รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 7
ในขณะที่ปรารภเดินมาตามทางเดินในบริษัทฟาสต์แทร็ค เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมากดดู หน้าจอแจ้งว่ามีข้อความส่งมาทาง Line จากมุกริน ปรารภกดอ่านความว่า
“พี่รภคะ รบกวนมารับมุกหน่อยได้มั้ยคะที่ร้าน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไรนะคะ”
แววตาปรารภมีความเป็นห่วงปรากฏขึ้นมาในบัดดล เขาพิมพ์ข้อความตอบไปในทางไลน์
สามคนยังอยู่ในร้านอาหารประเภทบุปเฟต์ที่เดิม
หน้าจอมือถือของมุกริน ปรากฏข้อความจากปรารภ ตอบมาทาง Line ว่า
“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
มุกรินก้มดูโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนตัก ในระดับต่ำกว่าขอบโต๊ะ คิมหันต์ขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าเธอ
“คุณจะไม่มองหน้าผมบ้างเลยเหรอมุก”
“หูฉันยังดีอยู่ คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดเลย ก่อนที่จะหมดเวลา”
“อะไรทำให้คุณเฉยเมยกับผมได้ถึงขนาดนี้”
“คุณไม่รู้จริงๆเหรอคะ คุณคิมหันต์ คุณเป็นผู้ชายแบบไหนกันเนี่ย”
“แบบที่คุณรักไง” เขาว่า
มุกรินแสยะยิ้มออกมาชัดแจ้ง
“ไม่งั้นคุณจะคบกับผมมาตั้งห้าปีได้ยังไง”
“ฉันก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน”
คิมหันต์พูดสวนคำมุกริน เขาพรั่งพรูอารมณ์และความรู้สึกของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว และ ดัง
“คุณสงสัยเมื่อไหร่ เพิ่งเมื่อวานนี้เอง ห้าปีที่ผ่านมาคุณไม่เคยสงสัยอะไรผมเลย”
“เพราะฉันไม่เคยรู้ว่าคุณจะทำกับฉันได้ถึงขนาดนี้”
“เพราะผมไม่เคยคิดจะทำน่ะสิ จะให้ผมบอกอีกกี่ครั้งว่าเป็นเพราะพี่ชายคุณ ผมหยุดความจงเกลียดจงชังพี่ชายคุณไม่ได้ แต่ผมก็หยุดรักคุณไม่ได้เหมือนกัน ผมควรจะทำยังไง มุก”
“คุณจะทำยังไงก็เรื่องของคุณ แต่ฉันทนรับความแปรปรวนของคุณไม่ได้อีกแล้ว”
“ผมไม่ได้แปรปรวนนะ ผมรู้ว่าผมรักใคร เกลียดใคร และ ต้องการอะไร”
“แล้วคุณนึกถึงคนอื่นบ้างมั้ย คุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร แล้วคุณรู้มั้ยว่าคนที่คุณบอกว่ารักน่ะ เขาต้องการอะไร”
คิมหันต์นิ่ง อึ้งไป
ผู้คนในร้านต่างหันมามองที่เขาทั้งสอง เปิดปากกระซิบกระซาบในกลุ่มใครกลุ่มมัน
“คุณบอกว่าคุณจะถอนหมั้นพักตรา”
คิมหันต์ยังคงนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก
“นี่คงถอนกันมาเรียบร้อยแล้วละซี”
ไม่มีคำตอบจากคิมหันต์ ไม่แม้แต่จะหันไปสบตามุกริน
“ว่าไงล่ะ เรื่องพักตรามันเกี่ยวกับพี่ใหญ่ตรงไหน มันเกี่ยวกับฉันตรงๆ”
“ผม...”
คิมหันต์เอ่ยปากได้เพียงแค่นั้น ก็ นิ่งอึ้งไปอีก มุกริน แสยะยิ้มออกมาชัดๆ ก่อนพูดออกมาว่า
“ฉันจะคิดว่า เหตุการณ์ที่เกาะ เป็นเพียงแค่ฝันไป...”
มุกรินยกมือข้างซ้ายขึ้นมาให้เขาดู ที่นิ้วนางข้างนั้น ไม่มีแหวนเอ็นเบ็ดสวมอยู่
“มันไม่มีอยู่จริงหรอกค่ะ คิม”
มุกรินขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะนี้
“มุก เดี๋ยวก่อน”
“หมดเวลาของคุณแล้วค่ะ คุณคิมหันต์”
มุกรินเดินหนีไปทางหน้าร้าน คิมหันต์ถอนหายใจ ทำอะไรไม่ถูก
ชาวโซเชี่ยล บรรดาผู้คนในร้านเห็นอดีตคู่หมั้นที่ฝ่ายชายประกาศถอนหมั้นฝ่ายหญิง โดยการซื้อโฆษณาหนังสือทุกฉบับลงประกาศหรา ต่างพากันเม้าท์มอย วิพากษ์วิจารณ์เป็นที่สนุกปาก
ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ทางเข้าร้าน มุกริน เดินมาหาดวงดาวคนต้นคิดที่นั่งแกร่วรออยู่แถวนั้น
“เป็นไง เคลียร์กันจบมั้ย”
“จบสิ...แล้วคราวหลังไม่ต้องทำตัวเป็นแม่สื่อแอบนัดใครมาเจอฉันอีกนะ”
มุกรินเดินก้าวยาวๆออกไปนอกร้านทันที ดวงดาวรีบก้าวเดินตาม
รถปรารภแล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน มุกรินเดินตรงมาที่รถคันนี้ พร้อมๆ กับที่ปรารภเปิดประตู ก้าวลงมา
“ไปเลยค่ะพี่...ไม่ต้องลงให้เสียเวลาหรอก”
มุกรินก้าวเข้าไปนั่งในรถ ปรารภขับรถออกไปทันควัน
ดวงดาวเดินออกมายืนหน้าร้าน มองตามรถปรารภไป คิมหันต์ก้าวเข้ามายืนข้างๆ ดวงดาว
“จบไม่สวยใช่มั้ย”
คิมหันต์พยักหน้า
“จะไปไหนต่อ ผมไปส่งให้เอามั้ย”
“ไม่ต้อง ฉันดูแลตัวเองได้ อยากจะเมาเมื่อไหร่ค่อยเรียกฉันก็แล้วกัน”
ดวงดาวเดินออกไปจากร้านอาหารนี้
รถแล่นมาตามทาง ปรารภขับรถไปเรื่อยๆ โดยมีมุกรินนั่งข้างๆ ท่าทีมุกรินยังมีอาการหงุดหงิดผิดหวังติดตัวเธอมา ปรารภคอยเหลียวมองดูมุกรินเป็นระยะๆ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากถามเธอ
“อยากเล่าให้พี่ฟังมั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น”
มุกรินหายใจยาวๆ ก่อนเอ่ยปากถามแทน
“ตอนพี่รภเลิกกับเมีย พี่เสียใจมั้ย”
“แน่นอน”
“พี่เคยคิดอยากกลับไปคืนดีกับเมียพี่มั้ย”
“พี่คิดอยู่ครึ่งปี หลังจากนั้น ก็เลิกคิด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่รักพี่เหมือนเก่าแล้ว ป่วยการเปล่าๆ”
“แล้วพี่ยังรักเขาอยู่มั้ย”
“พออายุมากขึ้น พี่ก็ปล่อยวางได้มากขึ้น”
มุกรินนิ่ง เหม่อมองไปไกล
“เขามาขอคืนดีกับมุกเหรอ”
“เขาคงแค่เสียดาย...เหมือนผู้ชายทั่วๆไป”
“แล้วมุกตอบเขาว่าไง”
มุกรินส่ายหน้าช้าๆ
“ยังรักเขาอยู่หรือเปล่า”
มุกรินครุ่นคิดสักครู่ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“เอาเรื่องของพี่รภดีกว่า พี่รภมีอะไรจะคุยกับมุกเหรอคะ”
“มุกพร้อมจะฟังมั้ยล่ะ”
“เรื่องไม่ดีแน่ๆ”
ปรารภเลี้ยวรถเข้าไปจอดชิดไหล่ทาง แล้วจึงหันมาพูดกับมุกรินอย่างตั้งใจ
“มุกถูกสั่งพักงาน”
“ยายพักตราสั่งใช่มั้ยคะ...พักนานแค่ไหน”
“ไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่”
มุกรินโกรธขึ้นมาทันที
“นี่มันไล่ออกชัดๆ”
“เราสามารถทำหนังสือร้องเรียนไปที่ประธานบริษัทได้นะ ถ้ามุกต้องการ”
“ประธานก็คือพ่อของพักตรา”
“อย่างน้อยก็มีบันทึกเป็นเอกสารไว้ ส่วนผู้ใหญ่เขาจะตัดสินใจยังไงก็อีกเรื่องนึง”
มุกรินคิด ชั่งใจอีกนิด ก่อนเอ่ยปาก
“ขอมุกพูดกับเขาก่อนได้มั้ยคะ”
อาคาร Fast Track ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแดดสวยๆ ในยามสายๆ
พักตราเดินตามเลขาตรงไปยังห้องประชุม ซึ่งมีปรารภนั่งรออยู่ในห้องนั้น
“มีธุระอะไรกับฉันอีกไม่ทราบ”
เมื่อพบว่ามุกรินก็นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย พักตราเปล่งเสียงแหลมแดกดันทันที
“ว้าวเซอร์ไพร้ส์ ฉันนึกว่าเธอจะนอนป่วยอยู่ที่บ้านซะอีก แน่ะมาคู่กันอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาแจกการ์ดแต่งงาน”
แม้จะรำคาญ แต่มุกรินก็ไม่มีอารมณ์จะต่อปากด้วย เธอถามขึ้น เข้าจุดประสงค์ของการมาวันนี้ทันที
“ฉันขอทราบเหตุผลในการสั่งพักงานฉัน”
“ฉันบอกแฟนเธอไปแล้วไง”
ปรารภแสดงท่าทีไม่ชอบวิธีพูดของพักตรา เขาขยับปากจะทักท้วง
“คุณพักตราครับ...”
“จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ หรือว่ายังจีบไม่ติด ให้ฉันช่วยมั้ย”
มุกรินลุกขึ้นก้าวเข้าไปยืนขวางหน้าพักตรา เธอเอ่ยปากขัดการประชดประชันทันที
“ฉันขอพูดกับคุณตามลำพังสองคนได้มั้ย”
พักตราเอี้ยวตัวหลบร่างมุกรินไปพูดแดกดันปรารภอีกดอก
“คุณโดนไล่ออกไปข้างนอกแล้วละค่ะ คุณผู้จัดการ”
ปรารภกระเถิบเข้าไปพูดกับมุกริน ด้วยความห่วงใย
“แน่ใจนะมุก”
“ค่ะ”
ปรารภค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง มุกรินสูดหายใจลึกๆ แล้วเริ่มต้นพูดน้ำเสียงหนักแน่น
“ทำแบบนี้ จะเอากันให้ตายเลยใช่มั้ยคุณพักตร์”
“นั่นมันที่เธอทำกับฉันต่างหาก”
“ฉันทำอะไร”
“ยังมีหน้ามาถามอีก เอาผัวฉันไปกกที่เกาะทั้งคืน ฉันควรจะดีใจเหรอ”
มุกรินรู้สึกหน้าชาขึ้นมา เธอเหลืออด เลยเลือกที่จะโต้ตอบกลับโดยไม่เกรงใจใดๆ
“งั้นเธอก็ต้องไปด่าผัวเธอ”
“ฉันด่าแกนั่นแหละ”
“ทนไม่ได้ที่เขายังรักฉันอยู่ละซี”
“ยังโง่คิดว่าเขารักแกอีกเหรอ เขาก็แค่เล่นกับแก เพราะแกยั่วเขาต่างหาก”
มุกรินสวนกลับ “นั่นมันเธอ ทั้งยั่วเขา ทั้งมอมเหล้าเขา แล้วยังใช้อิทธิพลพ่อบังคับเขาอีก”
“แต่สุดท้ายเขาก็เป็นของฉัน เขารักฉัน รักฉันก่อนเจอแกซะอีก”
“ถ้างั้นเขาทิ้งเธอมาหมั้นกับฉันทำไม”
“เขาประชดฉัน”
มุกรินแสยะยิ้มเวทนาไปให้ สำทับด้วยเสียงหัวเราะหยันออกมาดังๆ
“แต่ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้ง ฉันเป็นฝ่ายที่ได้ทุกอย่าง จำใส่กระโหลกไว้ด้วย”
“ฉันไม่มีวันลืม และเมื่อเธอได้ทุกอย่างไปแล้ว เธอก็ควรจะจบเรื่องนี้ซะที เลิกกลั่นแกล้งก่อกวนฉันซักทีได้มั้ย”
“คงยาก เพราะจุดจบของฉันคือ ต้องไม่มีแกอยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าแกที่นี่อีก เข้าใจมั้ย”
“เธอก็ลาออกไปสิ เท่านั้นก็จบ ง่ายจะตาย ไม่ใช่มาระรานคนอื่น แบบนี้ บ้าอำนาจเกินไปแล้ว”
“แกไม่มีสิทธิ์พูดอย่างนี้กับฉัน ในบริษัทของพ่อฉัน”
“งั้นก็ฝากบอกพ่อแกด้วยว่า ถ้าอยากให้บริษัทก้าวหน้า ก็ไล่แกออกไปซะทีเถอะ”
“ให้ฉันได้ตบหน้าแกก่อน แล้วฉันอาจจะยอมบอก”
“คิดว่าฉันจะยืนให้ตบเฉยๆ เหรอ”
“งั้นก็หลบให้ทันแล้วกัน”
ขาดคำ พักตราเงื้อมือฟาดไปที่มุกรินเต็มแรง มุกรินเอี้ยวตัวหลบ แล้วตบสวนกลับไปเต็มหน้า พักตราเซไปชนขอบโต๊ะประชุม เธอคว้าแจกันบนโต๊ะขว้างใส่มุกริน มุกรินคว้าของใกล้ตัวขว้างตอบ
จากนั้นทั้งสองสาวก็พุ่งเข้ากระชากคอ ฟ้อนเล็บ ตบตีกันพัลวัน
พลโทอรรถเปิดประตูผลัวะเข้ามาในห้องประชุม ตามมาด้วยปรารภ และรปภ.บริษัทอีกคน อรรถตะโกนเสียงดังลั่น ห้ามสองมวยหญิงคู่เอก ในศึกวันชิงคิมหันต์
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุด พอได้แล้ว”
ปรารภและรปภ.เข้าไปแยกพักตราและมุกรินออกจากกัน
“ทำอะไรกันเนี่ย เล่นเป็นเด็กๆไปได้”
“ก็อีนี่มันบังอาจเข้ามาด่าพักตร์ก่อนนี่คะ” พักตราเปิดปากฟ้องทันควัน
“ดิฉันแค่มาถามเหตุผลที่เขาสั่งพักงานฉันเท่านั้นเอง แต่คุณพักตรา...”
