เพลิงนรี ตอนที่ 1
บ่ายวันหนึ่ง ผู้กองอธิรุธพร้อมตำรวจหน่วยรบพิเศษในชุดปฏิบัติการพร้อมอาวุธครบมือค่อยๆ เคลื่อนตัวมาตามทางแคบๆ เข้าไปยังด้านในโกดังร้างแห่งนั้น
อธิรุธยกมือให้สัญญาณให้ทุกคนหยุดรอดูสถานการณ์ แจ้งผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่ติดอยู่ข้างหู
“เหยี่ยวพร้อม”
อีกมุมในโกดัง พันตำรวจตรีธีภพหัวหน้าทีมถือปืนสั้นเตรียมพร้อมอยู่กับตำรวจในทีม 2 คน หลบมุมรอสัญญาณ และตอบกลับอธิรุธทันทีว่า
“อินทรีพร้อม”
คนร้าย 3 คน ถืออาวุธครบมือเดินตรวจตรา ดูความเรียบร้อยมาทางนี้ ธีภพให้สัญญาณมือกับตำรวจในทีมเตรียมพร้อมและบุกชาร์จออกไป
“วางอาวุธแล้วยกมือขึ้น”
คนร้ายเห็นตำรวจก็รีบยิงใส่ทันควัน ธีภพและคนอื่นๆ รีบหลบและยิงตอบโต้ ธีภพยิงคนร้ายล้มลงจนหมด
อธิรุธได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้ ส่งสัญญาณให้บุกชาร์จตามเข้าไป คนร้าย 2 คน หลบอยู่อีกด้านยิงใส่กลุ่มอธิรุธ เกิดการยิงปะทะเดือดขึ้น
คนร้ายอีก 2 คนช่วยกันลากตัวนักธุรกิจ ที่ถูกมัดมือและปิดปากไปอีกทางเพื่อหลบหนี เสียงปืนดังเข้ามาเป็นระยะ
“ไปเร็ว”
คนร้าย 1 ว่า พลางช่วยกันลากนักธุรกิจเพื่อหลบหนีไปที่ทางออก
ธีภพโผล่เข้ามาถีบใส่ คนร้าย 1 กระเด็นกลับไป ธีภพและตำรวจที่เหลือถือปืนตามเข้ามา
“วางอาวุธ ที่นี่ถูกตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว”
คนร้าย 2 เห็นท่าสู้ไม่ไหว ยอมวางปืน คุกเข่ายกมือยอมแพ้ ตำรวจคนอื่นกรูเข้าไปใส่กุญแจมือคนร้ายที่ยอมแพ้
คนร้าย 1 ล้มลงที่พื้น แววตาไม่ยอมจำนน เห็นปืนตกอยู่ข้างตัวจะหยิบขึ้นมาธีภพหันไปยิงใส่ที่พื้นเป็นการขู่ คนร้าย 1 สะดุ้งรีบยกมือยอมแพ้ ธีภพเข้าไปเตะปืนคนร้ายออกไป
นักธุรกิจยืนตัวสั่น เห็นคนร้ายยอมให้จับก็โล่งใจ
จู่ๆ ธีภพก็หันปืนไปทางนักธุรกิจ นักธุรกิจตกใจหน้าซีด ธีภพยิงตรงไปที่นักธุรกิจ เสียงปืนดังเปรี้ยง
อีกฟากหนึ่ง อธิรุธและตำรวจในทีมกำลังล้อมคนร้าย 2 คนที่นอนนิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าทำอะไรใครไม่ได้แล้ว จนมีเสียงปืนดังขึ้น อธิรุธส่งสัญญาณให้ตามไปด้านใน
ที่แท้ธีภพยิงผ่านนักธุรกิจไปยังด้านหลัง เพราะเห็นคนร้ายอีกคนซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ถือปืนเล็งใส่นักธุรกิจคนนั้น แต่ถูกกระสุนธีภพยิงใส่ล้มลง นักธุรกิจเข่าอ่อนนึกว่าถูกธีภพยิงใส่
อธิรุธและทีมวิ่งตามเข้ามา ทุกอย่างทุกเคลียร์เรียบร้อย
ธีภพร้องบอก “เคลียร์”
คนอื่นๆ ขานรับตาม
ธีภพรายงานผ่านเครื่องมือสื่อสาร
“เหยี่ยวและอินทรีขอรายงานผลการปฏิบัติ ตัวประกันปลอดภัย”
ชายคนหนึ่งลูกน้องของกานดาใช้ด้ามปืนฟาดใส่ที่บริเวณขมับพีรดาอย่างแรง พีรดาล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นเลือดไหลเป็นทาง เด็กหญิงพริริสาวัยเพียง 6 ขวบ ถูกใครอีกคนผลักไปอีกด้าน ร่างน้อยๆ แบบบางนั้นกระเด็นไปล้มลง ข้อมือเล็กๆ กระแทกเข้ากับเหล็กแหลมจนกรีดข้อมือเป็นแผลลึก
พริริสานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ด้วยฝันร้ายเมื่อครั้งเป็นเด็กคอยตามหลอกหลอนแทบทุกครั้งที่หลับตานอน
สักครู่ต่อมาพริริสาจึงลืมตา ยันกายขึ้น รู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่แผลเป็นตรงข้อมือจนต้องกุมเอาไว้
พีรดาเข้ามาในห้อง มองไปบนเตียง เห็นหน้าตาอันซีดเซียวของลูกสาวก็รีบเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง
“ริสาเป็นอะไรไปลูก”
พริริสาโผเข้ากอดมารดาเอาไว้เหมือนคนหาหลักยืดให้จิตใจดีขึ้น
เห็นอาการดังกล่าวพีรดาก็พอเดาออกว่าลูกสาวฝันร้ายกับเรื่องในอดีตอีกแล้ว จึงลูบหลังลูบไหล่ปลอบขวัญ
“ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม”
แววตาพริริสาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยขณะตอบผู้เป็นมารดา “มันไม่ใช่ฝันค่ะ แต่มันเป็นความจริง”
“ริสา เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกไงลูก เราจะไม่รื้อฟื้น ไม่ให้มันมาฉุดรั้งชีวิตเราเอาไว้ ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของลูกนะ ทำจิตใจให้สดชื่น ทำตัวให้พร้อมสำหรับงานวันนี้นะลูก”
พีรดาเตือนสติให้พริริสาสลัดความฝันในอดีตทิ้งไป พริริสายิ้มรับเอาคำ ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ
ประเทศไทรจีสแห่งนี้ เป็นสาธารณรัฐเล็กๆ บนแผนที่โลก แต่ทว่าสวยงามจนเป็นที่ร่ำลือถึงวิวทิวทัศน์ และความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ
ที่ห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่า ภายในวังไทรจีสเช้าวันนี้ มีพิธีแต่งตั้งเจ้าหญิงราชกุมารี รัชทายาทลำดับที่ 2 ของราชวงศ์ไทรจีส นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนแขกรับเชิญมากมายอยู่ในชุดอันงดงามตามสถานภาพใครมัน รอคอยเวลา
เมื่ออยู่ในอาภรณ์องค์ราชกุมารีตามราชพิธี ยิ่งทำให้เจ้าหญิงพริริสาดูงดงามสวยสง่า เธอเดินเข้ามาตามทางเดินในห้องโถง ตรงมายังเบื้องหน้าองค์กษัตริย์ราอิลที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ มีพีรดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ในฐานะราชินี อีกข้างของบัลลังก์เป็นที่นั่งของคามิลในฐานะมกุฎราชกุมาร รัชทายาทลำดับที่ 1
มิราแต่งชุดสวยงามยืนอยู่ในส่วนของผู้ร่วมพิธีภายในโถง และไคชัจอยู่ในกลุ่มองครักษ์ ทั้งคู่มองดูพริริสาด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชมยินดี
จังหวะหนึ่งมิราหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจะถ่ายรูป แต่ถูกคนที่ยืนข้างๆ กระแอมเตือนว่าเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม มิราจึงได้แต่ยิ้มเก้อเขิน จำใจเก็บมือถือคืน
มงกุฎประดับเพชรส่องประกายแวววาวสวยงามวางอยู่บนพานรอง ถูกกษัตริย์ราอิลหยิบขึ้น ยกมาสวมลงบนศีรษะของพริริสา ท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมของทุกคนในนั้น
หลังสวมมงกุฎในตำแหน่งราชกุมารี พริริสาหันตัวกลับมายืนเด่นเป็นสง่าให้ทุกคนในห้องโถงชื่นชมยินดี
พริริสาเดินตามราอิลจับมือทักทายกับบุคคลสำคัญในงาน ทุกคนต่างร่วมยินดีกับราชกุมารีผู้งามสง่า
จังหวะหนึ่งมิราแอบชูสองนิ้วให้พริริสาเป็นการส่งกำลังใจมาให้ พริริสาจะชูสองนิ้วตอบ ทว่าราอิลกระแอมเตือน พริริสารีบหดมือหันหันไปยิ้มเขินๆ ให้ราอิล
คามินเดินทักทายบุคคลสำคัญตามมาแอบยิ้มขำ เช่นเดียวกับไคซัจที่ลอบมองอยู่ก็อดขำไม่ได้เช่นกัน เพราะต่างรู้จักนิสัยของราชกุมารีกันเป็นอย่างดี
พีรดาก็มองอยู่ ถอนใจ ส่ายหน้ากับความซุกซนของลูกสาว
หลังเสร็จพิธี พริริสาได้กลับเข้ามาในห้องนอน ถอดมงกุฎออกวางไว้ แล้วสลัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง เดินเท้าเปล่ากระโดดขึ้นไปนอนแผ่หลาบนเตียง มิราตามเข้ามาพูดอย่างขำๆ ล้อๆ
“ท่าทางจะเหนื่อยมากนะเพคะ เจ้าหญิงราชกุมารี พริริสา อไมร์คาน แห่งไทรจีส”
พร้อมกับว่า มิราย่อตัวทำความเคารพ
พริริสาเด้งตัวขึ้นจากเตียง มองค้อนมิราวงใหญ่
“เรียกซะเต็มยศเกินไปหรือเปล่ามิรา”
“ก็ทรงเพิ่งสวมมงกุฎราชกุมารีไป ก็ต้องเรียกให้ถูกต้องสิเพคะ”
พริริสาลุกไปดึงแก้มมิราอย่างหมั่นไส้
“ต่อให้ฉันมีตำแหน่งอะไร ฉันก็ยังเป็นพริริสา เพื่อนเธอคนเดิมที่เคยเป็นนี่ล่ะ เข้าใจไหม”
“โอ๊ย เข้าใจแล้วเพคะ”
“ยังอีก”
พริริสาจะเข้าไปหยิกแก้มอีก มิรารีบหลบ
“เข้าใจแล้ว”
พริริสาเดินกลับไปนั่งที่เตียงอย่างเหนื่อยๆ มิราตามไปนั่งข้างๆ
“งั้นเรามาเซลฟี่กันหน่อยนะ นานๆ จะได้แต่งชุดสวยเต็มยศขนาดนี้”
มิราหยิบมือถือขึ้นมา ทั้งคู่โพสท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานบนเตียง
ระหว่างนี้พีรดาเดินเข้ามาเห็น กระแอมปราม สองสาวชะงัก พากันลงจากเตียงมายืนเรียบร้อย
“ริสา ทำตัวเป็นเด็ก”
มิรารีบแก้ตัวให้ “มิราเป็นคนชวนเจ้าหญิงเองเพคะ”
“ริสาก็โตแล้วนี่คะแม่ ไม่อย่างงั้นท่านพ่อคงไม่มอบตำแหน่งราชกุมารีนี้ให้”
“ถ้าอย่างงั้นลูกก็ต้องรู้จักรักษากริยามารยาท อย่าให้ท่านพ่อต้องขายหน้ารู้ไหม”
พริริสาทำหน้ามุ่ยเข้าไปกอดอ้อนพีรดา
“ก็ริสาไม่ใช่เจ้าหญิงมาตั้งแต่เกิดนี่นา”
“นั่นละ เราก็ยิ่งต้องนึกถึงท่านพ่อให้มากๆ เราสองคนแม่ลูกมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะท่านนะ”
หญิงรับใช้เข้ามาขัดจังหวะ
“ได้เวลาเจ้าหญิงเปลี่ยนฉลองพระองค์สำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำแล้วเพคะ”
พีรดาตัดบท “ไปเปลี่ยนชุดเถอะลูก”
พริริสาเดินออกไป มิรารีบตาม พีรดาได้แต่มองตามอย่างไม่สบายใจที่พริริสาไม่ยอมลืมอดีตสักที
จู่ๆ สายตาพีรดาเกิดพร่ามัวขึ้นมา พอกระพริบตาภาพที่ชัดกลับมาเป็นปกติ พีรดารู้สึกปวดหัวนิดๆ และ นึกแปลกใจกับอาการที่เกิดขึ้นกับตนเอง
อีกฟากหนึ่ง ธีภพและอธิรุธเดินคุยมากับผู้การเอกสิทธิ์ตามทางเดินในกองบังคับการฯ
“ทางผู้ใหญ่ฝากความชื่นชมเรื่องภารกิจคราวก่อนของพวกคุณกับทีมมาด้วย”
ธีภพและอธิรุธน้อมรับเอาคำชม “ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่ มีความชื่นชมอย่างเดียวเองเหรอครับผู้การ” อธิรุธถามเย้า
เอกสิทธิ์กระแอม
อธิรุธรีบแก้ “ผมพูดเล่นน่ะครับ”
“เพราะเอาแต่พูดเล่นแบบนี้น่ะสิ ถึงได้เลื่อนขั้นตามเพื่อนไม่ทันนะผู้กองอธิรุธ จริงไหมสารวัตรธีภพ”
อธิรุธหุบยิ้มทันที ธีภพขำ
“ผมก็พูดเล่นเหมือนกัน อย่าคิดมากนะผู้กอง ได้เวลาประชุมแล้ว ผมไปก่อนนะ”
เอกสิทธิ์ตบบ่าอธิรุธเป็นเชิงหยอกล้ออย่างสนิทสนม ก่อนเดินออกไป
“ผู้การนี่เล่นฉันแรงตลอด” อธิรุธบ่น
“นายก็กวนประสาทผู้การได้ทุกเรื่องเหมือนกัน”
“ใครจะจริงจัง เก๊กหน้าหล่อได้ตลอดเวลาเหมือนนายเล่า พูดแล้วเซ็งไปหาข้าวกินกันดีกว่า”
อธิรุธตบหลังธีภพให้ไปด้วยกัน
ที่ห้องตรวจโรคหัวใจของโรงพยาบาล กระดาษพริ้นต์จังหวะเต้นหัวใจ ค่อยๆ พิมพ์ออกมาจากเครื่อง ธเนศกำลังเดินสายพานตรวจอาการโรคหัวใจอยู่ โดยมีหมอและพยาบาลคอยดูแล คลื่นหัวใจที่จอมีอาการผิดปกติ
ธเนศรู้สึกเจ็บหน้าอก หมอหยุดสายพาน แล้วรีบเข้าไปดูอาการ
พยาบาลช่วยประคองธเนศที่เจ็บหน้าอกมากขึ้น ไปนั่งที่เตียง หมอรีบตรวจอาการธเนศ
ขณะที่สองเกลอเดินออกมาที่หน้าออฟฟิศกองกำกับการหน่วยรบพิเศษนั้น เสียงโทรศัพท์ธีภพดังขึ้น เขากดรับสายจากมารดาทันที
“คุณแม่มีอะไรครับ” พันตรีหนุ่มรูปงามหน้าเครียดถนัดตาเมื่อได้ฟังว่าพ่ออาการไม่ดี “ครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ธีภพกดวางสายไป พลางบอกอธิรุธว่า “ฉันกลับก่อนล่ะ”
ธีภพรีบเดินออกไปเลย
“เฮ้ยไอ้ภพ มีเรื่องด่วนอะไร”
อธิรุธได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วงและสงสัย
ประตูห้องคนไข้ในโรงพยาบาลเปิดออก เห็นธีภพก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวลปนเป็นห่วง ธีภพเดินตรงไปที่ข้างเตียงมองร่างธเนศซึ่งนอนแบบอยู่บนนั้น
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่โทรไปบอกผมว่า...”
