เพลิงนรี ตอนที่ 2
คณินยืนอยู่ในห้างกลางกรุงเทพฯ มองนาฬิกาข้อมือเหมือนรอการมาถึงของใครบางคนอยู่ จนกระทั่งกรนันท์เดินเข้ามา ร้องทักเสียงใส
“คุณพ่อ”
“นี่นึกยังไงนัดพ่อมาที่นี่ อย่าบอกนะว่ามีของที่อยากได้”
คุณหนูเกรซอ้อนประจบบิดาด้วยกิริยาอันน่ารัก “แหมคุณพ่อก็...รู้ใจเกรซตลอดเลย”
คณินรู้ทันดักคอธิดาสุดสวาท “คราวนี้ อยากได้อะไรล่ะเรา”
กรนันท์เกาะแขนคณินพาเดินไปตามทาง
พริริสาเดินเลือกดูพ็อกเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับเลขาอยู่ตรงชั้นในร้านขายหนังสือของห้าง ธีภพเลือกหนังสือเกี่ยวกับนักบริหารมาเปิดดูสองสามเล่มอยู่อีกด้าน
เมื่อเลือกได้แล้ว พริริสาถือหนังสือติดมือมาหลายเล่ม เดินมาจะหยิบหนังสือเล่มเดียวกับที่ธีภพเลือกพอดี ทั้งคู่พากันชะงักแปลกใจ
“บังเอิญจังคุณ”
พริริสานึกได้ จะซ่อนหนังสือเลขาในมือก็ไม่การทันเสียแล้ว เพราะธีภพเห็นก่อน เมื่อเห็นว่าล้วนเป็นหนังสือเกี่ยวกับเลขา อดีตพันตรีหนุ่มจึงยิ้มกวน พูดตีรวนไปว่า
“ไหนว่ามีประสบการณ์เป็นผู้ช่วยเลขามาก่อนไงคุณ ทำไมต้องมาหาซื้อหนังสือเหมือนพวกมือใหม่แบบนี้ด้วย ตกลงที่คุณสัมภาษณ์ไปเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่า”
“ฉันซื้อไปอ่านเพิ่มเติมความรู้ต่างหาก คนเราก็ต้องรู้จักพัฒนาตัวเองสิคะ ถ้าคิดว่าเป็นน้ำเต็มแก้วแล้วจะก้าวหน้าได้ยังไง” พริริสาย้อนแย้ง
ธีภพพยักพเยิดคล้ายว่าเชื่อไปตามเหตุผลที่สาวเจ้าอ้าง
“คุณศจีนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้ผู้ช่วยขยันหมั่นหาความรู้ใส่ตัว”
ธีภพไม่พูดเปล่าแต่จ้องพริริสาอย่างจับผิด จนอีกฝ่ายเริ่มหวั่นใจเผลอตัวถอยหลังไปติดชั้นหนังสือสูง ร่างของเธอกระแทกกับชั้นหนังสือด้านหลังไม่รู้ตัว ธีภพเองเดินตามเข้ามาใกล้ๆ เหมือนจะเข้ามากอด ยิ่งทำให้พริริสาตกใจ ร้องโวยวายเสียงดัง
“คุณจะทำอะไร”
ธีภพจับไหล่พริริสาดึงเข้ามาหาเขา เพื่อหลบหนังสือเล่มหน้าจากด้านบนที่กำลังหล่นลงมา เมื่อพริริสาได้เห็นหนังสือหล่นลงมาที่พื้น แม้จะตกใจแต่ก็รับรู้ว่าธีภพหวังดีดึงตนออกไม่ให้ถูกหนังสือตกใส่หัว หญิงสาวจึงโล่งใจ
“เกือบหัวแบะแล้วไหมคุณ” ธีภพยิ้มเย้า
“เกินไปค่ะ หนังสือนะไม่ใช่ก้อนอิฐ”
กรนันท์กับคณินเดินผ่านหน้าร้านหนังสือ กรนันท์มองผ่านกระจกใสบานใหญ่ด้านหน้าเข้าไปโดยบังเอิญ และเห็นธีภพยืนหลบมุมเหมือนกอดใครสักคนอยู่ ก็หยุดกึก ฉุนขาดขึ้นมาทันที
“พี่ภพ”
กรนันท์ปล่อยแขนจากบิดา โลดแล่นเข้าไปในร้านหนังสือทันทีด้วยลมเพชรหึงเป็นพาหะ
คณินงุนงง “ยัยเกรซ จะไปไหน”
“ขอบคุณค่ะ”
พร้อมกับว่าพริริสาขยับตัวออกแล้วมองเลยไป ธีภพหันไปมองตาม ทั้งคู่ชะงักเมื่อเห็นกรนันท์เดินลิ่วๆ ผ่านชั้นหนังสือตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วเอาเรื่อง แต่พอมาถึงกลับพบว่าธีภพยืนอยู่คนเดียว
กรนันท์ถามทักด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียว “พี่ภพ”
“เกรซ”
“มันเป็นใครคะ” กรนันท์เหลียวหาจนทั่ว
ธีภพหันกลับไปหาพริริสา แต่พริริสาหายไปแล้วก็แปลกใจ
“เกรซพูดเรื่องอะไร”
“ก็เมื่อกี้เกรซเห็นพี่ภพยืนกอดกับ มันต้องอยู่แถวนี้แน่”
กรนันท์พยายามเดินตามหาพริริสา ซึ่งเวลานี้หลบอยู่หลังชั้นหนังสืออีกด้าน คณินเดินตามเข้ามาก่อนที่กรนันท์จะเจอพริริสา
“อะไรกันเกรซ”
กรนันท์ชะงัก ธีภพเห็นคณิณรีบยกมือไหว้ กรนันท์เห็นคนมองมาจึงหยุดโวยวาย
พริริสารีบหาทางหลบไปอีกด้าน
กรนันท์กระแทกแก้วกาแฟลงกับโต๊ะในร้านกาแฟ อย่างไม่สบอารมณ์
“เกรซเห็นจริงๆ นะคะคุณพ่อ”
“แต่พ่อเห็นธีภพเขาอยู่คนเดียว”
กรนันท์หงุดหงิดตามประสาคนเอาแต่ใจที่บิดาไม่เชื่อคำพูด คณินรีบเอาใจ
“อย่าหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า ไหนว่ามีของที่อยากได้ไง”
พร้อมกับว่า คณินหยิบกล่องนาฬิกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้ลูกสาว กรนันท์แปลกใจเปิดกล่องเห็นนาฬิกาหรูที่ตัวเองกำลังอยากได้ ก็ดีใจมาก ลุกเข้าไปกอดคณิน
“รุ่นลิมิเต็ดที่เกรซอยากได้นี่ คุณพ่อแอบไปซื้อตอนไหนคะ”
“ก็ตอนที่รอเรานั่นล่ะ คุณย่าบอกพ่อไว้หลายวันแล้ว ว่าเราอยากได้นาฬิกาเรือนนี้”
“คุณพ่อก็เลยเซอร์ไพร์สเกรซเหรอคะ เกรซรักคุณพ่อที่สุดเลย”
“พ่อก็รักเกรซที่สุดเหมือนกัน”
คณินลูบเรือนผมกรนันท์อย่างรักใคร่ รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้ทำให้กรนันท์มีความสุขอย่างเต็มที่ เพราะเหมือนได้ทดแทนความสุขนี้ให้กับลูกสาวอีกคนที่เขาไม่มีโอกาสได้เจอ แม้จะมีกรนันท์อยู่ในอ้อมกอด แต่คณินอดประหวัดคิดไปถึงลูกสาวอีกคนไม่ได้
ทั้งสามคนไม่ทันได้เห็นว่า หลังแจกันดอกไม้ใบใหญ่ที่ตั้งกั้นแบ่งพาร์ทิชั่นในร้านกาแฟนี้ พริริสานั่งนิ่งขึงมองดูภาพความสุขระหว่างพ่อกับลูกสาว ด้วยความน้อยใจและเจ็บปวดใจ ภาพจำในอดีตวูบเข้ามาในห้วงคิดของเธออีกคำรบ
เวลานั้นพีรดาเดินเข้ามาดูพริริสาที่กำลังวาดรูปอยู่
“วาดอะไรอยู่น่ะริสา”
“ริสาวาดรูปตัวเอง รูปแม่ แล้วก็กำลังจะวาดรูปพ่อ แต่ริสานึกไม่ออกจะวาดพ่อออกมายังไง”เด็กหญิงตัวน้อยนึกสงสัย จึงถามมารดาตามประสา “แม่จ๋า แล้วพ่อจะรักริสาเหมือนที่แม่รักริสาไหมนะ”
พีรดานิ่งงันไม่รู้จะตอบลูกยังไง รู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ
พริริสาดึงตัวเองกลับมา นึกน้อยใจคณินก็ด้วย และอิจฉากรนันท์อย่างบอกไม่ถูก จนต้องเมินหน้าหนีไปทางอื่น
มิราเดินเข้ามาในร้านมองหาพริริสา สวนกับคณินและกรนันท์ที่ลุกออกไปจากร้าน มิราจำสองคนได้ รีบก้มหน้าเดินเลี่ยงมาอีกทาง พอเห็นพริริสาก็รีบตรงเข้าไปหา ออกปากเอ่ยคำขอโทษ รับรู้ว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร
“ริสา ฉันขอโทษ ฉันไม่น่านัดเจอที่ร้านนี้เลย”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเจอกับทุกคนในบูรพเกียรติอยู่แล้ว จะเร็วหรือช้าก็ต้องได้เจอกัน”
พริริสาสลัดความเศร้าทิ้งไป แววตามุ่งมั่นมาดหมาย พร้อมจะทำตามแผนที่วาดไว้ดังเดิม
กรนันท์ลองนาฬิกาใหม่ที่คณินซื้อให้ พลางฟ้องเรื่องที่เห็นธีภพกอดผู้หญิงในร้านหนังสือให้กานดาและจินตนาฟัง
“เสียดายเกรซไม่เห็นหน้ามัน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แถมคุณพ่อยังไม่เชื่อเกรซอีก”
“แต่ย่าเชื่อ เพราะมีผู้หญิงหน้าด้านเยอะแยะ รอโอกาสยกฐานะตัวเอง หวังแต่งงานกับคนรวยๆเหมือน” คุณหญิงนึกถึงพีรดาขึ้นมาครามครัน
“เหมือนใครเหรอคะ คุณย่า คุณย่าจะบอกว่าเหมือนใครคะ”
จินตนาตัดบท “อย่าไปสนใจเลย ผู้หญิงต่ำๆ ยังไงมันก็ไม่มีค่าอะไรที่เราจะต้องสนใจ”
“แต่เราจะประมาทไม่ได้นะคะคุณแม่ ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ดาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
กานดาเองนึกถึงพีรดาและลูก กรนันท์ได้แต่งุนงงว่าแม่กับคุณหญิงย่าพูดถึงใครกัน
“ประวัติศาสตร์ใครจะซ้ำรอยยังไงก็ช่างเถอะค่ะ แต่สำหรับเกรซ เกรซไม่ยอมให้ใครแย่งพี่ภพไปแน่ๆ”
“ย่าก็ไม่ยอมเหมือนกัน ธีภพเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับหลานย่าที่สุด เขาต้องเลือกเพชรอย่างเกรซ ไม่ใช่ก้อนกรวดริมทางที่ไหนก็ไม่รู้”
จินตนาดึงกรนันท์มากอดอย่างรักใคร่ ไม่มีใครเทียบหลานสาวคนสวยของคุณหญิงได้
พริริสาพาตัวเองมาถึงตึกบูรพเกียรติ เพื่อเริ่มงานวันแรกแต่เช้า
มีพนักงานเดินเข้ามาในล็อบบี้ แยกย้ายไปตามแผนกงานในตึกตามปกติ พริริสาเดินเข้ามาในตึกพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ เธอเดินสวนกับลูกน้องราห์มานที่หิ้วกระเป๋าเดินออกไป
พริริสาไม่ได้สังเกตว่าลูกน้องราห์มานคนนั้นชะงัก และหันกลับมามองเธออย่างคุ้นตา พริริสาเดินตรงไปที่หน้าลิฟต์ แต่รีบร้อนจนชนเข้ากับธีภพที่เดินมาพอดี พริริสาเซไป ธีภพรีบดึงตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม
“คุณ”
“รีบร้อนไปไหนคุณ นี่ยังไม่ได้เวลาเข้างานสักหน่อย”
พริริสารีบถอยตัวออกห่างธีภพ
“เช้านี้มีประชุม ฉันต้องรีบมาเตรียมงาน...ค่ะ” เธอเน้นคำตอนท้าย
ลูกน้องราห์มานจ้องมองพริริสาไม่วางตา ก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา
ด้วยสัญชาตญาณของอดีตนายตำรวจ ธีภพรับรู้ได้ว่าเหมือนมีคนกำลังมองที่ที่ตนและพริริสา หันไปมองทางที่ลูกน้องราห์มานอยู่ แต่ไม่เห็นใครบริเวณนั้นแล้ว พริริสาแปลกใจว่าธีภพมองหาใคร
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไร”
ธีภพนึกว่าตัวเองคิดมากไปเองตามนิสัยตำรวจเก่า คงไม่มีอะไร
หลังเหตุการณ์กบฏเมื่อ17 ปีก่อน ราห์มาน หายตัวไปอย่างลึกลับ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และหลบมาซ่อนตัวอยู่ที่ประเทศไทยพร้อมเพชรจำนวนมาก และได้ให้ลูกน้องคนสนิททยอยนำออกไปขาย เพื่อรอวันกลับไปแก้แค้นที่ไทรจีส
บนโต๊ะในโถงบ้านเช่าหลังนี้ มีข้อมูลข่าวเกี่ยวกับประเทศไทรจีส และข่าวราชวงศ์ ภาพพริริสาขึ้นรับตำแหน่งเจ้าหญิงราชกุมารี ภาพคามินและราอิลติดต่อนักธุรกิจจากต่างประเทศ วางอยู่เต็มไปหมด แสดงให้รู้ว่า 17 ปี ที่ผ่านมานี้ ราห์มานยังติดตามข่าวของไทรจีสอยู่ตลอดเวลา
ราห์มานนั่งหันหลังคุยโทรศัพท์กับลูกน้องอยู่ในโถงบ้านเช่า
“จับตาดูเอาไว้จนกว่าจะแน่ใจว่าใช่เจ้าหญิงพริริสาจริงๆ แล้วฉันจะบอกเองว่าต้องทำยังไง”
ราห์มานวางสายไป ในมือถือเข็มกลัดสัญลักษณ์ราชวงศ์ไทรจีส
“อีกไม่นานเราจะได้พบกันอีกครั้งท่านพี่”
ราห์มานลูบคลำเข็มกลัดไปมา แววตาเคียดแค้นอาฆาต สุดจะประมาณ
อีกฟากโลก ราอิลนั่งดูภาพถ่ายอาวุธสงครามที่ถูกยึดจากเรือประมงอยู่ในห้องทรงงาน ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
องค์ราอิลหวนนึกถึงวันที่กลุ่มกบฏซุ่มโจมตีหมายชีวิตพระองค์ แต่ได้ธเนศและตำรวจไทย ตลอดจนกำลังทหารช่วยไว้ ราห์มานถูกธเนศยิงปางตาย ต้องหนีไป แต่ไม่วายหันมามองกลุ่มตำรวจไทยและกษัตริย์ราอิลอย่างอาฆาตแค้น ราวกับจะบอกว่าวันหนึ่งจะกลับมาแก้แค้นให้ได้
ราอิลเหลือบตามามองหินตราประทับสัญลักษณ์ราชวงศ์ไทรจีส ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่สบายใจ คิดถึงน้องชายที่คิดก่อการกบฏ
สักครู่คามินจึงเดินเข้ามาหา ราอิลเงยหน้าขึ้นมอง
“มีข่าวอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ บางทีอาจจะไม่ใช่พวกของท่านอาก็ได้ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว”
“17 ปีที่ราห์มานหายไป พ่อไม่รู้ว่าเขาหายไปกบดานที่ไหน แต่พ่อแน่ใจคนกระหายอำนาจอย่างราห์มาน ต่อให้นานแค่ไหนเขาก็รอได้ รอที่กลับมาทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการ”
“ถ้าอย่างงั้นลูกจะให้คนของเราเร่งสืบเรื่องนี้ครับ”
“ยังไงพอฝากเรื่องนี้ด้วย แล้วก็งานอื่นๆ ระหว่างที่พ่อไม่อยู่ ดูแลแม่เขาให้ดีด้วยล่ะต่อไปภาระทุกอย่างที่นี่ ลูกจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ลูกจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด”
ราอิลตบบ่าคามิน เชื่อใจว่าลูกชายจะทำได้อย่างที่พูด
ที่เมืองไทย พริริสาหอบแฟ้มเอกสารสำหรับการประชุมเข้ามาในห้องประชุม จัดเรียงวางตามที่นั่งของผู้บริหารแต่ละคน จนมาถึงเก้าอี้หัวโต๊ะที่นั่งของคณิน พริริสาหยิบแฟ้มที่เตรียมมาพิเศษ มี tap index ติดไว้ เพื่อให้ดูเอกสารง่ายขึ้น วางไว้ที่นั่น
พริริสาถือกล่องของว่างซ้อนกันหลายกล่องเข้ามาในห้องกาแฟ เพื่อเตรียมของว่างระหว่างการประชุม บุษกรมาช่วยเตรียมของว่าง โรซี่และชนิตายืนให้กำลังใจพลางชวนคุย
“ริสา แล้วกาแฟล่ะเตรียมหรือยัง เดี๋ยวบัวช่วย”
“ฉันเตรียมไว้แล้วล่ะ”
พริริสาเดินไปเปิดผ้าคลุมเครื่องชงกาแฟสดแบบสองหัวออก ทุกคนพากันตื่นเต้น
โรซี่กรี๊ด “ต๊าย! บริษัทเรามีเครื่องชงกาแฟแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันโทรสั่งให้เขามาส่งน่ะ สะดวกดีนะ”
โรซี่ดึงพริริสามาถาม
“เดี๋ยวๆๆ โทร.สั่งเครื่องชงกาแฟ เอางบส่วนไหนเหรอจ้ะ”
พริริสาคิดปราดเดียว “เอ่อ...ฉันหมายถึงให้คนที่บ้านเอามาส่งน่ะ พอดีที่บริษัทเก่าใช้เครื่องชงกาแฟแบบนี้ ฉันเคยชินกับที่เก่าเลยเอาของที่บ้านมาใช้ก่อน”
ทุกคนทำหน้าถึงบางอ้อทั้งแถบ พากันมุงดูเครื่องชงกาแฟ
“บ้านริสานี่คงชอบดื่มกาแฟมาเลยนะ ลงทุนมากเลย” บุษกรว่า
ชนิตาชอบใจ บอกว่า “ดีนะที่พี่ศจีได้ริสามาช่วย ถ้าพี่ศจีทำคนเดียวป่านนี้หัวฟูไปแล้ว”
“แต่ฉันว่าตอนนี้พี่ศจีก็คงหัวฟูไปเรียบร้อยแล้วล่ะ” โรซี่เหลียวหา ทุกคนมองหน้ากัน
“มีริสามาช่วยแล้ว ยังจะมีอะไรอีกเหรอ” บุษกรถาม
“ลืมไปแล้วเหรอจ๊ะว่ามีผู้บริหารโผล่มาอีกคน แถมยังไม่ได้เลขา พี่ศจีก็เลยรับเละอีกตามเคย”
พริริสานิ่งฟัง รู้ว่าโรซี่หมายถึงธีภพ
หน้าห้องทำงานคณิน ตอนนี้มีโต๊ะทำงานของพริริสาเพิ่มขึ้นมา ตั้งอยู่ข้างๆ กับโต๊ะศจี ขณะที่ศจีกำลังหัวฟูกับกองเอกสารที่ต้องเตรียมให้ธีภพ พริริสาเดินกลับมาพอดี
“เอกสารกับของว่างเรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ศจี มีอะไรจะให้ริสาทำอีกไหมคะ”
“พอดีเลย ริสาเอาเอกสารพวกนี้ไปที่ห้องทำงานคุณธีภพทีนะ แล้วก็...”