พักตราแหวใส่ “ทำไม ฉันไปทำอะไรแก แกมัน...”
อรรถตวาด “หยุด ไม่ต้องพูดแล้ว แยกย้ายไปห้องใครห้องมัน”
“แต่ พ่อคะ...”
“พ่อบอกให้แยกย้ายก่อนไง พ่อจะเรียกมาสอบสวนทีละคนเอง”
พักตราค่อยๆ เดินออกไปจากห้องประชุมนั้นอย่างฉุนเฉียว อรรถเดินเข้าไปใกล้มุกริน
“เธอหายดีแล้วเหรอ”
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ”
“ฉันให้ยกเลิกคำสั่งพักงานนั้นแล้วนะ เธอพร้อมจะทำงานเมื่อไหร่ ก็มาทำได้เลย บริษัทต้องการพนักงานครีเอทีฟ ไม่ใช่นักมวยหญิง”
พลโทอรรถเดินออกไปจากห้อง ปรารภยิ้มให้กำลังใจมุกริน
ตกตอนเย็น กลางร้านอาหารหรู ตรงโต๊ะสวยตัวใหญ่ในร้านอรรถและพักตรานั่งอยู่ที่นั่น พักตรายังมีอาการบึ้งตึง ไม่สบอารมณ์อยู่ ถูกบิดานายพลโมอบรมมาสักพักแล้ว
“รู้ตัวรึเปล่าว่าลูกทำอะไรลงไป”
“ตบมันน่ะสิคะ ทำไมจะไม่รู้ แล้วรู้ด้วยว่ามันก็ตบพักตร์เหมือนกัน”
“แล้วได้อะไร ตบกันไปตบกันมาอย่างนี้ มีใครได้อะไรมั้ย มีแต่เจ็บตัว มีแต่เสียชื่อ เสียหน้า แล้วมันเสียมาถึงพ่อด้วยนะ ไม่ใช่แค่เรา”
“ก็มันมาด่าพักตร์ถึงห้องประชุม พักตร์จะอยู่นิ่งได้ยังไง”
“เขาก็อยู่นิ่งไม่ได้เหมือนกัน ที่ลูกไปสั่งพักงานเขาอย่างนั้น”
“ทำไมคะ มันเป็นสิทธิ์ของพักตร์นี่ ซีอีโอสั่งพักงานใครไม่ได้ แล้วจะให้พักตร์มาเป็นซีอีโอทำไม”
“ก็เพราะลูกขอมาเป็นน่ะสิ ลูกเป็นคนอ้อนวอนขอตำแหน่งนี้กับพ่อเองนะ”
พักตราเงียบไป
“และหน้าที่ของผู้บริหาร ก็ไม่ใช่เที่ยวสั่งพักงานใครๆ แต่ต้องบริหารให้งานในบริษัทมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้มันต้องมีคุณธรรมในการปกครองคน ต้องมีเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชา พ่อสอนลูกไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ลูกไม่เชื่อพ่อเลย”
“เชื่อค่ะ แต่มันใช้ไม่ได้กับยายมุก”
“ทำไม เพราะเขาเป็นคนรักเก่าของคิมหันต์”
“ใช่”
“นั่นยิ่งทำให้ใครๆ เขาจับตาดูเรา เขาจะดูว่าลูกใช้อำนาจกลั่นแกล้งรึเปล่า คนเป็นหัวหน้า ถูกลูกน้องสุมหัวนินทา มันไม่ดีหรอกนะลูก”
พักตรานั่งนิ่ง หน้าบูด
“พ่อเตือนแล้วว่าไม่ให้ทำร้ายมุกรินด้วยวิธีแบบนี้ ลูกควรจะเชื่อพ่อบ้าง”
“หนูเพียงแต่ปกป้องคู่หมั้นของหนู ผิดด้วยเหรอ”
“เจตนาไม่ผิดหรอก แต่วิธีการแบบนี้ใช้ไม่ได้”
“แล้วพักตร์ต้องทำยังไง”
“ต้องมั่นใจในคนรักของเรา และให้พวกเขาอยู่ในสายตาเราไว้ ดีกว่าผลักไสไปอยู่ในที่ไกลหูไกลตา พ่อจะช่วยลูกเอง เรื่องแบบนี้ พ่อถนัดนัก”
พักตราค่อยๆ มีรอยยิ้มเผยออกมาให้เห็นบ้าง
ค่ำวันเดียวกัน คิมหันต์นั่งนิ่งๆ ในห้องนอนวิมลรัตน์ ซึ่งสภาพห้องยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แสงไฟเพียงสลัวรางไม่ค่อยสว่าง ยิ่งเพิ่มบรรยากาศวังเวงให้กับห้องนี้
สายตาของคิมหันต์จับจ้องไปยังรูปถ่ายวิมลรัตน์ ที่อยู่ในมือของเขา เสียงความคิดของคิมหันต์ดังขึ้นในหัวของเขาบอกกล่าวกับพี่สาวที่แสนรัก
“ห้าเดือนแล้วที่ผมไม่มีพี่มล มันดูเหมือนนานเกินกว่าห้าปีในความรู้สึกของผม ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก มากแบบที่พี่มลไม่มีทางคาดถึง เวลาที่ผมไม่มีพี่ผมกลายเป็นคนสับสน หลายครั้งที่ผมไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่และไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกต้องหรือไม่...ผมถามตัวเองอยู่ทุกวันว่าต้องการอะไร ระหว่างความรักกับการแก้แค้น จนถึงวันนี้ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ผมอยากให้พี่มลกลับมาอยู่กับผมจังเลย ผมคิดถึงพี่มลนะครับ คิดถึงมากๆ”
ถวิลและไสวค่อยๆ ก้าวเข้ามาหยุดบริเวณหน้าประตูห้องที่เปิดอยู่ ทั้งสองมองดูผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่ไสวจะถามขึ้นว่า
“วันนี้คุณคิมจะนอนที่นี่มั้ยครับ”
“ยังไม่รู้เลย”
ถวิลและไสว ยังคงยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม เพื่อรอดูแลรับใช้ผู้เป็นนาย
“อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายอะไรในห้องนี้นะ” คิมหันต์กำชับ
“ค่ะ ทุกอย่างอยู่กับที่เหมือนเดิมค่ะ อิฉันแค่เข้ามาทำความสะอาดบ้างเท่านั้น”
“ดี...”
คิมหันต์ขยับตัวลุกขึ้น ก่อนเอ่ยปากอีกว่า
“ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้หน่อยสิ วันนี้ฉันจะกินข้าวที่นี่”
“ได้เลยค่ะ”
บ่าวทั้งสองยิ้มดีใจ ที่ผู้เป็นนายจะกินข้าวที่บ้าน พวกเขาขยับตัวจะเดินไปทางครัว แต่แล้วฉับพลันนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของคิมหันต์ก็ดังขึ้น เขาเหลือบดูที่หน้าจอ แล้วถอนใจนิดๆ ก่อนกดปุ่มรับสาย
“ว่าไงครับพักตรา”
ถวิลและไสวชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนี้
อีกฟากทางปลายสาย พักตราขับรถมาตามทาง พร้อมกับพูดโทรศัพท์ผ่านทางบลูทูธ
“คิมอยู่ไหนคะ”
“บ้านพี่มล มีอะไรเหรอครับ”
“คุณพ่อเชิญกินข้าวที่บ้านค่ะ ท่านมีเรื่องจะคุยด้วย คิมรีบมาเลยนะ เดี๋ยวเราเจอกันที่บ้านนะคะ”
คิมหันต์ยังยืนพูดสายอยู่ที่เดิม
“เอ้อ...ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
คิมหันต์กดปุ่มยกเลิกการสนทนา เขาเงียบไปจนไสวเอ่ยปากถาม
“ตกลง...เรื่องกับข้าว ว่าไงครับ”
“ไม่ต้องละ ฉันไม่หิวแล้ว”
คิมหันต์เดินออกจากห้องนี้ไปอย่างเงียบๆ
อาหารมากมายหน้าตาล้วนน่าทาน ถูกวางลงบนโต๊ะ มีแม่เลขาสาวนามปริมคนนั้นเป็นผู้กำกับหมู่สาวใช้ที่จัดอาหาร จนคิมหันต์เดินเข้ามา เลขาสาวรีบหันไปต้อนรับทันที
“เชิญค่ะ คุณคิมหันต์...เชิญนั่งก่อนค่ะ”
“ครับ...พลโทอรรถล่ะครับ”
”อยู่ข้างบนกับคุณพักตรา เดี๋ยวก็ลงมาค่ะ ดื่มอะไรก่อนมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ต้องการอะไรก็บอกนะคะ”
“ครับ”
เลขาสาวเดินออกไป อรรถเดินลงบันไดบ้านมาพร้อมกับพักตรา นายพลโทอรรถส่งเสียงดังทักทายอย่างอารมณ์ดี
“มาเร็วทันใจดีจัง ไอ้ลูกชาย”
พักตราถลาเข้าไปหาคิมหันต์ ใบหน้ายิ้มระรื่น
“คืนนี้เรานอนที่นี่กันนะคิม พักตร์ให้คนไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโดมาแล้ว คิมจะเอาของส่วนตัวอะไรเพิ่มมั้ย พักตร์โทร.บอกเด็กตอนนี้ยังทัน
“ไม่เป็นไรครับ ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีอะไรเป็นส่วนตัวแล้ว” คล้ายว่าเขาจะประชดชีวิตตัวเอง
เลขายกเครื่องดื่มวางให้เจ้านายอย่างรู้งาน อรรถเอ่ยปากกับเลขาด้วยเสียงนุ่มน่าฟัง
“นั่งทานด้วยกันเลยนะ ปริม”
“ค่ะ” เลขาคนสวยขยับลงนั่งตรงตำแหน่งที่ทางของเธอ
อรรถหันไปพูดกับคิมหันต์
“ฉันยังไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จักเลยนะ นี่ปริม เลขาส่วนตัวฉัน ที่จริงฉันมีเลขาหลายคน”
พักตราเอ่ยปากดักคอผู้เป็นบิดา
“สาวๆทั้งนั้น”
“แต่ปริมจะเป็นคนดูแลเรื่องส่วนตัวของฉันทุกอย่าง ด้วยความเห็นชอบของยายพักตรา”
พักตราหันไปอธิบายคิมหันต์
“คุณพ่อเหงาน่ะค่ะ พักตร์เข้าใจ แต่พักตร์ก็ยอมให้คุณปริมคนเดียวเท่านั้น”
“ถ้าฉันเผลอไปมีคนอื่นเมื่อไหร่ละก้อ...”
พักตราต่อให้ทันทีว่า “บ้านแตก”
ทุกคนบนโต๊ะอาหารหัวเราะ ร่าเริง มีเพียงคิมหันต์ ที่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
“เอ้ากินกันได้เลย”
คิมหันต์ตัดสินใจเอ่ยปากถาม ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มตักอาหารใส่ปาก
“ท่านจะคุยอะไรกับผมเหรอครับ”
“เธอคงยังไม่ถนัดปากที่จะเรียกฉันว่า พ่อสินะ” ท่านนายพลท้วง
“เอ้อ...ครับคุณพ่อ”
“แต่ฉันเรียกเธอว่าไอ้ลูกชายได้อย่างคล่องปากจริงๆ”
“พ่อเข้าเรื่องเลยเถอะค่ะ กินไป คุยไปก็ได้”
“ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ ก็เพราะว่า ฉันอยากเห็นความคืบหน้าของครอบครัวของเรา เจนเนอเรชั่นใหม่ของตระกูลฉัน ซึ่งก็หมายถึงเธอสองคน”
“ครับ” คิมหันต์รับคำนิ่งๆ ไม่อาจแสดงความคิดเห็นใดๆได้
“ตั้งแต่วันหมั้น พ่อยังไม่ได้ให้ของขวัญอะไรเธอเลย วันนี้ก็ถือโอกาสมอบของขวัญที่มีความหมายให้กับเธอเลยแล้วกัน”
“อะไรเหรอครับ”
“ความมั่นคง เป็นความมั่นคงในหน้าที่การงาน”
สีหน้าของคิมหันต์ ยังงุนงงอยู่มากโข
“เธอทำอาชีพอิสระมานาน ฉันเข้าใจว่ามันเป็นฝันของเด็กหนุ่ม แต่เมื่อเธอมาเป็นลูกเขยของพลโทอรรถ เธอต้องมีความมั่นคงเพียงพอสำหรับพักตรา ลูกสาวฉัน”
พักตรายิ้มหวาน คิมหันต์นิ่ง รอฟังคำพูดต่อไปของพลโทอรรถ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ เธอต้องไปทำงานที่ออฟฟิศฉัน”
คิมหันต์อึ้ง สีหน้าฉงนฉงาย “ออฟฟิศ”
“คุณพ่อตั้งมูลนิธิเพื่อดูแลเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นที่ระลึกให้คุณแม่ ชื่อ “มูลนิธิ พนา-อรรถ” ออฟฟิศคุณพ่ออยู่ที่นั่น” พัตราว่า
อรรถว่าเสริม “เธอไปนั่งเป็นหน้าห้องฉัน”
คิมหันต์อึ้งอีก “หน้าห้อง”
“เป็นครั้งแรกที่ฉันจะมีหน้าห้องเป็นผู้ชาย”
คิมหันต์อึกอัก “เอ้อ...”
