xs
xsm
sm
md
lg

กลกิโมโน ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กลกิโมโน ตอนที่ 1

ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อ 25 ปีก่อน บริเวณตรอกแคบๆ ในเมืองสึกิ ประเทศญี่ปุ่น มีร้านเหล้าชื่อ Izakaya เปิดให้บริการอยู่ และภายในมุมหนึ่งของร้าน ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนนักเขียน กระดกเหล้าสาเกที่เจ้าของร้านคอยรินให้ หลังจากดื่มไปสักพักจนเริ่มกรึ่ม เขาบอกว่า

“ผมตระเวนไปทั่วญี่ปุ่น ฟังและจดบันทึกตำนานปรัมปรามามากมาย แต่เรื่องที่ผมสน ใจมากที่สุดก็คือเรื่องเทพเจ้านกกระเรียนกับเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกของเมืองสึกินี่แหละ”
เจ้าของร้านบอก
“มันก็แค่ตำนานที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้นเอง เรื่องรายละเอียดผมก็รู้ไม่ค่อยมากนักหรอก”
“แต่ถ้าคุณอยากฟัง...ผมก็พอจะเล่าให้ฟังได้”
นักเขียนชะงัก เมื่อได้ยินเสียงจากชายหนุ่มในชุดกิโมโนสีขาว เขาคือ ท่านชายโฮชิโนโอจิ ใบหน้าของเขาผุดผ่อง บุคลิกสุขุมนิ่งซึ่งนั่งดื่มชาอยู่ที่มุมด้านในของร้าน
“อยากฟังสิครับ ที่มาถึงเมืองสึกิก็เพื่อจะฟังเรื่องนี้ ว่าแต่คุณรู้จักตำนานเรื่องนี้ดีแน่ใช่มั้ย”
โฮชิย้ายมุมมานั่งกันตามลำพังกับนักเขียน
“ตำนานหรือเรื่องเล่าปรัมปรา หลายคนอาจจะฟังแล้วคิดว่ามันก็แค่เรื่องแต่งที่ สมมุติขึ้นมาและหาความจริงไม่ได้ แต่ใครจะรู้ได้ล่ะว่าเรื่องเล่าที่ฟังกันมาจากปากต่อปาก เรื่องไหนคือเรื่องจริงเรื่องไหนคือเรื่องเท็จ”
“ก็ถ้าคนที่อยู่ในเหตุการณ์และเป็นต้นเรื่องมีอายุอยู่ถึงปัจจุบัน..เขาคนนั้นนั่นแหละที่จะ ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง”
โฮชิยิ้มรับอย่างสุขุม
“นั่นสิ..ใครจะมีอายุยืนได้ขนาดนั้น เรื่องเทพเจ้านกกระเรียนกับเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกของเมืองสึกิก็เลยเป็นเพียงแค่ตำนานที่เรื่องมีอยู่ว่า...”

ตำนานเทพเจ้านกกระเรียน จากคำบอกเล่าของโฮชิ ถูกไล่เรียงเป็นเส้นรูปอย่างโบราณ รวดเร็ว ในจิตนาการอันสวยงาม
ท้องฟ้ายามค่ำคืนดวงดวงระยิบระยับ แต่มี ‘กลุ่มดาว’ อยู่ 2 กลุ่มที่เปล่งแสงสว่างกว่าดวงอื่นๆ และอยู่กันคนละมุม กลุ่มแรกค่อยๆเชื่อมต่อกันเป็นภาพหญิงสาว ส่วนอีกกลุ่มลายเส้นเป็นภาพนกกระเรียนกางปีก โฮชิเล่าเรื่องราวนั้น เพื่อขยายจินตนาการนั้น
“เมื่อ 400 ปีก่อน เทพเจ้านกกระเรียนมีคนรักคือเทพธิดาดาวเดือนเจ็ด...ชื่อของเธอคือ เมียวโจ”
เทพเจ้านกกระเรียน ในรูปของ ท่านชายโฮชิ กำลังบรรเลงโกโตะอยู่ในอุโมงค์วีสทีเรีย
โกโตะเป็นเครื่องสายของญี่ปุ่นโบราณ ส่วนอุโมงค์วีสทีเรียนั้นคือ วิมานของเทพเจ้านกกระเรียน
เสียงบรรเลงท่วงทำนองเพลงจากโกโตะของเทพเจ้านกกระเรียนนั้นไพเราะหวานซึ้งดังก้องไปทั่ว
โฮชิ ผู้เป็นเทพเจ้านกกระเรียนอยู่ในชุดกิโมโนโฮชิ สีน้ำเงินเข้มปักลวดลายนกกระเรียนสีทอง
‘เมียวโจโอจิน’ เทพธิดาดาวเดือนเจ็ดในชุดกิโมโนสีทองสวยงามอลังการ หน้าของเธอ ผัดแป้ง ขาว ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาเป็นสีเขียวแสดงถึงความเป็นเทพเจ้า ปิ่นประดับผมเป็นช่อดอกวิสทีเรีย
เธอเดินมาตามทางเดินในสวนของสวรรค์ด้วยท่วงท่าสง่างามแล้วแอบปิดตาหยอกล้อคนรัก
“แต่เพราะภารกิจที่เทพเจ้านกกระเรียนต้องลงไปเพื่อมอบเสียงเพลง มอบความสุขให้มวลมนุษย์ ทำให้ทั้งสองต้องเลื่อนการแต่งงานออกไป”

ใบหน้าของโฮชิกับเมียวโจค่อยๆเคลื่อนเข้าหากัน ริมฝีปากของเธอค่อยๆเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเขาแต่ยังไม่ทันสัมผัสโดนกัน เธอก็เลื่อนริมฝากไปที่แก้มและใบหน้าเพื่อส่งผ่านความรักทั้งหมด
“ขอบใจนะโฮชิ..เมื่อไหร่ที่เราอยู่ห่างกันและไม่ได้สัมผัสกันแบบนี้ ก็ขอให้เธอจำไว้ด้วยว่า...” เมียวโจกระซิบที่ข้างหูโฮชิ “ชั้นจะฟังเพลงของเราอยู่ข้างๆเธอ”
“รอชั้นนะเมียวโจ เมื่อชั้นกลับมา เราจะแต่งงานกัน”
โฮชิยิ้มรับด้วยความเปี่ยมสุข ดึงเมียวโจมาสวมกอด ท่วงทำนองแห่งดนตรีเปลี่ยนจากการถักทอท่วงทำนองสุขเป็นจังหวะเร่งเร้าตื่นเต้น

หมู่บ้าน Shirakawago คือหมู่บ้านในเมืองสึกิยุคโบราณกำลังถูกพายุหิมะโหมพัดกระหน่ำรุนแรง เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกปรากฏตัวเผชิญหน้าเทพเจ้านกกระเรียน สีหน้าของทั้งคู่ตึงเครียดใส่กัน
“แต่เพราะเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่หลงรักเทพธิดาดาวเดือนเจ็ดเช่นกันได้เกิดความอิจฉาริษยา ที่มนุษย์ชื่นชมเทพเจ้านกกระเรียนมากกว่า จนลืมเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่เคยมอบความอุดมสมบูรณ์ให้มนุษย์”
เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกชักดาบออกมาสู้กับเทพเจ้านกกระเรียน แต่เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกพ่ายแพ้กับการต่อสู้ในครั้งนั้น

ลายเส้นแห่งจินตนาการ บ่งบอกถึงผืนป่าซึ่งถูกหิมะปกคลุม พื้นหนาท่วมสูงไปด้วยหิมะและมีพายุพัดเข้ามาต่อเนื่อง จนทุกอย่างรอบตัว ขาวโพลนมองแทบไม่เห็นอะไร เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกก็ใช้เวทย์มนต์ปลุกนางปีศาจหิมะ ขึ้นมาจากกองหิมะ
“เมื่อใกล้เวลาประตูสวรรค์ปิด เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกใช้เวทย์มนต์ปลุกนางปีศาจหิมะขึ้นมา สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน เพื่อถ่วงเวลาไม่ให้เทพเจ้านกกระเรียนกลับสวรรค์ได้ทัน แต่เหตุการณ์กลับบานปลาย เพราะนางปีศาจหิมะเกิดไปหลงรักเทพเจ้านกกระเรียน แต่เขาไม่รับรักเธอ นางปีศาจโกรธแค้น จึงสร้างพายุหิมะถล่มเมืองสึกิอย่างหนักจนชาวบ้านล้มตาย”
นางปีศาจหิมะโกรธแค้นที่เทพเจ้านกกระเรียนเดินจากไป จึงเรียกพายุหิมะมาถล่มเมืองสึกิ จนผู้คนนอนแข็งตายเต็มสองข้างทาง ครั้นเทพเจ้าทั้งสองเห็นมนุษย์นอนตายอยู่รายรอบตัวก็บังเกิดความเศร้าสลด ฝ่ายเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกรู้สึกผิด แต่เทพเจ้านกกระเรียนจะยื่นมือห้ามเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอก แต่ไม่ทัน
เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกต่อสู้กับนางปีศาจหิมะแล้วจบลงด้วยการสูญสลายของทั้งคู่
“ความตายของชาวบ้านทำให้เทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกรู้สึกผิดมาก จึงลงโทษนางปีศาจหิมะ แต่ในที่สุดก็ลงเอยด้วยการสูญสลายไปด้วยกันทั้งคู่ ส่วนเทพเจ้านกกระเรียนได้ช่วยชีวิตลูกสาวของท่านโชกุนแห่งเมืองสึกิเอาไว้”
เทพเจ้านกกระเรียนเดินฝ่าพายุหิมะ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังหายใจรวยรินอยู่บนพื้นหิมะ

เทพเจ้านกกระเรียนรีบย่ำหิมะเข้าไปช้อนตัวเด็กหญิงคนนั้นขึ้นมา

เทพเจ้านกกระเรียนอุ้มฮานะลูกสาวโชกุนมิยาคาวะเข้ามาในคฤหาสน์มิยาคาวะ ท่ามกลางชาวบ้านที่กำลังรอความช่วยเหลือเต็มไปหมด โชกุนมิยาคาวะรีบวิ่งเข้ามาหาลูกสาว
"ฮานะ"
โชกุนมิยาคาวะดีใจที่ได้เจอลูกสาวที่พลัดหลงกันไป โฮชิส่งเด็กสาวให้โชกุน ส่วนชาวบ้านที่ได้เห็นเทพเจ้าต่อหน้าต่อตาก็รีบคุกเข่าก้มลงกราบไหว้ด้วยความศรัทธาแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ
โฮชิเห็นแววตาและความเจ็บปวดของทุกคนแล้วรู้สึกปวดร้าวไปด้วย
"ขอโทษด้วยทุกคน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่นี่ ชั้นมีส่วนต้องรับผิดชอบ"
"แต่ประตูสวรรค์กำลังจะปิด ถ้าท่านเทพเจ้าไม่รีบกลับไป" โชกุนมิยาคาวะบอก
โฮชิหันไปมองพวกชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อน

ท้องฟ้าปั่นป่วน ลำแสงสีทองอร่ามที่ส่องเป็นทางจากท้องฟ้าสู่พื้นเริ่มค่อยๆแคบลงแสดงถึง เวลาที่ประตูสวรรค์กำลังจะปิดได้ใกล้เข้ามาทุกขณะ เทพเจ้านกกระเรียนยืนมองลำแสงนั้นอย่างตัดสินใจก่อนจะหันหลังให้กับประตูสวรรค์ที่ปิดลง
"ด้วยความห่วงใยในมวลมนุษย์ เทพเจ้านกกระเรียนจึงตัดสินใจไม่กลับสวรรค์"

โฮชิเดินมาคุกเข่าที่ริมธารน้ำตกที่มีหิมะโปรยปราย ที่ริมลำธารโฮชิชักมีดพกออกมาและคิดถึงคำร่ำลาสุดท้ายของคนรัก
"ขอบใจนะโฮชิ..เมื่อไหร่ที่เราอยู่ห่างกันและไม่ได้สัมผัสกันแบบนี้ ก็ขอให้เธอจำไว้ด้วยว่า ... ชั้นจะฟังเพลงของเราอยู่ข้างๆเธอ"
"รอชั้นนะเมียวโจ เมื่อชั้นกลับมาเราจะแต่งงานกัน"
โฮชิตัดสินใจใช้มีดสั้นนั้นกรีดคมมีดลงไปที่ฝ่ามือตัวเองทันที
หยดเลือดของโฮชิค่อยๆซึมออกมาจากฝ่ามือ แล้วหยดลงไปในลำธารและดวงตาของโฮชิเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหมือนกับนัยน์ตามนุษย์เดินดินทั่วไป ออร่าของเทพเจ้าที่เคยมีก็ค่อยๆหม่นลง
"เทพเจ้านกกระเรียนจึงตัดสินใจกรีดเลือดผสมลงในธารน้ำให้ชาวบ้านดื่ม เพื่อช่วยทำให้หายจากโรคร้าย จึงทำให้เขาหมดสภาพของความเป็นเทพเจ้า กลายเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่มีวันตาย"
เสียงบรรเลงจากเครื่องสายโกโตะเศร้าๆดังคลอแทรกขึ้นมา

โฮชิในชุดกิโมโนธรรมดาเล่นโกโตะอยู่ในหอคอย
"ท่านโชกุนรู้สึกซาบซึ้งในความเสียสละ จึงตอบแทนบุญคุณโดยขอให้เทพเจ้าอาศัยอยู่ในหอคอยของตระกูล และสัญญาว่าจะปกปิดความลับของเทพเจ้าตลอดไป แต่สวรรค์เบื้องบนยังเมตตา ถ้าชุดกิโมโนสวรรค์ที่เสียหายจากการต่อสู้กับเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกได้รับการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายให้สมบูรณ์จากขนนกกระเรียนทองคำ เทพเจ้านกกระเรียนก็สามารถกลับสู่สวรรค์ได้ ก่อนที่ประตูสวรรค์จะปิดภายใน 400 ปี"
ประตูเลื่อนออก... โชกุนมิยาคาวะพาลูกสาวเข้ามา
"ผมขอโทษที่เข้ามารบกวนท่านชาย"
"ไม่เป็นไรหรอกมิยาคาวะ ชั้นต่างหากที่รบกวนมาขออาศัยอยู่ที่นี่"
"ท่านชายไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยนะครับ..แต่ท่านเป็นผู้มีบุญคุณกับตระกูลมิยาคาวะ ถ้าท่านชายไม่ช่วยฮานะเอาไว้ ป่านนี้ฮานะก็คง..."
ฮานะยิ้มให้กับโฮชิแล้วลุกเข้าไปจับมือโฮชิให้ลุกขึ้นก่อนจะพาจูงมือออกจากห้อง
"ฮานะจัง"

บนหอคอย ฮานะจูงพาโฮชิเข้ามาที่ห้องข้างๆห้อง เพื่อให้ดูกี่ทอผ้าที่ไว้สำหรับทอกิโมโนซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง
"กิโมโนที่ท่านชายใส่มาจากสวรรค์เสียหายหมดแล้ว ตระกูลมิยาคาวะของหนูทอกิโมโนเก่งมาก หนูสัญญาจะทอผืนใหม่ให้เหมือนกับผืนเก่า ท่านชายจะได้ใส่กลับสวรรค์"
โชกุนที่ตามเข้ามาบอก
"ทอให้เหมือนยังไง ท่านชายก็ใส่กลับสวรรค์ไม่ได้หรอกฮานะ"
"ทำไมคะพ่อ"
โฮชิยิ้มให้ฮานะแล้วจับมือเด็กน้อยมากุม
"เพราะกิโมโนชุดนั้นเป็นกิโมโนที่คนรักของชั้นทอ และปักลวดลายกระเรียนทองคำขึ้นมาให้ สำหรับชั้นคนเดียวน่ะสิจ๊ะ..ฮานะจัง"
"แม้แต่ไหมที่ดีที่สุดของเราก็ยังใช้ทำกิโมโนไม่ได้เหรอคะ"
"ชั้นจะใส่กิโมโนที่ฮานะจังทอให้ชั้นนะ แต่ถ้าชั้นจะกลับสวรรค์ได้ ก็คงต้องใช้วิธีเดียวกันกับที่เมียวโจใช้ ขนนกกระเรียนทองคำจริงๆมาปั่นเป็นเส้นไหมปักลายลงบนกิโมโน"
ฮานะกระตือรือล้นทันที
งั้นฮานะจะหานกกระเรียนทองคำให้เจอ แล้วใช้ขนของมันมาปัก ลายส่งท่านชายกลับสวรรค์ให้ได้ค่ะ"
"นกกระเรียนทองคำไม่ได้หาได้ง่ายๆบนโลกมนุษย์นะ ฮานะจัง"
"ต้องมีสิคะ..ถึงจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ฮานะก็จะทอกิโมโนโฮชิให้เสร็จสมบูรณ์" เด็กน้อยชูนิ้วก้อยขึ้นมา "ฮานะสัญญาค่ะท่านชาย..ฮานะอยากให้ท่านชายได้กลับไปเจอคนรัก"
โชกุนคุกเข่าลงตรงหน้าท่านชาย สีหน้ามุ่งมั่นสัญญาด้วย
"ผมก็ขอสัญญาครับท่านชาย..ต่อไปนี้คือหน้าที่ อันสำคัญของลูกหลานของตระกูลมิยาคาวะทุกคน พวกเราจะเก็บความลับและดูแล ท่านชายให้ดีที่สุด และจะทอกิโมโนโฮชิให้สำเร็จ"
โฮชิโค้งรับโชกุนแล้วเกี่ยวก้อยสัญญา
"จ้ะ..ชั้นจะใส่กิโมโนโฮชิที่มิยาคาวะตั้งใจทอเพื่อชั้น"
โฮชิกับฮานะจังยิ้มให้กัน เสียงโฮชิแทรกหลังจบการเล่านิทานเรื่องนี้
"นี่คือตำนานความรักของเทพเจ้าผู้อาภัพ เสียงเพลงของเขายังคงเรียกหาโอกาสที่จะได้ กลับคืนสู่อ้อมกอดคนรักบนสรวงสวรรค์... อีกครั้ง"