พร้อมกับว่าศจียื่นซองสีน้ำตาลมีเชือกพันปิดซองเอาไว้มาให้ พร้อมกำชับ
“อันนี้เป็นเอกสารจากสต๊อกที่คุณภพขอไป อย่าทำหายเชียวนะ เอกสารสำคัญ”
พริริสาได้ยินว่าเอกสารสำคัญ จึงรีบรับมา ซ่อนแววตาสงสัยไม่ให้ศจีเห็น
“ได้ค่ะ”
“งั้นพี่ไปเตรียมงานเรื่องประชุมฝ่ายดีไซด์ต่อล่ะนะ พี่ล่ะอยากแยกร่างได้จริงๆ”
ศจีคว้าเอกสารของตนแล้วรีบเดินไป พริริสาหอบเอกสารทั้งหมด เดินไปทางห้องทำงานธีภพ
พริริสาหอบเอกสารมาตามทางเดิน เห็นปลอดคนจึงหยุดเดิน วางแฟ้มเอกสารที่โต๊ะแถวนั้นหยิบซองสีน้ำตาลมาดูอย่างชั่งใจ
ศจีถือแฟ้มเดินจ้ำไปทางห้องประชุม เจอธีภพที่เพิ่งมาถึง เดินสวนเข้ามาพอดี
“คุณศจี”
“คะ”
“เรื่องเอกสารที่ผมขอไป...”
“ศจีสั่งริสาไว้ให้แล้วล่ะค่ะ ศจีขอไปห้องประชุมก่อนนะคะ”
ศจีรีบเดินไป ธีภพแยกเดินไปที่ห้องทำงานตน
พริริสามองซ้ายมองขวา จนแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาแน่ จึงตัดสินใจเปิดซองน้ำตาลหยิบเอาเอกสารออกมาดู
ธีภพเดินมาพอดี และเห็นพริริสากำลังเปิดเอกสารดู จึงหลบมุมมองดูอยู่เงียบๆ
พริริสาดูเอกสารจนครบ รีบเก็บเข้าซองตามเดิม แล้วถือเอกสารเดินไป ธีภพตัดสินใจเดินตามไปห่างๆ เพื่อดูพฤติกรรม
พริริสาเข้ามาในห้องทำงานธีภพ วางแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ พลางมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง โดยไม่รู้เลยว่าธีภพเดินตามมาเงียบๆ และคอยจับตามองผ่านประตูที่แง้มอยู่
เมื่อไม่เห็นใคร พริริสาจึงแอบเปิดลิ้นชักโต๊ะ และเปิดตู้สำรวจดู
ระหว่างนี้ กรนันท์เดินเข้ามาเห็นธีภพหยุดที่ประตูก็แปลกใจ
“พี่ภพมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”
ครั้นเมื่อกรนันท์มองเข้าไปเห็นพริริสากำลังปิดลิ้นชักโต๊ะธีภพก็โวยวายลั่น
“นี่...แกเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่โต๊ะพี่ภพ”
พริริสาชะงักมองไปที่ประตูเห็นธีภพและกรนันท์จ้องตนอยู่ พยายามข่มอาการประหม่าที่เผชิญหน้าน้องสาวต่างมารดาจังๆ เป็นครั้งแรก หลังช่วยไปเอาชุดเพื่อถ่ายสัมภาษณ์แถมออกไอเดียเรื่องเข็มกลัดผ้าให้ เมื่อวันก่อน
“เขาเป็นผู้ช่วยคุณศจีเพิ่งมาทำงานวันแรก” ธีภพช่วยพูด
“ทำงานวันแรกก็มารื้อข้าวของโต๊ะผู้บริหาร พวกมือไว สันดานขี้ขโมย รับเข้ามาทำงานได้ยังไงกัน แจ้งตำรวจเถอะค่ะ”
“แค่เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานก็กล่าวหาเป็นพวกมือไว เป็นหัวขโมย ไม่เป็นการใช้สมองตัดสินคนที่ง่ายและตื้นเกินไปเหรอคะ” พริริสาย้อนแย้งฮย่างเจ็บแสบ
“แก” กรนันท์คุมแค้นอยากทะยานเข้าไปตบ แต่ติดที่ว่าธีภพอยู่ด้วย
“แล้วคุณเปิดลิ้นชักโต๊ะผมทำไม”
“พี่ศจีให้ฉันเอาเอกสารมาให้คุณค่ะ เป็นเอกสารสำคัญ แต่คุณไม่อยู่ ฉันก็เลยจะหากระดาษโน้ตมาเขียนบอกไว้ แต่ก็ไม่มี”
พริริสารีบหันไปหยิบซองเอกสารที่วางบนโต๊ะส่งให้ ธีภพรับซองเอกสารมา รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายแก้ตัว แต่ก็ทำนิ่งเฉยเพื่อดูท่าที
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
ธีภพเรียกไว้เสียงเข้ม “เดี๋ยว”
พริริสาหวั่นใจว่าธีภพจะจับผิดอะไรตนอีก “มีอะไรอีกคะ”
“ไหนๆ คุณก็สำรวจโต๊ะทำงานผมแล้ว ช่วยดูให้หน่อยว่าขาดอะไรบ้าง จะได้ไปเบิกฝ่ายธุรการมาให้ผม”
พริริสาโล่งใจ “ได้ค่ะ”
กรนันท์ไม่อยากสนใจพริริสาอีก หยิบกล่องใส่เพชรประมาณสองกะรัตออกมาโชว์ธีภพ
“พี่ภพดูนี่สิคะ เกรซเพิ่งซื้อต่อมาจากเพื่อน เพชรจากแอฟริกาใต้ สวยไหมคะ พี่ภพว่าเกรซจะเอาไปทำอะไรดี แหวน หรือ จี้ดีคะ”
พริริสามองเพชรในกล่องปราดเดียวก็มองออกว่าเป็นเพชรปลอม กรนันท์เห็นสายตานั้นจึงมองกลับอย่างเหยียดหยาม
“มองอะไร คนอย่างเธอเกิดมาคงไม่เคยมีโอกาส ได้เห็นของมีค่าราคาแพงแบบนี้สิท่า รู้ไหมว่าราคาเท่าไหร่ เงินเดือนเธอทั้งปีรวมกันยังไม่มีปัญญาซื้อไม่ได้เลย”
พริริสาเยื้อนยิ้ม “ค่ะ แต่ถึงมีปัญญา ฉันก็ไม่ซื้อเพชรเม็ดนั้นหรอกค่ะ เพราะฉันไม่มีวันเสียเงินไปกับของปลอมแน่ๆ”
กรนันท์ถลึงตาใส่พริริสา ไม่เชื่อว่าเพชรในมือตนจะเป็นของปลอม
“คนตาต่ำอย่างแกกล้าดียังไงมาว่าเพชรของฉันเป็นของปลอม”
ธีภพแปลกใจที่พริริสาบอกอย่างมั่นใจว่าเพชรของกรนันท์เป็นของปลอม
ส่วนพริริสาเดินออกมาหน้าห้องทำงานธีภพ ด้วยสีหน้าสะใจ
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงนรี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ธีภพอยู่กับกรนันท์ และกำลังมองดูเจ้าหน้าที่คิวซีตรวจสอบเพชรอย่างจดจ่อ สักครู่เจ้าหน้าที่หันมาหน้าเจื่อนๆ นำเพชรกลับเข้ากล่องส่งคืนให้กรนันท์
“ว่ายังไง”
“เพชรปลอมค่ะ” เจ้าหน้าที่คิวซีบอก
กรนันท์ทั้งตกใจ ทั้งเสียหน้า และโกรธจัด
“นังเพื่อนเลว กล้าเอาของปลอมมาหลอกฉัน เกรซจะไปเอาเรื่องมัน”
กรนันท์ลืมตัวแสดงความกราดเกรี้ยว เดินกระแทกเท้าออกไป
“คุณเกรซท่าทางโกรธมากเลยนะคะ แต่เพชรเม็ดนั่นถ้าไม่ใช่คนชำนาญจริงๆ ก็ดูไม่ออกหรอกค่ะว่าของปลอม”
ธีภพถอนใจกับความใจร้อนวู่วามของกรนันท์ แต่แล้วก็สะดุดหูกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ แปลกใจที่พริริสาดูออกว่าเพชรเม็ดนี้เป็นของปลอม
เวลานั้น คณินนั่งประชุมกับแผนกดีไซน์ มีศจีคอยจดรายงานการประชุม คณินเปิดแฟ้มเอกสารเห็นแท็บอินเด็กซ์ แยกหมวดเอกสารไว้ให้ด้วยก็แปลกใจ แถมด้านในมีโพสต์ อิท สรุปเนื้อความแปะไว้ ทำให้คณินทำงานง่ายขึ้นก็ยิ่งชอบใจ
การประชุมจบลง พนักงานฝ่ายดีไซน์ทยอยเดินออกไป คณินจึงถามขึ้น
“เรื่องเพชรจากไทรจีสที่มีคนเอามาเสนอขายให้เราล่ะ”
“ตรวจสอบแล้วค่ะ เพชรคุณภาพดีมาก”
“งั้นก็ให้ฝ่ายจัดซื้อจัดการได้เลย”
“ค่ะ”
“อ๋อ” คณินนิ่งคิด “เอกสารการประชุมวันนี้คุณเตรียมเหรอศจี”
ศจีเสียววาบ ท่าทีตื่นๆ กลัวโดนตำหนิ “ริสาเป็นคนจัดการค่ะ”
“ริสา”
“ผู้ช่วยที่ดิฉันเพิ่งรับเข้ามาค่ะ”
คณินพยักหน้ารับเอ่ยปากชม “ทำงานละเอียดแล้วก็เป็นระเบียบดี”
พูดจบคณินก็ลุกเดินออกไป
“โล่งอก”
ศจีถอนใจเฮือก ที่คณินออกปากชมผู้ช่วยคนใหม่ของตน
พริริสาวางกล่องใส่อุปกรณ์เครื่องเขียนสำนักงานที่โต๊ะธีภพ กำลังจะเดินออกไป เจอธีภพเดินเข้ามาพอดี
“ฉันเอาของจากฝ่ายธุรการมาให้แล้วค่ะ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นเพชรปลอม”
“ฉันก็ศึกษามานิดหน่อย พอจะดูออกบ้าง”
เป็นจริงดังคำกล่าวนั้น ด้วยว่าคามินเป็นคนสอนเธอเรื่องการดูเพชรและอัญมณีต่างๆ ในวังไทรจีส พริริสาได้เรียนรู้การดูเพชรเจียระไนหลากหลายรูปแบบ
“สินค้าส่งออกหลักของประเทศเราก็คืออัญมณีแล้วก็เพชร ดังนั้นเราต้องเรียนรู้เอาไว้ เป็นเจ้าหญิงประเทศไทรจีสดูเพชรไม่เป็น แยกของจริงของปลอมไม่ได้ ขายหน้าเขาแย่”
พริริสานึกขอบคุณคามินที่สอนเรื่องพวกนี้ให้
“ความจริงคุณเป็นผู้บริหารของบูรพเกียรติ บริษัทจิเวลรีชื่อดังก็น่าจะดูออกนะคะ”
“เรื่องดู เพชรจริง เพชรปลอม ผมอาจจะไม่สู้ เพราะผมถือว่าเป็นมือใหม่จริงๆ แต่ถ้าเรื่องดูคน ผมว่าผมถนัดกว่า”
ธีภพมองพริริสาด้วยสายตาจ้องจับผิดอย่างเปิดเผย จนเจ้าหญิงรัชทายาทนึกหวั่นใจ กลัวจะโดนจับได้ว่าปลอมตัวมา ได้แต่ฝืนยิ้มทำใจดีสู้เสือกลับไป
กรนันท์เดินหงุดหงิดเข้ามาในห้องทำงานคณิน ปากล่องเพชรปลอมลงถังขยะอย่างโมโห กานดาและจินตนาที่นั่งอ่านนิตยสารรออยู่ตรงมุมรับรองพากันตกใจ
“ยัยเกรซ ไหนว่าจะไปหาธีภพ ทำไมกลับมาโมโหปึงปังแบบนี้ล่ะลูก”
“ก็เกรซโดนหลอกให้ซื้อเพชรปลอมน่ะสิคะ”
กานดาและจินตนาตกใจ
“แล้วยังไง” คุณหญิงถาม
“แต่โดนหลอกให้ซื้อของปลอมยังไม่เจ็บใจเท่าต้องมาเสียหน้าให้นังผู้ช่วยคุณศจีเลย มันเห็นปุ๊บก็มองออกว่าของปลอม ตอนนี้มันคงหัวเราะเยาะเกรซสนุกไปแล้ว” กรนันทน์แค้นพริริสาไม่หาย
“ใครมันกล้าหัวเราะเยาะหลานย่า ย่าจะจัดการมันให้เอง”
กานดาสะดุดหู “ศจีมีผู้ช่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแม่ไม่รู้”
คณินเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน เห็นสามคนก็แปลกใจ
“มากันพร้อมหน้าแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแม่”
“คุณมีผู้ช่วยเลขาด้วยเหรอคะ ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
“ถ้าบริษัทรับแม่บ้านใหม่ ผมต้องรายงานคุณด้วยไหม กานดา”
กานดารู้ตัวว่าคณินไม่ชอบใจจึงนิ่งเสีย
จินตนาออกร้อนแทน “แม่ดาเขาก็ถามดูเท่านั้นล่ะ คงกลัวศจีจะรับคนไม่มีคุณสมบัติพอเข้ามาทำงาน”
“ไม่ต้องห่วงครับ ริสามาทำงานวันแรก ก็ทำงานได้ดี”
คณินเหน็ดเหนื่อยจากการประชุมตั้งแต่เช้า จึงไม่อยากต่อความอะไร กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะเงียบๆ กานดาส่งสายตาให้จินตนาถามเรื่องผู้ช่วยเลขาคนใหม่เพราะไม่ไว้วางใจ
“แล้วแม่ริสาอะไรนี่อายุเท่าไหร่ หน้าตาเป็นยังไง เป็นใครมาจากไหน”
คณินเริ่มเครียดที่ถูกซักเรื่องจุกจิกไม่เป็นเรื่อง
กรนันท์ยังโมโห หงุดหงิดไม่หาย เลยพาลพาโลใส่จินตนา “คุณย่าจะอยากรู้ไปทำไมค่ะ กะอีแค่ผู้ช่วยเลขา ธรรมดาๆ ดาดๆ คนนึงจะระแวงอะไรนักหนา”