“คุณปริมจะเป็นคน take care เธอทุกอย่าง เฉพาะที่เกี่ยวกับงานออฟฟิศเท่านั้นนะ”
“ผมต้องนั่งหน้าห้องคุณพ่อตลอดเวลาเลยเหรอครับ” คิมหันต์จำเป็นต้องถาม
“อย่างนั้นก็เสียของแย่สิ ช่างภาพฝีมือดีอย่างเธอ ก็ต้องมาถ่ายรูปป่าเขา แหล่งท่องเที่ยว สวยๆ ให้กับมูลนิธิสิ”
“เวลามีทริปถ่ายรูป พักตร์ก็จะไปด้วยทุกครั้ง จะได้เป็นการซ้อม ฮันนีมูน ของเราสองคนไงคะ”
“ทีนี้อนาคตของเธอก็จะมั่นคง ไม่ลอยไปลอยมา และอยู่ในสายตาของฉันและพักตราตลอดไป”
พักตรายิ้มชื่นอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับอรรถ ส่วนคิมหันต์ได้แต่ฝืนยิ้มหน้าตาเจื่อนจ๋อย
ค่ำคืนนี้ พักตราเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุมทรงวาบหวิว ตรงไปหาคิมหันต์ที่ยืนอยู่ริมระเบียงห้องสวมกอดแผ่นหลังของเขาแนบแน่น
“น้ำอุ่นเต็มอ่างแล้วนะ อาบเลยมั้ยคิม หรือเราจะนอนแช่พร้อมกันดี”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวจะไม่ได้อาบกันเปล่าๆ”
คิมหันต์เลี่ยง เดินเข้าห้องน้ำไป พักตราถอดเสื้อคลุมของตัวเองไว้บนเตียง เผยให้เห็นชุดชั้นในสุดเซ็กซี่
เธอเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ ซึ่งคิมหันต์นอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ พักตราขยับตัวลงนั่งตรงขอบอ่าง เธอหยิบฟองน้ำถูบริเวณแขน ไหล่ หลังของคิมหันต์อย่างนุ่มนวล
“ผมทำเองได้ พักตร์”
“พักตร์ทำให้ดีกว่าค่ะ...หรือคิมไม่ชอบ”
พักตราเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล คิมหันต์ได้แต่สำรวมตัวเอง นิ่งๆ
“พ่อบอกว่า งานแรกของคิม คือไปถ่ายรูปที่เที่ยว unseen ที่จังหวัดเลย พักตร์ยังไม่เคยไปแถวนั้นเลย สวยมั้ยคะ”
“สวยครับ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ผมชอบ”
“พักตร์จะลางานที่ Fast Track แล้วไปเป็นผู้ช่วยคิมนะคะ”
“ผมมีผู้ช่วยช่างภาพไปด้วยอยู่แล้ว”
“แต่พักตร์ช่วยคิมได้มากกว่าผู้ช่วยช่างภาพนะ พักตร์ช่วยได้ทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้”
พักตราค่อยๆ หย่อนมือตัวเองลงไปในอ่างอาบน้ำ มันหายลึกไปใต้ฟองสบู่ คิมหันต์เหลือบมองพักตราอย่างมีความหมาย รับรู้ได้ทันทีว่า อุ้งมือน้อยๆ ของพักตรา ไปหยุดอยู่ที่ร่างกายส่วนไหนของคิมหันต์
“คืนนี้เราลองช่วยกันอีกสักทีดีมั้ยคะ”
“คุณว่าดีมั้ยล่ะ”
“ดีสิ”
คิมหันต์ส่ายหน้าช้าๆ
“เดี๋ยวถึงวันแต่งงาน จะไม่เหลืออะไรให้ตื่นเต้นนะครับ”
“พักตร์ตื่นเต้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้คิมค่ะ”
“แต่ผมมันคนขี้เบื่อน่ะสิ ไม่เชื่อ คุณถามมุกรินดูได้”
คิมหันต์ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เดินไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมปิดกายแกร่ง แล้วเดินออกจากสุขาวดีนี้ไป
พักตรามองตาม ทั้งเซ็งทั้งผิดหวังที่คู่หมั้นหล่อลากไส้ ทิ้งหล่อนไว้กลางทางให้อารมณ์ค้างเติ่ง
อ่านต่อหน้า 2
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
ฟากมุกรินนั่งเหม่ออยู่เพียงลำพังกลางโถงบ้านธาดา เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเธอหยิบมันขึ้นมากดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงอ่อนโยนของปรารภดังออกมาจากโทรศัพท์ว่า
“พี่รภเอง...มุกคุยได้มั้ยครับ”
“ได้สิคะ ทุกวันนี้ก็มีแต่พี่รภเท่านั้นแหละ ที่มุกคุยแล้วสบายใจ”
ปรารภขับรถไปพร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วยอุปกรณ์อันไฮเทค เขายิ้มหน้าบาน
“พี่ฟังแล้ว ขึ้นเลย ดีใจนะเนี่ยะ อย่าหลอกพี่นะ”
“จริงค่ะ”
“ได้ยินมุกพูดอย่างนี้ พี่ก็นอนหลับฝันดีแล้ว”
มุกรินลุกเดินคุยโทรศัพท์ เดินขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ
“อิจฉาพี่รภจัง มุกอยากฝันดีอย่างพี่บ้าง”
“อย่าอิจฉาเลย เพราะพี่มันก็ได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ แต่มุกควรจะได้พบกับเรื่องดีๆ ที่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เป็นแค่ความฝัน มันดีกว่ากันเยอะนะ”
มุกรินลงนั่งบนเตียงแล้ว “ค่ะ มุกก็อยากให้เป็นอย่างนั้น”
“อยู่ที่ตัวเราเอง มุก ถ้าเราเชื่อว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเรื่องดี มันก็ต้องเป็นเรื่องดี”
“ค่ะ”
“อย่าลืมนะ มีปัญหาอะไร เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ โทร.หาพี่ได้ตลอดเวลาจ้ะ”
“ขอบคุณพี่รภค่ะ”
มุกรินกดวางสาย จึงดวงดาวเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง มุกรินเพียงแค่เหลือบตามองดวงดาวเฉยๆ
“หายโกรธเรารึยัง”
“ฉันไม่ได้อยากจะโกรธดาว”
“แต่ก็โกรธ”
“เธอไม่ทำอย่างนี้อีก ก็จบ ฉันก็ไม่โกรธอะไรแล้วละ”
ดวงดาวขยับตัวลงนั่งข้างๆมุกริน
“แน่ใจนะว่าไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว”
มุกรินมองหน้าดวงดาวตาขวาง
“แค่ถามเฉยๆ อย่าเพิ่งโกรธ”
มุกรินคิดนิดหนึ่ง ก่อนตอบว่า
“ความอยาก กับ ความจริงที่ควรจะเป็น มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันเสมอไป”
“เธอต่างกับฉันตรงนี้แหละ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะทำความอยากให้เป็นจริงให้ได้ซักวัน ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม”
ดวงดาวขยับตัวลุกขึ้น จะเดินออกจากห้อง
“พี่ใหญ่ล่ะ”
“เขาไปทำธุรกิจส่วนตัวของเขา แล้วก็สั่งให้ฉันดูแลเธอให้ดี”
มุกรินพยักหน้ารับคำเฉยๆ
“แต่ท่าทางเธอ ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วนี่ อยากให้ช่วยอะไรเป็นพิเศษก็บอกมาแล้วกัน”
ธาดาเดินนำหน้าไอ้ขุมเข้ามาในบ่อนเสี่ยอ๋า นักเลงคุมบ่อนตรงเข้าไปทักทายธาดา เยี่ยงคนคุ้นเคย
“วันนี้ไม่ฉายเดี่ยวเหมือนเคยนะเฮีย”
ธาดาพยักหน้าให้เฉยๆ
“หรือว่าพาคนดวงสมพงษ์มาด้วย เพื่อแก้เคล็ดรึเปล่า”
“ดวงชงละไม่ว่า ไอ้นี่มันอยากเล่น ก็พามาเล่น เท่านั้นหละ”
“เชิญเลยครับ”
ธาดาเดินนำขุมไปนั่งที่โต๊ะพนัน กระซิบกับขุมก่อนขยับตัวลงนั่ง
“เอ็งไม่ต้องเปิดปากอะไรเลยนะ รีบเล่นรีบไป เข้าใจมั้ย”
“อื่อฮึ”
ไอ้ขุมรับคำส่งๆ
ส่วนที่ห้องรับรองพิเศษ หรือห้องลับของเสี่ยอ๋าเวลาเดียวกันนั้น เสี่ยอ๋าเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยลูกน้องเดินตามเป็นปกติ นักเลงคนเมื่อครู่ เดินเข้ามาหาเสี่ยในนี้
“วันนี้มันพาลูกน้องมาด้วยครับเสี่ย”
“เคยเห็นหน้ามั้ย”
“คลับคล้ายคลับคลา ถ้าจะเคยเจอกันก็ต้องที่บ่อนอื่น ไม่ใช่ที่ของเรา”
เสี่ยอ๋าขยับเข้าไปเกาะกระจกมองไปที่โต๊ะพนันอย่างสนใจ
“หน่วยก้านเอาเรื่องไม่ใช่เล่นนี่หว่า...”
เสี่ยอ๋ามองจ้อง เห็นว่าตานี้ไอ้ขุมเล่นได้ มันกำลังโกยเงินบนโต๊ะพร้อมกับหัวเราะร่า ส่วนธาดายืนหน้าเซ็งอยู่ข้างๆ
“ต่อสายถึงทนายชุมสายให้ฉันหน่อย”
เสี่ยอ๋าเอ่ยขึ้น จดสายตามองไอ้ขุมไม่วางตา
เช้าวันต่อมา ปริม เดินนำคิมหันต์เข้ามาในอาคารออฟฟิศ มูลนิธิ พนา - อรรถ ภายในห้องทำงานอันใหญ่โตนี้ มีสาวสวยนั่งประจำโต๊ะหรูทรงโมเดิร์นทั้งหมดสี่คน ปริมเอ่ยปากแนะนำคิมหันต์กับสาวๆ เหล่านั้น
“นี่คือคุณคิมหันต์หน้าห้องคนใหม่ของท่าน”
สาว1 แซว “ว่าที่ลูกเขยท่านนั่นเอง”
“คุณคิมหันต์จะดูแลเรื่องสื่อประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะงานถ่ายภาพ”
หมู่สาวทั้งสี่ยิ้มหวานให้คิมหันต์
ปริมหันไปพูดกับคิมหันต์
“นี่คือเลขาทั้งหมดของท่าน แยกความรับผิดชอบกันคนละด้าน เดี๋ยวค่อยแนะนำตัวกันทีหลังนะคะ”
ปริมเดินนำคิมหันต์ ผ่านไปยังโถงข้างๆ กัน จึงเห็นโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่ ใกล้ๆ ประตูห้องที่ปิดสนิท
“นี่คือโต๊ะทำงานของคุณ นั่นคือห้องทำงานท่านอรรถ”
“แล้วโต๊ะคุณปริมล่ะครับ”
“โต๊ะดิฉันอยู่ในห้องท่านค่ะ”
พลันประตูห้องด้านหลังบานนั้นเปิดออก พลโทอรรถเดินยิ้มเผล่ออกมาจากห้องของเขา
“ทำไม อยากไปนั่งข้างๆ ปริมเหรอ”
“เปล่าครับ”
“ที่นี่คืออาณาจักรของฉัน เธอจะมาทำรุ่มร่ามในนี้ไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะกับปริม ถึงจะเป็นไอ้ลูกชายของฉันก็ตาม”
“ครับผม”
“ปริม ไปเตรียมรถได้แล้วเดี๋ยวเธอไปกับพี่ ส่วนสี่สาวข้างนอกนั่น ให้ขึ้นรถตู้ตามไปนะ”
“ค่ะ”
เลขาสาวเดินออกไป อรรถกระเถิบตัวเข้าไปใกล้คิมหันต์ ตบไหล่เขาเบาๆ
“ขอเตือนนิดนึงนะ อย่าคิดทำตัวแบบฉันเป็นอันขาด ฉันมันพ่อหม้ายเมียตาย แต่นายยังมีอยู่ครบ ทั้งคู่หมั้นและพ่อตา การที่นายได้มาอยู่ตรงนี้ ก็เพราะพักตราต้องการให้นายอยู่ในสายตาของฉัน ฉะนั้นอย่าทำอะไรนอกลู่นอกทาง เข้าใจนะ”
รอจนอรรถเดินออกไป คิมหันต์จึงหย่อนตัวลงนั่งนิ่งๆ ที่โต๊ะทำงานนั้น อีกสักพักเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทร.หาชุมสายเพื่อระบายอารมณ์
โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานชุมสายที่สำนักงานกฎหมายบูรพาดังขึ้น ชุมสายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล ตายยากจังนะไอ้คิม กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยว่ะ อยู่ไหนวะเนี่ย”
คิมหันต์นั่งพูดโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของเขา
“ติดคุกอยู่ว่ะ”
“ห๊ะ คดีอะไรวะ”
“ทำตัวไม่เป็นที่ไว้วางใจของว่าที่พ่อตา”
ชุมสาย หัวเราะชอบใจ มีแววเยาะนิดๆ
“อันนี้ทนายคนไหนๆ ก็ช่วยแกไม่ได้ว่ะ”
“ไม่ได้โทร.มาขอความช่วยเหลือ แค่โทร.มาระบายแก้เบื่อ”
“งั้นฟังเรื่องที่มีสาระแก้เบื่อหน่อยแล้วกัน เสี่ยอ๋ารายงานเข้ามาว่า นายธาดาพาคนแปลกหน้าเข้าไปที่บ่อน ท่าทางไม่ใช่คนดี”
“ไม่แปลก ก็ไอ้ธาดามันเลว มันจะมีเพื่อนเป็นคนดีได้ไง”
ระหว่างนี้ที่ด้านหลังของคิมหันต์ มีเด็กสาวหน้าใสเดินเข้ามา เธอยืนมองไปรอบๆ อย่างเคว้งคว้าง
“นั่นหละ ตอนนี้เสี่ยอ๋ากำลังส่งคนตามดูไอ้หมอนี่ เผื่อจะมีเบาะแสอะไรที่น่าสนใจ”
“โอเค ทำอะไรได้ก็ทำเลยนะเพื่อน ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็เบิกมา”
“แน่นอน”
คิมหันต์ลดโทรศัพท์ลง แล้วหันไปพูดกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
“มาหาใครครับ”
“พลโทอรรถ”
“ท่านไม่อยู่ครับ...ไม่มีใครอยู่เลยซักคน”
“มีคนนัดให้ดิฉันมาวันนี้”
“งั้นก็คงต้องนั่งรอก่อนนะครับ”
คิมหันต์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดอีกครั้ง
“เอ้อ ฝากอีกเรื่องได้มั้ยเพื่อน”
เสียงชุมสายดังมาว่า “ว่ามา”
“แกแวะไปดูมุกให้หน่อยสิ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ฉันทำเขาไว้เยอะ เขาน่าจะโกรธฉันมาก”
“อ้าว แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“คิดได้แล้วจะบอก”
คิมหันต์กดปุ่มวางสายโทรศัพท์ เขาหันไปเจอหน้าเด็กสาวคนนั้นที่ส่งยิ้มมาให้ คิมหันต์ยิ้มตอบไปงั้นๆ
ทางฝ่ายมุกรินมาถึงบริษัทในตอนเช้า กำลังเดินขึ้นบันได ตรงไปยังแผนกของเธอ สีดาเดินเข้ามาขวางหน้า