ธเนศยกมือไม่ให้ธีภพพูดต่อ
“แม่เราก็ตื่นตูมเกินไป พ่อไม่ได้เป็นอะไร”
วิวรรณเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“หมอว่าคุณมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ จะยังว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอคะ”
ธีภพฟังแล้วไม่สบายใจ “แล้วคุณหมอว่ายังไงอีกครับ”
“ก็แค่กินยา พักผ่อนมากๆ รอดูอาการ เห็นไหมไม่มีอะไรเลย” ธเนศว่า
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่ถ้าคุณยังทำงานหนักอยู่คนเดียวแบบนี้ ต่อไปจะเป็นยังไงฉันอุตส่าห์หมดห่วงตั้งแต่คุณเกษียณจากตำรวจ ตอนนี้ยังต้องมากังวลเรื่องสุขภาพของคุณอีก”
วิวรรณหันมาเอาเรื่อง กดดันกับธีภพบ้าง
“ภพเราก็เหมือนกัน ต้องรอให้พ่อเราอาการแย่ไปกว่านี้ใช่ไหม ถึงจะยอมมาช่วยงานพ่อเขา”
“แล้วคุณจะไปกดดันลูกทำไมเนี่ย คุณวิ” ธเนศไม่พอใจ
ธีภพอึดอัด มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ที่กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย วันต่อมา จดหมายลาออกถูกวางลงบนโต๊ะทำงานผู้การเอกสิทธิ์ แต่ผู้การไม่ยอมหยิบจดหมายขึ้นมา ถามธีภพผู้ลาออกสีหน้าเครียด
“แน่ใจแล้วเหรอสารวัตรว่าจะลาออก”
“ครับ”
“บอกตรงๆ ผมไม่อยากเสียมือดีอย่างคุณไป ผมอยากให้คุณคิดดูใหม่”
เอกสิทธิ์จะเลื่อนจดหมายคืน พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้น ท่านจึงต้องรับสาย
“ผมผู้การเอกสิทธิ์พูด” ผู้การรีบเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นสุภาพขึ้น “สวัสดีครับคุณวิวรรณจำได้แน่นอนครับ”
ธีภพรู้ทันทีว่าแม่โทร.มาบีบเอกสิทธิ์ให้อนุมัติการลาออกอีกทาง
“ได้รับแล้วครับ ครับผมก็แค่เสียดาย แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของสารวัตรธีภพกับครอบครัว ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ”
เอกสิทธิ์จึงได้แต่เหลือบสายตามามองธีภพ พร้อมทำหน้าเสียดายที่ยื้อธีภพไว้ไม่ได้แล้ว ยอมหยิบจดหมายลาออกกลับมา
ธีภพเดินลงบันไดมา อธิรุธรีบวิ่งตามด้วยท่าทางตกใจ
“เฮ้ย นี่นายลาออกจริงๆ เหรอ”
“ทำไงได้ สุขภาพคุณพ่อฉันไม่ดี ยังไงฉันก็ต้องเลือกไปช่วยงานท่านก่อน”
“แล้วผู้การก็ยอมให้นายออกง่ายๆเนี่ยนะ ไม่คิดจะยื้อไว้หน่อยหรือไง ฉันละผิดหวังกับผู้การจริงๆเลย”
ผู้การเอกสิทธิ์เดินกระแอมตามลงมา
“ผิดหวังกับใครเหรอ ผู้กองอธิรุธ”
อธิรุธหันมามอง “เอ่อ...คือ...ผมว่าผมผิดหวังที่ธีภพลาออกน่ะครับ ผู้การก็คงผิดหวังเหมือนกันอะไรทำนองนี้ล่ะครับ”
เอกสิทธิ์ลากเสียงยาว “เหรอ...”
อธิรุธได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนไป
เอกสิทธิ์บอกกับธีภพว่า “ยังไงผมก็ยืนยันนะว่าไม่อยากให้คุณลาออกแต่ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว
ผมจะรีบจัดการให้ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้เราได้ร่วมงานกันอีก”
เอกสิทธิ์ตบบ่าธีภพอย่างเสียดาย ธีภพเองก็ใจหายที่ต้องลาออกจากงานที่เขารักเช่นกัน
ไม่นานต่อมา ธีภพเดินออกมาที่หน้ากองกำกับการฯ เห็นนายตำรวจคนอื่นๆ เดินเข้าออกตามปกติ ธีภพหันกลับไปมองด้านหลังอย่างเสียดายที่ต้องออกจากงานตำรวจที่เขารัก แต่ก็ต้องตัดใจ
อีกฟากหนึ่ง ราอิลตรวจดูแฟ้มเอกสารหลายแฟ้มที่พริริสาเอามาให้ในห้องทรงงาน หยิบมาเปิดอ่านดูไปด้วย
แลเห็นภาพถ่ายครอบครัว และการเติบโตของพริริสาประดับอยู่ในมุมต่างๆ ของห้อง ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย หลายรูปแสดงให้เห็นความสนิทสนมกับคามินและราอิล จนถึงตอนนี้กลายเป็นเจ้าหญิงที่สง่างาม
“งานที่ท่านพ่อให้ริสาช่วยจัดการ พอใช้ได้ไหมคะ”
“กลัวล่ะสิท่า ทำงานแรกถ้าพลาดขึ้นมาเสียชื่อเจ้าหญิงราชกุมารีแน่ๆ” คามินพูดหยอกเย้า
พริริสาค้อนใส่คามินก่อนหันมารอลุ้นฟังคำตอบ
“อืม ใช้ได้สิ ริสาเรียนรู้เร็วแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำอะไรก็มุ่งมั่นตั้งใจจนทำออกมาได้ดีทุกอย่าง”
พริริสายิ้มยืดภูมิใจ “ได้ยินไหมพี่คามิน”
“จ้าเจ้าหญิงคนเก่ง”
ราอิลถามพริริสาว่า “ดูเอกสารให้พ่อเยอะขนาดนี้เหนื่อยไหม”
“ไม่เลยค่ะ ริสาดีใจมากกว่าที่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาแบ่งเบางานของท่านพ่อ”
“พูดเอาใจท่านพ่อแบบนี้ อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” คามินแซว
“ริสาไม่ใช่พี่คามินนะ จะได้เอาใจท่านพ่อเวลาอยากได้อะไร”
“ย้อนพี่ได้ทุกคำนะเรา”
กษัตริย์ราอิลมองดูพี่น้องต่างสายเลือดหยอกเย้ากันอย่างพึงพอใจ ที่เห็นทั้งคู่รักใคร่กันดี ไคซัจแบกสีหน้าเคร่งเครียดเดินตรงเข้ามาหาราอิล พร้อมทำความเคารพ
“มีอะไรไคซัจ”
“ท่านนายพลพอลขอเข้าเฝ้าด่วนพะยะค่ะ” ไคซัจรายงาน
ราอิลและคามินรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ในขณะที่พริริสาไม่รู้เรื่องอะไร
ภายในห้องประชุมในวังนายพลพอลนั่งอยู่ในห้องประชุมพร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีก 3 นาย ราอิลและคามินดูภาพถ่ายอาวุธสงครามที่ยึดได้จากเรือประมง
“หน่วยข่าวกรองพบกองกำลังแอบขนอาวุธสงครามมาทางเรือประมง บางส่วนเรายึดไว้ได้ แต่ก็มีบางส่วนที่หลุดรอดไปพะยะค่ะ” ท่านนายพลรายงาน
ราอิลไม่พอใจ “ผ่านไป 17 ปีแล้ว ราห์มานก็ยังไม่สำนึกอีก นี่ถ้าเราไม่เห็นว่าเป็นพี่น้องกัน เราไม่มีทางปล่อยราห์มานไปเด็ดขาด”
“แล้วท่านนายพลมั่นใจได้ยังไงว่าเป็นพวกของท่านอา” คามินว่า
นายพลพอลหันไปทางนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีใครตอบได้
“ถึงตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจน แต่นิสัยราห์มานเป็นยังไงพ่อรู้ดี เราต้องระวังไว้”
“กระหม่อมจะให้ทหารของเราสอดส่องและสืบข่าวที่ชัดเจนกว่านี้” นายพลบอก
“ยุคนี้ข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นข่าวลือออกไป จะไม่เป็นผลดีกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเราแน่ๆ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด”
ราอิลพยักหน้าเห็นด้วยกับคามิน
นายพลรีบรับเอาคำ “พวกกระหม่อมจะระวังให้มากพะยะค่ะ”
ราอิลและคามินได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในอนาคต
ที่เมืองไทย ธีภพเปิดแฟ้มเอกสารพร้อมจดหมายเชิญไปร่วมงาน TRAIGIS Export Import Fairซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเล็กๆ อย่างไทรจีส อย่างแปลกประหลาดใจ
“คุณพ่อจะให้ผมไปประเทศไทรจีสเหรอครับ”
“ใช่ ถึงไทรจีสจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ตอนนี้กำลังขยายเศรษฐกิจของประเทศอยู่งานนี้มีบริษัทน่าสนใจที่เราจะขยายงานของเราไปได้อีก”
ธีภพมีสีหน้าเป็นกังวลกับงานแรกที่ได้รับมอบหมาย ธเนศดูออก
“ทำไม....ไม่มั่นใจงั้นเหรอ”
ธีภพพยายามสร้างความมั่นใจให้บิดา “ถ้าคุณพ่อมั่นใจว่าผมทำงานนี้ได้ ก็ไม่มีปัญหาครับ”
“มันต้องแบบนี้สิถึงจะสมเป็นลูกพ่อ ความจริงพ่อก็อยากจะกลับไปที่ไทรจีสอีกสักครั้ง ผ่านเหตุการณ์กบฏอนุชาราห์มานมาก็17 ปีแล้วอะไรๆ คงเปลี่ยนไปมาก”
ธเนศมองรูปตัวเองสมัยเป็นนายตำรวจใหม่ๆ พลางนึกถึงอดีต
ณ ค่ายช่วยเหลือผู้อพยพไทรจีส เมื่อ 17 ปีก่อน
ทหารไทรจีสกำลังช่วยเหลือผู้อพยพกางเต้นท์เพื่อพักอาศัย ทหารและหน่วยอาสาอีกด้านช่วยกันแจกอาหารและน้ำดื่มให้ ส่วนอีกด้านมีการตรวจรักษาโรคจากหมอและพยาบาลอาสา
ธเนศซึ่งตอนนั้นมียศเป็นพันตำรวจเอก และตำรวจไทยคอยเป็นกองสนับสนุนดูแลที่ค่ายแห่งนี้ ธเนศดูแผนที่คุยเรื่องการวางกำลังดูแลรอบค่าย นายตำรวจ 1 เดินเข้ามาทำความเคารพธเนศ
“มีรายงานมาว่าอีกสองวันกษัตริย์ราอิลจะเดินทางมาเยี่ยมผู้อพยพที่ศูนย์ของเราครับ”
“เตรียมประสานกับทางทหารที่จะมาเสริม ตรวจตราความปลอดภัยโดยรอบด้วย”
“ครับผม”
นายตำรวจ 1 รับเอาคำสั่งก่อนทำความเคารพแล้วออกไป ธเนศหันไปสั่งนายตำรวจคนอื่นๆ
“กษัตริย์ราอิลเดินทางมาที่นี่อาจเป็นเป้าหมายของพวกกบฏได้ เตรียมพร้อมกันไว้”
นายตำรวจที่เหลือรับคำสั่งอย่างแข็งขัน
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงนรี ตอนที่ 1 (ต่อ)
2 วันต่อมา ระหว่างทางตรงไปยังค่ายผู้อพยพ รถฮัมวี่นำขบวนกษัตริย์ราอิลแล่นมาตามทางเส้นนั้นมุ่งหน้าไปยังค่าย
อีกด้านเห็น ราห์มาน อาซิส หัวหน้ากบฏ น้องชายของกษัตริย์ราอิล และมือขวา พร้อมกำลังทหารฝ่ายกบฏดักรออยู่บนรถอาวุธครบมือ ทั้งหมดดักซุ่มรออยู่แบบกองโจร
รถฮัมวี่ของราอิลวิ่งเข้ามาใกล้ ราห์มานให้สัญญาณ
“ทุกคนบุก”
เสียงปืนดังกัมปนาทขึ้น รถนำขบวนหยุดทันที ทุกคนพากันหยิบอาวุธมายิงสู้ เกิดการปะทะกันขึ้น
ราห์มานและทหารกบฏเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ทุกขณะ
“ยอมจำนนแล้วมอบบัลลังก์ให้น้องชายคนนี้ซะท่านพี่ แล้วไทรจีสจะได้สงบ” ราห์มานประกาศก้อง
“ฝ่าบาทหลบมาทางนี้ก่อนพะยะค่ะ”
นายพลพอลอารักขาพากษัตริย์ราอิลไปหลบอีกด้าน พวกราห์มานเริ่มตีวงล้อมไว้ และยิงสกัดไม่หยุด
จู่ๆ ธเนศ และตำรวจไทย พากำลังทหารไทรจีสอีกส่วนออกมาตลบล้อมพวกกบฎราห์มาน ช่วยราอิล
“ท่านราห์มาน พวกตำรวจไทยมันตลบหลังเราแล้ว” อาซิสคนสนิทหารือกับราห์มาน
ฝ่ายราอิลและนายพลพอล พากันดีใจ
“ผู้กำกับธเนศพากำลังมาช่วยพวกเราแล้วพะยะค่ะ”
ราห์มานคุมแค้นสั่งการ “ฝ่าออกไปให้ได้”
พวกราห์มานยิงปะทะ อาซิสรีบวอเรียกกำลังเสริมมาช่วย
รถจี๊ปฝ่ายกบฏ 2 คันพร้อมกองกำลังแล่นเข้ามารับพวกราห์มานจากด้านข้าง และยิงใส่ฝั่งตำรวจไทยที่ล้อมอยู่ ราห์มานและอาซิสรีบวิ่งไปที่รถ
ธเนศได้จังหวะยิงเข้าที่หลังของราห์มานจังๆ
“อ๊าก”
“ท่านราห์มาน”
อาซิสตกใจรีบลากราห์มานที่อาการสาหัสขึ้นรถ ฝ่าดงกระสุนหนีออกไปได้
ราห์มานอยู่บนรถแล้วหันมามองกลุ่มตำรวจไทย และกษัตริย์ราอิลอย่างอาฆาตแค้น ราวกับจะบอกว่าวันหนึ่งจะกลับมาแก้แค้นให้จงได้
พริริสาและมิราออกมาช็อปปิ้งที่ย่านการค้าในตัวเมืองไทรจีส สองสาวเลือกซื้อของเครื่องใช้กันตามประสา มิราชี้ชวนว่าจะไปช็อปที่อีกร้านหนึ่ง พริริสาชี้บอกว่าจะไปรอที่โรงแรม ทั้งคู่แยกกัน
ภายในโรงแรมแห่งนั้น มีบรรดานักท่องเที่ยวนั่งพักผ่อนตามจริตใครมันอยู่ในล็อบบี้ ธีภพในชุดสูทหล่อเหลาดูเป็นทางการ เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาที่ล็อบบี้โรงแรมดังกล่าว
“ผมมาถึงแล้วครับคุณแม่ กำลังจะไปพบมิสเตอร์ริฟ เขาจะพาผมไปที่งานเพื่อพบกับคู่ค้าของเรา ฝากบอกคุณพ่อด้วยนะครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
ธีภพเดินออกไป
พริริสานั่งรอมิราอยู่อีกมุมหนึ่งของล็อบบี้ พนักงานเสิร์ฟนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ โค้งให้พริริสา แล้วเดินออกไป สวนกับธีภพที่เดินเข้ามา ธีภพมองหา มร. ริฟ แล้วเดินเลยโต๊ะที่พริริสานั่งไป
