ปริศนา ตอนที่ 2
อีกฟาก อนงค์เปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว นอนเหม่อลอยเพราะคิดถึงประวิชอยู่บนเตียง ห้องของเธอยังเปิดไฟดวงเล็กอยู่ เสียงประตูเปิด อนงค์รีบพลิกตัวหลับตาทำทีเป็นนอนหลับ
ปริศนาในชุดนอนถือผ้าเช็ดตัวเดินเข้ามาหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอเดินเข้ามาในห้องและรู้สึกเหมือนเห็นอนงค์พลิกตัวจึงเดินมาดู ปริศนาเห็นอนงค์หลับตา จึงถามเบาๆ
“หลับแล้วหรืออนงค์ หายปวดหัวหรือยัง”
อนงค์ยังคงนอนนิ่ง ปริศนาถอนหายใจ แล้วเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดราว ก่อนจะปิดไฟแล้วเดินกลับมาเข้ามุ้งนอน อนงค์ที่นอนหลับตาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คิดถึงประวิชต่อ
รถประวิชแล่นเข้ามาจอดที่บ้านคุณหญิงชื่น วิมลลงจากรถโดยถือกระเป๋าเสื้อผ้าเล็กๆ ลงมา เด็กสาวกลับมาจากโรงเรียนประจำเพื่อมาเยี่ยมแม่
“วิมลเข้าบ้านไปก่อนนะ พี่จะขึ้นไปไหว้คุณหญิงท่านก่อน” ประวิชบอก
วิมลพยักหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปด้านหลังบ้าน ประวิชเดินไปอีกทางหนึ่งเพื่อขึ้นตึกใหญ่
ประวิชเดินเข้ามาเห็นสาวใช้คนหนึ่งเพิ่งเดินออกมา
“คุณหญิงท่านอยู่ไหม” ประวิชถาม
“อยู่ด้านในค่ะ”
ประวิชเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นของคุณหญิงชื่นซึ่งคุณหญิงชื่นกำลังนั่งดูแม็กกาซีนฝรั่งอยู่
ประวิชนั่งลงแล้วกราบที่พื้น
“กระผมมากราบคุณหญิง”
“มาหารตี หรือ อย่างไร” คุณหญิงชื่นถาม
“พาวิมล มาเยี่ยมบ้านขอรับ แม่คิดถึง”
“ท่านชายทรงพูดถึงรตี ว่ายังไงบ้างล่ะ” ชื่นถาม
ประวิชพยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก เพราะท่านชายพจน์ไม่ได้พูดถึงรตีเลย
เสียงรตีดังมาก่อน “จำไม่ได้ล่ะสิ มัวแต่หายใจเข้าออก เป็น นังนั่น”
ประวิชงงมาก “ใครกัน นังนั่น”
“ไปตีเทนนิส ด้วยกัน แล้วจะบอกว่าไม่รู้จักกันงั้นหรือประวิช” รตีว่า
ประวิชพยายามคิด “คุณรตี หมายถึงปริศนา หรือ”
“เป็นใครกัน” รตีถามทันที
คุณหญิงชื่นปรายตามองประวิชแบบตั้งใจฟังแต่แกล้งทำหน้าเฉย
“อ๋อ คุณปริศนา สุธากุล ลูกสาวคุณนายสมร” ประวิชบอก
คุณหญิงชื่นนึกออกจึงทำหน้าเหยียดๆ “อ่อ สมร สุธากุล”
รตีถาม “เป็นใครกันคะ”
“ประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เด็กคนนี้น่ะหรือที่เกิดหลังจากพ่อตายไปแล้ว”
ประวิชไม่ค่อยพอใจ
“เรื่องนั้น กระผมไม่ทราบจริงๆ ทราบแต่ว่าเธอเพิ่งกลับจากอเมริกา คุณอาที่เป็นทูต พาไปเรียนที่นั่น”
“มิน่า ทำตัวเสียฝรั่งจ๋า หน้าหมั่นไส้”
“พ่อประวิช คบหา กันผู้หญิงคนนี้หรือ” คุณหญิงชื่นถาม
“โอ้ย เพิ่งพบกันขอรับ พบกันครั้งแรก วันที่มารับ คุณรตี ไปรับประทานอาหารเย็นกับท่านชาย ที่ สปอร์ตคลับนั่นแหละ”
“แต่อย่างประวิช ก็ไม่เคยเห็นรักใครจริงจังนี่ จี๋ๆ จ๋าๆ แล้วก็ทิ้งไปทุกครั้ง”
ประวิชไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อยากต่อความ
“ยังไง หือ ถามไม่ตอบ” คุณหญิงชื่นว่า
ประวิชงงกับคำถาม
“ตอบเรื่องอะไรขอรับ” ประวิชถาม
“เรื่องท่านชาย ยังไงล่ะ”
“ท่านก็ตามปกติของท่านเสด็จไปโรงพยาบาลทุกวัน บางครั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ ยังมีโทรศัพท์มาตามไปดูคนไข้ด่วน” ประวิชว่า
“นั่นแหละ” คุณหญิงชื่นรีบบอก “ท่านจะต้องมีแม่บ้านมาคอยดูแลแล้ว ท่านไม่มีเวลาไปเที่ยวหาใครที่ไหนแน่นอน แกชวนรตีไป เยี่ยมท่านบ้าง พาไปสมาคม เวลาท่านว่างจากงานจะได้พักผ่อน จะได้ดูแลกัน”
รตียิ้มในสีหน้าอย่างพึงพอใจ
“หากท่านโปรดเสด็จสปอร์ตคลับ พรุ่งนี้ เราไปสปอร์ตคลับกัน ประวิชลองไปทูลถามท่านดู สะดวกไหม ชวนตีเทนนิสก็ได้”
ประวิชนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วก็มองเห็นอุบายที่จะได้ใกล้ชิดกับปริศนา
“จะลองทูลถามท่านดูให้นะ คุณรตี”
ชื่นสบตารตีอย่างมีนัย
“จะตีเทนนิสน่ะ เตรียมข้าวของพร้อมแล้วหรือรตี”
“ต้องพร้อมเสมอสิคะแม่”
รตีบอกพลางยิ้มด้วยความมั่นใจ
ประวิชแอบกลัวรตีอยู่ลึกๆ
ช่วงเปิดประตูหน้าบ้านให้รถของประวิชแล่นเข้ามาจอด ปิดประตู แล้วเดินกลับมาหาประวิชที่ลงรถแล้ว
“คุณปริศนาอยู่ไหม ลุง”
“คุณปริศนา น่าจะอยู่หลังบ้านขอรับ กระผมจะไปตามให้ ขอรับ”
“ไม่ต้องจ้ะ ลุง”
ประวิชเดินอ้อมบ้านไปทางหลังบ้าน
พอพ้นมุมบ้าน ประวิชก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้สนามโดยกำลังร้อยมาลัยดอกไม้อย่างเอาใจใส่ ประวิชเห็นแต่เพียงด้านหลังก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นปริศนา
ประวิชคิดในใจ “งามเหลือเกิน ปริศนา”
ประวิชย่องมาด้านหลังอย่างอยากจะหยอกล้อเต็มที่ ประวิชยิ้ม เขาย่องเข้ามาอย่างเงียบทำทีจะแกล้งให้ตกใจ
“ปริศนา”
อนงค์ตกใจเพราะจำเสียงได้ เธอปล่อยเข็มร้อยดอกไม้ตกลงกับพื้นทันที ประวิชตกใจที่เห็นว่าเป็นอนงค์
ประวิชตกใจ “อนงค์ คุณเองหรือ”
อนงค์ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วถอยหลังกรูด
“ขอโทษ อนงค์ ผมคิดว่าคุณเป็นปริศนา”
อนงค์ชอกช้ำใจอย่างยิ่ง เธอหันหลังจะวิ่งหนีแต่ประวิชดึงตัวไว้
“เดี๋ยวก่อน อนงค์ อย่าเพิ่งไป ผมขอโทษนะ โกรธหรือเปล่า”
อนงค์กลั้นน้ำตา
“คุณมาหาปริศนาไม่ใช่หรือ”
“มาหาปริศนา แต่ยังไม่พบเลย อนงค์ไม่ต้อนรับประวิชหรือ” ประวิชถามกลับ
อนงค์นิ่งคิดสักพัก “ปล่อยค่ะ ฉันจะขึ้นเรือน คุณมาหาปริศนา ก็รอไปก่อน แกออกไปข้างนอกกับคุณแม่ พาแม่ไปซื้อของ”
“ผมขอโทษ ลืมคิดไปจริงๆ” ประวิชเริ่มเขิน “ว่า” ประวิชคิดในใจว่าคุณเป็นพี่สาว
ของปริศนา “ว่าเอ้อ อาจจะเป็นคุณ”
อนงค์น้อยใจที่สุด “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
อนงค์ยังยืนเฉยอยู่เหมือนคนไม่มีแรงที่จะเดินออกไปจากตรงนั้น
“ไม่ได้พบคุณ เลย บังเอิญแท้ๆ ที่ได้รู้จักกับปริศนา เลยได้มาถึงบ้านของคุณ”
“ค่ะ”
อนงค์นึกได้ว่าเธอทำดอกไม้และมาลัยตกจึงเดินกลับมาเก็บ
“ตั้งใจจะมาชวนปริศนา ไปเล่นเทนนิสอีก ผมจะรอจนกว่าปริศนาจะกลับมาบ้านได้ไหม” ประวิชบอก
ประวิชช่วยอนงค์เก็บดอกไม้ มือทั้งสองกระทบกันเล็กน้อย อนงค์รู้สึกเหมือนแทบจะละลาย
“เชิญค่ะ” อนงค์บอก
ประวิชนั่งลงคุยกับอนงค์ที่โต๊ะสนามตัวนั้น
ท่านหญิงรัตนาวดีวิ่งออกมาหน้าตึกพอดีกับที่ท่านชายพจน์ขับรถเข้ามา ท่านชายพจน์เปิดประตูรถลงมา
“น้องหญิง จะไปไหนหรือคะ”
“หญิงจะไปกินน้ำชาค่ะ ท่านพี่จะไปกับหญิงไหม”
“กินน้ำชาที่ไหนหรือคะ ซุ่ยฮง หรือเปล่า”
สนเดินออกมาจากด้านในถือตะกร้าปิคนิคมาด้วย
“ไม่ใช่ซุ่ยฮงค่ะ ไปกินน้ำชาที่ริมน้ำกัน”
“เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะตามน้องหญิงไป นะค่ะ” ท่านชายพจน์บอก
กระเช้าปิคนิคถูกวางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างๆ ผ้าปูโต๊ะ โดยปูไว้ที่โต๊ะเล็กอีกตัวหนึ่ง ชุดน้ำชาจัดวางอยู่ มีโถแก้วใส่แซนวิชวางไว้กลางโต๊ะ หญิงรัตนาวดีจัดโน่นจัดนี่แล้วยังเอาดอกไม้มาวางไว้ประดับโต๊ะอีกด้วย