“เพราะแม่กับคุณย่าเคยพลาดท่าเสียทีให้คนที่เราคิดว่าธรรมดาๆ มาแล้วไงล่ะจ๊ะ ก็เลยจำฝังใจไม่เคยลืมว่าอย่าประมาทอีก”
คณินจ้องมองกานดาอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายพูดแขวะเรื่องอดีตขึ้นมา
เมื่อสมัยหนุ่มๆ คณินเห็นโต๊ะทำงานตัวเองถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ก็หันมายิ้มให้พีรดาที่เวลานั้นทำงานเป็นเลขาของเขา
“คุณจัดโต๊ะผมซะเป็นระเบียบเชียว”
“ก็คุณชอบบ่นว่าหาเอกสารไม่เจอ ฉันก็เลยจัดให้ใหม่ จะได้หาของได้ง่ายขึ้นไงคะ”
“คุณนี่เป็นสุดยอดเลขาของผมเลยรู้ไหม”
คณินจับมือพีรดามากุมไว้อย่างรักใคร่ ทั้งคู่มองตากัน แสดงให้เห็นว่าต่างมีใจให้กัน
พลันประตูห้องถูกเปิดออก จินตนาและกานดาพรวดเข้ามา คณินและพีรดารีบผละออกจากกัน
จินตนาและกานดาวางท่าเย่อหยิ่งแทบไม่ได้ชายตาแลพีรดาเลยสักนิด
“ลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้มีนัดกับกานดาเอาไว้”
“ดากลัวคุณคณินจะลืมน่ะค่ะ เลยแวะมาที่นี่พร้อมคุณแม่ก่อน”
คณินมีสีหน้าอึดอัดเหลือแสน “ผมไม่ลืมหรอกครับคุณแม่”
“ดิฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
พีรดารีบฉวยแฟ้ม แล้วเดินตัวลีบออกไป จินตนาและกานดาลอบมองพีรดาอย่างไม่วางใจนัก
กานดาและจินตนาเพิ่งกลับเข้าบ้านมาทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างหงุดหงิด
“ถ้าดาเฉลียวใจตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้ก็คงไม่ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกเหมือนมีหนามคอยแทงใจตลอดเวลาแบบนี้”
“เรื่องมันก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เธอจะฟื้นฝอยขึ้นมาให้คณินคิดถึงมันอีกทำไม สองแม่ลูกนั่นมันก็หายสาบสูญไปจากชีวิตพวกเรานานแล้ว”
“แต่ดากลัวค่ะ กลัวพวกมันจะกลับมา”
กฤษเดินเข้ามามองภรรยาและลูกสะใภ้อย่างเหนื่อยใจ
“ถ้าพวกเขาจะกลับมา แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ ยังไงซะเด็กคนนั้นก็มีเลือดของบูรพเกียรติอยู่ครึ่งนึง”
จินตนาและกานดาหน้าตึงเปรี๊ยะ โกรธขึ้นทันที
“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมรับพวกมัน ฉันมีหลานคนเดียวก็คือยัยเกรซ ต่อให้มันกลับมาจริงๆ ฉันก็จะทำให้มันต้องระเห็จไปอีกรอบได้เหมือนกัน”
กฤษคร้านจะทะเลาะ ตรงไปหยิบหนังสือที่ลืมทิ้งไว้ แล้วเดินหนีไป
ทางด้านพริริสาเดินถือเอกสารมาที่โต๊ะพนักงานอีกโซนหนึ่ง
“เจ้าหญิง...เจ้าหญิงจริงๆ ด้วย”
พริริสาชะงัก รีบหันไป เห็นพนักงานจับกลุ่มเม้าท์มอยกันเรื่องหนังที่เห็นจากโฆษณาในหนังสือพิมพ์
“ใช่เจ้าหญิงเหรอ” พนักงาน 1 ว่า
พนักงาน 2 บอก “ก็ใช่นะซิ...หนังเรื่องเนี้ยเป็นหนังเกี่ยวกับเจ้าหญิง...น่าดูนะ”
พริริสาโล่งใจ เดินเอาเอกสารไปวางให้อีกโต๊ะนึง โดยไม่รู้ว่ามีสายตาใครบางคนจับจ้องเธออยู่
เป็นธีภพและอธิรุธหลบมุมมองพริริสาอยู่ตั้งแต่ต้น
“คุณริสานี่เขาก็สวยน่ารักดีนะ”
“ฉันให้นายมาช่วยดูพฤติกรรม ไม่ได้ให้มาวิจารณ์หน้าตา”
“ก็ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีพิรุธอะไรเลย ดูตั้งอกตั้งใจทำงานคิดมากไปหรือเปล่าไอ้ภพ”
“แต่ฉันเห็นเขาแอบเปิดดูเอกสารสำคัญ ส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ชัดๆ”
“นายนี่มันพวกระแวงเกินกว่าเหตุ”
“ตกลงนายมาช่วยฉันหรือมาเข้าข้างผู้หญิง”
ธีภพแอบหวังลึกๆ ว่าพริริสาคงจะไม่ใช่คนร้ายที่แฝงตัวมาทำงานที่บูรพเกียรติ
“ยังไงฉันคงต้องจับตาดูเขาต่อไป”
“ขอโทษนะครับไอ้คุณภพ ตอนนี้คุณเป็นผู้บริหารนะครับ ไม่ใช่ตำรวจจะได้คอยวางแผนจับอาชญากร ลืมตัวไปหรือเปล่า เสียเวลาฉันไปซื้อของให้แม่จริงๆ”
“แม่ไหน แม่ทูนหัวหรือเปล่า”
“แม่ฉันนี่ล่ะ ถ้าฉันมีแม่ทูนหัวกับเขาก็ดีสิ ว่าแต่ นายมีไลน์คุณริสาหรือเปล่า ขอให้หน่อยสิ”
ธีภพรีบไล่ “ไปซื้อของให้แม่นายเลยไปไอ้รุธ”
“แอบกั๊กนี่หว่า”
อธิรุธยั่วยิ้มตบไหล่ธีภพอย่างหยอกเย้า ก่อนเดินยิ้มออกไป ธีภพอยากจะเตะเพื่อนที่ชอบแซวไม่เข้าเรื่อง
อธิรุธเดินมาตามทางในห้าง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อธิรุธทำหน้าเซ็งเมื่อเห็นชื่อว่าใครโทร.มา
“กิ๊บเหรอครับ วันนี้ผมยุ่งมากเลย นี่ก็อยู่ที่กองต้องประชุมงานกับผู้การ ผมคงไปหากิ๊บไม่ได้จริงๆ”
โชคร้ายของผู้กองจอมกะล่อนที่กิ๊บเดินคุยโทรศัพท์มาจากอีกด้านพอดี
“จริงเหรอคะ พักนี้คุณรุธไม่มีเวลาว่างมาเจอกิ๊บเลย”
“งานยุ่งจริงๆ ครับ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง งานบุญ งานเพื่อน เต็มไปหมด”
“ไม่ใช่รำคาญกิ๊บ เลยเอาเรื่องงานมาอ้างนะคะ”
อธิรุธเห็นกิ๊บเดินมาทางตนก็ตกใจ รีบเดินหลบไปอีกด้าน หลบเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า
“ผู้กองอธิรุธไม่เคยโกหกอยู่แล้วครับ” พร้อมกับว่าเขาแอบตีปากตัวเอง ฐานโกหกบ่อย
กิ๊บเดินคุยโทรศัพท์มาที่หน้าร้านเสื้อ เห็นน่าสนใจจึงเดินเข้าไปดู
อธิรุธเห็นกิ๊บเดินเข้ามาในร้านเดียวกับตนก็รีบหลบหลังราวแขวนเสื้อ
“พอดีผู้การเรียกแล้วล่ะครับกิ๊บ ผมคงต้องไปเข้าประชุมแล้ว”
กิ๊บเสียดาย “มีเวลาว่างโทร.หากิ๊บบ้างนะคะ กิ๊บคิดถึง แล้วอย่าให้จับได้ว่าโกหกนะกิ๊บบุกไปถึงกองคุณรุธแน่ๆ”
อธิรุธทำท่าสยอง “ครับ คิดถึงเหมือนกัน จุ๊บๆ”
กดวางสายแล้วอธิรุธมองหาลู่ทางหลบออกไปโดยไม่ให้กิ๊บเห็นตน แต่สาวเจ้าก็ดันเดินมาบริเวณที่อธิรุธหลบอยู่อีก อธิรุธเห็นห้องลองเสื้อแบบผ้าม่านไม่ได้คล้องสายไว้จึงรีบเข้าไปหลบในนั้น
มิรากำลังจะออกไปจากห้องลองชุด รวบเสื้อที่เพิ่งลองและกระเป๋าผ้าใบเล็กๆ ใส่พาสปอร์ตและบัตรเครดิตไว้ด้วยกัน แต่ดันเจออธิรุธผลุบเข้ามา ก็ตกใจจะร้องอธิรุธรีบปิดปากมิราหมับ ขอร้อง
“คุณอย่าร้อง ผม ไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดว่าไม่มีใครอยู่ในนี้”
อธิรุธมองลอดม่านไป เห็นกิ๊บดูเสื้อผ้าไม่มีตัวไหนน่าสนใจเลยเดินออกไป อธิรุธหันกลับมาอีกที มิราจับมืออธิรุธกัดเต็มเขี้ยว
“โอ๊ย”
มิราผลักอธิรุธออกไป เสื้อผ้าและกระเป๋าหล่นกระจายที่หน้าม่านเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น
“ไอ้โรคจิต ไอ้วิปริต แอบดูผู้หญิง”
พนักงานตื่นตกใจรีบเข้ามาดู
“มีอะไรกันคะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นก็เลยเข้าไป”
“ฉันไม่เชื่อไม่ต้องมาอ้าง”
พนักงานช่วยไกล่เกลี่ย ไม่อยากให้มีเรื่องในร้าน
“คุณผู้หญิงลืมคล้องสายม่านไว้หรือเปล่าคะ”
มิรานึกได้ว่าตอนเข้าไม่ได้คล้องสายปิดม่านไว้จริงๆ ก็เลยชะงัก อธิรุธสบช่อง
“นั่นไง คุณลืมคล้องสายม่าน ทำให้ผมเข้าใจผิด คิดว่าไม่มีคนอยู่ในนั้น ถ้าผมจะแอบดูผมก็เลือกเหมือนกันนะคุณ”
“ฉันจะแจ้งความ” มิราฉุนขาด
“ผมก็จะแจ้งด้วย คุณมากัดผม ทำร้ายร่างกายผมก่อน หลักฐานชัดเจน ส่วนเรื่องผมเป็นโรคจิต คุณมีหลักฐานหรือเปล่า” อธิรุธหันไปหาพนักงาน “เป็นพยานให้ผมด้วยนะครับ”
มิราเห็นยิ่งโมโห “ฉันไม่แจ้งความก็ได้”
“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
มิราเข้าไปผลักอธิรุธอย่างแรง อธิรุธเซถอยหลังไปชนราวแขวนเสื้อล้มระเนระนาด
“เฮ้ย”
มิราเดินออกไปอย่างหัวเสีย
“ยัยตัวแสบ คนไม่ได้ตั้งใจเล่นกันขนาดนี้เลยเหรอ”
อธิรุธลุกขึ้นทำหน้าเซ็ง เห็นกระเป๋าผ้าใบเล็กของมิราตกที่อยู่ที่พื้นกองรวมอยู่กับกองเสื้อผ้า
มิราเดินหงุดหงิดออกมาตามทางเดินในห้าง
“ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้นะ”
มิรานึกได้ว่ากระเป๋าไม่ได้อยู่ที่ตัวก็ตกใจ
“กระเป๋า แย่แล้ว”
มิรารีบเดินกลับไปที่ร้านเสื้อผ้า
พนักงานขายเข็นราวเสื้อผ้าไป เผยให้เห็นกระเป๋าของมิราบังหน้าอธิรุธอยู่ เขาชูขึ้นมาดู นึกถึงตอนที่มิราเอาเสื้อผ้าที่หอบอยู่ขว้างใส่ตน อธิรุธเปิดดู เห็นพาสปอร์ต และบัตรเครดิต จึงหยิบพาสปอร์ตออกมาดู พบว่าเป็นพาสปอร์ตประเทศไทรจีส เห็นรูปมิราและชื่อ Mira Layla
“มิรา เลห์ล่า ไม่ใช่คนไทยเหรอเนี่ย” อธิรุธยิ้มเยาะ “ป่านนี้หาพาสปอร์ตให้ควักล่ะสิท่า สมน้ำหน้า”
อธิรุธเก็บพาสปอร์ตเข้ากระเป๋าตามเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะทำไงต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น อธิรุธเอากระเป๋ามิรามาสะพายแล้วรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...ครับแม่...กำลังไปซื้อครับแม่...ครับ ครับ ได้ของแล้วรีบไปเลยครับ”
อธิรุธเดินออกจากร้านไปอีกทาง ขณะที่มิราเดินย้อนมาจากอีกด้าน
เย็นนั้น มิราวางจานสลัดผักและแซนด์วิชที่โต๊ะให้พริริสาที่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน
“ไหนว่าวันนี้จะโชว์ฝีมือทำอาหารไง แซนด์วิชเนี่ยนะ”
มิราพูดพร้อมกับทำหน้าเซ็ง “ได้แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ ฉันดันโชคร้ายทำกระเป๋าหาย ดีนะยังมีเงินติดตัวบ้าง นอกนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย ทั้งบัตรเครดิต พาสปอร์ต พรุ่งนี้ว่าจะลองไปถามอีกที เผื่อมีใครเอามาคืน” ยิ่งนึกถึงอธิรุธก็ยิ่งโมโห “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนายนั่นนะ”
“นายนั่น นายไหนเหรอ”