สักครู่หนึ่ง มิราหิ้วถุงช็อปปิ้งรีบร้อนเดินเข้ามาจากอีกด้านตะโกนเรียกพริริสาเสียงดัง
“ริสา”
ธีภพได้ยินเสียงเรียกชื่อด้วยภาษาอันคุ้นหูจึงหันไปมอง เห็นเพียงด้านหลังของพริริสา และยังไม่ทันได้เห็นหน้ามิรา เพราะเสียงมิสเตอร์ริฟ ขัดขึ้นก่อน
“เฮ้ มิสเตอร์ธีภพ”
ธีภพหันไปมองทางเสียงเห็นริฟยืนยิ้มอยู่ จึงเดินเข้าไปจับมือทักทาย ไม่ได้สนใจพริริสาและมิราที่เดินผ่านออกไป
งาน TRAIGIS Export Import Fair จัดขึ้นภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมแห่งเดียวกันนี้ โดยที่ห้องรับรอง ริฟ แนะนำนักธุรกิจชาวไทรจีสให้รู้จักกับธีภพ สองฝ่ายต่างจับมือทักทายกัน
ถัดจากนั้น ธีภพ ริฟ และกลุ่มนักธุรกิจนั่งดูพรีเซ็นเตชั่นแผนธุรกิจของกันและกันผ่านชิปคอมพิวเตอร์สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
พีรดากำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่ในห้องพัก ขณะจะเอื้อมมือไปหยิบแจกันอีกใบบนโต๊ะ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการตาพร่ามัวขึ้นมา พีรดาพยายามกระพริบตา เพื่อทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น พลางเอื้อมมือไปหยิบแจกัน ทว่ากลับหยิบพลาด แจกันหล่นจากโต๊ะแตกกระจาย
“แล้วกัน”
พีรดามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใคร จึงตัดสินใจจะเก็บเศษแจกันเอง แต่กลับมองเห็นไม่ชัดขึ้นมาอีก มือพีรดาถูกเศษแจกันบาดเข้าที่ปลายนิ้วเลือดออก
พริริสาและมิราเพิ่งกลับเข้ามาเห็นพอดี โดยมีหญิงรับใช้ถือถุงช็อปปิ้งตามเข้ามาด้วย
“แม่”
“พระชายา”
ทั้งคู่รีบรุดเข้าไปดูพีรดาพร้อมๆ กัน
พริริสาสั่งหญิงรับใช้ “รีบไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมาเร็ว”
“เพคะ”
หญิงรับใช้วางถุงข้าวของแล้วรีบเดินออกไปโดยเร็ว พริริสาหันมาดูแผลที่มือมารดาอย่างเป็นห่วง
“แค่เศษแจกันบาดนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจหรอกพริริสา แม่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
พีรดายิ้มให้พริริสาเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ใบหน้าและดวงตากลับหันไปพูดทางมิรา
พริริสาและมิราต่างตกใจ รู้ทันทีว่าพีรดามีอาการผิดปกติด้านการมองเห็นเป็นแน่
พริริสาพาพีรดามาตรวจอาการที่โรงพยาบาล หมอและพยาบาลผู้ช่วยตรวจดูดวงตาของพีรดาตามขั้นตอน หลายๆ วิธี สีหน้าบ่งบอกชัดแจ้งว่าอาการไม่ดีนัก
สักครู่ต่อมา หมอคุยกับพีรดาและพริริสาที่ห้องพักรับรองญาติคนไข้
“พระชายามีปัญหาที่เส้นเลือดจอประสาทตาพะยะค่ะ”
พริริสาจับมือพีรดาแน่นอย่างเป็นห่วง “ทำไมจู่ๆ แม่ถึงมีอาการแบบนี้ได้ละคะหมอ”
“อาการแบบนี้โดยทั่วไปก็มาจากวัยที่มากขึ้น หรือไม่ก็ต้องเคยได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณดวงตา หรือศีรษะอย่างรุนแรงมาก่อนจนมีเลือดคั่งโดยไม่รู้ตัวแต่เพราะความเคยชินเลยปล่อยให้เรื้อรังอยู่นานจนมีอาการมากขึ้นได้พะยะค่ะ”
พริริสาและพีรดาเหมือนถูกสะกิดแผลที่อยู่ในใจ โดยเฉพาะพริริสานั้นดวงตาวาววับขึ้นมาทันที ยืนมืออีกข้างมาสัมผัสรอยแผลเป็นที่ข้อมือ อันเป็นสิ่งฝังใจให้หวนนึกถึงอดีตแสนโหดร้าย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นในบ้านเช่าที่เมืองไทย เวลานั้นลูกน้องกานดาใช้ด้ามปืน ฟาดใส่ที่บริเวณขมับพีรดาอย่างแรง พีรดาล้มอยู่ที่พื้นเลือดไหลเป็นทาง
กานดายืนดูอย่างสาแก่ใจ
“แม่จ๋า อย่าทำอะไรแม่นะ คนใจร้ายใจดำ มาทำแม่ริสาทำไม”
พริริสาเข้าไปดันกานดาไว้ไม่ให้เข้าไปทำร้ายพีรดาอีก
“จะโทษฉันไม่ได้หรอกนะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะบูรพเกียรติไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเธอสองแม่ลูกอีก ฉันก็จำใจที่ต้องทำตามคำสั่งของคุณแม่ ที่ต้องการให้พวกเธอหายสาบสูญไปจากชีวิตคุณคณินเขาซะ”
กานดากระชากพริริสาแล้วผลักไปอีกด้าน ร่างพริริสากระเด็นไปเซล้มลง ข้อมือกระแทกเข้ากับเหล็กแหลมกรีดข้อมือเป็นแผลลึก
“ริสา ลูกแม่”
พีรดาตกใจมากกระเสือกกระสนไปหาพริริสาที่ร้องไห้จ้า เห็นแผลและเลือดที่ข้อมือตน
“ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองก็แล้วกัน ที่ไม่เจียมตัว”
พีรดากอดลูกสาวแน่นในสภาพน้ำตานองหน้า ส่วนเด็กหญิงพริริสาจดสายตามองจ้องกานดาที่ยิ้มเยาะอย่างเลือดเย็นมาให้ นึกโกรธ เกลียด แค้นคนใจร้ายตามประสาเด็ก
กานดาเดินไปยังรถที่จอดรออยู่ คุณหญิงจินตนาลงจากรถคนนั้นด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจชัดเจนว่าไม่อยากหายใจอยู่ในบริเวณนี้นานนัก
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ดาทำตามคำสั่งคุณแม่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดี งั้นก็กลับกันได้ แม่ไม่อยากเห็นหน้านังเหลือบไรสองแม่ลูกนั่นอีก”
กานดาและจินตนากลับขึ้นรถไป รถแล่นออกไป
พริริสาเกาะหน้าต่างแอบมองดูรถที่แล่นออกไปด้วยแววตาเกลียดชัง น้ำตากลบตาด้วยความเจ็บปวดใจ ที่ย่าและพ่อไม่ต้องการตนกับแม่ ถึงขนาดส่งคนมาทำร้าย
พีรดาดูแผลที่ข้อมือให้พริริสาที่พันแผลไว้ทั้งน้ำตา ที่หน้าผากพีรดามีผ้าปิดแผลมีเลือดซึมอยู่ ท่ามกลางห้องที่ข้าวของถูกทำลายเกลื่อนพื้น
พีรดาไม่เป็นอะไรแล้วนะริสา
พีรดามองออกไปที่หน้าต่างเห็นคนของกานดายังยืนจ้องมองเข้ามาด้วยสายตาที่เหี้ยมเกรียมราวกับพร้อมจะเข้ามาทำร้ายสองแม่ลูกได้ทุกเวลา
พีรดารีบไปปิดหน้าต่างอย่างหวาดกลัว เข้ามากอดพริริสาเอาไว้อย่างหวั่นใจ ไม่รู้พวกข้างนอกจะเข้ามาทำร้ายเธอและลูกอีกเมื่อไหร่ จึงตัดสินใจหนี
มือข้างหนึ่งของพีรดาหิ้วกระเป๋าเดินทาง อีกมือจูงพริริสาให้รีบเดินเพื่อออกไปเรียกรถที่ปากทาง สองข้างทางเป็นพงหญ้าดูเปลี่ยว
“แม่จ๋าเราจะไปไหน”
“เราจะไปให้ไกลจากพวกคนใจร้ายกันลูก”
แสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งส่องเข้ามา พีรดาหันกลับไปมอง พบว่าภายในรถเป็นลูกน้องของกานดาที่ขับรถตามมาเพื่อเขย่าขวัญสองแม่ลูก
พีรดาตกใจรีบพาลูกสาวเร่งฝีเท้าหนี เสียงรถเร่งเครื่องแล่นตามหลังมาติดๆ พีรดาจูงพริริสาวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว
เสียงรถคันดังกล่าวเร่งความเร็วขึ้นราวกับจะพุ่งชน พีรดาตัดสินใจทิ้งกระเป๋าอุ้มพริริสาวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด รถแล่นเร็วขึ้นพุ่งทะยานเข้าใส่เกือบถึงตัวแม่ลูกรอมร่อ พีรดาตัดสินใจวิ่งลงพงหญ้าข้างทาง รถที่แล่นตามมาเบรกอย่างแรง
ลูกน้องกานดา 2 คน ลงจากรถ กวาดสายตามองว่าพีรดาหอบลูกวิ่งหนีไปทางไหน
ไม่นานต่อมา สองชายชั่วเดินแหวกพงหญ้ากวาดสายตามองหาพีรดาและลูกทุกจุด แต่ไม่เห็นใคร
“ไม่เห็นใครเลยพี่” ลูกน้อง1 บอก
“คุณนายสั่งไว้ พวกมันไปไหนก็ให้ตามมันไปทุกที จนกว่ามันจะทนอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ หาให้เจอ” ลูกน้อง 2 ว่า
พีรดาและพริริสาหมอบคุดคู้ตัวลีบเล็กอยู่หลังพงหญ้า ได้ยินทุกคำ พีรดาส่งสายตาให้พริริสาไม่ให้ส่งเสียง ทั้งคู่ต่างหวาดกลัวหากพวกมันเจอตัว และจะโดนทำร้ายถึงชีวิต
พริริสานั่งเหม่ออยู่ที่โซฟาในห้องพัก เมื่อนึกถึงอดีต และเผลอลูบคลำแผลเป็นที่ข้อมือตัวเอง
“ริสา ขอน้ำให้แม่หน่อยสิลูก”
พริริสาหลุดจากภวังค์หันไปมองมารดาที่อยู่ในสภาพหลังผ่าตัด มีผ้าปิดตาสองข้าง
พริริสานึกถึงคำที่แม่พูดว่าจากนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต แต่สภาพแม่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้น
“ได้ค่ะแม่”
พริริสาเดินไปเทน้ำจากเหยือกใส่แก้ว ส่งให้พีรดา เห็นมิราหอบหิ้วของหลายถุงเข้ามาในห้องพอดี
“หอบอะไรมาเยอะแยะน่ะมิรา”
“ของใช้จำเป็นไง แล้วก็พวกนิตยสารเอามาให้ริสาอ่านแก้เบื่อ มีนิตยสาร หนังสือพิมพ์จากประเทศไทยด้วยนะ เห็นริสาชอบอ่านอยู่บ่อยๆ”
“ขอบใจนะมิรา”
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันเต็มใจ เจ้าชายคามินฝากมาทูลว่าช่วงบ่ายจะมาที่โรงพยาบาลพร้อมท่านราอิลเพคะ”
พีรดายิ้มรับเอาคำ มิราหยิบนิตยสารและหนังสือพิมพ์ออกจากถุงมาวางไว้ให้พริริสา
สายตาพริริสาแลเห็นหน้าปกนิตยสารเล่มหนึ่ง เป็นภาพครอบครัว คณิน กานดาและ เกรซ หรือ กรนันท์ มีตัวหนังสือโปรยหน้าปกเด่นหรา
“ครอบครัวสมบูรณ์แบบของคณิน บูรพเกียรติ”
พริริสาตาวาวกับภาพที่เห็น อดไม่ได้ที่จะเปิดดูด้านใน เห็นภาพถ่ายครอบครัว คณิน กรนันท์และกานดา ดูอบอุ่น มีความสุข พร้อมตัวหนังสือคำโปรยบรรยายรูปภาพเหล่านั้น
“ครอบครัวที่สมบูรณ์คือการได้มีกันและกัน พ่อ แม่ ลูก”
“คุณพ่อเป็นคนน่ารักมาก รักเกรซมาก คงเพราะมีเกรซเป็นลูกสาวคนเดียว เลยตามใจตลอด”
“ความสุขเต็มร้อยคงเป็นนิยามที่เหมาะสมที่สุดสำหรับครอบครับบูรพเกียรติ”
พริริสายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกโกรธขึ้น เผลอจิกเล็บลงบนหน้ากระดาษนิตยสารนั้น พึมพำกับตัวเอง
“คนพวกนี้สมควรได้รับความสุขด้วยเหรอ
“อ่านอะไรอยู่น่ะริสา” มิราดึงนิตยสารมาดู “นี่มัน...ครอบครัวบูรพเกียรติ”
มิรานึกได้รีบหยุดพูด พีรดาพอจะเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ริสา ลูกเคยสัญญากับแม่แล้วนะว่าจะไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมาอีก ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง เราต้องอยู่กับปัจจุบันไว้”
พริริสาอดโกรธไม่ได้ “ปัจจุบันที่แม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ เพราะพวกคนเลวที่ไม่เคยได้รับผลกรรมจากที่สิ่งทำเอาไว้เลยเหรอคะ”
พีรดาปราม “ริสา”
“หมอบอกริสาว่าหลังผ่าตัด แม่อาจจะกลับมามองเห็นไม่ได้เหมือนเดิม แล้วคนพวกนั้นกลับยิ้มระรื่น มีความสุขกันเต็มร้อย ในขณะที่พวกเราต้องเจ็บปวด มันไม่ยุติธรรมเลย”
“ถึงจะมองไม่เห็นเหมือนเดิม แต่แม่ก็ยังใช้ชีวิตได้ แม่มีลูก มีคามิน มีท่านพ่อ แค่นี้มันก็มากพอสำหรับแม่แล้วริสา”
พริริสาเกิดทิฐิในใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องยอมคนที่เคยทำร้ายตัวเองด้วย จึงเดินหนีออกจากห้องไปอย่างทนไม่ไหว
มิราตกใจ “ริสาจะไปไหน”
“รีบตามริสาไปเถอะมิรา”
มิรารีบตามออกไป
พีรดาได้แต่กังวลใจ เพราะตระหนักดีว่าเวลาพริริสาโกรธไม่ต่างอะไรจากพายุลูกหนึ่งทีเดียว
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงนรี ตอนที่ 1 (ต่อ)
พริริสาพาหัวใจร้อนรุ่มเพราะความโกรธแค้นเดินหุนหันออกมาตามทางเดิน มิราเร่งฝีเท้าตามมา
“ริสา”
แต่ริสาไม่ยอมหยุด มิราตัดสินใจเรียกชื่อเต็มเพื่อให้พริริสามีสติมากกว่านี้
“เจ้าหญิงพริริสา อไมร์คาน”
พริริสาชะงัก หันกลับมามองเพื่อนสาวอย่างไม่พอใจ
“ริสา ตอนนี้เธอคือเจ้าหญิงแห่งไทรจีสนะ เรื่องอดีต...”
