xs
xsm
sm
md
lg

เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 1

เช้ามืดวันนี้ มีการเตรียมงานครั้งใหญ่ คนของศาลเจ้าเตรียมโต๊ะเซ่นไหว้วันสารทจีน ด้านหนึ่งคนงานเตรียมข้าวของบริจาคสำหรับงานทิ้งกระจาด คนงานอีกกลุ่มหนึ่งจัดเตรียมเวทีเพื่อตั้งเป็นโรงงิ้วชั่วคราว กลางแจ้ง

แสงอาทิตย์แรกสาดส่องลงมา ซินแสง้วงเดินช้าๆ ออกมาจากด้านในศาลเจ้า เพื่อเดินดูการเตรียมงาน พลางก้มลงเก็บขยะระหว่างทางไปด้วย
คนของศาลเจ้าช่วยกันขึงป้ายผ้า “ประเพณีทิ้งกระจาด ศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย ปี 2500”
ทันทีที่ป้ายผ้าขึงเสร็จพรึ่บ เสียงปังๆๆ ดังสนั่นขึ้นทันที ทุกคนที่กำลังเตรียมงานสะดุ้งโหยง
ซินแสง้วงไม่สะทกสะท้านกับเสียงดังกล่าวแม้แต่น้อย ก้มลงเก็บเศษเชือกเศษกระดาษที่พื้นขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง
เด็ก 2-3 คนที่จุดประทัดเล่น ทุกคนพากันวิ่งหนีออกไปทันที
"เบื้องบนกำหนดลงมาแล้ว"
ซินแสง้วงพึมพำ ก่อนจะนิ่งอย่างรู้เค้าลางของวันนี้ว่า จะต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่มันคืออะไร?

เช้าต่อเนื่องมา หน้าบ้านทรงกลดมีสิงโตหินสลักสองตัวอยู่หน้าทางเข้าบ้าน เสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
ทรงกลดลั่นกระสุนออกไปดังปังๆๆๆ จนหมดกระสุน แล้วยืนหน้านิ่ง แล้วค่อยๆลดปืนลง มองไปที่เป้าที่เป็นรูปคนซึ่งอยู่ห่างไปตรงหน้า
เป้ากระดาษพรุนไปด้วยกระสุนที่ทรงกลดยิงออกไป กระสุนทุกนัดตรงไปที่จุดเดียวคือตรงที่หัวใจ
อันถือเสื้อสูทเดินเข้ามาหาทรงกลดที่เริ่มบรรจุกระสุนใหม่อย่างคล่องแคล่ว
"รถพร้อมแล้วครับ"
ทรงกลดบรรจุกระสุนเสร็จก็ยัดปืนใส่ซองเข้าเหน็บที่เอวทันที
"วันนี้วันมงคลนะครับ" อันบอก
"ปืนกระบอกนี้ไม่เคยอยู่ห่างจากตัวฉัน แล้วแกคิดว่า คนชั่วๆมันหยุดงานวันตรุษวันสารทด้วยงั้นเหรอ"
"วันนี้นายใหญ่ให้คนคุ้มกันตามไปเป็นสิบเลยนะครับ"
"ก็ให้ไอ้พวกนั้นคุ้มกันอาป๊าไป ส่วนฉัน..ฉันดูแลตัวเองได้!"
อันส่งเสื้อสูทให้ แต่ทรงกลดกลับคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่พาดอยู่บนเก้าอี้ไปแทน แล้วเดินเร็วๆออกไป
อันมองตามอย่างเข้าใจความเป็นตัวของตัวเองของทรงกลด