มิราตัดบทไม่อยากสนใจ “ช่างเถอะอย่าไปสนใจเลย ว่าแต่ไปทำงานวันแรก ได้อะไรมาบ้างหรือเปล่า”
“ได้สิ อย่างน้อยฉันก็เริ่มเห็นปัญหาบางอย่างในบูรพเกียรติบ้างแล้ว”
มิราทำท่าสนอกสนใจ รอให้พริริสาเล่าให้ฟัง
ขณะเดียวกัน ธเนศเดินตัดแต่งไม้แขวนในเรือนต้นไม้อย่างเพลิดเพลิน มีธีภพเดินตามมาคุยด้วย
“ปัญหามันก็เหมือนกิ่งไม้พวกนี้ล่ะ ถ้าเราไม่คอยตัดคอยเล็มมันออก มันก็จะงอกยาวทำลายความสวยงามที่เราจัดแต่งไปหมด”
“ถ้าเป็นต้นไม้ของเราเองมันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ถ้าเป็นต้นไม้ของคนอื่น แถมเขาไม่เต็มใจจะให้เราช่วยแต่งเล็มอีก”
“ที่เขาไม่เต็มใจ เพราะเขายังไม่คิดว่าเราทำได้น่ะสิ มันก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเรามีความสามารถพอ”
ธีภพทำหน้าเหนื่อยใจ ธเนศเห็น ยิ้มบางๆพอเข้าใจอารมณ์ลูกชาย
“อย่าทำหน้าแบบนั้น จะอยู่ในสถานะไหน ตำรวจหรือนักธุรกิจ หน้าที่ความรับผิดชอบก็คือการทำภารกิจให้สำเร็จเหมือนกัน จริงไหม พ่อเชื่อว่าเราทำได้”
ธเนศหันไปตัดแต่งต้นไม้ต่อ เชื่อมั่นว่าลูกชายจะผ่านความยุ่งยากนี้ไปได้
เช้านี้ พริริสานั่งที่โต๊ะทำงานของตนแล้ว ขณะ โรซี่ ชนิตาและบุษกร เพิ่งมาถึงต่างปรี่เข้ามาพร้อมถุงของกินมื้อเช้า
“มอร์นิ่งริสา เบรกฟาสต์มาหรือยัง กินด้วยกันสิ” โรซี่ทัก
“มีข้าวเหนียวหมูทอด ปาท่องโก๋ ซาลาเปา ขนมครกก็มีนะ” ชนิตาอวด
“ของกินเยอะแยะเลย”
“ก็จะได้กินไปเม้าท์ไป เพลินๆ ไง พี่ศจียังไม่มาใช่ปะ”
“น่าจะยังนะ” พริริสาบอก
“ตั้งแต่มีริสา พี่ศจีคงมีเวลาได้เอ้อระเหยตอนเช้าบ้าง” ชนิตาว่า
โรซี่เห็นทางสะดวกรีบสะกิดบุษกรให้ชวนพริริสาคุยตามที่นัดแนะกันมา บุษกรส่ายหน้าไม่กล้าถาม
“มีอะไรหรือเปล่าบัว” พริริสาถามขึ้น
“โรซี่เขาอยากรู้ว่าเมื่อวานเห็นริสาเข้าออกห้องคุณภพตั้งหลายรอบ มีอะไรหรือเปล่า”
“หล่อนก็อยากรู้เหมือนกันแหละยัยบัว มาบอกชื่อฉันคนเดียวทำไม” โรซี่มองค้อน
พริริสายิ้ม เข้าใจทันที
“แค่เอาเอกสาร กับพวกอุปกรณ์สำนักงานไปให้ เท่านั้นเอง”
“แค่นั้นเหรอ แล้วเจอคุณเกรซหรือเปล่า” ชนิตาถาม
“เจอ ว่าแต่มีอะไรเหรอ”
“ก็อยากให้ระวังตัว” โรซี่ป้องปากบอก “ก็เจ้าของเขาหวงน่ะสิ”
พริริสามองฉงน “เจ้าของ”
ธีภพถือแฟ้มเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“ใครเป็นเจ้าของใครเหรอครับ”
โรซี่สำลักซาลาเปาที่เพิ่งยัดเข้าปาก สามสาวเห็นธีภพก็พาแตกฮือ
“กินให้อร่อยนะริสา ฉันไปทำงานก่อนล่ะ”
ชนิตารีบจูงมือบุษกรเดินหลบออกไป โรซี่รีบทุบอกให้ซาลาเปาลงคอเสียงแหบโหย
“ขอไปหาน้ำดื่มก่อนนะคะ ติดคอ”
โรซี่บิดตูดชิ่งหนีไปอีกคน ธีภพกระแอมทำหน้าขรึม
“ผมไม่รู้นะว่าสามคนนั้นพูดถึงใคร แต่ผมยังไม่มีเจ้าของ”
พริริสาทำหน้างง มาบอกทำไม
ธีภพรีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมฝากเอกสารนี้ให้อาคณินด้วย”
พูดจบธีภพก็เดินออกไป ปล่อยให้พริริสานั่งงงๆ อยู่อย่างนั้น
พริริสายกกาแฟมาวางที่โต๊ะคณิน ในขณะที่คณินกำลังเซ็นเอกสารอยู่
“กาแฟดำน้ำตาลครึ่งช้อนค่ะ”
คณินเงยหน้าจากงานมามองพริริสา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเลขาผู้ช่วยของศจีเต็มตา สายใยพ่อลูกทำให้คณินรู้สึกถูกชะตากับพริริสาอย่างประหลาด
“ริสาใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แฟ้มเอกสารพวกนี้เธอเป็นคนทำสินะ”
คณินมองไปยังกองเอกสารที่จัดเรียงเป็นหมวดหมู่ มีโพสต์อิทแปะแยะประเภทไว้ให้
“ค่ะ”
“เธอทำงานได้ดีนะ แล้วหวังว่าจะทำงานดีแบบนี้ไปตลอด”
เป็นครั้งแรกที่พริริสาได้คุยกับบิดา และได้รับคำชม มันทำให้พริริสารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“คุณธีภพฝากเอกสารมาให้ด้วยค่ะ”
พริริสาส่งแฟ้มเอกสารของธีภพให้ คณินเห็นรอยแผลที่ข้อมือริสาก็แปลกใจ
“แผลนั่น”
พริริสานิ่งงันไปเมื่อถูกสะกิดแผลในอดีต พยายามฝืนยิ้มให้
“อุบัติเหตุตอนเด็กน่ะค่ะ จากพวกคนใจร้าย”
คณินสะดุดหูแต่ไม่คิดติดใจอะไร หันมาสนใจแฟ้มของธีภพโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
พริริสายังคงมองคณินด้วยแววตาแสนสับสน ใจหนึ่งโหยหาอยากใกล้ชิดพ่อแท้ๆ แต่อีกใจก็ต่อต้านทัดทานว่าเขาไม่ได้ต้องการและโหดร้ายกับตนและแม่ขนาดไหน จนเสียงโทรศัพท์ของดังขึ้น คณินหันไปพูดกับพริริสาก่อนรับโทรศัพท์
“ไปทำงานเถอะ มีอะไรแล้วฉันจะเรียก”
“ค่ะ”
พริริสาหันหลังเดินออกไป บอกเตือนตัวเองไม่ให้ลืมเป้าหมายที่มาที่นี่
เมื่อธีภพเดินออกมาที่หน้าห้องทำงาน ก็เจอกรนันท์และกานดาที่เข้ามาหาพอดี เขาไหว้ทักกานดา
“สวัสดีครับคุณอา”
“เริ่มงานที่นี่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“มีอีกหลายที่ผมต้องเรียนรู้ครับ”
“คนเก่งอยู่ที่ไหนก็เรียนรู้ได้เร็วอยู่แล้วล่ะ”
“คุณอากับเกรซมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เกรซมาให้พี่ภพเลี้ยงข้าวน่ะค่ะ ได้ไหมคะ” กรนันท์อ้อน
“อาแค่แวะมาทักทาย ภพไปกับน้องสองคนก็แล้วกัน”
ธีภพสีหน้าอึดอัดใจแต่ต้องรักษามารยาทไว้
“ได้ครับ แต่พี่ไม่อยากออกไปไกลนะ เราทานใกล้ๆ แถวนี้ได้ไหม”
“ที่ไหนก็ได้ค่ะ เกรซตามใจพี่ภพ”
กรนันท์ดีใจรีบเข้าไปควงแขนธีภพอย่างเอาใจทันที กานดายิ้มปลื้มมองลูกสาวควงแขนธีภพออกไป
พริริสานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำในโรงอาหาร พร้อมกับแก๊งสามสาวขาเม้าท์เหมือนเคย
“ริสายังไม่ได้ซื้อน้ำเหรอ เดี๋ยวฉันไปซื้อให้ เอาน้ำอะไรจ้ะ” บุษกรถาม
“สปาร์กกิ้งไซเดอร์ ก็ได้จ้ะ”
ทุกคนในโต๊ะพากันชะงัก
พริริสานึกได้ “อ๋อ เออ มะนาวโซดาก็ได้จ้ะ”
“งั้นฉันเอาชาเย็น” ชนิตาบอก
“ส่วนฉันขอน้ำแร่ เอาขวด 7 บาทพอนะ” โรซี่ว่า
บุษกรแชวะ “จะกินน้ำแร่ยังงกอีก”
“ไม่ได้หรอก ช่วงนี้ต้องประหยัด โบนัสปีนี้ไม่รู้จะได้หรือเปล่า ปีที่แล้วยังได้แค่เดือนเดียวเลย”
“ตอนนี้ที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นล่ะ มีงานทำก็บุญละ ริสาเพิ่งมาทำงานอย่าเพิ่งใจเสียนะ บริษัทเราไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
บุษกรเดินออกไปซื้อน้ำให้ทุกคน
ระหว่างนี้ธีภพพากรนันท์เข้ามาที่โรงอาหาร กรนันท์ชักสีหน้าทันที
“พี่ภพมาที่นี่ทำไมคะ”
“ก็มาเลี้ยงข้าวเกรซไง ทานที่นี่ใกล้ดี ไม่ต้องขับรถออกไปให้เสียเวลา”
กรนันท์อยากจะกรี๊ดที่ธีภพพาตนมากินข้าวที่โรงอาหารบริษัท แต่ต้องเก็บข่มอารมณ์ไว้
โรซี่และชนิตาหันมาเห็น มองดูกรนันท์และธีภพอย่างตื่นเต้น
“เป็นบุญตามากๆ ที่เห็นคุณเกรซที่นี่ ร้อยวันพันปีแค่เฉียดมาแถวนี้ยังไม่เคยเลย”
ธีภพพากรนันท์ไปนั่งที่โต๊ะอีกมุมไม่ไกลจากโต๊ะสี่สาวนัก กรนันท์รีบหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดโต๊ะอีกรอบอย่างรังเกียจ
“นี่ล่ะน้าเขาถึงว่าคนเรายอมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่รัก”
พริริสาลอบมองธีภพและกรนันท์อย่างหมั่นไส้บ่นเบาๆ
“เชอะ แล้วมาบอกว่ายังไม่มีเจ้าของ”
สองสาวหันมามองพริริสาที่พึมพำอย่างสงสัย พริริสารีบยิ้มตักอาหารกินเหมือนไม่มีอะไร
ถาดอาหารวางบนโต๊ะโดยธีภพ ก่อนที่เขาจะหยิบจานอาหารวางให้กรนันท์ คุณหนูจอมเหวี่ยงมองอาหารในจานอย่างไม่ถูกจริต
“ถ้าพี่ภพชอบทานข้าวที่นี่ เกรซจะบอกคุณพ่อให้เปลี่ยนร้านอาหารในนี้ใหม่เอาอาหารที่ดีกว่านี้ หรูกว่านี้ อร่อยกว่านี้สักสิบเท่า”
“โรงอาหารไม่ใช่ของพี่คนเดียวนะเกรซ มันเป็นของส่วนรวม ถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเพื่อพนักงานทุกคนเถอะ แต่อาหารที่นี่ก็ดีอยู่แล้วนะ”
ธีภพเริ่มตักข้าวเข้าปาก กรนันท์ขัดตา ท่าทีเซ็งๆ จนหันไปเห็นพริริสาเดินผ่านมาพอดี
“นี่ เธอ…เธอ...”
พริริสาหันมามองนิ่งๆ กรนันท์มองจ้อง ชักหงุดหงิด
“เธอนั่นละ ยืนบื้ออยู่นั่น มานี่ซิ”
พริริสาวางหน้าเรียบเฉย เดินช้าๆ เข้ามาหา ธีภพมองพริริสานิ่งๆ
“ชั้นชื่อริสาค่ะ”
กรนันท์แหวใส่ “ชั้นไม่ได้ถาม”
“แต่ชั้นอยากบอกค่ะ เพราะถ้าคุณเรียก นี่ นี่ แล้วชั้นไม่หัน จะมาว่ากันไม่ได้นะคะ”
“ชั้นไม่ได้เรียกเธอให้มาต่อปากต่อคำกับชั้น ไปซื้อน้ำส้มมาให้ชั้นซิ”
คราวนี้ทั้งโรซี่ ชนิตา บุษกร หันมามองหน้ากัน พริริสามองกรนันท์นิ่งขึงไม่ยอมขยับ กรนันท์เห็นพริริสายืนนิ่ง ก็ลุกขึ้น เริ่มอาละวาด
“ไม่ได้ยินที่ชั้นสั่งเหรอไง ไปเอาน้ำส้มมาให้ชั้นกับพี่ภพ”
พริริสายังยืนนิ่ง พนักงานในโรงอาหารมองอย่างสนใจ โรซี่ ชนิตา บุษกร ลุ้นกันว่าจะมีตบเหมือนในละครช่อง 3 ไหม พริริสามองหน้ากรนันท์นิ่งไม่พูดไม่ตอบใดๆ กรนันท์โมโหธีภพเห็นท่าไม่ดี จึงขยับลุกขึ้น
“เกรซ”
เสียงศจีดังเข้ามา “คุณภพคะ”
กรนันท์ กับ ธีภพ หันไปมอง เห็นศจีเดินเข้ามาหา
“คุณสุริยาขอเข้าพบตอนบ่ายโมงตรงนะคะ”
“ครับ”
ศจีหันมาทางพริริสา “ริสา กินข้าวเสร็จแล้วใช่มั้ย ไปช่วยชั้นเตรียมเอกสารหน่อย”
“ค่ะ”
“ศจีขอตัวก่อนนะคะ รับประทานกันตามสบายนะคะ ไป๊ ริสา”
ศจีรีบเดินนำพริริสาออกไป ธีภพหันมาทางกรนันท์
“พี่ไปเอาให้เอง”
ธีภพเดินไป กรนันท์มองตามพริริสาไปตาเขียวปั้ด ไม่พอใจเอามากๆ
“นึกว่าจะมีฉากเด็ดๆให้ดู แหม.....”