พริริสาตัดบท “ฉันรู้ว่าเธอจะบอกอะไรฉันมิรา แต่ฉันไม่อยากฟังเข้าใจไหม”
พร้อมกับว่าพริริสาจะเดินหนี คามินและไคซัจ เดินเข้ามาพอดี
“ริสา มิรา” คามินทักสองสาว
มิราย่อตัวทำความเคารพคามิน
“เจ้าชาย ไหนว่าจะมาพร้อมท่านราอิลไงเพคะ”
“ท่านพ่อให้เรามาก่อน ท่านยังคุยธุระไม่เสร็จ”
“พี่คามินมาก็ดีแล้ว ริสาฝากแม่ด้วย”
พริริสาเดินหุนหันออกไปอย่างระงับความรู้สึกในใจยังไม่ได้ คามินมองตามอย่างแปลกใจ
“มีเรื่องอะไรกันมิรา”
“เรื่องเดิมๆ นั่นละเพคะ”
คามินรู้ทันทีว่าพริริสากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไร ได้แต่ถอนใจอย่างเป็นห่วง
ด้านมิสเตอร์รีฟและคณะคู่ค้าชาวไทรจีส พาธีภพมาเดินชมความงดงามของอุทยาน
“ขอบคุณพวกคุณมากที่พาผมมาสถานที่สวยๆ แบบนี้”
“ทางผมต่างหากที่ต้องขอบคุณทางวงศ์ทวีกาลที่มีข้อเสนอดีๆ ทางธุรกิจให้”
“วันนี้ถือว่าพวกเรามาสร้างมิตรภาพดีๆ ก่อนคุณกลับประเทศไทยก็แล้วกัน”
ธีภพ รีฟ และคู่ค้าดูเป็นมิตรที่สนิทสนมกันมาก แม้จะเพิ่งได้พบเจอกันเพียงไม่กี่วัน
พริริสายืนวาดรูปสีน้ำมันอยู่กลางอุทยาน แม้ภาพดอกไม้ในเฟรมและดอกไม้จริงตรงหน้าจะดูสวยงามเพียงใด แต่สีหน้าและแววตาพริริสาแทบมองไม่เห็นความสวยเหล่านั้น
ส่วนในห้องพักของโรงพยาบาล คามินอยู่ในนั้นแล้ว มองดูนิตยสารที่เป็นต้นเหตุจุดไฟความโกรธเกลียดในอดีตให้พริริสาอย่างเข้าใจสาเหตุ
“นี่เองที่ทำให้ริสาอารมณ์แปรปรวน”
แม้ปิดตาอยู่แต่สีหน้าพีรดาก็แสดงออกมาชัดเจนว่าไม่สบายใจมาก
“แล้วริสาล่ะคามิน”
“มิราออกไปตามแล้วครับ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง”
“จะให้แม่ไม่ห่วงได้ยังไง ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ริสาก็ยังไม่ยอมลืม”
“เรื่องบางเรื่องอาจจบไป แต่มันไม่อาจลบออกไปจากใจได้ง่ายๆ หรอกครับ”
“แล้วจะมีอะไรที่จะลบเรื่องเลวร้ายนั่นไปจากใจริสาได้ มันจะมีบ้างไหมคามิน”
พีรดารู้สึกเศร้าใจ คามินเองก็ตอบไม่ได้
ที่อุทยาน พริริสาพยายามตั้งสติวาดรูปเพื่อระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจ แต่จิตใจพริริสานึกถึงแต่เรื่องร้ายๆ ในอดีต โดยเฉพาะภาพจำ
ตอนลูกน้องกานดาใช้ด้ามปืนฟาดใส่ที่บริเวณขมับพีรดาอย่างแรง จนพีรดาล้มลงไปกองที่พื้นเลือดไหลเป็นทาง ส่วนกานดายืนดูอย่างสาแก่ใจอยู่
“จะโทษฉันไม่ได้หรอกนะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะครอบครัวบูรพเกียรติเขาไม่ต้องการ เห็นหน้าพวกแกสองแม่ลูกอีก ฉันก็จำใจที่ต้องทำตามคำสั่งของคุณหญิงให้มาจัดการพวกแก ให้หายสาบสูญไปจากชีวิตคุณคณินเขาซะ”
พร้อมกับว่า กานดากระชากพริริสาผลักไปอีกด้าน ร่างพริริสากระเด็นไปล้มลง ข้อมือกระแทกเข้ากับเหล็กแหลมกรีดเฉือนข้อมือเป็นแผลลึก
กานดาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ คุณหญิงจินตนาลงจากรถ
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
พริริสาหมกมุ่นกับเรื่องของพวกบูรพเกียรติ ทำให้ยิ่งเกลียดภาพดอกไม้ที่ตัวเองวาด กำพู่กันในมือแน่น หันไปหยิบขวดใส่น้ำมันสนตัวทำละลายสีน้ำมัน ค่อยๆ เทลงไปบนรูปวาดของตัวเอง ภาพดอกไม้ที่สวยงามถูกละลายจนเปรอะเปื้อน ไม่ต่างจากจิตใจพริริสาตอนนี้ที่ขุ่นมัวเหลือคณา
พริริสาหยิบหมวกปีกกว้างที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาสวม แล้วหันหลังเดินออกไป
ธีภพกับรีฟและคู่ค้า เดินเข้ามาในสวนสวยที่จัดเตรียมงานบางอย่างอยู่ คนกลุ่มหนึ่งกำลังจัดซุ้มดอกไม้ มีการจัดเตรียมเวทีเล็กๆ มีสต๊าฟกำลังไล่สายไฟและติดตั้งเครื่องเปเปอร์ชู้ตอยู่หลายตัว รีฟอธิบายเรื่องความสำคัญของสถานที่กับธีภพ
“ที่นี่ถึงจะเป็นอุทยานของทางรัฐบาล แต่ก็เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาจัดงานต่างๆ อยู่บ่อยๆ”
พริริสาเดินมาจากอีกด้าน ธีภพมองไปเห็น สะดุดตาหญิงสาวในหมวกปีกกว้าง ท่วงท่าสง่างามระเหิดระหง แม้จะมองไม่เห็นหน้าเพราะแสงที่ส่องย้อนแยงตา
อีกฟากมิราเดินตามหาพริริสา จนเจอเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่เดินผ่านมา จึงปรี่เข้าไปหา เจ้าหน้าที่เห็นมิราก็โค้งให้
“เจ้าหญิงมาที่นี่หรือเปล่า”
“มาครับ ผมเห็นเจ้าหญิงเพิ่งออกมาจากสวนดอกไม้ด้านใน” เจ้าหน้าที่บอก
“ขอบใจ”
มิรารีบเดินไปตามทางที่บอกอย่างร้อนใจ
ธีภพเดินหย่อนใจอยู่ในสวนสวย จู่ๆ ก็มีสุนัขวิ่งเห่าเข้ามาหา ธีภพตกใจ แต่ดูแล้วสุนัขตัวนั้นไม่ได้ดุร้ายอะไรนัก จึงจุ๊ปากห้ามให้เงียบ
“เฮ้ย จุ๊ๆ ไม่ต้องเห่า”
เสียงเห่าของเจ้าชาโค ปลุกพริริสาให้หลุดออกจากอดีตอันเจ็บปวด ร้องบอกไป
“ชาโคเงียบ”
พร้อมกับว่าพริริสา ยื่นหน้าออกจากเฟรมภาพมามอง เธอเห็นธีภพกำลังคุยกับชาโคอยู่เป็นเชิงบอกให้เงียบ และพอพริริสาลุกเดินออกไปจากศาลากลางอุทยาน ธีภพจึงเงยหน้ามามอง
แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างเพราะถูกผ้าม่านสีขาวบดบัง แต่ธีภพก็จดจำวงหน้าและร่างงามระหงของพริริสาได้แม่น
พริริสานั่งนิ่งขึงอยู่บนเตียงในห้องนอน มีมิรานั่งอยู่ตรงโซฟาข้างเตียงถามอย่างเป็นห่วง
“ริสา เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“อยู่ๆ ก็หนีออกมาจากโรงพยาบาลแบบนี้ พระชายาเป็นห่วงเธอมากนะ”
พริริสารู้สึกผิดที่ทำตามอารมณ์จนทำให้แม่ไม่สบายใจ
มิรานำเอารูปสีน้ำมันที่พริริสาวาดไว้ ไปวางที่มุมหนึ่งของห้องนอน
“ริสา นี่หนีออกไปวาดรูปแล้วละเลงซะเละแบบนี้เลยเหรอ”
“ก็วาดออกมาไม่สวย”
“วาดไม่สวยหรือมองเห็นอะไรก็ไม่สวยไปหมด เพราะกำลังโกรธกันแน่”
พริริสายอมรับอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นอย่างที่มิราพูด
“รู้ใจฉันดีเหลือเกินนะมิรา”
“ก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กมีเหรอฉันจะไม่รู้ว่าริสาเป็นยังไง ต่อให้โกรธพวกบูรพเกียรติยังไง แต่อย่าทำให้คนทางนี้ต้องเป็นห่วงดีกว่านะริสา”
พริริสามองรูปสีน้ำมันที่เปรอะเปื้อนอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด ก่อนหันมามองมิราอย่างรู้สึกได้ว่ามิราเป็นคนเดียวที่เข้าใจตนดีทุกอย่าง จึงตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดไว้ออกมา
“แล้วถ้าฉันคิดจะทำอะไรสักอย่าง เธอจะช่วยฉันเหมือนทุกครั้งไหมมิรา”
มิรามองพริริสาอย่างแปลกใจ
“ริสาเธอจะทำอะไร”
“ฉันจะไปประเทศไทย”
เห็นแววตาพริริสาวาววับมุ่งมั่นมาดหมายในการทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ นั่นทำให้มิรานึกหวั่นใจ
ที่บริษัทบูรพเกียรติ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเพชรที่เจียระไนแล้วอยู่ในห้องตรวจสอบคุณภาพเพชร คณินนั้นมีท่าทางไม่สบายใจเอามากๆ ยืนรอฟังผลอยู่ด้วย สักครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่สีหน้าไม่สู้ดีหันมาส่ายหน้ากับคณิน ทำให้เขายิ่งเครียด
ขณะเดียวกันศจีนั่งแทบไม่ติดโต๊ะทำงาน ท่าทางร้อนรนถึงขีดสุด พยายามโทรศัพท์ติดต่อประกิต แต่ติดต่อไม่ได้ คณินเดินเข้ามาหน้าเครียด ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียว ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ว่าไง ติดต่อประกิตได้หรือยัง”
ศจีหน้าเสียวางโทรศัพท์
“ดิฉันพยายามติดต่อไปหลายครั้งมาก แต่ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ”
“นี่มันสามวันแล้วนะคุณศจี”
ศจีนึกกลัว “ท่านประธานจะให้ศจีไปแจ้งความคนหายไหมคะ”
คณินมองศจีอย่างไม่พอใจ ศจีรีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา และไม่รู้จะทำยังไง
เวลานั้น ดร.กฤษอยู่ในโถงบ้าน อ่านเอกสารเกี่ยวกับเพชรดิบที่บริษัทเพิ่งซื้อมา พลางมองเพชรที่เจียระไนออกมาแล้วหลายเม็ด แต่ไม่ได้มาตรฐานอย่างปลงๆ จินตนา กานดา และคณิน อยู่ด้วย
“เพชรดิบที่นายประกิตสั่งซื้อมา เจียระไนแล้วไม่ได้มาตรฐานตามที่ตกลงกันไว้หมอนั่นคงตั้งใจโกงบริษัทถึงได้หนีไปก่อนพวกเราจะรู้ตัว”
จินตนาและกานดาอยู่ในนั้นด้วย มีสีหน้าตกใจ
“ผมผิดเองที่ไว้ใจนายประกิต เพราะเห็นว่าเป็นคนที่คุณแม่เลือกมา” คณินว่า
จินตนาร้อนตัว รีบแสดงความไม่พอใจกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง
“แกจะโทษว่าเป็นความผิดแม่เหรอคณิน นายประกิตเขาอยู่วงการนี้มานาน แม่เห็นบริษัทเรากำลังขาดผู้จัดการจัดซื้อเก่งๆ ก็หามาให้ กลายเป็นฉันผิดสินะ”
กานดาหนาวๆ ร้อนๆ ไปด้วย เพราะเป็นอีกคนที่ชักนำประกิตเข้ามา
“ดากับคุณแม่ก็ดูประวัติเขาดีแล้วนะคะ ไม่คิดจะกลายเป็นแบบนี้”
“ผมก็ไม่ได้โทษใครนี่ ทุกอย่างที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวผม ที่ตัดสินใจผิดพลาดเองทั้งนั้น”
แรงเก็บกดกับทุกเรื่องที่ผ่านมาคณินจึงประชดออกไป จินตนารู้ว่าลูกชายเหมารวมเรื่องอื่นเข้าไปด้วยก็ยิ่งไม่พอใจ
“ปากแกว่าเป็นความผิดตัวเอง แต่ใจแกกำลังว่าแม่กับเมียแกอยู่ใช่ไหมคณิน”
กฤษปรามเสียงเข้ม “พอได้แล้วคุณหญิง เถียงกันไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตัวการมันหนีไปแล้ว เหลือแต่บริษัทเรานี่ล่ะที่ต้องหาทางแก้ไข”
“งั้นแกก็หาทางแก้ปัญหาไปเองแล้วกันคณิน เพราะฉันมันมีแต่ชักนำปัญหามาให้ อะไรที่ฉันเลือกให้แก มันไม่เคยดีเลยสักอย่าง”
จินตนาตัดพ้ออย่างกราดเกรี้ยวแล้วลุกเดินหุนหันออกไป กานดารีบตามไปเอาใจแม่สามี
“คุณแม่คะ”
กฤษได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยของภรรยา หันมามองลูกชายอย่างเห็นใจ
“เพชรล็อตนี้ยังไงเขาก็ไม่ยอมรับคืนไปแน่ๆ เท่ากับเราต้องสูญเงินหลายสิบล้านไปเปล่าๆ แต่ถ้าเราไม่จ่าย ยอมเป็นคดีความขึ้นมา ฐานะทางการเงินของบูรพเกียรติคงโดนนักข่าวขุดคุ้ยไม่เหลือ แล้วจะเอายังไง”
“ก็คงต้องหาคนช่วยก่อนล่ะครับ ผมขอโทษคุณพ่อด้วย ที่ต้องเอาเรื่องร้อนใจมาให้รับรู้อยู่ตลอด"
คณินหน้าเครียดคิดหาคนที่จะมาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้
ขณะที่คนขับรถซึ่งไปรับธีภพกลับจากสนามบินมาถึงบ้าน สวนกับรถของคณินที่แล่นออกไป ธีภพมองเห็นคณินเพิ่งออกไปจากบ้านตนก็แปลกใจ
ธีภพลงรถ สาวใช้ออกมารับกระเป๋าเดินทางจากคนขับรถเอาไปเก็บในบ้าน วิวรรณเดินออกมารับลูกชาย เข้าไปกอดด้วยความคิดถึง
“ภพเป็นยังไงบ้างลูก”
“ผมไปไทรจีสไม่กี่วันเองนะครับ คุณแม่ทำอย่างกับผมไปเรียนต่อเมืองนอกเพิ่งกลับมา”
วิวรรณมองค้อน “ลูกคนนี้นี่ แล้วงานที่พ่อเขาให้ไปจัดการสำเร็จไหม”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ ทางโน้นตกลงจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับวงศ์ทวีกาลของเรา”
วิวรรณยิ้มปลื้มที่ลูกชายจับงานแรกก็ไปได้ด้วยดี
“จริงสิ เมื่อกี้ผมสวนกับรถอาคณินที่หน้าบ้าน”
“เขามาหาพ่อเราน่ะ”
ธีภพนึกสงสัยไม่คลายว่าคณินมาหาพ่อทำไม
ธีภพยิ่งประหลาดใจเมื่อรู้เหตุผลการมาของคณิน จากปากธเนศ
“อาคณินมีปัญหาเรื่องเงินเหรอครับ”
“เรื่องนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ปัญหาใหญ่ก็คือระบบการทำงานภายในบูรพเกียรติตอนนี้รวนไปหมด เพราะปัญหาเรื้อรังมานาน พ่อคงจะทำเป็นดูดายไม่ได้ ยังไงเราก็ยังมีหุ้นอยู่ในนั้น” ธเนศว่า
“เราก็ไม่ได้มีหุ้นอะไรมากมายในบูรพเกียรตินี่ครับ”
“ใช่ แต่ดร.กฤษก็มีบุญคุณกับครอบครัวเรามาก่อน พ่อคงมองดูพวกเขาล้มไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“แล้วคุณพ่อจะช่วยอาคณินยังไงครับ”
ธเนศมองประเมินธีภพดูอีกครั้ง พอดีกับที่วิวรรณเดินนำสาวใช้ ยกกาแฟและของว่างมาให้สองพ่อลูก วิววรรณบ่นว่าสามี
“ฉันคิดผิดหรือเปล่าคะที่ให้ลูกลาออกมาช่วยงานคุณ ฉันไม่เห็นคุณจะได้พักเลย ลูกกลับมาคุณก็คุยแต่เรื่องงาน จะให้ตาภพทำอะไรอีกล่ะคะ”
“ผมกำลังคิดว่าจะให้เจ้าภพไปทำงานที่บูรพเกียรติ”
ธีภพตกใจกับการตัดสินใจของบิดา วิวรรณเองก็เช่นกัน
บรรยากาศสนามบินสุวรรณภูมิคึกคักผู้คนขวักไขว่ วุ่นวายเห็นพริริสาและมิราลากกระเป๋าเดินมาตามทาง พริริสาและมิราอดตื่นเต้นไม่ได้ที่พากันเดินทางมากรุงเทพฯโดยไม่บอกใคร
เสียงอีเมลเข้าดังขึ้นจากมือถือของมิรา เธอรีบเปิดดูพลางเยื้อนยิ้มพอใจ
“เอกสารทุกอย่างที่เธออยากได้ ส่งเมลมาแล้วนะ ว่าแต่เราหนีมาแบบนี้ที่วังคงจะ...”