ภายในร้าน Izayaka นักเขียนฟังแล้วอดสงสารเทพเจ้าไม่ได้
"เทพเจ้านกกระเรียนช่างน่าสงสารจริงๆ ยอมสละความรักตัวเองเพื่อชาวเมือง แล้วหลัง จากนั้นล่ะ..เขายังอยู่ในโลกมนุษย์หรือว่าหาทางกลับสวรรค์ไปแต่งงานกับคนรักได้"
โฮชิยิ้มรับ
"ตำนานที่ชั้นรู้มามีเพียงแค่นั้นเอง"
นักเขียนทำหน้าเสียดาย โฮชิลุกจากที่นั่งพร้อมกับวางเงินค่าน้ำชา
"เดี๋ยวสิ...คุณจะกลับแล้วเหรอ ผมยังไม่ได้รู้จักชื่อคุณเลย"
"ผมก็แค่คนที่บังเอิญผ่านมาแล้วเล่าตำนานเทพเจ้านกกระเรียนให้คุณฟัง อย่าลืมล่ะ เรื่องที่คุณรับปากผมไว้ ตีพิมพ์ตำนานเรื่องนี้ให้เป็นที่รู้จัก"
โฮชิโน้มศีรษะให้เล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินออกจากร้านไป

กลางคืนต่อเนื่องมา โฮชิยืนอยู่ที่ระเบียงหอคอยบนคฤหาสน์มิยาคาวะ แล้วแหงนมองท้องฟ้าและดวงดาวเบื้องบน ระหว่างนั้นมีดาวหางพุ่งพาดผ่านท้องฟ้า ข้ามไปอย่างสวยงาม แววตาของโฮชิมีประกายความหวังหลังจากมองดาวตกดวงนั้นผ่านไป
"ขอให้ลางสังหรณ์ของชั้นเป็นจริงด้วยเถอะ...เมียวโจ"

โฮชิสีหน้ามีความหวัง

ที่เมืองไทย สุรินทร์เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอยู่บนชานเรือน ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงตามแบบบ้านเกษตกรในชนบทที่มีฐานะกลางๆ

ระหว่างนั้นสุรินทร์แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นดาวตกพุ่งพาดผ่านจากขอบฟ้าผ่านหลังคาบ้านตนไป มันเป็นดาวตกที่ส่องแสงสุกสกาวสว่างจนเห็นได้ชัด
เมื่อดาวตกพาดผ่านไป เสียงร้องของเด็กแรกเกิดก็ดังอุแว้ๆออกมาจากในเรือน สุรินทร์ตื่นเต้นดีใจรีบวิ่งไปถาม
"หมอ...ลูกผมคลอดแล้วเหรอครับ...หมอ..หมอ"
ครู่หนึ่งหมอตำแยที่มาช่วยทำคลอดให้เมียของสุรินทร์ก็อุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าออกมา
"นี่ไงลูกของเอ็ง"
"ลูก...ลูกผม ผู้หญิงหรือว่าผู้ชายครับหมอ"
"ผู้หญิง แข็งแรงครบสามสิบสอง หน้าตาน่ารักน่าชังจริงๆ เอ็งจะตั้งชื่อว่าอะไรล่ะ"
สุรินทร์เข้าไปอุ้มลูกสาวในห่อผ้ามาประคองอย่างทะนุถนอม น้ำตาคลอเมื่อเห็นใบหน้าอันน่ารักน่าชัง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
"คืนนี้ดาวเต็มฟ้า ส่องแสงเป็นประกายสวยงามเหมือนกับลูกสาวของพ่อ พ่อจะเรียกลูก ว่า....รินดารา"

12 ปีต่อมา ท่ามกลางบรรยากาศตลาดในตำบล ชาวบ้านเอาผักปลามาขายเรียงรายขายสองข้างทาง
รินดาราในวัย 12 ปี หน้าตาน่ารักเดินตามแม่มาจ่ายตลาด ระหว่างที่แม่กำลังเลือกซื้อผักอยู่ ข้างๆแผงขายปลากับ กบที่อยู่ในกะละมัง รินดาราชะงักมีสีหน้าไม่ดี
ดวงดาว ผู้เป็นแม่ถาม
"เป็นอะไรไปน่ะดารา..ไม่สบายรึเปล่า"
รินดารามีสีหน้าอึดอัดเป็นกังวลใจคอไม่ดีเอาซะเลย สายตาก็เอาแต่เหลือบมองไปที่ปลาช่อนซึ่งนอนอยู่ใน กะละมัง ปลาดิ้นไปมาและพวกกบที่ถูกขังอยู่ในถุงตาข่ายเพื่อรอให้คนซื้อไปบริโภค
เธอได้ยินเสียงสัตว์ดังระงม
"ช่วยชั้นด้วย ชั้นยังไม่อยากตาย ฮือๆๆ..พาชั้นกลับบ้านที ช่วยด้วย..ฮือๆๆ"
"ดารา...ดารา"
"เอ่อ..แม่คะ หนู หนูได้ยินเสียงสัตว์พวกนั้น เขาร้องไห้ เขาอยากให้หนูช่วยพวกเขา เขาไม่อยากถูกฆ่าค่ะแม่"
คำพูดที่โพล่งออกมาของดารา ทั้งแม่และแม่ค้าขายผักและขายปลาต่างได้ยิน ทุกคนต่างมองรินดารา ด้วยความแปลกใจแล้วหันไปซุบซิบกันนินทา สายตาหยามเหยียด ดวงดาวเป็นห่วงลูกไม่อยากให้ลูกถูกครหาเป็นขี้ปากชาวบ้าน
"ดารา แม่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ"
"แต่ว่า..." รินดาราหันไปมองปลาและกบด้วยแววตาสงสาร
"กลับบ้านกันเถอะลูก"
ดวงดาวรีบจูงมือลูกสาวเดินออกไปอย่างเร็ว เพราะไม่อยากให้ลูกถูกนินทาว่าเป็นคนประหลาด แต่รินดาราที่ถูกแม่จูงมือให้เดินออกไปกลับเอาแต่เหลียวมองไปที่ปลาและกบพวกนั้นอย่างเวทนาสงสาร ในที่ สุดรินดาราก็ตัดสินใจสะบัดมือจากแม่แล้ววิ่งไปที่แผงขายปลาทันที
"ดารา"
ดวงดาวพยายามร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้ว เพราะรินดาราเข้าไปเปิดถุงตาข่ายที่มีกบอยู่ในนั้นออกมาเทปล่อยให้กบ กระโดดออกมาเต็มพื้นไปหมด ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายของผู้คนในตลาดเพราะกบกระโดดยั้วเยี้ย
คนขายประฌาม
"ไอ้เด็กบ้า นี่แกทำอะไรของแกเนี่ย แกมันบ้า แกมันเป็นไอ้เด็กบ้า"
พวกพ่อค้าแม่ค้าพากันรุมโวยวายด่ากันใหญ่ รินดาราได้แต่ยินตกใจกลัว !

เวลากลางคืน รินดารานั่งสะอื้นอยู่ข้างๆกี่ทอผ้าที่ใต้ถุนเรือน ดวงดาวถือหนังสือนิทานเข้ามานั่งข้างๆ
"แม่...แม่จ๋า ดาราได้ยินเสียงสัตว์มันคุยกันจริงๆนะแม่ ดาราไม่ได้บ้า ทุกครั้งที่ดาราได้ยินสัตว์มันคุยกัน ปานที่ข้างหลังดารามันยังเต้นตุบๆด้วยนะแม่"
ดวงดาวแปลกใจ เข้าไปเปิดไหล่เสื้อลูกสาวเพื่อดูปานสีแดงเล็กๆที่มีลักษณะคล้ายดวงดาวซึ่งอยู่ด้านหลังไหล่
"แม่ไม่เชื่อดาราเหรอจ๊ะ"
"แม่รู้ว่าหนูเป็นเด็กฉลาดและเป็นเด็กดี ไม่ว่าหนูจะทำอะไรแม่เชื่อว่าหนูต้องมีเหตุผลเสมอ สำหรับเรื่องนี้แม่อยากให้เก็บเป็นความลับของเราสองคนแม่ลูก สัญญากันนะ"
ดวงดาวชูนิ้วก้อยขึ้นมา รินดาราพยักหน้ารับแล้วเกี่ยวก้อยกับแม่สัญญากัน
"สัญญาแล้วนะ เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงเวลาโปรดของหนูแล้ว"
ดวงดาวเอาหนังสือนิทานที่มีภาพหน้าปกเป็นลายเส้นแบบญี่ปุ่นรูปนกกระเรียนและสุนัขจิ้งจอก ตัวหนังสือเขียน ไว้ว่า “ตำนานพื้นเมืองญี่ปุ่น เทพเจ้านกกระเรียนและเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกแห่งเมืองสึกิ”
"นิทานโปรดของหนู เล่าให้หนูฟังนะคะแม่"
"จ้ะ เล่าให้หนูฟังแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวจนแม่จำได้ขึ้นใจหมดแล้ว"
"ก็หนูชอบนี่คะแม่..โตขึ้นหนูจะเที่ยวเมืองสึกิให้ได้"
รินดารารอฟังแม่เล่านิทานเรื่องโปรดอย่างใจจดใจจ่อ ดวงดาวเริ่มเปิดหน้าหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบเป็น รูปลายเส้นอันสวยงามของเทพเจ้านกกระเรียนในชุดกิโมโนสีสวย
"เมื่อสมัยที่สวรรค์และโลกมนุษย์ยังติดต่อกันได้ ผู้คนยังเชื่อในคุณความดี เทพเจ้าจึงมักมาโปรดมนุษย์บ้างเป็นครั้งคราว เทพเจ้านกกระเรียนมีคนรักคือเทพธิดาดาวเดือนเจ็ด ชื่อของเธอคือ...เมียวโจ"

ดวงดาวเล่าเรื่องราวหนหลัง

เวลาผ่านไป รินดาราพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เธอไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือนิทานเล่มโปรดขึ้นมาดูแล้ว ยิ้มมีความสุข

ระหว่างนั้นพ่อกับแม่เข้ามา
"จะเอานิทานเล่มนั้นไปญี่ปุ่นด้วยจริงๆเหรอลูก"
"ค่ะแม่..ก็หนูตั้งใจไว้แล้วว่าระหว่างเรียน หนูจะขยันทำงานเก็บเงินเพื่อจะไปกราบไหว้ ศาลเทพเจ้านกกระเรียนที่เมืองสึกิให้ได้"
ดวงดาวฟังลูกสาวแล้วหันไปมองหน้ากับสุรินทร์อย่างคิดเอาไว้แล้ว
"เห็นมั้ยแม่..พ่อบอกแล้วไง..ดารา พ่อแม่ดีใจที่ลูกพยายามสอบชิงทุนจนได้ไปเรียนถึง ญี่ปุ่น เราถึงอยากให้ลูกตั้งใจเรียนมากๆ เราเลยเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีมาให้ลูก เพื่อที่ลูกจะได้เอาไว้ใช้จ่าย ไม่ต้องไปทำงานหนักๆ จนรบกวนเวลาเรียน" สุรินทร์บอก
สุรินทร์ยื่นซองเงินให้ลูกสาว แต่รินดาราปฏิเสธ
"ดารารับไม่ได้หรอกค่ะพ่อ น้องยังต้องเรียนต้องกินต้องใช้ บ้านเราก็ยังมีภาระอีกเยอะ"
"แต่แค่ค่ากิน ค่าอยู่ ลูกก็ต้องทำงานแทบจะทุกวันแล้วนะ อุตส่าห์ได้ไปทั้งที แม่ก็อยากให้ลูกได้ไปเมืองสึกิอย่างที่ลูกฝันเอาไว้ตั้งแต่เล็กๆ" ดวงดาวบอก
"หนูต้องทำได้สิคะแม่ หนักต้องเอา เบาต้องสู้ ไม่ให้เสียที่พ่อแม่สอนหนูมาตลอดไง"
รินดารายืนยันหนักแน่นให้พ่อแม่มั่นใจด้วยรอยยิ้มอย่างจริงจัง

บริเวณสวนญี่ปุ่น อาคิระ มิยาคาวะ ทายาทรุ่นปัจจุบันของตระกูล ในวัยหนุ่มแน่นอายุ 20 ต้นๆอยู่ใน ชุดซ้อมเคนโด้สีดำทะมึนเคร่งขรึม เขากำลังซ้อมออกแรงเรียกกำลัง ฟันดาบไม้ในมือแหวกอากาศอย่างหนักหน่วงผสมกับเสียงร้องอันดัง แต่ละเพลงดาบที่เขารับมือกับคู่ซ้อมเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง บางจังหวะอาคิระพลาดโดนดาบไม้ซัดเข้าลำตัวแต่เขาก็สามารถรุกกลับ และตอบโต้พุ่งปลายดาบไม้เค้นโด้ไป เขาหยุดชะงักที่คอหอยของคู่ซ้อม เป็นผลให้อาคิระเป็นฝ่ายชนะ คู่ซ้อมโค้งให้ แล้วออกไป
อายูมิ หลานสาววัย 10 ขวบ เดินเข้ามาพร้อมปรบมือ
"คุณอาของอายูมิเก่งที่สุดเลยค่ะ..เย้ๆๆ รับรองเลยค่ะว่าแข่ง คราวนี้ คุณอาจะต้องได้ถ้วยแชมป์มาแน่นอน"
"แล้วถ้าอาเกิดแพ้ไม่ได้แชมป์ล่ะ อย่าลืมนะว่าคู่แข่งอามีแต่คนเก่งๆทั้งนั้น"
อายูมิทำท่าคิด
"งั้นถ้าคุณอาแพ้กลับมา อายูมิก็ยังมีรางวัลปลอบใจ"
"ชักอยากรู้แล้วสิว่ารางวัลของอายูมิคืออะไร...ถ้าแค่ให้หอมแก้มอย่างเดียว ไม่เอานะ อาขโมยหอมเราทุกวันอยู่แล้ว"
"แหม..รับรองค่ะว่าต้องชื่นใจกว่าหอมแก้มอายูมิแน่นอน...แต่รางวัลสำหรับคนแพ้ อายูมิไม่อยากให้เท่าไหร่หรอก เพราะคุณอาต้องชนะเอาถ้วยแชมป์มาให้อายูมิ สัญญานะคะ"
อายูมิชูนิ้วก้อยให้อาคิระเลยเกี่ยวก้อยสัญญาหัวเราะไปด้วยกัน อาหลานคู่นี้สนิทสนมและรักกันมากๆ

ทางเดินในคฤหาสน์มิยาคาวะ อาคิระกับอายูมิเดินเข้ามาเจอกับอากิฮาระพี่ชายของอาคิระ ซึ่งเป็นพ่อของอายูมิ
"อายูมิจัง..มาอยู่นี่เอง พ่อว่ากวนคุณอาพอแค่นี้ได้แล้วนะ เดี๋ยวคุณอาเขาต้องรีบไปขึ้นรถแล้ว"
"อ้าว..เราไม่ได้ไปพร้อมกันเหรอครับพี่ชาย"
"โทษทีนะอาคิระ มีงานด่วนที่โรงงานทอผ้าของเรา พี่ต้องเข้าไปเคลียร์ก่อนแล้วจะตาม ไปเชียร์เราทีหลัง"
"งั้นให้หนูนั่งรถไปกับคุณอาได้มั้ยคะคุณพ่อ"
"อย่าเลยลูก คุณอาต้องไปเตรียมตัวแข่ง เดี๋ยวลูกจะไปทำให้คุณอาเสียสมาธิ"
อายูมิหน้าเซ็ง
"แต่ว่า…"
"ไม่เป็นไรหรอกอายูมิ...เดี๋ยวหนูค่อยตามไปเชียร์อาทีหลังก็ได้ รับรองว่าอาจะเอาถ้วย แชมป์มาให้หนูแน่นอน"
"ก็ได้ค่ะคุณอา"
อายูมิบอกแล้วเข้าไปสวมกอดผู้เป็นอาอย่างสนิทสนม อาคิระสวมกอดหลานสาวแล้วยิ้มให้

บรรยากาศมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น นักศึกษาเดินขวักไขว่ ที่ม้านั่งมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย รินดารานั่งหันหลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่น เพื่อหาดูงานพิเศษที่จะทำเพิ่มหลังเลิกเรียน ระหว่างนั้นเธอได้ยินเสียงบางอย่างเลยชะงักหันหน้ากลับไป
ใบหน้าของรินดาราเมื่อโตเป็นสาว ดวงตากลมโต ผิวขาวและดูมีเสน่ห์ สายตาเธอจับจ้องไปที่แมวจรจัด ตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างจากเธอไปไม่ไกลนัก สภาพของมันดูผอมโซน่าสงสาร เธอได้ยินเสียงขอร้องของมัน
"ชั้นหิวจังเลย ช่วยชั้นหน่อยได้มั้ย รินจัง"
รินดาราเพ่งมองอย่างเข้าใจ ระหว่างนั้นเพื่อนนักศึกษาเข้ามาขัดจังหวะ
"รินจัง..รินจัง"
"เอ่อ..อะไรเหรอซาเอะ"
"เป็นอะไรของเธอน่ะ..ชั้นเห็นเอาแต่จ้องแมวจรจัดตัวนั้นตั้งนานแล้ว"
"ไม่มีอะไรหรอก..เห็นมันเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้ ไม่รู้มาจากไหนน่ะ"
"ก็คงแมวจรจัดแถวนี้มั้ง..แต่ช่างเถอะ" ซาเอะมองไปที่หนังสือพิมพ์ "ตกลงเธอหางานพิเศษ ทำได้รึยัง ระวังนะจ่ายค่าเช่าห้องเจ๊นัทซึโกะช้าล่ะก็..โดนด่าหูชาแน่"
รินดาราถอนใจ
"ก็กำลังหาอยู่นี่แหละ..แต่โทร.ไปแล้วถ้าไม่เต็มก็ต้องรอไปเสียบแทนคนอื่น"
"งั้นเอาอย่างนี้มั้ย ไหนๆวันนี้เธอก็ว่าง ไปรับจ๊อบพิเศษงานนี้แล้วกัน เงินน้อยหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีรายได้เข้าเลย"
"งานอะไรเหรอ"
ซาเอะยื่นโปสเตอร์การแข่งขันเคนโด้ระดับมหาวิทยาลัยให้ดู
"วันนี้เขามีแข่งเคนโด้แบ่งสาย มหาวิทยาลัย เขากำลังอยากได้อาสาสมัครไปช่วยทำงานธุรการ ถ้าสนใจก็รีบไปลงชื่อ เลย" ซาเอะดูเวลา) "สายแล้วต้องรีบไปเข้าเรียน แล้วเจอกันนะรินจัง"
ซาเอะรีบเดินออกไป รินดาราเอาโปสเตอร์มาดูอย่างสนใจระหว่างนั้นเสียงร้องของแมวจรจัดดังเข้ามาอีก...เมี้ยว
รินดาราชะงักมองแล้วสีหน้าไม่ค่อยดี เธอเหลียวซ้ายแลขวาเห็นนักศึกษายังเดินขวักไขว่ไปมาเธอเลยไม่กล้า สบตากับเจ้าแมวจรจัดตัวนั้น

ทำได้ก็เพียงรีบลุกเดินหนีไป

อ่านต่อหน้า 2

กลกิโมโน ตอนที่ 1 (ต่อ)

อาคิระในชุดเกราะเคนโด้สวมหน้ากากป้องกัน กำลังฟาดฟันรุกรับอยู่กับการแข่งเคนโด้ เขาใช้ความสามารถอันเก่งกาจไล่ฟันถูกจุดทำคะแนนบนตัวคู่ต่อสู้หลายจุดติดๆกัน จนกรรมการชูธง ให้อาคิระเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้ อาคิระถอดหน้ากากออกแล้วโค้งทำความเคารพคู่ต่อสู้แล้วเดินลงจากเวทีแข่ง

"เพลงดาบของตระกูลมิยาคาวะ ดูยังไงก็เหมือนท่าฟ้อนรำมากกว่าท่าต่อสู้นะ..อาคิระ"
อาคิระชะงักกับเสียงนั้นเมื่อหันไปจึงเห็นฮิเดโนริ โคสึกะ คู่ปรับสำคัญของตระกูลที่มีประวัติเป็นอริกันมายาวนาน ฮิเดโนริอยู่ในชุดแข่งเคนโด้เหมือนกัน ใบหน้าของเขาแฝงรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจและยียวน
"เป็นอะไร...ตกใจเหรอที่เห็นคนจากตระกูลโคสึกะเข้าร่วมการแข่งวันนี้ด้วย"
"ทำไมจะต้องตกใจด้วย"
"ก็เพราะกลัวแพ้ไง..หึๆๆ"
"แพ้ชนะต้องตัดสินกันด้วยฝีมือเพลงดาบบนเวทีแข่ง ไม่ใช่เพลงฝีปากที่โอ้อวดเอาเอง หรอก..ฮิเดะซัง"
ฮิเดโนริชะงัก ชักสีหน้าเอาเรื่อง
"ได้..ถ้าแกไม่ถอดใจกลัวความพ่ายแพ้จนขอถอนตัวออกไปเอง เพลงดาบของตระกูลโคสึกะก็จะสั่งสอนพวกมิยาคาวะ ให้รู้กันซะทีว่ามีดีก็แค่ทอผ้า กิโมโนเท่านั้น"
ฮิเดโนริจ้องเขม็งอาคิระก่อนจะเดินกระแทกไหล่แล้วไปรวมกับทีมแข่งตัวเอง อาคิระมองตามกัดฟันกรอด

รถคาดิแลคสีดำทะมึนสวยหรูของตระกูลมิยาคาวะแล่นไปตามท้องถนนบนหุบเขาอันเขียวขจีมุ่งหน้า เมื่อรถแล่นออกจากหุบเขาสึกิ เสียงคุยโทรศัพท์ของอายูมิกับอาคิระดังขึ้น
"ผ่านรอบแรกเข้าไปได้แล้วเหรอคะคุณอา..เย้ๆๆๆ อายูมิดีใจจังเลยค่ะ"
ภายในรถอายูมินั่งอยู่กับพ่อที่เบาะหลัง คุยโทรศัพท์อยู่
"แค่รอบแรกเองนะอายูมิ..ยังเหลืออีกตั้งหลายรอบกว่าจะเข้าชิง" อากิฮาระบอก
อายูมิบอกกับพ่อ
"แต่คุณอาของอายูมิเก่งที่สุด ยังไงก็ต้องเข้าชิงแน่นอนค่ะคุณพ่อ " แล้วหันไปที่คนขับรถ "ซาโต้ซังขับเร็วกว่านี้หน่อยสิ เดี๋ยวอายูมิไปเชียร์คุณอาไม่ทัน"
"ครับคุณหนูอายูมิ"
คนขับรถแตะคันเร่ง เร่งความเร็วให้รถวิ่งฉิวไปบนถนน

รถของตระกูลมิยาคาวะแล่นฉิวผ่านไปบนใบเมเปิ้ลแห้งบนพื้นถนนจนปลิวตามแรงลม ใบเมเปิ้ลปลิวดูสวยงาม แต่เมื่อรถแล่นผ่านไปแล้วกลับปรากฏร่างของ ฮิโตชิ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผมสั้นในชุด ยูกาตะสีน้ำเงินไม่มีลวดลายและสั้นเหนือเขา ผิวของเด็กชายนั้นขาวจนซีด ดวงตาของเด็กชายกลับดำสนิทไม่มีสีอื่นปะปน ริมฝีปากของเด็กชายแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวปนเสียงหัวเราะเล็กแหลมชวนขนลุก
ฮิเดะหันหน้าร้ายพร้อมคำสั่ง
"แกไปจัดการยังไงก็ได้ให้พวกมิยาคาวะต้องอยู่กับความเจ็บปวด ไปตลอดชั่วลูก ชั่วหลาน !! ไป"

มุมหนึ่งของโรงยิม รินดารามีป้ายห้อยคอบอกว่าเป็น Staff สวัสดิการ เธอแบกคูลเลอร์น้ำหนักอึ้งเดินมาตามทาง แล้วบ่น
"หนักชะมัดเลย โอ้ย.... ไม่ได้นะดารา ถึงงานจะหนัก เงินจะน้อยแค่ไหน เธอก็ต้องสู้ ไม่อย่างนั้นเธอเรียนไม่จบแน่...ฮึ๊บ...ไฟต์โตะ"
ดารายกมือกำหมัดทำท่าเรียกกำลังใจอย่างน่ารักๆแล้วจะแบกคูลเลอร์น้ำเดินต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อเจอเจ้าแมวจรจัดตัวเดิมเดินออกมายืนขวางทางเธอ เหมือนมันพยายามตามตื้อขอร้องบางอย่าง
เธอช่วยชั้นได้นะรินจัง ชั้นหิวจริงๆ ช่วยชั้นเถอะนะ นะรินจัง"
รินดาราได้แต่ยืนมองแมวตัวนั้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจและเวทนาสงสาร
"ชั้นรู้แล้วว่าเธอหิว..แต่รอก่อนได้มั้ย เสร็จงานแล้วจะซื้อปลาอร่อยๆให้กิน"
แต่ระหว่างที่รินดาราพูดกับแมว นักศึกษาที่เดินอยู่แถวนั้นหันมามองรินดาราแล้วซุบซิบกัน รินดารารู้สึกประหม่า กลัวถูกคนมองว่าเป็นคนประหลาด มารู้ตัวอีกทีเจ้าแมวจรจัดก็รีบวิ่งหนีไป
"เดี๋ยวสิ"

ณ มุมนั่งพักผ่อนใกล้บริเวณโรงยิม อาคิระถือโทรศัพท์คุย ส่วนอีกมือก็เปิดห่อผ้ากล่องข้าวแบบเบนโตะออก ข้างในเป็นข้าวปั้นกับปลาย่างที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
"โอ้โห..อย่าบอกนะว่าอาหารในกล่องเนี่ยฝีมืออายูมิหมดเลย"

ภายในรถ อายูมิยังคุยโทรศัพท์อยู่กับอาคิระ
"ก็ใช่น่ะสิคะ คุณอา..หัดทำข้าวปั้นอยู่ตั้งนาน ส่วนปลาย่างก็ย่างเสียทิ้งไปตั้งหลายตัว คุณอาต้องกินให้หมดนะคะ ห้ามเหลือทิ้งเด็ดขาด"
ฮิโตชิ ผีเด็กญี่ปุ่นหน้าตาน่ากลัว ผิวขาวซีด ในชุด ยูกาตะสั้นนั่งคุดคู้กอดเข่า ดวงตาสีดำทะมึนอยู่ตรงกลางระหว่างอายูมิกับอากิฮาระโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว
"พ่อว่าหนูวางสายได้แล้วล่ะอายูมิ ให้คุณอาได้พักทานข้าวบ้างเถอะ"
"ก็ได้ค่ะคุณพ่อ แค่นี้ก่อนนะคะคุณอา สู้ๆนะคะ อายูมิไปถึงแล้วจะเชียร์คุณอาให้ดังลั่นสนามเลย"
อายูมิกดวางสายแล้วหันมายิ้มให้พ่อ โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า มีผีเด็กหน้าตาน่ากลัวนั่งร่วมการเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้น คนขับรถมองเจ้านายผ่านทางกระจกหลัง แล้วเห็นภาพผีเด็กน่ากลัวนั่งอยู่
คนขับรถตกใจหน้าซีดทำให้รถเสียจังหวะไปนิดนึง
อากิฮาระถาม
"เป็นอะไรไปน่ะซาโต้ซัง"
"เอ่อ..คือ" คนขับรถมองผ่านกระจกอีกที แต่คราวนี้ไม่เห็นผีเด็กแล้ว "ไม่..ไม่มีอะไรครับนายท่าน"
คนขับรถบอกไป แต่ก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี

อาคิระอมยิ้มให้โทรศัพท์ในมือ หลังจากวางสายคุยกับหลานสาวไป แต่เมื่อเขาหันกลับมาที่กล่องข้าวอีกครั้งก็ต้องตกใจเมื่อไม่พบปลาย่างในนั้น สิ่งที่อาคิระเห็นก็คือ เจ้าแมวจรจัดคาบปลาย่างอยู่ในปากแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
"เฮ้ย !! หยุดนะ..ไอ้แมวขโมย"

รินดาราเข้ามาตามหาเจ้าแมวจรจัดจนกระทั่งเห็นมันกำลังก้มหน้าก้มตาแทะปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อย
"มาอยู่นี่เอง..แล้วนั่นเธอไปเอาปลาย่างมานี่มาจากไหน ขโมยเขามาใช่มั้ย ทำไมทำ อย่างนี้ล่ะ ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าเสร็จงานแล้วจะไปซื้อปลามาให้กิน"
รินดาราพูดไปก็เข้าไปอุ้มแมวจรจัดขึ้นมาคุยด้วย
"ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ..คนเขาถึงเอานิสัยเธอไปเปรียบเทียบว่าเป็นแมวขโมย ทีหลังอย่า ทำอีกนะ รู้มั้ย"
"เธอนี่เองเจ้าของแมวขโมย" อาคิระว่า
รินดาราชะงัก
"เอ่อ..เปล่านะชั้นไม่ใช่เจ้าของแมวตัวนี้"
"จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็เห็นคุยกันจ๊ะจ๋ากับแมวอยู่นี่ไง"
"คุยจ๊ะจ๋าที่ไหน ชั้นกำลังสอนให้เขาไม่ลักขโมยใครอีกอยู่ต่างหาก"
"ว่าไงนะ สอนสั่งแมว คุยกับสัตว์รู้เรื่องด้วยเหรอ"
รินดาราชะงักที่เผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา ส่วนเจ้าแมวตัวปัญหาก็กระโดดออกไปจากมือเธอแล้วหายไป อย่างเร็ว รินดาราเลยหันมาปฏิเสธเสียงแข็ง
"บ้ารึเปล่าคุณ ใครจะคุยกับสัตว์รู้เรื่อง"
"ก็เธอเพิ่งพูดเอง แล้วก็เห็นคุยเป็นวรรคเป็นเวร" เขามองเธอหัวจรดเท้า "หรือว่าเธอก็คือคนบ้า"
รินดาราฉุน
"นายนั่นแหละที่บ้า ! ก็แค่ปลาย่างตัวเดียว เดี๋ยวชั้นชดใช้ค่าเสียหายให้เอง"
"หึ..ผมไม่ได้อยากได้เงิน แค่คำขอโทษก็พอแล้ว"
รินดาราชักสีหน้าไม่พอใจใส่
"ว่าไง..ถ้าไม่ขอโทษก็แสดงว่าสติไม่ดี ผมจะได้ยอมไม่ถือสาเอาความ"
รินดาราเจ็บใจกัดฟัน
"ก็ได้..ชั้นขอโทษ"
"ก็แค่นั้น"
อาคิระพูดด้วยเสียงเจ้ายศเจ้าอย่างใส่ก่อนจะเดินออกไป รินดารามองตามแล้วเจ็บใจหัวเสีย

"ตาบ้าเอ้ย..ชิ"

บนหอคอยยามนี้ ปลายพู่กันจรดลงบนกระดาษสาแผ่นใหญ่ เป็นโฮชิกำลังวาดภาพหญิงสาวในชุดกิโมโน ถือร่มยืนหันหลังอยู่ในซุ้มอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย มีกลีบดอกวีสทีเรียโปรยปรายรอบๆ ตัวเธอ

โฮชิวาดภาพนี้เกือบจะเสร็จแล้ว และนิ่งมองหญิงสาวในชุดกิโมโนถือร่มยืนหันหลังด้วยความคิดถึง เขาค่อยๆ หลับตาแล้วจินตนาการต่อ

โฮชิค่อยๆลืมตาขึ้นมา โฮชิในชุดสูทเท่ๆแบบมนุษย์ธรรมดายืนอยู่ในอุโมงค์ ดอกวิสทีเรียพร่างพรายเต็มไปหมด และผู้คนมากมายที่เดินอยู่ในอุโมงค์
โฮชิเอื้อมมือขึ้นไปเหมือนต้องการสัมผัสกับดอกวิสทีเรียเหล่านั้น จนเสียงเรียกของเมียวโจดังแผ่วเข้ามา
"โฮชิ...โฮชิ"
โฮชิชะงักหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นภาพหญิงสาวในชุดกิโมโนสวยงามกางร่มยืนหันหลังให้เขาท่ามกลาง ดอกวิสมีเรีย โฮชิมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจและผู้คนที่เดินผ่านหน้าไปมา
หญิงสาวในชุดกิโมโนคนนั้นค่อยๆหันหน้ากลับมาช้าๆ เป็นเมียวโจดวงตาสีเขียว
"โฮชิ...ชั้นดีใจที่เธอยังมองหาชั้น ท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้า"
เมียวโจพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างมีความสุข

