เจ้านาง ตอนที่ 13
แฟรงค์ผลักเขมิกาล้มลงไปที่โซฟาภายในห้องโถง
“สงบสติอารมณ์ซะคุณเขม”
เขมิกามองหน้าแฟรงค์ พูดเสียงเครียดเยาะหยัน
“ออกไปจากชีวิตฉันซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไป๊”
“คุณเขม คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ”
“ออกไป ไปสิ”
แฟรงค์มองเขมิกาอย่างผิดหวัง ก่อนจะออกไป เขมิกานั่งอยู่ที่โซฟา คับแค้นใจที่ทำไม่สำเร็จ ร้องไห้วิ่งขึ้นบันไดไป ขว้างปาข้าวของเกลื่อนพื้น โฉมเข้ามา มองหลานสาวอย่างเห็นใจ พอเขมิกาเห็นโฉม ก็โผเข้ากอด
“คุณย่าขา บุญสลักเขาไม่รักเขม เขาทิ้งเขมไปหานังมนต์ทิพย์ค่ะคุณย่า คุณย่าต้องช่วยเขมนะคะ”
“อย่าเสียใจไปเลย เขม สงครามเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ย่าจะช่วยให้เขมสมหวังให้ได้”
ปิ่นเมืองอยู่นอกหน้าต่าง มองทั้งสองคน
“เจ้าสองคนนี่แหละที่จะช่วยข้าเอาชนะอีละอองคำได้”
ปิ่นเมืองยิ้มสะใจ
คนขับรถของพรเทพเปิดประตูให้ทุกคนลงมาจากรถ บริเวณหน้าบ้านมนต์ทิพย์ พรเทพหันมาสั่งปีบ
“ปีบ พาคุณทิพย์ไปพักผ่อน”
“ค่ะ ไปค่ะคุณทิพย์”
มนต์ทิพย์หันมาไหว้พรเทพ
“พักผ่อนให้มากๆ นะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข งานแต่งล่มก็แต่งใหม่ได้ อย่าคิดมาก ตาจะเป็นเจ้าภาพให้เอง ให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ตาก็ทำให้ได้”
“ขอบคุณค่ะคุณตา แต่คงไม่จำเป็นแล้ว”
มนต์ทิพย์แยกตัวไป อัปสรมองตามน้ำตาคลอ
“ให้กำลังใจหนูทิพย์ให้มากๆ ที่สำคัญ หนูต้องเข้มแข็งนะอัปสร”
“หนูเห็นแม่ แม่เดินตามทิพย์ หนูไม่สบายใจ”
“อาเชื่อว่าสายเลือดที่ผูกพันกันมาจะทำให้ละอองคำไม่ทำอะไรมนต์ทิพย์หรอก ไปอยู่กับลูก ไป อาไปก่อน”
พรเทพลูบผมอัปสรเบาๆ ปลอบใจ
บุญสลักขับรถ พลางพูดโทรศัพท์กับนมผ่องไปด้วย
“นม ทิพย์เป็นยังไงบ้าง ผมโทรหาทิพย์แต่ไม่มีใครรับ”
“กลับกันหมดแล้วค่ะคุณหนู นี่นมก็เพิ่งถึงบ้านค่ะ รีบตามไปดูคุณทิพย์เธอเถอะค่ะ”
“ขอบใจนม”
บุญสลักปิดโทรศัพท์ ขับรถต่อไป นมผ่องเดินเข้าบ้าน แล้วชะงักเมื่อเห็นพักตร์พริ้ง พวงคราม แหวน แช่มยืนอยู่ข้างหน้า พวงครามแขวะ
“นึกว่าจะไปอยู่ที่บ้านโน้นแล้ว งานแต่งล้มเลิกแล้ว ทำไมไม่รีบกลับ”
“เอ่อ นมเป็นห่วงคุณหนูค่ะ”
“ทำไม บุญสลักทำไม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“เล่าให้ละเอียดเลยนะ อย่าให้ขาดหายอะไรไปเลยเชียว ไม่งั้นละก็ฉันจะเหมารวมว่านมผ่องเป็นพวกเดียวกับอีปอบบ้านโน้น”
“อุ๊ย หรือเป็นไปแล้วก็ไม่รู้”
แช่มพยักหน้าเห็นด้วยกับแหวน
“มาทางนี้ แล้วเล่าให้ฉันฟังเลย”
พักตร์พริ้งเดินนำทุกคนไป
มนต์ทิพย์นั่งรอบุญสลัก โดยมีปีบกับอัปสรนั่งรอเป็นเพื่อน มนต์ทิพย์เสียใจมากที่บุญสลักหายไปกับเขมิกา
“เขาคงไม่มาแล้วล่ะค่ะ แม่ขึ้นไปพักเถอะนะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ใจเย็นๆ นะทิพย์ แม่เชื่อว่าบุญสลักต้องติดธุระสำคัญมาก”
เสียงรถดังเข้ามา
“เดี๋ยวปีบไปดูให้ค่ะ”
มนต์ทิพย์ลุกจะขึ้นข้างบน บุญสลักเข้ามาอย่างเร่งรีบ หน้าตาตื่น
“ทิพย์ ผมขอโทษ คือ มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ผมก็เลย”
“จำเป็นมาก ทั้งๆ ที่งานแต่งงานของเราเกิดเรื่องวุ่นวายจนทิพย์แทบเอาชีวิตไม่รอดงั้นหรือคะ”
มนต์ทิพย์หน้าตึงขึ้นชั้นบนไป
“คุณน้าครับ คือ มันสุดวิสัยจริงๆ”
“ตอนแรกน้าก็เป็นห่วง กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“แต่ทิพย์เขา”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวน้าคุยกับทิพย์ให้เอง”
“ขอบคุณครับ”
บุญสลักทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง
มนต์ทิพย์ยืนมองนอกหน้าต่าง หน้าตาเศร้าหมอง อัปสรเปิดประตูเข้ามา
“ทิพย์ แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แต่บุญสลักเขาเสียสละยอมแตกหักกับแม่กับอา เพื่อมาแต่งงานกับหนู แม่อยากให้หนูคิดถึงข้อนี้ให้มากๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยกัน”
“แต่เขา”
“รักก็คือรัก ความรักไม่มีคำว่าแต่นะลูก”
“ค่ะ คุณแม่”
“ทำหน้าบูดบึ้งใครจะอยากเข้าใกล้ล่ะลูก ยิ้มนิดสิจ๊ะ นั่น ยังงั้น ถึงจะเป็นคนสวย แม่ขอให้ลูกของแม่มีแต่ความสุขนะจ๊ะ”
ละอองคำยืนอยู่นอกหน้าต่าง มองสองแม่ลูก ยิ้มเจ้าเล่ห์
ตอนดึก อัปสรกับปีบช่วยกันปิดประตูหน้าต่างเตรียมขึ้นนอน
“ปีบล่ะดีใจจริงๆ ค่ะคุณ ในที่สุด คุณทิพย์กับคุณบุญสลักก็เข้าใจกัน”
“เป็นผู้หญิง บางทีก็ต้องรู้จักพูดคำว่าไม่เป็นไรซะบ้าง จำไว้นะปีบ ไปพักผ่อนได้แล้ว เหนื่อยกันมาทั้งวัน ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“ค่ะ คุณนายขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะค่ะ ปีบจัดการเองค่ะ”
อัปสรขึ้นบันไดไป ปีบตรงไปที่หน้าต่าง รูดม่าน โดยไม่เห็นว่าละอองคำปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง มองตามอัปสรไป อัปสรเปิดประตูเข้ามาในห้อง เปิดไฟ ก็ชะงัก เมื่อเห็นละอองคำนั่งอยู่ที่เตียงแล้ว
“แม่”
“เหนื่อยมากมั้ยอัปสร”
อัปสรยืนตะลึงตัวสั่น ละอองคำหัวเราะ
“เรื่องซิ่นไหมคำฝีมือแม่ใช่มั้ย”
“ก็หลานสาวข้าจะได้แต่งงานทั้งที ก็ต้องงามหน่อยสิ”
“แล้วไอ้พายุบ้าๆ ที่ทำให้งานของหลานต้องพังพินาศแล้วไอ้ไฟที่ไหม้ในห้องจัดเลี้ยงอีก ฝีมือแม่ด้วยใช่มั้ย หนูขอเถอะอย่ายุ่งกับมนต์ทิพย์อีกเลย”
ละอองคำหันขวับ โกรธจัด แต่แล้วก็อ่อนลง
“รับเลี้ยงผีของแม่สิ อัปสร แล้วแม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนต์ทิพย์อีกเลย”
“ไม่ค่ะ หนูจะไม่รับเลี้ยงผีของแม่ เป็นตายยังไงหนูก็ไม่รับ ผีแม่ฆ่าคน ฆ่าพ่อ ฆ่าย่า ฆ่าคนอีกมากมาย หนูไม่รับ”
“อวดดีนัก รู้มั้ยว่าทั้งผีทั้งคนกำลังจ้องทำร้ายนังมนต์ทิพย์อยู่ ฮึ อีลูกอกตัญญู ถ้าไม่ได้ผีข้าช่วย ป่านนี้ทั้งเจ้าทั้งนังมนต์ทิพย์คงตายไปแล้ว สำนึกบ้างมั้ย ว่าผีของข้ามีบุญคุณกับเจ้าสองคนมากเพียงใด”
ละอองคำทั้งโกรธทั้งเสียใจ เดินหายวับเข้าผนังไป
“ไม่ใช่แม่งั้นเหรอ แล้วใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ได้”
อัปสรสับสน ว่าตอนนี้มีใครอีกที่จ้องทำร้ายเธอกับลูก
“ขออำนาจพุทธคุณช่วยคุ้มครองลูกมนต์ทิพย์ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายด้วยเถิด เจ้าประคู้ณ”
กลางดึก เขมิกาหลับใหล ปิ่นเมืองปรากฏกายที่ข้างเตียง
“เขมิกา เขมิกา”
เขมิกาปรือตาขึ้น พอเห็นปิ่นเมืองก็ตกใจ กระถดตัวหนี กลัว
“ข้าไม่ทำร้ายเจ้าดอก เขมิกา ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า”
“ช่วยข้า”
“ใช่ ช่วยให้เจ้าสมหวังในความรักยังไงล่ะ”
ปิ่นเมืองค่อยๆ ลอยห่างออกไป เขมิการ้องเรียกเสียงดัง
“อย่าเพิ่งไป”
เขมิกาผุดขึ้นนั่ง สะดุ้งตื่น ขนลุกซู่ มองไปรอบๆ ห้อง
ตอนเช้า อัปสรดุปีบเบาๆ
“ทำไมไม่ยกอาหารไปเองล่ะ ให้คุณทิพย์ยกไปทำไม”
“ก็คุณทิพย์อาสาเองนี่คะ”
“ปีบ”
“คุณบุญสลักมาแต่เช้า เห็นทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันแล้วค่ะ ปล่อยให้เขาทำความเข้าใจกันมากขึ้นดีกว่าค่ะคุณนาย”
“จริงเหรอ”
“ค่ะ”
อัปสรระบายยิ้ม
“งั้นก็ช่วยกันยกที่เหลือไป จะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน”
“ค่ะคุณนาย”
มนต์ทิพย์ยกอาหารเช้าวางที่โต๊ะ บุญสลักคอยกอดหน้าดักหลัง หวานมาก เพราะเข้าใจกันดีแล้ว
“อาหารเช้าฝีมือภรรยาผม หอมจังครับ”
มนต์ทิพย์ยิ้ม มีความสุข
“ไม่ต้องทำปากหวานเลย มาช่วยทิพย์จัดโต๊ะดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไปทำงานสายนะคะ”บุญสลักคว้าเอวมนต์ทิพย์มากอด
