาง ส่วนหนึ่งวิ่งโครมๆขึ้นชานศาลา อย่างไม่เคารพสถานที่ พระมหาเถรเดินถือไม้เท้าสวนออกมาโวยวาย
"อะไร อะไร นี่มันอะไรกัน เอาทหารมาทำไมเยอะแยะ อึกทึกคึกโครม พระสงฆ์องค์เจ้าแตกตื่นกันหมด นี่มันอะไรกัน"
"ข้าได้รับแจ้งว่าที่วัดนี้มีการฝึกอาวุธให้พวกศิษย์วัด ทั้งๆที่มีกฎห้ามไม่ให้ คนรามัญฝึกอาวุธ แต่หลวงตาก็ยังฝ่าฝืน"
" อาตมาเพียงแต่ฝึกให้เด็กมันได้ออกกําลังกันก็เท่านั้นเอง"
"ออกกําลังก็ให้ไปตัดไม้ดายหญ้าอะไรก็ได้ ไม่ใช่ฝึกใช้อาวุธ จะรู้ได้อย่างไร ว่าถ้าพวกมันรบเป็นแล้ว มันจะไม่ไปก่อกบฏลบล้างราชวงศ์ ยังดีนะที่ข้าได้รับคำสั่งให้มาริบอาวุธเท่านั้น ไม่ได้มาจับกุมตัวหลวงตาไปด้วย"
ทหารวังหน้าต่างเดินหอบอาวุธและหอบดาบไม้จากด้านต่างๆของวัด มาวางรวมกันที่กลางลานวัดจนสุมกันเป็นกอง
ห้องในเรือน ซึ่งมีอาวุธโบราณประดับอยู่ข้างฝามาตั้งแต่แรก ลักไวทำมูเดินเข้ามาในเรือนพร้อมกับทหาร 4 คน มองกวาดไปทั่วๆ เห็นพระองค์ดำนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่ก็แสยะยิ้ม
"อยู่นี่เองเร๊อะ ไอ้เชลย เอ็งยังติดหนี้ข้าอยู่นะ มีโอกาสเมื่อไหร่ข้าจะเรียกชดใช้ให้สาสม แต่คราวนี้ที่สยองแน่ๆสำหรับเอ็งก็คือ ในงานฉลองเจ้าฟ้าสองแคว เอ็งต้องประลองดาบกับราชบุตรวังหน้าต่อหน้าแขกบ้านแขกเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เอ็งต้องโดนสยบแน่ๆ"
พระมหาเถรเดินถือไม้เท้าเข้ามา ลักไวทำมูชี้ไปที่ฝาผนังพร้อมกับสั่งทหาร
"เฮ้ย ทหาร เก็บอาวุธพวกนั้นไปให้หมด"
"อย่าเอาไปเลย นั่นมันแค่ของโบราณที่เจ้าอาวาสองค์เก่าท่านสะสมไว้"
"แต่มันก็เป็นอาวุธ ใช้ฝึกกันได้ เอาไปให้หมด" พลางชี้ไปที่เขียงหั่นยา "มีดพวกนั้นด้วย เร็วสิวะ"
ทหารวังหน้าที่มาด้วยทำตามคำสั่งกันขันแข็ง ลักไวทำมูมองกราดไปทั่ว แล้วชี้ที่ตู้ใบเล็กข้างที่นั่งประจำของพระมหาเถร
"ในตู้นั่นมีอะไร"
พระองค์ดำใจหายวูบเมื่อนึกถึงตำราหงส์ผงาดฟ้าที่เก็บอยู่
" ก็แค่จีวรเก่าๆ" มหาเถรบอก
"ใครจะบ้าเก็บจีวรไว้ในตู้เล็กขนาดนั้น ทหารเอาออกมา"
ทหารปราดไปเปิดประตูตู้หยิบพับจีวรออกมา พระองค์ดำใจคอไม่ดี แต่มหาเถรยังวางหน้าเฉย
"เห็นหรือยัง"
"มันมีดีอะไรนักหนา ถึงได้พับไว้อย่างนั้น"
ก็พอดีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับดาบคู่มือของพระองค์ดำ
ทหาร 1 บอก
"ท่านนายทัพ ๆ ข้าเจอดาบนี่ในกุฏิ"
ลักไวทำมูเบนความสนใจทันที รับดาบมาถือพลิกไปมาด้วยมือข้างเดียว แล้วยิ้มพอใจ
"เฮ้ย นี่มัน ดาบที่ไอ้ตองเจใช้สู้กับราชบุตรเมืองคังนี่หว่า ฮ่ะๆๆ ท่านราชบุตรต้องชอบแน่ๆ"