ท่านชายพจน์เดินเข้ามาโดยจูงนโปเลียนมาด้วย สนเดินตามมา ท่านชายพจน์เดินมาถึง หญิงรัตนาวดีทักทายนโปเลียนแล้วก็นั่งลงเห็นแซนวิช
“นี่น้องหญิงทำเองหรอคะ” ท่านชายพจน์ถาม
“หัดทำแซนวิชไข่ กับแซนวิชไก่ค่ะ พี่ชายลองชิมว่าอันไหนอร่อยกว่ากัน แซนวิชไก่ หญิงลองทำแตงกวาดองสดฝานใส่มาด้วยเพคะ”
“น่าทานจัง น้องหญิง”
ท่านชายพจน์รินน้ำชาให้หญิงรัตนาวดี
“วันนี้ทำไมกลับเร็ว นักล่ะคะ”
“โรงเรียนเตรียมจัดงานทำบุญพรุ่งนี้ เลยปล่อยนักเรียนกลับเร็วพวกประจำก็ออกเร็วเพคะ หญิงขำครูปริศนาจริงๆ”
“ครูปริศนา ปริศนาอีกแล้วหรือ” ท่านชายพจน์รู้สึกว่าหมู่นี้ได้ยินชื่อปริศนาบ่อยมาก
หญิงรัตนาวดีไม่เข้าใจ “ค่ะ เป็นครูใหม่ ไม่เหมือนครูเก่าๆคนอื่น พี่ชายจำเรียงความที่ให้ประวิชเขียนให้หญิงได้ไหมเพคะ”
“ค่ะ จำได้” ท่านชายพจน์ตอบ
“ครูไม่ได้ให้คะแนนหรอกเพคะ ครูว่ายังไงรู้ไหมคะ อยากให้เราฟัง พูด เขียน อังกฤษ เป็น เมื่อตั้งใจเขียนมาส่งทุกคนก็ดีแล้ว แปลว่าได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษแล้ว เรื่องถูกผิด เดี๋ยวมาดูกันตอนเรียนเรื่องไวยากรณ์”
“หญิงว่าครูคิดแปลกหรือคะ” ท่านชาบพจน์ถาม
“คิดไม่เหมือนครูคนอื่นๆเพคะ หญิงเลยชักไม่อยากจะกวนแกแล้ว”
ท่านชายพจน์มองน้องสาวด้วยความแปลกใจ
“น่ายินดี กับครูด้วยจริงๆ นะคะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีกินขนมและหัวเราะ
“หญิงว่า ถ้าพวกเราชวนแกทำอะไรแผลงๆ แกน่าจะแผลงกับพวกเราได้นะเพคะ”
หญิงรัตนาวดีหัวเราะชอบใจ
“ครูปริศนานี่น่ะหรือ”
ท่านชายพจน์นึกทึ่งปริศนา
“หญิงอยากชวนแกมาที่นี่บ้าง”
ท่านชายพจน์ทึ่งหนัก แต่ท่านหญิงรัตน์ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดแต่เรื่องซนอย่างเดียว
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ประวิชนั่งคุยอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
“วันนั้นที่มาส่งปริศนา เห็นค่ำแล้ว เลยไม่ได้แวะเข้ามากราบ ขอรับ”
“ได้ยินว่าเป็นประวิช ก็เบาใจ เพราะปริศนาเพิ่งกลับมา ไม่รู้จักใคร” สมรว่า
“คุณประวิช อยู่ที่วังท่านชายพจน์หรือ” สิรีบอก
“ขอรับ” ประวิชตอบรับ
“คุณเป็นญาติกับท่านหรือคะ” สิรีถาม
“จะว่ายังไงดี ผมไม่กล้านับญาติกับท่านหรอก เพียงแต่หม่อมแม่ท่านชาย เป็นพี่สาวของ คุณหญิงราชพรรลภ พ่อผมก็มีผมเป็นลูกชายคนเดียว ท่านชายเห็นว่า อยู่ที่บ้านจะไม่ได้เรียนเลยขอให้ท่านส่งเสียผมเรียน เรียนกลับมาแล้วก็ให้อาศัยอยู่กับท่าน”
“อย่างนั้น คุณก็เป็นน้อง ของคุณรตีนั่นน่ะสิ” ปริศนาบอก
“รตี ก็เป็นน้อง ท่านชายพจน์” สิรีถาม
“เป็นลูกพี่ลูกน้อง ดองกัน ทางแม่ยังไงล่ะ”
“แล้วเป็นคู่หมายกันได้หรือ”
“ได้สิลูก คนโบราณ เขาเชื่อเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์ คงจะหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก”
ปริศนาย่นจมูกอย่างไม่เห็นด้วย ส่วนอนงค์นั่งเงียบและก้มหน้าตลอด
“พรุ่งนี้ไปตีเทนนิสกันนะ ผมชวนรตีกับท่านชายพจน์เอาไว้แล้ว” ประวิชชวน
“โอ โน ไม่ ไม่ เออ คือปริศนาไม่ว่าง”
“แล้วว่างวันไหน ผมอยากตีเทนนิสกับปริศนาอีกจริงๆ ปริศนาเล่นเทนนิสเก่งมาก” ประวิชชมไม่หยุด
“ปริศนาคงเกรงใจ” สมรว่า
“ไปให้ครบคู่น่ะครับ ประวิชมารับที่บ้าน พาไปเล่น แล้วกลับมาส่ง” ประวิชบอก
“ไปเฮ้อ” สิรีพูด “เดี๋ยวเขาจะหาว่าเล่นตัว เสื้อผ้า จะไปเล่นเทนนิส เดี๋ยวพี่ช่วยตัดให้ สวยๆ” สิรีอยากให้ปริศนาไปเพื่อข่มรตีแทนเธอ
“แต่ปริศนาไม่ว่างเลย ตั้งวันพุธหน้า กว่าจะว่าง”
“พุธหน้าก็พุธหน้า บุ๊คไว้เลยนะ แล้วผมจะมารับ แต่พรุ่งนี้ ขอมากินข้าวด้วยอีกได้ไหม”
อนงค์สะดุด เธอเหลือบตามองประวิชแต่ไม่มีใครเห็น
“จะมาก็มาสิ” ปริศนาบอก
“เลี้ยงประวิชแค่ของว่างก็ได้ วันนี้รบกวนมากแล้ว เสียดายปริศนากลับบ้านเสียค่ำ เลยเจอกันประเดี๋ยวเดียว” ประวิชว่า
“พรุ่งนี้ต้องไปช่วยคุณป้าสงวนทำบุญแต่เช้า กับแม่”
“ตกลง ประวิช ลากลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้เลิกงานแล้วจะแวะมาหา”
ประวิชหันไปหยิบพวงมาลัยที่วางอยู่ในถาดใกล้ๆขึ้นมา
“พวงมาลัยนี่ประวิชขอนะ อนงค์ สวยมากจริงๆ”
ประวิชดมพวงมาลัย อนงค์ก้มหน้าเหมือนอายและคล้ายพยักหน้าอยู่ในที
“ขอบใจจริงๆ”
ประวิชเดินออกไป ปริศนาเดินตามไปส่ง
“ตกลง คุณประวิชยังไงนี่” สมรสงสัยว่าเขาชอบปริศนาหรืออนงค์กันแน่
“ได้ข่าวว่า แกก็รักผู้หญิงไปเรื่อยๆแหละค่ะแม่ แต่คุยด้วยสนุกดีระวังใจตัวเองไว้ ไม่ให้หลงใหล ไปจนเจ็บเองทีหลังก็แล้วกัน” สิรีบอก
ประโยคสุดท้ายของสิรี เธอก้มลงพูดกับอนงค์ที่ส่งสายตาเจ็บปวด อนงค์ก้มลงซ่อนสายตา
สมรกลุ้มใจจึงได้แต่หันไปกวักมือเรียกชุบให้มาช่วยเก็บโต๊ะ
ประวิชขับรถมาจอดที่เชิงบันไดหน้าวังศิลาขาว โดยไม่ลืมหยิบพวงมาลัยที่วางไว้หน้ารถมาอย่าง
ชื่นชม ก่อนจะเดินจะขึ้นตำหนัก
ท่านชายพจน์ปรีชาซึ่งเดินเล่นอยู่แถวนั้น เดินตามเข้ามา
“นั่นไปเสี่ยงพวงมาลัยที่ไหนมา”
ประวิชสะดุ้งนิดหนึ่ง “ฝ่าพระบาท เสด็จมาเงียบๆ”
“เดินเล่นอยู่นานแล้ว นายคงไม่ได้มอง”
ประวิชยิ้มเก้อๆ “ห่วงว่าพวงมาลัยจะเหี่ยวอยู่ในรถ เลยต้องเอาขึ้น ว่าจะไปวางไว้หัวนอน จะถวายพระ ก็ช้ำไปเสียแล้ว
“สาวคนไหนให้มาล่ะ” เจ้าของตำหนักถามล้อๆ
“อนงค์น่ะกระหม่อม”
ท่านชายขมวดคิ้วอย่างแปลกพระทัย แล้วเดินนำเข้าบ้านไป
ท่านชายพจน์ ปรีชา เดินเข้ามานั่งพักที่ริมระเบียง สนยกน้ำมาถวาย พร้อมผ้าเช็ดมือ ซึ่งเป็นผ้าขนหนูที่ชุบน้ำเย็นและมีกลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆ
ครู่หนึ่งประวิชก็เดินตามมาแบบอยากจะคุยด้วย
“ลืมไปทีเดียวว่าอนงค์เป็นพี่สาวของปริศนา ไปหาปริศนาที่บ้านวันนี้ เจออนงค์เข้าพอดี”
“แล้วเลยถ่านไฟเก่าคุ”
ประวิชส่ายหน้าอย่างเร็ว “กับอนงค์หรือกระหม่อม เห็นจะไม่ ได้รู้จักปริศนาแล้ว อนงค์จืดไปทีเดียว”
ท่านชายกระเซ้าต่อ “แต่เขายังร้อยมาลัยให้มา”
“มาลัยนี่ เขาร้อยตั้งแต่ก่อนกระหม่อมไปถึง ปริศนาออกไปข้างนอกกับแม่ อยู่แต่อนงค์ กระหม่อมเลยชวนเขาคุย รอปริศนากลับบ้าน แต่ฝีมือเขาสวยทีเดียว กระหม่อมเลยขอมา”
เจ้าของตำหนักเลิกคิ้วสูง เป็นเชิงว่าประวิชพูดง่ายเกินไปหรือไม่
“สรุปแม่ปริศนานั่น รับรักประวิชแล้วหรือ”
ประวิชทำหน้าเหนื่อยใจ
“โอย ถ้ามันง่ายอย่างนั้น กระหม่อมคงไม่เทียวไปเทียวมา จนมืดค่ำป่านนี้ ปริศนานี่เป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ เหมือนไม่สนใจเลยว่าใครจะรักจะหลงยังไง อย่างนี้แหละ ท้าทายดี ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งมีความมั่นใจสูง ราวกับผู้ชาย คงเป็นคู่ชีวิต คู่คิดของเราได้อย่างดี”
“วาดหวังไกลถึงเพียงนั้นเชียว?”