มิรามีสีหน้าเป็นกังวล ในขณะที่พริริสาไม่รู้สึกกังวลอะไรเลย
หญิงรับใช้หลายคนวิ่งวุ่นขึ้นลงบันไดในวังไทรจีสสวนกันไปมา
บ้างเปิดเข้ามาในห้องนอนพริริสาก็พบแต่ความว่างเปล่า บ้างตามหาทุกซอกทุกมุมในวังแต่ก็ไม่เจอพริริสา
หญิงรับใช้อีกคนใช้โทรศัพท์ในวัง โทรติดต่อพระสหายว่ามีใครเจอพริริสาบ้าง
หญิงรับใช้วิ่งมาเกือบชนกับไคซัจที่หน้าเครียดเพราะตามหาพริริสาไม่เจอเหมือนกัน
“เจอเจ้าหญิงหรือเปล่า”
หญิงรับใช้หน้าเสีย “มะ...ไม่เจอค่ะ”
เสียงโทรศัพท์ในวังดังขึ้น คล้ายเป็นสัญญาณของความหวังต่อการหายไปของพริริสา ไคซัจรีบตรงดิ่งไปยกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
“ฮัลโหล...เจ้าหญิง”
นายทหารหนุ่มคนสนิทขององค์ชายรัชทายาทคา ยิ้มกว้าง ดีใจเหลือแสนที่พริริสาติดต่อมา
พริริสายืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าอาคารผู้โดยสาร มีมิราคอยฟังอยู่ใกล้ๆ คนขับรถลีมูซีนกำลังยกกระเป๋าของทั้งสองสาวขึ้นรถ
“ฝากบอกท่านแม่กับพี่คามินด้วย เรากับมิรามาปาร์ตี้สละโสดของแม็กกี้ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วจะอยู่จนถึงวันแต่งงานเลย ไม่ต้องเป็นห่วง”
พริริสากดวางสาย ยกนิ้วเป็นสัญญาณบอกมิราว่าทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งคู่จึงรีบขึ้นรถที่จอดรออยู่ออกไป
ไคซัจเข้ามารายงานเรื่องพริริสากับพีรดาที่เวลานี้ยังต้องปิดตานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวน มีคามินคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
คามินทำหน้าประหลาดใจเมื่อไคซัจบอกว่าริสาอยู่อเมริกา
“ริสาอยู่อเมริกางั้นเหรอ”
คามินและไคซัจมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อว่าพริริสาจะไปอเมริกา
พีรดาเหนื่อยใจ “ลูกคนนี้ ทำไมถึงได้ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้นะ คราวก่อนก็หนีไปเที่ยวสวิสไม่บอกไม่กล่าว คราวนี้ก็หนีไปอเมริกาอีกแล้ว”
คามินรีบแก้ตัวให้ “ริสาคงเห็นว่าท่านแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว อีกสองอาทิตย์ก็เปิดตาได้ แม็กกี้ก็เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของริสา น้องถึงได้ไป มีมิราไปด้วยคงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกครับ”
“ยังไงคามิน ต้องคอยโทร.ติดต่อน้องให้แม่ด้วยนะ”
“ครับ”
คามินรับปากเพื่อให้พีรดาสบายใจ แต่ในใจเคลือบแคลงสงสัยไม่คลาย
กระจกรถลีมูนซีลดลง เผยให้เห็นพริริสาและมิราอยู่ในรถ พริริสาแหงนมองดูตึกบูรพเกียรติอย่างมีแผนในใจ
“เนี่ยเหรอบริษัทบูรพเกียรติ ก็ใหญ่โตดีนะ”
“แน่ล่ะ บูรพเกียรติเป็นบริษัทจิเวลรีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ผลิตเครื่องประดับให้แบรนด์ดังๆระดับโลกมากมาย”
ดวงตาคมปลาบของพริริสาวาววับ มีวี่แววเกลียดชังฉายโชน
“ดูเหมือนคนตระกูลนี้จะไม่เคยรู้จักคำว่าความทุกข์เลยสิท่า”
“ริสา”
“แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันนี่ล่ะจะทำให้พวกบูรพเกียรติรู้จักกับคำนี้เอง” พริริสาจ้องหน้ามิรา ถามคาดคั้น “เธอจะช่วยฉันใช่ไหม”
มิราเหมือนตกกระไดพลอยโจร แต่ก็ยินดีช่วยเพื่อนรักอยู่แล้ว
“มาด้วยกันขนาดนี้แล้ว ไม่ช่วยคงโดนเธอเล่นงานแน่ๆ ว่าไงก็ว่าตามกัน”
“นี่สิ เขาถึงจะเรียกว่าเพื่อนรัก” พริริสาหยิกแก้มหยอกล้อมิราอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ย”
พริริสาหันไปมองจ้องตึกนั้นอย่างไม่เคยลืมความหลังฝังใจในอดีต
ครั้งนี้เธอจะกลับมาทำให้คนพวกนี้ได้พบกับความทุกข์บ้าง
ภายในห้องประชุมบริษัทบูรพเกียรติ ธีภพจับมือกับกรรมการบ้าง ยกมือไหว้บ้าง ในการเปิดตัวที่เขาจะมาทำงานที่บูรพเกียรติ ในขณะที่คณินมีสีหน้านิ่งเฉย เหมือนไม่ได้ยินดีนักกับการมาทำงานที่นี่ของธีภพ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจน
“หวังว่าคุณหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงจะทำให้บริษัทของเราก้าวไปอีกขั้นนะครับ” กรรมการ1
“ผมจะไม่ทำให้เสียชื่อคุณพ่อแน่นอนครับ”
กรรมการทยอยออกจากห้องไปจนหมดเหลือแค่ คณินและศจี เลขาอารมณ์ดี
ศจีนั้นดูจะเป็นปลื้มธีภพจนออกนอกหน้า
“จะให้ศจีสั่งคนมาจัดห้องทำงานให้คุณธีภพวันนี้เลยไหมคะ”
“อยากได้ห้องแบบไหน หรืออยากได้อะไรเป็นพิเศษก็บอกศจีเขาได้เลย”
“ขอบคุณครับคุณอา”
“งานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่บูรพเกียรติอาจจะหนักสักหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้งาน แต่ในเมื่อคุณธเนศเอ่ยปากอยากให้ลูกชายคนเดียวมาเริ่มงานที่นี่ อาก็จะคอยเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกัน อาขอตัวก่อนมีงานอีกมากต้องไปจัดการ ไม่ว่ากันนะ” น้ำเสียงของคณินดูแคลนนิดๆ
“เชิญคุณอาตามสบายเถอะครับ”
คณินเดินออกไปพร้อมศจี
ธีภพรับรู้ได้ว่าคณินไม่ได้ยินดีนักกับการมาของตน เขาต้องเร่งพิสูจน์ตัวเอง
วันหนึ่ง ธีภพนั่งดื่มกาแฟด้วยสีหน้าเซ็งๆ อยู่กับอธิรุธ ในร้านกาแฟตกแต่งเก๋ไก๋ใกล้ๆ ตึกบูรพเกียรติ
“เป็นไง เปลี่ยนจากจับปืนมาจับปากกาเซ็นเอกสารไม่ง่ายเลยใช่ไหมล่ะ”
“อะไรที่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ มันก็ยากทั้งนั้นล่ะ โดยเฉพาะต้องมาเริ่มงานที่บูรพเกียรติ ท่าทางอาคณินเหมือนไม่ค่อยอยากให้ฉันมาทำงานด้วยสักเท่าไหร่”
“แต่เขาก็ขัดพ่อนายไม่ได้”
“ก็ประมาณนั้น กลับจากไทรจีส ก็ต้องมาแก้ปัญหาที่บูรพเกียรติ แต่ละงานยากๆ ทั้งนั้น”
อธิรุธพูดทีเล่นทีจริง “ก็นายมันเกิดมาเป็นลูกราชสีห์นี่หว่า จะยิ่งใหญ่ได้ ก็ต้องโดนผลักตกหน้าผาซะก่อนไงซิมบ้า...ซิมบ้าเคยดูไหมไลอ้อนคิงส์มั้ยครับ”
“บ้า...มุกอะไรเนี่ย”
ธีภพพยายามทำหน้าเคร่ง เอือมระอากับมุกไม่ตลกของอธิรุธพลางมองออกไปนอกร้าน
พริริสาแต่งชุดเรียบร้อยรัดกุม มีเข็มกลัดดอกไม้ทำจากผ้าลายสวยติดที่อก ก้าวลงจากแท็กซี่ เดินตรงไปยังตึกบูรพเกียรติ
ธีภพสะดุดตากับวงหน้าคุ้นตาของพริริสาที่เดินผ่านหน้าไป
“นั่นมัน”
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงนรี ตอนที่ 1 (ต่อ)
ธีภพหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อุทยานในไทรจีส
ธีภพเดินหย่อนใจอยู่ในสวนสวย จู่ๆ ก็มีสุนัขวิ่งเห่าเข้ามาหา ธีภพตกใจ แต่ดูแล้วสุนัขตัวนั้นไม่ได้ดุร้าย จึงจุ๊ปากห้าม
“เฮ้ย จุ๊ๆ ไม่ต้องเห่า”
เสียงเห่าของเจ้าชาโค ปลุกพริริสาให้หลุดออกจากอดีตอันเจ็บปวด ร้องบอกไป
“ชาโคเงียบ”
พร้อมกับว่าพริริสา ยื่นหน้าออกจากเฟรมภาพมามอง เธอเห็นธีภพกำลังคุยกับชาโคอยู่เป็นเชิงบอกให้เงียบ และพอพริริสาลุกเดินออกไปจากศาลากลางอุทยาน ธีภพจึงเงยหน้ามามอง
แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างเพราะถูกผ้าม่านสีขาวบดบัง แต่ธีภพก็จดจำวงหน้าและร่างงามระหงของพริริสาได้แม่น
อธิรุธเห็นธีภพเอาแต่มองออกไปด้านนอกก็แปลกใจ
“ไม่ใช่หรอกมั้ง”
ธีภพบ่นกับตัวเองคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้
“เฮ้ย ไอ้ภพ มองอะไรวะ” อธิรุธมองตามออกไป
“เปล่าไม่มีอะไร”
“เฮ้ย เหล่สาวก็บอกมา คนไหนๆ” อธิรุธล้อ “ระวังคู่หมั้นที่แม่นายหาเตรียมไว้ให้จะรู้เรื่องนะเว้ย”
ธีภพส่ายหน้าเซ็งๆไม่อยากต่อปากต่อคำกับอธิรุธ
คู่หมั้นที่อธิรุธล้อ ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือ เกรซ กรนันท์ ที่เวลานี้ขับรถสปอร์ตคันหรู ใส่สมอลทอล์คโทร.สั่งงานศจีอย่างไม่เกรงใจ
“ฉันกำลังจะถึงออฟฟิศในอีกห้านาที ทุกอย่างที่ให้เตรียมครบหรือยังคุณศจี”
พริริสาพาตัวเองมาหยุดยืนที่ถนนหน้าตึกบูรพเกียรติ ในมือมีแฟ้มเอกสารเรซูเม่สำหรับสมัครงาน
ที่เธอกับคู่หู ริมา พากันทำเอกสารปลอมประวัติต่างๆ กันที่คอนโด เมื่อคืนนี้ ก่อนจะเครื่องปรินต์ เรซูเม่ ออกมา มีรูปเรียบร้อยของพริริสา แต่ลงชื่อในเอกสารว่า “ริสา ฉันทพัฒน์”
โดยมิราหยิบเอกสารเหล่านั้น พร้อมเอกสารปลอมอื่นๆ ที่เตรียมไว้ส่งให้พริริสา
“เอกสารทั้งหมดของนางสาวริสา ฉันทพัฒน์ ที่จะใช้สมัครงานที่บริษัทบูรพเกียรติ”
พริริสาดูเอกสารเหล่านั้นอย่างพอใจ
พริริสาสูดลมหายใจพร้อมจะทำตามแผนที่วางไว้ จึงเดินข้ามถนนไปที่ตึก รถของกรนันท์เลี้ยวเข้ามาอย่างเร็ว โดยไม่สนใจพริริสาที่กำลังเดินไป
เสียงแตรรถดังสนั่นหวั่นไหว จนคนแถวนั้นพากันตกใจ พริริสารีบหลบรถของกรนันท์แทบไม่ทัน เซเกือบล้มลง แฟ้มเอกสารหล่นกระจาย รถกรนันท์เข้าไปจอดเทียบหน้าตึก รปภ.รู้ว่ารถใครรีบเข้าไปเปิดประตูให้
กรนันท์ลงจากรถ ส่งกุญแจให้รปภ.เดินเฉิดฉายเข้าตึกไปอย่างไม่สนว่าเกือบชนใครเข้า