โฮชิลืมตาขึ้นมาอย่างตื่นเต้นกับภาพที่ตัวเองเห็นในจินตนาการ แต่สิ่งที่ทำให้เขาอัศจรรย์ใจก็คือกลีบดอก วิสทีเรียจากภาพวาดนั้นร่วงโรยโปรยปรายอยู่เต็มพื้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มี เขาหยิบกลีบหนึ่งขึ้นมา สีหน้างสงสัย
" เมียวโจ "
โฮชิรีบลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องทันที

รถของอากิฮาระแล่นไปตามถนนในหุบเขา ซาโต้ซังขับรถไปอย่างปกติจนกระทั่งได้ยินเสียงร้องเพลง กล่อมเด็กดังขึ้นมาจากเบาะหลังที่เจ้านายนั่งอยู่
ฮิโตชิร้องเพลงนั้น
"kirakira hikaru…osora no hoshi yo...mabataki shite wa…minna wo miteru... kirakira hikaru…osora no hoshi yo"
ฮิโตชิเสียงเล็กแหลมคล้ายเสียงเด็กผู้หญิงร้องเพลงกล่อมเด็กทำนอง Twinkle little star โดยร้องเป็นภาษาญี่ปุ่น เสียงฟังดูเยือกเย็นโหยหวน
คนขับรถบอก
"นั่งอยู่ในรถเบื่อเหรอครับคุณหนู อีกเดี๋ยวลงจากเขาก็เข้าทางด่วนแล้วครับ"
"ทำไมถามอายูมิแบบนั้นล่ะซาโต้ซัง"
"ก็เมื่อกี้นี้ผมได้ยินคุณหนูร้องเพลงนี่ครับ"
"ร้องเพลง ? อายูมิไม่ได้ร้องเพลงอะไรเลยนะคะซาโต้ซัง"
"แต่เมื่อกี้นี้ผมได้ยินจริงๆนะครับ"
"วันนี้เป็นอะไรของนาย..ห๊ะ ซาโต้ ชั้นนั่งอยู่กับลูกสาวยังไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงเลย"
คนขับรถเริ่มคิ้วขมวดสงสัย สักพักเสียงร้องเพลงกล่อมเด็กญี่ปุ่นก็ดังขึ้นอีก
"kirakira hikaru…osora no hoshi yo..."
ซาโต้ซังค่อยๆหันไปตามเสียงร้องอันเย็นยะเยือก เสียงนั้นมาจากเบาะข้างๆคนขับของเขาเอง ภาพที่เห็นทำให้ ซาโต้ตกใจตาเหลือก เพราะผีเด็กหน้าซีดดวงตาดำทะมึนในชุดยูกาตะ นั่งงอเข่าร้องเพลงกล่อมเด็กช้าๆเนิบๆ
"mabataki shite wa…minna wo miteru... kirakira hikaru…osora no hoshi yo"
ระหว่างร้องไป ผีเด็กก็ยื่นมือมาจับข้อมือของซาโต้ซัง หยดเลือดค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาของมัน
"ไม่..ไม่..ไม่"
ซาโต้ซังร้องตะโกนดังลั่น อากิฮาระกับอายูมิตกใจ

รถของอากิฮาระขับส่ายไปมาบนถนนก่อนจะพุ่งออกนอกข้างทางแล้วชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่...โครม !!! เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า
ควันจากห้องเครื่องโขมงไปทั่วบริเวณ ซาโต้ซังคนขับรถตายคาที่อยู่ที่พวงมาลัย ที่เบาะหลังอากิฮาระเลือดท่วมตัวและตายคาที่เหมือนกัน ส่วนอายูมินั้นเลือดเกรอตามตัวและใบหน้า หายใจรวยริน ตาปรือครวญคราง ด้วยเสียงอันแผ่วเบา
"คุณ...คุณอา อาคิระ ช่วย ช่วยอายูมิด้วย"
เสียงอายุมิเบาลงจนกระทั่งแน่นิ่งไป...
สภาพรถพังยับในที่เกิดเหตุ ฮิโตชิยืนดูด้วยใบหน้าอันน่ากลัว เสียงเพลงกล่อมเด็กอันเยือก เย็นวังเวงดังไปทั่วป่า

"kirakira hikaru…osora no hoshi yo...mabataki shite wa…minna wo miteru... kirakira hikaru…osora no hoshi yo"

โฮชิเลื่อนประตูเข้ามาในขณะที่ย่ามิกิในวัย 60 กำลังตัดแต่งดอกไม้ในแจกัน มิกิตกใจ

"ท่านชาย ! นี่ท่านชายลงมาทำไมคะ แล้วมีใครเห็นท่านชายรึเปล่า"
"มิกิ..." โฮชิชูกลีบดอกวิสทีเรียให้ดู
"กลีบดอกวิสทีเรีย ? ท่านชายไปเอามาจากไหนคะ ที่คฤหาสน์เราไม่ได้ปลูกนี่คะ"
"จากเมียวโจ คือสัญญาณที่ชั้นได้จากเธอ มันยืนยันเรื่องลางสังหรณ์ของชั้น"
"ลางสังหรณ์ว่าเธอจะมาช่วยท่านชาย"
โฮชิพยักหน้ารับอย่างดีใจ มิกิพลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย แต่ระหว่างนั้นโทรศัพท์ในห้องของมิกิดังขึ้น มิกิหันไปมอง
"ช่างเถอะค่ะท่านชาย เดี๋ยวเคโกะก็คงจะรับโทรศัพท์ให้ดิชั้นเอง"
แต่สีหน้าของโฮชิที่มองโทรศัพท์กลับไม่สู้ดีเพราะลางสังหรณ์ของเขาได้รับรู้ถึงความโศกเศร้าบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับครอบครัวมิยาคาวะ
"มิกิ..ชั้นว่า เธอควรจะรับโทรศัพท์นี้ด้วยตัวเองนะ"
"ทำไมเหรอคะ ท่านชายมีลางสังหรณ์อะไร"
"รับเถอะมิกิ
"ค่ะ"
มิกิงงงวยสงสัยแล้วขยับไปหยิบโทรศัพท์

ฮิเดโนริในชุดเคนโด้สีดำทะมึนรุกไล่ฟาดฟันด้วยเพลงดาบของตระกูลโคสึกะอันดุดันเล่นงาน คู่แข่งจนถอยร่นเกือบตกเวที และสุดท้ายก็ใช้ปลายดาบไม้กระแทกเข้าที่คอหอยคู่ต่อสู้จนล้มแน่นิ่งหมดสติ
กรรมการชูธงให้คะแนนว่าฮิเดโนริคือผู้ชนะ เสียงปรบมือรอบสนามดังเกรียว
ฮิเดโนริถอดหน้ากากออกยิ้มร้ายกาจ ชี้ปลายดาบไม้เคนโด้ไปยังอาคิระซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเวทีกับทีมของตนเอง
"แกยังมีเวลาถอนตัวออกจากการแข่งขันนะอาคิระ..คิดให้ดีล่ะ..หึๆๆ"
ฮิเดโนริยิ้มร้ายอย่างดูมีเลศนัยอะไรบางอย่างในคำพูดแล้วเดินไปคุกเข่ารอที่ฝั่งตัวเอง อาคิระกัดฟันจ้องเขม็ง ไปที่ฮิเดโนริ จนโค้ชต้องเข้ามาจับบ่า
"ใจเย็นๆอาคิระ..รอบตัดสินเธอจัดการกับมันได้แน่ ตั้งใจทำสมาธิเตรียมรับมือดีกว่า"
อาคิระพยักหน้ารับกับโค้ชแล้วพยายามควบคุมอารมณ์!

มิกิเข่าทรุดหน้าซีดน้ำตาคลอเบ้า มือสั่นระริกหลังจากได้รับฟัง ข่าวร้ายจากโรงพยาบาล
"ไม่..ไม่จริง..เป็นไปไม่ได้..ฮือๆๆๆ..ไม่จริง...ฮือๆๆ"
ย่ามิกิเสียใจเจ็บปวดรวดร้าวฟุบหน้าลงกับพื้นเสื่อร้องไห้โฮปานจะขาดใจ โฮชิรีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้
"ท่าน..ท่านชาย..ฮือๆๆ หลานชายของดิชั้นประสบอุบัติเหตุ เขาจากไปแล้ว..ฮือๆๆๆ ตอนนี้คน ในตระกูลของดิชั้น แทบจะไม่เหลือใครอีกแล้ว"
มิกิร้องไห้เสียใจ โฮชิเศร้าโศกตามไปด้วย ก่อนที่จะค่อยๆโน้มศรีษะลงจนหน้าผากจรดพื้นเป็นการแสดง ความรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ให้กับย่ามิกิ
"ยกโทษให้ชั้นด้วยเถอะมิกิ"
มิกิตกใจ
"ท่านชาย..ท่านชายทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ"
"ลางสังหรณ์ของชั้นควรจะช่วยเตือนอะไรได้บ้าง..แต่เพราะชั้นมัวแต่คิดถึงเรื่องตัวเอง"
"ไม่ใช่ค่ะ..ไม่ใช่ความผิดของท่านชาย"
"เป็นสิ..เป็นเพราะชั้น ตระกูลมิยาคาวะถึงต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้...ชั้นขอโทษ"
โฮชิยังก้มหัวแสดงความรู้สึกรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ให้ มิกิกลั้นสะอื้นแล้วชันเข่าขึ้นมานั่งโน้มศีรษะ หน้าผากจรดพื้นรับการแสดงความรู้สึกของท่านชายอย่างนอบน้อมกลับพร้อมทั้งน้ำตาที่อาบแก้ม

รินดารานั่งลงที่โต๊ะอำนวยการแข่ง อารมณ์ยังไม่หายหงุดหงิด
"คนบ้า..วางท่าใหญ่โต พูดจาดูถูกคนอื่น นี่มันหมดยุคสมัยโชกุนซามูไรแล้วนะยะ"
สต๊าฟเข้ามา
"รินจัง พี่วานอะไรหน่อยสิ ช่วยเอาโน้ตข้อความนี่ไปให้นักกีฬาข้างในหน่อย เรื่องด่วนสำคัญมาก ทางบ้านเขาติดต่อมาให้รีบบอกเขาทันที"
"ได้สิคะรุ่นพี่ แล้วจะให้ชั้นเอาไปให้นักกีฬาคนไหนเหรอคะ"
สต๊าฟจับมือรินดาราแล้วพาเดินไปที่ประตูที่เห็นทีมแข่งอยู่ข้างใน แล้วชี้ไปที่อาคิระ
"นั่นไง คนนั้นแหละ..อาคิระซัง ช่วยเอาไปให้เขาหน่อยนะ"
"หมอนั่นน่ะเหรอคะ..เอ่อ..คือ"
รินดาราอยากจะปฏิเสธแต่ไม่ทันแล้ว เพราะรุ่นพี่สต๊าฟเดินออกไป รินจังทำหน้าเซ็งๆก่อนจะดูข้อความที่อยู่ในมือ
รินดาราอ่าน
"พี่ชายเสียชีวิตแล้ว รีบกลับบ้านด่วน"

รินดาราชะงักอึ้งตกใจกับข้อความในมือเป็นอย่างมาก

ข้างเวทีอาคิระคุกเข่า มือวางที่หน้าตักหน้านิ่ง พยายามทำสมาธิเพื่อขึ้นไปสู้บนเวที

รินดาราเข้ามาอย่างลังเล
"เอ่อ..คือ..คุณ..เอ่อ..อาคิระซัง"
อาคิระชะงักหันมา
"นี่เธออีกแล้วเหรอ ชั้นว่าเราหมดธุระกันแล้วนะ ไปซะ..อย่ามารบกวนชั้น"
"ฟังชั้นก่อนสิ ชั้นไม่ได้มาหาเรื่องอะไรคุณนะ"
"ก็ถ้าไม่มีธุระอะไร แล้วจะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม..ไปสิ"
รินดาราจะฉุนแต่นึกขึ้นได้
"นี่..ชั้นก็แค่เอาเรื่องสำคัญจากทางบ้านคุณมาให้แค่นั้นเองนะ"
อาคิระมองสงสัย
"เรื่องสำคัญจากที่บ้านผม..เรื่องอะไร"
รินดารากระอักกระอ่วนใจแล้วยื่นโน้ตให้
"อ่านดูเอาเองแล้วกัน"
อาคิระรับกระดาษโน้ตมาดู เมื่ออ่านจบก็ตกใจหน้าเสีย ขยำกระดาษทิ้งแล้วหันมาตะคอกใส่
"นี่เล่นบ้าๆอะไรของเธอ คิดจะหาเรื่องชั้นแบบนี้มันไม่ต่ำทรามไปหน่อยเหรอ"
" ชั้นเปล่านะคุณ บ้านคุณแจ้งมาอย่างนี้จริงๆ ปล่อยชั้นนะ ชั้นเจ็บ"
รินดาราเจ็บแขนมากเพราะอาคิระบีบแน่นอย่างลืมตัว เมื่อรินดารายืนยัน อาคิระจึงคลายมือออกอย่างตะลึงงัน
"ชั้น..ชั้นเสียใจด้วยนะคุณ"
"ไม่..ไม่จริง..เป็นไปไม่ได้...ไม่จริง"
อาคิระรีบวิ่งออกไปทันที ท่ามกลางความตกใจของโค้ชและเพื่อนร่วมทีม รินดาราได้แต่มองตามอย่างสงสาร
ฮิเดโนริมองตามอาคิระแล้วยิ้มร้ายกาจเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น

อาคิระรีบวิ่งออกมาตามทางเดินอย่างร้อนรน แต่ต้องชะงักที่กลางทางเพราะเจอฮิเดโนริมายืนขวาง
"จะรีบไปไหนล่ะอาคิระ นายต้องอยู่แข่งรอบชิงกับชั้นไม่ใช่เหรอ"
"หลบไปฮิเดะ...ชั้นไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับแก"
"งั้นนายก็กลับไปสู้กับชั้นบนเวทีสิ ไม่ใช่กลัวจะแพ้ชั้นจนต้องวิ่งหนีหางจุกตูดแบบนี้"
อาคิระกำหมัดแน่นเจ็บใจกัดฟัน
"ชั้นต้องถอนตัวจากการแข่ง ไม่ใช่เพราะกลัวแก"
"งั้นเกิดอะไรขึ้น มีเรื่องใหญ่อะไรถึงขนาดทำให้อาคิระ ผู้ทรนงในชื่อเสียงของตระกูล มิยาคาวะ ต้องทิ้งการแข่งขันสำคัญไป"
"ไม่ใช่กงการอะไรที่แกจะต้องรู้"
อาคิระผลักไหล่ฮิเดโนริแล้วรีบเดินต่อ แต่มาชะงักกับคำพูดที่ฮิเดโนริพูดลอยๆอย่างกวนๆขึ้นมา
"เฮ้อ..น่าเสียดาย นึกว่าเพลงดาบของตระกูลมิยาคาวะกับของตระกูลโคสึกะจะได้สู้ กันให้เห็นแพ้ชนะบนเวที น่าเสียดายจริงๆ"
อาคิระหันกลับมามองฮิเดโนริด้วยสีหน้าสงสัยเป็นอย่างมาก เขานึกถึงคำโต้ตอบก่อนหน้านี้
"แพ้ชนะต้องตัดสินกันด้วยฝีมือเพลงดาบบนเวทีแข่ง ไม่ใช่เพลงฝีปากที่โอ้อวดเอาเอง หรอก..ฮิเดะซัง"
"ได้..ถ้าแกไม่ถอดใจกลัวความพ่ายแพ้จนขอถอนตัวออกไปเอง เพลงดาบของตระกูลโคสึกะก็จะสั่งสอนพวกมิยาคาวะ ให้รู้กันซะทีว่ามีดีก็แค่ทอผ้า กิโมโนเท่านั้น"
อาคิระยกมือชี้หน้าฮิเดโนริด้วยอารมณ์โกรธ
"ฝีมือแกใช่มั้ยฮิเดะ...ที่แท้แล้วพวกโคสึกะก็อยู่เบื้องหลังการตายของพี่ชายชั้น"
ฮิเดโนริยิ้มกวน
"หึ..หึๆๆ เอาอะไรมาพูดน่ะอาคิระ ชั้นอยู่ที่นี่กับแกก็เห็นอยู่ อย่ามาหาเรื่อง ป้ายสีตระกูลของชั้น ไม่งั้น..ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปเคารพศพพี่ชาย"
ฮิเดโนริพูดเสร็จชี้ปลายดาบไม้เคนโด้ไปที่อาคิระอย่างท้าท้าย อาคิระโกรธสุดๆปรี่จะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ระหว่าง นั้นโค้ชกับพวกนักกีฬาในทีมวิ่งเข้ามาห้ามและช่วยขวางเอาไว้
"อย่านะอาคิระ"
"ปล่อยผม..ปล่อย"
"ใจเย็นสิๆอาคิระ..เธอต้องรีบกลับไปจัดการเรื่องที่บ้านไม่ใช่เหรอ"
อาคิระชะงัก
"รีบกลับบ้านไปซะ..ไปสิ"
อาคิระเจ็บใจจนน้ำตาคลอเบ้า จ้องเขม็งไปที่ฮิเดโนริอย่างฝังใจแล้วรีบเดินออกไปทันที