ประวิชรับคำ “ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยคิดอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยขอรับ กระหม่อมตกเป็นทาสรักของปริศนาไปแล้วเป็นแน่”
ท่านชายผู้สูงศักดิ์ถามต่อทันที “รักของนาย เป็นรักที่สมหวัง หรือสิ้นหวัง”
“ยังไม่เป็นทั้ง 2 อย่างนั้น แต่เป็นรักที่มีหวัง กระหม่อม พุธหน้า กระหม่อมชวนปริศนาไปตีเทนนิส
ท่านชายเด็จด้วยนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะได้ชวนรตีด้วยครบคู่กัน”
“ นัดเขาไปแล้ว รู้ได้ยังไงว่าฉันจะว่าง”
“หากว่าง ก็เสด็จสิขอรับ กระหม่อมจองคอร์ทไว้แล้ว”
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่วงหน้าของท่านชายพจน์ ปรีชา
“คงต้องพยายามให้ว่างเสียแล้ว จะได้ไปเล่นเทนนิสกับคุณปริศนา ดาวเด่น ของยุค”
ประวิชหัวเราะ ด้วยนึกว่าอีกฝ่ายกระเซ้าเล่น
“งั้นพุธหน้านะกระหม่อม วางแผนให้เป็นมั่นเหมาะเลยน่ะขอรับ”
ขณะที่นงลักษณ์กำลังเอาลูกไม้ติดเสื้อที่กลัดกับหุ่นผ้า ส่วนสิรีกำลังวางแพทเทิร์นตัดอีกตัวหนึ่ง
รตีก็เปิดประตูร้าน ก้าวฉับๆเข้ามา ทั้งคู่รีบเงยหน้าขึ้นดู
“คุณรตี จะมาตัดเสื้อใหม่หรือคะ” นงลักษณ์เอ่ยทัก
“ต้องรีบหน่อยนะ จะต้องใช้วันพุธที่จะถึงนี่ จะมาลองสักวันเสาร์ได้ไหม”
สิรีเหลือบตามองรตี แต่มือยังทำงานไม่หยุด นงลักษณ์มองดูผ้าแล้วนึกสงสัย
“ตัดอะไรคะ ผ้าขาวอย่างนี้”
“เสื้อกับกางเกงเทนนิส”
สิรีได้ยิน ก็เหลือบมองรตีเต็มตา
“อยากได้แบบกางเกงขาสั้น อย่างของ Alice Marble ไอ้พวกกระโปรงยาว รุ่มร่ามเต็มที”
“ขาสั้น อยู่ชั้นในของกระโปรงก็ดีนะคะ” นงลักษณ์ออกความเห็น
“ไม่เอา รำคาญ อยากใส่เป็นกางเกง ตัดกางเกงมาสัก 2 ตัว เสื้อยืดสีขาวมีแล้ว ต้องดูให้ใส่สบายด้วยนะ นงลักษณ์”
“ ค่ะ ลองวัดความยาวกางเกงไหมคะ ว่าต้องการยาวสักแค่ไหน”
นงลักษณ์รีบหยิบสายวัดมาวัดตัวรตี สิรีมองตามอย่างครุ่นคิด
ปริศนาเลิกจากสอนหนังสือ และรับสิรีกลับบ้านมาพร้อมกัน พี่สาวคนรองถือห่อผ้าตามน้องสาวคนเล็กขึ้นมาบนบ้าน ขณะที่อนงค์กับสมรและจำเนียรกำลังตั้งของว่างอยู่ที่โต๊ะ
สิรีหันมาบอกน้องสาว “ปริศนาดูผ้าก่อนสิ พี่อุตส่าห์หาไว้ให้”
“โธ่ อย่าวุ่นวายเลยสิรี กางเกง เสื้ออะไรก็มีหมดแล้ว”
“แล้วมันเก่าไหม ซ้ำไหม” พี่สาวย้อนถาม
“ซ้ำแล้วเป็นยังไง ใส่ได้ ไม่ขาดนี่”
“ใส่แต่ซ้ำๆ ให้คนดูถูกเหรอ”
ปริศนามองหน้าพี่สาวอย่างสงสัย “สิรี เป็นอะไรไปน่ะ”
สมรเดินเข้ามาใกล้ๆ “เป็นอะไรกัน สิรี ปริศนา เสียงดัง”
ปริศนารีบหันมาฟ้อง
“แม่คะ สิรีน่ะสิ จัดแจงเสร็จเลย ซื้อผ้ามา บอกว่าจะตัดชุดเทนนิสให้ปริศนาใหม่ ปริศนาไม่อยากได้นี่คะ”
สมรหันไปมองเป็นเชิงถาม สิรีรีบบอก
“พูดกันไม่เข้าใจ”
ปริศนาวิ่งไปเกาะแขนสมร “สิรีจะบังคับให้ปริศนาตัดชุดเทนนิสใหม่”
สมรมองลูกสาวคนรองแบบงงๆ
“อ้าว พอๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน มากินของว่างกันก่อนมา”
2 พี่น้องเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ต่างคนต่างยังคงวางเชิงกันอยู่
“อย่าโง่นักเลย ปริศนา อาทิตย์หน้าจะไปตีเทนนิสกับคุณประวิช”
อนงค์ที่จัดของอยู่เหลือบตามอง หัวใจกระตุกขึ้นมานิดหนึ่ง
สิรีพูดต่อ “ยายรตีจะไปด้วย แม่นั่นขนผ้าไปตัดชุดใหม่อีกตั้ง 3 ชุด รู้ไหม”
ปริศนายักไหล่อย่างไม่สนใจ
“ไม่รู้ ตัดก็ตัดไปซี ทำไมต้องมาเกณฑ์ให้ปริศนาตัดด้วย”
สิรีทำหน้าสิ้นหวังกับความซื่อและไม่เข้าใจโลกของปริศนา
“เขากะจะข่มตัวน่ะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า”
ปริศนารับจานขนมจากอนงค์แล้วนั่งลงอย่างไม่สนใจ
“เขาข่มทุกคนนั่นแหละ พูดอีกทีคือเขาต้องเด่น ก็ช่างเขาสิ รำคาญมากปริศนาก็กลับ ไม่เล่นกับเขาก็ได้”
สิรีส่ายหน้าอย่างระอา
“จะหนีไปได้ยังไงปริศนา นี่ไม่ใช่ในเรือแล้ว ต้องอยู่ในกรุงกัน ไปที่ไหนก็ต้องเจอ เจอที่ไหน เขาก็จะเที่ยวข่มไปทั่ว พี่ไม่ชอบ ปริศนาจะไปเจอเขา ก็ต้องสู้เขาให้ได้ อย่ายอมแพ้”
“แต่งตัวสู้น่ะเหรอ สู้ไปทำไม”
อนงค์ชิงตอบแทน “สู้ไม่ให้เขาข่มได้ยังไง ปริศนา”
สิรีพยักหน้ารับ “ใช่ ไม่งั้นเคยตัว คอยแต่จะข่มเรา”
ปริศนามองหน้าอนงค์ “อนงค์ ก็จะสู้ด้วยเหรอ”
สมรมองหน้าบุตรีคนสุดท้อง “ปริศนาเอง ก็สู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ยกเว้นแข่งแต่งตัวให้ผู้ชายดู” ปริศนาสวนต่อ
สิรีทำหน้าเอือม
“โอ๊ย อีตาประวิชนั่น ไม่ต้องให้ดูอะไรหรอก พี่หมายถึงคนทั่วไป คนที่ไปสปอร์ตคลับ คนที่จะพูดกันอื้ออึงไปในสังคม ทำไมรตีเขาต้องแต่งตัว ก็เพราะเขาจะได้ควงท่านชายไปตีเทนนิส เขาต้องการให้คนอื่นๆ เห็นเขาว่าเด่น ปริศนาต้องไม่ยอม อย่าให้เสียชื่อสุทธากุล พี่ตัดชุดให้ ออกค่าผ้าให้ ขออย่างเดียวให้ปริศนาใส่ไป นี่ถ้ารู้ว่าไปเจอรตีที่งานไหนนะ ต้องจัดหาชุดงามๆ ใส่ไปนะ สัญญากับพี่”
อนงค์มองปริศนาพลางช่วยพูดยืนยัน “สิรีพูดถูกนะปริศนา”
สมรช่วยพูดด้วยอีกแรง
“แต่งให้ดีไว้ ดีกว่ากะโปโล สิรีอยากช่วยถึงแค่นี้แล้ว รับพี่เขาไว้หน่อยเถอะ”
ปริศนาถอนใจ อย่างเสียไม่ได้ พลางจิ้มขนมใส่ปาก
“โอเค”
สิรียิ้มโล่งอก รีบเลื่อนเก้าอี้นั่งลงกินขนมกับปริศนา
รตีหอบข้าวของเข้ามาในห้อง เห็นคุณหญิงชื่นผู้เป็นมารดานั่งหน้าเชิดอยู่ สีหน้าฉายแววความโกรธเกรี้ยวอยู่เต็ม
“คุณแม่อยู่นี่เอง แม่พวกสาวใช้หายไปไหนกันหมดคะแม่ นี่รตี ต้องหอบเสื้อผ้าตัดใหม่ขึ้นมาเอง จะได้รีดก่อนใส่เย็นนี้ไหม”
ชื่นถอนหายใจ “มีเรื่องนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรคะ”
จังหวะนั้น แหวนมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้องพอดี ชื่นหันไปเห็นพอดี จึงพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“เข้ามาสิ แม่แหวน”
แหวนค่อยๆ เดินตัวลีบเข้ามา บรรยากาศภายนอกเงียบกริบ รตีกำลังจะเดินออกไป แต่ด้วยอารามอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนอยู่ใกล้ๆ ในลักษณะค้ำหัวแหวน ที่นั่งลงกับพื้น แต่แหวนก็ไว้ตัวแสดงให้เห็นว่าต่างจากคนใช้ทั่วไป
รตีพูดทำลายความเงียบขึ้นมา “ทำเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“อิฉันก็ไม่ทราบ คุณหญิงให้คนไปตาม”
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 2 (ต่อ)
คุณหญิงชื่นทำเสียงเอ็ดเอาว่า
“บอกแล้วใช่ไหม เวลาแขกเหรื่อมา ไม่ต้องไปยืนลอยหน้าอยู่หน้าบ้าน”
“ใครหรือคะ คุณแม่”
“นัง วิมล”
แหวนตกใจ “วิมลทำอะไรหรือคะ กลับไปที่เรือน ก็ไม่เห็นว่าอะไร”