ทรงกลดเดินเข้ามาพลางใส่เสื้อแจ็คเก็ตไป แล้วต้องชะงักนิ่งที่กลางโถงบ้าน เจ้าสัวตง พ่อของทรงกลดกับเหมยลี่ เมียใหม่อายุคราวลูกแต่งตัวสวยพร้อมยืนรออยู่ ถัดไปเป็นหมงที่ไอเป็นระยะๆ
ปอยืนอยู่หน้ากลุ่มลูกน้องแก๊งที่เตรียมยกขบวนไปคุ้มกัน ตงหันไปมองทรงกลดที่หยุดชะงักยืนมองมา
ตงบ่นตำหนิ
"มาได้ซักที ไป ไปกันได้แล้ว"
ทรงกลดมองเหมยลี่อย่างเหยียดๆ
"ไปด้วยเหรอ"
ตงถามเสียงเข้ม
"ทำไม มีปัญหาอะไร"
ทรงกลดเชือดเฉือนพ่อนิ่มๆ
"ก็ไม่มีปัญหาอะไร ป๊าคงอยากพาเมียเด็กไปอวดเพื่อนฝูง แต่ป๊าแน่ใจเหรอครับว่า เมียที่เก็บมาจากโรงน้ำชา มันน่าอวด!"
เหมยลี่แทบกรี๊ด แต่หมงแอบดึงแขนไว้ ส่งสัญญาณให้สะกดใจไว้
ตงเสียงดุตวาด
"ไอ้ทรงกลด"
" ไม่ต้องเสียงดังก็ได้ รู้แล้วว่ารีบ ป๊านี่ขยันออกงานจริงๆ แต่เลือกไปแต่งานสำคัญๆใช่มั้ยล่ะครับ งานศพแม่ของผมคงไม่สำคัญพอ ป๊าก็เลยไม่ไป"
ทรงกลดทิ้งระเบิดลงแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าใครจะมีปฏิกิริยายังไง
ปอสั่ง
"อาอัน! รีบตามนายน้อยไป"
"ครับ เตี่ย"
อันรีบตามทรงกลดไปทันที ปอหันมามองตงอย่างเป็นห่วง ตงนิ่งขรึมเก็บอารมณ์

ทรงกลดเดินเร็วรี่มาถึงทางออกจากตัวบ้าน อันเดินตามมาจนทัน
"เรื่องมันผ่านไปนานแล้วนะครับ นายน้อย"
ทรงกลดชะงักหยุดหันมามองอัน
"ถึงเวลาจะผ่านไปกี่ปี ฉันก็จะไม่ยอมให้ป๊าลืม! ป๊าจะลืมเรื่องฉันกับแม่ไม่ได้เป็นอันขาด ฉันถึงต้องกลับมายังไงล่ะ อาอัน"
ทรงกลดเดินออกไปจากตัวบ้านไป อันเดินตามไปติดอย่างรู้หน้าที่

เจ้าสัวตงยืนนิ่งอย่างสะเทือนใจเมื่อลูกชายพูดถึงเรื่องแม่
ตงพึมพำชื่อเมียที่จากไป
"วรดี"
ปอเดินเข้ามาหาตงอย่างเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี แต่ก็ปลอบอะไรไม่ได้มากกว่าทำหน้าที่ของตัวเอง
"ได้เวลาแล้วล่ะครับ"
เหมยลี่น้ำตาคลอเข้าไปเกาะแขนตงอย่างเห็นใจ แต่ที่แท้แอบเรียกร้องความสนใจ
"นายใหญ่คะ อย่างนี้เหมยลี่ไม่ไปด้วยดีกว่านะคะ เหมยลี่ไม่อยากให้นายน้อยไม่พอใจ"
ตงไม่ใส่ใจ
"ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีเรื่อง"
เหมยลี่ชักสีหน้าทันที แต่พยายามคุมอารมณ์ไว้ หมงไอโขลกออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
ตงถามลูกบุญธรรม
"ยังไม่หายอีกเหรอ อาหมง งั้นอยู่บ้านเป็นเพื่อนเหมยลี่ก็แล้วกัน"
"ครับ ป๊า"
ตงเดินออกไป ปอเดินตามไปส่ง แต่ไม่ได้ไปด้วย ลูกน้อง 4-5 คนเดินตามหลังไป เหมยลี่มองตามอย่างไม่พอใจ น้ำตาเหือดแห้งหายได้ในทันที เช่นเดียวกับหมงก็หายป่วยทันควันเหมือนกัน
"เป็นอย่างนี้ทุกที!"
"โชคดีแล้วที่เธอไม่ต้องไปงานวันนี้"
"โชคดียังไง วันนี้เป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ออกงานกับนายใหญ่ ได้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ฉันไม่ได้เป็นแค่เมียเก็บ แต่เป็นนายหญิงคนใหม่ของแก๊งเขี้ยวสิงห์"
"วันนั้นของเธอใกล้มาถึงแล้ว เหมยลี่"
หมงยิ้มปลอบใจอย่างอ่อนโยนแต่ใจแอบเหี้ยม เพราะรู้ว่าจะมีการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่งาน! เพราะนั่นหมายความว่า ถ้าตงกับทรงกลดตาย หมง ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมได้ครองตำแหน่งแก๊งเขี้ยวสิงห์ทันที