“ใครว่าผมจะไปทำงาน วันนี้ผมจะอยู่กับทิพย์ทั้งวัน”
บุญสลักหอมมนต์ทิพย์
“อุ๊ย อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“เห็นก็ช่างสิครับ เราแต่งงานกันแล้วนะทิพย์ จะหวานแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า”
“มีความสุขกันจังเลยนะคะ”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักชะงัก ขืนตัวออกจากอ้อมกอดบุญสลัก
“เอ่อ คุณเขม ไปไหนมาแต่เช้าคะ”
เขมิกายืนหน้าตึง จ้องมองบุญสลักนิ่ง มนต์ทิพย์มองทั้งสองสลับไปมา เริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่พูดอะไร อัปสรยกอาหารเข้ามาเสริม
“อ้าว หนูเขม มาแต่เช้าเลย แฟรงค์ไม่ได้ด้วยเหรอจ๊ะ”
อัปสรเห็นเขมิกาทำหน้านิ่งๆ ก็เข้าใจว่างอนกับแฟรงค์ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ ปีบ ตักข้าวให้หนูเขมด้วยจ้ะ”
“ค่ะ คุณนาย”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้มากินข้าว ฉันมาที่นี่เพื่อจะพูดกับมนต์ทิพย์”
ทุกคนมองเขมิกาตาค้าง
“เมื่อคืนบุญสลักพาเขมเข้าโรงแรมม่านรูด”
ทุกคนชะงัก ตกใจมาก ปีบอ้าปากค้าง มองบุญสลักอย่างไม่เชื่อ
“ทิพย์ว่าเราคงต้องคุยกันตามประสาผู้หญิงด้วยกันแล้วล่ะค่ะคุณเขม”
“ทิพย์ ผมเป็นสามีคุณนะ คุณควรจะไว้ใจผมไม่ใช่”
“แต่คุณก็หายไปกับคุณเขมจริงๆ นี่คะ ในคืนวันนั้น เชิญค่ะคุณเขม”
มนต์ทิพย์เดินนำไปที่ห้องหนึ่งด้านใน เขมิกาก้าวตามไป
“ทิพย์”
“คุณนาย”
อัปสรเดินตามไป ปีบตามไปด้วย บุญสลักเคร่งเครียด
ทุกคนนั่ง ยืนคนละมุม บรรยากาศอึมครึม เขมิกาหน้าเศร้า ร้องไห้กระซิก
“เขมพยายามขัดขืนแล้ว แต่ว่า เขม เขมก็สู้แรงบุญสลักไม่ไหว”
“แล้วยังไงต่อคะ”
“พอเถอะทิพย์ แม่ไม่อยากฟัง”
“ให้คุณเขมเล่าต่อเถอะค่ะแม่ นะคะคุณเขม ทิพย์จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่บุญสลักหายไปเมื่อคืน”
“คุณทิพย์ขา พอเถอะค่ะ”
ปีบสงสารมนต์ทิพย์ ตามเขมิกาไม่ทัน มนต์ทิพย์ยกมือห้าม เขมิกาจึงเล่าต่อ
“บุญสลักบอกเขมว่าจะรับผิดชอบทุกอย่าง แล้วก็พาเขมไปส่งบ้าน แล้วก็พยายามจะปลุกปล้ำเขมอีก พอดีแฟรงค์เข้ามาเห็น ไม่เชื่อถามแฟรงค์ดูก็ได้”
อัปสรสบตามนต์ทิพย์ ถอนใจ เขมิกาหลุบตาต่ำ ยิ้มสะใจที่แผนการจะสำเร็จ
บุญสลักกำลังพูดโทรศัพท์กับแฟรงค์อย่างร้อนใจ แฟรงค์เองก็หัวเสีย
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ะ บุญสลัก คุณเขมทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันกับนายคบกันมานานมาก ฉันไม่มีวันทรยศกับนายเด็ดขาดแฟรงค์ นายต้องเชื่อฉันนะโว้ย”
“ฉันไม่น่านำคุณเขมเข้ามาในชีวิตนายเลย บุญสลัก”
แฟรงค์ซึมไป
มนต์ทิพย์นั่งซึมอยู่ในห้อง บุญสลักเข้ามา เธอลุกหนีไปที่หน้าต่าง ชายหนุ่มตามไปจะกอด แต่มนต์ทิพย์เบี่ยงตัวหนี
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขมิกาพูดนะทิพย์ เราคบกันมาเป็นสิบปี คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น”
“แต่เมื่อคืนคุณก็ออกไปกับเขมิกาสองคนจริงๆ นี่คะ”
“ถ้าผมบอกว่าผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าออกไปกับคุณเขมได้ยังไง ทิพย์ก็คงไม่เชื่อ และที่สำคัญ ผมไม่เคยล่วงเกินเขมิกา”
“ถึงยังงั้นก็เถอะค่ะ ผู้หญิงมีแต่เสียกับเสีย แล้วเขมิกาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรคะ” “เขาสารภาพว่าหลงรักผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรก”
“ทั้งๆ ที่คุณมีฉัน และเขมิกาก็คบกับแฟรงค์อยู่งั้นหรือคะ”
บุญสลักพยักหน้ารับ มนต์ทิพย์มองชายหนุ่ม ไม่อยากเชื่อ เดินขึ้นบันไดไป บุญสลักมองตาละห้อย ตามขึ้นไป มนต์ทิพย์เข้ามาในห้อง ปิดประตูล็อก ยืนพิงประตู น้ำตาคลอ บุญสลักเคาะประตู
“ทิพย์ เปิดให้ผมหน่อย เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง อย่าเดินหนีผมสิครับ ทิพย์ เปิดประตูให้ผมหน่อย”
มนต์ทิพย์น้ำตาไหลพราก นึกถึงที่ละอองคำบอกเธอในห้องน้ำของโรงแรม
“ยาย ถ้ายายช่วยทิพย์ได้จริงๆ ยายต้องจัดการเรื่องนี้ให้ทิพย์ด้วย”
ที่ห้องรับแขกบ้านบุญสลัก เขมิกาบีบน้ำตา สะอึกสะอื้น นมผ่องมองอย่างงงๆ
พักตร์พริ้งหัวเราะร่วน กอดเขมิกาปลอบใจ
“อย่าร้องไห้สิ หลานสะใภ้ของอา อาสองคนดีใจมากรู้มั้ย”
“ได้หนูเขมมาเป็นสะใภ้ นี่อา เอ๊ย ต้องเรียกแม่สิ ดีใจยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งซะอีก”
แหวนกับแช่มยิ้มประจบ
“อุ๊ย นี่ถ้าคุณเขมมาเป็นนายของแหวนนะคะ แหวนจะดูแลเช้าเย็นเลยค่ะ”
“ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”
พักตร์พริ้งหันมาปราม ทั้งสองเลยหยุดไป นมผ่องเปรยขึ้น
“ไม่เห็นคุณหนูบุญสลักเล่าให้นมฟังเลย”
“เรื่องแบบนี้เขาเปิดเผยกันที่ไหนล่ะ” พวงครามต่อว่านมผ่อง
“ใช่ อย่าสำคัญตนผิดเลยนมผ่อง หยุดร้องไห้ได้แล้วหนูเขม”
“คุณอาขา แต่บุญสลักสิคะ ไม่ยอมรับว่าพาเขมเข้าโรงแรม”
“ก็ต้องพิสูจน์แหละค่ะ”
พวงครามหันมาดุ
“นม ไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่ต้องออกความเห็น”
นมผ่องก้มหน้า แหวนกับแช่มเบ้ปากใส่
“บุญสลักหัวอ่อนจะตายไป ถ้าอาถามมีหรือจะไม่ยอมรับ กลัวก็แต่ว่านังเมียสายเลือดปอบน่ะแหละจะยื้อไว้”
“งานแต่งก็ล้มเลิก มันเหมือนอาถรรพ์ ฟ้าดินคงไม่ต้องการให้มันมาร่วมวงศ์วานกับเรานะคะคุณพักตร์”
“ไม่ผิดแน่ค่ะ คนมีวาสนาดีก็ต้องคู่กับคนมีวาสนาดีด้วยกัน อย่างนังมนต์ทิพย์น่ะเหรอมันยิ่งกว่าเศษดินในรองเท้าพักตร์อีกนะคะคุณพี่ ต่ำแค่ไหนก็คิดเอาเถอะค่ะ”
มนต์ทิพย์นั่งซึมอยู่ที่เตียงในห้อง บุญสลักอยู่หน้าห้อง เคาะเรียก
“ทิพย์ ทิพย์”
มนต์ทิพย์ไม่เปิดประตู บุญสลักนั่งที่หน้าห้อง พิงประตู ถอนใจ กลัดกลุ้ม จนค่ำ เขายังนั่งอยู่ที่เดิม มนต์ทิพย์ร้องไห้ แล้วตัดสินใจพนมมือขึ้น มองไปรอบๆ ห้อง
“ยาย ช่วยทิพย์ด้วย”
บุญสลักเดินลงบันไดมาอย่างอ่อนแรง ปีบเข้ามาถาม
“คุณบุญสลัก รับประทานอาหารสักหน่อยนะคะ คุณไม่ได้ทานอะไรเลย”
“ทิพย์ก็ไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน”
อัปสรหันมาหน้าเศร้า
“บุญสลักทานก่อนเถอะ น้ารู้จักลูกสาวน้าดี ถ้าเขายืนยันอะไรแล้วใครก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้”
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขมิกาพูด ไม่มีเหตุผลอะไรสักนิด”
“แต่การที่คุณหายไปกับคุณเขม ทำให้ยัยทิพย์เชื่อ”
“ผมไปได้ยังไงผมก็ไม่รู้ตัว เป็นเรื่องจริงนะครับ คุณน้า”
“ไม่รู้ตัวเหรอ เอ่อ ปีบไปตั้งโต๊ะสิ”
เขมิกาออเซาะโฉม แสร้งบีบน้ำตา
“เขมทำผิดไปแล้วค่ะคุณย่า ถ้าบุญสลักจะรับผิดชอบ เขมก็คงไม่ทะเลาะกับเขาที่หน้าบ้าน”
“อ้อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ เราเสียให้เขาแล้ว จะยอมให้เขาแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้หรอก เสียศักดิ์ศรี อีกอย่างบุญสลักก็ทำงานอยู่กับเรา มีหรือจะกล้าขัดขืน”
“จริงด้วยค่ะคุณย่า คุณพ่อต้องช่วยเขมได้”
โฉมมองไปที่คอของเขมิกา
“เขม สร้อยคอที่ย่าให้เขมคล้องติดตัวไว้หายไปไหนล่ะ”
เขมิกาลูบคอก็ไม่เห็นสร้อยจริงๆ
“ไม่ทราบค่ะ เขมไม่รู้ตัวเลย หายไปได้ยังไง”
โฉมหน้าเสีย แฟรงค์เดินเข้ามา ไหว้โฉม
“สวัสดีครับคุณย่า”
โฉมหน้าตึงคอแข็งขึ้นมาทันที
“ใครเชิญคุณเข้ามาในบ้านนี้”
“ผมขอพูดกับเขมตามลำพังครับคุณย่า”
“เขมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
“แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูดกับคุณในฐานะคนรักเหรอ”
เขมิกายิ้มพอใจ