“ดี ลูกแกแต่ละคน ไม่พูดกับแม่ แต่เสนอหน้าไปพูดกับคุณหญิงโฉมศรี”
“คุณหญิงโฉมศรี มาที่นี่หรือคะ” รตีย้อนถามมารดา
“เพิ่งกลับไปก่อนรตีมา แกจะมาชวนรตีไปงานเต้นรำ”
รตีหันมามองแหวนแบบเหยียดๆ “แล้วนังวิมลมาเกี่ยวอะไรด้วย”
ชื่นจ้องหน้าแหวนตาดุ
“เห็นรถเข้ามาในบ้าน มันก็ไปยืนเสนอหน้าอยู่หน้าบ้าน คงจะคอยดูว่าเป็นผู้ชายหรือเปล่า”
แหวนทำสีหน้าเจ็บปวด ชื่นพูดต่อ
“แต่กลายเป็นคุณหญิงโฉมศรี ฉันก็ไม่รู้ว่ามันมายาอะไรเสียจนพอขึ้นมาหาฉัน คุณหญิงโฉมศรี ถึงคิดจะชวนมันไปงานเต้นรำด้วย หรือเที่ยวไปบอกว่าเป็นลูกพระยาราชพัลลภ”
“อีกคนแล้วหรือคะ ยังไม่ทันจะเป็นสาว ก็เป็นถึงเพียงนี้แล้วหรือ เลี้ยงลูกดีจริงๆ”
แหวนรีบก้มกราบชื่น “อิฉันต้องขอโทษ หากมีเรื่องราวให้คุณหญิงขุ่นเคือง จะไปกำชับวิมล ไม่ให้วุ่นวายกับแขกเหรื่อที่มาอีกเจ้าค่ะ”
รตีมองเหยียด “ให้มันเว้นซะบ้างเถอะ กี่คนกี่คน ก็จะตีชิงไปให้หมดเลยนะ คุณพ่อจะรู้บ้างไหม ว่าเลี้ยงเอาไว้ มันเสียข้าวสุกแค่ไหน”
แหวนนึกไม่พอใจรตี แต่ไม่กล้าแสดงออก
“อิฉันลงไปก่อนนะคะ จะรีบไปอบรมวิมล”
ชื่นสะบัดหน้าพรืด รตีมองค้อน ก่อนจะกำชับทิ้งท้าย
“อย่าให้เกิดเรื่องซ้ำอีก ฉันไม่ยอมแน่”
แหวนถอยออกไปเงียบๆ อย่างยอมจำนน ชื่นมองตามอย่างขัดใจ
“มันไปพูดอะไรเข้า คุณหญิงโฉมศรีถึงกับจะให้มันเป็นเดบูตอง”
“อะไรนะคะ นังเด็กวิมลเนี่ยนะหรอ จะเป็นเดบูตอง”
รตีตกใจ
ประวิชนั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้สนามตัวหนึ่งภายในบ้าน ครู่หนึ่งแหวนก็เดินออกมาจากทางเรือนใหญ่ พร้อมกับยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมา
“แม่”
แหวนสะดุ้งที่เห็นลูกชาย รีบพยายามปาดน้ำตา
“มีเรื่องอะไรกันหรือ เห็นบ่าวมันบอก คุณหญิงให้มาตามแม่ขึ้นไป ถามก็ไม่ตอบว่าเรื่องอะไร แต่หน้าตาพวกมันมีนัยกันหมด”
แหวนรีบตอบเลี่ยงๆ “ไม่มีอะไรหรอกประวิช ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา มันอยู่ยากขึ้นทุกทีนะลูก”
ประวิชถามย้ำอย่างเป็นงานเป็นการ “แม่ บอกมาให้หมดทีรึ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกัน”
แหวนร้องไห้สะอึกสะอื้น
รตีก็เดินนำประวิชเข้ามาในคอร์ทเทนนิส หล่อนแต่งกายด้วยชุดเทนนิสสวยงาม ปริศนาที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หันมามอง พลางส่งยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
ประวิชรีบตามเข้ามาแนะนำ “คุณรตีครับ พี่สาวของผม”
รตีมองอย่างเหยียดๆ “เราเคยพบกันแล้วค่ะ”
ประวิชหน้าตาเคร่งเครียด เพราะกังวลเรื่องแม่อยู่ “รอท่านชาย สักครู่นะ ท่านเพิ่งเด็จมาถึง
ตอนพี่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว”
พนักงานเสริฟเดินถือถาดใหญ่ มีน้ำมะนาว และชาร้อนเข้ามาวางที่โต๊ะริมสนาม รตีหันมาย้ำกับน้องชายต่างมารดา
“ประวิช ต้องชวนท่านให้เด็จมาบ่อยๆ นะ ทรงงานหนักเหลือเกิน จะไม่ได้พักผ่อน จะเด็จมาทุกวันได้ไหม”
“เป็นทุกวันเห็นจะไม่ไหวหรอกรตี คนป่วยกำหนดเวลาไม่ได้ มาถึงท่านแล้วก็คืออาการหนัก ต้องไปผ่าในทันที”
รตีลงนั่งกรีดนิ้วรินน้ำชา ปริศนาคว้าแก้วน้ำมะนาวเย็นมาดูด ก่อนจะหันมาทางประวิช
“ประวิช เราตีกันไปพลางๆ ก่อนไหม”
“เอาสิ ปริศนา”
ทั้งคู่เดินไปตีเทนนิสกันที่คอร์ท รตีมองตามเหยียดๆ
อีกด้านหนึ่ง ท่านชายพจน์ ปรีชา ที่แต่งกายด้วยชุดเทนนิสเรียบร้อยแล้ว กำลังส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะก้มลงหยิบไม้เทนนิสที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา แล้วเดินออกไปจากห้องแต่งตัว
ฟากปริศนาก็กำลังตีเทนนิสอยู่กับประวิช ที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ ท่านชายพจน์ปรีชาเดินเข้ามายืนมอง สายตามีแววชื่นชมปริศนาอย่างเห็นได้ชัด
รตีรีบลุกจากโต๊ะปรี่เข้ามาเมื่อมองเห็น
“ท่านชายเด็จแล้ว รตีจะสั่งน้ำให้ใหม่นะเพคะ ชาที่เตรียมไว้ เย็นเสียหมดแล้ว”
“ยังไม่ต้องหรอกรตี ยังไม่หิวน้ำ”
ประวิชทำลูกเสีย เลยยกมือขอเลิก แล้วเรียกปริศนาให้ออกมาตรงที่พัก ท่านชายแห่งวังศิลาขาว เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“อ้าว เลิกตีทำไมล่ะ ประวิช เห็นตีเข้าขากันดีจริง”
ประวิชไม่ตอบ หากรีบแนะนำ
“ปริศนาพระเจ้าค่ะ”
ปริศนายกมือไหว้อย่างสุภาพ
“จะได้เล่นคู่ ยังไงล่ะ เพคะ”
ท่านชายพจน์หันไปกระเซ้าประวิช
“วันนี้ประวิช ไม่ค่อยมีสมาธิเลย หรือว่าออมมือให้”
“ปริศนา ตีเก่งจะตาย วันนี้ต้องให้รตี คู่กับฝ่าพระบาท กระหม่อมคู่กับปริศนา”
“เรื้อมานานทีเดียว”
รตีได้ที รีบบอก “มีเพื่อนมาเล่นด้วยแล้ว เสด็จมาบ่อยๆ สิเพคะ”
ท่านชายพจน์ปรีชาส่งไม้ให้ รตีช้อนตาหวานให้ แล้วรับไม้มาถือแบบกอดไว้
ปริศนาเหลือบมองรตีอย่างหมั่นไส้ ค่าที่หล่อนหยอดเสน่ห์ไม่หยุดหย่อน
ท่านชายพจน์ปรีชาเสิร์ฟเทนนิส ด้วยท่าที่งดงาม ปริศนารับได้ แล้วตีมาใส่ทางรตี
รตียังรับได้ แล้วตีกลับไปทางประวิช อีกฝ่ายตีกลับ คราวนี้รตีรับพลาด
ท่านชายพจน์ปรีชาส่งลูกให้ปริศนาเสิร์ฟ เธอเสิร์ฟ ไปทางท่านชาย ที่รับไว้แล้วตีโต้กลับมา ปริศนารับได้อย่างแม่นยำ แล้วตีใส่รตี ที่รับพลาดอีกฃ
“ท่านชายพจน์ปรีชาพุดกับปริศนา “ฝีมือเธอนี่ไม่เลวนะ”
รตีเหล่มองอย่างไม่พอใจ เมื่อได้จังหวะที่เดินไปเก็บลูกพร้อมท่านชาย ก็ทำเป็นมือไปแตะกัน พร้อมกับชะม้ายตาใส่แล้วรับลูกมา ทำเหมือนจะโยนให้ แต่แล้วกลับขว้างใส่ปริศนา แต่ฝ่ายหลังกระโดดหลบ และเอา
แร็กเก็ตหยุดลูกไว้ได้ทัน
ปริศนารู้ทันรตีแต่แกล้งทำเป็นยิ้มแย้มต่อหน้าคนอื่น
ที่ระเบียงสวยๆ ณ ตำหนักศิลาขาว
ท่านชายพจน์ปรีชาที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอยู่ มีถ้วยใส่น้ำชาวางอยู่บนโต๊ะ ครู่หนึ่งประวิชก็เดินเข้ามา
“ฝ่าพระบาท ประทับอยู่นี่เอง”
“รอกินข้าวไง จะกินกันหรือยัง”
“เห็นสนกำลังจัดโต๊ะอยู่ กระหม่อม”
ท่านชายหันมาบอก “ความจริงกินเสียที่คลับก็ได้ หรือจะพาไปเยาวราชก็ได้”
“จะดึกนัก กระหม่อมมีเรื่องจะทูลฝ่าพระบาท”
“เรื่องอะไร เรื่องที่บ้านอย่างนั้นรึ ไปบ้านทีไร ก็มีเรื่องกลับมาทุกที”
“วันนี้เจอเข้าจังๆ พระเจ้าค่ะ”
เจ้าของวังศิลาขาวย้อนถาม ”เรื่องของใคร”
“วิมลพระเจ้าค่ะ”
ท่านชายพับหนังสือพิมพ์ทันที ประวิชพูดต่อ
“หากทรงจำได้ เมื่อ 3 ปีก่อน ที่นายประเสริฐมาติดพันคุณรตี ไปมาหาสู่ที่บ้านบ่อยๆ แต่กลับมาขอนฤมลแต่งงาน คุณรตี ไม่ได้รักใคร่อะไรนายประเสริฐ แต่ก็เสียหน้ามากที่เกิดเรื่องเช่นนั้น อาละวาดเสียหนัก เคราะห์ดีที่ได้ไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์เสียก่อนงานแต่งงาน”