พริริสาได้แต่มองจ้องมองกรนันท์ จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของคณิน ภาพถ่ายครอบครัวคณินบนปกนิตยสารเล่มนั้น วูบเข้ามาในความคิด
ยิ่งคิดพริริสายิ่งรู้สึกเกลียดชังครอบครัวนี้เป็นทวี เธอกำมือแน่น พยายามข่มอารมณ์อันพลุ่งพล่านในอก นับหนึ่งถึงร้อย ก่อนก้มลงเก็บแฟ้มเอกสารขึ้นมา
กรนันท์เดินเฉิดฉายเข้ามาในออฟฟิศ ถามศจีที่เดินตามต้อยๆ ในมือถือกล่องเครื่องเพชร
“ช่างแต่งหน้ามาหรือยัง”
“อีกสิบห้านาทีจะมาถึงค่ะ” ศจีส่งกล่องเครื่องเพชรให้กรนันท์ “เครื่องเพชรที่คุณเกรซสั่งค่ะ”
กรนันท์เปิดกล่องดูเห็นสร้อยเพชรเส้นไม่ใหญ่พอ ก็เบ้ปาก
“เอาเส้นที่ใหญ่กว่านี้มา” พลางส่งคืนศจี
กรนันท์เดินต่อเพื่อไปยังห้องรับรอง ศจีลอบทำหน้าเซ็งๆ แล้วรีบเดินตามไป บุษกรวิ่งมาพร้อมชุดที่เพิ่งมาส่ง ศจีรีบรับชุดมารีบโชว์ให้กรนันท์ดู
“ชุดที่คุณเกรซสั่งไว้มาส่งแล้วค่ะ”
กรนันท์เบ้ปากไม่ถูกใจ “ชุดสีเพี้ยนไม่เห็นเหมือนสีที่ชั้นสั่งไว้เลย เอาไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ ชั้นไม่ใส่”
คุณหนูเกรซเดินเชิดตรงไปเข้าไปในห้องรับรอง ศจีหน้าเสียส่งชุดคืนให้บุษกร แล้วรีบเดินตามเข้าไปในห้อง
กรนันท์เดินเข้ามาในห้องรับรองนั่งลงที่โซฟา มองดูหลอดไฟและของตกแต่งในห้องอย่างขัดตาไม่ชอบใจไปหมด
“หาแจกันใบใหม่มาเปลี่ยนแทนใบนี้ด้วย เอาที่สีมันเข้ากับห้องนี้หน่อย รูปนั่นก็ด้วยเชยขนาดนี้ ใครเอามาแขวนไว้เนี่ย อ้อ แล้วให้คนมาเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ด้วย เลือกหลอดที่มันสว่างๆ เข้าไว้ เวลาถ่ายรูปออกมาหน้าฉันจะได้ไม่หมอง” คุณหนูเกรซมองนาฬิกาข้อมือ “ขอทุกอย่างให้เรียบร้อยในอีกครึ่งชั่วโมง ก่อนคนจากนิตยสารจะมาสัมภาษณ์ฉัน”
กรนันท์เดินออกไปจากห้องรับรองอย่างไม่สนใจว่าศจีกำลังจะกรีดร้องเพราะทนไม่ไหว
ศจีเครียดจับกลุ่มอยู่กับแก๊งสาวออฟฟิศเพื่อนซี้ อันมี โรซี่ หรือ ไพโรจน์ พนักงานการเงินหนุ่มหัวใจสาว ชนิตา ประชาสัมพันธ์สาวสุดเปรี้ยว และ บุษกร หรือ บัว พนักงานแผนกบัญชี พร้อมชุดของกรนันท์ที่ต้องเอาไปเปลี่ยน
“โอ๊ย ทุกอย่างต้องเสร็จในครึ่งชั่วโมง ฉันเป็นเลขาหรือทาสในเรือนเบี้ยเนี่ย ไปเอาหวายมาเฆี่ยนกันเลยดีกว่าไหม” ศจีบ่นบ้าระบดระบาย
“โถ…อีเย็น เอ๊ย...ใจเย็นๆ ค่ะพี่ศจี เราต้องตั้งสติไว้ ค่อยๆ ลำดับความสำคัญ ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ยังไงก็ต้องทันแน่ๆ ค่ะ” บุษกรปลอบ
“โอ๊ย ยัยบัว กว่าจะลำดับเสร็จ ก็หมดเวลาที่คุณเกรซให้ไว้แล้วล่ะย่ะ สั่งงานมากมายก่ายกองขนาดนั้น ตกลงพี่ศจีเป็นเลขาคุณคณินหรือเลขาคุณเกรซกันแน่” ชนิตาว่า
ศจีอยากร้องไห้ “ฉันอยากจะลาออกให้รู้แล้วรู้รอด จะหนีไปพักใจไกลๆ ไม่ต้องเจอใคร”
“พี่ศจี โรซี่ขออนุญาตแนะนำอะไรนิดนึงนะคะ”
ศจีหันหน้ามารอฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นท่าทางโรซี่ดูจริงจังมาก
“เวลาที่เราอยากจะหนีไปพักใจไกลๆ ให้ลองถามใจตัวเองดีๆ ก่อนว่า...มีตังค์ไหม”
ศจีโดนพูดแทงใจดำร้องไห้หนักกว่าเดิม โรซี่ ชนิตา บุษกร ได้แต่มองอย่างเห็นใจ
พริริสาเดินมาตามทาง มองหาฝ่ายบุคคล มีพนักงานเดินสวนมาพอดี
“ขอโทษค่ะ ฝ่ายบุคคลไปทางไหนคะ”
พนักงานชี้บอกทาง “ทางนี้เลยจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พริริสาเดินไปตามทางที่พนักงานชี้บอก
เมื่อพริริสาเดินผ่านมาเห็นพวกศจีจับกลุ่มกันก็หยุดยืนฟัง ศจียังเครียดไม่หายพยายามหาคนช่วย
“ว่าแต่จะมีใครช่วยฉันเอาชุดคุณเกรซไปเปลี่ยนทีได้ไหม ที่ร้านเขาเอามาเปลี่ยนให้ไม่ทันแน่ๆ”
สามสาวพากันแตกฮือ ชนิตารีบชิ่งก่อนคนแรก
“ว้ายตายแล้ว ลืมไปเลยค่ะว่าต้องไปตัดข่าวของบริษัท ตาไปก่อนนะคะ”
“บัวก็มีงานค้างอยู่ค่ะ” บุษกรชิ่งไปอีกคน
“พี่ศจี โรซี่ขออนุญาตแนะนำอะไรนิดนึงนะคะ”
ศจีโมโหที่ไม่มีใครยอมช่วย “หล่อนจะแนะนำอะไรฉันอีกยะ”
“รีบไปบอกฝ่ายบุคคลให้หาผู้ช่วยเลขาผู้บริหารด่วนที่สุดเลยค่ะ”
โรซี่พูดจบก็รีบชิ่งออกไปอีกคน ศจีอยากจะกรีดร้องที่ไม่มีใครยอมช่วย
พริริสาได้ยินว่าศจีเป็นเลขาผู้บริหาร ก็เหมือนได้โอกาสทอง เธอเดินเข้าไปหาศจีเสนอตัวช่วย
“ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ”
ศจีมองพริริสาไม่คุ้นหน้า แต่การมีคนอาสาช่วยเหลือ นั่นทำให้ศจีมีความหวัง
พริริสาถือชุดของกรนันท์รีบเร่งเดินออกมาที่หน้าตึก มองนามบัตรร้านที่ศจีให้มา พริริสาพยายามมองหาทางไปให้เร็วที่สุด
“จะไปยังไงดีล่ะเนี่ย”
มีวินมอเตอร์ไซค์มาส่งพนักงานคนหนึ่งที่หน้าตึกพอดี พริริสาปรี่เข้าไปยื่นนามบัตรให้วินมอเตอร์ไซค์ดูปลายทาง พร้อมกับรับหมวกกันน็อคมาใส่ และขึ้นซ้อนท้ายออกไป
ศจีคุมคนให้เปลี่ยนแจกัน เปลี่ยนรูปประดับในห้อง และเปลี่ยนหลอดไฟ จนเสร็จก่อนจะมองดูนาฬิกาข้อมืออย่างลุ้นๆ ว่า พริริสาจะกลับมาทันตามเวลาที่กรนันท์นัดให้ไว้หรือเปล่า
“ฉันไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่าเนี่ย เด็กนั่นคงไม่ทำฉันเสียคนหรอกนะ”
ศจีได้แต่ภาวนาว่าขอให้พริริสาเชื่อใจได้
ผ่านไปอีกสักระยะ เห็นพริริสาซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดิมในมือหิ้วชุดใหม่มาด้วย รถจอดสนิทพริริสาลงรถถอดหมวกกันน็อคคืนควักตังจ่ายให้ แล้วรีบเดินเข้ามาในตึก พริริสาหยุดมองชุดที่อยู่ในถุงพลาสติกใส รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
กรนันท์สวมชุดใหม่ที่พริริสาเอาไปเปลี่ยนมาให้ มีช่างแต่งหน้าคอยดูแลเติมหน้าให้ ศจีเอากล่องสร้อยเพชรเส้นใหม่มาเปิดให้กรนันท์ดู
“เส้นนี้ได้ไหมคะคุณเกรซ
“แบบนี้สิ ค่อยดูสมกับเป็นบูรพเกียรติ ถ่ายลงนิตยสารคนคงจะได้สะดุดตามากๆ”
กรนันท์มองดูชุดตัวเองเหมือนขาดอะไรไป
“ชุดนี้ก็สวยอยู่หรอกนะแต่เหมือนขาดอะไรไป”
ศจีรีบหยิบเข็มกลัดดอกไม้ทำจากผ้าของเธอมาให้กรนันท์ พลางว่า
“ติดเข็มกลัดหน่อย น่าจะเด่นขึ้นนะคะ”
กรนันท์มองดูเข็มกลัดนั้น ซึ่งเข้ากับชุดตัวเองก็พอใจ
“ไม่น่าเชื่อ มีรสนิยมเหมือนกันนี่คุณศจี”
ศจีแกล้งยิ้มรับคำชมปนดูแคลนนั้น แต่ในใจคุมแค้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ส่งเข็มกลัดให้ช่างแต่งหน้าติดให้กรนันท์
กรนันท์นั่งให้สัมภาษณ์ ช่างภาพถ่ายรูปกรนันท์และสร้อยเพชรที่นำมาโชว์ระหว่างสัมภาษณ์
ทุกอย่างดูราบรื่น
ศจีเดินออกมาหาพริริสาที่นั่งรออยู่หน้าห้องรับรอง
“ขอบใจมากนะ ชื่ออะไรนะจ๊ะ”
“ริสาค่ะ”
“ขอบใจมากนะริสา ไม่ได้เธอ พี่ต้องแย่แน่ๆ แถมเข็มกลัดดอกไม้นั่นอีก สายตาแหลมคมมาก ว่าชุดมันขาดอะไรไป ไม่งั้นได้ปวดหัวไม่จบ”
ศจีเห็นพริริสาถือแฟ้มเอกสารที่เตรียมจะมาสมัครงานอยู่ก็นึกได้
“อ้อ นั่น เอกสารสมัครงานใช่ไหมจ๊ะ เอามา เดี๋ยวพี่ศจีจัดการให้”
พริริสาส่งแฟ้มเอกสารให้ศจี “ขอบคุณพี่ศจีมากเลยนะคะ”
“โอ๊ยคนเก่งๆ ขยันๆแบบนี้ บริษัทเราต้องการอยู่แล้ว โดยเฉพาะพี่อยากได้ผู้ช่วยแบบริสามานานแล้ว ได้อย่างใจ”
พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“พี่ศจีครับ เรื่องห้องทำงานคุณธีภพนี่จะยังไงดีครับ”
ศจีตกใจนึกได้ว่ามีอีกงานต้องจัดการ
“ตายแล้ว ลืมไปเลย เดี๋ยวฉันไปดูเอง” ศจีหันมาหาพริริสา “แล้วจะให้ฝ่ายบุคคลโทร.ไปหานะ”
“ค่ะ”
ศจีรีบเดินตามพนักงานไป พริริสายิ้มโล่งใจที่ทุกอย่างง่ายกว่าที่คิด
ธีภพเดินเข้ามาดูห้องทำงานใหม่ของตน มองรอบๆ อย่างพอใจ
“พอดีศจีเห็นคุณธียังไม่กลับเลยอยากให้มาดูห้องทำงานก่อน จะได้ปรับเปลี่ยนได้ทัน ชอบไหมคะ”
“ครับ ต้องขอบคุณคุณศจีมากที่ช่วยจัดการให้”
ศจียิ่งปลื้มที่หนุ่มรูปงามไม่เรื่องเยอะ
“งั้นศจีขอตัวไปดูคุณเกรซก่อนนะคะ ไม่รู้จะจิก เอ่อ ใช้อะไรศจีอีก”
ศจีจะเดินออกไปแต่ต้องชะงัก เมื่อเจอกรนันท์เดินสวนเข้ามาก่อน และทันได้ยินพอดี
“ในเมื่องานออกมาเรียบร้อย ฉันก็ไม่มีอะไรจะใช้คุณศจีแล้วล่ะ”
ศจีหน้าเสีย “งั้นศจีขอตัวไปทำงานอื่นต่อก่อนนะคะ”
รอจนศจีพ้นตัวไป กรนันท์จึงเดินเข้าไปหาธีภพ
“เสียดาย พี่ภพน่าจะอยู่ด้วยตอนเกรซสัมภาษณ์ เกรซจะได้ให้ทางนิตยสารถ่ายรูปเราคู่กัน ในฐานะผู้บริหารหนุ่มคนใหม่ของบูรพเกียรติ”
“พี่ยังไม่ทันได้เริ่มงานเลยนะเกรซ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ดูเกรซสิ เกรซก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ยังมีนิตยสารมาสัมภาษณ์ในฐานะทายาทนักธุรกิจพันล้าน”
ธีภพเพียงยิ้มบางๆ กับการชื่นชมตัวเองของกรนันท์
“งั้นกลางวันนี้เราไปทานข้าวกันนะคะ”
ธีภพหันไปเห็นซองเอกสารของพริริสาที่ศจีรีบทิ้งเอาไว้ จึงเดินไปหยิบมาดู
“คุณศจีคงลืมเอาไว้”
ธีภพจะเปิดดู แต่กรนันท์แย่งไปเปิดดูก่อน เห็นเป็นเอกสารสมัครงานก็เลยไม่สนใจ