"นั่นมันของส่วนตัว ถ้าเอาไปก็เท่ากับปล้นกันชัดๆ"
"ใจเย็นๆหลวงตา ข้าบอกแล้วไงว่า มาทำหน้าที่ตามรับสั่ง อะไรที่ เป็นอาวุธได้ ข้าต้องริบหมด อ้อ แล้วยังไม้เท้าในมือหลวงตานั่น ด้วย ส่งมาซะดีๆ ส่งมา"
มหาเถรส่งไม้เท้าให้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
"พวกเอ็งทำเกินไปแล้ว ระวังบาปกรรมจะตามสนอง"
"เฮ่ย แค่นี้ยังเล็กน้อยน่า ไว้ข้าสั่งทหารเผาวัดเมื่อไหร่สิ ค่อยพูดถึง บาปกรรม ไป ทหาร ขนของไปให้หมด"
ลักไวทำมูเดินนำทหารออกไป ทิ้งให้หลวงตาและองค์ดำมองตามด้วยใจเจ็บแค้น
พระองค์ดำ ตาลุกวาวด้วยความแค้น
เวลาต่อมา ที่ลานฝึกอาวุธในวังหน้า
งกยอชวาถือดาบของพระองค์ดำพลิกไปมา ด้วยใบหน้ายิ้มพอใจ มีลักไวทำมูยืนอยู่เยื้องไปข้างหลังกับทหารวังหน้าสองคน ส่วนอีกด้านเป็นพวกพระสหายยืนจับกลุ่มเฝ้าดูอยู่
" เกล้าเกือบจะสั่งทหารรุมกระทืบมันให้เละคาวัดแล้ว มานึกได้ว่าจะต้องเก็บ มันไว้ยอมแพ้พระราชบุตรในงานประลอง ก็เลยยั้งปากไว้"
"ไม่เป็นไร แค่ได้ดาบคู่มือของมันมานี่ก็ดีเหลือหลายแล้ว"
"ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือทำดาบของช่างวังหน้า มันคงจะจ้างทำตอนที่มันอยู่ที่นี่"
มังกยอชวาลดดาบลง
"งั้นเหรอะ งั้นก็ส่งคนไปเฆี่ยนไอ้ช่างคนนั้น 30 ที แล้วสั่งมัน ว่า อย่าตีดาบเล่มใหม่ให้ไอ้ตองเจอีก ถ้าฝ่าฝืน เราจะจับมันย่างไฟจนตาย"
" พระพุทธเจ้าข้า ส่วนดาบเล่มนี้ก็หลอมมันทิ้งเลยนะพระพุทธเจ้าข้า"
"ไม่ละ ข้าจะเก็บมันไว้ เป็นที่ระลึกในชัยชนะของข้า นี่วันประลองก็ ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าไม่อยากให้ไอ้ตองเจมันได้ฝึกซ้อมอะไรที่วัดนั่นอีกนะ"
"อ๋อ เรื่องนั้น เกล้าคิดไว้แล้วพระพุทธเจ้าข้า ตอนนี้เกล้าได้ส่ง ไอ้สุรสิงหะ หัวหน้าค่ายเชลยศึก กับพวกไปตั้งค่ายอยู่ที่วัด เฝ้าดูไม่ให้มีใครซ้อมดาบกันอีก โดยเฉพาะไอ้ตองเจ"
"ดี ถ้าช่วยข้าได้อย่างนี้ ข้ามีชัยในการประลองเมื่อไหร่ ข้าจะให้รางวัลครูอย่างงาม"
"ขอบพระทัยพระพุทธเจ้าข้า"
มังกยอชวาปักดาบของพระองค์ดำลงกับพื้นด้วยความเจ็บแค้นและเกลียดชัง
เวลาต่อมา พระมหาเถรนั่งอยู่ที่ตั่งกําลังพูดคุยกับพระเจ้าบุเรงนอง
" เรื่องทั้งหมดที่อาตมากราบทูลมานี้ มหาบพิตรคงเห็นได้ว่าพระอุปราชวังหน้า ทรงมีรับสั่งรุนแรงเกินควรจริงๆ"
"ปรกติมังชัยสิงห์เขาก็เป็นคนวู่วามอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้า แต่ถ้าจะ ว่าไปแล้ว ในวัดในวาก็ไม่น่าจะมีการสอนรบราฆ่าฟันกัน"
"หมายความว่า มหาบพิตรทรงเห็นด้วยกับการรุกรานวัดครั้งนี้"