“หายดีแล้วเหรอมุก ถึงมาทำงานได้”
“อืม”
“แต่เสียใจด้วยนะ ที่นี่ไม่มีโต๊ะทำงานให้เธอแล้ว”
มุกรินสีหน้าเปลี่ยนเป็นเครียดทันที
“หมายความว่าไง”
“หมายความว่า ถ้าเธอเดินเข้าไปในแผนก เธอก็จะไม่มีที่นั่ง”
“ยายซีอีโอ ไล่ฉันออกอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า แต่มีคำสั่งย้ายโต๊ะเธอไปไว้ที่อื่น”
“ที่ไหน”
“อยากรู้ ก็ ตามมา”
สีดาเดินนำไป มุกรินเดินตามหน้าตาเซ็งพอประมาณ
เมื่อสีดาเดินนำมุกรินตรงเข้ามาบริเวณหน้าห้องปรารภ เธอชี้นำสายตาไปยังโต๊ะตัวใหญ่หน้าห้อง
“นี่คือโต๊ะทำงานของเธอ”
มุกรินงงอยู่ดี “อะไรเนี่ย”
“ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการด้านสร้างสรรค์”
“ใครตั้งฉัน”
“พูดกับเขาเองแล้วกัน”
สีดาส่งโทรศัพท์มือถือให้มุกริน ซึ่งปลายสายโทร.มาพอดิบพอดี มุกรินรับมาพูดสาย ยังงงอยู่ดี
“ฮัลโหล”
อีกฟาก ภายในรถตู้บริษัท Fast Track ปรารภนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในนั้นอย่างอารมณ์ดี
“พี่เป็นคนเซ็นคำสั่งเองจ้ะ”
มุกรินยืนพูดโทรศัพท์ที่หน้าห้องตรงจุดเดิม อาการยังอยู่ในความงุนงงอย่างเก่า สองคนสนทนากันไป
“ทำไมทำอย่างนี้คะ”
“ดีมั้ยล่ะ”
“คนอื่นจะนินทาเอาได้”
“ช่างเขา”
“มันจะเดือดร้อนมุกน่ะสิคะ”
“ไม่เดือดร้อนหรอก เพราะพี่โยกมุกมาตามสายงาน ไม่มีการปรับเพิ่มเงินเดือนแต่อย่างใด แค่ย้ายตัวมาขึ้นโดยตรงกับพี่เท่านั้น จะได้ไม่มีใครมาออกคำสั่งกลั่นแกล้งมุกได้”
“ขอบคุณนะคะพี่รภ”
“ชอบโต๊ะมั้ย”
“เอ้อ...มุกคงต้องใช้เวลาปรับตัวนิดนึงค่ะ”
“เอาเลย ใช้เวลาให้เต็มที่ไปเลย พอดีพี่ออกมาพบลูกค้า เย็นๆ ค่อยกลับไปคุยกันที่ออฟฟิศนะจ๊ะ”“ค่ะ”
มุกรินส่งโทรศัพท์คืนให้สีดา อีกฝ่ายยิ้มรับ เสนอหน้าทันที
“เคลียร์มั้ย ดีใจด้วยนะจ๊ะมุก”
“ก็แค่โต๊ะใหม่”
“ใหญ่กว่าโต๊ะเก่าตั้งเยอะ”
มีพนักงานหน้าเด็กเดินเข้ามาหามุกริน
“พี่มุกครับ มีคนมาขอพบครับ”
“ใคร”
”ชื่อชุมสายครับ เขาบอกว่าขอเวลาคุยด้วยซักสิบห้านาทีเท่านั้น พี่จะให้พบ มั้ยครับ”
ไม่นานนัก ชุมสายก้าวเข้ามาหามุกริน ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
นึกว่าคุณมุกจะไม่ยอมให้ผมพบซะอีก
สองคนนั่งคุยอยู่ตรงระเบียงชั้นล่างของบริษัท
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ”
“เพราะเพื่อนผมมันทำกับคุณไว้หนักหนาสาหัสมาก”
“คุณรู้ด้วย”
ชุมสายพยักหน้ารับคำ
“ถ้างั้นคุณก็ไม่ควรมาหาฉัน เชิญกลับได้แล้วค่ะ ดิฉันจะทำงาน”
“ก่อนกลับผมขอถามคำถามคุณซักสามข้อ กรุณาอยู่ฟังก่อนได้มั้ยครับ”
มุกรินยืนนิ่ง รอฟัง
“อย่าให้ยากนักนะคะ”
“ข้อแรก คนที่ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าทำผิด เขาควรได้โอกาสในการกล่าวคำขอโทษมั้ย”
มุกรินนิ่ง ไม่มีท่าทีตอบรับคำแต่อย่างใด ชุมสายพูดต่อ
“และถ้าเขาจะขอโอกาสนั้น ในการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกันไปตลอดกาล คุณจะยอมฟังคำขอโทษของเขามั้ย”
มุกรินอึ้ง รู้สึกเสียววูบอยู่ลึกๆ
“ถ้าคุณไม่ยอม เขาก็ฝากคำลาครั้งสุดท้ายมากับผม”
มุกรินเหลือบตามามองหน้าชุมสายช้าๆ
“ขอให้ใช้หัวใจคิดให้ถ้วนถี่ ก่อนตอบผมภายในวันนี้นะครับ”
มุกรินไม่แสดงอาการตอบรับแต่อย่างใด
“ลาก่อนครับ”
ชุมสายค่อยๆ เดินออกไปเลย มุกรินครุ่นคิด ว้าวุ่นวุ่นวายใจไม่น้อย
ที่มูลนิธิพนา - อรรถ พลโทอรรถเดินเข้ามาในออฟฟิศ แล้วตรงเข้าไปทักทายคิมหันต์ที่นั่งหงอยอยู่ทันที
“ทำไมหน้าตาไม่สบายเลยล่ะ เครียดอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ”
“โน่นให้ยายพักตร์คลายเครียดให้ก็แล้วกัน”
อรรถพูดจบก็เดินเข้าห้องทำงานไป พักตราเดินยิ้มหวานเข้ามาที่โต๊ะคิมหันต์
“เป็นไงบ้างคะคิม คุ้นกับการนั่งทำงานในออฟฟิศมั้ย”
คิมหันต์สารภาพ “ไม่มีทาง”
“พักตร์กำลังจะเข้าบริษัท เลยแวะเอาอาหารกลางวันมาฝากคิมก่อน”
พักตราวางถุงอาหารในมือไว้บนโต๊ะคิมหันต์
“เย็นๆ เจอกันนะ”
พักตราหอมแก้มคิมหันต์ฟอดเบ้อเริ่ม แล้วจึงเดินออกไป คิมหันต์หายใจยาวๆ เซ็งๆ แล้วจึงเดินไปเคาะห้องอรรถ
นายพลโทอรรถ นั่งตรวจเอกสารบนโต๊ะอยู่ ขณะตะโกนตอบเสียงเคาะประตูนั้น
“เข้ามาได้เลย”
คิมหันต์เปิดประตู เดินเข้ามาในห้องนี้
“มีเด็กมารอพบคุณพ่ออยู่นานแล้วครับ”
อรรถตอบโดยไม่เงยหน้าจากเอกสารบนโต๊ะ
“เห็นแล้ว ให้เขาคุยกับเลขาฉันแล้วกัน”
“ไม่มีใครอยู่เลยซักคนนี่ครับ”
“เขารอได้น่า”
คิมหันต์พยักหน้ารับรู้ เตรียมจะเดินกลับออกไป อรรถเอ่ยปากทักไว้ก่อน
“อึดอัดมั้ย กับการนั่งโต๊ะที่นี่”
คิมหันต์พยายามเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสม
“ก็...มีบ้างครับ”“งั้นจะออกไปเดินเล่นข้างนอกให้สบายอกสบายใจก่อนก็ได้ ฉันไม่ว่า แต่กลับมาให้ทันยายพักตร์ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
”เห็นมั้ยว่าฉันเข้าใจหัวอกลูกผู้ชายดี”
“ครับผม”
คิมหันต์เดินออกจากห้องไป อย่างมีความหวัง
ตั้งแต่เช้าจนตกบ่ายวันนี้ มุกรินนั่งครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะของเธอ จนมีเสียงพนักงานดังผ่านโทรศัพท์สำนักงานบนโต๊ะของเธอ
“คุณมุกคะ...มีโทรศัพท์สายนอกถึงคุณค่ะ”
มุกรินกดปุ่มที่โทรศัพท์เพื่อรับสาย
“ฮัลโหล โทร.มาเอาคำตอบเหรอคะ”
ชุมสายยืนพูดโทรศัพท์บริเวณริมถนน หน้าตาของเขาดูจริงจังมาก
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคดีพี่ชายคุณ”
มุกรินพลอยตกใจตามไปด้วย
“เรื่องอะไรคะ”
“ผมเพิ่งได้ตัวพยานยืนยันว่าเขาร่วมมือกับพี่ชายคุณ ทำฆาตกรรมพี่วิมลรัตน์ในคืนนั้น เพื่อเห็นแก่คุณ ผมคิดว่าเราน่าจะหาทางออกร่วมกันได้”
มุกรินสีหน้าไม่ค่อยดี
“ยังไงคะ”
“เบื้องต้น ผมต้องกันคุณออกมาจากคดีก่อน แต่รบกวนคุณช่วยมาดูตัวเขาหน่อยได้มั้ยครับ เผื่อคุณจะมีข้อมูลของนายคนนี้มากยิ่งขึ้น”
“จำเป็นด้วยเหรอคะ”
“แล้วแต่คุณจะคิด แต่ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ยืดยาวแน่ ถ้าคุณไม่ใส่ใจ ผมจอดรถอยู่ปากซอย คงใช้เวลาคุณไม่เกินสิบห้านาที ก็จบ แต่ขอเป็นความลับ อย่าเพิ่งบอกใครนะครับ”
ชุมสายกดปุ่มจบการสนทนา
มุกรินวางโทรศัพท์ เธอครุ่นคิดอย่างหนัก
ถัดจากนั้นไม่นาน เห็นรถมุกรินวิ่งออกจากบริษัท Fast Track มุกรินขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ
“ฉันออกมาจากบริษัทแล้ว รถคุณจอดอยู่ตรงไหน”
“ตรงมาให้ถึงปากซอย คุณจะเห็นรถผมจอดต่อท้ายรถตู้สีขาว รถคันเดิมที่ผมเคยไปรับคุณน่ะครับ”
มุกรินมองหาจนเจอ “เห็นแล้วค่ะ”
“คุณจอดต่อท้ายรถผมเลย”
มุกรินเลี้ยวรถไปจอดท้ายรถชุมสาย
“ผมรออยู่ในรถนะครับ”
มุกรินก้าวลงจากรถของเธอ เดินตรงไปเปิดประตูรถชุมสายเข้าไปนั่ง โทรศัพท์ยังแนบหูเธออยู่
ทว่าภายในรถชุมสาย มีคิมหันต์นั่งประจำตำแหน่งคนขับ และเขากดปุ่มล็อครถ แล้วพูด ยิ้มๆ
“ขอบคุณนะครับที่กรุณามา”
มุกรินถึงกับชะงัก เธอพูดกับชุมสายทางโทรศัพท์ น้ำเสียงฉุนเฉียวไม่น้อย
“อะไรกันเนี่ย คุณชุมสาย คุณเล่นอะไรของคุณเนี่ย”
ชุมสายนั่งพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ริมถนนฝั่งตรงข้าม
“เพื่อนผมมันอยากขอโทษคุณเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญไม่แพ้คดีของพี่ชายคุณ อย่างน้อยคุณก็จะได้ฟังคำบอกลาจากปากมันเอง”
“ไม่ต้องห่วงรถคุณนะครับ ผมจะเฝ้าดูอยู่ที่นี่ให้ จนกว่าคุณจะกลับมา”
ชุมสายกดปุ่มจบการสนทนา
รอจนมุกรินวางสาย คิมหันต์จึงขับรถคันนี้ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ
“คาด safety belt ซะ และกรุณาอย่าเปิดประตูขณะรถวิ่งนะครับ มันอันตราย”
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“ที่เงียบๆ ที่คุณจะมีสมาธิพอที่จะฟังเสียงหัวใจผม”
เสียงที่ได้ยินตอนนี้ เป็นเสียงมุกรินผ่อนลมหายใจอย่างอึดอัดและอัดอั้น
รถของชุมสายคิมหันต์ขับวิ่งตรงเข้าไปในโรงแรมม่านรูดมีชื่อ เลี้ยวเข้าจอดหน้าห้องพักหรูสุด พนักงานรูดม่านปิดกันการสอดรู้และพบเห็นของใครอื่น
“เนี่ยเหรอ ที่เงียบๆ ของคุณ”
“มาที่นี่ คุณจะตบหน้าผมกี่ทีก็ได้ ไม่ต้องอายใคร”
คิมหันต์ราวกับรู้ชะตากรรม เขาก้าวลงจากรถ
คิมหันต์เปิดประตู เดินเข้ามาในห้อง มุกรินค่อยๆ ก้าวตามมา ไม่ห่างนัก
“ปิดมือถือด้วยนะ จะได้ไม่มีใครโทร.มาขัดจังหวะ”
“คงไม่คิดจะจัดงานแต่งงานในนี้อีกนะ” มุกรินแดกดัน
”จัดใหม่ คุณก็คงไม่ประทับใจเหมือนที่เกาะวันนั้นแล้วละ”
“ฉันประทับใจรูปที่คุณแอบถ่ายฉันมากกว่า”
“ผมยอมให้คุณถ่ายรูปผม แล้วส่งไปประจานบ้างก็ได้ ถ้ามันจะทำให้คุณหายโกรธผม”
มุกรินส่ายหน้า ดูถูกความคิดเหลวไหลนั้น พลางขยับตัวลงนั่งตรงตำแหน่งที่เหมาะสม
“อีกชั่วโมงนึง ฉันต้องกลับไปออฟฟิศ”
“เลตนิดหน่อยได้มั้ย”
“แค่คำว่าลาก่อน ไม่น่าจะใช้เวลามากมายอะไร”
“โอเค อย่างน้อยผมก็มีเวลามากกว่าคราวที่แล้ว”
คิมหันต์หย่อนตัวลงนั่งประจันหน้ามุกริน
“ก่อนจะถึงคำลา คงต้องเป็นคำขอโทษก่อน”
คิมหันต์หายใจลึกๆ เหมือนเตรียมคำพูดจากหัวใจของเขา
“ฉันรอฟังอยู่”
“มันเป็นความโชคร้าย ที่ผมเป็นน้องชายพี่มล และคุณดันเป็นน้องสาวนายธาดา ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับพี่ชายของคุณ ก็ไม่ต่างจากที่ผมรู้สึกกับพี่สาวของผม นั่นคือที่มาของปัญหาทั้งหมดระหว่างเรา พร้อมๆกับความดีใจในชัยชนะของฝ่ายคุณ มันก็คือความแค้นของฝ่ายผม มันจึงเป็นการเปิดทางให้พักตรา และเป็นที่มาของรูปถ่ายวันนั้น แต่ผมพลาดที่ไม่ฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ดี”
คิมหันต์จ้องตามุกริน เธอได้เห็นน้ำตาของเขาไหลรินออกมา โดยไม่มีการเสแสร้งแต่อย่างใด คิมหันต์ค่อยๆ เอื้อมมือกุมมือมุกรินขึ้นมาแตะที่หน้าอกของเขาช้าๆ
“คุณได้ยินเสียงหัวใจของผมมั้ย”
มุกริน นิ่ง อึ้งไป
“วันแรกที่เราบอกรักกัน คุณก็ฟังเสียงหัวใจผมแบบนี้ คุณจำได้มั้ย”
มุกรินมองตาคิมหันต์ สัมผัสได้ถึงความรักของเขา
“มันไม่มีเสียงแบบนั้นอีกแล้วเหรอ ผมยังได้ยินอยู่นะมุก หัวใจผมยังเต้นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง”
อารมณ์โกรธของมุกรินจางหายไป เธอไม่อาจฝืน ปฏิเสธหัวใจตัวเองได้อีก
“แล้วหัวใจคุณล่ะ คุณฟังมันบ้างหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงหัวใจคุณนะ มุก”
“พอเถอะค่ะคิม”
“ผมรู้ว่ามันมาถึงปลายทางแล้ว หลังจากนี้ไม่นานนัก ผมจะบอกเลิกกับพักตราแบบที่ไม่ให้มีปัญหามาถึงคุณ แต่มันก็คงไม่ทัน เพราะกว่าจะถึงวันนั้น เวลาของผมคงหมดแล้ว”
คิมหันต์ปล่อยมือมุกริน เขาสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง เพื่อตั้งต้นพูดเรื่องใหม่
“ผมเตรียมคำขอโทษ และคำบอกลามาแล้ว”
ในใจของมุกริน ไม่อยากได้ยินคำเหล่านี้เลย
“ผมขอโทษที่รักคุณมากเกินไป ผมขอโทษที่ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียคุณไป แต่ผมก็ทำมันไม่สำเร็จ...ลาก่อ...”