ฮิเดโนริ มองตามอาคิระแล้วยิ้มมุมปากดูร้ายกาจออกมาเต็มใบหน้า

อ่านต่อหน้า 3

กลกิโมโน ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในห้องเก็บศพของโรงพยาบาล อาคิระในชุดสูทสีดำสนิทกับย่ามิกิในชุดกิโมโนสีดำเรียบๆ ค่อยๆ เปิดผ้าคลุมศพออก เผยให้เห็นศพอากิฮาระพี่ชายของอาคิระที่นอนสงบนิ่ง

"พี่..พี่ชายครับ"
อาคิระน้ำตาคลอเบ้า มิกิเข้ามาจับมือหลานชายอย่างปลอบใจ
"บอกลาพี่ชายของหลานเถอะอาคิระ"
อาคิระกำหมัดแน่นน้ำตารื้น
"ถ้าผมอยู่ด้วยก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้"
"อาคิระ...มันเป็นอุบัติเหตุนะ"
"คุณย่าเชื่ออย่างนั้นเหรอครับ"
มิกิเงียบ
"ที่คนในตระกูลมิยาคาวะของเราต่างล้มหายตายจากไป ผมไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นอุบัติ เหตุเลยสักครั้ง..แต่เป็นฝีมือของพวก..."
มิกิขัด
"อาคิระ ! อย่าพูดในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้"
"แต่ว่า"
"หลานจะได้บอกลาพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้น..ควรให้เขาจากไปอย่างหมดห่วง ย่าขอร้องนะ...อาคิระ"
อาคิระนิ่งไปอย่างเก็บกดอารมณ์ก่อนจะยอมทำตามที่ย่าขอ เขาหันมาที่ศพของพี่ชายแล้วโค้งคำนับ
"ผมสัญญาครับพี่ชาย ผมจะดูแลทุกคนในตระกูลของเราให้ดีที่สุด โดยเฉพาะกับอายูมิ ผมจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของผม" เขาก้มหัวลงสุด... "ลาก่อนครับพี่ชาย"
อาคิระก้มหัวให้พี่ชายอย่างสุดซึ้งก่อนจะเงยขึ้นมาเอาผ้าคลุมศพกลับไปเหมือนเดิม ระหว่างนั้นพยาบาลเข้ามา
พยาบาลโค้งขอโทษย่ามิกิ
"ขอโทษด้วยนะคะคุณมิยาคาวะ คุณหมอให้มาตาม มีเรื่องอยากปรึกษาเกี่ยวกับอาการของหนูอายูมิค่ะ"
อาคิระกับย่ามิกิหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี

อาคิระกับย่ามิกิรีบพากันเข้ามาเจอคุณหมอที่รออยู่หน้าห้องพักฟื้น
"อายูมิเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ"
"เริ่มจะรู้สึกตัวแล้วครับ"
มิกิดีใจ
"งั้นก็หมายความว่าอายูมิปลอดภัยใช่มั้ยคะ"
"ถ้าเป็นอาการบาดแผลตามร่างกายก็ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าเป็นห่วงครับ"
อาคิระสงสัย
"หมายความว่ายังไงครับ..มีอะไรผิดปกติกับอายูมิเหรอครับหมอ"
หมอมองทั้งสองคนอย่างหนักใจ
"คุณมิยาคาวะครับ..หมออยากให้พวกคุณเป็นคนอธิบาย กับหนูอายูมิเอง เพราะจากนี้ไปหนูอายูมิอาจจะไม่เหมือนเดิมอีก"
"อายูมิเป็นอะไรครับหมอ"
หมอกับอาคิระมองหน้ากัน

ในห้องพักฟื้นอายูมิกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่เตียง มีพยาบาลช่วยปรับสายน้ำเกลือให้ เสร็จแล้วจึงเดินออกไปทิ้งให้ครอบครัวคนไข้อยู่ด้วยกัน
"คุณอา…คุณย่า"
"อายูมิ"
คุณย่ามิกิเข้าไปดึงหลานสาวเข้ามากอดอย่างเป็นห่วงเป็นใย
"เจ็บมากมั้ยอายูมิ"
"ตอนรู้สึกตัวใหม่ๆยังมีเจ็บๆแผลอยู่บ้างค่ะคุณอา แต่ตอนนี้อายูมิทนได้แล้วค่ะ"
"เก่งมากจ้ะ..สมแล้วกับที่เป็นอายูมิของอา"
"ก็คุณอาสอนอายูมิเสมอไม่ใช่เหรอคะ ถึงจะเป็นเด็กผู้หญิงแต่ก็ห้ามอ่อนแอ ไม่งั้นก็จะ โดนคนอื่นรังแกตลอดเวลา"
"ใช่แล้วจ้ะ"
"แล้วคุณพ่อล่ะคะเป็นยังไงบ้าง"
อาคิระกับย่ามิกิ อึกอักกระอักกระอ่วน
"คุณพ่อปลอดภัยใช่มั้ยคะคุณย่า"
"อายูมิ..คือว่าคุณพ่อของหนู"
อาคิระแตะแขนย่ามิกิเบาๆพร้อมพยักหน้าบอกให้ย่ารู้ว่าให้เป็นหน้าที่เขาเอง มิกิจึงยอมถอยออกมาแล้วให้อาคิระเข้าไปอยู่ใกล้ๆอายูมิแทน
"อายูมิ..อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงมาก คุณหมอพยายามช่วยคุณพ่ออย่างเต็มที่แล้ว แต่ว่า..คุณพ่อของอายูมิ..."
อาคิระเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอทำให้ไม่รู้จะพูดยังไง ได้แต่น้ำตารื้นอย่างเจ็บปวด
"เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ...คุณอาคะ..เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ"
"คุณพ่อ...คุณพ่อของหนู..เสียแล้ว"
"คุณพ่อ ! ไม่จริง..อายูมิจะไปหาพ่อ"
อายูมิพยายามดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่ขาไม่มีเรี่ยวแรงและไม่สามารถควบคุมมันได้
"ขา..ขาหนู..ทำไมขาหนูขยับไม่ได้คะคุณอา"
"อายูมิ หนูต้องนอนอยู่บนเตียงนี้ก่อนนะหมอบอกว่าตอนนี้หนูยังเดินไม่ได้"
"ไม่ค่ะ..หนูจะไปหาคุณพ่อ" เธอเขย่าตัวอาคิระ "นะคะคุณอา..หนูจะไปหาคุณพ่อ"
"อายูมิ หนูยังไปไม่ได้ เชื่อคุณย่านะคะ"
"ไม่ค่ะ !!... หนูจะไปหาคุณพ่อ..ฮือๆๆ คุณอา..คุณย่า หนูจะเดิน หนูจะเดิน บอกหมอ มาฉีดยาหรือทำอะไรก็ได้ทำให้หนูเดินได้ที หนูจะไปหาคุณพ่อ..ฮือๆๆๆ"
อายูมิคร่ำครวญเขย่าตัวอาอย่างเด็กที่ไม่ยอมเข้าใจและเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น มิกิถึงกับกลั้นน้ำตา ไม่ไหวร้องไห้เสียใจตามไปด้วย อาคิระเองก็ได้แต่ดึงหลานรักมากอดแนบอกเอาไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาตัวเอง ไหลอาบสองแก้มอย่างเจ็บปวดเช่นกัน
"สักวันอาจะทำให้หนูกลับมาเดินให้ได้..อายูมิ..อาสัญญา..อาสัญญา"

อาคิระกอดอายูมิที่หน้านองไปด้วยน้ำตาเป็นภาพอันน่าเวทนาสงสาร

3 เดือนผ่านไป ภายในคฤหาสน์มิยาคาวะ รูปถ่ายขาวดำของอากิฮาระตั้งอยู่ที่แท่นบูชาพร้อมควันธูป

ห้องโฮชิ บนหอคอย ปลายนิ้วดีดดีดโกะโตะเริ่มไล่เสียงตัวโน้ตทีละตัว ใบหน้านิ่ง มีสมาธิ
ห้องอายูมิ เด็กสาวนอนกอดรูปพ่อร้องไห้กระซิกๆ อยู่ลำพัง
ห้องทำงาน อาคิระไล่เปิดแฟ้มเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน เขาเครียดมากเพราะเพิ่งจะมาเริ่มงานใหม่ เขาทนไม่ไหว..ต้อง ปิดแฟ้มเอกสาร นั่งกุมขมับ

โฮชิเริ่มบรรเลงเพลงจังหวะเร็ว สนุกสนาน ฟังแล้วสบายใจ แล้วจู่ๆ ก็เกิดเส้นแสงสีรุ้งเป็นประกายระยิบระยับ พุ่งขึ้นออกมาจากโกะโตะที่โฮชิกำลังบรรเลง ลำแสงสีรุ้งสวยงามม้วนตัวในอากาศแล้วเคลื่อนออกไปนอกหน้าต่าง ลอยผ่านแมกไม้ไปคลุมบนหลังคาของ คฤหาสน์มิยาคาวะ
อายูมินอนร้องไห้แล้วเห็นแสงสีรุ้งนั้นส่องกระทบใบหน้า อายูมิหันไปมองแล้วตกตะลึง เมื่อพบว่า แสงสีรุ้งแสนสวย ลอยเข้ามาในห้องแล้วม้วนตัวในอากาศกลายเป็นสวนสนุก อายูมิมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
ขณะที่อาคิระยังนั่งกุมขมับ เสียงบรรเลงโกะโตะดังแว่วมา แต่เขาไม่สนใจ ทำให้อาคิระไม่เห็นว่ามีแสงสีรุ้งลอยเข้ามาในห้อง แล้วมันก็หมุนตัวในอากาศก่อให้เกิดลมพัดสมุดเก่าๆ ที่ตั้งอยู่บนชั้นรวมกับสมุดเล่มอื่นๆ ตกพื้น เปิดกางออกหน้าหนึ่งพอดี
อาคิระได้ยินเสียงของตกพื้นจึงหันไปมอง ลำแสงสีรุ้งหายไปแล้ว อาคิระหยิบขึ้นมาอ่านเจอข้อความเขียนอยู่ กลางหน้ากระดาษเป็นสุภาษิตญี่ปุ่นว่า "มีทุกข์ก็ต้องมีสุข" อาคิระอ่านแล้วค่อยยิ้มออกน้อยๆ
ระหว่างนั้น มิกิถือแก้วกาแฟเปิดประตูเข้ามา เห็นอาคิระกำลังอ่านอะไรบางอย่าง
"อ่านอะไรจ๊ะอาคิระ"
"มีทุกข์ก็ต้องมีสุข คำสอนของคุณพ่อครับ คุณพ่อเคยเขียนไว้ให้ผมนานแล้ว สมุดมันตกลงมาผมก็เลยเจอ"
มิกินึกรู้ว่าเป็นฝีมือของท่านชายแน่นอน จึงยิ้มและมองไปที่หอคอยนอกหน้าต่าง
"ผมคิดถึงทุกคนจังเลยครับคุณย่า"
"อาคิระอย่าลืมนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาคิระยังมีย่า มีอายูมิ มีท่านชายอยู่ข้างๆ"
อาคิระแปลกใจ
"ท่านชายด้วยเหรอครับ"
"ใช่จ้ะ เวลาที่ท่านชายรู้ว่าอาคิระเป็นทุกข์ ท่านจะคอยปลอบใจพวกเรา"
"ยังไงครับ"
มิกิมองไปที่สมุดในมืออาคิระโดยไม่ได้ตั้งใจ
"คุณย่ากำลังจะบอกผมว่าที่บังเอิญสมุดตกลงมาทำให้ผมเจอคำสอนของคุณพ่อ เป็น เพราะฝีมือท่านชายหรือครับ ... ถ้าท่านชายทำได้ก็คงไม่ใช่คนแล้วล่ะครับ" อาคิระตอบติดตลก
"เอาเป็นว่าถ้าอาคิระไม่สบายใจก็ปรึกษาท่านชายได้ เพราะท่านชายเคยมีความทุกข์ อย่างหนักหนาสาหัสมาแล้ว และท่านก็รู้ดีว่าจะอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างไรให้มีสุข"
"ท่านชายเป็นทุกข์เรื่องอะไรหรือครับ"
ย่ามิกิไม่ตอบ แต่หันไปมองทางหอคอยด้วยแววตาสงสาร

โฮชิดีดโกะโตะ ยิ้มอบอุ่น แล้วดวงตาก็แหงนขึ้นมองไปที่รูปวาดเมียวโจโอจิในชุดกิโมโนสีทอง ปักปิ่นผมพวงดอกวิสทีเรียยืนใต้ซุ้มวิสทีเรียบนกระดาษสา เสียงเพลงสนุกสนานกลายเป็นเพลงช้ากึ่งเศร้า รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหายไปกลาย เป็นเศร้า คิดถึงสาวคนรักที่จากกันมานานแสนนาน โฮชิค่อยๆหลับตาลงก่อนจะมีเสียงจอกแจกจอแจของรถยนต์บนถนนดังแทรกเข้ามา

โฮชิหลับตา เห็นภาพว่า ตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเต็มท้องถนนและฟุตบาท เสียงผู้คน เสียงรถยนต์ดังสับสนวุ่นวาย โฮชิยืนแปลกใจกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันขวับไปด้วยลางสังหรณ์ บางอย่าง
เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับเมียวโจโอจิน เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เขาตกใจ จะเดินไปหาเธอแต่ชนกับผู้คนที่เดินเบียดเสียด

บนหอคอย โฮชิลืมตาโพล่งพร้อมเรียกชื่อ
"เมียวโจโอจิน"
โฮชิตกใจ ตัวเองได้กลับมาอยู่ในห้องเหมือนเดิม และอยู่หน้าภาพวาดของเมียวโจโอจินใต้ซุ้มอุโมงค์วีสทีเรีย ระหว่างนั้นมิกิเลื่อนประตูเปิดเข้ามาด้วยความสงสัย
"มีอะไรเหรอคะท่านชาย ดิชั้นได้ยินเสียงท่านชายดังออกไปที่ทางเดิน"
โฮชิตอบโดยที่สายตาไม่ละไปจากรูป
"ชั้นเจอเธอแล้วมิกิ"
"เธอ ...หมายถึงคนรักของท่านน่ะเหรอคะ"

โฮชิพยักหน้ารับ สีหน้าเปี่ยมความหวัง

รินดารายืนอยู่ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม เธอกดดูตัวเลขในบัญชีแล้วถอนใจ เพราะเหลืออยู่แค่ไม่กี่หมื่นเยน

ระหว่างนั้นเพื่อนเดินเข้ามา จังหวะที่เธอกดบัตรเอทีเอ็มออกพอดี
"รินจัง อีกนานกว่าจะเข้าเรียน ไปกินชาบูเปิดใหม่ที่หน้ามหาวิทยาลัยกันไหม"
รินดาราชะงัก อยากไปแต่ต้องประหยัดเงิน จึงต้องเนียนโกหกเพื่อน
"เธอไปเถอะ ชั้นไม่หิว ต้องรีบเอารายงานไปส่งอาจารย์ด้วย"
"เหรอ..ตามใจเธอแล้วกัน แล้วเจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ"
รินดารามองตามเพื่อนเดินไปจนลับตา มองบัตรเอทีเอ็มสีหน้าเศร้าๆ แล้วเดินไป

ในห้องทดลองที่เปิดไฟสลัวๆ มีเพียงดวงไฟเล็กๆ เหนือโต๊ะทำงาน ด้านในสุดสว่าง รินดาราเปิดประตู ยื่นหน้าเข้ามา
"ขอโทษค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ" ไม่มีเสียงตอบ "หนูขออนุญาตเอารายงานไปส่งที่โต๊ะ อาจารย์เรียวโกะนะคะ...ขอบคุณค่ะ"