"ก็ไม่เชิงหรอก แต่ตอนนี้กําลังจะมีงานฉลองเจ้าฟ้าสองแควอยู่ โยมไม่อยากจะให้พวกแขกบ้านแขกเมืองที่มาร่วมงาน เขาพากันพูดได้ว่า วัด ของเราสอนการรบให้พวกรามัญ"
" แต่ต่อไปรามัญพวกนี้ก็ต้องเป็นทหาร รบให้กองทัพของมหาบพิตรอยู่ดี"
"ก็เป็นไปได้ พอๆกับที่พวกมันอาจจะหนีหายกลายเป็นกบฏไปนั่นแหละ ระยะนี้พระคุณเจ้าควรละเว้นการฝึกซ้อมอาวุธในวัดไว้ก่อน รอจนกว่าพวกเจ้าเมืองต่างๆเขากลับไปแล้ว เราค่อยมา พูดเรื่องนี้กันอีกที"
พระมหาเถรนิ่ง พลางถอนใจอย่างผิดหวัง
ตอนเช้า ที่ลานฝึกซ้อมหลังศาลา ซึ่งไม่มีหอกดาบไม้เหลืออยู่แล้ว ไอ้สมิง ไอ้จันและศิษย์วัดทั้งหลายยืนร้องเรียนต่อหลวงตา
"พวกเราทนไม่ไหวแล้วนะหลวงตา พวกมันเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน ถึงได้มาข่มเหงพวกเรา ทั้งๆที่พวกเราก็อยู่กันดีๆ ไม่ได้ไปทำอะไรใคร สักหน่อย" สมิงบอก
"แค่หลวงตาสั่งมาคำเดียว เราจะไล่พวกมันไปเอง ใช่ไหมพวกเรา" จันบอก
ศิษย์วัดต่างบอก " ใช่ ใช่ เอามันเลย ไล่มันไป ไล่มัน"
"ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ พวกเอ็งอย่าเพิ่มวู่วาม รู้ไหมว่า พวกมันกําลังรอให้เราทำอย่างนั้นอยู่แล้ว จะได้อ้างได้ว่า วัดนี้ฝึกวิชาอาวุธให้พวกเราไว้ทำร้ายทหารหลวง พวกเอ็งอยากให้วัดนี้ถูกปิดด้วยข้อหากบฏหรือ พวกเอ็งจะยอมเป็นเหยื่อของพวกมันง่ายๆหรือ"
ไอ้สมิง ไอ้จัน และศิษย์วัดทั้งหลายเงียบไป
" คิดเสียว่า เพราะเราทำดีแล้วนั่นแหละ ถึงได้มีมารมาผจญ เจ้าจึงต้องอดทนในวันนี้ เพื่อวันข้างหน้า เมื่อพวกเจ้าแข็งแรงแกร่งกล้าแล้ว หลวงตายืนยันได้เลยว่า พวกเจ้านี่แหละ จะเป็นผู้กําจัดมารให้หมดจากแผ่นดินของเราเอง"
ศิษย์ทุกคนยอมรับด้วยอาการสงบนิ่ง
พระมหาเถรถอนใจยาว ยังมองเห็นความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นอีก
เวลาเดียวกัน พระมหาจักรพรรดิตรัส
"ยึดเมืองกําแพงเพชร เจ้าคิดดีแล้วหรือถึงได้จะยกทัพไปยึดเมือง กําแพงเพชร"
พระมหินทร์ ยืนอยู่ในกระโจมที่ประทับนั้นด้วย
"พระพุทธเจ้าข้า เพราะหากยึดเมืองกําแพงเพชรไว้ได้ ก็เท่ากับปิดประตูที่จะเข้าสู่แผ่นดินไทย สำหรับพวกหงสาที่ยกทัพข้ามเขตแดนเข้ามา อย่างน้อยก็ทำให้มันไม่มีที่รวมพล และถ่วงเวลาให้อยุธยามีเวลาตั้งรับทัน"
"จะไม่ปรึกษาพระยารามก่อนหรือ เพราะท่านก็เคยเป็นเจ้าเมืองนั้นมา ก่อน จะได้บอกจุดอ่อนจุดแข็งของเมืองให้เรารู้"
" ไม่ต้องหรอกเสด็จพ่อ มากคนก็มากความเปล่าๆ ทั้งตอนนี้เราก็มอบหมายให้เขารักษาพระนครอยู่แล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป ดีกว่า"