“แล้วเรื่องวิมล ยังเด็กอยู่มากนะ ดูเหมือนจะแก่กว่าหญิงรัตฯ เพียงปีกว่าๆ”
ประวิชอธิบายต่อ
“เรื่องของเรื่องคือคุณหญิงโฉมศรีมาเยี่ยมคุณหญิงชื่น เห็นวิมลเข้า ก็เอ่ยปากชวนวิมลไปร่วมงานเป็นเดบูตอง แม่โดนเรียกไปต่อว่าจนน้ำตาร่วงทีเดียว นฤมลรู้ข่าวเลยว่าจะรับแม่ไปอยู่ด้วย”
“แล้ววิมลล่ะ ยังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“กระหม่อมเลยต้องทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ วิมลยังเรียนอยู่ แล้วก็เรียนห้องเดียวกับท่านหญิงฯ หากได้ย้ายมาอยู่เสียที่นี่ด้วยกัน จนกระทั่งเรียนจบ ก็คงจะเป็นการดี”
ผู้ศักดิ์สูงกว่ารีบบอกอย่างเมตตา
“ฉันไม่มีอะไรขัดข้อง แต่ว่านายปรึกษาท่านเจ้าคุณหรือยัง”
“คงจะไม่ต้องปรึกษาอะไรกระหม่อม เจ้าคุณพ่อก็คงตามคุณหญิงท่าน แต่หากออกจากบ้านแล้ว ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายอะไร คงจะไม่จ่ายให้”
ท่านชายพจน์เข้าใจในทันที
“หากกระหม่อม จะขอประทานในส่วนนี้ให้วิมลด้วย”
“ได้ ประวิช บอกป้าสร้อยเลยว่าจะพาวิมลมาวันไหน”
ประวิช ก้มลงจะกราบบาท แต่ท่านชาย ดึงตัวไว้
“ไปกินข้าวกันเถอะประวิช ขอให้นายเป็นคนดี ให้เห็นว่าเงินที่ให้ไปคุ้มค่ากับการสร้างคนดีๆ ให้ประเทศชาติ ฉันก็พอใจแล้ว นายควรกำชับ สั่งสอนวิมลในข้อนี้ด้วย”
“ขอรับกระหม่อม”
ประวิชรับคำอย่างนอบน้อม
ปริศนานั่งเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ และเริ่มหวีผมอยู่ที่หน้ากระจกในห้องนอน อนงค์แต่งชุดนอนเรียบร้อยแล้ว หันมาถาม
“เป็นอย่างไรบ้าง ไปตีเทนนิสวันนี้ ชุดที่สิรีตัดให้ ใช้ได้ไหม”
ปริศนาพยักหน้า “ปริศนาไม่เคยคิดอะไรอย่างที่สิรีคิดเลยนะ แต่ยายรตีนี่ เหลือเกินจริงๆ”
“เขาทำอะไรหรือ” รตีย้อนถามน้องสาว
ปริศนากลอกตาเหมือนเตือนความจำตัวเอง
“นอกจากจะทำท่าท่านชายเพคะ อย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ยังไม่มีมารยาท เอาลูกเทนนิส มาขว้างใส่ปริศนาอีกด้วยนะ”
“เป็นพี่นะ จะเลี่ยงให้ไกลๆ เลยคนแบบนี้”
ปริศนานิ่งคิด “แต่บางทีก็สนุกนะ อนงค์ แกทำท่ารังเกียจเราออกปานนั้น แค่เห็นเรา แกก็ทุกข์เสียแล้ว การทำให้แกทุกข์ช่างง่ายเสียจริงๆ”
พูดแล้วก็หัวเราะขำเสียเอง
“พี่ไม่ชอบเลยจริงๆ ปริศนา”
“ปริศนาตัดสินใจแล้ว ปริศนาจะไม่กลัวคนคนนี้เด็ดขาด”
“แต่เขาเป็นพี่สาวของคุณประวิชนะ”
ปริศนายักไหล่ “ก็ช่างเขาสิ”
พลางหัวเราะขบขันอย่างนึกสนุก ตรงข้ามกับอนงค์ที่ทำท่ากลุ้มใจ
ประวิชขับรถเข้ามาจอดแล้วเดินเข้ามาที่หน้าบ้าน ปริศนาที่แต่งชุดจะออกไปเดินเล่น เลยยืนคอยอยู่หน้าบันไดนั่น
“ประวิช มาทุกวันเลยนะ”
ประวิชรีบบอก
“ก็มาหาปริศนายังไงล่ะ”
อนงค์ได้ยินเสียงรถ ก็ออกมายืนดู พอได้ยินคำพูดของประวิช ก็ยืนเจ็บปวดอยู่คนเดียวเงียบๆ
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ ประวิช ที่บ้านกำลังจะกินของว่าง แต่ปริศนาว่าจะออกไปเดินเล่นประเดี๋ยว”
อนงค์ค่อยๆ เดินถอยออกไป ขณะที่ประวิชกระตือรือล้นขึ้นมาทันที
“ไปเดินเล่นด้วยกัน ประวิชไปเป็นเพื่อน”
“เราไม่ควรให้แขกหิว ไปกินของว่างกันก่อนนะ ประวิช”
ปริศนาพูดพลางรีบพาประวิชเข้าไปด้านใน
สมร และสิรี นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ส่วนอนงค์ยืนอยู่ข้างๆ เพราะเพิ่งเดินกลับเข้ามาในห้อง ปริศนารีบบอกกับมารดา
“แม่คะ ประวิชมา”
สิรีหันมาถาม “จะไปตีเทนนิสกันอีกหรือเปล่าคะ”
“วันนี้ไม่ตีครับ วันพุธค่อยไปตี นะปริศนานะ”
สมรรีบเชื้อเชิญ “เชิญรับประทานของว่างด้วยกันค่ะ คุณประวิช”
ประวิชรีบนั่งลง อนงค์นั่งลงตาม ส่วนปริศนายังยืนอยู่
“นั่งลงสิ กินด้วยกัน”
ประวิชพูดชวน ปริศนาส่ายหน้า
“เดี๋ยวไปเดินก็ปวดท้องอีก”
“กินนิดๆ หน่อยๆ แล้วเดินช้าๆ ไปวิ่งก็ปวดท้องสิ นั่งลง”
“หรือจะเป็นไส้ตัน” ปริศนาพูดติดตลก
“เป็นไส้ตันจริงๆ ประวิชจะพาไปให้ท่านชายผ่าตัดให้”
“กลัว ไม่เอา ผ่าท้องนี่ มีคนตายไหม”
“ยังไม่เห็นที่ตายเพราะผ่าสักราย มีรายนึง ท่านชายผ่าให้ หายป่วยไปแล้ว แล้วอีก 2 เดือนไปตายเพราะโรคอื่น ลูกเมียมาร้องไห้กับท่าน ท่านยังให้เงินช่วยเหลือไปตั้งมาก”
“ท่านชายของประวิชนี่ ร่ำรวยมากนักหรือ”
ประวิชพยักหน้ารับ “สมบัติเก่าท่านเยอะ เสด็จพ่อของท่านมีลูกเพียง 2 คน ท่านชายกับท่านหญิง ท่านชายไปเรียนเมืองนอก ก็ได้ทุนหลวง กลับมาก็ทำงานเลย ท่านไม่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือย นอกเสียจากดูแลใครๆ แล้วท่านก็ดูแลเงินของท่านเองอย่างรอบคอบ”
ปริศนารีบถามต่อ
“แล้วทำไม ประวิชถึงต้องมาอยู่กับท่าน ในเมื่อเป็นน้องยายรตี”
สมรรีบกระแอมเตือน “ปริศนา เรื่องส่วนตัวของคุณประวิชเขาน่ะลูก”
ประวิชรีบอธิบาย
“ก็อย่างที่รู้กัน แม่รตีเขาเป็นคุณหญิงไง เป็นน้องแท้ๆ ของหม่อมแม่ท่านชาย แต่อยู่กับผู้หญิงมากๆที่บ้านมันเป็นเรื่องวุ่นวาย ผมเลยมาขออยู่กับท่านชายที่วังศิลาขาว ท่านก็ให้อยู่ แล้วก็เลี้ยงดู ไม่ขาดแคลน”
“แปลกมาก ไม่เคยพบเคยเห็น อยู่ดีๆ จะมาเลี้ยงกันง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือ”
สมรเตือนซ้ำ “จุ๊... จุ๊ ปริศนา”
“ปริศนาไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะแม่ เขาไม่ได้ adopt นาย เป็นลูกไม่ใช่หรือ”
ประวิชรีบบอก “บ้าหรือ ท่านพระทัยดีต่างหาก พอช่วยได้ ก็ช่วย แต่คอยกำกับอยู่เหมือนกัน รู้ว่าไปเหลวไหลที่ไหน จะต้องมาเตือน เงินทอง ท่านก็ช่วยมาเป็นรายเดือน เราต้องจัดระเบียบใช้ของเราเองเหมือนกัน”
สิรีที่นั่งฟังอยู่นาน พูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าท่านชายทรงแต่งงานกับรตี รตีก็คงเข้าไปจัดแทนทั้งหมดล่ะสิคะ”
ประวิชคิดหนัก “เห็นท่าจะไม่หรอกครับ ท่านชายไม่ใช่คนที่จะต้องกลัวผู้หญิงถึงขนาดนั้น”
“ถ้าคุณรตีเขาเข้าไปจัดการหมด น่ากลัวว่าประวิชจะเดือดร้อนกว่าใคร”
ปริศนาหัวเราะขำ พลอยให้ประวิชหัวเราะตามแบบเครียดๆ
ปริศนาเดินนำประวิช มาตามท้องนา ขณะเดินข้ามน้ำ ซึ่งเป็นไม้พาดท้องร่อง ฝ่ายหลังก็แทบตกจนเธอต้องยื่นมือมาให้จับ
ประวิช กลัวจนเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องทำกล้าตามปริศนาไป
ทางด้านอนงค์ ก็ช่วยเก็บจานชามใส่ถาดให้จำเนียรยกไปทำความสะอาด สมรลุกขึ้นเดินไปนั่งสบายๆ
“ประวิชนี่มาทุกวัน น่ากลัวว่าจะมาลงเอยที่ปริศนาแล้วมัง”