มุกรินยกมือปิดปากคิมหันต์ ก่อนจะสิ้นเสียงคำว่าลาก่อน
“ฉันได้ยินเสียงหัวใจคุณค่ะคิม และฉันก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองด้วย”
ทั้งสองมองหน้ากันเต็มๆ ตา แล้วจึงสวมกอดกันด้วยความรัก
อ่านต่อหน้า 3
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
ส่วนที่บ่อนเสี่ยอ๋า ขุมโกยชิปมากมายมาไว้ที่หน้าตักของมันอย่างสุขอุรา มีสายตาธาดายืนหมั่นไส้มันอยู่ข้างๆ ก่อนจะดึงตัวไอ้ขุมลุกขึ้นจากโต๊ะ
“พอได้แล้ว มึงได้มากกว่าที่มึงต้องการแล้ว”
“แหมกำลังติดลมเลยเฮีย”
“มึงไปหาที่ติดลมที่อื่น ให้ไกลๆกูหน่อย เอาชิปไปแลกเงิน แล้วหายหัวไปเลย อย่ากลับมาที่นี่อีกนะ”
“โอเค แหม ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา เวลาต้องการใช้งานละก้อ...” ขุมดัดเสียงล้อเลียนธาดา “มาให้ได้นะ มาเดี๋ยวนี้ให้ได้นะขุม แทบจะให้เหาะมาเลยนะเฮีย”
“หยุดพูด ไปได้แล้ว”
ไอ้ขุมเดินเลี่ยงออกไปจากโต๊ะพนัน ในจังหวะที่เสี่ยอ๋าเดินเข้ามาหาธาดาพอดี ลองแซวหยั่งเชิงดู
“คุณธาดา เด็กที่คุณพามานี่ มือขึ้นจริงๆ นะ”
“เอ้อ ครับ”
“งั้นคุณก็น่าจะมีเงินพอใช้หนี้ผมได้แล้วมั้ง”
“ยังครับ ไอ้ที่ได้นั่นของมันทั้งหมด ไม่ใช่ของผมครับ”
“อ้าว ทำไมงั้นล่ะ”
“ผมพามาเล่นเพื่อเป็นการให้รางวัลน่ะครับ”
“ไปมีบุญคุณอะไรกันมาเหรอ” เสี่ยซักไซ้
“เอ้อ...เรื่องของผู้ชาย นิดๆ หน่อยๆ ครับ”
“มันชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน”
ธาดาตัดบท “ไม่สำคัญอะไรหรอกครับ เสี่ยอย่าไปรู้เลย ทีนี้ผมจะเล่นเพื่อตัวของผมเองบ้างแล้วละ”
เสี่ยอ๋าหัวเราะร่า ยั่วเบาๆ
“แต่ปล่อยตัวนำโชคกลับไปซะงั้น แล้วคุณจะเอาอะไรมาชนะเจ้ามือล่ะที่นี้”
“เดี๋ยวก็รู้ครับ”
ชุมสายยังคงเอ็นจอยอีตติ้ง นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านเดิม ริมถนน กระทั่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล ชุมสายพูดครับผม อ้อเสี่ยอ๋า มีอะไรเหรอครับ”
เสี่ยอ๋าโทร.จากห้องลับในบ่อน “โทร.มาส่งข่าวคราวคืบหน้าหน่อย ไอ้คนที่มากับนายธาดามันไปแล้ว นายธาดาเป็นคนไล่มันไปเอง ดูเหมือนจะมีอะไรๆ ลึกลับระหว่างมันสองคน”
“แล้วนายธาดาเป็นไงบ้าง”
“ยังเล่นอยู่ และเล่นเสียเหมือนเดิม ไม่เหมือนไอ้หมอนั่น ฝากคุณส่งข่าวให้คุณคิมหันต์ด้วยนะครับ ผมโทร.เข้ามือถือเขาไม่ติด”
“ตอนนี้ใครก็โทร.หาเขาไม่ติดหรอกครับ ดูเหมือนจะกำลังถูกสอบปากคำอยู่”
ชุมสายอดที่จะยิ้มขันออกมาไม่ได้
ที่ห้องสอบปากคำ ภายในโรงแรมม่านรูดยามนี้ มองจากมุมสูงลงมา แลเห็นคิมหันต์ มุกรินนอนกอดกันใต้ผ้าห่ม บนเตียงใหญ่ ทั้งสองต่างทอดสายตามองเพดานนิ่ง คิมหันต์เป็นผู้เอ่ยปากออกมาก่อน
“คิดอะไรอยู่เหรอ มุก”
มุกรินนิ่ง ไม่ตอบ
“อย่าเครียดซี่ เราควรจะมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันนะ”
“วันนี้ฝนไม่ตกซะหน่อย”
คิมหันต์เย้าหยอก “เปลี่ยนห้องมั้ย...เอาห้องที่เขาปล่อยน้ำฝนลงมาได้ เอามั้ย”
มุกรินส่ายหน้าช้าๆ
“มุกไม่เคยชนะคิมได้เลย”
“เราไม่ได้แข่งอะไรกันนี่มุก”
“พอคิมเลี้ยวรถเข้ามาในนี้ มุกก็รู้แล้วว่ามันคงต้องลงเอยอย่างนี้แหละ”
“แต่มุกทำให้ผมคิดว่า คุณจะทิ้งผมไปจริงๆ นะ”
“มุกพยายามจะใจแข็งอย่างนั้น แต่ไม่สำเร็จ”
“เพราะมุกรักผม เพราะเรารักกัน เราปฏิเสธความจริงนี้ไม่ได้นะมุก”
มุกรินยอมรับความจริงในข้อนี้ เธอซุกตัวแนบไปกับร่างของคิมหันต์มากยิ่งขึ้น
“ไม่นึกเลยว่าชีวิตนี้มุกจะต้องเข้าโรงแรมม่านรูด” เธอว่า
“สองครั้งเท่านั้นเอง”
“ตั้งสองครั้ง”
“กับผมคนเดียว ไม่ใช่กับคนอื่น”
“มันต่างจากที่เราฝันกันไว้ ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยตั้งใจจะให้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในคืนแรกของวันแต่งงาน”
มุกรินได้แต่ยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเอง
“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนอย่างนี้แหละ เราจะตายจากกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำวันที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดดีกว่า”
“คิมจะทำอะไรให้มุกเสียใจอีกมั้ย” เธออดถามคำถามนี้ไม่ได้
คิมหันต์ส่ายหน้า
“คิมจะไม่เอามุกเป็นเครื่องมือทำร้ายพี่ธาดาอีกใช่มั้ย”
“ผมจะไม่ทำอีกแล้ว สัญญา แต่นายธาดาเขาจะทำเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า ผมไม่อาจรู้ได้”
“ปล่อยให้เป็นกรรมของมุกกับพี่ใหญ่เองก็แล้วกัน”
คิมหันต์โอบร่างของมุกรินให้กระชับ แน่นขึ้น
“ขอต่อเวลาอีกซักครึ่งชั่วโมงได้มั้ย มุก...นะ”
ร่างสองคนนี้เบียดเสียด จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อปรารภเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา พบว่าพักตรานั่งรออยู่กลางห้อง เขาถึงกับสะดุ้ง
“คุณพักตรา”
“ผู้จัดการบริษัท Fast Track ไม่ค่อยอยู่ติดห้องเลยนะ”
“งานอีเว้นท์เป็นงานบริการ ผมต้องออกไปพบลูกค้าอยู่เรื่อยๆ”
“คงไม่ใช่ออกไปเลี้ยงฉลองตำแหน่งผู้ช่วยคนใหม่ ที่เพิ่งย้ายมานั่งหน้าห้องคุณหรอกนะ”
ปรารภพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้นิ่ง
“เปล่าครับ”
“งั้นคุณก็ควรเช็คดูว่านางหายหัวไปไหน ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณน่ะ...”