รินดาราเข้ามาในห้อง ปิดประตู แล้วเดินผ่านช่องแคบๆ ซึ่งขนาบข้างด้วยกล่องเหล็กขนาดใหญ่ มุ่งหน้าเข้าไปที่โต๊ะที่อยู่สุดปลายทาง
ระหว่างนั้น ที่หูรินดารา มีเสียงอู้อี้เหมือนคนคุยกันแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังก้องขึ้น เธอสะดุ้ง และหันขวับไป
"ขอโทษค่ะ หนูคิดว่าไม่มีใครอยู่"
แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่ รินดาราแปลกใจ ที่หูรินดารา ได้ยินอีก เธอสะดุ้งแล้วหันไปทางเสียง แผ่นหลังของรินดารา มีแสงเป็นรูปดาวสะท้อนออกมานอกเสื้อ เธอเจ็บแปล๊บ
"โอ๊ย !"
รินดาราทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงกับพื้น แฟ้มรายงานกระเด็นไปไกล เธอยังไม่ทันหายเจ็บ เสียงพูดอู้อี้ก็ดังขึ้นในหูอีก รินดาราหันขวับไปมอง เห็นหนูตะเภาตัวใหญ่อยู่ในกรง
เธอเข้าใจแล้วว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของ "ใคร" เธอต้องกลั้นใจทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน แล้วคลานไปหยิบแฟ้มรายงานที่พื้นใต้กรงสัตว์ชนิดหนึ่ง และทันทีที่รินดาราเงยหน้า "ลิง" ก็พุ่งมาเกาะกรงพร้อมแยกเขี้ยวขู่ฝ่อ !
รินดารากรี๊ด ผงะถอยหลังไปชนกับกรงหมา...หมาเห่าโฮ่ง !
"ใจเย็นๆ ชั้นไม่ได้จะมาทำร้ายพวกเธอ"
เธอถอยหลังไปชนกรงหนึ่ง ซึ่งมีกรงหนูตะเภาตัวใหญ่จ้องมาที่รินดารา เธอปิดหูไม่อยากรับรู้
"ชั้นช่วยเธอไม่ได้จริงๆ"
เธอปิดหู ถอยไปเจอกรงงูเหลือม รินดาราผงะตกใจ มองไปทางไหนก็มีแต่กรงสัตว์ เธออยู่ท่ามกลางนั้นดูน่าเวียนหัว เธอปิดหู ตะโกน
"หยุดพูดกันสักทีได้มั้ย ! ชั้นช่วยเธอไม่ได้"
รินดาราตัดสินใจวิ่งออกไปที่ประตู มือคว้าลูกบิดกำลังจะหมุน แต่แล้วก็หยุดชะงักกึก ทรุดตัวลงกับพื้น ปล่อย ร้องไห้โฮท่ามกลางเสียงสัตว์ร้องระงมจนน่าตกใจ

อายูมิค่อยๆลุกจากรถเข็น มือยันตัวให้ลุกขึ้นโดยไม่มีใครคอยช่วยดู แต่พอขยับก้นลุกขึ้น จากที่นั่ง และสองฝ่าเท้าลงน้ำหนักลงกับพื้นด้วยตัวเอง อายูมิก็มีสีหน้าเจ็บแล้วร้อง..โอ๊ย !! ก่อนจะทรุดลงนั่ง เหมือนเดิม เคโกะ แม่บ้านคนสนิทของมิกิ วัย 40 ปีกับนานะ สาวใช้ วัย 20 ปีเศษประจำคฤหาสน์มิยาคาวะก็เข้ามา ทั้งสองร้องตกใจ
"คุณหนู !"
สาวใช้ต่างวัยที่คอยดูแลอายูมิรีบปราดเข้าไปหา
"โถๆๆ คุณหนูของป้า ไม่ร้องนะคะ"
อาคิระเข้ามาเห็นหลานร้องไห้
"เกิดอะไรขึ้น อายูมิ ! อายูมิเป็นอะไร"
อายูมิอ้าแขนให้อาคิระกอดโอ๋สะอึกสะอื้น
"คุณอาขา อายูมิเจ็บ..อายูมิไม่อยากหัดเดินแล้ว ฮือๆๆ"
อาคิระหันไปดุเคโกะกับนานะ
"ทำไมปล่อยให้อายูมิหัดเดินเอง หมอสั่งไว้ไม่ใช่เหรอว่าต้องคอยระวังให้อายูมิ ต้องให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา"
"ขอโทษค่ะคุณอาคิระ ป้ากับนานะกำลังเตรียมอาหารอยู่ที่ครัว เห็นอีกทีคุณหนูก็ออก มาข้างนอกเองแล้ว"
"ยังมาโทษหลานชั้นอีก"
"อย่าไปว่าป้าเคโกะกับพี่นานะเลยค่ะคุณอา...อายูมิผิดเอง อายูมิอยากลองลุกเองโดยไม่ต้องมีคนช่วย"
"แต่อายูมิทำเองไม่ได้นะ ไว้อาจะหานักกายภาพบำบัดคนใหม่มา ช่วยดูแลอายูมิ เอาล่ะ..อาว่าอาพาอายูมิเข้าไปนอนพักดีกว่า..ไปกันเถอะ"
อาคิระอุ้มพาหลานสาวออกไป นานะกับเคโกะหันมาหน้าจ๋อยๆ ระหว่างนั้นมิกิออกมาจากในคฤหาสน์
"เกิดอะไรขึ้น เสียงดังเอะอะไปถึงข้างใน"

เคโกะกับนานะไม่ตอบ แต่มีสีหน้าไม่สบายใจ

อาคิระอุ้มอายูมิมาวางบนเตียงในห้องนอนเบาๆ ราวกับว่าเด็กน้อยเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ

อายูมิยังสะอื้นไม่หยุด อาคิระดึงผ้าห่มห่มขาให้ แล้วนวดขาหลานสาวเบาๆ และยิ้มหยอก
"ขอพรจากเทพเจ้านกกระเรียนทองผู้คุ้มครองพวกเราช่วยเสกให้ความเจ็บหายไปเดี๋ยวนี้ 1..2..3 " อาคิระก้มลงเป่าที่ขาอายูมิ เพี้ยง ! " พร้อมจูบแก้มทั้งสองข้างเด็กน้อย "เพี้ยง เพี้ยง"
อายูมิยิ้มออกมาได้
"อย่าเพิ่งรีบหายเจ็บสิจ๊ะ อายังไม่หายชื่นใจเลย"
อาคิระจะหอมแก้มอายูมิอีก แต่อายูมิเบี่ยงตัวหลบ หัวเราะคิกคัก
"อย่าค่ะคุณอา...อายูมิจักกะจี้"
อาคิระไม่หยุด อายูมิหัวเราะร่าแล้วยื่นมือไปจะจี้คออาคิระกลับคืนบ้าง
"นี่แน่ๆๆๆ"
"จะจี้อากลับเหรอ ฝันไปเถอะ อาไม่บ้าจี้เหมือนคุณพ่อหนูสักหน่อย"
เพียงได้ยินคำว่า "คุณพ่อ" อายูมิก็หุบยิ้มทันที อาคิระชะงักเจ็บใจตัวเองที่เผลอพูดคำสะเทือนใจอายูมิออกไป
"คุณอาขา..สวรรค์ที่ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่อยู่เป็นยังไงเหรอคะ"
"สวรรค์เป็นที่ที่ดีมาก น่าจะสวยมากด้วย เพราะมีแต่คนดีเท่านั้นที่จะได้ไปอยู่"
"อายูมิเป็นคนไม่ดีหรือคะ คุณพ่อคุณแม่ถึงพาอายูมิไปอยู่บนสวรรค์ด้วยไม่ได้"
อาคิระลูบผมหลาวสาวแผ่วเบา...สงสารจับใจ
"คนที่จะไปอยู่บนสวรรค์ได้จะต้องได้รับอนุญาตจากเทพเจ้าบนสวรรค์ แต่ตอนนี้เขายังไม่อนุญาตให้เราขึ้นไป เราก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วยกันก่อน แล้วสักวันเราจะขึ้นไปหาคุณพ่อ คุณแม่ของหนูด้วยกัน ตอนนี้อายูมิต้องหลับก่อนนะคนดีของอา"
อายูมิหลับตาลงอย่างว่าง่าย อาคิระก้มจูบหน้าผากแล้วกอดหลานสาวกล่อมนอน

อาคิระออกมาจากห้องอายูมิ คุณย่ามิกิยืนคอยอยู่
"หลับไปแล้วเหรอ"
"ครับ รบกวนคุณย่าบอกป้าเคโกะกับนานะด้วยนะครับว่าอย่าคลาดสายตาจากอายูมิ จนกว่าผมจะหานักกายภาพบำบัดคนใหม่มาดูแล"
"หาใหม่อีกแล้ว..ต้องหาอีกกี่คนถึงจะพอใจอาคิระ"
"ก็แต่ละคนที่มาช่วย มีแต่ทำให้อายูมิร้องเจ็บ ผมกลัวว่าถ้าอายูมิขยาดกลัวการทำกายภาพขึ้นมาจะยิ่งแย่"
"แต่นั่นคือการที่อาคิระตามใจหลานมากเกินไป"
อาคิระยอมรับ
"เพราะผมไม่อยากเห็นแกเจ็บ แค่นี้แกก็เจ็บทั้งกายและใจมากพอแล้ว"
"ไม่มีใครอยากให้อายูมิเจ็บ แต่ถ้าให้รู้จักเจ็บปวดบ้างเป็นครั้งคราวจะช่วยให้อายูมิดีขึ้น และช่วยทำให้อายูมิมีความอดทนและเข้มแข็งมากขึ้น" มิกิบอก
กิมิยิ้มและลูบแขนหลานชายอย่างปลอบใจ
ไอ มิยาคาวะ ลูกผู้น้องของอาคิระเดินเข้ามา
"อาคิระ คุณย่าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ"
ไอ มิยาคาวะ หญิงสาวหน้าตาใสซื่อ ดูไม่มีพิษมีภัย อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาคิระวิ่งหอบ เข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก
"เรื่องอะไรเหรอไอ" มิกิถาม

ภายในสำนักงาน ของโรงงานทอผ้าประจำตระกูลมิยาคาวะ ลูกค้าชายหน้าตากวนประสาทเข้ามา
"ผมสั่งทอกิโมโนมาตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว ทำไมถึงยังไม่เสร็จ"
อาคิระอึกอักตอบไม่ถูก เพราะไม่รู้ปัญหา หันไปสบตาขอความช่วยเหลือจากไอ ไอช่วยตอบแทน
"พอดีว่า 3 เดือนที่แล้วคุณอากิฮาระเจ้าของโรงงานคนเก่าเพิ่งเสียชีวิต เลยติดปัญหา เรื่องเซ็นต์เอกสารสั่งซื้อเส้นไหม เส้นไหมก็เลยมาส่งช้ากว่ากำหนดค่ะ"
"ผมถามเจ้าของโรงงาน ลูกกระจ๊อกไม่เกี่ยว"
อาคิระไม่พอใจ
"ถึงผมกับไอจะไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่ไอก็ถือว่าเป็นญาติคนหนึ่งของผม กรุณาอย่าดูถูกเธอ"
"ไม่เป็นไรหรอกอาคิระ" ไอโค้งขอโทษลูกค้า "เราต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ แล้วเราจะเร่ง จัดการตามออเดอร์ให้เสร็จเร็วที่สุดค่ะ"
"โรงงานผลิตกิโมโนโอบิประจำตระกูลมิยาคาวะ เป็นอันดับหนึ่งของสึกิ แต่แสดงความรับผิดชอบได้เท่านี้เองเหรอ"
"คุณต้องการให้เราทำอะไร"
"ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ผมยกเลิกออเดอร์ทั้งหมด" ลูกค้าบ่นขณะเดินออกไปจากห้อง "อุตส่าห์ ไม่ฟังคำเตือนว่าอย่าไว้ใจพวกมือใหม่ของมิยาคาวะ คงถึงคราวที่ตระกูลมิยาคาวะจะ ล่มจมอย่างที่เขาว่าแล้วจริงๆ" ลูกค้าเดินออกไปจากห้อง อาคิระมองตาม..กำมือแน่น แล้วเดินฉับๆ ตามไปขึ้นเสียงเอาจริง
"เดี๋ยว ใครเป็นผู้หวังดีเตือนคุณว่าตระกูลมิยาคาวะจะถึงคราวล่มจม"
ลูกค้าชายไม่บอก แถมยังยิ้มเยาะๆกวนประสาท อาคิระทนไม่ไหวกระชากคอเสื้อลูกค้าถามเสียงกรรโชกดุดัน

"ผมถามว่าใคร !"

อ่านต่อหน้า 4

กลกิโมโน ตอนที่ 1 (ต่อ)

พิธีไหว้ศาลเทพเจ้าจิ้งจอก ไดซูเกะ โคสึกะ ประมุขแห่งตระกูลยืนอยู่ตรงกลาง ฮิเดโนริและอัตซุโอะ ประกบซ้ายขวา แต่อัตซุโอะ คนสนิทประจำตระกูลยืนต่ำกว่าฮิเดโนริ รายล้อมด้วยเหล่าลูกน้องของเรียวอิจิ
ไดซุเกะถือกิ่งไม้ทามากุจิ (กิ่งไม้ที่ผูกกระดาษ สำหรับเซ่นไหว้) คนอื่นๆวางมือทั้งสองข้างไว้บนขาหน้า ก้มตัวลง แต่ไม่งอหลัง
พิธีไหว้กำลังดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ทุกคนตั้งใจตั้งจิตทำสมาธิขณะคำนับเทพเจ้า แต่จู่ๆ มีรถเก๋งสีดำ
ฮิเดะ อัตซุโอะและเหล่าลูกน้องเรียวอิจิหันขวับไปมอง มีแต่ไดซูเกะที่อยู่ในอาการสงบนิ่ง จดจ่ออยู่กับการไหว้ราวกับไม่มี อะไรเกิดขึ้น
อาคิระและลูกน้องก้าวลงจากรถ ฮิเดโนริกัดฟันกรอด
"อาคิระ ! กล้าดียังไงถึงเข้ามาทำลายพิธีของเรา"
ฮิเดโนริผุดลุกขึ้นจะเข้าไปหาอาคิระ ไดซูเกะ ชายชราผู้เป็นประมุขแห่งเรียวอิจิ ตะปบมือเขาไว้ สีหน้าและท่าทางของไดซูเกะยังนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ฮิเดะ อย่าเสียมารยาทกับเทพเจ้า"
ฮิเดโนริจำใจยอมกลับไปยืนที่เดิม ขณะที่อาคิระกับลูกน้องก้าวเข้ามาใกล้หน้าศาล สายตาที่มองพวกเรียวอิจิ เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
"เทพเจ้าที่ปกป้องพวกใจสกปรก ใจก็คงสกปรกไม่ต่างกัน"
ฮิเดโนริทนไม่ไหว ผละจากพิธีไหว้แล้วก้าวฉับๆ เข้าไปเผชิญหน้ากับอาคิระ
"อาคิระ ! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้"
ฮิเดโนริพุ่งเข้าไปหาแอาคิระผลักอกเขาอย่างแรง ฮิเดโนริไม่ทันตั้งตัวกระเด็นไปทางโต๊ะวางเครื่องไหว้ โต๊ะล้มระเนระนาด พวกลูกน้องเรียวอิจิตกใจ ส่วนท่านไดซูเกะนิ่งสงบเหมือนเดิม
ลูกน้องของเรียวอิจิขยับจะเข้าไปจัดการกับอาคิระ ลูกน้องของอาคิระขวางหน้าปกป้อง
"หยุดเดี๋ยวนี้"
ทุกคนชะงัก ไดซูเกะหันไปส่งกิ่งไม้ให้อัตซุโอะ โค้งคำนับหนึ่งครั้ง แล้วหันไปหาอาคิระ
"ธุระของเธอคงจะรีบร้อนมากสินะหลานชาย เธอถึงรอให้เราไหว้เทพเจ้าของเราให้เสร็จ ก่อนไม่ได้"
"พวกเรียวอิจิทำให้พี่อากิฮาระตายยังไม่พออีกใช่มั้ย ถึงต้องพูดให้ร้ายกับธุรกิจกิโมโนของฉัน ทำไมถึงยังไม่หยุดสักที"
"เราไม่หยุดหรือเธอไม่หยุดกันแน่ ถึงกล่าวหาเราโดยไม่มีหลักฐาน"
ฮิเดโนริยิ้มหยัน
"ผมว่าพวกเรียวอิจิน่าจะรู้อยู่แก่ใจ"
"ตระกูลเรียวอิจิของเราส่งออกการเกษตรไม่ได้ทำกิโมโนเหมือนมิยาคาวะ มีเหตุผลอะไร ที่เราจะต้องใส่ร้ายพวกเธอ"
"เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ แต่เกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น พวกเรียวอิจิอยากให้มิยาคาวะล่มจม ทั้งๆที่รู้ว่าจะไม่มีวันทำสำเร็จ"
"ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความหายนะนะหลานชาย"
"ผมพูดความจริง เทพเจ้าของเรียวอิจิยังถูกเทพเจ้าของมิยาคาวะทำลายสิ้นซาก แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ธรรมดา"
ฮิเดโนริไม่พอใจจะขยับเข้าใส่ แต่ไดซูเกะยกมือห้ามฮิเดโนริ
รถเก๋งสีดำของตระกูลมิยาคาวะอีกคันขับเข้ามาจอด คุณย่ามิกิลงจากรถวิ่งเข้าไปหาอาคิระ ไอและนารูตะ คนขับรถประจำคฤหาสน์ อายุราว 30 ปีตามลงมา
"อาคิระ"
ไอ มิยาคาวะสบตากับฮิเดโนริ เขามีรอยยิ้มที่มุมปากและแววตาประกายเสน่หา เธอรีบชักสายตาหลบแล้วปั้นหน้าปกติ
ไดซูเกะถามหญิงชราผู้มาเยือน
"ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีมั้ยมิกิ"
มิกิไม่ตอบไดซุเกะ
"อาคิระกลับบ้านกับย่าเดี๋ยวนี้"
"ช่วยสั่งสอนมันด้วยนะครับว่าวันหลังอย่ามาทำลายพิธีของคนอื่น เพราะถ้าโดนทำลาย กลับคืนบ้าง มันจะเจ็บหนัก"
อาคิระขยับจะเข้าไปหาฮิเดโนริ แต่ย่ามิกิดึงตัวห้ามไว้
"อาคิระ ! ถ้าอาคิระทำอะไรไม่ดี" มิกิโค้งให้ไดซูเกะและฮิเดโนริ "ดิชั้นต้องขอโทษแทนหลานชายด้วย"
"คุณย่า"
มิกิปราม
"อาคิระ กลับกับย่าเดี๋ยวนี้"
มิกิเดินนำไปขึ้นรถ อาคิระเดินตามย่ามิกิไปขึ้นรถเช่นกัน ไอเดินรั้งท้ายและยังไม่วายเหลียวหลังกลับไปสบตากับฮิเดโนริก่อนจะตามขึ้นรถไป รถเก๋งตระกูลมิยาคาวะขับออกไป พวกเรียวอิจิมองตามด้วยสายตาหยามเหยียด