“แน่นะคะ งั้นก็ตกลง”
“ไปข้างนอก ทานข้าวกับผมสักมื้อคงไม่เป็นไรมั้ง ก่อนที่คุณจะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น”
โฉมลุกขึ้น
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด ย่าก็เห็นว่าดี จะได้จบๆ กันไป มีอะไรก็พูดให้เด็ดขาดไปเลย เพราะอะไรๆ ก็คงไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
เขมิกาตามแฟรงค์ออกมาข้างนอก
“คุยกันตรงนี้ก็ได้”
“ผมบอกแล้วไง ขอทานข้าวกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้คุณจะแต่งงานกับใคร ผมก็ไม่สนใจ นึกว่าเห็นแก่มิตรภาพที่ผมคบกับคุณมาหลายปีก็แล้วกัน”
เขมิกาไม่ปฏิเสธ
โฉมเข้ามาในห้องเขมิกา มองหาสร้อยคอ ดูตามหมอน โต๊ะข้างเตียง
“สร้อยคอ หายไปไม่ได้นะ”
โฉมชะงัก ม่านในห้องปลิว ทุกอย่างเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”
ปิ่นเมืองปรากฏตัวขึ้น โฉมผงะ
“แกเป็นใคร”
“เป็นศัตรูของอีละอองคำ เป็นคนที่จะช่วยเจ้าและหลานของเจ้าอย่างใดเล่า จำไว้ ถ้าอยากชนะมัน เจ้าต้องเชื่อข้า เจ้าต้องเชื่อข้า”
ปิ่นเมืองพูดย้ำๆ เบาๆ แล้วเลือนหายไป โฉมนั่งนิ่งตะลึง
เจ้านาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
โฉมเข้ามาในห้องนอน ยังหวาดกลัวที่ปิ่นเมืองบอกว่าจะช่วยเขมิกา เธอนึกถึงเขมิกาขึ้นมาได้
“เขม เขมของย่า อยู่ที่ไหน”
โฉมรีบมองหาโทรศัพท์ กดไปทันที ภายในรถของแฟรงค์ เขมิการับสาย
“ขา คุณย่า อ๋อ เขมมาทานข้าวกับแฟรงค์น่ะค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะอะไรๆ ก็ไม่มีวันเหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะคุณย่า”
เขมิกาปรายตามองแฟรงค์ แฟรงค์ฟังด้วยความเครียด
บุญสลักกอดมนต์ทิพย์ไว้ในอ้อมอก หลังจากเข้าใจกันแล้ว
“ทิพย์ไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย”
“ไม่หรอกค่ะ ทิพย์เชื่อใจคุณ”
“เขมิกาทำทุกอย่างเพื่อให้เราแตกกัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะไม่มีวันแยกจากกัน สัญญากับผมนะครับทิพย์”
ทั้งสองสบตากัน เข้าใจ อัปสรแอบมองด้วยความดีใจที่เห็นทั้งสองเข้าใจกันได้
“ผมจะรีบกลับไปพูดให้คุณแม่กับคุณอาพักตร์พริ้งเข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น”
“แล้วถ้าท่านไม่เข้าใจล่ะคะ”
บุญสลักกับมนต์ทิพย์มองหน้ากัน มนต์ทิพย์เสมองไปข้างนอก สีหน้าและน้ำเสียงน้อยใจ
“ทิพย์หมายถึงว่าท่านเชื่อเขมิกา มากกว่าเชื่อคุณ”
บุญสลักกอดมนต์ทิพย์ไว้
“ผมเชื่อว่าท่านมีเหตุผลพอ”
อัปสรกับปีบอยู่ในครัว ปีบทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่
“ปีบดีใจจังค่ะคุณนายที่คุณบุญสลักกับคุณทิพย์เข้าใจกันได้”
“ยังไม่มีอะไรแน่หรอกปีบ ดูมันพิกลอยู่”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“เข้าใจกันง่ายจัง หรือว่า”
“อะไรคะ”
อัปสรรู้สึกตัว ส่ายหน้ากลบเกลื่อน แล้วเดินออกไป มองรอบๆ
“ถ้าแม่ช่วยหลาน ก็ช่วยให้ตลอดนะคะ หนูหวังว่าแม่จะทำเพราะรักหลาน ห่วงหลาน ถ้าไม่ใช่ ก็อย่ายุ่งกับทิพย์ ลูกสาวหนูอีกเลย”
อัปสรแอบร้องไห้
รถของแฟรงค์แล่นไป เขมิการู้สึกผิดปกติ
“ตกลงคุณจะพาเขมไปทานข้าวที่ไหนกันแน่คะ ผ่านมาตั้งหลายร้านแล้ว บอกเขมมาตรงๆ ดีกว่า”
แฟรงค์จอดรถ หันมาพูดเสียงเยาะ
“พาคุณมาทวนความจำไงล่ะ”
“ความจำอะไร”
“บุญสลักมันพาเธอเข้าโรงแรมม่านรูดที่ไหน ทางผ่านจากบ้านคุณไปโรงแรม ผมยังไม่เห็นโรงแรมม่านรูดสักแห่ง”
เขมิกาอึ้งไป
“คุณไม่เชื่อเขมเหรอ แฟรงค์ คุณก็เห็นนี่ว่าที่หน้าบ้านของเขมน่ะ บุญสลักเขาปล้ำเขม เขาพยายามขืนใจเขม”
แฟรงค์หัวเราะหยัน
“แต่ที่ผมเห็นน่ะ คุณเป็นฝ่ายปล้ำเขามากกว่า แล้วถ้าเข้าโรงแรมกันมาแล้วก็คงไม่ยาก นี่เห็นเหมือนต่อสู้กัน บอกมาตามตรงดีกว่าเขม คุณทำลายความรักของบุญสลักกับมนต์ทิพย์ทำไม ทำไม”
“คุณเป็นบ้าไปอะไรแฟรงค์”
“ผมก็อยากถามคุณเหมือนกันว่าคุณเป็นบ้าอะไร ถ้าอยากมีผัวจนตัวสั่น ถึงขั้นวางแผนอุบาทว์แบบนี้ก็บอกผมสิ ผมช่วยคุณได้”
แฟรงค์ดึงเขมิกามาจะจูบ แต่ถูกเขมิกาตบหน้าอย่างแรง
“ไอ้บ้า”
แฟรงค์ไม่ยอม จะจูบเขมิกาอีก แต่หญิงสาวผลักไส ตบหน้ารุนแรง แล้วเปิดรถวิ่งหนีไป
แฟรงค์จะวิ่งไล่ตาม แต่แท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาพอดี เขมิกาโบกรถออกไป
มนต์ทิพย์กับอัปสรนั่งคุยกัน อัปสรรู้สึกกังวลมาก
“แต่แม่ไม่คิดว่าเขมิกาจะหยุดอยู่แค่นี้”
“คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ”
“แม่ก็คิดเหมือนหนูน่ะแหละ ว่าคุณพักตร์พริ้งกับคุณพวงครามต้องเชื่อเขมิกา เพราะเขาสองคนอยากได้เขมิกาเป็นสะใภ้อยู่แล้ว แม่ไม่อยากคิดเลยว่าทิพย์ของแม่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทิพย์ต้องเข้มแข็งนะ แม่จะคอยเป็นกำลังใจให้หนู”
มนต์ทิพย์หน้าเสีย รับคำ กังวล อดคิดตามที่แม่พูดไม่ได้
“ค่ะแม่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็สุดแท้แต่เวรกรรมเถอะค่ะ”
อัปสรถอนใจหนักๆ แตะมือลูกสาว ฝืนยิ้มให้กำลังใจ
เขมิกามาที่บ้านบุญสลัก ร้องไห้ พวงคราม พักตร์พริ้งมองหน้ากัน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ตาบุญสลักจะมาทำเล่นๆ กับหนูเขมแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด อาไม่ยอม”
“เดี๋ยวนะคะ คุณพักตร์ พี่ชักจะงงแล้วล่ะค่ะ ตาบุญสลักถึงกับยอมแตกหักกับเราเพื่อจะแต่งงานกับนังมนต์ทิพย์ให้ได้ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงมายุ่งกับหนูเขมได้ล่ะ คุณพักตร์ว่ามั้ยคะ”
นมผ่องก็ไม่เชื่อเช่นกัน
“รอถามคุณหนูก่อนเถอะค่ะคุณ จะได้กระจ่างว่าอะไรเป็นอะไร”
แช่มกับแหวนเผลอตัวพูด
“นั่นสิคะ คุณผู้หญิง”
“หุบปากเลยทั้งสองคน ไม่ใช่เรื่องของขี้ข้า สาระแนนัก นมผ่องก็อย่าเข้าข้างตาบุญสลักให้มันมากนัก ไม่เห็นเหรอว่าหนูเขมเขาเสียหาย”
เขมิกาแสร้งร้องไห้โฮ กลัวพวงครามสงสัย พักตร์พริ้งต้องคอยปลอบ
“ตาบุญสลักคงจะแยกแยะได้แล้วล่ะคะว่าอันไหนเพชร อันไหนกรวด”
พวงครามนึกอะไรออก
“จริงสิ คุณพักตร์คะ หรือว่า”
“หรือว่าอะไรคะ คุณพี่”
“นังมนต์ทิพย์มันทำเสน่ห์ใส่ตาบุญสลัก”
“ต๊าย นังมนต์ทิพย์มันมีเชื้อสายปอบ มันต้องใช้วิธีนี้แน่ๆ เลยค่ะ คุณพี่ โอ๊ย แค่คิดก็สยองแล้วล่ะค่ะคุณพี่ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องจัดการอะไรสักอย่างแล้ว”
พักตร์พริ้งสบตาพวงคราม พยักหน้าให้กัน เขมิกายิ้มสมใจแต่ก็แกล้งร้องไห้ไปด้วย
“ถ้างั้นเขมกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณย่าจะเป็นห่วง นี่เขมร้อนใจก็เลยมารถแท็กซี่”
“ตายจริง คุณพักตร์จัดการไปส่งหนูเขมทีสิ”
“ได้ค่ะคุณพี่ หนูเขม อาไปส่งเองนะคะ อาจะได้คุยกับคุณย่าโฉมของหนูด้วย”
“ขอบพระคุณค่ะคุณอา”
“แล้วถ้าบุญสลักมาจะทำยังไงคุณพี่”
บุญสลักลงมาจากรถ แหวนถลารีบมาหาทันที
“คุณบุญสลักมาพอดีเลย เร็วเถอะค่ะ คุณแม่ อาการไม่ดีเลยค่ะ”
“คุณแม่เป็นอะไร”
“เอ่อ จู่ๆ ก็ไม่มีแรงค่ะ นอนแบ็บอยู่ในห้องน่ะค่ะ”
นมผ่องเห็น จะรีบเดินมาขัดขวางแต่แช่มดึงแขนไว้
“ถ้าคุณนมคิดว่าจะไม่ถูกคุณพักตร์ไล่ออกก็เอาสิ อย่าลืมว่างานนี้ คุณผู้หญิงกับคุณพักตร์ประสานมือกันแข็งขัน”
นมผ่องอึ้งไป บุญสลักเข้ามาในห้อง เห็นพวงครามนอนหลับอยู่ แหวนเข้ามานั่งข้างๆ
“คุณผู้หญิงขา คุณบุญสลักกลับมาแล้วค่ะ”
พวงครามทำเป็นลืมตาขึ้น แล้วก็สะอื้น
“คุณแม่ครับ เป็นอะไรครับ”
“ไม่รักแม่ ก็ไม่ต้องมาหา ปล่อยให้แม่ตายไปซะเถอะ”
พวงครามเมินหน้า พลิกตัวหนี
“คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรแหวน”
แหวนอึกอัก
“เอ่อ ก็ตั้งแต่เมื่อวานสิคะ คุณบุญสลัก”
“เมื่อวานทำไม”
พวงครามทำเป็นลมขึ้น จะเป็นลม แหวนได้สติ
“อุ๊ย จะเป็นลมใช่มั้ยคะ เนี่ย ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยนะคะ ลมตีขึ้นตลอด กลั๊วๆ กลัวค่ะ กลัวหายใจไม่ออก”
บุญสลักอึ้งไป
“คุณแม่ไปหาหมอนะครับ ผมจะพาไปเอง”
พวงครามแกล้งร้องไห้
“ไม่ต้องหรอก อยู่กับแม่ เป็นเพื่อนแม่ ถ้าแม่ตายก็อยู่ดูใจแม่ด้วยก็แล้วกัน”
“คุณแม่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
บุญสลักจับมือพวงคราม พวงครามจับมือ มองลูกอย่างแสนรัก
เกษมนั่งอ่านหนังสืออยู่ พักตร์พริ้งกับเขมิกาเข้ามา
“คุณพ่อคะ อาพักตร์มาเยี่ยมคุณย่าค่ะ”
เกษมมองหน้าพักตร์พริ้ง ไม่มีเยื่อใยและไม่อยากให้พักตร์พริ้งมาวุ่นวายที่บ้านอีก
“เขม เห็นคุณย่าบ่นหาแน่ะ”
“งั้นเขมไปพบคุณย่าก่อนนะคะ เชิญอาพักตร์คุยกับคุณพ่อก่อน”
เขมิกาเดินไป เกษมมองหน้าพักตร์พริ้ง รอจนเขมิกาหายเข้าไปข้างใน
“ไอ้นิสัยเจ้ากี้เจ้าการนี่ ไม่เลิกซะทีนะคุณพักตร์ รู้มั้ยเพราะเหตุนี้ไงที่ทำให้ผมไม่แต่งงานกับคุณ”
พักตร์พริ้งโกรธที่ถูกรื้อฟื้น
“คุณจะรื้อฟื้นขึ้นมาให้พักตร์เจ็บปวดอีกทำไมคะ เมื่อไม่รัก ไม่ไยดีกันแล้วก็ทางใครทางมัน”
“ก็ถูก ทางใครทางมันก็ไม่ควรยุ่งกันอีก ผมบอกตรงๆ นะ ผมไม่อยากเห็นคุณวุ่นวายกับยัยเขม ถามจริงๆ เถอะกำลังจะทำอะไร”
“เด็กเขารักกัน พักตร์ไม่อยากเห็นหลานชายพักตร์หรือหนูเขมต้องผิดหวัง”
“อย่าให้เกิดเรื่องก็แล้วกัน”
เกษมเดินหนีไป พักตร์พริ้งเบ้ปาก
“เมียก็ตายไปแล้ว จะกลัวเมียคุณหึงอีกหรือไงคะคุณเกษม”
บุญสลักตัดสินใจโทรศัพท์ หลังจากถือโทรศัพท์อย่างลังเลอยู่พักหนึ่ง
“คุณน้าเหรอครับ ผมขอพูดกับทิพย์หน่อยครับ”
แช่ม แหวน แอบมองอยู่ แล้วมองหน้ากันยิ้มๆ นมผ่องเข้ามาทางด้านหลัง พึมพำเบาๆ
“คุณหนู”
แหวนกับแช่มหันมาถลึงตาใส่นมผ่อง บุญสลักรอเสียงจากปลายสายอย่างอึดอัด มนต์ทิพย์รับโทรศัพท์ แล้วพยักหน้า ยอมรับสภาพ อัปสรบีบมือลูกสาวปลอบใจ
“คุณแม่เขาไม่สบาย หนูก็ต้องมีเหตุผลนะทิพย์”
“ทิพย์เข้าใจค่ะคุณแม่ ทิพย์เข้าใจดี”
“ทิพย์ก็ต้องอดทนนะลูก”
“ค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงทิพย์นะคะ ทิพย์ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถ้าแม่เขาไม่สบายจริง ทิพย์เข้าใจได้ค่ะ แต่ถ้า ไม่ใช่เหตุผลนี้ ทิพย์ไม่มีวันยอม”
มนต์ทิพย์ผละขึ้นบันไดไป อัปสรสงสารลูกจับใจ
“นี่มันอะไรกัน เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลย”
โฉมนั่งอยู่ในห้อง มีรูปถ่ายตัวเองในวัยสาวตั้งอยู่ พักตร์พริ้งถือวิสาสะหยิบมาดู
“ตอนสาวๆ คุณแม่งามเหลือเกินค่ะ”
“มันผ่านมาแล้วล่ะ สังขารคนเรามันไม่เที่ยง”
พักตร์พริ้งเอะใจ นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณแม่เล่าเรื่องปอบที่มันอาละวาดสมัยคุณแม่ยังสาวๆ ให้พักตร์ฟังบ้างสิคะ พักตร์อยากรู้จริงๆ ว่ามันมีจริงหรือว่านังอัปสรแม่นังมนต์ทิพย์ มันป่วยเป็นโรคประสาทกันแน่”
“ถ้าฉันบอกว่ามันมีจริงล่ะ แล้วมันก็น่ากลัวมาก หล่อนอย่าคิดทำเล่นท้าทายไปนะ หล่อนจะตายเอาง่ายๆ ตายไม่รู้ตัวเลยล่ะ”
“จริงเหรอคะคุณแม่”
“ก็จริงน่ะสิ หล่อนไม่ต้องรู้อะไรไปมากกว่านี้หรอก”
เขมิกาเข้ามาในห้อง โฉมมองดูแล้วตกตะลึง เห็นปิ่นเมืองซ้อนอยู่ด้านหลัง
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
“เขม”
“ทำไมคุณย่ามองเขมอย่างนั้นคะ”
“ปละ เปล่า ไม่มีอะไร หล่อนกลับไปได้แล้วไปสิ”
“คุณแม่ไล่พักตร์เหรอคะ”
“ใช่ กลับไปซะ ฉันคิดถึงหล่อนวันไหน ฉันจะโทรตามหล่อนมาเอง ไปสิ”
พักตร์พริ้งน้อยใจ
“พักตร์กลับก็ได้ค่ะ ถึงยังไง พักตร์ก็ยังต้องมาที่นี่บ่อยๆ เพราะหนูเขมกำลังจะเป็นหลานสะใภ้ของพักตร์”
เขมิกายิ้มดีใจ พักตร์พริ้งออกไป ปิ่นเมืองมองตาม
“เขม สร้อยคอหายไปจริงๆ เหรอ ย่าเข้าไปหาในห้องเขมก็ไม่เจอ”
“สงสัยหายไปวันที่บุญสลักกับเขมทะเลาะกันที่หน้าบ้านน่ะค่ะ เขมว่าจะไปหาอยู่เหมือนกัน เขมว่าจะออกไปช้อปปิ้ง คุณย่าจะไปกับโฉมมั้ยคะ”
“ไม่ล่ะ ย่าอยากพักผ่อน”
โฉมมองไปอีกที ไม่เห็นปิ่นเมืองแล้ว หายใจโล่งอก
“เขม ช่วงนี้หนูรู้สึกว่าหนูไม่ค่อยสบายบ้างหรือเปล่าลูก”
“เขมไม่ได้เป็นอะไรค่ะคุณย่า ร่างกายแข็งแรงดี แต่จิตใจสิคะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ถ้าเขมไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่เขมรัก เขมคงเป็นบ้าตายแน่ค่ะคุณย่า”
โฉมพยักหน้าอึ้งๆ
ตอนค่ำ บุญสลักยืนอยู่ด้านนอกบ้าน ถือโทรศัพท์ เหลียวมองซ้ายขวา นมผ่องเข้ามา
“คุณหนู”
“นม ผมคิดถึงทิพย์ แต่คุณแม่”
“ก็ นมว่า”
“ว่าอะไรนมผ่อง มีอะไรก็ไปทำ อาหลานเขาจะคุยกัน”
พักตร์พริ้งยืนกอดอกอยู่ นมผ่องหน้าเสีย เลี่ยงไป
“แม่หลานน่าสงสารมากนะ”
“ท่านอาการดีขึ้นแล้ว”
“ก็เพราะพ่อบุญสลักมาอยู่เป็นเพื่อนน่ะสิ อาปรึกษาหมอที่สนิทกัน เขาบอกอาว่าเป็นอาการทางจิต คิดมากจนเครียด ระบบร่างกายรวนไปหมด มีโรคแทรกมากมาย โรคอะไรบ้างหลานอย่ารู้เลย รู้แล้วจะทำใจไม่ได้”
“จริงหรือครับคุณอาพักตร์”
“ก็จริงน่ะสิ แม่ของหลานอยากเห็นหลานแต่งงานกับผู้หญิงที่คู่ควร ถ้าหลานแต่งงานกับเขมิกา ก็เท่ากับหลานมีความกตัญญู ยืดอายุของแม่เขาให้ยืนยาวออกไป”
บุญสลักเจื่อนไป
“ผมไม่ได้รักเขมิกา”
“รักหรือไม่รักก็ไม่สำคัญเท่าความกตัญญูที่ลูกคนหนึ่งจะมีต่อแม่ อาก็บังคับใจหลานไม่ได้หรอก แต่อยากให้หลานเอากลับไปคิดให้ดีๆ นะ หลาน”
บุญสลัก อึ้งไป
มนต์ทิพย์นั่งน้ำตาซึม นอนไม่หลับ กังวลเรื่องบุญสลัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอคิดว่าเป็นบุญสลักโทรมา จึงรีบรับสาย
“แม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ บุญสลัก”
เขมิกาหัวเราะหยัน
“แหม นอนคนเดียวมันว้าเหว่จนหลับตาไม่ลงเลยเหรอจ๊ะทิพย์”
“เธอจะโทรมาวุ่นวายอะไรกับฉันอีก ฮึ เขมิกา”
“ในฐานะว่าที่สะใภ้ตัวจริง ฉันจะบอกให้เอาบุญนะว่าคุณอาพวงครามสบายดี ส่วนบุญสลักตอนนี้ก็กำลังอาบน้ำอยู่จ้ะ แต่ว่าเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกนะ เพราะฉันจะดูแลเขาอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน”
เขมิกาหัวเราะหยัน แล้วกระแทกหูใส่มนต์ทิพย์ มนต์ทิพย์ถือหูโทรศัพท์ค้าง โกรธมาก
เขมิกาอยู่บนเตียงนอนกับโฉม กำลังออดอ้อนย่า
“คุณย่าขา คุณย่าช่วยเขมด้วยนะคะ”
“จะให้ย่าช่วยเรื่องอะไรล่ะจ๊ะ”
“คุณย่าก็ทราบว่าเขมรักบุญสลัก”
“เขาแต่งงานไปแล้วนะเขม ตัดใจดีกว่ามั้ย”
“ไม่ค่ะ เขมเปลี่ยนใจไม่ได้ เขมรักเขา ถ้าคุณย่าไม่ช่วย เขมจะฆ่าตัวตาย”
“เขม ไม่เอานะลูก อย่าทำอย่างนั้นนะ”
“ถ้ากลัวเขมตาย คุณย่าก็ต้องช่วยเขมสิคะ”
“ให้ย่าคิดดูก่อนว่าจะทำยังไง”
“เขมรักคุณย่าจังเลยค่ะ รู้มั้ยคะ ตะกี้นี้นังมนต์ทิพย์มันโทรมาเยาะเย้ย เขม มันบอกว่าเขมไม่มีวันชนะมันได้หรอก เขมเจ็บใจค่ะคุณย่า”
“มันพูดอย่างนั้นรึเขม”
มนต์ทิพย์ลุกขึ้นนั่ง ไม่สามารถนอนต่อไปได้ ละอองคำปรากฏร่างขึ้น
“นอนไม่หลับรึ”
“ยาย”
ละอองคำมองมนต์ทิพย์อย่างเห็นใจ
“ยายบอกแล้วไงว่ารับเลี้ยงผีของยายซะ แล้วยายจะช่วยให้เจ้าสมหวังทุกอย่าง ศัตรูของเจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้หรอก”
“ไม่หรอกยาย ถ้าบุญสลักเขาไม่ได้รักทิพย์ด้วยหัวใจ การช่วยเหลือของยายก็ไม่มีความหมาย”
ละอองคำถลึงตาใส่มนต์ทิพย์
“อย่าดูถูกยาย อย่าดูถูกผีของยาย แล้วเจ้าจะเสียใจมนต์ทิพย์”