สิรีรีบแย้ง “แม่คะ เร็วเกินไปที่จะพูด เท่าที่ได้ยินมา นายประวิชนี่ แกทุ่มเทรักผู้หญิงทุกคนค่ะ พอเลิกรัก ก็หายไปไม่กลับมาเลย”
“แม่ว่าลูกของแม่ก็มีดีนะ”
อนงค์รีบเมินหน้าไปทางอื่น ดวงตาฉายแววเจ็บช้ำ
“แต่สิรีสงสัยว่านายประวิชนั่นจะดีพอสำหรับลูกแม่หรือเปล่าล่ะคะ แกเป็นประเภทรักเหลือเฟือ คบเป็นเพื่อนสนุกๆ เห็นจะพอ จะได้ไม่เจ็บ”
สมรรีบปราม “ถ้าเขารักกันจริง สิรีจะไปกะเกณฑ์ความรักของเขาได้อย่างไร”
“สิรีไม่ได้กะเกณฑ์ค่ะ เพียงแต่ได้ยินชื่อเสียงนายประวิชนี่มากมายมาแล้ว อนงค์เอง ก็ควรจะเตือนน้องด้วยเหมือนกัน”
อนงค์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง
ปริศนาเดินนำประวิชมาถึงกระท่อมแห่งหนึ่ง ขณะที่ลุงคำนั่งจักหวายเพื่อสานสุ่มไก่อยู่ บนแคร่ไม้ไผ่ใกล้ๆ มีผลไม้วางอยู่
ลูกสุนัขถูกสุ่มไก่อีกอันครอบอยู่ ในสุ่มมีดินเผา รองกระถาง ใส่น้ำสะอาดไว้
ปริศนาเดินเข้ามายกมือไหว้ผู้สูงวัย
“ลุงคะ เป็นยังไงบ้าง”
“ไอ้เจ้าตัวเล็ก มันร้องเสียงดังมาก ลุงกลัวว่ากลางคืน งูเงี้ยวมันจะมากินไป”
ปริศนาเปิดสุ่มไก่แล้วอุ้มลูกสุนัขขึ้นมา ประวิชทำหน้างง
“อะไรกันเนี่ยปริศนา”
“อ้ายตัวเล็กยังไงล่ะ ประวิช แม่มันถูกรถทับตายเมื่อวันก่อน ลูกๆ ก็ให้ใครเขาช่วยเอาไปเลี้ยงกัน เหลือเจ้าตัวนี้ ปริศนา จะเอาไปเลี้ยง แต่เอาไปบ้านแล้ว แม่ไม่ยอมให้เข้าบ้าน มันซน ร้องเสียงดัง อย่างที่ลุงบอก
นั่นแหละ”
“ตายล่ะปริศนาจะเลี้ยงหมารึ”
ปริศนาพยักหน้า “เมื่อวานอุ้มไปที่บ้านแล้ว แต่แม่ไม่ยอมให้เลี้ยงเลยต้องเอากลับมาฝากเลี้ยงไว้ที่นี่”
“จะเอาไปเลี้ยงได้ยังไง ยังไม่ได้ฝึกได้หัดให้รู้ภาษาเลย”
ปริศนามองประวิชอย่างขอความช่วยเหลือ พร้อมกับที่ลุงคำรีบบอก
“ผมก็เลี้ยงมันไม่ไหวเหมือนกันครับ ถ้าไม่จับใส่สุ่มไว้ มันก็จะเที่ยวไปวิ่งเล่น จะหายไปอีก คุณหนูก็จะมาต่อว่าผม”
“ทำยังไงดีล่ะ ประวิช”
“เอาอย่างนี้ ผมเอาไปเลี้ยงให้ ให้มันรู้เรื่องหน่อย แล้วค่อยเอามาคืน เอาไหม เดี๋ยวไปหากรงใส่มัน เอาฝากป้าสร้อยไว้”
ปริศนายิ้มดีใจ “ประวิชใจดีจัง ปริศนา Happy แต่เกรงใจจัง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่ตำหนักศิลาขาว ก็เลี้ยงหมาอย่างนี้ไว้หลายตัวเหมือนกัน แต่เจ้านโปเลียนของท่านชาย ก็อยู่ต่างหาก ไม่เกี่ยวข้องกัน”
“ถ้ามันพอจะรู้เรื่อง ประวิช เอามาคืนให้ปริศนานะ แล้วอย่าบอกใครว่านะ ว่าปริศนาฝากประวิชเลี้ยง Deal”
ปริศนาพูดพลางรีบยืนนิ้วก้อยมา ประวิชรีบยืนมือมาเกี่ยวก้อย
“ตกลง กลับกันเถอะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน ขอบคุณลุงมากนะครับ ที่ช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี้ให้ปริศนา”
ประวิชและปริศนา ยกมือไหว้ลุงคำ
“เอาไปเลี้ยงให้ดีก็แล้วกัน คุณ”
ปริศนารีบอุ้มลูกสุนัขออกมา
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ท่านหญิงรัตนาวดีกำลังนั่งหัดละเลงขนมเบื้องอยู่ โดยมีสร้อยนั่งคุม วิมลนั่งอยู่ใกล้ๆ ครู่หนึ่ง
ประวิช ก็เดินถือกล่องกระดาษเข้ามา
“ท่านหญิง วิมล มาอยู่กันที่นี่เอง ทำอะไรพระเจ้าค่ะ”
ท่านหญิงหันมาตอบว่า
“หัดละเลงขนมเบื้อง เมื่อบ่ายป้าสร้อยทำขนมเบื้อง เลยทำแป้งเผื่อให้หญิงหัดละเลง นั่นพี่ประวิชเอาอะไรมา”
“ลูกหมาขอรับ จะฝากใส่กรงหลังบ้านนี่ไว้สักหน่อย”
สร้อยถามต่อ “เอามาจากไหนคะ คุณ”
“หมาของ.... เอ้อ ปริศนา น่ะจ้ะป้าสร้อย เอามาเลี้ยงหัดมันให้รู้ภาษาหน่อย แล้วจะเอาไปคืน”
ท่านหญิงรัตาวดีวาง ไม้ ลุกขึ้นทันที “ไหนดูซิ หมาของครูปริศนาเหรอ”
วิมลรีบเดินตามไป ท่านหญิงรัตาวดีหันกลับไปสั่งคนครัวแถวนั้น
“เอากระทะลงได้แล้วนะ ขนมเบื้อง เอาไปกินกันเลยนะ”
วิมลวิ่งไปเปิดฝากล่องก่อน ท่านหญิงมาถึงแล้วก้มลงดู พลางทำท่าผิดหวัง เงยหน้าขึ้นมองประวิช
“หมาอะไร ไม่เห็นน่ารักเลย”
“หมาข้างถนน กระหม่อม”
วิมลหันมาถามพี่ชาย “ทำไมพี่ประวิช ไม่หาหมาดีๆ ให้แกล่ะคะ”
“แกชอบของแกอย่างนี้แหละ วิมล เขาเอามาเลี้ยง เพราะสงสารมัน”
สร้อยรีบบอก “เดินทางมามันคงเหนื่อย คุณประวิช เอามันวางไว้ในกรงก่อนค่ะ ตะแคงกล่องเอาไว้ เผื่อมันอยากจะนอนในกล่อง พอดีกรงนี้ว่าง”
“ฝากป้าสร้อยให้ข้าวให้น้ำมันด้วยนะครับ”
ประวิชพูดพลางวางกล่องลงในกรง ระหว่างที่ประวิชมัวยุ่งกับลูกสุนัข ท่านหญิงรัตนาวดีก็มองสบตากับวิมลอย่างรู้นัยกัน
เมื่อประวิชหันมาอีกที ท่านหญิงก็ทำหน้ากวน
“ พี่ประวิช รักครูปริศนาหรือ”
“ท่านหญิงอย่าเอ็ดไป ท่านชายทรงทราบเข้า จะกริ้ว”
ประวิชรีบเดินเลี่ยงไป ท่านหญิงหันไปหาวิมล แล้วรีบวิ่งตามไป ก่อนจะวิ่งแซงขึ้นไปแล้วไปยืนขวางหน้า
“บอกมาที ประวิช ตั้งใจจะเกี้ยวครูของหญิงหรือ”
“กระหม่อมจะทูลท่านชาย ฝ่าบาทต้องกริ้วแน่ หากทรงทราบว่าท่านหญิงทรงถามเรื่องอย่างนี้”
ท่านหญิงรัตนาวดีแลบลิ้นหลอก “ครูปริศนา ไม่รักพี่ประวิชหรอก”
วิมลรีบรับคำ “จริง”
ประวิชหันมาทำตาดุใส่น้องสาว
“อีกคนนะ วิมล เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว มาอยู่ที่นี่ แล้วพาท่านหญิงเสียหาย ประเดี๋ยวก็ถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำหรอก”
วิมลแลบลิ้นใส่พี่ชาย จังหวะนั้นสนก็โผล่เข้ามา
“คุณประวิชขอรับ ท่านชายประทับอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว”
“ขอบใจสน ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พูดพลางหันมาดุวิมลอีกครั้ง “เรื่องนี้ อย่ายุ่งเชียว”
จากนั้นก็เดินตามสนออกไป
ท่านหญิงรัตาวดีหันมาบอกวิมล
“เราอย่ายอมนะ วิมล ครูปริศนาของเราออกจะสวย น่ารัก แล้วก็เก่งปานนั้น พี่ประวิชเจ้าชู้ แล้วก็เหยาะแหยะไม่สมกับครูปริศนาเลย”
“เพคะ เราต้องขวางไม่ให้พี่ประวิชสมหวัง”
ทั้งคู่หันมายิ้มให้กัน
“ตกลง”
สนยืนข้างๆโต๊ะเสวย คอยดูแลความเรียบร้อย แม่บ้านในวังตักข้าวใส่จานประวิช ซึ่งเป็นที่ว่างอยู่ตรงกันข้าม
ประวิชที่เพิ่งล้างมือเสร็จเดินเข้ามา สนรีบส่งผ้าเช็ดมือสำรองที่อยู่ในห้องอาหารให้เช็ดมือ
ท่านชายพจน์ปรีชาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขรึม
“เห็นว่ากลับมาถึงนานแล้ว เลยให้เขาตั้งโต๊ะ นี่ต้องให้สนไปตาม มัวทำอะไรอยู่หรือ”
ประวิชอ้ำอึ้ง ไม่กล้าทูลเรื่องการเลี้ยงลูกสุนัข เลยแก้ตัวเลี่ยงไป
“ลงไปในครัวกระหม่อม พอดีเห็นท่านหญิงฯ ทรงหัดละเลงขนมเบื้องอยู่”
“สรุปนายไปดูน้องหญิง หรือไปดูลูกหมา”
ท่านชายย้อนถาม ประวิชสะดุ้งชาวาบไปทั้งตัว มือไม้อ่อน แต่ครั้นเห็นท่านชายเริ่มเสวย จึงจำต้อง รีบหยิบช้อน มาตักข้าวใส่ปาก
“เอามาจากไหนหรือ หมาตัวนั้น” ท่านชายถามต่อ