อาคิระเดินมาจากหน้าประตูใหญ่ มิกิกับไอตามเข้ามา เคโกะกับนานะอยู่แถวนั้นด้วย
"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเป็นฝ่ายยอมถูกพวกมันเล่นงานฝ่ายเดียวตลอด"
"ยอมเพื่อหยุดไง ถ้าแรงใส่กันอยากเอาชนะกันเหมือนที่ผ่านมา ปัญหามันจะไม่มีวันจบ" มิกิบอก
"แต่ที่พวกมันทำกับเรา"
"ในอดีตเราก็เคยทำกับเขาเหมือนกัน อาจจะหนักหนากว่าสิ่งที่เขาทำกับเราตอนนี้ก็ได้"
อาคิระเซ็ง ยังไม่หายหงุดหงิด
"เพราะความเกลียดชังมันถูกปลูกฝังตั้งแต่เราลืมตาดูโลก เหมือนเป็นมรดกตกทอดต่อ กันมาว่าหน้าที่สำคัญของเราคือเราต้องเกลียดเขา แต่มันจะยุติได้ถ้าเรารู้จักยอม ไม่ส่ง ต่อความเกลียดชังนี้ให้คนรุ่นหลัง อาคิระ...ย่าขอให้ทุกอย่างจบได้มั้ย"
"แต่ตราบใดที่พวกเรียวอิจิยังไม่ยอม มิยาคาวะก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน"
อาคิระเดินออกไป ย่ามิกิมองตามอย่างผิดหวังเสียใจ
"คุณย่าอย่ากังวลไปเลยค่ะ ไอจะหาโอกาสพูดให้อาคิระเข้าใจ พวกเราจะได้อยู่กันอย่างสบายใจสักที"
มิกิยิ้มรับ ระหว่างนั้นมือถือของไอดัง เธอรับสาย
"ค่ะ ไอจะกลับไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ ... ที่โรงงานโทร.มาตามไอไปพบลูกค้า ป้าเคโกะ นานะ เดี๋ยวหาของว่างให้คุณย่าด้วยนะ แล้วก็อีกสองชั่วโมงเอายาให้อายูมิทานด้วย"
เคโกะ/นานะรับคำ "ค่ะคุณไอ"
มิกิมองไออย่างสงสารแล้วจับมือ
"ไอต้องดูแลทั้งงานที่โรงงาน เรื่องในบ้าน ไหนจะอายูมิอีก ถ้าไอรู้สึกเหนื่อยเกินไป อยากจะกลับไปอยู่ฮอกไกโดเหมือนเดิม ย่าก็ไม่ว่าอะไรนะ"
"คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วงไอนะคะ ไอมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ ได้อยู่ใกล้คนที่ไอรัก ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน ไอก็ยอมค่ะ"

ดวงตาของไอมีประกายวิบวับ นึกถึงใครบางคน

ในห้องทดลอง เจ้าหน้าที่เข็นรถให้อาหารสัตว์เข้ามาเปิดสวิชต์ไฟแล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าสัตว์ในกรงหายไปหมด เจ้าหน้าที่หันมองไปที่กล้องวงจรปิดบนเพดาน

ภายในห้องอธิการบดี ภายในมหาวิทยาลัย รินดาราหน้าซีด พยายามอธิบายให้คณบดีฟัง มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย
"คนในกล้องวงจรปิดเป็นหนูจริงๆค่ะ แต่หนูไม่ได้ขโมยนะคะ หนูแค่พาพวกมันไปรักษา พวกมันเป็นแผลกันตามลำตัว คงจะเกิดช่วงที่เดินทาง พวกมันเจ็บกันมาก"
คณบดีถาม
"คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกมันเจ็บมาก"
"มันบอก...เอ่อ หนูดูจากบาดแผลน่ะค่ะ สัตวแพทย์ที่หนูพาไปรักษาก็บอกว่าแผลค่อน ข้างลึก บางตัวแผลก็อักเสบจนเป็นไข้"
"แล้วตอนนี้สัตว์พวกนั้นอยู่ที่ไหน"
"โรงพยาบาลสัตว์ในเมืองค่ะ อยู่ครบทุกตัว"
คณบดีบอกกับเจ้าหน้าที่
"ไปรับกลับมาให้หมด"
เจ้าหน้าที่ออกไป
"งั้นหนูไปได้แล้วใช่มั้ยคะ"
"รู้มั้ยว่าสิ่งที่คุณทำมันทำให้วุ่นวายมากขนาดไหน โทษคือการไล่ออก"
"ไม่นะคะท่าน ท่านอย่าไล่หนูออกเลยนะคะ หนูไม่ได้มีเจตนาไม่ดี หนูแค่สงสารพวกมัน ท่านให้โอกาสหนูเถอะนะคะ อีกนิดเดียวหนูก็จะจบแล้ว หนูขอร้อง...เห็นใจหนูเถอะ"
คณบดีนิ่งคิดไปนิด
"ก็ได้ ผมจะยอมลดโทษให้คุณ เพราะถือว่ายังไงซะเดี๋ยวมหาวิทยาลัยก็ จะได้สัตว์คืนกลับมาครบทุกตัว ผมจะให้คุณเรียนต่อจนจบ แต่คุณต้องหาเงินเรียนเอง นับจากนี้ ไป มหาวิทยาลัยจะไม่ให้เงินทุนคุณอีกแล้ว"
รินดาราหนักใจเครียดทันที

ภายในหอพักรินดารา ซึ่งเป็นบ้านเช่าราคาถูกๆในย่านเสื่อมโทรมของเมือง เธอหนักใจ เมื่อเข้ามาในห้องแล้วชะงักเมื่อเจอเจ๊นัตสึโกะยืนคุมชายฉกรรจ์ให้ค้นห้องรินดารา ภายในห้อง มีหนังสือกายวิภาค มีโปสเตอร์ Anatomy ส่วนต่างๆของร่างกาย เห็นมัดกล้ามเนื้อเพราะเป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาวิชากายภาพบำบัดของเธอ
"เจ๊ ! เจ๊ทำอะไร"
ชายฉกรรจ์เปิดตู้โกยเสื้อผ้าออกมาเหวี่ยงลงพื้น
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! อย่ายุ่งของๆของชั้น เจ๊ !! เจ๊...บอกให้คนของเจ๊หยุดเดี๋ยวนี้"
"จ่ายเงินค่าเช่าที่ค้างฉันไว้สี่เดือนก่อนสิ"
"ตอนนี้ชั้นยังไม่มี ชั้นขอเวลาอีกวันหนึ่งนะเจ๊ ชั้นจะหาเงินมาจ่ายให้"
นัตสึโกะไม่ตอบแต่หันไปสั่งลูกน้อง
"เอาโยนออกไปให้หมด"
ชายฉกรรจ์เหวี่ยงข้าวของรินดาราออกไปนอกหน้าต่าง รินดาราโผเข้าไปห้าม
"อย่านะ"
รินดาราถูกชายกรรจ์ผลักกระเด็นล้มไปที่โต๊ะ ของบนโต๊ะล้มระเนระนาด กล่องเหล็กตกลงพื้น ฝาเปิดออกเงินข้างในกล่องกระเด็นออกมา นัตสึโกะตาวาว สองสาวพุ่งเข้าไปจะคว้าเงิน แต่นัตสึโกะเร็วกว่า พุ่งไปถึงเงินก่อน
"ไหนว่าไม่มีเงินไง"
"ชั้นต้องเอานี้ไปจ่ายค่าเทอม ถ้าชั้นไม่มีจ่ายชั้นก็โดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัย แล้วชั้นก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ๊จะขาดรายได้จากชั้นนะ"
"อย่างเธอ ฉันไม่หวังน้ำบ่อหน้าหรอกย่ะ" เธอนับเงิน "เงินนี่พอแค่สองเดือนนะ ขาดอีกสองเดือน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย" พร้อมสั่งลูกน้อง "กลับ"
ลูกน้องออกไปแต่เจ๊นัตซึโกะนึกขึ้นได้
"ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละสาวน้อย อย่ามัวแต่นั่งเศร้า ถ้าชั้นเป็นเธอล่ะก็ ชั้นจะรีบแจ้นออก ไปหยิบยืมเงินมาต่อชีวิตไปอีกวัน..นะจ๊ะ"
นัตซึโกะยิ้มเยาะแล้วกระแทกไหล่รินดาราออกไป รินดาราเศร้า หมดหวังกับชีวิต

19ถนนเมือง - ย่านการค้า Tenjin (Fukuoka City – Golden Week)/กลางวัน
รินดารา

ความวุ่นวายของถนนในเมืองผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ รินดาราซึมเศร้าหมดหวังกับชีวิต ทั้งเรื่องมหาวิทยาลัยไม่ให้ทุนเรียนต่อและไม่มีเงินใช้จ่าย เธอเดินน้ำตาซึมไป เรื่อยๆไร้จุดหมายท่ามกลางผู้คนมากมาย บางคนเร่งรีบเดินเบียดเธอก็ไม่หันมาขอโทษ

โฮชิเดินขึ้นมาจากทางขึ้นสถานีรถไฟ้าใต้ดินเข้ามาในเฟรม แล้วหยุดยืนตรงถนนที่มีผู้คนเดินกันมากมาย
โฮชิมองไปเบื้องหน้า เห็นตึกระฟ้าและผู้คนมากมายเต็มท้องถนน โฮชิเห็นผู้หญิงหน้าตาเหมือนเมียวโจโอจินเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน เขายิ้มนิดๆ ด้วยความดีใจ แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหา "เมียวโจโอจิน"

โฮชิยืนรวมอยู่กับฝูงชนรอสัญญาณไฟข้ามถนน สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นแดงข้ามถนนได้ เขากับฝูงชนเดินข้ามถนนพร้อมๆ กับที่ฝูงชนที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็เดินสวนกันเพื่อข้ามถนนหนึ่งในนั้นคือ รินดารา!
โฮชิกับรินดาราเดินสวนกัน แต่รินดาราเดินก้มหน้าคุยโทรศัพท์กับแม่ด้วยสีหน้าซึมเศร้า โฮชิจึงไม่ทันได้เห็นหน้าชัดๆ แต่ระหว่างที่เดินสวนกัน ชายแขนเสื้อของทั้งสองเฉียดโดนกัน พร้อมเสียงพูดโทรศัพท์ของรินดารา
"หนูสบายดีค่ะแม่"
โฮชิสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง จึงหยุดเดินอย่างกะทันหันแล้วหันกลับไปมอง เห็นด้านหลังของเธอ ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์เดินรวมกับฝูงชนข้ามไปอีกฝากของถนน
จนกระทั่งผู้หญิงเดินข้ามไปอีกฝากของถนนได้แล้ว เธอก็มองไปด้านข้าง ทำให้โฮชิเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของรินดาราซึ่งเหมือนเมียวโจโอจิน คนรักของเขามาก
"เมียวโจ"
โฮชิข้ามกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น รถที่ขับมาเกือบจะชน

โฮชิเดินเร็วๆ ตามผู้หญิงที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถือ เธอเดินหายเข้าไปในฝูงชน โฮชิเร่งฝีเท้าตามให้ทันผู้หญิงคนนั้นแล้วเข้าไปคว้าแขนแต่ผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่ใช่รินดารา !
"ขอโทษครับ"
ผู้หญิงคนนั้นออกไปอย่างงงๆ

โฮชิเหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นรินดาราแล้ว เขายืนเศร้า โดยไม่รู้ว่ารินดาราเดินผ่านหลังไป

ภายในส่วนออฟฟิศ อาคิระเดินเข้ามาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนหันหลังกำลังจับชุดกิโมโนที่หุ่นโชว์ใส่อยู่

"ขอโทษครับ กิโมโนชุดนั้นทอมาเป็นพิเศษไว้สำหรับโชว์ลูกค้า เราไม่อนุญาตให้สัมผัส เพราะเดี๋ยวเหงื่อบนมือจะทำให้เนื้อผ้าเสีย"
หญิงสาวหันมา เปิดว่าเป็น ริเอะ ชินเอบะ สาวสวย เฉี่ยวเปรี้ยว ดีไซเนอร์วัย 25 ปี เธอยิ้มให้อาคิระด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย
"อะไรกันอาคิระ..ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี จำริเอะไม่ได้แล้วเหรอ"
ริเอะยิ้ม โผเข้ากอดอาคิระด้วยความคิดถึง ซบหน้ากับไหล่อ้อนเหมือนลูกแมวเชื่องๆ
"คิดถึงจังเลย อยากกลับมาหาอาคิระตั้งแต่รู้เรื่องพี่อากิฮาระแล้ว แต่ริเอะป่วยไม่สบาย มาก ไม่งั้นคงจะได้อยู่เป็นกำลังใจให้อาคิระ"
อาคิระดันเธอออกอย่างสุภาพ
"ไม่เป็นไรหรอกริเอะ ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้แล้ว แต่ริเอะ ป่วยเป็นอะไร ไม่เห็นได้ข่าวเลย"
ริเอะชะงัก สีหน้าอึกอักเหมือนมีความลับบางอย่าง
"เอ่อ..คือ"
ริเอะดูอึกอักเมื่อถูกให้พูดถึงเรื่องอาการป่วย ระหว่างนั้นมาโกโตะ ชินเอบะพ่อของริเอะเข้ามาพร้อมกับไอ
"ริเอะได้รับอุบัติเหตุ เพราะไม่เชื่อฟังคำเตือนของอาเวลาขับรถ ผลก็คือต้องนอนโรง พยาบาล ไปเป็นเดือน"
มาโกโตะพูดด้วยสีหน้าเนียนๆ ชวนให้เชื่ออย่างนั้นพร้อมโอบไหล่ลูกสาวบีบไหล่เบาๆให้เออออตาม
"จ้ะอาคิระ..ต่อไปนี้ริเอะไม่กล้าไม่รัดเข็มขัดนิรภัยอีกแล้ว เข็ดจนลืมไม่ลงเลย"
"ปลอดภัยก็ดีแล้วริเอะ เรื่องนี้ชั้นเคยเตือนเธอหลายครั้ง"
ริเอะเข้าไปควงแขนอาคิระอ้อนอีก
"ก็อาคิระอยากทิ้งริเอะไว้ที่ฝรั่งเศสคนเดียวทำไม ถ้ายัง เรียนอยู่ด้วยกัน ริเอะก็ไม่ต้องขับรถคนเดียว"
ไอมองหมั่นไส้ แกล้งกระแอมขัดคอริเอะ
"แล้วอองตวนแฟนเธอล่ะจ๊ะริเอะ บอกเขารึ เปล่าว่า เธอมาหาอาคิระ เดี๋ยวเขารู้ทีหลังแล้วอาคิระจะโดนเขม่นอีก"
ริเอะชะงักที่โดนไอ ญาติที่รู้เรื่องของอาคิระกับเธอดีพูดขัดคอ
"ชั้นกับอองตวนเลิกกันแล้ว"
"อาว่าทักทายกันพอเป็นพิธีเถอะ เดี๋ยวจะไม่ได้คุยธุรกิจกัน อาคิระช่วยพาริเอะไปชมโรงงานทอผ้ากิโมโนของมิยาคาวะหน่อยสิ ริเอะบ่นตั้งแต่มาถึงแล้วว่ายังทอผ้ากันแบบเดิมรึเปล่า"
"ได้ครับ เชิญทางนี้เลยครับ"
อาคิระเดินนำหน้าไปพร้อมกับไอ ทิ้งท้ายที่มาโกโตะกับริเอะ
"ขอบคุณนะคะคุณพ่อ"
มาโกโตะใช้หางตามองตำหนิลูกสาว
"ชั้นเบื่อที่จะตามสะสางปัญหาของแกเต็มทีแล้ว หวังว่าคราวนี้ แกจะไม่ทำพังอีก"
มาโกโตะตำหนิลูกแล้วเดินตามอาคิระไป ริเอะหน้าเซ็งๆก่อนจะตามพ่อออกไปกับทุกคน