ละอองคำเลือนหายไป มนต์ทิพย์นึกกลัวขึ้นมา เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง แล้วตัดสินใจวิ่งออกไปจากห้อง ทุบประตูเรียกอัปสร
“แม่ๆๆ แม่จ๋า”
อัปสรเปิดประตูออกมา ยังงัวเงีย
“อะไรทิพย์ หนีใครมา”
“ยายค่ะ ยาย”
“หา”
อัปสรดึงตัวมนต์ทิพย์เข้ามากอด หวาดหวั่น
“แม่ อย่ายุ่งกับลูกของหนูเลย หนูขอร้อง”
“แม่ขา ขอทิพย์นอนกับแม่คืนหนึ่งนะคะ”
“เข้ามาสิลูก”
อัปสรพามนต์ทิพย์เข้าไปในห้อง
เจ้านาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
กลางดึก โฉมนอนไม่หลับ เขมิกาหลับไปแล้ว นอนอยู่ข้างๆ
โฉมมีแต่ความกังวล นึกถึงเรื่องที่เขมิกาบอกว่าจะฆ่าตัวตาย และการที่มนต์ทิพย์โทรศัพท์มาเยาะเย้ย
“ลูกหลานนังละอองคำไม่มีวันชนะฉันได้หรอก”
โฉมผุดลุกขึ้น มองไปรอบๆ ปิ่นเมืองปรากฏร่างขึ้น โฉมผงะ
“เข้ามาได้ยังไง”
“ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้ ข้าทำลายพิธีแต่งงานหลานอีละอองคำ ข้าก็ยังทำมาแล้ว ให้ข้าช่วยมั้ยล่ะ ศัตรูของเจ้ากับของข้าเป็นคนเดียวกัน”
“หมายถึงละอองคำรึ”
“อีละอองคำและลูกหลานของมันทุกคน”
“ท่านช่วยฉันทำไม”
“ไม่ต้องถาม เพียงแค่เจ้ากับหลานสาวยอมรับข้า ข้าก็จะช่วยเจ้าได้ จำไว้นะ ไม่ต้องให้มันคล้องพระ ข้าจะได้ช่วยมันได้เต็มที่”
ปิ่นเมืองเลือนหายไป โฉมหวั่นวิตก มองเขมิกา เห็นนอนหลับไม่รู้เรื่อง
ตอนเช้า มนต์ทิพย์แต่งตัวเสร็จ จะไปทำงานที่บริษัทของแฟรงค์ อัปสรเข้ามาหา“สบายใจขึ้นหรือยังทิพย์ ถ้ายัง ก็ลางานสักวันก็ได้นี่”
มนต์ทิพย์พยักหน้า แต่ยังเศร้าอยู่
“แม่ไม่ต้องห่วงทิพย์หรอกค่ะ ทิพย์แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ค่ะ”
ปีบเคาะห้องเข้ามา
“คุณบุญสลักมาค่ะ อยู่ที่หน้าบ้าน”
อัปสรเห็นลูกสาวทำปั้นปึ่ง แต่สีหน้าแฝงรอยยิ้มไว้
“เขามาง้อแล้วก็ไปหาเขาหน่อยน่า นะจ๊ะลูกสาวแม่”
อัปสรพามนต์ทิพย์ออกมาจากในบ้าน เพื่อมาพบบุญสลัก
“ผมมารับทิพย์ไปทำงาน”
มนต์ทิพย์หันหน้าหนี
“อย่างอนสิครับ”
บุญสลักเข้ามาโอบกอดด้านหลัง มนต์ทิพย์ขืนตัวออก อัปสรยิ้มๆ ส่ายหน้า เลี่ยงออกไป
“ทิพย์ก็ทราบว่าคุณแม่ป่วย ผมถึงต้องค้างบ้านโน้น ผมไม่ได้ไปเหลวไหลที่ไหนสักหน่อย”
มนต์ทิพย์ขืนตัวออกห่าง งอน
“เขมิกาโทรมารายงานทิพย์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ แล้วเป็นไงคะ เขมิกาดูแลคุณได้ดีเท่าฉันหรือเปล่า”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“ทิพย์ว่าเขมิกาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ไหนจะมีแม่กับอาคุณคอยสนับสนุนอีก บอกไว้ก่อนนะคะ ทิพย์ไม่ยอมแน่ๆ ถ้าจะมีผู้หญิงอื่นมาวุ่นวายกับสามีของทิพย์”
บุญสลักดึงมนต์ทิพย์เข้ามากอด กังวลกันทั้งสองคน
“ทิพย์จะไปทำงานค่ะ เราต่างมีหน้าที่”
“ไปกับผม ผมจะไปส่งที่ทำงานของทิพย์ แล้วตอนกลางวัน ผมจะไปรับทานข้าว โอเคนะ”
มนต์ทิพย์ยิ้มพอใจ
พวงครามลงบันไดมา ถามนมผ่องซึ่งกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่
“เชิญคุณบุญสลักมาทานอาหารเช้าหรือยัง”
“ไปทำงานแล้วค่ะ”
“อะไรนะ นี่เป็นเพราะนังแหวนไม่ปลุกฉัน ตาบุญสลักเลยไปทำงานโดยที่ไม่บอกฉันเลย”
แหวนหน้าเสีย พยายามจะปฏิเสธแต่พักตร์พริ้งเข้ามาพอดี
“ถ้าไปทำงานก็ดีค่ะ พักตร์กลัวว่าจะแว่บไปบ้านนังปอบสิคะคุณพี่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พักตร์มีวิธี พักตร์เช็คได้”
เวลา 11.30 น. บุญสลักยิ้ม จะกดโทรศัพท์หามนต์ทิพย์ แต่มีโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน
“ครับท่าน”
เกษมพูดโทรศัพท์อยู่เสียงเครียด มีเขมิกานั่งบีบน้ำตาอยู่ โฉมนั่งอยู่ข้างๆ ปลอบใจ
“ผมมีเรื่องต้องปรึกษาคุณอย่างเร่งด่วนที่สุด เชิญมาพบผมที่บ้านให้เร็วที่สุด”
“แต่”
“ไม่มีแต่ ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้าน บ้านผมคุณก็รู้จักดีไม่ใช่เหรอ หรือจะบอกว่ามาไม่ถูก”
น้ำเสียงของเกษมวางอำนาจเหนือบุญสลัก โฉมยิ้ม เขมิกาแอบสบตาโฉม บุญสลักถอนใจ เกษมหันมาถามเขมิกา
“พ่อไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่แกกุขึ้นมานะยัยเขม”
“คุณพ่อ คุณพ่อทำแต่งาน วันๆ ก็เอาแต่กินเลี้ยงกับแขกฝรั่ง ไม่เชื่อก็ถามคุณย่าดูสิ
คะ”
“จริงหรือครับคุณแม่”
“จริงหรือไม่จริง หน้าที่ของพ่อที่ดีก็คงไม่อยากเห็นลูกสาวท้องโตคาบ้านใช่มั้ย หรือว่าจะให้ใครมาถอนหงอกฉันตอนแก่”
เกษมอึ้งไป
แฟรงค์เข้ามาในห้องทำงาน มนต์ทิพย์นั่งหน้าเศร้าอยู่
“ไอ้ทิพย์ ไปกินข้าวกันเถอะ แกไม่หิวเหรอวะ”
“อย่าเลย ลูกค้าก็เลื่อนนัด ฉันรู้สึกปวดหัว ขอลาครึ่งวันนะ”
“เออ ก็ได้ สบายใจเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาทำงาน”
“ขอบใจ นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอแฟรงค์”
มนต์ทิพย์คว้ากระเป๋า แล้วเดินออกไป แฟรงค์มองอย่างเห็นใจ
บุญสลักมาที่บ้านเขมิกา มองโฉม เกษม และเขมิกา ว่าเกิดอะไรขึ้น
“สวัสดีครับ คุณย่า คุณอา”
โฉมค้อน
“มาก็ดีแล้ว จะได้พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย”
บุญสลักยิ่งงง มองคนโน้นทีคนนี้ที
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ฮึ บุญสลัก ลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ”
บุญสลักตกใจ แต่ยังนอบน้อม
“คุณอาหมายถึงเรื่องอะไรหรือครับ”
“ก็เรื่องที่เราขืนใจแม่เขมไงล่ะ รีบจัดการซะให้มันถูกต้อง ฝ่ายย่าน่ะ มีหน้ามีตาในวงสังคม ถ้าข่าวแพร่ออกไปจะยิ่งเสียหาย”
“เปล่านะครับคุณย่า คุณอา ผมไม่ได้ล่วงเกินอะไรคุณเขมเลย จริงๆ นะครับผมสาบานได้”
“เธอกล้าปฏิเสธได้ยังไง ฮึ บุญสลัก เขมิกาไม่หน้าด้านกุเรื่องน่าอายแบบนี้ขึ้นมาแน่ๆ ยังไงย่าก็ไม่ยอม”
“เธอต้องแต่งงานกับเขมิกาโดยเร็วที่สุด”
บุญสลักถอยหลังหนี
“แต่งงาน แต่ผมแต่งงานแล้วนะครับ”
เขมิกาลุกออกไปเกาะแขนบุญสลัก
“เราแต่งงานกันเถอะนะคะ บุญสลัก ทั้งคุณแม่คุณอาไม่มีใครยอมรับทิพย์สักคน ท่านขอร้องให้เขมดึงคุณออกมาให้พ้นจากพวกปอบนั่น”
“หยุดพูดจาให้ร้ายทิพย์ได้แล้วนะเขม ยังไงผมก็ไม่มีวันแยกจากทิพย์ได้ สำหรับคุณ ผมคบคุณฉันมิตร ไม่ใช่อย่างอื่น”
“แต่เขมรักคุณ เขมรักคุณนะคะบุญสลัก”
“แต่ผมไม่ และจะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”
บุญสลักสะบัดเขมิกาไป เขมิกากรีดร้องด้วยความโกรธสุดขีด โฉมกับเกษมต้องเข้ามาดึงไว้
“เขมลูก ใจเย็นๆ สิ เขม ตั้งสติหน่อยสิเขม”
เกษมมองตามบุญสลัก โกรธแทนลูกสาวมาก เขมิกาวิ่งออกไป
“เขม”
โฉมเครียด
“แกต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ยัยเขมสมหวัง ไม่งั้นแกกับฉันขาดกัน”
“คุณแม่”
บุญสลักจะขึ้นรถ แต่เขมิกามารั้งตัวไว้ได้
“คุณจะปฏิเสธไม่ได้นะ คุณทำอะไรลงไป คุณต้องยอมรับ”
“ผมจะยอมรับได้ยังไง ผมไม่ได้ทำอะไรคุณเขม”
“คุณมันเห็นแก่ตัว”
“ผมขอโทษคุณจริงๆ ครับคุณเขม ไว้เราค่อยพูดกันใหม่ ตั้งสติหน่อยนะครับ อย่าลืมว่าผมมีครอบครัวแล้ว”
เขมิกายืนอึ้ง บุญสลักเข้าไปในรถ เกษมออกมายืนหน้าเครียดอยู่หน้าบ้าน เขมิกาหันมาเห็น วิ่งมาหา
“คุณพ่อ”
เขมิกากอดเกษมร้องไห้ ขณะที่บุญสลักขับรถออกมา ก็คว้าโทรศัพท์ทันที
“เฮ้ย แฟรงค์ ขอสายทิพย์หน่อยสิ”
“มันลาครึ่งวัน มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าวะ ข้าชวนกินข้าวก็ไม่ยอมกิน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันสิวะบุญสลัก ยังไงก็แต่งงานกันแล้วนะโว้ย”
“ขอบใจว่ะเพื่อน”
บุญสลักปิดสาย แล้วกดใหม่ ได้ยินแต่เสียงสายว่าง ไม่มีคนรับ เขาหน้าเสียไป