“ของปริศนากระหม่อม แม่เขาไม่ยอมให้เลี้ยงในบ้าน เพราะมันซน และร้องเสียงดัง”
“ก็เลย เอามาเลี้ยงที่นี่”
“ว่าจะเอามาฝึกให้มันรู้เรื่องสักพักหนึ่งก่อน จะได้ส่งคืน เจ้าของเขาไป พระเจ้าค่ะ”
ท่านชายมองประวิชอย่างพินิจ
“ประวิชทุ่มเทให้สาวซะจริงๆ ไม่เคยเห็นทุ่มเทอย่างนี้ให้ใครมาก่อนเลย”
“ก็ ปริศนาเขาไม่เหมือนคนอื่น กระหม่อม ใครจะเที่ยวไปเก็บลูกหมาข้างถนนมาเลี้ยงดู นอกจากคนที่มีจิตใจงามจริงๆ”
“เขาเป็นห่วงหมา แต่ประวิช ต้องเดือดร้อน”
ประวิชรีบแก้ตัวแทน “ปริศนาไม่ได้ใช้กระหม่อม แต่กระหม่อมอาสาเอง เพราะปริศนาต้องทำงาน
ที่บ้านมีแต่แม่ซึ่งก็ต้องคอยดูแลยาย ถ้าฝึกมันให้รู้เรื่องสักหน่อย ก็คงจะเป็นเพื่อนที่ดีให้เขาได้”
“ต้องขออวยพรให้ความรักของประวิชครั้งนี้ราบรื่น เพราะไม่เคยเห็นนายทุ่มเทอย่างนี้ให้กับผู้หญิงคนอื่นเลย เรียกว่าหายใจเข้า หายใจออกมีแต่ปริศนาทั้งสิ้น”
“ท่านชายได้ทอดเนตรเห็นปริศนา เมื่อคราวที่เล่นเทนนิส คราวก่อน คงจะเข้าพระทัยดีว่ากระหม่อมควรจะรักปริศนามากเพียงไหน”
เจ้าของวังศิลาขาวยิ้มบางๆ มองดูประวิชอย่างเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจัดปาร์ตี้ที่บ้านดีไหม ประวิช ชวนปริศนา และพี่น้องของเขา แม่เขาด้วย สนิทกับป้าสร้อยไม่ใช่หรือ มากินข้าว เต้นรำกันที่นี่”
ประวิชดีใจมากแต่ไม่ลืมภารกิจสำคัญ “คุณรตี ด้วยพระเจ้าค่ะ”
“รตี ฉันจะชวนเอง แล้วชวนเพื่อนผู้ชายมาอีก 3-4 คน ดีไหม”
“เป็นพระกรุณา กระหม่อม”
ท่านชายยิ้มอย่างพอใจ ที่ทำตัวเป็นกามเทพให้ประวิชได้สมใจ
สิรีวางห่อผ้ามีผ้างามๆ อยู่หลายชิ้นลงบนโต๊ะที่กลางห้องโถงที่บ้าน
“ผ้าสีๆ มีอยู่เท่านี้เอง ไม่พอตัดชุดหรอก เราต้องไปสะพานหันกันแล้ว”
สมรมองหน้าบุตรีคนรอง
“ต้องลงทุนมากมายขนาดนั้นเลยเหรอลูก พ่อประวิชบอกว่า เชิญแขกเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น”
อนงค์รีบบอก “เอาชุดเก่ามาแก้ แต่งเพิ่มก็ได้ สิรี ฉันก็ไม่ไป”
“ไม่ไปไม่ได้ อนงค์ เขาเชิญมาหมด เราก็ต้องไปหมด แม่คะ งานนี้ยายรตีไปด้วยใช่ไหมคะ ถ้ายายรตีไปด้วย พรุ่งนี้เจ้าหล่อนคงเอาผ้ามาอีก 4 ชิ้นเป็นอย่างน้อยให้ตัด หล่อนเต็มที่อยู่แล้วจะให้ เด่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครแข่งได้อย่างไร”
ปริศนาทำหน้าเอือม “เที่ยวนี้จะไปแข่งเขาทำไมล่ะสิรี เขาเป็นคู่หมายเจ้าของงาน”
“ใครจะหมายใครอย่างไร ฉันไม่ว่า แต่อย่าเอาพวกเราไปรองให้เขาเหยียบย่ำ ฉันหมายความเท่านี้แหละปริศนา”
สิรีพูดอย่างยอมไม่ได้ อนงค์เห็นพี่สาวเงียบไป ก็รีบยกข้ออ้างขึ้นมา
“แต่ฉันเต้นรำไม่เป็น”
ปริศนาซึ่งพอจะเข้าใจสิรี เหลือบมองอนงค์อย่างกึ่งรำคาญ
“สอนให้ เต้นรำ ไม่ยากหรอก ปริศนายังสอนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้เลย”
“ปริศนา เต้นรำคล่องหรือ” พี่สาวคนรองย้อนถาม
ปริศนาเดินท่าเสต็ปวอล์ซ ให้ทุกคนดู พร้อมทั้งทำเสียงต่างทำนองไปด้วย
“คุณอาจ้างคนมาสอน เพื่อไว้ออกงาน ปริศนาเต้นได้ทุกสเต็ป คุณอาบอกว่า เต้นกับหลาน สบายใจ”
ว่าแล้วก็ฮัมเพลง moonlight Serenade เปลี่ยนสเต็บ แล้วหยุดกึก เหมือนนึกได้
“แต่ว่าเรามีวิทยุไหมคะ ตั้งแต่กลับมา ปริศนายังไม่เห็นวิทยุในบ้านเราเลย”
สิรีชี้ไปที่มุมหนึ่ง “เราเคยมีนี่คะ แม่ อยู่ตรงนั้น หายไปไหนแล้วล่ะ”
“มันไม่ดัง แม่เลยให้หลวงวุฒิ เอาไปซ่อม ตอนนี้แกว่าเปิดได้ยินดังดีแล้ว แต่แม่ไม่กล้าไปขอคืน”
ปริศนาทำหน้าสงสัย “Why ? ของเราไม่ใช่เหรอจ๊ะแม่”
“แต่อย่างไรก็ฟังได้แต่เพลงไทย เพลงฝรั่งเพราะๆ มันต้องสถานีของลอนดอน หรือไม่ก็สิงคโปร์ หรืออินเดีย ถ้าจะหัดเต้นรำกันล่ะก็”
ปริศนาทิ้งตัวนั่งลง อนงค์กับสิรีมองดูอย่างเป็นห่วง โดยเฉพาะอนงค์นั้นมีทีท่าหมดหวังเอาทีเดียว
อนงค์กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าวันเกิดให้แม่ ที่ตั้งใจจะถักประมาณ 1 โหล จึงยังปักไม่เสร็จสักที พักหนึ่งปริศนาก็เดินเข้ามาพร้อมกับประวิช
“อนงค์ มาอยู่นี่เอง แม่ไปไหนหรือ”
“ไปธุระ คุณหญิงแพร มารับไป”
“ไปทานของว่างกัน สิรีให้มาตาม ประวิชก็มารอหน้าบ้านตั้งนานแล้ว ไม่เห็นใครอยู่ เลยไม่กล้า
เข้ามา”
อนงค์ช้อนสายตามอง ประวิชยิ้มให้
“ปักผ้าเช็ดหน้าเหมือนจะให้ใครหรือครับ ตั้งหลายผืน“
“ให้แม่ค่ะ วันเกิดแม่สัปดาห์หน้าแล้ว เริ่มปักมานานแล้วคะ แต่ไม่เสร็จเสียทีเลยต้องเร่ง เพราะต้องซัก ต้องรีดอีก”
ปริศนาได้ยินก็ยิ้มดีใจ หันไปยิ้มกับประวิชอย่างเป็นสุข พร้อมกับมีประกายวิบวับที่แววตา
“yes!, ประวิช วันเกิดแม่ ปริศนานึกออกแล้ว”
ประวิชทำหน้างง “นึกอะไรออก”
ปริศนารีบดึงแขนประวิชออกไปซุบซิบกัน อนงค์ผุดลุกจะตามไป แต่แล้วก็หยุดอยู่กับที่ ด้วยเห็นว่าไม่ควร ได้แตค่ลอบมองอยู่ห่างๆ เห็นปริศนาหัวเราะต่อกระซิกกับประวิชอย่างสนิทสนม
เธอลอบมองอย่างสงสัย เพราะไม่ได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกัน
มุ้งของปริศนาถูกดึงลงมาเรียบร้อยแล้ว แต่มุ้งของอนงค์กลับถูกตลบขึ้นไว้ เจ้าของนั่งอยู่บนเตียง ถือแส้ปัดยุง มองไปยังประตูอย่างรอคอย
ครู่หนึ่งปริศนาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็เดินเข้ามา
“อนงค์ยังไม่นอนอีกหรือ”
“ยัง”
ปริศนาตากผ้าเช็ดตัวที่ราว พลางนั่งลงแปรงผม อนงค์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาใจ
“ปริศนา วันนี้ทำไมคุยกับคุณประวิช ต้องไปห่าง ไม่ให้พี่ได้ยิน”
“อ๋อ มันเป็นความลับน่ะ อนงค์ เป็นความลับของเรา 2 คน”
ปริศนาทำหน้าตามีเลศนัย แววตาเต้นวิบวับอย่างนึกสนุก
อนงค์พูดอะไรไม่ออก ได้เพียงเอาแส้โบกไล่ยุง ก่อนจะดึงชายมุ้งลงมา แล้วเข้าไปนอน หันหลังให้น้องสาว
ปริศนามองอย่างแปลกใจ
“นั่งคอย เพื่อจะถามแค่นี้เหรอ อนงค์นี่แปลกจัง”
หลายคืนผ่านไป
อนงค์นั่งเช็ดปิ่นโตใส่เถา ปริศนาเช็ดขันเงิน ใส่ข้าว ส่วนสิรีมัดธูปเทียน ขณะที่สมรจัดดอกบัวในถังเพื่อเตรียมถวายพระวันรุ่งขึ้น
จำเนียรเอาผ้าขาวบางเข้ามาวาง เพื่อคลุมขันเงิน ปริศนาหันมาถามมารดา
“แม่จะเอาปิ่นโต ถวายพระไปเลยหรือคะ”
“จ้ะ วันเกิดปีละครั้ง ถวายแกงพระบ้าง ปกติใส่แต่ของแห้งๆ ใส่แกง ปนกับข้าว ท่านจะฉันไม่เป็นรส เออ วันนี้พ่อประวิชไม่เห็นมา พรุ่งนี้แม่ว่าจะชวนมากินข้าวด้วยกันสักหน่อย ของทำถวายพระ ก็ทำเผื่อกินกันด้วย”
ปริศนานึกห่วง “นั่นสิคะ ทำไมวันนี้ยังไม่มา”
ขาดคำ เสียงแตรรถหน้าบ้าน ปริศนาลุกขึ้นทันที พลางยิ้มร่าดีใจผิดปกติ
“แน่ะ ประวิชมาแล้ว ให้รอมาทั้งวัน”