โรซี่มองหน้า บุษกร ชนิตา สามขาเม้าท์ถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียดายฉากเด็ด
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงนรี ตอนที่ 2 (ต่อ)
เมื่อกลับถึงบ้าน คณินนำเอาเอกสารซึ่งธีภพฝากพริริสามาให้ออกมาอ่านรายละเอียด สีหน้าค่อยๆ เครียดเคร่ง ท่าทีอึดอัด ยุ่งยากใจมากขึ้นเป็นลำดับ ดร.กฤษเดินเข้ามาเห็นสีหน้านั้นของลูกชายจึงถามขึ้น
“มีปัญหาใหม่ที่บริษัทอีกหรือไง”
“เป็นแนวทางแก้ปัญหาน่ะครับ”
“ก็ดีนี่ ของใครเสนอมา”
“ธีภพครับ”
กฤษหยิบเอกสารมาพลิกดูเปิดอ่าน
“ก็เป็นแนวทางที่ดี”
คณินอึดอัดอยู่ดี ด้วยไม่อยากเสียหน้า “แล้วผมต้องทำตามที่เด็กนั่นเสนอทุกอย่างเหรอครับ”
“ถ้าเราไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ไม่ยอมรับฟังข้อเสนอของคนอื่น เพราะกลัวเสียหน้า เราก็คงผ่านวิกฤตไปไม่ได้หรอกนะคณิน ยอมรับความจริงเถอะว่าเราต้องพึ่งเขา”
คณินนิ่งคิดตามคำพูดบิดา ทว่ายังมีทิฐิในใจอยู่
วันต่อมา คณินเดินตรวจดูความเรียบร้อยของโชว์รูมเพชรในห้างหรูพร้อมกับธีภพ มีผู้จัดการเดินประกบคอยดูแล มีลูกค้าแวะมาดูสินค้าบางตา
“อาอ่านรายงานที่ธีเสนอมาแล้ว หลายอย่างคงทำได้ยากในเวลานี้”
“เราเริ่มจากเรื่องทำได้ก่อนก็ได้ครับ อย่างเรื่องยอดขายที่ตกไปมาก กับการระบายสต๊อกที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ผมอยากให้มีจัดการประมูลสินค้าพวกนั้น”
คณินฉุนกึก “ไม่ได้ บูรพเกียรติเราเป็นบริษัทใหญ่ สินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพ จะให้เอาของมีตำหนิออกมาขาย ก็เท่ากับทำให้เราเสียชื่อสิ ที่สำคัญคนจะมองบริษัทอายังไง ว่าตกอับถึงขนาดต้องขายของพวกนี้กินงั้นเหรอ วิธีนี้อาไม่เห็นด้วย”
ดูท่าคณินไม่ชอบใจวิธีที่ธีภพเสนอมากเอาการ เดินเลี่ยงออกไปเลย ผู้จัดการมีสีหน้าเจื่อนๆ รีบเดินตามคณินไป ธีภพได้แต่ถอนใจที่คณินเหมือนไม่ให้ความร่วมมือในการเสนอทางแก้ปัญหาของตนเลย
ระหว่างนี้ลูกน้องคนสนิทของราห์มานเดินถือกระเป๋าใส่เงินออกมาจากด้านใน มีพนักงานเดินตามมาส่ง ธีภพมองตามอย่างสนใจ
“ผู้จัดการฝากบอกว่ายินดีรับซื้อเพชรจากไทรจีสของคุณอีกนะคะ ถ้าคุณมีมาเพิ่ม” พนักงานว่า
“แล้วผมจะติดต่อมาก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
ธีภพสะดุดหูกับคำว่า “ไทรจีส” ยืนมองอย่างสนใจ รอจนพนักงานเดินตรงมาทางเขา ธีภพจึงถามขึ้น
“เขาเป็นใคร”
“เขาเอาเพชรจากไทรจีสมาขายให้กับเราค่ะ เพชรน้ำงามทุกเม็ดเลยนะคะ เขาขอรับค่าเพชรเป็นเงินสดอย่างเดียว ท่านประธานก็เลยให้เขามารับที่นี่ค่ะ”
ธีภพพยักหน้ารับเอาคำ
ลูกน้องราห์มานนำกระเป๋าใส่เงินมาให้ราห์มานที่บ้านพัก
“เงินจากการขายเพชรครับ”
“แล้วเรื่องผู้หญิงที่ว่าเหมือนเจ้าหญิงพริริสาสืบไปถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่มีอะไรชัดเจนครับ แต่ถ้าเป็นเจ้าหญิงจริง ทำไมถึงต้องเข้าไปทำงานเป็นพนักงานที่บริษัทบูรพเกียรตินั่นด้วย”
“จะเพราะอะไรก็ช่าง แต่ถ้าเป็นพริริสาจริงก็ถือว่าเป็นโอกาสงามของเราทีเดียว ตามสืบต่อไป”
“ครับ ท่านราห์มาน”
ลูกน้องราห์มานโค้งคำนับรับเอาคำสั่ง
อีกฟากศจีกำลังหัวฟู ยุ่งเหยิงอยู่กับการพิมพ์จดหมายและรายงาน พริริสาเพิ่งคุยโทรศัพท์กับแผนกอื่นเสร็จ พอวางสายก็รีบหันมาหาศจี
“พี่ศจีคะ แผนกดีไซน์ขอสรุปเรื่องงบจากท่านประธานค่ะ”
ศจีกำลังมึน “สรุปเรื่องงบ” แล้วตั้งสติจนนึกได้ “ตายแล้ว พี่ยังไม่ได้เอาเรื่องให้ท่านประธานเลย”
“เขาจะขอเรื่องภายในพรุ่งนี้ค่ะ”
“วันนี้ท่านประธานก็ไม่เข้ามาแล้วด้วย ทำยังไงดีล่ะเนี่ย” ศจีโอดครวญชะตาชีวิต “จดหมายอีกล้านแปดพี่ก็ยังไม่ได้พิมพ์เลย”
ศจีทำหน้าเบ้ อยากจะร้องไห้ พริริสาเห็นโอกาสที่จะได้ไปบ้านบูรพเกียรติจึงรีบเสนอตัว
“งั้นให้ริสาเอาไปให้ท่านประธานที่บ้านดีไหมคะ”
ศจีไม่คิดอะไร ยิ้มร่าดีใจที่พริริสาเสนอตัว
“น่ารักที่สุดเลย...เกรงใจนะ แต่เดี๋ยวพี่เขียนที่อยู่ให้”
ศจีรีบหยิบกระดาษมาจดที่อยู่บ้านคณินให้พริริสา
รถแท็กซี่มาจอดที่หน้ารั้วบ้านบูรพเกียรติ พริริสาบอกคนขับว่า
“อยู่รอก่อนนะคะ ฉันเข้าไปไม่นาน”
พริริสาลงรถ เหลียวมองเข้าไปในบ้านผู้เป็นบิดาเต็มตาเป็นครั้งแรกในชีวิต อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ไม่นานนับจากนี้เธอจะต้องเผชิญหน้ากับคนในครอบครัวบูรพเกียรติ ที่เธอโกรธเกลียดตลอด 17 ปี มานี้
ดร.กฤษ คุณหญิงจินตนา และ กานดา นั่งพักผ่อนกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น คุณหญิงกับลูกสะใภ้เอาโฉนดที่ดิน ที่มีคนนำมาเสนอขายให้กฤษ ออกมาเลือกดู
“ที่ตรงนี้สวยมากเลยนะคะคุณพ่อ เจ้าของเขาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ก็เลยเอามาเสนอขายให้คุณแม่”
จินตนาหันมาทางสามี “50 ล้าน ฉันว่าไม่แพงเลยนะคุณ”
กฤษได้แต่มองภรรยาและลูกสะใภ้อย่างปลงๆ ที่ช่างไม่รู้สถานการณ์ครอบครัวตอนนี้บ้างเลย สาวใช้เดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ผู้ช่วยเลขาคุณคณินมาขอพบค่ะ”
จินตนาฉงน “ผู้ช่วยเลขา มาทำไม”
ครู่ต่อมาพริริสายืนถือแฟ้มเอกสารรออยู่ที่โถงทางเดิน เธอถือโอกาสนี้มองสำรวจในคฤหาสน์ แลเห็นกรอบรูปที่วางประดับอยู่บนชั้นวาง หลังตู้โชว์ และประดับอยู่บนผนังจุดนำสายตาในบ้าน ล้วนเป็นรูปภาพครอบครัวบูรพเกียรติอันแสนอบอุ่น ทุกคนยิ้มแย้มดูมีความสุข
พริริสาเรียกความเข้มแข็งให้ตัวเอง เมื่อมองรูปเหล่านั้น แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ที่เห็นคนที่ทำร้ายตนกับแม่อยู่ดีมีความสุขล้น
ไม่นานนัก กานดาและจินตนาเดินออกมาพร้อมคนใช้ สองคนเห็นผู้ช่วยเลขาที่ชื่อริสาชัดๆ ก็ยิ่งไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น พริริสายกมือไหว้คนเป็นย่าตามมารยาท
“เธอมาที่นี่ทำไม” จินตนามองเขม่น ดูหมิ่น และตั้งแง่
“ดิฉันเอาเอกสารมาให้ท่านประธานค่ะ”
“แค่เอาเอกสารมาให้ ฝากคนใช้ที่หน้าประตูรั้วก็ได้มั้ง เธอไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องเข้ามาถึงในบ้านฉันแบบนี้ ไม่มีใครบอกเรื่องมารยาทบ้างหรือไง”
พร้อมกับว่ากานดามองพริริสาอย่างไม่เป็นมิตร สายตาหยามเหยียด นั่นทำให้พริริสานึกถึงวันที่ถูกกานดาทำร้าย ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันควัน วินาทีนั้นกานดาชะงักไปเล็กน้อย สะดุดกับสายตาไม่เกรงกลัวที่ส่งกลับมาให้ตน
“ดิฉันเพิ่งทราบว่าบ้านหลังนี้เป็นเขตหวงห้าม”
“ใช่เพราะบ้านบูรพเกียรติไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครนึกอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ โดยเฉพาะพนักงานระดับล่างอย่างเธอ” กานดาตอกกลับ
“พนักงานระดับล่างอย่างดิฉันแค่กลัวเอกสารสำคัญจะไม่ถึงมือท่านประธานเท่านั้นล่ะค่ะ เลยอยากฝากให้คนที่คิดว่าจะมอบให้ถึงมือท่านประธานได้จริงๆ”
พริริสาจงใจยื่นแฟ้มเอกสารไปตรงหน้ากานดาเพื่อให้กานดารับ ทว่ากานดาปลายตาให้สาวใช้เชิงสั่ง สาวใช้เข้าไปรับแฟ้มแต่พริริสาดึงหนีไม่ยอมให้ ต้องการให้กานดามารับจากมือตนเองให้ได้
“ดิฉันอยากให้ถึงมือท่านประธานจริงๆ ค่ะ ถ้าเป็นคนอื่น ดิฉันไม่มั่นใจ”
ระหว่างการยื้อยุดนั้น กานดาแลเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือพริริสาก็ชะงักไป
จินตนาหงุดหงิด “ต้องให้คนเป็นแม่ท่านประธานอย่างฉันคลานเข่าเข้าไปรับเลยไหมหล่อนจะได้มั่นใจ”
พริริสาตีหน้าซื่อ ตาใส “ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณหญิงหรือคุณกานดารับไปจากมือดิฉัน ดิฉันก็มั่นใจแล้วล่ะค่ะ”
จินตนาโกรธจัดที่หญิงสาวตรงหน้า ต่อคำ และ เล่นลิ้นไม่เลิก
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฉันไม่คิดเลยว่าคณินจะไม่มีตาเลือกพนักงานไร้มารยาทอย่างเธอเข้ามาทำงาน พรุ่งนี้เตรียมหางานใหม่ได้เลย”
กฤษตามออกมาดูพูดปราม “อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่นักเลยคุณหญิง แค่พนักงานเอาเอกสารมาให้ ก็จะไล่ออก ใครรู้เข้าเขาจะหาว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
พร้อมกับว่า ชายชราเดินเข้ามารับเอกสารนั้นเอาไว้เอง
“ฉันรับไว้ให้เอง หมดเรื่องแล้วนะ”
พริริสาเห็นกฤษเป็นคนออกมารับแฟ้มไว้ และยิ้มให้อย่างเป็นมิตรจึงยอมอ่อนลง
“ขอบคุณค่ะ หมดธุระแล้วดิฉันขอตัวก่อนค่ะ”
พริริสายกมือไหว้ลา กฤษ และ จินตนา โดยไม่ไหว้กานดา แล้วหันหลังกลับเดินคอตั้งออกไป
จินตนาและกานดาแทบกระอัก มองตามแผ่นหลังไปอย่างขุ่นเคืองใจ ต่างจากดร.กฤษที่รับรู้ถึงสายใยบางๆ ที่มีต่อสาวสวยตาคมคราวหลาน ที่พบพานกันเป็นครั้งแรก
พริริสาเดินออกมาหน้าตึกตรงไปยังประตู กฤษตัดสินใจเดินตามออกมาเรียกไว้
“เดี๋ยวหนู”
พริริสาหยุด หันมาหา “คะ”
“ฉันว่าหนูก็น่าจะรุ่นๆ เดียวกับหลานของฉัน อย่าหาว่าคนแก่สอนเลยนะ เวลาอยู่กับผู้ใหญ่ หนูควรจะอ่อนน้อมเข้าไว้ มันจะน่าเอ็นดูกว่า”
“แล้วถ้ากับผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยน่านับถือสักเท่าไหร่ล่ะคะ”
ถูกหญิงสาวย้อนแย้ง กฤษหัวเราะ เอ็นดูมากกว่าจะถือสาว่าเป็นคำพูดก้าวร้าว
“ก็คิดเสียว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของเราอีกคน อย่าไปถือสาเขาสิ”
กานดาและจินตนาตามออกมาดู พากันไม่พอใจที่เห็นดร.กฤษไปญาติดีกับพริริสา
พริริสายกมือไหว้ “หนูจะเก็บไปคิดดูค่ะ”
จากนั้นพริริสาก็หันตัวเดินออกไป ไม่สนใจให้ราคาสายตาของจินตนาและกานดาที่จ้องมายังตนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“จะไปพูดดีกับมันทำไม คุณก็เห็นนังเด็กนั่นไร้มารยาทแค่ไหน แค่แฟ้มเอกสาร ต้องให้ไปรับกับมือมันเอง เป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหน”
“แถมสายตาที่เด็กนั่นมองดากับคุณแม่อย่างกับเราเคยไปทำอะไรมันไว้”
กานดานึกถึงรอยแผลเป็นที่ข้อมือพริริสาเมื่อครู่ แล้วจู่ๆ ภาพลูกสาวของพีรดาที่ถูกตนพลั้งมือทำร้ายผลุดเข้ามาในหัว
พีรดากอดพริริสาแน่นใบหน้านองน้ำตา เด็กหญิงพริริสาจ้องมองกานดาที่ยิ้มเยาะอย่างเลือดเย็นมาให้ ด้วยความโกรธเกลียดคนใจร้าย ประสาเด็ก
“แล้วเคยไปทำอะไรเขาไว้หรือเปล่าล่ะ” กฤษพูดสัพยอก
กานดาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ “ดากับคุณแม่จะไปทำอะไรใครได้คะ”
ปากบอกอย่างนั้น แต่กานดาก็ชักเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ กับอดีตชั่วๆ ที่ทำเอาไว้
จินตนายังโมโหพริริสาอยู่ “เห็นทีฉันต้องพูดกับคณิน เรื่องนังเด็กนี่บ้างแล้ว”
“อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปให้คณินปวดหัวนักเลยคุณหญิง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยไปบ้างเถอะ”
คุณหญิงจินตนาได้แต่ฮึดฮัดขัดใจที่ถูกสามีห้ามปราม หันไปมองกานดาเหมือนไม่มีวันยอม
ที่โรงพยาบาลในไทรจีส คามินเข็นรถเข็นให้พีรดาซึ่งยังคงปิดตาอยู่ มีองครักษ์ไคซัจและหญิงรับใช้เดินตาม
“ไคซัจก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ แม่แค่รู้สึกเคืองตา ไม่เห็นต้องมาถึงโรงพยาบาลเลย” พีรดาว่า
“ดีแล้วล่ะครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็ควรจะให้หมอดูไว้ก่อน”
“จริงสิ ริสาติดต่อกลับมาบ้างหรือเปล่าคามิน”
คามินนึกขึ้นได้ เพราะยุ่งกับงานจนลืมเรื่องพริริสาไปเลย
“ผมก็โทร.ไปหาน้องนะครับ”
“คงเที่ยวเล่นสนุกเพลินอยู่แน่ๆ ถึงได้ไม่โทร.กลับมาหาแม่บ้างเลย”
“เพราะเจ้าหญิงเห็นว่าเจ้าชายคามินดูแลพระชายาอย่างดี เลยวางใจพะยะค่ะ” ไคซัจบอก
“เธอก็ช่างพูดเข้าข้างลูกสาวฉันเหลือเกินไคซัจ”
คามินหันไปหาหญิงรับใช้ให้มาเข็นรถต่อ
รอจนพีรดาพ้นตัวไปคามินจึงเอ่ยขึ้น
“ริสาหายเงียบไป ไม่ยอมโทร.กลับมา ต้องแอบไปทำอะไรไม่ยอมบอกเรา”
“ที่สำคัญเจ้าหญิงคงไม่ได้อยู่ที่อเมริกาแน่ๆ”
“ฉันก็คิดแบบนั้น ไคซัจนายไปไปสืบทีว่าตอนนี้ริสาอยู่ที่ไหน”
ไคซัจโค้งรับเอาคำสั่งองค์ชาย