โฉมหยิบรูปสมัยสาวๆ ของตัวเองขึ้นมาดู นึกผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พอเจอละอองคำ ทุกคนจะมองละอองคำอย่างชื่นชม โฉมผูกใจเจ็บจากเรื่องนี้มาตลอด
“ถึงมนต์ทิพย์จะเป็นสายเลือดของพี่ฉัตร แต่ฉันรังเกียจแกเกินกว่าจะยอมรับว่ามันเป็นหลานได้ เพราะเลือดชั่วๆ ของแกนั่นแหละ อีละอองคำ นังมนต์ทิพย์ถึงต้องชอกช้ำไปจนวันตาย”
โฉมกำแน่นด้วยความโกรธ
มนต์ทิพย์อยู่ที่หน้าประตูละอองคำ เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในกระเป๋า แต่เธอไม่กดรับ ประตูบ้านเปิดออก มนต์ทิพย์ถลาเข้าไปเหมือนถูกลมหอบ ภายในบ้าน ตกแต่งไว้สวยงามเหมือนเมื่อครั้งที่ละอองคำยังมีชีวิตอยู่ ละอองคำนั่งเก้าอี้โยก รอคอยการมาของมนต์ทิพย์
“ยาย”
ละอองคำหัวเราะ
“ในที่สุดหลานก็มา บุญสลักไม่มีทางได้ครองคู่กับหลานหรอกจนกว่าหลานจะยอมรับเลี้ยงผีของยาย หลานจะไม่มีวันแพ้ใครอีก หลานจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง”
มนต์ทิพย์ได้สติ สะดุ้ง ตกใจ
“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ยายดลใจให้หนูมาที่นี่ใช่มั้ย”
“ก็เพราะยายเป็นห่วงหลานน่ะสิ มาให้ยายกอดหน่อยสิ มาสิ”
มนต์ทิพย์ส่ายหน้า ถอยหลัง พลันประตูเปิดออก ร่างมนต์ทิพย์เหมือนถูกใครกระชากออกไป ประตูปิด มนต์ทิพย์ได้สติรู้ตัวว่าถูกเหวี่ยงให้ออกมานั่งกับพื้นข้างนอก
เธอรีบวิ่งหนีออกไป
ภายในบ้านละอองคำ กลายเป็นบ้านที่เก่าโทรม มืดอับ ละอองคำกลายร่างเป็นหญิงชราน่าเกลียด กายทิพย์ของรุ้งแก้วปรากฏขึ้น
“เจ้าพี่ หยุดเสียเถิด อย่าคิดเอาใครมาเป็นทายาทผีปอบต่างวงศ์อีกเลย”
“อย่ามายุ่งกับข้า ถ้าไม่มีคนรับเป็นทายาทข้าแล้ว วิญญาณข้าก็จะทุกข์ทรมานอย่างนี้ เจ้ามันคนเห็นแก่ตัว รุ้งแก้ว”
“ข้าหรือเห็นแก่ตัว เจ้าพี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว คิดจะฆ่าใครก็ฆ่า คิดจะทำอะไรกับใครก็ทำ”
ละอองคำถลาเข้าไปหา แต่รัศมีของรุ้งแก้วปะทะใส่ ร่างของละอองคำล้มลงไป
“ทำจิตให้เป็นสมาธิสิเจ้าคะ แม้เป็นวิญญาณก็ปฏิบัติธรรมได้ ถ้าเจ้าพี่มีบารมีสูงแล้ว ผีเจ้าก็ทำอันใดเจ้าพี่ไม่ได้”
รุ้งแก้วเลือนหายไป ละอองคำหอบเหนื่อย
“อีรุ้งแก้ว อย่ายุ่งกับการของข้า”
ผีเจ้าจิกผมละอองคำจนหน้าเงยขึ้น
“เห็นหรือยังละอองคำเหย ไม่มีใครเห็นใจเจ้าเลย ไม่มีใครเลย ถ้าเจ้าทำให้อีมนต์ทิพย์หรืออีอัปสรมันเป็นทายาทเจ้าไม่ได้ เจ้าก็จงอยู่กับความทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ต่อไปเถิด”
ผีเจ้าหัวเราะ แล้วเลือนหายไป ละอองคำร้องไห้
มนต์ทิพย์ลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าบ้าน ปีบปรี่ไปรับ
“คุณบุญสลักมารอคุณทิพย์ตั้งแต่บ่ายสามโมงแล้วล่ะค่ะ”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบเดินผ่านปีบไปในบ้าน บุญสลักโผไปกอดไว้ แต่มนต์ทิพย์ไม่กอดตอบ ยืนนิ่ง
“โกรธที่ผมผิดนัดเหรอ คุณเกษมเรียกตัวเข้าพบด่วนที่สุด ผมปฏิเสธไม่ได้”
“ค่ะ ปฏิเสธไม่ได้ คงไม่ใช่เพราะเขาเป็นพ่อของเขมิกาหรอกนะคะ บุญสลัก อย่าปิดทิพย์เลยค่ะ สงสารทิพย์เถิด ชีวิตทิพย์ไม่ต้องการอะไร นอกจากความรักและความจริงใจของคุณ”
อัปสรเข้ามาแก้สถานการณ์
“ทิพย์ กลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำสิลูก แล้วเดี๋ยวทานข้าวกัน บุญสลักอยู่ทานข้าวที่นี่นะ”
“ครับ”
อัปสรออกไป แต่ต้องชะงักเมื่อบุญสลักถามขึ้น
“หายไปไหนมา รู้มั้ยผมขับรถตามหาคุณไปทั่ว ทุกที่ที่คุณชอบไป เว้นแต่ที่เดียวเท่านั้น”
“ถ้าบุญสลักหมายถึงบ้านเก่าริมน้ำหลังนั้นล่ะก็ ทิพย์ไปที่นั่นมาค่ะ”
อัปสรอึ้งไป ตกใจ มือปัดของใกล้มือตกแตก
“อุ๊ย”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักรีบมาหาอัปสร
“แม่ แม่เป็นอะไรคะ ท่าทางเหมือนเป็นลม ปีบๆ เอายาดมให้ที”
ปีบวิ่งเอายาดมมาให้
“พาคุณน้าไปพักบนห้องดีกว่าครับ ผมช่วย”
บุญสลักกับมนต์ทิพย์ประคองอัปสรขึ้นไป
ที่โต๊ะอาหารบ้านบุญสลัก อาหารวางอยู่หลายอย่าง พวงครามได้แต่นั่งมอง
“คุณผู้หญิงทานซะหน่อยนะคะ”
“ไม่ ตราบใดที่บุญสลักไม่มากินข้าวกับฉัน ฉันก็ไม่มีวันกินเด็ดขาด”
นมผ่องหน้าเสียไป พักตร์พริ้งเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ในมือ
“คุณพี่ขา ได้เรื่องแล้วค่ะ พักตร์คุยกับหนูเขมก็เลยได้ข่าวเรื่องตาบุญสลัก”
“ทำไม ไหนคุณพักตร์บอกให้ดิฉันทราบสิคะ เร็วๆ สิ”
“คุณเกษม คุณพ่อของหนูเขมยื่นคำขาดให้บุญสลักแต่งงานกับหนูเขมเร็วที่สุด”
“จริงเหรอคุณพักตร์”
“ขอเงินคุณเกษมเอาเงินฟาดหัวนังมนต์ทิพย์กับแม่มันไปสักสิบยี่สิบล้าน แล้วก็ให้มันหลุดไปจากชีวิตของพวกเรา ดีมั้ยคะ คุณพี่”
“คิดว่าคุณหนูจะยอมเหรอคะ”
พักตร์พริ้งกับพวงครามหันมาทางนมผ่องทันที
“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าสาระแน ไป”
นมผ่องเลี่ยงออกมา
“ป่านนี้ก็คงถูกบ้านโน้นปั่นหัวล้างสมองไปแล้วมั้งคุณพักตร์”
“อุ๊ย ยังไงก็ล้างไม่สำเร็จหรอกค่ะคุณพี่ พรุ่งนี้คุณเกษมนัดเรา ให้เราพาตาบุญสลักไปเจรจาสู่ขอหนูเขมิกาอย่างเป็นทางการ”
“โอย ดิฉันไม่คิดเลยว่าบทเวลามันจะง่าย มันก็ง่ายดายเหลือเกิน ว่าแต่บุญสลักจะยอมไปหรือเปล่า”
อัปสรนอนบนเตียง มนต์ทิพย์ห่มผ้าให้
“ทิพย์ เมื่อกลางวันหนูไปที่บ้านหลังนั้นมาจริงๆ เหรอ”
“ทิพย์ไม่ได้ตั้งใจไปค่ะ แต่ทำไมแท็กซี่ที่ทิพย์นั่งถึงพาไปที่นั่นก็ไม่รู้”
อัปสรจับมือมนต์ทิพย์ ส่ายหน้า น้ำตาไหล
“รับปากแม่นะว่าหนูต้องเข้มแข็ง หนูอย่ายุ่งเกี่ยวกับคุณยายอีก”
“ค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
มนต์ทิพย์ลงบันไดมา บุญสลักเพิ่งกดปิดโทรศัพท์
“อาพักตร์โทรมาตาม บอกว่าคุณแม่ไม่สบายอีกแล้ว”
“กลับไปดูใจคุณแม่คุณเถอะค่ะ ทิพย์ก็จะดูแม่ของทิพย์เหมือนกัน”
“ทิพย์ไม่โกรธผมนะครับ”
“ไม่ค่ะ คุณรีบกลับไปเถอะ”
บุญสลักระบายลมหายใจ อึดอัด มนต์ทิพย์ยืนปั้นปึ่ง
เจ้านาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
พวงครามเมินหน้าไปทางอื่น ทันทีที่เห็นบุญสลักเข้ามา พักตร์พริ้งรีบเล่า
“แม่เขาล้มป่วย ไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่คุณเกษมพ่อของหนูเขมโทรมา”
“โทรมาทำไมครับ”
“เป็นลูกผู้ชายทำอะไรไว้กับหนูเขมก็ต้องยอมรับ อย่าให้ใครเขาด่าว่ามาถึงบรรพบุรุษได้”
“ช่างเถิดคุณพักตร์ พี่มันคนมีกรรม มีลูกก็เหมือนไม่มี”
พวงครามสะอื้น หันหลังให้
“คุณแม่”
พักตร์พริ้งกันตัวบุญสลักไว้ รุนหลังออกไป
“เอาใจแม่เขาหน่อย พรุ่งนี้ก็ไปบ้านหนูเขมกัน ตกลงหรือไม่ตกลงก็ค่อยพูดกันให้รู้เรื่องไปข้างหนึ่งเลย”
“ก็ได้ครับ อาพักตร์ ฝากคุณอาดูแลคุณแม่ด้วย”
“ไม่ต้องเป็นห่วง แต่รับปากอาแล้วนะว่าพรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน”
“ครับ คุณอา”
บุญสลักมองดูแม่แล้วก็ออกไป ประตูปิด พวงครามหันมา
“สำเร็จแล้วค่ะคุณพี่”
ทั้งสองหัวเราะกันเบาๆ
วันรุ่งขึ้น โฉมนั่งเป็นประธานอยู่ เกษมอยู่ไม่ห่าง พักตร์พริ้ง พวงคราม บุญสลักนั่งอยู่
“ถ้าคิดว่าผมล่วงเกินคุณเขม ทำไมไม่ให้คุณเขมมาร่วมคุยด้วยล่ะครับ จะได้รู้เรื่องกันไปเลย”
พวงครามรีบปราม
“บุญสลัก ไม่เอาน่า”
“หลานสาวฉันเป็นผู้หญิง มียางอาย เธอคิดว่ายัยเขมควรจะนั่งอยู่ในนี้ด้วยมั้ยล่ะ”
บุญสลักหน้าเครียด พักตร์พริ้งรีบรับแทน
“ไม่ควรค่ะคุณแม่ พักตร์เป็นผู้หญิง พักตร์ทราบค่ะว่าเรื่องแบบนี้ มันน่าอายแค่ไหน”
เวลาเดียวกันนั้น เขมิกาพูดโทรศัพท์กับมนต์ทิพย์อยู่
“ทำอะไรอยู่เหรอทิพย์”
“ไม่ได้ทำอะไร คุณเขมมีอะไรกับทิพย์หรือเปล่าคะ”