“แค่เรซูเม่สมัครงาน ไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไรหรอกค่ะ”
พร้อมกับว่า กรนันท์โยนแฟ้มลงถังขยะแถวนั้นอย่างไม่เห็นค่า
“ไปกันดีกว่าค่ะ”
ธีภพมองกรนันท์อย่างไม่ชอบใจนัก ก้มลงเก็บแฟ้มเอกสารจากถังขยะขึ้นมา
“สำหรับเกรซ เอกสารนี้อาจจะเป็นแค่กระดาษธรรมดาๆ ใบหนึ่ง ไม่มีค่าอะไร แต่สำหรับเจ้าของ มันคืออนาคตของเขาเลยนะ อย่าทำแบบนี้อีก พี่จะเอาไปให้คุณศจี”
ธีภพถือแฟ้มเดินออกไป กรนันท์ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจที่ถูกตำหนิ แต่ก็ต้องตามง้อธีภพ
“พี่ภพ เกรซไม่ตั้งใจนะคะ”
คณินคุยโทรศัพท์กับศจีพลางตรวจเอกสารไปด้วย อยู่ที่โถงบ้าน
“ผู้ช่วยเลขางั้นเหรอ คุณพอใจใครก็รับมาเลยคุณศจี ผมให้สิทธิ์คุณตัดสินใจเต็มที่ อยากให้มาเริ่มงานเมื่อไหร่ก็แล้วแต่คุณเลย”
คณินวางโทรศัพท์ หันมาสนใจกองงานตัวเองต่อ ดร.กฤษเดินเข้ามาพอดี
“นี่งานมันมากถึงขนาดต้องหอบงานมาทำที่บ้านเลยเหรอคณิน”
“ผมอยากจะเคลียร์พวกที่คั่งค้างให้เสร็จ ก่อนที่ธีภพจะมาทำงานน่ะครับคุณพ่อ”
“มีคนมาช่วยเพิ่มอาจจะดีก็ได้นะ” กฤษว่า
“แต่ธีภพไม่มีประสบการณ์อะไรเลยนะครับ เพิ่งจะลาออกจากตำรวจมาไม่นาน จู่ๆ ก็โดดมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ถ้าไม่ติดว่าเราต้องเกรงใจคุณธเนศ”
“ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมันก็แค่ชื่อสมมติที่คนตั้งกันขึ้นมา สุดท้ายการทำงานก็คือตัวตัดสินการยอมรับของทุกคน ให้โอกาสธีภพแสดงความสามารถก่อนเถอะ”
คุณหญิงจินตนาและคุณกานดากลับจากข้างนอก เดินเข้ามาได้ยินพอดี กานดาออกอาการดีใจชัดแจ้ง
“ธีภพมาทำงานที่บูรพเกียรติจริงๆ เหรอคะคุณ”
คณินนิ่งไม่ตอบ เพราะรู้ว่ากานดาคิดอยากให้ธีภพและกรนันท์สนิทสนมกัน
“แกจะทำหน้าเครียดไปทำไมคณิน ในเมื่อธีภพมาทำงานกับเรา ก็เท่ากับว่าอีกไม่นาน บูรพเกียรติกับวงศ์ทวีกาลอาจจะได้เกี่ยวดองกัน” คุณหญิงว่า
“จริงของคุณแม่ค่ะ ลูกเกรซกับธีภพก็สนิทสนมกันอยู่แล้ว ทีนี้ก็จะได้สนิทกันมากขึ้นอีก”
“อย่าหวังอะไรให้มากนักเลยกานดา ถ้าธีภพเข้ามาทำงาน ได้รู้ได้เห็นอะไรมากเข้า เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่อยากดองกับเราก็ได้”
จินตนาฟังแล้วโมโห “ก็เพราะแกมันเป็นซะแบบนี้ บริษัทมันถึงได้ย่ำต๊อกไม่ไปไหน มัวแต่ขัดแข้ง
ขาคนในบ้านกันเอง ไม่เคยได้อย่างใจจริงๆ”
จินตนาสะบัดหน้าเดินเข้าไปด้านใน กานดารีบเดินตามแม่สามีไป
คณินปิดแฟ้มในมือลงอย่างแรง อัดอั้นตันทรวงที่โดนจินตนาด่าว่า กฤษได้แต่ถอนใจกับครอบครัวที่ไม่เคยมีความเห็นที่ลงรอยกันได้เลย
พริริสากลับถึงคอนโดห้องพักในตอนเย็น ทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องอย่างเหนื่อยล้า มิรารีบเอาน้ำมาให้ดื่มพลางถาม
“เป็นไงบ้าง ฉันจะไปด้วยก็ไม่ยอมให้ไป”
“ไม่ไปน่ะดีแล้ว วันนี้ฉันต้องซ้อนท้ายวินไปมา หวาดเสียว วุ่นวายไปหมด”
มิราตกใจ “ซ้อนท้ายวิน ใครอ่ะ วิน”
พริริสาอดขำไม่ได้ “วินก็คือมอไซค์รับจ้างไง ที่เนี่ยเค้าเรียกวิน เวลาเรารีบไปไหน ก็เรียกใช้บริการวิน เพราะว่าเร็วมาก”
“อ๋อ”
“แล้วที่สำคัญกว่าเรื่อง วินนะ ฉันว่าฉันต้องได้งานที่บูรพเกียรติแน่ๆ” พริริสาบอกอย่างมั่นใจ
มิราตื่นเต้น “เอ๊ย จริงอ่ะ ทำไมรวดเร็วแบบนี้ล่ะ”
“ฟ้าคงอยากให้ฉันไปเร่งผลกรรมให้กับพวกบูรพเกียรติล่ะมั้ง”
“ริสา คือคิดไปคิดมาแล้ว ฉันว่ามันเสี่ยงเกินไปรึเปล่า ที่เข้าไปทำงานที่นั่น” มิรากังวลไม่คลาย
“ช่วยกันมาตั้งแต่ต้น เตรียมเอกสารให้ แล้วก็มาถอดใจเหรอมิรา ให้ฉันเข้าไปใกล้ๆ เถอะ ฉันอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเวลาที่คนพวกนั้นมีความสุขกับเวลาที่ต้องเจอกับความทุกข์ที่สุดมันจะแตกต่างกันขนาดไหน”
พริริสามีท่าทางมุ่งมั่นกับแผนการของเธอมาก ระหว่างนี้เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พริริสาเห็นชื่อคามินโทร.มาก็ตกใจ
“พี่คามิน” รีบส่งโทรศัพท์ให้มิรา “รับแทนฉันที บอกว่าฉัน อาบน้ำอยู่”
พริริสารีบเดินหลบ มิราหน้าเหวอที่ถูกโบ้ยให้รับสายสูดลมหายใจเต็มปอด แล้วจึงกดรับ
“เจ้าชาย”
องค์ชายรัชทายาทอยู่มุมหนึ่งในวัง คุยโทรศัพท์กับมิราอย่างจับผิด
“ริสาอาบน้ำอยู่งั้นเหรอ ยังไงฝากบอกริสาให้โทร.กลับหาเรากับท่านแม่ด้วย”
คามินกดวางสาย แววตายิ้มๆ แสดงให้เห็นว่ารู้ทันน้องสาวบุญธรรมว่าโกหกแน่นอน
“คิดว่าพี่รู้ไม่ทันเราเหรอริสา”
รอจนมิรากดวางสาย พริริสารีบถามทันที
“พี่คามินว่ายังไงบ้าง”
“แค่บอกว่าให้ริสาโทร.กลับไปหาน่ะ แต่เจ้าชายคามินเป็นคนฉลาด ไม่นานต้องรู้แน่ๆ ว่าพวกเราโกหก”
พริริสาถอนใจโล่งอก คิดว่าคามินยังไม่สงสัยอะไร
เสียงโทรศัพท์พริริสาดังขึ้นอีกครั้ง พริริสาและมิราพากันสะดุ้ง เพราะคิดว่าคามินโทร.มาอีก
“พี่คามินจะโทร.มาอีกทำไม หรือจะรู้แล้ว”
“ไม่ใช่เจ้าชาย” มิราบอก แล้วกดรับให้ “สวัสดีค่ะ จากบูรพเกียรติเหรอคะ สักครู่นะคะ”
มิราและพริริสาพากันประหลาดใจที่คนจากบูรพเกียรติโทร.มาตอนนี้
“ริสาพูดค่ะ จะให้ไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้เหรอคะ”
พริริสาตื่นเต้นที่บูรพเกียรติติดต่อมาเร็วเกินคาด
รุ่งเช้า พริริสาเดินเข้ามาในล็อบบี้อาคารบูรพเกียรติ พยายามทบทวนข้อมูลปลอมในหัวตัวเองไปด้วย เพื่อสัมภาษณ์งาน พริริสาเดินมารอลิฟต์พร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ ทันทีที่ลิฟต์มาถึงและเปิดออก บรรดาพนักงานแย่งกันเข้าลิฟต์
“รอด้วยค่ะ รอด้วย”
บุษกรถือกล่องใส่แก้วกาแฟร้อนยี่ห้อดังมาเต็มสองมือ พร้อมถุงอาหารเช้า รีบเดินเบียดตามเข้าไป
บุษกรถือของเต็มสองมือ พยายามเบียดตัวเข้าลิฟต์ไปยืนข้างๆ พริริสา ไม่มีใครสนใจช่วย ดูน่าสงสาร พริริสาเห็นจึงอาสาช่วย
“ฉันช่วยค่ะ”
บุษกรแบ่งถุงกาแฟให้ช่วยถือ “ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ขณะประตูลิฟต์กำลังจะปิด เสียงนุ่มหูของธีภพดังขึ้น
“รอด้วยครับ”
พริริสามัวแต่ช่วยบุษกรแบ่งแก้วกาแฟมาถือ โดยไม่ได้มองว่าคนที่เพิ่งเข้ามา ธีภพเบียดมายืนอีกข้างของพริริสา ประตูปิดลง ไม่มีใครมองหน้าใคร
ลิฟต์หยุดที่ชั้นหนึ่ง ประตูเปิดออก มีคนจากด้านหลังกรูกันเบียดออกมา กระแทกร่างพริริสา
“ว้าย”
พริริสาเซไป ทำกาแฟหกรดใส่ธีภพอย่างไม่ตั้งใจ
“เฮ้ย”
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
พริริสาและธีภพจ้องหน้ากัน พริริสาจำธีภพได้ทันที
เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อุทยานในไทรจีส ตอนนั้นสต๊าฟที่กำลังติดตั้งเครื่องเปเปอร์ชู้ตเผลอไปทับรีโมตที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้เครื่องทำงานยิงกระดาษออกมาเสียงดัง ติดกันจากหลายจุด ทุกคนบริเวณนั้นพากันตกใจคิดว่ามีระเบิดรีบพากันก้มหลบวุ่น สต๊าฟอีกคนตกใจเซไปชนฐานตั้งรูปปั้นปูนประดับล้มมาทางพริริสาที่ยืนชะงักตกใจอยู่
“คุณระวัง”
ธีภพรีบเข้าไปดึงพริริสาให้หลบพ้นรูปปั้นที่ล้มมาใส่ ทั้งคู่เซถลาไปพิงที่เสาอีกด้านหนึ่ง กระดาษจากเครื่องเปเปอร์ชู้ตปลิวว่อน มาติดเต็มตัวธีภพและพริริสา แม้หมวกปีกกว้างจะทำให้เห็นหน้าพริริสาไม่ถนัดตานัก แต่ธีภพก็จดจำใบหน้านั้นได้แม่น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
พริริสาแปลกใจนักที่รู้ว่าธีภพเป็นคนไทย แต่ความตกใจและไม่พอใจที่ธีภพเหมือนกอดตนไว้ มีมากกว่า จึงรีบสะบัดตัวออกอย่างแรง
“ปล่อย ฉันไม่เป็นไร”
พริริสาเดินหนีไปเลย
พริริสาตกใจรีบก้มหน้างุด จะออกไปจากลิฟต์ ธีภพเองก็จำพริริสาได้เช่นกัน รีบดึงแขนไว้ไม่ให้ไป
“เดี๋ยว! ทำเสื้อผมเลอะขนาดนี้ จะไปง่ายๆเหรอ คุณชื่ออะไร ทำงานที่ตึกนี้หรือเปล่า”
ธีภพแกล้งทำหน้าเอาเรื่อง พริริสาหน้าเสีย ทุกคนในลิฟต์ต่างพากันตกใจ
ธีภพเปลี่ยนเสื้อชุดใหม่ สวมสูททับกลับเข้าไป มองดูเสื้อที่เลอะกาแฟอย่างครุ่นคิด จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญครับ”
ศจีพาพริริสาเข้ามา
“เสื้อใหม่ ใส่ได้พอดีไหมคะ”
“ครับ”
ศจีช่วยเคลียร์ให้พริริสา “คุณธีภพอย่าถือสาริสาเลยนะคะ เด็กไม่ได้ตั้งใจน่ะค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ริสานี่เป็นผู้ช่วยคุณศจีเหรอครับ”
“ยังหรอกค่ะ คือวันนี้นัดมาสัมภาษณ์กันก่อน ตามขั้นตอนน่ะค่ะ”
ธีภพสบโอกาส “งั้นผมจะเข้าไปฟังสัมภาษณ์ด้วย”
ศจีตกใจ “ว่าไงนะคะ”
พริริสาเองก็ตกใจที่ธีภพจะไปฟังการสัมภาษณ์ด้วย
ไม่นานต่อมาพริริสานั่งตัวเกร็งตลอด เมื่อเห็นธีภพมานั่งฟังสัมภาษณ์ด้วย ศจีแอบอึดอัดเล็กน้อย
“สัมภาษณ์กันตามสบายเลย ผมจะขอฟังเฉยๆ เรียนรู้งานไปด้วยในตัว”
“ค่ะ เอ่อ”
“แนะนำตัวได้เลยคุณ”
“ดิฉัน ริสา ฉันทพัฒน์ จบการศึกษา...”