ปรารภกดปุ่มโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน
“บงกช เช็คดูซิว่ามุกรินไปไหน”
“ทำงานแบบนี้มันเอาเปรียบคนจ่ายเงินเดือนนี่หว่า” พักตราบ่นบ้า
พนักงานชื่อบงกชเดินเข้ามารายงาน
“คุณมุกรินมาตั้งแต่เช้าแล้วก็ออกไปค่ะ แต่ไปไหนไม่มีใครทราบค่ะ”
“โทร.เข้ามือถือสิ”
“โทร.ไม่ติด” บงกชบอก
“ฉันให้ลูกน้องคุณเช็คหมดแล้วค่ะคุณปรารภ เหลวไหลจริงๆ”
ปรารภฉุนกึก เอ่ยปากพูดเสียงเข้ม
“คุณพักตราครับ พนักงานบริษัทไม่ใช่ทาสนะครับ และเราก็ไม่ได้จ้างเขามานั่งติดเก้าอี้อยู่กับที่ เพื่อรอให้ผู้บริหารเช็คชื่อนะครับ”
พักตราโต้ตอบด้วยเสียงดังลั่น และมีอารมณ์ฉุนเฉียว
“แต่ฉันก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ ว่าคนที่กินเงินเดือนฉัน เอาเวลาทำงานไปทำอะไรที่ไหนบ้าง”
พักตรากดโทร.ออก แล้วยกขึ้นรอสายจนอีกฟากรับ
“ฮัลโหลคิม คิมอยู่ไหนคะ
คิมหันต์รับสาย และเดินพูดโทรศัพท์เข้าไปในอาคารมูลนิธิพนา- อรรถ
“กำลังจะเข้าบริษัทพ่อคุณไงครับ”
“ไปไหนมา”
“ผมออกมาทำธุระให้คุณพ่อคุณ ถามพ่อคุณดูก็ได้”
“ทำไม ไม่รับโทรศัพท์”
“อ๋อ ผมปิดเสียงไว้ เลยไม่รู้ว่าคุณโทร.มา”
“เย็นๆ พักตร์ไปรับนะคะ”
พักตราวางสาย แล้วหันหน้าไปหาปรารภ
“ฉันต้องการรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรว่า คุณใช้เหตุผลอะไรในการเลื่อนตำแหน่งมุกริน และหน้าที่ใหม่ของมุกรินคืออะไร และวันนี้หายหัวไปไหน”
มุกรินก้าวเข้ามาในห้อง ใช้สิทธิ์พาดพิง เอ่ยปากเสียงเข้ม
“คำถามสุดท้ายดิฉันตอบได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นรายงาน”
ทุกคนหันไปมองที่มุกริน
“ฉันไปตรวจสอบสำนวนในชั้นศาลอุทธรณ์ของคดีพี่ชายดิฉันค่ะ”
“ทำไมไม่ทำใบลาให้เป็นกิจลักษณะ”
“ดิฉันไม่คิดว่าจะใช้เวลานาน”
“เป็นแค่พนักงานบริษัท จะคิดเองเออเองอย่างนี้ไม่ได้”
“ถ้านี่คือความผิดขั้นคอขาดบาดตาย จะตัดเงินเดือน หรือไล่ออกก็บอกมา”
พักตรายิ้มเยาะใส่มุกริน
“ฉันจะไม่ทำอะไรเธอทั้งนั้น ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเธอ ลงโทษกันเองแล้วกัน ยืนหน้าบูดอยู่นั่นน่ะ”
พักตรากระเถิบเข้าไปพูดใกล้ๆปรารภ
“รวบหัวรวบหาง แต่ง-งง แต่งงานให้มันจบๆ ไปซะทีเถอะค่ะคุณปรารภ จะได้ไม่ร่อนไปร่อนมาให้รกหูรกตาฉันอย่างนี้”
จากนั้นพักตราก็นวยนาดออกจากห้องไปในทันที ปรารภเดินเข้าไปใกล้มุกริน
“คุณไปไหนมาน่ะมุก ผมเห็นรถคุณจอดอยู่ปากซอยนี้เอง”
“ฉันนั่งรถไปกับทนายค่ะ”
“ทนายชุมสายน่ะเหรอ”
“ค่ะ”
มุกรินเดินออกไปนั่งที่โต๊ะของเธอ โดยไม่อธิบายอะไรต่อ ปรารภได้แต่มองตาม งงๆ
เย็นนั้น คิมหันต์เดินเข้าไปในสำนักงาน เขาตรงไปเปิดประตูห้องว่าที่พ่อตานายพลโท เห็นเด็กสาวคนนั้น นั่งอยู่บนตักของพลโทอรรถ ทั้งสองกำลังซุกไซร้ แลกลิ้นระรัวกันอย่างเมามัน
คิมหันต์ตกใจ “เฮ้ย”
อรรถก็ร้อง “เฮ้ย”
ทั้งนายพลและเด็กสาวต่างกระเด้งออกจากกัน
“ปิดประตูสิ”
คิมหันต์ปิดประตูห้อง โดยตัวเองยังยืนอยู่ในห้องนี้
“ปิดประตู แล้วแกก็ออกไปนอกห้องสิวะ เดี๋ยวฉันออกไปคุยด้วย”
“ครับ”
คิมหันต์ปิดประตูห้องตามคำสั่ง สีหน้าของเขามีรอย อมยิ้ม เสียงอรรถดังออกมาทางโทรศัพท์ที่โต๊ะคิมหันต์
“ยังไม่มีเลขาคนไหนกลับมาใช่มั้ย”
คิมหันต์มองไปรอบๆ ห้อง
“ฉันถามว่ายังไม่มีใครกลับมาใช่มั้ย ไอ้ลูกชาย”
“ครับผม”
ประตูห้องอรรถเปิดออก เด็กสาวคนนั้นเดินออกมา เธอยิ้มให้คิมหันต์ แล้วก้าวยาวๆ ออกไป
อรรถโผล่หน้ามาจากประตูห้อง
“เข้ามาได้”
คิมหันต์อึกอัก “ผม...”
“เข้ามาคุยในนี้...ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า”
คิมหันต์ค่อยๆ เดินเข้าห้องไป
พลโทอรรถขยับตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงาน คิมหันต์เดินเข้ามายืนเบื้องหน้าอย่างสงบ
“เพื่อความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ระหว่างฉันกับเธอ เธอต้องไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ในห้องนี้ เข้าใจมั้ย”
”เข้าใจครับ”
“หลังจากวันนี้ นานไป อาจมีคนถามเรื่องแบบนี้กับเธอ โดยเฉพาะ พักตรา”
“ผมก็จะยืนยันว่า ไม่รู้ไม่เห็นครับ”
“หรือแม้แต่กับคุณปริม”
“ไม่รู้ไม่เห็นครับ”
“ดีมาก...เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดี”
“ผมขออนุญาติถามคุณพ่อบ้างได้ไหมครับ”
“ถามว่า”
“มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมั้ยครับ”
“ฉันไม่เคยพลาดเหมือนวันนี้ ปกติฉันจะนัดสัมภาษณ์เลขา นอกสถานที่”
คิมหันต์อึ้งไปชั่วขณะหนึ่งจึงทวนคำว่า “สัมภาษณ์?”
“จะให้ฉันเรียกว่าอะไรล่ะ”
“ครับ...สัมภาษณ์”
“เป็นที่รู้และยอมรับของทุกคนว่า ฉันโปรดปรานการมีเลขาสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่เคยมีใครถือสาพ่อหม้ายอย่างฉัน จนกระทั่งฉันลึกซึ้งกับคุณปริมและพักตราก็รับได้ ไม่ว่าอะไร นั่นแหละ ฉันจึงต้องแคร์ผู้หญิงสองคนนี้มากกว่าแต่ก่อน”
“ครับ”
“เป็นอันว่าเราสองคนมีความลับระหว่างกันนะ”
“ผมมีความลับด้วยเหรอครับ”
“ก็ที่นายแว่บหายไปตอนบ่ายไงล่ะ นายอาจไปสัมภาษณ์ใครอยู่ก็ได้ใครจะรู้ แต่ฉันจะไม่เปิดปากใส่ไฟอะไรนายแม้แต่น้อย”
“ขอบคุณครับ”
นายพลอรรถยิ้มพึงใจ “ดี...เราชักจะเข้ากันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ ไอ้ลูกชาย”
พักตราก้าวเข้ามา เธอส่งเสียงดังมาก่อนตัว
“บริษัทนี้ยังไม่เลิกงานอีกเหรอคะ”
“เพิ่งจะสามโมงครึ่งเองนะลูก”
พักตราตรงเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพ่อ
“วันนี้เลิกเร็วหน่อยนะคะ เพราะพักตร์จะพาหน้าห้องคุณพ่อไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนซะหน่อย ได้มั้ยคะ”
“ตามสบาย...เดี๋ยวพ่อจะไปแอบดู”
“ได้เลยค่ะ”
คิมหันต์ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไปงั้นๆ
คืนนั้นธาดาเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านเอาเรื่อง เขาส่งเสียงตะโกนลั่นบ้าน
“มุก มุก มาดูนี่สิ...มันส่งรูปมาให้พี่อีกแล้ว”
มุกรินก้าวออกมาจากห้องนอนของเธอ
“รูป”
“คราวนี้ยายพักตราเป็นคนส่งเอง มุกดูสิ”
ธาดาส่งโทรศัพท์มือถือให้น้องสาว มุกรินรับมาดู พบว่าหน้าจอโทรศัพท์ เป็นรูปที่ส่งมาทาง Line เป็นภาพคิมหันต์กับพักตราโอบกอดกัน ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก กลางร้านหรู บางภาพมีการหอมแก้มกันด้วย
“พี่ว่ายายนี่ต้องประสาทแน่ๆ เผลอๆมันประสาทกันทั้งบ้าน ทั้งก๊วนมันนั่นแหละ มุกเลิกคบพวกมันได้น่ะดีแล้ว”
สีหน้ามุกรินมีร่องรอยน้อยใจปรากฏให้เราเห็นจางๆ
“พี่ใหญ่ไม่ต้องเอารูปพวกนี้มาให้มุกดูอีกแล้วนะคะ ถ้าเขาส่งอะไรมา พี่ใหญ่ก็ลบทิ้งให้หมดเลยนะ”
มุกรินเดินหนีเข้าห้องนอนของเธอทันที
มุกรินนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ในห้อง มันเป็นความน้อยใจลึกๆ ไม่มีอาการสะอึกสะอื้นออกมาให้เห็น สักครู่จึงเห็นดวงดาวเปิดประตูห้องเข้ามายืนดู
“แค่รูปนั่งกินข้าวกันสองคน แค่นี้...ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย”
“ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะรูป”
“แล้วเพราะอะไร”
“ฉันทุเรศตัวเอง”
“เรื่อง...”
“ฉันทำในสิ่งที่ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำกัน”
แม่สื่อแม่ชักถาม “ฉันจะไม่ถามว่าเธอทำอะไร แต่จะถามว่าตอนที่ทำน่ะ มีความสุขมั้ย”
มุกรินส่ายหัว “ฉันไม่รู้”
“โตแล้วต้องรู้สิ จะไม่รู้ได้ยังไง”
“ถ้าฉันไม่รักเขา ฉันก็คงไม่ยอมทำอย่างนี้หรอก”
“สุดท้ายมันก็คือความรัก...”
มุกรินยอมรับความจริงข้อนี้แต่โดยดี ดวงดาวขยับลงนั่งข้างๆ มุกริน
“ความรักไม่มีผิดไม่มีถูก เชื่อฉันเถอะ ถ้าเราเดินตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ”
“อีกไกลแค่ไหนเหรอ”
“แม้ไม่ถึงเส้นชัย แต่เราก็มองเห็นเป้าหมายรางๆ มันดีกว่ามืดมนนะ”
“เขาจะรู้สึกอย่างฉันบ้างไหม”
“ถ้ามันเป็นความรักจริง...เขาก็คงไม่ต่างจากเธอหรอก”
มุกรินเอนตัวพิงไหล่ดวงดาว ยึดเอาเป็นที่พึ่ง ดวงดาวโอบไหล่นั้นอย่างนุ่มนวล
อีกฟาก พักตรานอนหลับอยู่ในห้องนอน
ส่วนคิมหันต์ยืนหลบอยู่ในซอกหลืบข้างในห้องน้ำ กดโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่นิ้วมือยุกยิกๆ คล้ายกำลังพิมพ์ส่งข้อความ
มุกรินนอนนิ่งจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
จนมีสัญญาวาบขึ้นมาที่หน้าจอโทรศัพท์ และเห็นข้อความเขียนส่งมาว่า
“อย่าสนใจรูปที่พักตราส่งไปให้ดูนะ ลบมันทิ้งให้หมด มันไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น ผมรักมุก...รักมุกคนเดียว”
น้ำตาของมุกริน ค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างสวยงาม เธอค่อยๆ กดพิมพ์ข้อความลงไปบนโทรศัพท์
คิมหันต์ยังยืนพิงประตูห้องน้ำ จ้องมองดูโทรศัพท์ของตน จนกระทั่งหน้าจอโทรศัพท์ ปรากฏข้อความตอบกลับมาว่า
“ค่ะ”
คิมหันต์ไม่มีทางรู้ว่า เวลานี้พักตรานอนลืมตาโพลง มองไปในห้องน้ำด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
อ่านต่อหน้า 4
รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 7 (ต่อ)
รุ่งเช้า รถพักตราแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคาร มูลนิธิ พนา - อรรถ พักตราเป็นผู้ขับ คิมหันต์นั่งข้างๆ
”บ่ายๆ พักตร์มารับนะคะ คิม”