“ก็แค่จะบอกว่าคุณแม่กับคุณอาบุญสลักมาที่บ้านเขม ผู้ใหญ่กำลังเจรจาสู่ขอเขม ต่อไปเขมก็คงจัดงานแต่งงานกับบุญสลักแล้วล่ะจ้ะ อย่าลืมมาร่วมงานแต่งของเรานะจ๊ะทิพย์”
มนต์ทิพย์อึ้งไป กดปิดโทรศัพท์ทันที เขมิกาหัวเราะ
“แกไม่มีวันชนะฉันได้หรอกนังทิพย์”
ขณะที่บุญสลักพูดเด็ดขาด ต่อหน้าผู้ใหญ่
“ผมขอยืนยันตรงนี้เลยครับ ว่าผมไม่เคยคิดล่วงเกินคุณเขม ผมไม่มีวันแต่งงานกับคุณเขมได้ เพราะผมมีภรรยาแล้ว ถ้าคุณแม่จะสู่ขอคุณเขมเป็นสะใภ้ ก็หาคนอื่นมาแต่งกับเธอด้วย ผมไม่แต่ง”
“บุญสลัก นี่ลูกพูดอะไรออกมา”
“ถ้าไม่ตกลงก็ไสหัวออกไป เชิญครับ”
“คุณเกษม ใจเย็นๆ สิคะ”
เกษมเดินหนีไป โฉมลุกขึ้น
“คิดดูให้ดีนะ ถ้าคิดว่าการปฏิเสธของเธอจะทำให้ชีวิตครอบครัวของเธอมีความสุขก็ลองดู”
“คุณแม่ ให้โอกาสบุญสลักอีกสักครั้งนะคะ พักตร์สัญญาว่าพักตร์จะพูดกับแกให้รู้เรื่อง”
“อย่าพยายามเลยครับคุณอา”
“โอย แม่จะเป็นลม”
“คุณแม่”
โฉมเดินหน้าตึงออกไป
“คุณแม่ไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ถ้าอยากฆ่าแม่ให้ตาย แม่จะตายให้แกสมใจบุญสลัก”
บุญสลักหน้าเสียไป พักตร์พริ้งเดินหายมาหาเกษมในบ้าน
“คุณเกษม เห็นแก่หลานชายพักตร์ด้วยค่ะ แกยังเด็ก พักตร์จะคุยกับแกก่อน แต่รับปากพักตร์ได้มั้ยว่าคุณจะให้อภัยแก”
“ป่วยการเปล่าคุณพักตร์ คนอย่างผม ถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว ผมก็ยึดมั่นในการตัดสินใจของผม เหมือนผมไง ทันทีที่ผมคิดว่าผมรักคุณอีกไม่ได้แล้ว ผมก็ยกเลิกงานแต่งงานของเราทันที คุณลืมไปแล้วเหรอคุณพักตร์”
“นั่นน่ะเป็นเพราะคุณหลงเสน่ห์เมียคุณต่างหาก คุณก็เลยทิ้งพักตร์ จนทุกวันนี้พักตร์ก็ยังไม่มีใครอีกเลย”
“นั่นมันเรื่องของคุณ พาหลานชายคุณกลับไปได้แล้ว”
พักตร์พริ้งค้อนแล้วเดินออกไป สวนทางกับเขมิกาที่ยืนหน้าเครียดอยู่
มนต์ทิพย์เดินเข้ามาในบริษัท แฟรงค์ยืนอยู่ หน้าตาไม่แจ่มใสนัก
“เป็นไรวะทิพย์ หน้าตาเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนเลย”
“ไม่มีอะไรหรอก”
มนต์ทิพย์ตรงไปที่โต๊ะทำงาน เห็นซองขาววางอยู่ พอเปิดดูก็หน้าเสียไป แฟรงค์หันมาพอดี
“ฉันก็ไม่รู้จะช่วยแกยังไงว่ะไอ้ทิพย์ แกก็รู้นี่นะว่าบริษัทที่ฉันกับแกทำงานอยู่เนี่ย พ่อของเขมิกามีหุ้นอยู่ถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์”
“แกไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก มันไม่ใช่ความผิดของแก แฟรงค์ ลาก่อนนะ”
มนต์ทิพย์เดินออกไป แฟรงค์ถอนใจ นึกถึงสิ่งที่เขาคุยโทรศัพท์กับเขมิกาก่อนหน้านี้
“หมายความว่ายังไงคุณเขม”
“เขมจะเลิกวุ่นวายกับบุญสลัก แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไร”
“ไล่มนต์ทิพย์ออกไป เขมไม่อยากมีความเกี่ยวข้องอะไรอีกทั้งกับบุญสลักหรือมนต์ทิพย์”
แฟรงค์ยืนเงียบๆ สงสารมนต์ทิพย์จับใจ
“อย่าโกรธฉันเลยนะไอ้ทิพย์ ฉันทำไปเพราะต้องการช่วยแก”
ภายในห้องประชุม บริษัทของเกษม บุญสลักคุยกับเกษมอยู่
“คุณอาล้อผมเล่นใช่มั้ยครับ”
เกษมมีท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“อาพูดจริง อาตัดสินใจแล้วว่าจะล้มโครงการนี้”
“แล้วส่วนที่ก่อสร้างไปแล้วล่ะครับ คนงานผมอีกเป็นร้อย จะทำยังไงล่ะครับคุณอา”
“ก็ช่างหัวมันสิ ใครจะเป็นยังไงอาไม่สน”
เกษมหัวเราะ
“เดี๋ยวครับ”
“อะไรอีกล่ะ ฮึ บุญสลัก”
“เพราะเรื่องเขมิกาใช่มั้ยครับ”
เกษมไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะ แล้วเดินออกไป บุญสลักทุบโต๊ะโกรธจัด
อัปสรกับมนต์ทิพย์คุยเครียดกันอยู่ที่บ้าน
“ทิพย์ไม่ได้เสียใจที่ตกงานนะคะคุณแม่ แต่เจ็บใจที่ชีวิตของทิพย์ต้องเจอเรื่องร้ายๆ เพราะผู้หญิงคนนั้น”
“ไม่เอาลูก เราหางานเอาใหม่ก็ได้ หนูเรียนจบมาตั้งสูง ความรู้ก็มาก”
“คุณแฟรงค์นะคุณแฟรงค์ ไม่น่าหูหนวกตาบอดไปเชื่อนังเขมิกาเล้ย”
“ไม่เอาน่า ปีบ”
บุญสลักเดินเข้ามา นั่งลงอย่างเซ็งๆ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถึงดูสีหน้าไม่สบายใจ หรือว่าคุณแม่คุณอาการไม่ดี”
“เปล่าครับ แต่วันนี้คุณพ่อของเขมิกาสั่งยกเลิกโครงการก่อสร้างทั้งหมด”
อัปสรกับมนต์ทิพย์สบตากันทันที
“โธ่ ทำไมถึงได้เคราะห์ร้ายพร้อมกันอย่างนี้ด้วยนะ”
“หมายความว่าทิพย์ก็”
“ค่ะ ทิพย์ถูกไล่ออก”
กลางคืน อัปสรนั่งสมาธิบนเตียง แต่อารมณ์ไม่สงบ กระสับกระส่ายตลอดเวลา
เงาดำวูบปรากฏผ่านอัปสรไปมา ลมพัดกรู เสียงละอองคำดังขึ้น
“ใจเจ้าไม่นิ่ง เจ้าสร้างบารมีไม่ได้แล้ว อัปสร”
ละอองคำปรากฏกายในนิมิตของอัปสร
“แม่ แม่ปล่อยหนูกับลูกไปเถอะค่ะ แล้วหนูจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่นะคะ แม่จะได้ไปผุดไปเกิดซะที”
“ข้าไม่ต้องการเศษบุญของเจ้า นังมนต์ทิพย์คนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยให้ข้าหลุดพ้น”
ละอองคำหัวเราะ แล้วหายไป อัปสรพยายามเข้าสมาธิ แต่ก็ทำได้ยาก จู่ๆ เงาดำก็วูบผ่านมาอีกรอบ
“แม่คะ ได้โปรดอย่าตามรังควานหนูกับลูกเลยนะคะ”
ปิ่นเมืองปรากฏกายต่อหน้าอัปสร ในรูปลักษณ์เจ้านาง สวยงาม
“ระวังตัวไว้ให้ดี อีอัปสร จากนี้ชีวิตของเจ้ากับลูกจะหาความสงบสุขมิได้อีกต่อไป”
ปิ่นเมืองหัวเราะแล้วเลือนหายไป อัปสรเขม็งตา เพ่ง แต่ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
“เดี๋ยวสิ ท่านเป็นใคร ทำไมถึงต้องอาฆาตฉันกับลูกด้วย”
สมาธิของอัปสรแตกซ่าน กำลังจะหลุดจากสมาธิ กายทิพย์ของรุ้งแก้วก็ปรากฏแทนที่
“ตั้งสติให้มั่น อัปสร พุทธคุณเท่านั้นจะบรรเทาทุกข์ของหลานให้เบาบางลงได้ ทำจิตเป็นสมาธิ แล้วมานี่ ตามน้ามา”
บรรยากาศดำมืด เป็นที่ว่างกว้างใหญ่ ดาวอยู่เต็มฟ้า ร่างของอัปสรปรากฏขึ้น เงารัศมีของรุ้งแก้วลอยมาอยู่ตรงหน้า อัปสรยกมือไหว้
“คุณน้าขา นอกจากแม่แล้ว ตอนนี้หนูกับลูกยังมีศัตรูที่ไหนอีกหรือคะ”
“เจ้านางปิ่นเมือง เจ้ากรรมนายเวรของเจ้าพี่ละอองคำมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่เมืองนาย แรงแค้นทำให้เจ้าพี่ปิ่นเมืองไม่ยอมไปผุดไปเกิด คอยตามอาฆาตเจ้าพี่ละอองคำอยู่ร่ำไป”
“แล้วหลานจะทำยังไงดีคะ คุณน้า ลำพังแม่ละอองคำ หลานกับมนต์ทิพย์ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด”
“หลานต้องปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยเหลือเจ้าพี่ละอองคำกับมนต์ทิพย์ รวมถึงเจ้าพี่ปิ่นเมืองด้วย อย่าลืมนะอัปสร”
รุ้งแก้วค่อยๆ ลอยห่างออกไป จนลับตา อัปสรค่อยๆ ลืมตาถอนจากสมาธิ กังวลมาก
“เจ้าพี่ปิ่นเมือง ใครกัน”
อัปสรนั่งเป็นทุกข์อยู่ มนต์ทิพย์เข้ามา เห็นกระเป๋าของอัปสรก็ตกใจ
“คุณแม่คะ คุณแม่จะไปไหนคะ”
“แม่จะไปถือศีล ปฏิบัติธรรมสักพักจ้ะ ทิพย์รับปากแม่อย่างหนึ่งได้มั้ย”
“ได้สิคะ”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูต้องห้ามยุ่งเกี่ยวกับคุณยาย ตอนนี้คุณยายติดต่อหนูได้แล้ว แม่อยากปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยให้คุณยายพ้นทุกข์ คุณยายจะได้ไปสู่สุคติเสียที”
ปีบเดินเข้ามา
“คุณนายขา แท็กซี่มาแล้วค่ะ”
“ขอบใจจ้ะปีบ แม่ไปก่อนนะทิพย์ บุญรักษานะลูก”
“แม่จะไปที่ไหนคะ หนูจะได้ไปเยี่ยมแม่ได้ แล้วแม่จะไปนานแค่ไหนคะ”
“แม่บอกอะไรไม่ได้ ขอให้แม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เถิดนะ เสร็จแล้วแม่จะรีบกลับมา แม่ไปก่อนนะ”
ปีบถือกระเป๋าตามไปส่งอัปสร มนต์ทิพย์รู้สึกหมดแรง
เวลาต่อมา อัปสรแต่งชุดขาวเดินเข้ามาที่กุฏิวัดป่าของรุ้งแก้ว รุ้งแก้ววางไม้กวาดที่กวาดลานวัดลง
“คุณน้า”