พริริสานึกถึงตอนที่ซ้อมท่องประวัติใหม่ของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อคืน โดยมีมิรานั่งอ่านทวนเอกสารให้ฟัง ระหว่างที่พริริสาเดินไปเดินมาท่องประวัติใหม่ตัวเอง
“ริสา ฉันทพัฒน์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ โท ภาษาฝรั่งเศส”
เวลาผ่านไปพริริสาแนะนำตัวอย่างฉะฉานเป๊ะเวอร์
“เคยฝึกงานและทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สาเหตุที่ออกจากบริษัทเดิมเพราะอุปสรรคเรื่องระยะทางที่พักกับที่ทำงาน”
ธีภพและศจีนั่งฟังพริริสาตอบสัมภาษณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว พลางอ่าน เรซูเม่ของพริริสาไปด้วย
“ส่วนงานผู้ช่วยเลขา ดิฉันคิดว่า ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกต และมีความอดทน ต่อไปถ้าดิฉันพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีความสามารถพอก็อยากจะทำหน้าที่เลขาเต็มตัวค่ะ”
ศจียิ้มปลื้มมองชื่นชม “ตอบได้ดีมาก ฟังแล้วอยากยกมง เอ๊ย ตำแหน่งตัวเองให้เลย”
“คุณเคยไป หรือเคยอยู่ต่างประเทศหรือเปล่า”
พริริสาสะดุ้งกับคำถามของธีภพ ลังเลว่าจะตอบยังไงดี
“ไม่เคยค่ะ ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็เคยไปบ้าง”
“ประเทศไทรจีส คุณก็ไม่เคยไปงั้นเหรอ”
พริริสาทำไก๋ไม่รู้เรื่อง “ประเทศไทรจีส อยู่ที่ไหนเหรอคะ ดิฉันไม่คุ้นชื่อเลย”
ธีภพหรี่ตามอง ไม่เชื่อที่พริริสาตอบ ศจีได้แต่มองทั้งคู่สลับไปมาอย่างงงๆ ว่าคุยอะไรกัน
พริริสาท่าทางโล่งอกที่ตอบคำสัมภาษณ์ได้ไม่หลุดอะไรออกไป ศจีเดินตามออกมากระซิบบอก
“ไม่ต้องห่วงนะ อีกสองวันเตรียมมาทำงานได้เลย”
พริริสายิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะ”
“พี่ไปทำงานก่อนนะ”
ศจีเดินกลับห้องทำงาน ธีภพเดินตามออกมา กระแอมทัก พริริสาชะงักหันไปหา ยิ้มให้ตามมารยาท
“คุณธีภพมีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”
ธีภพพยายามมองสำรวจพริริสาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้จำคนผิด
“คุณมีพี่น้องฝาแฝดหรือญาติที่หน้าตาเหมือนกันหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกค่ะ แต่เขาบอกว่าในโลกนี้จะมีคนหน้าตาเหมือนเราอยู่ถึง 7 คนเลยนะคะ คุณอาจจะเคยเจอใครหน้าเหมือนฉันก็ได้”
ธีภพยิ้มมองจับผิด
“แต่ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเคยเจอใครหน้าตาเหมือนคุณ”
พริริสารู้ตัวว่าโดนหลอกล่ออยู่ ก็ทำหน้าตูมใส่ธีภพอย่างไม่พอใจ
“ก็คุณถามฉันเรื่องฝาแฝด”
ธีภพกวน “ผมก็ถามไปอย่างงั้น เผื่อคุณมีฝาแฝด เวลาผมไปเจอจะได้ไม่ทักคนผิด”
พริริสาได้แต่มองธีภพอย่างหงุดหงิดที่ถูกกวนประสาท
คณินเดินเข้ามาจากทางด้านหลังของพริริสา
“ภพอามีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อย”
“ได้ครับอาคณิน”
พริริสาได้ยินชื่อคณินก็ชะงัก ค่อยๆ หันไปด้วยความรู้สึกนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองอีกครั้งในรอบ 17 ปี
พริริสาใจเต้นโครมคราม ความน้อยใจ ความโหยหาบ่งบอกในสายตาคู่งาม
ฝ่ายคณินเห็นพริริสาวูบหนึ่งก็รู้สึกแปลกใจ พริริสายิ้มพลางยกมือไหว้ คณินพยักหน้ารับ แล้วละสายตาไปหาธีภพโดยไม่ได้สนใจพริริสาอีก
“ยังไงไปคุยกันที่ห้องทำงานอาก็แล้วกัน”
คณินพูดจบก็เดินนำออกไปเลย ธีภพจำต้องผละจากพริริสาตามคณินไป
พริริสาได้แต่มองตามอย่างเจ็บลึกที่พ่อแท้ๆ ไม่รู้ว่าเธอคือใคร หวนนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กอีกครั้ง
เมื่อ 17 ปีก่อน สองแม่ลูกหนีตาย พากันรอนแรมไปถึงต่างแดน ประเทศไทรจีส เป็นครั้งแรก
รุ้งเจ้าของร้านอาหารไทยในไทรจีส มองสภาพพีรดาที่ใบหน้ามีร่องรอยถูกทำร้ายให้เห็นอยู่ พอเห็นเด็กหญิงพริริสาอยู่ในอาการเซื่องซึมอ่อนล้า มีผ้าพันแผลที่ข้อมือ ก็สงสารสองแม่ลูกจับใจ ข้างๆ มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ให้เห็นว่าเพิ่งมาถึง
“พีรดาทำไมคนพวกนั้นถึงได้ใจร้ายขนาดนี้นะ กับเด็กก็ยังไม่เว้น แล้วนี่เธอให้หมอตรวจดูแผลหรือยัง”
พีรดาส่ายหน้า “ฉันรีบจัดการทุกอย่างเพื่อมาที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ฉันไม่เป็นอะไรหรอกรุ้ง ฉันกับลูกอยากมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่”
“ดีแล้ว มาอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำงานที่นี่ อยู่ให้ไกลคนเลวๆ อย่าง...” รุ้งหันมาเห็นพริริสาก็ไม่กล้าพูดต่อ เพราะยังไงคณินก็เป็นพ่อของพริริสา “ยังไงพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน พร้อมเมื่อไหร่คอยทำงานกัน” พร้อมกับว่ารุ้งหันมาลูบหัวพริริสาอย่างสงสาร “คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเองนะจ้ะริสา”
พริริสายกมือไหว้ขอบคุณรุ้ง
“ขอบคุณค่ะ ริสาจะช่วยแม่ทำงานที่นี่ด้วยค่ะ”
“โธ่ น่ารักจริงๆ ตัวเท่านี้ยังรู้จักคิดช่วยแม่ทำงาน”
พีรดายิ้มน้ำตาคลอที่ลูกเป็นเด็กดี
วันเวลาผันผ่าน ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าที่เดินผ่าน สวนกันไปมา พีรดากับพริริสาเดินเข้าออกหลายร้านซื้อข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน สองแม่ลูกใช้ชีวิตที่ไทรจีสจนคุ้นเคยมากขึ้นๆ และมีความสุขดีกับชีวิตในดินแดนแห่งนี้
พริริสาดึงมือพีรดาให้รีบกลับ
“ใกล้เวลาช่วยน้ารุ้งเปิดร้านแล้วนะคะแม่ วันนี้คุณลุงกับพี่คามินจะมาที่ร้านด้วย พี่คามินบอกริสาไว้”
“โอเคจ้า รีบกลับก็รีบกลับ”
พีรดารีบจูงพาพริริสาเดินข้ามถนนไป
ที่ร้านอาหารไทยของรุ้ง พีรดาสวมชุดไทยเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะของราอิลและคามิน ซึ่งมาทานอาหารที่นี่หลายครั้งแล้ว
“ข้าวคลุกกะปิ ไม่ใส่หอมแดง ไม่ใส่กุ้งแห้ง เปลี่ยนไข่เจียวเป็นไข่เค็ม สองจานมาแล้วค่ะ”
พีรดายิ้มให้ราอิลและคามินอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร อย่างคนสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว
“ทานแบบนี้ทุกครั้งที่มา ไม่เบื่อกันบ้างเหรอคะสองพ่อลูก”
ราอิลยิ้มให้พีรดา แววตาเจิดจ้าแสดงออกชัดว่าชอบอีกฝ่าย
“ผมเป็นคนชอบอะไรก็จะชอบอยู่แบบนั้นล่ะ”
“พ่อชอบอะไรผมก็ชอบด้วย” เด็กชายคามินในวัย 12 ขวบบอก
เด็กหญิงพริริสาถือจานใส่แตงกวาแกะสลัก เป็นรูปดอกไม้บ้าง ใบไม้บ้าง นำมาอวดคามินตามประสาเด็ก
“พี่คามิน ริสาทำเองสวยไหม”
“สวย น่ากินมากเลย”
คามินแกล้งหยิบแตงกวามากินอย่างอร่อย
พริริสางอน “มากินของริสาทำไมเนี่ย”
คามินหัวเราะขำ “อ้าวพี่ก็นึกว่าเอามาให้พี่กิน”
พริริสางอน ยกจานกลับไปที่เคาน์เตอร์ นั่งข้างๆ รุ้ง
“คามินทำไมชอบแกล้งน้อง พีรดา คุณคงไม่โกรธนะ” ราอิลว่า
“เด็กๆ เล่นกัน ฉันไม่คิดอะไรหรอกค่ะ”
พีรดามองราอิล แสดงออกว่าก็รู้สึกดีกับราอิลและคามินมากเช่นกัน
รุ้งแอบมองราอิลและคามินด้วยแววตาสงสัย
พริริสาเห็นก็ถามขึ้น “น้ารุ้งมองอะไรคะ”
“ก็มองลูกค้าประจำของแม่เราน่ะสิ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก”
รุ้งพยายามสลัดความคิดออกจากหัว ด้วยว่าคงเป็นไปไม่ได้
อยู่มาวันหนึ่ง พริริสาวิ่งเข้าดูสวนกุหลาบในอุทยานของวังไทจีสอย่างตื่นตา
“สวยจังเลย”
พีรดาเหลียวมองกอกุหลาบที่ออกดอกเต็มต้นอย่างประทับใจ
“เห็นคุณชอบดอกกุหลาบ ผมก็เลยพามาที่นี่”
“แต่ฉันยังไม่รู้เลยนะคะว่าที่นี่ที่ไหน”
“บ้านผมเอง” ราอิลบอก
พีรดาทำสีหน้าประหลาดใจ ปนไม่อยากจะเชื่อ
“คุณล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ”
ราอิลยื่นมือไปให้ พีรดาส่งมือให้ราอิลจับอย่างงุนงง ราอิลร้องเรียกพริริสา
“ริสา มานี่สิ ลุงจะพาไปดูบ้านของลุง”
พริริสาวิ่งไปจับมือราอิลไว้อีกข้าง ราอิลจูงพาพีรดาและพริริสาเดินไป
ราอิลพาพีรดาและพริริสามาหยุดที่หน้าตำหนักใหญ่ของวังไทรจีส พีรดาตกใจมากกับสิ่งที่เห็น
“บ้านคุณลุงใหญ่จังเลย” พริริสามองอย่างตื่นตา
คามินในวัย 12 ปี แต่งชุดเจ้าชายเดินเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ ที่ย่อตัวทำความเคารพราอิล
“ท่านพ่อ พาน้าพีรดากับริสามาด้วยเหรอพะยะค่ะ”
พีรดาพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้ความจริงว่าราอิลเป็นใคร
“ถ้าผมอยากให้คุณกับลูกมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน คุณจะยินดีไหมพีรดา”
พีรดาน้ำตาคลอไม่คิดฝันว่าจะได้พบรักกับคนสูงศักดิ์อย่างราอิล
“ทำไมถึงเป็นฉันคะ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง”
“ผมเป็นคนชอบความเรียบง่าย แล้วสำหรับที่ไทรจีส ความรักก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมเลือกได้เองโดยไม่ต้องคำนึงถึงยศศักดิ์และฐานันดร คุณจะเป็นคนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้ผมได้ พีรดา”
พีรดาซาบซึ้งใจ หันมาหาพริริสาที่ตาแป๋วมองดูอยู่
“ริสาเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่นี่ ลืมอดีตให้หมด จากนี้แม่กับลูกจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต นะลูกนะ”
ราอิลดึงพีรดามาโอบไว้อย่างพร้อมจะปกป้องดูแลเธอและลูกต่อไป คามินเข้ามาจูงแขนพริริสาพาเดินดูรอบๆ วัง
พริริสาดึงตัวเองกลับมา เวลานี้เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะในโรงอาหารของบริษัท มองไปรอบๆ อย่างสำรวจเก็บข้อมูลไว้ โรซี่ บุษกร และชนิตายกจานอาหารมาให้พริริสาและของตัวเอง
“ทานเลยจ้าไม่ต้องเกรงใจ เงินยัยบัวล้วนๆ” โรซี่จีบปาก
“ถือเป็นการตอบแทนเรื่องเมื่อเช้านะจ๊ะ”
“เธอนี่ก็โชคดีมากเลยนะริสา มาได้ถูกเวลา ถูกจังหวะมาก พี่ศจีอยากจะได้ผู้ช่วยมานานแล้ว”
โรซี่แขวะ “มารับเคราะห์ต่อจากพี่ศจี โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
ชนิตาด่า “พูดอะไรยะ คนเขาเพิ่งได้งาน เสียกำลังใจหมด ตบปากเดี๋ยวนี้เลยไพโรจน์”
“ว้าย โรซี่ย่ะ ใครเรียกไพโรจน์ตีปากฉีกเลย” โรซี่กรี๊ดยกมือจะตีปากชนิตา
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะริสา” บุษกรบอก
“ใช่ แต่ให้ไปช่วยรับมือกับคุณเกรซนี่ ขอบายนะจ๊ะ” โรซี่ทำท่าสยอง
พริริสา หยั่งเชิง “คุณเกรซนี่น่ากลัวมากเลยเหรอ”
“วันก่อนพี่ศจีวิ่งวุ่น ต้องให้เธอเอาชุดไปเปลี่ยนที่ร้านให้ก็เพราะคุณเกรซนี่แหละ” ชนิตาบอก
โรซี่กระซิบ “ไว้มีเวลาว่างๆ จะเม้าท์ให้ฟัง วีรกรรมนางเยอะมาก กอไก่ล้านตัว”
พริริสาหยั่งเชิงถามถึงธีภพ “แล้วคุณธีภพล่ะคะ”
“ริสาไม่ต้องกลัวนะ แค่กาแฟหกใส่ คุณธีภพเขาไม่โกรธหรอก เขาเป็นคนดี” บุษกรบอก
“แหมยัยบัว คุณธีภพเพิ่งจะมาทำงานที่นี่ รู้ได้ไงเขาเป็นคนดี” ชนิตาว่า
“ก็ท่าทางเขาเป็นคนดีนี่นา”
“แต่จะว่าไปก็แปลกนะ บ้านคุณธีภพเขาก็มีบริษัทของตัวเองใหญ่โต เครือข่ายเยอะแยะ แถมเป็นลูกชายคนเดียวอีกต่างหาก ทำไมต้องมาทำงานที่บูรพเกียรติด้วย”
ทั้งบุษกรและชนิตาพลอยพยักพเยิดสงสัยไปกับโรซี่ด้วย
“นั่นสิ”
พริริสานิ่งฟัง คอยเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ
ธีภพอ่านแฟ้มปัญหาการเงินของบูรพเกียรติอยู่ในห้องทำงานคณิน ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“บูรพเกียรติมีปัญหาขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“อาไม่อยากทำตัวเป็นพวกซุกปัญหาไว้ใต้พรม ในเมื่อเธอมาทำงานที่นี่ก็ควรรับรู้ไว้ แต่อาอยากจะขอร้องอย่าให้คนนอกรู้วิกฤตของบริษัทตอนนี้”
“ผมเข้าใจครับ คุณพ่อถึงให้ผม...”
คณินตัดบทดื้อๆ
“อาคิดว่าอาจะแก้ปัญหาพวกนี้ได้ ไม่ต้องห่วง”
ท่าทีของคณินแสดงออกชัดแจ้งว่าต้องการแก้ปัญหาเองมากกว่า และไม่ยินดีที่จะให้คนนอกมายุ่ง
ทำเอาธีภพอึ้ง นิ่งงันไป
อ่านต่อตอนที่ 2