“พักตร์ไปรับผมที่ออฟฟิศไอ้ชุมสายได้มั้ย มันนัดให้ผมไปดูเรื่องเอกสารการยื่นอุทธรณ์”
“แล้วคิมไปยังไง”
“แท๊กซี่สิครับ”
“อย่าให้แท๊กซี่แว่บไปไหนนะคิม”
คิมหันต์ยิ้มบางๆ ก่อนก้าวลงจากรถ พักตราพูดตามหลังเขา
“พักตร์จะรีบไปรับค่ะ”
ไม่นานรถพักตราแล่นออกไปจากหน้าอาคารนิธิ มีสายตาคิมหันต์มองส่งอย่างโล่งอก
เมื่อคิมหันต์เดินเข้ามาในสำนักงาน เห็นปริมเตรียมเอกสารต่างๆ อยู่บริเวณโต๊ะเลขา
“มาเช้าจังนะครับ คุณปริม”
“นอนดึก ตื่นเช้า เป็นหน้าที่ดิฉันค่ะ ทำอย่างนี้มาห้าปีแล้ว”
“อยู่กับท่านตลอดเลยเหรอครับ”
“ดิฉันมีเจ้านายคนเดียวค่ะ”
“แต่ท่านมีเลขาได้หลายคน”
“เพราะดิฉันคนเดียวทำหน้าที่แทนทุกคนไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่หน้าที่ของคุณปริมดูจะยิ่งใหญ่ และสำคัญกว่าคนอื่นๆ”
“นั่นคือความรักและเมตตาที่ท่านมีให้ดิฉัน”
“ไม่หึงบ้างเหรอครับ...ถามตรงๆ”
“ดิฉันไม่มีสิทธิ์หรอกค่ะ แค่เห็นท่านมีความสุขที่มีเราอยู่ด้วย ก็เป็นความภูมิใจที่สุดแล้วละค่ะ”
“ถ้าท่านมีคนอื่นๆ ด้วยล่ะครับ”
“ตั้งแต่ปริมอยู่ที่นี่ ท่านก็เลิกหมดแล้ว”
คิมหันต์แหย่เย้า “แน่ใจเหรอครับ”
ปริมยิ้ม ไม่ตอบ
“พรุ่งนี้คุณคิมหันต์เตรียมตัวไปจังหวัดเลย นะคะ ดิฉันเตรียมตั๋วเครื่องบินไว้ให้แล้ว”
“ใครไปกับผมบ้าง”
“ผู้ช่วยที่คุณคิมให้ชื่อไว้ แล้วก็คุณพักตรา”
“ท่านไปด้วยมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะ ท่านมีนัดดูที่แถวชุมพร”
“คุณปริมก็คงไปพักผ่อนกับท่าน”
“เปล่าค่ะ ปริมเฝ้าออฟฟิศ”
“ท่านไปคนเดียว”
“ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ คนในพื้นที่เป็นลูกน้องเก่าของท่านเยอะ”
ปริมเดินเข้าไปในห้องทำงานอรรถ
คิมหันต์เลี่ยงมายืนตรงมุมลับตา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์มุกริน
ขณะที่มุกรินกำลังเดินเข้าบริษัท เธอกดรับคุยสายไปด้วย
“ฮัลโหล”
“คุณถึงบริษัทรึยัง”
“เพิ่งถึงเดี๋ยวนี้ค่ะ”
คิมหันต์ยืนหลบมุมพูดโทรศัพท์มือถือของเขา
“ผมคิดถึงคุณมากเลยรู้มั้ย”
“ค่ะ”
“ผมว่างแล้ว เราแว่บมาเจอกันได้มั้ยครับ”
“มุกต้องเช็คงานก่อนว่าเช้านี้มีอะไรมั้ย”
“โอเค. ถ้าแว่บได้ เราเจอกันที่เดิมนะ”
“ค่ะ”
มุกรินกดวางสายไป รถพักตราแล่นมาจอดใกล้ๆ เธอ พักตราก้าวลงมาจากรถ
“พูดโทรศัพท์กับใครนะ”
“ต้องบอกด้วยเหรอคะ”
พักตราแดกดัน “แฟนใหม่”
“อย่าเดาดีกว่าค่ะ”
“มีแฟนใหม่เร็วๆเถอะ ชีวิตจะได้สดชื่นอย่างฉัน”
“เหรอ”
“เห็นในรูปแล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งไปส่งคิมที่ออฟฟิศ ยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าเขาทำงานที่ออฟฟิศคุณพ่อ”
มุกรินนิ่ง ไม่ตอบ
“แล้วพรุ่งนี้เราก็จะไปเที่ยวจังหวัดเลยกัน”
มุกรินชะงักนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเรื่องนี้
“คิมเขาไปถ่ายรูปให้คุณพ่อ ส่วนฉันก็ตามไปปรนนิบัติ พัดวี”
“ทำไมไม่แต่งงานกันซะเลยล่ะ”
“ก็ว่า กลับจากเลย คงต้องแต่งแล้วละ มันคัน จนทนไม่ไหวแล้ว มุกเอ๊ย”
พักตราเดินผ่านหน้ามุกรินเข้าบริษัทไป
ปรารภยืนมองดูท่าทีของมุกรินอยู่ไกลๆ แต่ก็ยังพอจะได้ยินที่สองสาวประคารมกัน
หน้าโรงแรมม่านรูดชื่อดัง ห้องหรู บริการดี รถมุกรินเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมนี้
มุกรินเดินเข้ามาในห้องพัก คิมหันต์โผล่เข้ามาสวมกอดมุกรินจากด้านหลัง มุกรินค่อยๆ ดันตัวห่างออกมา
“เป็นอะไรเหรอ มุก...โกรธอะไรผมอีก”
มุกรินเดินเลี่ยงไปนั่งที่มุมห้อง
“ผมทำอะไรผิดเหรอ”
“มุกรู้สึกเหมือนเป็นเมียน้อย”
“ใครบอก มุกเป็นเมียแรก เมียเดียวของผม เราแต่งงานกันที่เกาะไงล่ะ”
“มันก็แค่แต่งหลอกๆเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมุกต้องหลบๆ ซ่อนๆ ต้องรอจนว่างตรงกัน ถึงจะมาเจอกันได้ และก็ต้องในที่แบบนี้ ก่อนมาก็โดนคู่หมั้นที่ถูกต้องตามกฏหมายของคิมค่อนขอด กลางคืนก็ต้องทนดูคลิปบ้าบอที่เขาส่งมา เย้ยหยัน เนี่ยเหรอคะ เมียแรก เมียเดียวของคิม”
คิมหันต์นิ่ง อึ้งไป
“บางทีมุกรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางบำเรอ”
คิมหันต์ทรุดตัวลงนั่ง เหมือนคนสำนึกผิด มุกรินกลับเป็นฝ่ายโอบไหล่ให้กำลังใจคิมหันต์
“ขอโทษนะคิม ที่มุกต้องพูดอย่างนี้ ถ้ามุกตัดใจไม่รักคิมได้ มุกคงจะไม่ทรมานอย่างนี้ แต่เพราะมุกรักคิม มุกถึงต้องยอมทน แต่มุกไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน”
“ผมเห็นแก่ตัวจริงๆ ผมเอง ที่ต้องแก้ไขมัน ผมปล่อยให้มุกรู้สึกไม่ดีและต้องทนทรมานกับความรักของเราแบบนี้ไม่ได้”
“คิมจะทำยังไง”
“มันต้องมีทางออกจนได้ละ ผมจะไม่พาคุณเข้าโรงแรมม่านรูดแบบนี้อีกแล้ว ผมสัญญา”
มุกรินขยับตัวลุกขึ้น
“มุกต้องรีบกลับไปทำงานแล้วค่ะ...มุกออกมาโดยไม่ได้บอกใคร”
“มุก พรุ่งนี้ผมจะไปจังหวัดเลย คุณลางานไปเที่ยวกับผมได้มั้ย”
“เท่าที่รู้มา คิมต้องไปกับพักตรา ไม่ใช่เหรอคะ”
คิมหันต์เลยได้แต่ “เอ้อ”
“เที่ยวให้สนุกนะคะ มุกกลับล่ะค่ะ”
มุกรินเดินออกจากห้องนี้ไปคิมหันต์ได้แต่นั่งนิ่งๆ ซึมๆ
รถมุกรินกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องพักโรงแรม ตรงไปยังรถของเธอ โดยไม่ทันเห็นรถปรารภซึ่งจอดซุ่มอยู่มุมหนึ่ง ปรารภจ้องมองตามมุกริน ด้วยสีหน้าครุ่นคิด มีริ้วรอยผิดหวังในแววตาคู่นั้น
ที่สำนักงานกฎหมายบูรพา ชุมสายเดินเข้ามาในห้องทำงาน เบื้องหน้าของเขาคือคิมหันต์ ที่นั่งรออยู่ในห้องนี้แล้ว
“ว่าไงเพื่อนรัก วันนี้โผล่มาโดยไม่ได้นัดหมาย แถม มาด้วยรถแท๊กซี่อีกต่างหาก”
“ฉันนัดพักตราให้มารับที่นี่”
“อือม...แสดงว่า แว่บไปที่อื่นมาก่อน” ชุมสายยิ้มเจ้าเล่ห์
คิมหันต์กระแทกเสียงใส่ “เออ”
“แกนี่ชักจะเป็นจอมกระล่อนเข้าไปทุกทีแล้วนะ ไอ้คิม”
“ช่างฉันเหอะน่า”
“แต่มาก็ดีแล้ว...มาอัพเดทเรื่องการยื่นอุทธรณ์หน่อย”
“ว่าไป...”
ชุมสายขยับตัวลงนั่ง อธิบายอย่างเป็นทางการ
“แกต้องทำความเข้าใจระบบศาลก่อนว่า ในการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์เราจะนำเสนอหลักฐานใหม่เข้าไปไม่ได้ ศาลจะพิจารณาจากหลักฐานพยาน และข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในศาลชั้นต้นเท่านั้น”
“อ้าว แล้วเราจะชนะได้ยังไง”
“เรามีหน้าที่ชี้ให้เห็นว่า คำพิพากษาในชั้นต้น ผิดพลาดอย่างไร เราไม่เห็นด้วยตรงไหน เพื่อหวังให้ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ต่างไปจากศาลชั้นต้น”
“เป็นไปได้เหรอ”
“มันอยู่ที่การเขียนคำฟ้องอุทธรณ์นี่แหละ”
“งั้นแกจะวิ่งหาหลักฐานเพิ่มเติมไปทำไมวะ”
”ก็เผื่อว่าจะมีแง่มุมที่ทำให้คำฟ้องอุทธรณ์มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
“สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีของฉัน จนได้ละ”
“นั่นก็แล้วแต่แก อ้อ มันชื่อไอ้ขุมนะ”
คิมหันต์สะดุดหู “ไอ้ขุม”
“คนที่เดินตามนายธาดาเข้าบ่อนเสี่ยอ๋าวันนั้น”
“คุ้นๆ ว่าดวงดาวเคยพูดถึงชื่อนี้ว่ะ”
“เหรอ”
“ฉันคงต้องพึ่งแกว่ะไอ้ชุม ตอนนี้ฉันกระดิกตัวไม่ได้จริงๆ”
พลางคิมหันต์ชี้ให้เพื่อนมองไปที่ประตู ซึ่งพักตราเดินยิ้มกว้างเข้ามา
“มาแล้วค่ะ หนุ่มๆ ทั้งสอง”
“เห็นมั้ย ตรงกับที่ฉันบอกมั้ยล่ะ”
”คิมบอกอะไรคุณชุมสายคะ”
“มันบอกว่าคุณพักตร์จะต้องมาถึงก่อนเวลาแน่ๆ และก็จริงซะด้วย”
“พักตร์กลัวคิมจะรอนานน่ะค่ะ ก็เลยรีบมา เผื่อเวลารถติดด้วย จะไปรึยังคะคิม”
“ได้เลยครับผม”
คิมหันต์เดินออกไป โดยไม่วายลอบมองสายตาชุมสายก่อนหลุดตัวไป
รถพักตราแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารมูลนิธิตอนบ่ายคล้อย
ถัดมาไม่นานคิมหันต์เปิดประตูห้องทำงานว่าที่พ่อตาเข้าไป เขาเห็นอรรถกำลังดูเอกสารบนโต๊ะกับปริม
“มีอะไรเหรอ ไอ้ลูกชาย”
“เอ้อ ผมแค่เปิดเข้ามาดูว่า ท่าน...อยู่...รึเปล่า”
คิมหันต์และอรรถมองหน้ากันอย่างเข้าใจความหมาย
“ฉันก็อยู่กับปริมเลขาฉันนี่ไง...มีอะไร”
“คุณพักตรากำลังเดินเข้ามา เท่านั้นครับ”
พักตราเดินเข้ามากลางโถง พร้อมกับที่อรรถเปิดประตูห้องออกมาพอดี ปริมเดินตามหลังอรรถมาห่างๆ
“สองวันนี้ ลูกเข้าออฟฟิศพ่อมากกว่าพ่อซะอีกนะ น่ามาเป็นเลขาพ่อเลยท่าจะดี”
“พักตร์คงจะรู้ใจพ่อไม่เท่าคุณปริมหรอกค่ะ”
“ลูกมัวแต่ไปใส่ใจคิมหันต์นี่นา ก็เลยละเลยพ่อ”
“งั้นเปลี่ยนกันมั้ยคะ ให้พักตร์มาดูแลพ่อ แล้วให้คุณปริมดูแลคิม เอามั้ยคะ”
“พูดเป็นเล่นไป เดี๋ยวปริมเขาเอาจริงๆ พ่อก็แย่สิ”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณปริมรักพ่อจะตาย มีแต่พ่อน่ะแหละที่จะนอกใจคุณปริม”
“ไม่มีทาง”
“ดีแล้วค่ะ เพราะถ้าพ่อไปคว้าคนอื่นมาแทนคุณปริม เราตัดพ่อตัดลูกกัน”
“โอ๊ย เหลวไหล ลูกจะอยู่รอรับคิมกลับบ้านเลยรึเปล่า”
“ไม่ล่ะค่ะ เดี๋ยวค่อยมารับใหม่ พักตร์ต้องกลับไปเก็บกระเป๋าเตรียมไป จังหวัดเลย พรุ่งนี้”
พักตราเดินออกไป ปริมเลี่ยงไปทำงานข้างนอก อรรถเดินเข้าไปหาคิมหันต์
“ฉันรู้นะ ว่านายกำลังแอบหัวเราะเยาะฉันอยู่ ใช่มั้ย”
“ผมไม่กล้าคิดอย่างนั้นหรอกครับ”
“แล้วที่กำลังคิดอยู่ มันเป็นยังไง”
คิมหันต์รวบรวมความกล้า ก่อนเอ่ยปากพูด
“ผมกำลังอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อครับ”
“ว่ามา”
“ท่านกำลังจะไปดูที่ทางใต้ เพียงลำพัง กับเด็กสาวคนนั้นใช่มั้ยครับ”
อรรถนิ่งไปนิดนึง แล้วจึงเอ่ยปากออกมาว่า
“เทย่า...”