พูดพลางรีบวิ่งออกไป อนงค์ได้แต่มองตามอย่างเจ็บปวด เพราะน้องสาวคนเล็กทำตัวดูเป็นเจ้าเข้าเจ้าของประวิชเสียเหลือเกิน
“แม่ใส่บาตรพระ 9 รูป เท่านั้นหรือคะ” สิรีหันมาถามแม่
“เท่านั้นแหละ ปกติทุกวันใส่ 3 พรุ่งนี้วันเกิดพิเศษหน่อย ไปถวายภัตตาหารที่วัด 9 รูป แล้วกลับมากินข้าวด้วยกัน สิรีกับปริศนา ต้องลางานหรือเปล่า”
“ลานงลักษณ์ไว้แล้วค่ะ ปริศนาก็ลาไว้แล้วเหมือนกัน ดูท่าปริศนาอยากจะลามากกว่าใครๆ เขาเป็นคนต้นคิดให้สิรีลางานนะคะ เอ๊ะ ทำไมยังไม่ขึ้นมา”
อนงค์มองไปทางหน้าบ้านอย่างหวาดระแวง สมรละมือจากงาน เดินไปชะโงกหน้าดู เห็นปริศนาหัวเราะคิกคักอยู่กับประวิชอยู่ข้างๆ รถ ผู้เป็นแม่ยืนมอง พลางขมวดคิ้วสงสัย
“เอ๊ะ แปลกจริง มัวคุยอะไรกันอยู่”
สมรมองลงไปอีกครั้ง เห็นปริศนาดึงมือประวิชให้หลบจากสายตายิ่งขึ้นไปอีก
“ดูกริยาเข้าสิ มีลับลมคมนัยชอบกล“
สิรีรีบวางมือ แล้วลุกขึ้นมาดูด้วย
“แปลก หมู่นี้ปริศนา ดูสนิทสนมกับประวิชเป็นพิเศษทีเดียว”
อนงค์ได้ฟังก็ถึงกับแทบน้ำตาไหล สมรหันไปสั่งจำเนียร
“จำเนียร ไปเชิญคุณประวิช กับคุณปริศนา บอกว่าคุณแม่ให้ตามไปคุยบนบ้าน มืดแล้ว”
“ค่ะ”
จำเนียรวางมือจากงาน แล้วรีบลงไป
ปริศนายืนคุยกับประวิชด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นกระซิบ
“ต้องให้เป็น big surpise ทีเดียวประวิช ทั้งบ้าน เพราะฉะนั้นอย่าเอ็ดไป อย่าแพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด จำไว้นะ”
“จ้ะ”
จำเนียรเดินมาถึงพอดี “คุณคะ คุณแม่ให้มาเชิญคุณ 2 คนขึ้นเรือนค่ะ”
ปริศนามองตาประวิชอย่างรู้กัน
สิรียังยืนอยู่ข้างสมร มองดูประวิชและปริศนาที่เดินเคียงคู่กันมา
“ดูสิคะ แม่ จับมือถือแขนสนิทสนมกันอย่างนั้น ดูทีปริศนาจะรับรักประวิชเสียแล้วก็ไม่รู้”
อนงค์ถึงกับยกมือขึ้นอุดปาก น้ำตาไหลรินออกมาทันที เธอรีบเอาหลังมือป้ายแล้วลุกขึ้น หันหลังเดินแกมวิ่งอย่างเบาที่สุดหนีขึ้นไปข้างบน
ปริศนาเพิ่งก้าวเข้ามากับประวิช สิรีและสมรถอยเพื่อเปิดทางให้ ไม่มีใครสังเกตเห็นอนงค์
“เข้ามาสิประวิช ไปยืนคุยอะไรมืดๆ ข้างนอก”
ประวิช ทำท่าเขิน เหมือนปกปิดอะไรบางอย่าง
“ถามปริศนาเรื่องพรุ่งนี้ขอรับ ว่าคุณอาจะกลับจากวัดสักกี่โมงกี่ยาม เห็นปริศนาชวนว่าให้กินกลางวันด้วยกัน”
“ไปแต่เช้า ถวายเสร็จ ก็กลับจ้ะ หรืออย่างสายที่สุด ก็รอท่านฉันเสร็จ แต่เราถวายเหมือนใส่บาตรเช้าเท่านั้น ไม่ได้เลี้ยงพระทั้งวัด”
ประวิชกับปริศนาสบตากันอย่างหารือ แล้วต่างก็หัวเราะแก้เก้อ
“เรา 2 คนจะจัดบ้านไว้ให้ค่ะ ให้พร้อมตอนแม่กลับมา ต้องบอกอนงค์ อนงค์ ไปไหนล่ะ”
สิรีเหลียวซ้ายแลขวา “ตะกี้ ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย”
ทุกคนเพิ่งสังเกตว่าอนงค์ไม่อยู่ ระหว่างที่ทุกคนหันไปสนใจเรื่องอนงค์ ปริศนาก็แอบกระซิบกับประวิช
“เดี๋ยวปริศนาบอกอนงค์ให้”
ประวิชพยักหน้ารับ
พอเห็นน้องสาวเดินเข้ามาในห้องนอน อนงค์ก็พลิกตัวหันหน้าไปทางอื่นเสีย ทำให้ปริศนาที่กำลังจะย่องผ่านไปที่ตู้เสื้อผ้า และราวผ้าเช็ดตัว หันไปดู พลางถามอย่างแผ่วเบา
“อนงค์ หลับหรือยัง”
อนงค์นิ่งไม่ยอมตอบ ปริศนาจึงได้แต่ค่อยๆ ย่อง ไปหยิบผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าออกจากห้องไป
ครั้นพอน้องสาวลับตัวไป ร่างของอนงค์ก็เริ่มไหวด้วยแรงสะอื้น หากพยายามไม่ให้เสียงลอดออกมา
ช่วงกำลังจัดอาหารเข้าไว้ท้ายรถ โดยมีจำเนียรช่วยถือตะกร้าใส่ปิ่นโต ขัน และหม้อข้าวใบโต ตะกร้าใส่ธูปเทียน และถาดใส่ดอกไม้
ปริศนากับสิรีก็ช่วยถือของด้วย ส่วนอนงค์ที่หน้าตาซูบซีด ถือกระเป๋าของสมรตามมาท้ายสุด
ช่วงเปิดประตูให้สมรขึ้น ผู้เป็นแม่หันมาเห็นท่าทางโผเผของอนงค์ ก็ร้องทัก
“อนงค์ เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ช่วยงานแม่จนดึกหลายวัน จะนอนพักบ้านไหม”
ปริศนาจับแขนพี่สาวอย่างเป็นห่วง “ไหวหรือเปล่าอนงค์”
ทว่าอนงค์กลับบิดแขนออกเหมือนรังเกียจ “ไม่เป็นอะไร ปล่อยเถอะ”
“ ถ้างั้นก็ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย ไม่ทันฉันเช้า”
สมรพูดพลางรีบก้าวขึ้นรถ อนงค์ต้องอ้อมไปขึ้นอีกทางหนึ่ง ระหว่างนั้นปริศนา ก้มลงกระซิบ
“อนงค์ ช่วยหน่อยนะ ให้แม่อยู่ที่วัดนานๆ หน่อย ปริศนาจะจัด Surprise ไว้ให้แม่”
อนงค์มองน้องสาวอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่ก็รับฟังนิ่งๆ
เสียงสมรเรียกมาจากในรถ “อนงค์ ลูกมาขึ้นรถ”
อนงค์รีบไปขึ้นรถ ก่อนที่ช่วงจะขับรถพาทั้งคู่ออกไป
สิรีทำท่าจะเดินกลับขึ้นบ้าน ปริศนาก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแล้วนับถอยหลัง
“come’ on 10 9 8 7...1”
ทันใดนั้น รถของประวิช ก็แล่นเข้ามาในบ้านอย่างได้จังหวะ ปริศนากระโดดโลดเต้นอย่างยินดี
“เย้ ประวิช ประวิชมาแล้ว เยี่ยมมาก you’re wonderful”
สิรีตกใจ กลับลงมาดูอีกครั้ง
“ปริศนา เสียงดังอะไรน่ะ”
ปริศนา ถลาเข้าไปเต้นข้างๆ รถ เมื่อประวิชจอดรถเรียบร้อย มีลังกระดาษหลายใบอยู่ในรถ
“เร็วเข้าประวิช เราต้องเซ็ตให้เสร็จก่อนแม่กลับมา”
สิรีตามลงมาพอดี
“อะไรกันคะ ประวิช อะไรกันปริศนา”
“วิทยุ สิรี”
ประวิชรีบอธิบาย
“ของขวัญวันเกิดคุณสมรครับ จากผมกับปริศนา ออกเงินกันคนละครึ่ง หาวิทยุอย่างทีรับสถานีฝรั่งได้ มาให้คุณสมร”
วิทยุเครื่องใหม่ถูกติดตั้งเรียบร้อยแล้ว เสียงเพลงจังหวะเต้นรำยังกระหึ่ม
ประวิชอยู่หน้าวิทยุ หลังจากเสร็จจากการจูนคลื่น สมาชิกในบ้านสุทธากุล ยืนมองอย่างสนอกสนใจ
“แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ค่ะ แม่”
ปริศนาพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า ทุกคนปรบมือรับ สมรยิ้มกว้าง
“ขอบใจมากลูก แต่มันคงแพง”
“ปริศนาว่า มันดีมากๆ ค่ะ แม่คงฟังได้ทั้งข่าวทั้งเพลง และพวกเรายังหัดเต้นรำกันได้อีกด้วย มาสิ อนงค์ มาหัดเต้นรำกัน แล้วจะได้ไปงานเต้นรำที่วังท่านชายกัน”
พูดพลางเข้ามาดึงตัวอนงค์ที่เริ่มมีสีหน้าดีขึ้น มาหัดเต้นรำ ขณะที่ตัวเอง ก็เต้นแบบเก้ๆ กังๆ
“เต้นไม่ถนัดเลย ต้องเต้นเป็นผู้ชายเนี่ย ประวิช มาสอนอนงค์หน่อยเร็ว”
ปริศนาผลักประวิชมาให้เต้นรำกับอนงค์
ประวิชหัวเราะ ก่อนจะยอมทำตามที่ปริศนาบอกฃ
เมื่อประวิชซ้อมเต้นรำกับอนงค์ เธอก็ยิ้มอย่างคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ส่วนปริศนาก็ดึงสิรีมาเต้นด้วยกัน
สมรยืนมองลูกๆ เต้นรำ แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
อ่านต่อตอนที่ 3