ฝ่ายพริริสานั่งซึมอยู่ในรถแท็กซี่ ความเข้มแข็งที่เผชิญหน้ากับครอบครัวของพ่อแท้ๆ หมดไป เหลือเพียงความอ่อนแอในใจ รถแท็กซี่แล่นผ่านซอยเข้าบ้านที่พริริสาเคยอยู่กับแม่สมัยเด็กๆ
“ช่วยจอดแถวนี้ด้วยค่ะ”
พริริสาจ่ายเงินให้แท็กซี่ ก้าวลงจากรถมองไปรอบๆ พบว่าสถานที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน
บังเอิญเหลือเกินที่รถธีภพแล่นผ่านมา เขาเห็นพริริสาเดินเข้าไปในซอยนั้นพอดี
“ริสานี่”
ธีภพตัดสินใจเลี้ยวหาที่จอดรถแถวนั้น
พริริสาก้าวเดินมาตามทาง จนมาถึงหน้าบ้านเช่าที่เคยอาศัยอยู่ในตอนเด็กกับแม่ ภาพอดีตปรากฏขึ้นในรอยจำ
พีรดาจูงแขนพริริสาในชุดนักเรียนกลับมาที่หน้าบ้านเช่า เด็กเกเรแถวนั้นวิ่งผ่านมาเห็นพริริสาก็พากันตะโกนล้อ
“ลูกไม่มีพ่อๆๆ”
พริริสาโกรธ หยิบกิ่งไม้แถวนั้นปาใส่อย่างไม่กลัว
“นี่แน่ะ”
พีรดารีบห้าม “ไม่เอาริสา อย่าไปทำเขาลูก”
พวกเด็กๆ พากันวิ่งหนีไป แต่ก็ยังตะโกนล้อไม่เลิก
“ลูกไม่มีพ่อๆๆ”
พริริสาตะโกนไล่หลังไป
“พวกนิสัยไม่ดี”
เสียงโครมครามดังมาจากในบ้าน ปลุกพริริสาให้หลุดจากอดีต เธอต้องสะดุ้งเมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ ถูกโยนออกมาที่หน้าบ้าน ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่
หญิงวัยกลางคนคราวเจ๊ เจ้าของบ้านเช่าท่าทางปากร้าย และนักเลงลูกน้องที่มาด้วยกัน ลากแม่ลูกน้อยเด็กหญิงวัยประมาณ 6 ขวบ ออกมาที่หน้าบ้าน
“ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าก็ออกไป ที่นี่บ้านเช่าไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ฉันกินข้าวไม่ได้อิ่มทิพย์ จะได้ให้คนมาเช่าบ้านเพื่อเอาบุญ”
“ขอเวลาอีกสองสามวันเถอะนะจ้ะ ฉันกำลังจะได้งานใหม่ ฉันจะเบิกเงินล่วงหน้ามาจ่ายค่าเช่าบ้านให้”
“สองสามวันมากี่รอบแล้วยะ ฉันไม่เชื่อหล่อนแล้ว ไปให้พ้นเลย”
เจ๊เจ้าของบ้านผลักคนเป็นแม่ เด็กหญิงเข้ามาผลักเจ้าของบ้านกลับช่วยแม่
“อย่าทำแม่หนูนะ”
“นังเด็กไม่มีพ่อ กล้าผลักฉันเหรอ ไอ้ยอดจัดการทั้งแม่ทั้งลูกเลย”
นักเลงเงื้อมือจะทำตบตีร้ายผู้เป็นแม่ เด็กน้อยเข้าไปกอดแม่ไว้ด้วยความกลัว
พริริสาสุดทน ตะโกนห้ามขึ้น “หยุดนะ ทำร้ายผู้หญิงกับเด็กไม่มีทางสู้ เป็นคนรึเปล่าเนี่ย”
หญิงเจ้าของบ้านโกรธ “ต๊าย หล่อนเป็นใคร มาสาระแนเรื่องคนอื่นเขาทำไมยะ” หันมาสั่งนักเลงลูกน้อง “สั่งสอนมันหน่อยซิในฐานะที่จุ้นจ้านนัก”
“ได้เลยเจ๊”
นักเลงเงื้อมือจะเข้าไปทำร้ายพริริสาอีกคน
ธีภพเดินตามมาเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจะเข้าไปช่วย แต่ต้องชะงักเมื่อพริริสาควักเงินในกระเป๋าออกมาจำนวนมากพอประมาณ นักเลงตาโตชะงักมือแทบไม่ทัน
“เจ๊”
“พอสำหรับค่าเช่าบ้านหรือเปล่า”
เจ๊เจ้าของบ้านเช่ารีบเปลี่ยนท่าที พูดจาอ่อนหวาน เข้ามาคว้าเงินไปนับทันที
“อุ๊ยตาย จะมาจ่ายค่าเช่าให้ก็ไม่บอกกันก่อน พอจ้ะพอ” พลางนับเงินไปด้วย “อยู่ได้อีกสองสามเดือนเลย จุ้นจ้านแบบนี้ ชั้นยินดีจ๊ะ ไป..ไอ้ยอดกลับ ตามสบายนะคะคุณ
เจ๊เจ้าของบ้านได้เงินก็พานักเลงออกไปอย่างอารมณ์ดี แม่และเด็กยกมือไหว้ขอบคุณพริริสาปลกๆ
“ขอบคุณมากค่ะคุณที่ช่วยเราสองแม่ลูกไว้”
พริริสาหยิบเงินอีกจำนวนหนึ่งส่งให้
“เก็บไว้ใช้จนกว่าเงินเดือนจะออกนะ”
ผู้เป็นแม่รับไว้อย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ เออ ทำไมคุณถึงช่วยเราสองคนแม่ลูกล่ะค่ะ”
“ก็พี่สาวเค้าเป็นเจ้าหญิงไงแม่ เจ้าหญิงใจดีชอบช่วยคน ใช่มั้ยคะ”
เด็กหญิงหันมาถามหน้าซื่อตาใสแป๋ว พริริสาลูบผมเด็กหญิงอย่างอ่อนโยนเพียงยิ้มให้ ไม่ตอบอะไร
แม่และเด็กหญิงพากันไปเก็บของที่เกลื่อนกลาดพื้นเข้าบ้าน
ธีภพที่ยืนดูเหตุการณ์ตลอด ตัดสินใจเดินเข้ามาหาพริริสา เรียกขึ้นว่า
“เจ้าหญิง”
พริริสาสะดุ้ง หันไปเห็นธีภพก็ยิ่งตกใจ อีกฝ่ายยิ้มยั่ว พูดล้อ
“ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณเป็นพวกแม่พระ ไม่สิเจ้าหญิง” เขายังแกล้งโค้งให้อีก “ที่ชอบออกมา
ตระเวนช่วยคนที่กำลังตกยาก”
พริริสาค้อนตาคว่ำ ทำหน้าเครียดใส่ธีภพ
พริริสาเดินหนีธีภพมาอีกด้านในซอย ธีภพเดินตาม
“นี่คุณจะตามฉันมาทำไม”
“ถนนเส้นนี้ มันถนนสาธารณะ ใครจะเดินไปเดินมาก็ได้นี่คุณ”
“แล้วคนอย่างคุณจะมาเดินแถวนี้ทำไม ไม่ทราบ”
“ทีคุณยังมาได้ แล้วทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะ”
พริริสาหงุดหงิด คร้านจะต่อปากต่อคำกับธีภพ เลยจะเดินหนี ธีภพดึงแขนไว้ให้หันมา
“อาคณินให้เงินเดือนคุณเยอะมากหรือไง ถึงเอามาช่วยใครต่อใครได้ขนาดนี้”
พริริสามองธีภพตาวาววับอย่างไม่พอใจขึ้นมาอีก ธีภพจึงปล่อยมือ
“ฉันพูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไมผมจะไม่เข้าใจ”
“ดูก็รู้ว่าคนอย่างคุณเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพร้อมทุกอย่าง”
ธีภพไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
“คนโลกสวยอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำหรอก ต่อให้ใช้เงินมากมายแค่ไหน มันก็ชดเชยความรู้สึกที่เคยถูกทำร้ายไม่ได้ หัวใจที่มีบาดแผล ต่อให้หายดีแล้ว แต่แผลเป็นก็ยังอยู่”
พร้อมกับว่าพริริสาเผลอลูบแผลที่ข้อมือ ธีภพจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือพริริสามีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่ ไม่เท่านั้นเขายังรับรู้ได้ว่าพริริสาพูดแทนความรู้สึกตัวเอง จากบาดแผลในใจสมัยเป็นเด็ก
“ตอนเด็กๆ คุณคงน่าสงสารมากสินะ”
พริริสารู้ตัวว่าเผลอพูดความรู้สึกในใจมากเกินไป
“ไม่เกี่ยวกับคุณ”
พริริสาชักสีหน้าใส่ธีภพ ก่อนสะบัดตัวเดินหนีไป
“ให้ผมไปส่งไหม”
“ฉันกลับเองได้”
พริริสาเดินหนีไม่สนใจธีภพ
พริริสาเดินมาขึ้นแท็กซี่ที่หน้าปากซอยเร่งให้รถออกตัวไปทันที ธีภพขึ้นรถของตนขับตามไป
รถแท็กซี่แล่นมาตามทาง มีรถของธีภพขับตามมาห่างๆ พริริสานั่งอยู่ในรถแท็กซี่เพื่อกลับที่พัก ไม่รู้ว่าธีภพตามตัวเองมา คนขับแท็กซี่รู้สึกแปลกใจที่มีรถขับตามมา ตัดสินใจถามพริริสา
“คุณมีปัญหาอะไรกับแฟนหรือเปล่า”
พริริสางง “แฟน”
“ผมเห็นเขาขับตามมาตั้งแต่คุณขึ้นรถผมแล้ว รถเบนซ์สีดำ ใช่รถแฟนคุณหรือเปล่า”
พริริสารีบหันไปมองด้านหลัง เห็นรถธีภพขับตามมาห่างๆ ก็เดาออกว่าธีภพตามตัวเองมา หญิงสาวเม้มปากเป็นเส้นตรง จนสายตาแลเห็นสถานีรถไฟฟ้าอยู่ข้างหน้า
“งั้นจอดตรงข้างหน้าเลยค่ะ”
พริริสาลงจากแท็กซี่ เดินหนีขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้าโดยไว ธีภพจอดรถตามได้แต่มองพริริสาเดินหายไปบนสถานีรถไฟฟ้าอย่างขัดใจ
“รู้ตัวจนได้ ริสาคุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
การณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้ธีภพสงสัยในตัวพริริสามากกว่าเดิม เสียงโทรศัพท์มือถือธีภพดังขึ้น เขากดรับสายเมื่อเห็นชื่อมารดาโทร.เข้า
“คุณแม่”
อีกฟากหนึ่ง มิราในท่าทางร้อนรุ่มใจคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ห้าง หลังมาติดต่อสอบถามเรื่องกระเป๋าที่หายไปในแผนกเสื้อผ้าวันก่อน
“ไม่มีใครเอากระเป๋ามาฝากไว้เลยครับ”
บังเอิญนักที่ผู้กองอธิรุธถือกระเป๋าผ้าของมิราเดินเข้ามาจากอีกด้าน ตั้งใจจะเอามาคืน พอเห็นมิราก็ชะงัก หลบมุมแถวนั้นแอบฟัง
“ขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดวันนั้นได้ไหมคะ”
“ได้ครับ แต่คุณต้องไปแจ้งความก่อน”
“แต่ฉันมั่นใจว่าผู้ชายคนที่พรวดพราดเข้าไปในห้องลองเสื้อต้องเป็นคนขโมยกระเป๋าฉันไปแน่ๆทั้งพฤติกรรมทั้ง หน้าตาก็ไม่น่าไว้ใจ”
อธิรุธฟังแล้วนึกโมโห บ่นบ้ากับตัวเอง “หน็อย จากตำรวจกลายเป็นหัวขโมยไปแล้วเรา”
ผู้กองหนุ่มมองกระเป๋าถือในมือ คุมแค้นในใจ อย่าเอาคืนเลยแม่คุณ อธิรุธยัดกระเป๋าเข้าเสื้อแจ็กเก็ต หันหลังกลับ โชคซวยที่มิราหันมาเห็นพอดี รีบกระโจนขวางหน้าอธิรุธเอาไว้
“นายหยุดนะ เอากระเป๋าฉันคืนมา”
อธิรุธตีมึนใส่ “พูดเรื่องอะไรเหรอครับ”
เจ้าหน้าที่ตกใจรีบเข้ามาเคลียร์
“มีอะไรให้ช่วยครับ”
“ผมเป็นพลเมืองดีเก็บของได้ ก็เลยจะเอามาฝากคืนให้เจ้าของ” อธิรุธบอกตาใส
มิราหูผึ่งนึกว่าเป็นกระเป๋าตัวเอง
“กระเป๋าชั้นรึเปล่า”
อธิรุธล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบแบงก์ยี่สิบออกมาซะงั้น
“ผมเก็บเงินได้ ตรงแถวๆ บันไดเลื่อน คนดีอย่างผม เลยเอามาฝากคืน ไม่ชอบให้ใครมาว่าเป็นขโมยซะด้วยสิ” พร้อมกับว่าอธิรุธหันมามองมิราอย่างกวนๆ
เจ้าหน้าที่รับแบงก์ยี่สิบมางงๆ มิราหน้าเจื่อนๆ ที่ไปว่าอธิรุธเป็นหัวขโมย
มิราเดินตามอธิรุธที่เดินหนีมา และวิ่งมาขวางหน้าไว้
“เดี๋ยวสิ คุณไม่เห็นกระเป๋าฉันจริงๆ เหรอ”
อธิรุธเห็นท่าทางมิราร้อนใจขนาดนี้ ก็นึกอยากจะแกล้งขึ้นมาอีก เพื่อเอาคืน
“จะว่าไปก็คุ้นๆ อยู่นะ ใช่กระเป๋าผ้าใบเล็กๆ หรือเปล่า”
มิราดีใจ “ใช่”
“แต่จำไม่ได้แฮะว่าเห็นที่ไหน” อธิรุธทำเป็นลูบท้องยิ้มเจ้าเล่ห์ “เขาว่าคนท้องว่างสมองมักจะไม่ค่อยแล่นคุณเคยได้ยินไหม”
มิรามองค้อนอธิรุธอย่างเคืองๆ รู้ทันว่าเขาจะให้เธอเลี้ยงข้าว แต่ก็ต้องจำยอมเพราะเป็นเบาะแสเดียวที่มี
สองคนอยู่ในร้านอาหารของห้าง อธิรุธมองอาหารบนโต๊ะ หลายจานดูน่ากิน แกล้งทำเป็นเกรงใจ
“นี่คุณจะเลี้ยงผมจริงๆ เหรอ อย่าดีกว่าผมเกรงใจ”
“แค่คุณจำให้ได้ว่าเห็นกระเป๋าฉันที่ไหน จะกินสัก 10 จานฉันก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอก”
“ท่าทางคุณนี่จะรวยมากเลยนะ งั้นผมไม่เกรงใจล่ะ” อธิรุธเริ่มลงมือกิน แล้วแกล้งถาม “ในกระเป๋านั่นมีของสำคัญนักหรือไง”
“พาสปอร์ตฉันอยู่ในนั้น”
“พาสปอร์ต” อธิรุธแกล้งถามอีก “คุณมาจากไหนเหรอ แล้วคุณมาทำอะไรที่...”
มิรารำคาญใช้ส้อมจิ้มของกินยัดปิดปากอธิรุธ
“ไม่ต้องถามมาก รีบกินให้อิ่มแล้วนึกให้ออกว่ากระเป๋าฉันอยู่ไหน พอ”
อธิรุธเห็นมิราไม่ยอมตอบแน่ ก็เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่พูดอะไรอีก
อธิรุธอิ่มแปล้ กินอาหารทุกจานบนโต๊ะจนเกลี้ยง
“อิ่มแล้ว ก็บอกมาสักที”
“บอกอะไร”
“ก็กระเป๋าฉันไง”
“อ๋อ” อธิรุธยิ้มเยาะ “ผมจำไม่ได้หรอกคุณ”
มิราตบโต๊ะปัง “นี่นาย”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่เลี้ยงข้าวผม ถือว่าชดใช้ที่คุณผลักผมแล้วผมต้องเก็บเสื้อผ้าก็แล้วกัน”
พร้อมกับว่าอธิรุธยักคิ้ว แถมยิ้มกวนให้มิรา ก่อนลุกเดินออกไปหน้าตาเฉยบอกพนักงานข้างๆ
“น้องๆ เก็บตังค์กับคนนี้เลยนะ”
มิราลุกพรวดโกรธสุดขีด “คนบ้า นี่หลอกฉันเหรอ”
มิราจะตามไป แต่พนักงานเสิร์ฟเดินมาพร้อมบิลค่าอาหาร
“บิลค่าอาหารครับ”
มิราเจ็บใจที่โดนอธิรุธหลอก หยิบบัตรเครดิตกระแทกลงบนถาดวางบิลอย่างโมโห จนพนักงานสะดุ้ง
อ่านต่อตอนต่อไป
เพลิงนรี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ฝ่ายธีภพมารับวิวรรณที่สมาคมสตรีตามที่นัดหมายตอนคุยโทรศัพท์ เจอกรนันท์ปรี่เข้ามาหาธีภพก่อนใคร
“พี่ภพ”
พอเห็นวิวรรณและกานดาเดินตามเข้ามาด้วยกัน ธีภพก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมารดาต้องให้มารับ ยกมือไหว้กานดา
“มารับคุณแม่เหรอจ๊ะ” กานดารับไหว้ ทักตอบ
“ครับ”
ธีภพมองวิวรรณอย่างรู้ทัน แต่วิวรรณทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ลูกชายวินี่น่ารักจริงๆ เลยนะคะ”
“หนูเกรซก็น่ารักพอกันล่ะค่ะมาช่วยงานสมาคมตลอด สวยแล้วยังจิตใจดีอีก”
กรนันท์ยิ้มปลื้มที่ถูกชม
“ยัยเกรซก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ชอบช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่ามาตั้งแต่เด็กๆ งานบุญงานกุศลขอให้บอกค่ะ”
ธีภพสะดุดหู เหมือนคิดอะไรออก
“จะว่าไปบูรพเกียรติก็ไม่ได้จัดงานใหญ่มานานแล้วนะครับ”
“พวกงานเลี้ยงสังสรรค์เหรอคะ งานวันเกิดเกรซ คุณย่า นี่จัดทุกปีอยู่แล้วนะคะ จัดงานใหญ่เชียวล่ะค่ะ”
ธีภพยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่หมายถึงงานของบริษัทน่ะเกรซ งานการกุศล”