“คงถึงเวลาแล้วสินะ เมื่อตั้งใจมาอย่างนี้ก็ขอให้เร่งปฏิบัตินะ ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อทุกคนที่เกาะเกี่ยวกับเราทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้”
“เจ้าค่ะ คุณน้า”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักกำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่ ปีบนั่งดูทีวีอยู่มุมหนึ่ง ซึ่งมีรายงานข่าวด่วน เป็นภาพตึกถล่ม พิธีกรภาคสนามรายงานอยู่
“เกิดเหตุตึกศูนย์การค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลงมา เบื้องต้นมีคนงานเสียชีวิตนับสิบราย ขณะนี้ตำรวจกำลังติดตามเจ้าของโครงการและวิศวกรผู้รับผิดชอบมาดำเนินคดี”
บุญสลักฟังข่าวแล้วตกใจ ช้อนหล่นจากมือ
“บุญสลัก มันเป็นไปได้ยังไงกันคะ”
“ผมไม่ทราบ เดี๋ยวตำรวจก็คงแห่กันมาที่นี่”
มนต์ทิพย์กอดบุญสลัก ทั้งสองให้กำลังใจกัน
“คุณไม่ต้องกลัวนะคะ ทิพย์จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
พวงครามรู้ข่าวบุญสลักถึงกับเป็นลม นมผ่อง แช่ม แหวนกำลังปฐมพยาบาล พักตร์พริ้งหน้าตื่นเดินเข้ามา พวงครามรีบผงกหัว ร้องถามเสียงล้ามากๆ
“คุณพักตร์ หลานเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวอะไรบ้างหรือยัง”
“ตำรวจจับตาบุญสลักไปแล้วค่ะ คุณพี่”
พวงครามร้องไห้โฮ หันไปถามนมผ่อง
“โถ่ บุญสลักลูกแม่ เราจะช่วยตาบุญสลักได้ยังไง”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณ มันต้องมีทางสิคะ”
“คนตายตั้งหลายคน คราวนี้คงได้ติดคุกหัวโต ตาบุญสลักต้องซวยซับซวยซ้อนก็เพราะมีเมียกาลกินีอย่างอีนังมนต์ทิพย์นี่แหละ”
พวงครามร้องไห้ใจจะขาด สงสารลูก
ที่สถานีตำรวจ บุญสลักกับมนต์ทิพย์กอดกันผ่านลูกกรง มนต์ทิพย์ร้องไห้หนัก บุญสลักทำใจแข็ง ปาดน้ำตาให้ภรรยา
“เคราะห์กรรมอะไรคะ เราถึงต้องเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้”
“เพราะผมบกพร่องในหน้าที่ ถึงเกิดเรื่องขึ้น ทิพย์ต้องเข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้ผมนะครับ”
“ค่ะ”
“ต้องอย่างนี้สิคนดี ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ผมเป็นลูกผู้ชาย เมื่อทำอะไรแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน ถ้ามีทิพย์คอยเป็นกำลังใจ ผมก็พร้อมจะต่อสู้”
ปีบฟังแล้วร้องไห้โฮ สองสามีภรรยากอดกันกลม เสียงพวงครามดังขึ้น
“ตาบุญสลัก”
พวงคราม พักตร์พริ้ง นมผ่อง แช่ม แหวน ตามกันมาเป็นพรวน พวงครามปราดเข้าไปหาลูกชาย จับมือ กอดแน่น พักตร์พริ้งเข้ามา เบียดมนต์ทิพย์ให้กระเด็นไปอีกทาง ปีบต้องเข้ามาประคองมนต์ทิพย์ไว้
“เป็นยังไงบ้างลูก บุญสลัก เจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นไร คุณแม่ใจเย็นๆ นะครับ”
“จะให้เย็นอยู่ได้ยังไง ฮึ เราถูกขังคุกอยู่แบบนี้ แล้วนังเมียหลาน ทำไมถึงไม่รีบเดินเรื่องประกันตัวผัว ฮึ ดีแต่ออดอ้อน ออเซาะ ไม่มีปัญญาช่วยเหลืออะไรได้เล้ย”
“ตำรวจยังไม่ให้ประกันตัวครับ คุณอา”
“ทำไมถึงยังไม่ให้ประกันตัวล่ะคะ” นมผ่องถาม
“โถ ลูกแม่ หัวใจแม่จะขาดเสียให้ได้”
พวงครามลูบหน้าลูบตาลูกชาย
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุอยู่ครับ”
“ก็คงต้องสู้คดี ขึ้นโรงขึ้นศาลกันอีกนาน ไม่รู้ต้องเสียเงินอีกเท่าไร”
“จะต้องเสียเงินทองมากมายแค่ไหน ทิพย์ก็จะหามาช่วยบุญสลักให้ได้”
“หนอย อย่างหล่อนจะมีปัญญารึ ฮึ สมบัติพัสถานอะไรก็ไม่มีติดตัว”
“ทิพย์รักบุญสลัก ให้ทิพย์ตายแทนบุญสลัก ทิพย์ก็ทำได้ค่ะ”
“ทิพย์”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักมองตาให้กำลังใจกัน พักตร์พริ้งค้อนอย่างหมั่นไส้มาก
เขมิการู้เรื่องบุญสลัก จึงมาคาดคั้นเกษม
“มันถล่มลงมาได้ยังไงคะคุณพ่อ ในเมื่อทุกอย่างก็ทำตามแปลนที่วางไว้ทั้งหมด”
“พ่อก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าวิศวกรประจำโครงการก็ต้องรับผิดชอบ”
“ทำไมคุณพ่อไม่ไปประกันเขาออกมา”
“ถ้าแกหมายถึงนายบุญสลักละก็ ไม่มีทาง ปล่อยให้มันติดคุกหัวโตน่ะแหละ”
“เขาเป็นคนรักของเขมนะคะ”
“แล้วเขายอมรับแกหรือเปล่าล่ะ หา เขายอมรับหรือเปล่าว่าเขารักแก ยัยเขม มีแต่แกที่เพ้อไปคนเดียว”
“คุณพ่อ”
เขมิการ้องไห้วิ่งไป โฉมถามเสียงแข็ง
“ฉันเองก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่บ้าทำตึกถล่มลงมาหรอกครับ คุณแม่อย่าคิดอะไรบ้าๆ หาคุกมาให้ผม”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแก อย่ากินปูนร้อนท้องสิ”
กลางคืน บุญสลักนั่งเป็นทุกข์อยู่ในกรงขัง หลับตาไม่ลง ถอนใจเป็นระยะ เวลาเดียวกันนั้น มนต์ทิพย์เองก็นั่งถอนใจ เป็นห่วงบุญสลักมาก ปีบนั่งสัปหงกอยู่ไม่ห่าง มนต์ทิพย์ปาดน้ำตาตลอดเวลา
“ทิพย์จะต้องช่วยคุณให้ได้ค่ะ บุญสลัก อดทนนะคะ”
มนต์ทิพย์ซบหน้า เครียดมาก เวลาผ่านไป มนต์ทิพย์หลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน ปีบหมอบข้างๆ ละอองคำปรากฏกายในรูปลักษณ์สวยงาม ก้มกระซิบที่หูมนต์ทิพย์
“มนต์ทิพย์หลานยาย ผีของยายช่วยเจ้าได้”
มนต์ทิพย์สะลึมสะลือตื่น
“คุณยาย”
ละอองคำประคองมนต์ทิพย์ลุกตามอย่างว่าง่าย
“มากับยาย ผีของยายช่วยบุญสลักได้”
จู่ๆ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป กลายเป็นที่หน้าเรือนปั้นหยาของละอองคำ วังเวง ละอองคำประคองมนต์ทิพย์อยู่หน้าประตู ยิ้มสมใจ เสียงอัปสรดังขึ้น
“อย่านะลูก อย่าเชื่อคุณยายเด็ดขาด”
กายทิพย์อัปสรปรากฏคู่รุ้งแก้ว แสงรัศมีสว่างไสวอยู่รอบกาย มนต์ทิพย์ได้สติ“แม่”
“ทิพย์ หนูต้องเข้มแข็งนะลูก”
มนต์ทิพย์รู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมแขนละอองคำ รีบผละหนีด้วยความกลัว ละอองคำตวาด
“อย่าไปฟังพวกมัน”
“ตั้งสติให้มั่นนะหลาน พุทธคุณจะคุ้มครองหลานให้ปลอดภัย”
“เจ้าสองคนจะมีปัญญาอะไรมาช่วยหลานข้า รับผีของยายไปเลี้ยง แล้วเจ้าจะบันดาลทุกอย่างได้ตามต้องการ”
“ไม่ หนูไม่เชื่อ”
“อย่าอวดดีกับข้า นังมนต์ทิพย์ ข้าบอกให้ตามมา”
“ไม่”
ละอองคำโมโห พุ่งเข้าใส่มนต์ทิพย์ แต่กายทิพย์ของอัปสรกับรุ้งแก้วเข้าขวางได้ทัน
เกิดแรงปะทะเสียงดัง
“โอ้ย”
ละอองคำล้มกลิ้ง มนต์ทิพย์ตะโกนสุดเสียง
“ไม่”
ปีบสะดุ้ง
“คุณทิพย์คะ คุณทิพย์ คุณทิพย์เป็นอะไรคะ”
มนต์ทิพย์ตกใจตื่น มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว
“เรื่องทั้งหมดนี่เป็นฝีมือคุณยายหรือเปล่าคะ”
ตอนเช้า แฟรงค์กับบุญสลักคุยกันอยู่ผ่านกรงขัง
“เคราะห์ร้ายจังว่ะเอ็ง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าหอบหลักฐานทั้งหมดมาให้ทางตำรวจแล้ว”
“หลักฐานอะไรวะ”
“ก็ทุกอย่างแหละ อย่าลืมสิว่าเอ็งมารับโครงการนี้ต่อจากคนอื่น มันไม่ใช่ความผิดของเอ็ง บุญสลัก”
“ขอให้ตำรวจได้ค้นพบหลักฐานด้วยเถอะ ข้าเป็นห่วงทิพย์”
“ไอ้ทิพย์มันเข้มแข็ง มันอยู่ได้ ว่าแต่เอ็งเถอะเข้มแข็งนะโว้ย”
“ขอบใจเพื่อน”
เขมิกานั่งกอดโฉมออดอ้อน
“จะอ้อนอะไรจากย่าอีกล่ะเขม”
“ถ้าเป็นคุณย่า คุณย่าจะยอมให้คนที่คุณย่ารักติดคุกเหรอคะ”
โฉมมองหน้าเขมิกา ส่ายหน้า
“ไว้ให้ถึงที่สุดก่อนสิ ช่วยเขาตอนนี้ เขาจะเห็นน้ำใจที่เขมมีต่อเขารึ เชื่อย่าสิ คดีร้ายแรงแบบนี้ ไม่มีปัญญาหาเงินมาประกันตัวหรอก”
“แต่แม่ของบุญสลักเขาก็มีเงินอยู่นะคะ”
“ถ้าเขามีปัญญาก็ปล่อยเขาไปสิ ให้เขาจัดการเอง แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็บากหน้ามาหาเราเองแหละ ถึงตอนนั้นเขมจะเรียกร้องยังไงก็ได้”
“เขมรักคุณย่าจังค่ะ”
จบตอนที่ 13