ทั้งหมดเดินมาด้วยกันหลังจากเดินชมโรงงานทอกิโมโนของมิยาคาวะเรียบร้อยแล้ว
มาโกโตะตบบ่าอาคิระอย่างเอ็นดู
"น่าชื่นชมเธอมากอาคิระ สมัยนี้จะหาคนที่อนุรักษ์การทอผ้า กิโมโนโบราณแท้ๆแทบจะไม่เหลือแล้ว แต่เธอก็ยังรักษาเอาไว้อย่างดี"
"เป็นหน้าที่ของมิยาคาวะทุกคนครับ ผมกับไอก็เพิ่งเข้ามาสานต่องานจากพี่อากิฮาระ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมาก คุณอาก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ถ้ามี เรื่องไหนอยากชี้แนะก็บอกผมได้เลยนะครับ"
"มิยาคาวะเป็นมือหนึ่งของวงการผ้ากิโมโน อาคงให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้มากนักหรอก ตรงกันข้าม อาคิระต่างหากที่ต้องช่วยให้คำปรึกษาริเอะ"
"ริเอะอยากทำแฟชั่นโชว์ชุดกิโมโน อยากแสดงให้ต่างชาติได้เห็นคุณค่าของกิโมโนของเรา แต่ก่อนจะออกแบบชุดได้ คงต้องทำความเข้าใจประวัติความเป็นมาและขั้นตอน การทำที่ละเอียดกว่านี้ ก็มีแต่อาคิระนี่แหละที่ช่วยริเอะได้มากที่สุด"
ริเอะส่งสายตาให้อาคิระและควงแขนอย่างออดอ้อนอีก อาคิระยิ้มรับนิดๆตามมารยาท แต่ไอมีสีหน้าไม่สบายใจ และไม่ชอบเท่าไหร่ระหว่างที่ฟังมาตลอดทาง

สวนคฤหาสน์มิยาคาวะ อาคิระกับไอเดินคุยกันเข้ามา
"ก็มีแต่อาคิระนี่แหละที่ช่วยริเอะได้มากที่สุด นี่..เธอดูไม่ออกเลยเหรอว่าริเอะน่ะตั้งใจ จะทำอะไร เอาแฟชั่นโชว์เอาเรื่องงานมาอ้าง"
"อย่ามองริเอะในแง่ร้ายแบบนั้นเลยไอ"
"แสดงว่าเธอหวังให้ถ่านไฟเก่ามันคุล่ะสิ อ๋อ ... ชั้นกับอองตวนเลิกกันแล้ว" ไอเลียนเสียงริเอะ
"ชั้นไม่ได้มีความคิดแบบนั้นนะไอ..ชั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยรู้สึกยังไงกับริเอะ"
"แต่ริเอะคงไม่ลืมหรอก ไม่งั้นจะใช้พ่อมาเป็นข้ออ้างเสนอหน้าหาเธอถึงที่แบบนี้เหรอ"
"เธออย่าไปสนใจเรื่องพวกนั้นเลย ตอนนี้ชั้นอยากกู้สถานการณ์ของมิยาคาวะไม่ให้ตกต่ำ ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนไป ถ้าริเอะเอาผ้าทอกิโมโนของเราไปแสดงที่ฝรั่งเศส มันจะเป็นการโฆษณาสินค้าของเราไปในตัว เสริมความแข็งแรงให้ฐานลูกค้าที่ยุโรป พวกเรียวอิจิจะได้ทำอะไรเราไม่ได้"
อาคิระมีแววตามุ่งมั่นบอกไอแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ใบหน้าไอมีร่องรอยกังวลอะไรบางอย่าง

โฮชิเดินมาหยุดบนสะพานเพื่อพักสายตา มองทอดไปตามแม่น้ำเบื้องหน้า
"เธออยู่ที่ไหน... ชั้นมาหาเธอแล้วนะเมียวโจ"
โฮชิกำลังจะหมดหวัง มีบางเสียงล่องลอยมาเข้าหูเขา มันเป็นเสียงบรรเลงเพลงโกโตะจากนักดนตรีเปิดหมวกกำลังบรรเลงเพลงจากโกโตะแลกเศษเงิน
โฮชิจึงเดินเข้าไปพร้อมกับควักแบงค์หมื่นเยนออกมาใส่ลงในหมวกของชายนักดนตรี ทำเอาเขาตกใจ โฮชิยิ้มให้
โฮชิ ลงมือเล่นโกโตะด้วยตัวเอง นึกถึงถ้อยความเมียวโจโอจินที่เคยบอกเขา
"ขอให้เธอจำไว้ด้วยว่า ... ชั้นจะฟังเพลงของเราอยู่ข้างๆเธอ"
โฮชิบรรเลงโกะโตะด้วยหัวใจที่โหยหาเมียวโจโอจิน หวังว่าเธอได้ยินเสียงเพลงนี้ นั่นเลยทำให้เสียงบรรเลงโกะโตะของโฮชิมีความไพเราะจับใจ ประกอบกับท่าทางการดีดของเขาเท่ห์ ดูดีมากจนประทับใจผู้คนที่เดินผ่านแถวนั้น จนต้องทยอยเดินเข้ามาล้อมดูโฮชิ

รินดาราเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเลียบแม่น้ำ
" ช่วงนี้เธอก็ไม่มีเงินเหมือนกันเหรอ งั้นไม่เป็นไรจ้ะ ชั้นไม่รบกวนแล้ว"
รินดารากดตัดสายไปแล้วถอนหายใจ ลองหาเบอร์อื่นๆในโทรโทรศัพท์มือถือที่พอจะหยิบยืมเงินได้ แต่พอจะกด โทร.ออกแบตก็ดันมาหมดซะอีก
"ไม่นะ..อย่าเพิ่งมาแบตหมดตอนนี้สิ"
รินดาราหน้าเซ็งเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วล้วงกระเป๋าหาเศษสตางค์ก่อนจะมองหาตู้โทรศัพท์

โฮชิยังคงบรรเลงโกะโตะอย่างต่อเนื่องจนจบเพลง แล้วมองไปที่กลุ่มผู้ชมที่มุงดู เขามองทุกคน แต่ไม่มีใครเลย ที่เป็นหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเมียวโจโอจินของเขา
ผู้คนปรบมือให้โฮชิแล้วโยนเศษเหรียญให้ จากนั้นก็เริ่มทยอยเดินออกไปเรื่อยๆเมื่อดนตรีแสดงจบ ผู้คนน้อยลง เรื่อย...เรื่อย..เรื่อย..จนกระทั่ง รินดาราเดินผ่านไปห่างๆ โฮชิอึ้งตะลึงงัน เพราะผู้หญิงที่เดินผ่าน ไปนั้นหน้าเหมือนเมียวโจโอจินของเขาไม่มีผิด
รินดารารู้สึกเหมือนถูกมองเลยหันมองมาที่เขาพร้อมกับยิ้มไปตามมารยาท ไม่ได้รู้จักกันและไม่ได้สนใจ แล้วรินดาราก็เดินออกไป ขณะที่โฮชิมองตามไม่วางตา

รินดาราหยอดตู้คุยโทรศัพท์กับเพื่อน

"ฮัลโหลยูมิโกะ ไม่ๆๆ ฟังชั้นก่อน ชั้นไม่ได้จะโทร.มายืมเงินเธอ แค่จะถามว่าเธออยู่ในตัวเมืองรึเปล่า เผื่อชั้นจะอาศัยติดรถเธอกลับด้วย ถ้าเธอไม่อยู่แถวนี้ก็ไม่เป็นไร" หลังฟังแล้ว ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส "เรื่องค่าเทอมกับค่าเช่าห้องน่ะเหรอ...สบายมาก เดี๋ยวชั้นก็หา เงินมาจ่ายได้ แต่ถ้าเธอมีให้ยืมก่อนก็ดีนะ ชั้นจะได้ไม่... " ปลายสายวางไปทันที "ฮัลโหลๆ ยูมิโกะ ฮัลโหล!"
รินดาราหน้าเซ็งๆถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินออกจากตู้ไปอย่างเศร้าๆ
โฮชิยืนหันหลังพิงตู้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่รินดาราคุยกับเพื่อนด้วยสีหน้าห่วงใยและคิดหาหนทางช่วย

ภายในหอพักกลางคืน เพื่อนเคาะประตูเรียก รินดาราเดินไปเปิดให้เพื่อนเข้ามา
"รินจัง..ชั้นรู้เรื่องเธอกับเจ๊นัตซึโกะแล้ว..ชั้นสงสารเธอจัง ชั้นก็ไม่มีให้เธอยืมซะด้วย ขอโทษนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ขอบใจนะ" รินดารากลับไปนั่งเหนื่อยๆท้อใจ "เมื่อกี้ชั้นบอกเจ๊นัตซึโกะแล้วว่า ชั้นยืมเงินใครไม่ได้เลย แต่ชั้นจะหางานพิเศษทำ ไม่อยากกลับเมืองไทยไปทำให้แม่ผิดหวัง"
เพื่อนนึกขึ้นได้
"เออ..ชั้นมีงานแนะนำ เงินดีอยู่นะ แต่เธอต้องเจอคนเยอะ และต้องใช้ความอดทนกับคนพวกนั้นมากหน่อย แต่รับรองว่าสวยๆอย่างเธอนะ เขารับเข้าทำงานชัวร์"
"งานอะไรเหรอ"

คืนนั้น อายูมินอนหลับอยู่บนฟูกที่นอนแล้วกระสับกระส่ายฝันร้ายจากอุบัติเหตุรถยนต์ เธอร้องกรี๊ดตกใจกลัวดังลั่น
"คุณพ่อ"
มีมือหนึ่งยื่นมาปาดน้ำตาบนแก้มอายูมิให้อย่างแผ่วเบา อายูมิรู้สึกตัวลืมตาขึ้นคิดว่าเป็นอาคิระ แต่เจ้าของมือ คือโฮชิโนโอจิ เขานั่งยิ้มละมุนอยู่ข้างฟูกที่นอน อายูมิแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นโฮชิมาก่อน
"คุณ คุณเป็นใครคะ คุณเข้ามาในห้องหนูได้ยังไง
"หนูรู้จักชั้นแล้วไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่า..เรายังไม่เคยเจอกันเลย"
"คุณ..คุณที่อยู่บนหอคอยใช่มั้ยคะ"
โฮชิยิ้มรับอย่างใจดี อายูมิมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
"แล้วคุณลงมาที่นี่ได้ยังไงคะ หนูได้ยินว่าคุณชอบอยู่แต่บนนั้น ไม่ค่อยชอบลงมา คุณไม่เบื่อบ้างเหรอคะ"
"ไม่หรอก..บนนั้นทำให้ชั้นรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์"
"คุณรู้เหรอคะว่าสวรรค์เป็นยังไง เล่าให้หนูฟังบ้างสิ หนูอยากรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ไหน"
โฮชิไม่ตอบ แต่จับมืออายูมิวางบนหน้าอกของซ้ายของเด็กน้อย
"คุณพ่อคุณแม่จะอยู่ในนี้ของหนูตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าหนูเศร้า คุณพ่อคุณแม่ก็จะเศร้าไปด้วย ถ้าหนูมีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีความสุขเหมือนกัน"
"ทำไมคุณรู้คะ"
โฮชิยิ้มรับ
"ชั้นจะเล่านิทานให้ฟัง..ดีมั้ย"
อายูมิดีใจ
"ดีค่ะ..ตั้งแต่คุณพ่อจากไป ไม่เคยมีใครเล่านิทานให้อายูมิฟังเลย"
โฮชิยิ้มแล้วลูบผมเด็กน้อยขณะเล่านิทาน
"เมื่อสมัยที่สวรรค์และโลกมนุษย์ยังติดต่อกันได้ ผู้คนยังเชื่อในคุณความดีและเทพเจ้า เทพเจ้าจึงมักมาโปรดมนุษย์บ้างเป็นครั้งคราว เทพเจ้านกกระเรียนมีคนรักคือเทพธิดา ดาวเดือนเจ็ด"
อายูมิตั้งใจฟังมาก

อายูมิฟังนิทานจากโฮชิจนหลับไปแล้ว โฮชิลูบผมเด็กหญิงแผ่วเบาแล้วจูบลงที่หน้าผากของเด็กน้อย
อาคิระกำลังเดินมาดูแลอายูมิ ก่อนจะเห็นโฮชิก้าวออกมาจากห้องอายูมิ
"ท่านชาย"
ท่านชายเดินออกไปอีกทาง อาคิระมองตามท่านชายโฮชิแล้วตามไปทันที

อาคิระเดินเร็วๆ ตามหลังโฮชิมา กำลงจะถึงตัวโฮชิแล้ว แต่เสียงย่ามิกิดังขึ้น
"อาคิระ"
อาคิระหันหลังไปมองย่ามิกิแค่แว่บเดียว แต่พอหันกลับไปทางเดิมก็ไม่เห็นโฮชิแล้ว อาคิระอึ้ง เพราะตรงนั้นเป็นที่โล่ง ไม่น่าจะมีตำแหน่งไหนที่จะหลบซ่อนตัวได้เลย อาคิระหันกลับมาถามย่ามิกิด้วยความอยากรู้
"อาคิระมาทำอะไรตรงนี้"
"ผมเพิ่งเห็นเขาออกมาจากห้องอายูมิ"
"เขาเป็นห่วงอายูมิเลยมาเล่านิทานให้ฟัง"
"แต่ผมรู้สึกว่าเขาทำตัวลึกลับเกินไป ถ้าเขาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราเขาก็ไม่ควร..."
มิกิดุ
"อาคิระ ย่าบอกอาคิระมาตลอดแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ครับ..คุณย่าบอกผมเสมอว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณกับตระกูลของเรา แต่ผมอยากรู้ว่าเขามีบุญคุณยังไง ทำไมเราถึงยอมให้เขาทุกอย่าง"
"หน้าที่ก็คือหน้าที่ ไม่เคยมีมิยาคาวะคนไหนตั้งคำถามต่อหน้าที่ตัวเอง"
อาคิระชะงัก
"และการดูแลเขาก็เป็นหน้าที่สำคัญของย่าและตระกูลของเรา อาคิระจะช่วยย่าทำหน้าที่สำคัญนี้ได้มั้ย"
แววตาของมิกิจริงจังและดุ จนทำให้อาคิระเถียงไม่ออก

บนหอคอย โฮชิยืนทอดสายตามองดวงดาวบนท้องฟ้า มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎอยู่บนหน้า มิกิเข้ามาโค้งศรีษะขอโทษ
"ดิชั้นต้องขอโทษแทนอาคิระด้วยที่มีอคติกับท่านค่ะ"
"ไม่เป็นหรอกมิกิ ตอนนี้อาคิระต้องแบกหน้าที่ผู้นำของตระกูล เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น"
"ค่ะท่านชาย ดิชั้นจะค่อยๆหาทางพูดกับอาคิระ ว่าแต่ว่า เห็นท่านดูมีความสุข แสดง ว่าท่านชายได้พบ เธอแล้วใช่มั้ยคะ"
"ชั้นพบเธอคนนั้นแล้ว..น้ำเสียง..ใบหน้า..แววตาของเธอเหมือนเมียวโจของชั้นไม่มีผิด แต่เธอกลับจำชั้นไม่ได้"
"อ้าว..แล้วตกลงจะใช่เธอรึเปล่าคะ"
โฮชิสีหน้าครุ่นคิด
"มีทางเดียวที่จะรู้ได้...ชั้นต้องพาเธอมาที่นี่"

ทั้งสีหน้าและแววตาของโฮชิมุ่งมั่นสุดจะประมาณ

อ่านต่อตอนที่ 2


กำลังโหลดความคิดเห็น