ทุกคนมองธีภพอย่างแปลกใจ
“ผมจะอธิบายรายละเอียดงานที่คิดไว้ให้คุณอากับเกรซฟัง ตอนเราทานข้าวดีไหมครับ”
“ดีเลยค่ะ”
ธีภพลอบยิ้ม สบช่องที่จะเปิดทางซึ่งคณินปิดเอาไว้
เช้าวันต่อมา คณินอยู่ที่ห้องทำงานในตึกบูรพเกียรติแล้ว เขาชักสีหน้าไม่พอใจที่ จินตนา และกานดา ตามมากดดันตนอีกรอบถึงที่ทำงาน
“งานนี้ให้ธีภพเขาจัดการไปก็แล้วกัน” จินตนาสรุป
คณินจะแย้ง “คุณแม่”
กานดารีบออกโรงสนับสนุน “คุณพ่อเองก็เห็นดีด้วยกับโครงการที่ธีภพเสนอนะคะคุณ”
“แกจะตั้งแง่อะไรนักหนาคณิน พวกสินค้าตกค้างก็ได้ระบายออกไป บอกว่ารายได้ส่วนหนึ่งมอบให้การกุศล บริษัทก็ได้หน้าแกจะเอาอะไรอีก จะทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“งั้นก็ตามใจคุณแม่เถอะครับ ใครอยากจะทำอะไรก็เชิญ”
คณินตัดรำคาญยอมทำตามที่จินตนาต้องการ
โรซี่ บุษกร ชนิตา เดินเม้าท์มอยกันออกมาจากห้องชงกาแฟด้วยท่าทางตื่นเต้น
“บริษัทเราจะจัดงานประมูลการกุศล แบบนี้ต้องรีบหาชุดสวยๆใส่ไปงานกันแล้วสิ จะไปซื้อที่ห้างไหน ร้านไหนดีล่ะเนี่ย” ชนิตาบ่น
โรซี่หมั่นไส้ “จะคิดเยอะแยะทำไมยะ ฉันเห็นเธอก็ไปวอเตอร์เกททุกที”
บุษกรไม่เก็ต “วอเตอร์เกท”
“ก็ประตูน้ำไงยะ” โรซี่จีบปากบอก
บุษกรและพริริสาพากันขำกับมุกของโรซี่
ชนิตาค้อนควัก “ก็คนมันงบน้อยนี่ยะ”
สาวๆ จะกลับไปทำงาน แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นธีภพที่ยืนรออยู่ มองมายังพริริสาพร้อมกับบอกว่า
“ผมมีงานให้คุณช่วยหน่อย”
สาวสามรีบเงี่ยหูฟังสุดชีวิต ธีภพหันไปมอง สามนางรู้ตัวรีบพากันเดินออกไป
“ทำไมต้องฉันด้วย ฉันเป็นผู้ช่วยเลขาท่านประธานนะคะ ไม่ใช่คุณ จะได้นึกเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้”
“ท่านประธานอนุมัติแล้วว่าให้คุณไปช่วยงานผมได้ ถ้าไม่เชื่อจะให้ผมโทร.หาอาคณินยืนยันกับคุณไหม”
ธีภพยิ้มให้พริริสาอย่างเป็นต่อ พริริสาได้แต่ทำหน้าเซ็ง ด้วยไม่อยากเข้าใกล้คนชอบจับผิดอย่างเขาเลย
ธีภพพาพริริสามาดูสถานที่จัดงาน และนัดคุยกับออร์แกไนซ์ ที่กำลังพรีเซ้นต์ว่าจะมีอะไรในงานบ้าง หรืออยากได้อะไรเพิ่มเติม พริริสาทำหน้าที่จดรายละเอียดต่างๆ ที่ธีภพคุยกับออร์แกไนซ์
ออร์แกไนซ์นำเอาแบบดอกไม้ประดับ แบบเวที แบบบูธวางเครื่องประดับให้ธีภพและพริริสาดู ทั้งคู่ต่างชี้ไปที่รูปเดียวกันทุกครั้งอย่างคนใจตรงกัน ออร์แกไนซ์หยิบแบบการ์ดเชิญออกมา
“อันนี้เป็นแบบการ์ดเชิญสำหรับแขกวีไอพีค่ะ”
ธีภพหันมาถามความเห็นพริริสา “คุณว่าแบบไหนดี”
“งานแบบนี้ การ์ดก็ควรจะเรียบๆแต่ดูดี” พริริสาชี้ไปที่แบบหนึ่ง
“ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะ”
ออร์แกไนซ์ยิ้มขำ “แหมคุณธีภพกับผู้ช่วยใจตรงกันทุกอย่างเลยนะคะ ขนาดจัดงานแต่ง
เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังไม่ใจตรงกันขนาดนี้เลย”
พริริสารีบแก้ต่าง “ฉันก็เลือกๆ ไปอย่างงั้นล่ะค่ะ ไม่ได้ใจตรงกับคุณธีภพหรอก”
“งั้นก็คงเป็นผมที่ดันไปใจตรงกับคุณเอง”
พริริสาลอบส่งค้อนให้ คิดว่าธีภพชอบพูดยั่วโมโห
“แบบนี้งานไปได้เร็วแน่ๆ ค่ะ ยังไงทางเราจะจัดงานให้ออกมาดีที่สุดเลยค่ะ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ติดต่อดิฉันได้ตลอดนะคะ” ออร์แกไนซ์ยิ้มบอก
“ขอบคุณครับ”
ออร์แกไนซ์เดินออกไป
“เสร็จงานแล้วใช่ไหมคะ” พริริสาดูนาฬิกา “ฉันจะได้กลับ”
“ยังกลับไม่ได้”
พริริสาหน้ามุ่ย ไม่รู้ธีภพจะใช้งานอะไรตนอีก
“คุณต้องไปกับผมอีกที่นึงก่อน”
ธีภพเดินนำออกไป พริริสจำใจเดินตาม
มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก เป็นเพียงบ้านเล็กๆ ดูร่มรื่น เด็กๆ ในมูลนิธิวิ่งเล่นกันท่ามกลางสนามหญ้าและใต้ต้นไม้ พริริสาและธีภพมาถึงที่นี่สักพักหนึ่ง และกำลังเดินคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ซึ่งพาดูสถานที่รอบๆ ไปด้วย
“ที่นี่เราให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กที่แม่ที่ไม่สามารถดูแลลูกได้จากปัญหาหลายๆอย่าง แต่ถ้าเขาพร้อมจะดูแลลูกของเขาเมื่อไหร่ ทางเราก็ยินดีให้รับกลับไปค่ะ”
มีแม่บางคนมาเยี่ยมลูกพอดี เห็นเด็กคนหนึ่งวิ่งพถลาไปกอดแม่อย่างดีใจ
“แม่”
พริริสามองดูภาพเด็กๆ ด้วยความเข้าใจ และพอได้รู้จากเจ้าหน้าที่ว่าเด็กบางคนได้เจอกับแม่ก็รู้สึกดี
“แต่ก็น้อยเหลือเกินค่ะ ที่พร้อมพอจะมารับลูกกลับไป เราก็เลยต้องดูแลเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี”
“ผมเข้าใจครับ ถึงตัดสินใจจะมอบเงินส่วนหนึ่งจากการประมูลให้กับที่นี่”
“ต้องขอบคุณคุณธีภพและบริษัทบูรพเกียรติมากเลยนะคะที่เลือกจะช่วยเหลือมูลนิธิของเรา”
พริริสารู้สึกดีที่ธีภพเลือกให้ความช่วยเหลือทีนี่
ธีภพและพริริสาเดินกลับมายังรถที่จอดอยู่ พริริสาถามเรื่องที่ค้างคาใจ
“ทำไมคุณถึงเลือกที่นี่ ที่นี่เป็นแค่มูลนิธิเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรให้บริษัทบูรพเกียรติเป็นข่าวดังได้”
“ในเมื่อตั้งใจจะมอบเงินส่วนหนึ่งช่วยเหลือสังคม ผมว่าที่ไหนก็คงเหมือนกัน อีกอย่างที่ผมเลือกที่นี่ก็เพราะ...”
ธีภพมองพริริสา อยากบอกนักว่าเพราะเธอเองเป็นคนทำให้เขาตัดสินใจที่จะบริจาคให้มูลนิธิที่ช่วยเหลือแม่และเด็ก แต่เลี่ยงตอบกลางๆ ไป”
“ที่นี่เป็นมูลนิธิเล็กๆ อย่างที่คุณว่า ความช่วยเหลือเลยยังมาถึงไม่มากพอ”
“ถ้าทุกคนที่บูรพเกียรติคิดแบบคุณก็คงดีนะคะ”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าจะมีคนไม่พอใจ”
“ก็คนบางคน โดยเฉพาะคนที่มีเงิน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือหน้าตา ชื่อเสียง เกียรติยศ จนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ โดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายใครบ้าง”
พริริสาเยื้อนยิ้ม คล้ายพูดเรื่องปกติทั่วไปมากกว่าจะเจาะจงที่ใคร ธีภพแปลกใจนิดๆ ที่เหมือนพริริสามองครอบครัวบูรพเกียรติในแง่ร้าย
คณินสีหน้าเครียดๆ เดินมาเปิดลิ้นชักในห้องหยิบกล่องสร้อยเพชรมาเปิดดู เห็นสร้อยเส้นเล็กๆ มีจี้รูปตัว “P” ชื่อย่อของ พีรดา และมีหัวใจประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เป็นของที่สั่งทำไม่เหมือนใคร
คณินหยิบออกมาดูอย่างเศร้าๆ หวนนึกถึงความหลังขึ้นมา
ตอนนั้นคณินอยู่ในห้องทำงาน กำลังบรรจงสวมสร้อยคอที่สั่งทำพิเศษให้พีรดา
“มันอาจจะไม่มีค่าอะไรมาก แต่ผมก็ตั้งใจสั่งทำให้คุณโดยเฉพาะเลยนะ”
“ของทุกชิ้นที่คุณให้ฉัน มีค่าเสมอค่ะ ฉันจะรักษามันไว้อย่างดี”
พีรดาจับสร้อยที่คออย่างมีความสุข
อีกเหตุการณ์ จินตนากลับมาถึงบ้าน โยนกล่องสร้อยเพชรลงตรงหน้าคณิน
“แม่พีรดามันฝากมาคืนให้แก พร้อมสาปส่งว่าต่อไปจะไม่ขอเจอหน้าแกอีก”
“ผมไม่เชื่อ พีรดาไม่มีทางพูดแบบนั้น”
“เมื่อไหร่แกจะหูตาสว่างสักทีคณิน ยังไงแกกับแม่นั่นก็ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน เพราะฉันจะไม่มีวันยอมรับผู้หญิงไร้สกุล กับลูกของมันมาอยู่ในบูรพเกียรติเด็ดขาด”
จินตนาเดินออกไป คณินหยิบกล่องมาเปิดออกดู เห็นสร้อยที่เคยให้พีรดาไว้ก็ยิ่งเสียใจ
เย็นแล้วคณินมองสร้อยในมือสีหน้าเศร้า กานดาเข้ามาเห็นก็รู้ทันที มองสร้อยของพีรดาตาวาววับ ไม่พอใจ
“จนถึงตอนนี้ก็ยังอาลัยอาวรณ์มันไม่เลิกเหรอคะคุณคณิน เมื่อไหร่คุณจะเลิกหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามันจะกลับมาสักที”
คณินรำคาญไม่อยากเถียงกับกานดา เก็บสร้อยลงกล่องวางในลิ้นชักตามเดิม แล้วเดินออกไปจากห้อง กานดายิ่งแค้นเคืองใจ เดินไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่องสร้อยเพชรขึ้นมา เงื้อมือจะปาทิ้งเพื่อระบายอารมณ์แต่ก็ชะงักค้าง
เมื่อคิดได้ว่าควรทำยังไงกับสร้อยเส้นนี้ถึงจะสาแก่ใจ
เย็นจวนค่ำใกล้เวลางานเริ่มทุกขณะ ทีมงานจัดสถานที่สำหรับงานประมูลจนใกล้เสร็จ พริริสาเดินดูความเรียบร้อยมากับออร์แกไนซ์
“เหลืออีกนิดหน่อยก็จะเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ มีอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้างหรือเปล่าคะ” ออร์แกไนซ์ถาม
“ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรนะคะ”
กรนันท์แต่งชุดพร้อมร่วมงานเดินเข้ามา
“ใครเลือกดอกไม้สีจืดๆ ชืดๆ พวกนี้มาตกแต่งในงานเนี่ย แล้วโต๊ะกับแจกันเทอะทะนั่นอีก เอาของดูโลว์เทส ไร้เกรดแบบนี้มาวางทำไม มันรกตามากไม่รู้หรือไง”
ทีมงานที่ยืนอยู่แถวนั้นพากันชะงักงงงัน ที่กรนันท์มาถึงก็เอาแต่ติ
“แล้วมายืนมองฉันทำไม ยกออกไปสิ หูดับหรือสมองไม่สั่งการกันหรือไง”
พริริสาและออร์แกไนซ์รีบเดินเข้าไป
“จะยกออกไปทำไมคะ ที่เดิมมันก็ดีอยู่แล้ว” พริริสาว่า
ออร์แกไนซ์พยายามประนีประนอม “นั่นสิคะ มุมนี้สวยที่สุดแล้วนะคะ”
“มันอาจจะดีในสายตาพวกไร้รสนิยมอย่างพวกเธอ แต่ไม่ใช่สายตาฉัน ยกออกไป”
“แต่สายตาคุณภพก็มองว่าตรงนี้ดีแล้วนะคะ หรือคุณจะบอกว่าคุณภพไม่มีรสนิยมไปอีกคน”
กรนันท์โกรธสุดขีด “แกกล้าดียังไงเอาพี่ภพมาอ้าง”
“วันที่คุยรายละเอียด คุณธีภพกับคุณริสาก็เห็นตรงกันทุกเรื่องเลยนะคะ”
นั่นยิ่งทำให้กรนันท์ไม่พอใจใหญ่ “ทุกเรื่องงั้นเหรอ”
กรนันท์ปรี่เข้าไปที่แจกันดอกไม้ใบใหญ่ประดับห้อง
“แต่ถ้าฉันไม่ชอบ ก็เตรียมไปเปลี่ยนดอกไม้ใหม่ทั้งงานได้เลย”
กรนันท์ดึงดอกไม้จากแจกันทิ้ง พริริสา และ ออร์แกไนซ์ตกใจ
“หยุดนะคุณเกรซ”
พริริสาปราดเข้าไปดึงมือกรนันท์ไว้ ไม่ยอมให้ดึงดอกไม้อีก
“แกกล้าดียังไงมาสั่งคนอย่างฉัน”
ทั้งสองจ้องหน้า สู้สายตากัน ชนิดที่ไมมีใครยอมกัน ลึกๆ กรนันท์หวั่นเกรงสายตาพริริสาอยู่ไม่น้อย แต่ความรั้นไม่ยอมคน เธอจึงผลักพริริสาออกไปตรงไปดึงดอกไม้ทิ้งอีกอีก
แต่แล้วมือธีภพก็เข้ามาดึงแขนกรนันท์เอาไว้ ด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจนัก
กรนันท์ตกใจ “พี่ภพ”
ศจีกำลังสั่งพนักงานให้ดูแลความเรียบร้อยหน้างาน กานดาเดินเข้ามาหาศจี
“เห็นยัยเกรซหรือเปล่า”
“พอดีศจียุ่งๆ เตรียมหน้างานเลยไม่ทันสังเกตค่ะ”
“ไม่เป็นไร” กานดาหยิบกล่องสร้อยเพชรออกมา“นี่ของคุณคณิน ฝากไปร่วมประมูลด้วย ได้เท่าไหร่ บริจาคสมทบทุนไปเลย”
ศจีรับกล่องมาอย่างแปลกใจ
ธีภพดึงกรนันท์ให้ออกห่างจากแจกันดอกไม้
“เกรซจะทำอะไร พี่เป็นคนรับผิดชอบดูแลงานนี้ ถ้าเกรซอยากช่วย พี่ว่าเกรซไปรอต้อนรับคนที่จะมาร่วมงนดีกาว่า ทางนี้ให้ริสาเขาจัดการไป”
กรนันท์แก้ตัว “เกรซก็แค่จะช่วยให้งานนี้ดูดี มีคลาส เจริญหูเจริญตาขึ้นก็เท่านั้นเอง เกรซเป็นลูกสาวประธานบริษัท เกรซก็ควรมีส่วนร่วมไม่ใช่เหรอคะ”
“ส่วนร่วมในการทำลายน่ะเหรอคะ” พริริสาสอดขึ้น
กรนันท์คำราม “แก”
ธีภพปราม “เกรซ”
กรนันท์พาลแล้ว “ดูพี่ภพจะไว้ใจพวกพนักงานระดับล่างมากกว่าเกรซอีกนะคะ”
“พี่ไว้ใจคนที่ทำงานได้ดีเกรซ แล้วพี่ก็เชื่อว่าเกรซจะทำงานส่วนที่พี่ขอให้ช่วยได้ดีแน่ๆ จริงไหม”
กรนันท์เจอธีภพพูดแบบนี้ก็เถียงไม่ออก ต้องยอมเดินออกไปแม้จะไม่พอใจ ออร์แกไนซ์โล่งอก นึกว่าจะได้มีเรื่องซะแล้ว
ธีภพเริ่มระอาใจกับนิสัยเอาแต่ใจของกรนันท์มากขึ้น
กรนันท์โกรธจัด เดินหนีออกมาอีกมุมเจอกานดาเข้าพอดี
“เกรซมาทำอะไรตรงนี้ ไหนว่าจะไปช่วยภพเขาดูความเรียบร้อยด้านใน”
“เพราะมันทำให้เกรซถูกพี่ภพไล่ออกมาน่ะสิคะคุณแม่”
“มัน น่ะใคร”
“ก็นังริสาผู้ช่วยเลขาของคุณพ่อไงคะ”
“นังเด็กนั่นอีกแล้วเหรอ”
“ตอนนี้มันคงชูคอทำตัวเป็นแม่งานเอาหน้ากับพี่ภพไปแล้วล่ะค่ะ”
กานดานึกอยากจะกำราบฤทธิ์เดชของพริริสาขึ้นมาทันที
พริริสาเดินมาที่หน้าห้องแต่งตัวอย่างเหนื่อยล้า หลังจากโดนกรนันท์มาป่วนงาน โรซี่ ชนิตาและบุษกรแต่งตัวสวยปรี่เข้ามาหา
“ริสายังไม่แต่งตัวอีกเหรอ เดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้วนะ” ชนิตาห่วง
“เพิ่งเคลียร์สถานที่เสร็จน่ะ”
พริริสาเปิดประตูห้องเข้าไป สามสาวตาม
บุษกรเดินไปหยิบชุดของพริริสาที่แขวนไว้มาให้ มีกระดาษเขียนชื่อกำกับไว้ว่า “ริสา”