" เจ้าจะยกทัพไปเมื่อไหร่"
"คงใช้เวลาเตรียมทัพที่นี่สักสองวัน เสด็จพ่อแบ่งทหารคุมขบวนพี่หญิง และครอบครัวลงไปอยุธยาได้เลย"
"คิดให้รอบคอบนะลูก ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งอะไรลงไป เพราะมัน หมายถึงชีวิตของคนอีกมากมายที่ฝากไว้กับเรา"
"ไม่ต้องห่วง เสด็จพ่อ ครั้งนี้แค่ศึกเล็กๆเท่านั้น"
พระมหินทร์มั่นใจในความคิดของตัวเอง
เย็นต่อมา
พระองค์ดำนั่งอ่านหนังสือตำรับพิชัยสงครามของจีนซึ่งเป็นปึกกระดาษเก่าๆที่มัดรวมกันเป็นเล่มด้วยเชือก และมีวางอยู่ใกล้ตัวอีกสี่ห้าเล่ม ครู่หนึ่งบุญทิ้งก็โผล่หน้าออกมาจากในเรือน
"องค์ดำ องค์ดำ หลวงตาเรียก"
พระองค์ดำวางหนังสือที่กําลังอ่าน รวมกับเล่มอื่น แล้วลุกเดินเข้าไปยังห้องในเรือน
พระมหาเถรนั่งอยู่ตรงที่ประจำ พระองค์ดำและบุญทิ้งคลานจากประตูเรือนมานั่งเบื้องหน้า
"เป็นยังไง มหาบพิตร ตำรับพิชัยสงครามของจีนที่ให้อ่าน"
"ถึงจะอ่านไม่ออกเป็นบางคำ แต่ก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างขอรับ"
มหาเถรหยิบหนังสือแบบเดียวกันอีกเล่มส่งให้
"เอานี่ หลวงตาค้นเจออีกเล่ม คงจะเข้าชุดกันพอดี"
พระองค์ดำไหว้แล้วรับหนังสือจีนเล่มนั้นมาเปิดๆดู
"เมืองจีนเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่ มีหลายแคว้นหลายเมือง ถึงได้รบกันบ่อย มหาบพิตรควรจะศึกษาดูกลยุทธ์ของเขา ไม่เพียงแต่ดูว่า ฝ่ายชนะเขาชนะได้ยังไง แต่ควรดูอีกฝ่ายด้วยว่า ทำไมเขาจึงแพ้"
"รบแบบจีนมักจะใช้กําลังคนมากเข้าทุ่มเทใส่กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ ที่น่าสนใจกว่าอยู่ที่การรบแบบพลน้อยเอาชนะคนมากต่างหาก"
" เหมือนอย่างที่พวกล้านช้าง เอาชนะกองทัพหงสาน่ะหรือ"
"ใช่แล้ว หลวงตา ล้านช้างมีกําลังคนน้อย รบแบบกองโจรซุ่มตี จนหงสาวดีมิเคยเอาชัยได้เลย"
" ต้นแบบของการรบเช่นนั้น ก็มาจากจีนนั่นแล มหาบพิตรลอง หาอ่านในตำราของเขาดูเถิด"
ต่อมา พระองค์ดำถือหนังสือตำราจีนที่ได้รับเดินออกมาจากเรือนศาลาพร้อมกับบุญทิ้ง เมื่อมาถึงกลางชานก็พบว่าหนังสือตำราที่วางทิ้งไว้ก่อนจะเข้าศาลาหายไปหมด
"หนังสือที่วางไว้หายไปไหนหมด ข้าไม่ได้เก็บนี่นา"
บุญทิ้งมองไปทางลานวัดแล้วชี้มือให้องค์ดำมองตาม
"นั่นไง ดูนั่น"
ทหารหงสาวดีคนหนึ่งกําลังโยนหนังสือเหล่านั้นเข้ากองไฟที่กลางลาน ในขณะที่ทหารอื่นๆยังคงนั่งๆยืนๆและเดินไปมาในบริเวณค่ายตามปรกติ
พระองค์ดำโกรธจัด วิ่งผละไปที่ลานทันที บุญทิ้งตกใจมองตาม
อ่านต่อตอนที่ 7