คิมหันต์ทวนคำ “เทย่า”
“ชื่อของน้องคนนั้น ความลับนะ”
“ครับ ผมจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ แต่ท่านช่วยขอให้พักตราอยู่บ้านไม่ต้องไปกับผมได้มั้ยครับ”
“แกจะนอกใจลูกสาวฉัน”
“เปล่าครับ ผมทำงานไม่สะดวก เธอจู้จี้กับผมมาก”
“เข้าใจ” อรรถพยักหน้า
“ได้มั้ยครับ”
อรรถครุ่นคิดนิดหนึ่ง
“ได้ แต่จะบอกให้นะ นายจะใช้เรื่องนี้ต่อรองแบบนี้กับฉันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากทริปนี้ เทย่าก็จะหายไปจากวงจรชีวิตฉัน เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะแบล็คเมลฉันได้ตลอดไปนะ ไอ้ลูกชาย”
“เข้าใจครับ”
มองจากกลางร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้ไปยังเวทีมุมในสุด พบว่าดวงดาวเพิ่งร้องเพลงจบลง เธอเดินลงจากเวทีตรงมาที่โต๊ะด้านข้าง โต๊ะตัวนั้น ปรากฏร่างของชุมสายนั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว ดวงดาวเอ่ยปากด้วยความแปลกใจ
“คุณชุมสาย”
“ผมมาแทนนายคิมหันต์น่ะครับ”
“อ๋อ”
“คิมมันไม่สะดวกที่จะมาเอง”
“ช่วงนี้คงถูกคุมตัวแจ”
“ประมาณนั้นครับ”
“โอเค งั้นฉันมีอะไรต้องพูดกับทนายเหรอคะ”
“ผมจะมาขอข้อมูลคนชื่อ ไอ้ขุม”
“ไอ้ขุม” ดวงดวงฉงนนิดเดียว
“คิมหันต์บอกว่าคุณเคยเอ่ยชื่อไอ้ขุมให้เขาฟัง”
“ค่ะ”
“เขาเป็นใคร เกี่ยวพันกับนายธาดายังไงครับ”
ดวงดาวจ้องหน้าชุมสายก่อนพูด
“ฉันไว้ใจคุณได้เหรอคะ”
“ผมไม่กล้ายืนยันครับ เพราะเราต่างมีความเสี่ยงพอกัน ผมเสี่ยงที่อาจจะได้ข้อมูลเท็จ”
ดวงดาวยิ้มนิดๆ
“งั้นเอาไว้ให้คิมหันต์มาหาฉันด้วยตัวเอง แล้วฉันจะบอกค่ะ”
“ได้ครับ แต่ผมขอนั่งตรงนี้อีกซักครึ่งชั่วโมงได้มั้ย”
ดวงดาวยักไหล่ให้รู้ว่า ไม่มีปัญหา
“คิมมันจะโทร.มาตอนนั้น คุณจะได้ฟังรายละเอียดจากปากเขาเองเลย”
“มีเรื่องอื่นอีกเหรอคะ”
“เป็นเรื่องที่มันต้องพึ่งพาคุณ”
“เรื่อง”
“เดี๋ยวก็รู้ครับ”
คิมหันต์นั่งอ่านหนังสือกลางห้องโถงคอนโด พักตราเดินพูดโทรศัพท์อยู่ด้านหลังคิมหันต์ ท่าทางและน้ำเสียงของเธอหงุดหงิดยิ่งนัก
“ทำไมต้องเป็นพักตร์ด้วยล่ะคะ พ่อให้คนอื่นทำไม่ได้เหรอ แต่พักตร์กำลังจะไปจังหวัดเลยกับคิม พ่อก็รู้...ก็ให้เขามาวันหลังไม่ได้เหรอคะ งั้นกลับมาพ่อต้องให้คิมพักร้อนหนึ่งเดือน...ค่ะ...ค่ะ”
พักตราวางโทรศัพท์ เดินมานั่งข้างๆคิมหันต์
“คิมต้องไปเลยคนเดียวแล้วละ”
คิมหันต์มองหน้าพักตรา เหมือนเป็นคำถาม
“พ่อให้พักตร์อยู่รอรับเพื่อนชาวต่างชาติ เขาจะมาที่มูลนิธิ มะรืนนี้”
“แล้วคุณปริมล่ะ”
“คุณปริมก็ต้องอยู่ด้วย แต่พ่อบอกว่า พักตร์เป็นตัวแทนพ่อได้ดีกว่า”
“คุณก็ต้องเห็นใจคุณพ่อด้วยนะ”
พักตราพยักหน้า ยอมรับ
“พักตร์จะโทร.หาคิมทุกวัน วันละห้าเวลา คิมห้ามปิดโทรศัพท์หนีพักตร์เป็นอันขาด”
“ครับ...ผมขอโทร.หาชุมสายหน่อยนะ ต้องคุยเรื่องเอกสารคำฟ้องอุทธรณ์”
“พักตร์ต่อสายให้ค่ะ”
คิมหันต์ส่งโทรศัพท์ให้พักตรา เธอรับมากดโทร.ออกเอง
“ฮัลโหล คุณชุมสายคะ เพื่อนรักของคุณจะขอคุยด้วยค่ะ”
พักตราส่งโทรศัพท์ให้คิมหันต์
“ฮัลโหล”
ชุมสายพูดโทรศัพท์ที่ร้านอาหารเดิม
“เดี๋ยวนี้ต้องมีเลขาส่วนตัวคอยต่อโทรศัพท์ให้ด้วยเหรอ”
คิมหันต์พูดโทรศัพท์ โดยถูกพักตรานั่งจับตามองอยู่ตลอดเวลา
“อืม...คำฟ้องอุทธรณ์เรียบร้อยมั้ย”
“แกจะมาอยากรู้อะไรตอนนี้วะ”
คิมหันต์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นงานเป็นการ
“บรรยายคำฟ้องและข้อเท็จจริงครบถ้วนรึยัง อย่าให้ช้า จนไม่ทันการล่ะ ทนายฝ่ายโน้นเขาจับจ้องมองการเคลื่อนไหวของเราตลอด เข้าใจมั้ย”
ชุมสายประเมินสถานการณ์ออก “อ๋อ คุณพักตรานั่งฟังอยู่ข้างๆ แกใช่มั้ยเนี่ย”
“ใช่ ไม่น่าเข้าใจยากเลยนะ”
ดวงดาวขยับตัวลงนั่งตรงข้ามชุมสาย
“โอเค ฟังให้ดีนะ ฉันทำได้แค่เกริ่นนำให้แก เรื่องไอ้ขุมแกต้องมาคุยด้วยตัวเอง น้องเขาไม่ชอบพูดกับทนาย”
“แล้วประเด็นสำคัญอีกเรื่องนึงล่ะ”
“ฉันเก็บไว้ให้แกพูดเอง”
“แกเป็นทนายนะ มันเป็นหน้าที่ของแก ไอ้ชุมสาย”
“โอเค. งั้นแกก็ฟังไปด้วยเลยแล้วกัน”
ชุมสายหันไปพูดกับดวงดาว โดยถือโทรศัพท์ไว้ใกล้ๆ เพื่อให้คิมหันต์ได้ยินด้วย
“คืองี้ครับน้อง คิมหันต์มันเตรียมตั๋วเครื่องบินไว้ให้คุณมุกรินพรุ่งนี้”
“ตั๋วเครื่องบิน...ไปไหนคะ”
ชุมสายหันไปพูดใส่โทรศัพท์
“ไปไหนวะ...จังหวัดเลยใช่มั้ย”
คิมหันต์ หน้าตาจริงจัง “เออ”
“ไปจังหวัดเลยครับ คือไอ้คิมมันมีทริปไปถ่ายรูปที่นั่น มันอยากให้คุณมุกรินตามไป เพราะว่า อากาศที่นั่นดี ทิวทัศน์สวย และก็ เพราะความรัก”
“ถูกต้องครับ มันรักคุณมุก”
ดวงดาวคว้าโทรศัพท์มาถือแนบแก้มแล้วพูดสายกับคิมหันต์
“แปลว่ามุกต้องลางานเพื่อไปกับคุณคิมหันต์ อย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้น นายคิดว่าเป็นไปได้มั้ย”
“ฉันคงตอบแทนมุกไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าเขารักคุณ แต่มันมากพอที่จะยอมตามใจคุณทุกเรื่องหรือเปล่า ฉันไม่รู้”
“งั้นฉันต้องทำยังไง”
“แสดงออกมากกว่านี้ ว่าคุณต้องการเธอจริงๆ คุณต้องกล้ากว่านี้ ทำให้มุกเชื่อให้ได้ มั่นใจในตัวคุณให้ได้...ก็เท่านั้น”
คิมหันต์ พูดความจริงจากหัวใจของเขา
“ฟังนะเอ้อ ชุมสาย ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ เพื่อคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน นายช่วยทำหน้าที่แทนฉันให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยนะ ได้โปรด”
ดวงดาวส่งโทรศัพท์คืนให้ชุมสาย แล้วจึงพูด
“ฉันเชื่อว่า มุกไม่ไปหรอก”
คิมหันต์กดปุ่มจบการสนทนาทันทีที่เห็นพักตราหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เขา
“เรียบร้อยมั้ยคะ”
“ยังครับ สำนวนมันยังซับซ้อนอยู่หลายจุด”
“พักตร์เอาใจช่วยคิมนะคะ คนเลวๆ แบบนั้น มันต้องได้รับผลกรรมซะที”
ส่วนที่บ่อนเสี่ยอ๋า เจ้ามือรวบเงินหน้าตักของธาดาจนหมด ธาดาหงุดหงิดลุกขึ้น เดินงุ่นง่านไปหาเสี่ยอ๋า ที่ยืนมองอยู่มุมหนึ่งในบ่อน
“คุณไม่น่าปล่อยให้เพื่อนกลับไปนี่นา ตอนเพื่อนคุณอยู่นี่มือขึ้นเลยนะ กินเอาๆ พอเพื่อนไป เกมเปลี่ยนเลยเห็นมั้ย”
“มันไม่เกี่ยวกับไอ้นั่นหรอก มันเป็นจังหวะ ดวงผมกำลังมาแล้วเนี่ย ถ้ามีทุนอีกซักนิดนึง เสร็จผม”
“จะยืมผมมั้ยล่ะ”
“ได้มั้ย”
”ได้”
“ขอบคุณมาก”
“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบ้างนะ”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
“ถ้าหากคุณเล่นเสีย จนไม่มีเงินมาใช้ผม”
“ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้”
“ผมสมมุติ...ถ้าคุณหมดตัวขึ้นมา คุณเอาอย่างอื่นมาใช้แทนเงินได้มั้ยล่ะ”
“อะไร”
“ได้ข่าวว่าคุณมีน้องสาวสวยไม่ใช่เหรอ”
ธาดาโกรธหน้าแดงก่ำ แต่ทำอะไรไม่ได้
“ไอ้...นี่ ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นเจ้าพ่อละก้อ”
“ไปคิดดูก่อนก็ได้นะ ผมไม่บังคับ ไอ้ผมมันเป็นคนชอบสะสมของสวยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ตั๋วเครื่องบินถูกยื่นไปใกล้หน้ามุกริน ดวงดาวเป็นผู้ยื่นตั๋วนี้
“บินพรุ่งนี้ สิบโมงเช้า คนละไฟลท์กับคิมหันต์นะ เขาบินไปก่อน ตอนเก้าโมง”
“ฉันควรจะไปเหรอ ดาว”
“อย่าถามฉัน มาตรฐานชีวิต และการต่อสู้ของเรามันต่างกัน”
“ถ้าเป็นเธอ เธอคงไป”
“แต่ถ้าฉันไม่รัก เอาช้างมาลาก ฉันก็ไม่ไป”
“ความรักที่ต้องซ่อนเร้น หลบซ่อน มันจะมีความสุขเหรอ”
“ความสุขไม่ได้อยู่ใต้เงื่อนไขใดๆ นอกจากใจของตัวเอง จะหลบหน้าหรือเชิดหน้า จะปิดบังหรือเปิดเผย แล้วแต่เธอจะเลือก คิดเองนะ หมดหน้าที่ฉันแล้ว”
ดวงดาวออกไปจากห้องนี้มุกรินเดินครุ่นคิดสักพัก เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“ฮัลโหล พี่รภเหรอคะ มุกพอจะขอลากิจอีกสามวันได้มั้ยคะ”
อาคารผู้โดยสารในประเทศของสนามบินสุวรรณภูมิ อวดตัวงามสง่าอยู่ในแดดสวยยามเช้า คิมหันต์ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ด้านในโถงมหึมานั้น ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมา
“ว่าไงวะไอ้ชุม...ตกลงว่าเขาจะไปรึเปล่า”
ชุมสายนั่งคุยสายอยู่ในห้องน้ำที่บ้าน เขายังอยู่ในชุดนอน ท่าทางยังไม่ตื่นดีนัก
“ไม่รู้ว่ะ ตอบไม่ได้จริงๆ”
“ไหนแกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วไง”
“ก็จัดการฝากตั๋วเครื่องบินไปกับน้องดวงดาวแล้ว ส่วนคุณมุกจะไปหรือเปล่า อันนี้ไม่รู้เว้ย”
พลโทอรรถเดินตรงมายังคิมหันต์ เขาจึงต้องรีบจบการสนทนา
“เออ เท่านี้นะ”
คิมหันต์กดปุ่มวางสาย อรรถเดินมาถึงตัวพอดี พลางโอบไหล่คิมหันต์ แล้วพากันเดินไปตามทางเดิน
“ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ชายเต็มตัว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิต ฉันย่อมรู้ได้โดยไม่ยาก ว่านายต้องมีบางอย่างปิดบังลูกสาวฉัน ในระหว่างทริปนี้”
คิมหันต์ได้แต่ฟังนิ่งๆ
"ไม่ต่างจากฉัน”
คิมหันต์เหลือบมองหน้าอรรถ
“ฉันจึงขอย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า ฉันยอมนายครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และอะไรก็ตามที่นายแอบทำ จะต้องไม่ทำให้ลูกสาวฉันช้ำใจ ไม่งั้นนายจะซวยแบบที่ไม่เคยซวยมาก่อน เข้าใจนะ ไอ้ลูกชาย”
“ครับ”
ทั้งสองคนเดินมาสมทบกับพักตราและปริมที่เดินออกมาจากเคาน์เตอร์เช็คอิน เห็นผู้ช่วยช่างภาพยืนรออยู่ตรงนั้นอีกหนึ่งคน
พักตราตรงเข้าไปพูดกับผู้เป็นพ่อและคู่หมั้น
“เช็คอินให้เรียบร้อยแล้วนะคะสองหนุ่ม นี่บอร์ดดิ้งพาสคุณพ่อ นี่ของคิมกับผู้ช่วย”
“ขอบใจลูกมากจ้ะ” อรรถบอกกับคิมหันต์ว่า “ไม่น่าเชื่อนะ เราบินพร้อมกัน แต่ไปกันคนละทิศ”
“หวังว่าจะไม่แว่บ ออกนอกลู่นอกทางนะคะ ไม่งั้นพักตร์จะยุให้คุณปริมทิ้งพ่อ”
“โอ๊ย ไม่มีทาง ดูคู่หมั้นเราให้ดีเถอะ ลูก”
“ดูดีอยู่แล้วค่ะ เราจะโทรคุยกันวันละห้าเวลา”
“ไป...ไปกันเถอะ ขึ้นเครื่องคนสุดท้าย อายเขาแย่”
ชายสองวัย ล่ำลาสองสาว แล้วจึงพากันเดินตรงไปยังช่องผู้โดยสารขาออก ในประเทศ
บริเวณทางเดินตรงไปยังประตูผู้โดยสารขาออก คิมหันต์และพลโทอรรถแยกเดินไปคนละทาง คิมหันต์ มีผู้ช่วยเดินตามหลังเขาห่างๆ จนมีเสียงข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ คิมหันต์หยิบมันขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏข้อความว่า
“มุกรินน่าจะถึงสนามบินแล้ว รอรับเธอด้วยนะ รูปหล่อ”
คิมหันต์ กวาดสายตามองหาไปรอบๆ โถงสนามบิน
จังหวะเดียวกันนี้ พักตรามองไปยังคิมหันต์ ด้วยความสงสัย เธอเห็นคิมหันต์หมุนตัว กวาดสายตาไปรอบๆ หน้าตามีความกังวลพอสมควร ในที่สุดร่างของคิมหันต์ก็หายเข้าไปในสนามบิน
เมื่อพักตราหันไปมองตามทิศทางสายตาของคิมหันต์
เธอต้องชะงักงัน เมื่อเห็นมุกรินก้าวเข้ามาในบริเวณโถงสนามบิน มุกรินกวาดสายตา มองหาไปรอบๆ เช่นกัน
พักตราโกรธจัด พลังแห่งโทสะนั้นมันได้แผ่เป็นริ้วไปทั่วสรรพางค์ จนถึงกับคำรามออกมาจากลำคอว่า
“อี มุก”
อ่านต่อตอนที่ 8