“นี่ชุดของริสาใช่ไหมจ๊ะ เห็นมีแมสเซนเจอร์มาฝากไว้”
“ใช่ ที่บ้านคงให้คนเอามาส่งให้”
“รีบไปแต่งตัวดีกว่าริสา มาพวกเราช่วย”
โรซี่ช่วยบุษกรเอาชุดออกจากถุงคลุมชุด ศจีเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“มาชุมนุมกันอยู่นี่เอง ยังไม่ออกไปประจำที่กันอีก งานจะเริ่มแล้วนะ โอ๊ยปวดหัวกับพวกลูกลิงพวกนี้จริงๆ”
บุษกรพาดชุดดังกล่าวไว้ที่โต๊ะที่มีอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมวางอยู่ใกล้ๆ
“งั้นพวกเราไปก่อนนะริสา”
สามสาวรีบพากันออกไปทำหน้าที่ของตน พริริสาเห็นในมือศจีถือกล่องสร้อยเพชรที่รับมาจากกานดาก็นึกสงสัย
“กล่องอะไรเหรอคะพี่ศจี”
“อ๋อนี่ของประมูลที่ต้องเพิ่มมาอีกชิ้นกะทันหันน่ะจ้ะ ของคุณคณิน”
พริริสาเอะใจ “ขอริสาดูหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ” ศจีส่งให้
พริริสามองกล่องสร้อยเพชรอย่างสงสัย จึงเปิดออกดูเห็นสร้อยก็จำได้ว่าเป็นสร้อยของแม่ตน
สมัยยังเด็ก พริริสาแอบดูพีรดานั่งมองดูสร้อยที่คณินให้มาอย่างเศร้าสร้อยอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะออกอาการตกใจ เมื่อจู่ๆจินตนากับกานดาก็พรวดพราดเข้ามาในบ้าน จินตนาตรงเข้าไปกระชากสร้อยจากมือพีรดา
“คนอย่างแกไม่คู่ควรกับของที่ลูกชายฉันให้สักนิด ถึงจะเป็นแค่สร้อยถูกๆ คนอย่าง แกก็ไม่สมควรจะได้”
“คุณแม่”
“อย่ามากล้าดีเรียกฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมรับแกกับลูกของแกเด็ดขาด ฉันจะเอาสร้อยเส้นนี้ไปคืนคณิน”
จินตนาเดินกลับออกไปทันที ปล่อยให้กานดายืนเหยียดยิ้มมองพีรดาอย่างสะใจก่อนจะตามออกไป
พริริสาที่แอบดูอยู่กำมือแน่น ทั้งโกรธทั้งสงสารแม่
นึกขึ้นมาแล้วพริริสารู้สึกเสียใจที่คณินเอาของๆ แม่ตนมาประมูลทิ้ง เหมือนไม่ต้องการมันอีกแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าจ้ะริสา”
พริริสาส่งกล่องคืนให้ศจี
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“งั้นรีบแต่งตัว เราจะออกไปที่งานกันนะ”
พริริสาไม่ทันจะทำอะไร กานดาและกรนันท์ก็เดินเข้ามาในห้อง ทำให้ศจีและพริริสาต้องชะงัก สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของแม่ลูก ศจีมองหวั่นๆ
“เอ่อ คุณกานดา กับคุณเกรซต้องการอะไรเพิ่มเติมเหรอคะ”
“เธอออกไปก่อนศจี”
“คะ” ศจีลังเล
“คุณแม่บอกให้ออกไป หูแตกหรือไงคุณศจี”
ศจีสะดุ้ง รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องแน่ๆ
“ค่ะๆ”
ศจีมองพริริสาอย่างเป็นห่วง แต่ก็ต้องยอมออกไป
พริริสาได้แต่ยืนคอยตั้งรับ ยังอ่านไม่ออกว่า กานดากับกรนันท์จะมาไม้ไหนกับตน
ศจีเดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยสีหน้าเครียดเคร่งและเป็นกังวล คอยเหลียวไปมองหน้าห้องเป็นระยะๆ จนจังหวะหนึ่งพอหันกลับมาต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเจอโรซี่ ชนิตา และบุษกร ยืนล้อมกรอบอยู่
“อุ๊ย โอย ตกใจหมดเลย มายืนล้อมพี่ทำไมเนี่ย คนยิ่งเครียดๆ อยู่”
โรซี่จ้องจับผิด “ยืนล้อมแค่นี้ ถึงกับเครียดเลยเหรอฮะ”
“มีอะไรรึเปล่าคะ ใครทำอะไรพี่” ชนิตาถาม
ศจีกังวลเอามากๆ “ริสาน่ะซิ”
บุษกรแปลกใจพอๆ กับเพื่อนๆ “ริสาทำอะไรพี่ค่ะ”
“ริสาไม่ได้ทำ แต่น่าจะโดนคุณเกรซกับคุณกานดาทำ”
ทั้ง 3 คน ตกใจ อุทานลั่น “หะ อะไรนะ”
พริริสายืนเผชิญหน้ากับกานดาและกรนันท์อย่างพร้อมสู้
“จ้องฉันกับลูกขนาดนั้น กลัวหรือไง”
“ทำไมฉันต้องกลัวด้วยล่ะคะ ถ้าคุณสองคนเป็นยักษ์เป็นมารที่คอยจ้องเล่นงานคนอื่นก็ว่าไปอย่าง”
“ปากดีนักนะ มิน่าวันที่เธอไปบ้านบูรพเกียรติถึงได้ไม่มีความยำเกรงใคร เธอคงคิดว่าฉันกับคุณแม่ไม่มีพาวเวอร์อะไรในบริษัทสินะ”
“เปล่าเลยค่ะ ฉันคิดว่าใครๆ เขาก็รู้ ว่าคนที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เบื้องหลังบูรพเกียรติ ไม่ว่าจะเรื่องดีเรื่องร้าย ก็เป็นคุณหญิงกับคุณกานดาทั้งนั้น”
กรนันท์ยัวะจัด “แกกล้าว่าคุณแม่กับคุณย่าทำเรื่องชั่วร้ายงั้นเหรอ”
กานดาจ้องหน้าพริริสาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ก็อย่าคิดทำให้ลูกสาวฉันระคายเคืองใจอีก เพราะถ้าฉันร้ายขึ้นมาจริงๆ เธอจะหมดอนาคตในการทำงานที่บูรพเกียรติ วันนี้เธอกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องคิดจะออกไปเสนอหน้าในงาน คุณเกรซจะเป็นแม่งาน จัดการต่อเอง”
กรนันท์ยิ้มเยาะ คิดว่าพริริสาจะต้องกลัวกานดารีบลนลานกลับไป แต่ผิดคาด พริริสาไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือหวาดกลัวกานดาเลยสักน้อย
“ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันต้องสะสางในงานคืนนี้”
กานดาสะดุดกับคำพูดของพริริสา
“คุณแม่สั่งให้แกกลับ แกก็ต้องกลับจะหน้าหนาหน้าด้านอยู่ต่ออีกทำไม”
“ชั้นบอกไปแล้วไงคะ ว่าไม่ได้” พริริสาเน้นคำตอนท้ายอย่งท้าทาย
“คุณแม่”
กรนันท์ฮึดฮัดวู่วามตามประสา แต่กานดากลับนิ่ง ยิ้มเยือกเย็น
“ก็ได้...ในเมื่อเธออยากจะอยู่เป็นแรงงานฉันก็จะไม่ว่า” พร้อมกับว่ากานดาปรายตามองไปที่ชุดชื่อ “ริสา” ที่พาดเอาไว้ “แต่ต้องอยู่ในสถานะคนใช้แรงงานเท่านั้น”
กานดาหันไปหยิบขวดสเปรย์ฉีดผมแบบน้ำที่วางอยู่ใกล้มือ เปิดฝาขวดแล้วราดลงไปที่ชุดของพริริสาที่พาดอยู่จนเลอะไปหมดก่อนทิ้งขวดลงพื้นยิ้มหยันสะใจ
“ชุดนี้ดูมันจะหรูเกินไป ทำตัวเทียมหน้าเทียมตาแขกเหรื่อในงาน มันไม่ดี อย่างเธอแต่งตัวธรรมดาๆ ก็สมฐานะพนักงานระดับล่างแล้ว”
กานดามองพริริสาหัวจรดเท้าอย่างเหยียดหยาม ก่อนพาลูกเดินออกไป กรนันท์หันมายิ้มเยาะใส่ พริริสายืนกุมแขน ลูบแผลเป็นที่ข้อมือพลางบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้
แขกทยอยเดินเข้ามาในงานแล้ว กานดาเดินเชิดมาพร้อมกับกรนันท์ยิ้มทักแขกตรงโถงหน้างาน ศจี บุษกร โรซี่ และ ชนิตา ยืนอยู่ด้วยกัน ศจีรับรองแขกสำคัญอยู่ โรซี่สะกิดเพื่อนๆ และศจีให้หันมาดู สองแม่ลูก ศจีหันมาทางโรซี่กับชนิตากระซิบบอก
“ไปดูริสาซิ”
โรซี่พยักหน้ารับเอาคำ แล้วเดินไปกับชนิตาผ่านกานดากับกรนันท์ไปตัวลีบ ศจีกับบุษกรเดินเข้ามาหากานดา
“ใกล้เวลาเริ่มงานแล้ว เชิญด้านในเถอะค่ะ มีแขกถามหาคุณกานดาหลายคนเลยค่ะ”
กานดาทำทีเป็นปลื้ม แต่จริงๆ ไม่ใส่ใจ
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ” กรนันท์ถามมารดา
“เดี๋ยวก็คงมา”
“เชิญเลยค่ะ” ศจีเชื้อเชิญ
กานดาพากรนันท์เดินเข้าไปด้านใน ศจีกับบุษกรผ่อนลมหายใจ
“ริสาจะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้” ศจีกังวลไม่คลาย
บุษกรก็ด้วย “นั่นซิคะ”
เสียงธีภพถามดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ คุณศจี”
ศจีกับบุษกรชะงัก ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะค่อยๆ หันมาทางธีภพที่ยืนจ้องอยู่ด้านหลังถามคาดคั้น
“ริสาอยู่ไหน”
ในห้องแต่งตัว โรซี่กับชนิตาดูสภาพชุดที่เลอะเทอะแล้วพากันหน้าเสีย
“โห...ไม่อยากจะเชื่อเลยอะ ทำกันขนาดนี้เลยเหรอ”
“นั่นซิ นี่มันเรื่องจริง หรือในละครเนี่ย งงไปหมดแล้ว” โรซี่เสริม
“ชุดเลอะเทอะซะขนาดนี้ ก็เรื่องจริง ทำจริงน่ะซิยะ โรซี่”
ธีภพเดินเข้ามาพอดี
“ใครทำอะไรเหรอครับ แล้วทำไมยังไม่เข้าไปในงานกันอีก”
“ก็คุณ...”
โรซี่ตะปบปากชนิตาเอาไว้ไม่ให้พูด ชนิตาดิ้นหนียกใหญ่เพราะโรซี่เล่นปิดจมูกด้วยแทบหายใจไม่ออก
พริริสาตัดบทบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ พอดีฉันทำชุดเลอะก็เลยคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี”
“ใช่ค่ะ พวกเราก็กำลังช่วยริสาคิดว่าจะทำยังไงดี”
ชนิตาดึงมือโรซี่ออกได้สำเร็จ ฮุบหายใจเฮือก ธีภพมองดูสภาพชุดของพริริสาพลางคิดว่าจะทำยังไง
ธีภพเซ็นสลิปบัตรเครดิตให้พนักงานร้านชุดราตรีภายในโรงแรมจัดงาม โรซี่และชนิตายืนรอพริริสาเปลี่ยนชุดอยู่หน้าม่าน พริริสาออกมาจากหลังม่านในชุดสวยชวนตะลึง
โรซี่ตาโตเป็นไข่ห่าน “โอ้โห้ ริสาสวยวัวตายควายล้มมาก”
ธีภพหันมามองตะลึงจ้อง เห็นพริริสาอยู่ในชุดเดรสสวยสง่างาม ยิ่งทำให้พริริสาสวยมากขึ้นกว่าทุกวันที่เจอกัน
ชนิตาพูดล้อขำๆ “งามเหลือเกินเพคะ เจ้าหญิง”
“ขอบใจจ้ะ ขอบคุณนะคะคุณภพ”
“ผู้บริหารก็มีหน้าที่แก้ปัญหาให้ลูกน้องอยู่แล้ว” ธีภพหันมาพยักพเยิดเอากับโรซี่ ชนิตา “จริงไหมครับ”
โรซี่กะชนิตาเห็นงามด้วย “จริงค่ะ”
โรซี่กระซิบชนิตา “อยากให้ชุดเลอะบ้างขึ้นมาเลย”
หลังจากนั้นธีภพเดินนำพริริสาเข้ามาในงาน คณิน กานดา และกรนันท์ที่ยืนคุยกับแขกในงานหันมามองเป็นตาเดียว
กรนันท์และกานดาเห็นพริริสาเฉิดฉายอยู่ในชุดสวย ก็พากันคุมแค้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
พริริสาสบช่องกระตุกต่อมกวนประสาทยั่วอารมณ์กรนันท์และกานดา เลยทำทีเป็นสะดุดชุด เซไปธีภพรีบคว้าเอวพริริสาไว้ไม่ให้ล้ม
“ขอบคุณค่ะ”
พริริสาถือโอกาสเกาะแขนธีภพเดินต่อ แขกในงานเห็นธีภพและพริริสาเดินเคียงกันมาดูหล่อสวยสมกันก็พากันมองเป็นตาเดียว ส่งเสียงชื่นชมเป็นระยะ
กรนันท์ฉุนขาดจะเข้าไปแยกพริริสาออกจากธีภพ กานดาดึงไว้เพราะเห็นว่าอยู่ในงานคนมองเยอะ
คณินผิดสังเกตถามกานดาเบาๆ “มีอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
กานดาบีบแขนกรนันท์แน่นไม่ให้ทำอะไรวู่วาม
อีกด้านเห็นศจีและบุษกรมองดูเหตุการณ์อย่างหวั่นๆ โรซี่และชนิตารีบเข้าไปสมทบ
“เป็นยังไงบ้าง” ศจีถาม
“มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะพี่ศจี” โรซี่ว่า
ศจีและบุษกรโล่งใจ
งานประมูลเริ่มแล้วอย่างเป็นทางการ มีนางแบบพรีเซ้นต์เครื่องประดับเดินออกมาโชว์ บนเวทีมีภาพเครื่องประดับชิ้นนั้นๆ ปรากฏบนจอโปรเจ็กเตอร์ แขกในงานยกมือเสนอราคา พิธีกรผู้ดำเนินการประมูลเคาะราคาประมูลสูงสุดขาย ศจีและชนิตาคอยดูแลอยู่ข้างเวที พร้อมทีมงานและการ์ดอารักขาเต็มอัตรา
โรซี่ บุษกร อยู่อีกด้าน คอยช่วยกันบันทึกรายละเอียดการประมูลลงในไอแพด ส่วนพริริสายืนดูความเรียบร้อยอีกมุม
คณิน กานดา กรนันท์ และธีภพนั่งดูการประมูลอย่างพึงพอใจ การประมูลเครื่องประดับผ่านไปหลายชิ้น นางแบบถือฐานวางสร้อยคอของพีรดาเดินออกมากลางเวที
“ชิ้นต่อไปเป็นสร้อยคอพร้อมจี้เพชรรูปตัวพี อาจจะดูชิ้นเล็กกว่าชิ้นอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่เป็นของสั่งทำพิเศษไม่เหมือนใครแน่นอนครับ”
ภาพบนจอปรากฏให้เห็นชัดเจนว่าเป็นสร้อยที่คณินสั่งทำมอบให้พีรดาเส้นนั้น คณินเห็นทั้งตกใจและไม่พอใจ
“สร้อยเส้นนั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คณินหันขวับไปจ้องกานดาทันที
“คุณจะได้เลิกอาลัยอาวรณ์กับอดีตสักทีไง”
กานดาตอบเสียงเบาสีหน้านิ่ง คณินยิ่งไม่พอใจ ขบกรามแน่น
“กานดา”
ธีภพและกรนันท์ที่นั่งอยู่ถัดไป พากันแปลกใจกับท่าทีของคณินและกานดา
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณพ่อคุณแม่”
“สร้อยคอพร้อมจี้รูปตัวพีเส้นนี้ ผมขอเริ่มต้นที่ราคา หนึ่งหมื่นบาทครับ ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลยสำหรับสร้อยเส้นนี้”
พริริสาเพ่งมองดูสร้อยของแม่ที่ถูกเอามาประมูลอย่างเจ็บใจ แขกในงานยกมือประมูลให้ราคาห้าหมื่น
“ตอนนี้สร้อยเส้นนี้ราคาห้าหมื่นบาทแล้วครับ” พิธีกรบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
คณินจะยกมือประมูลคืน กานดารีบดึงมือคณินเอาไว้ จ้องเขม็งไม่ให้คณินประมูล
“ถ้าไม่มีใครให้ราคามากกว่านี้ ผมขออนุญาตนับแล้วนะครับ ห้าหมื่นบาทครั้งที่หนึ่ง ห้าหมื่นบาทครั้งที่สอง”
คณินไม่ยอมจะยกมือให้ได้ แต่กานดาดึงแขนเขาไว้ทั้งตัวไม่ยอมปล่อย
เสียงพริริสาดังแหวกความเงียบในห้องขึ้น “สองล้านบาท”
ความเงียบทำหน้าที่อีกครั้ง ทุกคนพากันตกใจว่าเสียงนั้นมาจากไหน พากันเหลียวมองหาทั่วห้อง จนพบว่าพริริสาเป็นคนยกมือประมูลและให้ราคาสูงลิ่วนั้น
แขกเหรื่อไฮโซในงานต่างมองมายังพริริสาเป็นตาเดียวกัน เสียงซุบซิบอื้ออึงเป็นไปในทำนองว่าเจ้าหล่อนเป็นใครกัน
อ่านต่อตอนที่ 3