ทรงกลดเดินตรงลิ่วมาถึงโรงรถ อันผละจะไปที่รถยนต์แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะทรงกลดเดินไปอีกทาง
"นายน้อยครับ"
"วันนี้แกไม่ต้องไปกับฉัน"
"ไม่ได้ครับ ผมมีหน้าที่คุ้มกันนายน้อย แล้วนายใหญ่ก็สั่งไว้"
ทรงกลดสวนทันที
"ฉันไม่ใช่ไอ้หมง ฉันไม่ฟังคำสั่งใคร"
ทรงกลดเดินลิ่วๆไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่
"นี่อย่าบอกนะว่า... " 
อันพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ดังสนั่น ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปแล้วตีโค้งจอดเพื่อโบกมือให้อันด้วยท่ากวนแต่เท่ ก่อนจะซิ่งปรู๊ดปร๊าดออกไป

ทางลัดไปศาลเจ้า เป็นซอยแคบๆ ที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา จับกังเข็นสินค้าสวนกันไปมา พ่อค้าแม่ค้าพากันหาบของที่จะขายมุ่งตรงไปที่ศาลเจ้า
จิรัสยา หรือ อาจู หาบขนมจุ๋ยก้วย เง็กถือถังน้ำเดินตามติด ทั้งสองแม่ลูกเดินอยู่ในหมู่กลุ่มคนที่กำลังเดินทางไปศาลเจ้า
เสียงแตรมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น อาจูหยุดเดินหันไปมองตามเสียง เง็กพลอยชะงักหยุดตาม
ทรงกลดขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะมาตามทางในซอย ลดความเร็วและขี่อย่างระมัดระวังมากขึ้น
รถผ่านหน้า อาจูมองหน้าทรงกลดที่โดดเด่นดูดีอย่างอดทึ่งไม่ได้ แต่เง็กด่าไล่หลัง
"เกี๋ยวกุ้ย! ไอ้กุ๊ย"
อาจูถาม
"พวกแก๊งเจ้าพ่อเหรอ ม้า"
"ไม่รู้พวกไหน แต่ขี่รถอย่างนี้ ต้องเป็นหลักเล่ง พวกนักเลงโตแน่ๆ อย่าไปยุ่งกับไอ้คนพวกนี้เชียวนะ อาจู"
"ตอนนี้พวกนักเลงโตเต็มเมืองไปหมด ไปไหนก็เจอ หนียังไงก็หนีไม่พ้น"
เง็กพูดจริงจัง
"แต่ลื้อต้องหนีให้พ้น ไอ้คนพวกนี้ หาดีไม่ได้ซักคน"
"แม้แต่อาป๊าเหรอ ม้า"
"คนตายไปแล้ว พูดถึงมันทำไม"
เง็กเดินออกไปอย่างตัดบท อาจูนิ่งอึ้งไป แม่ไม่บอกอะไรอีกตามเคย

สาวน้อย จิรัสยา รู้แต่ว่า พ่อเป็นลูกน้องมาเฟียแล้วถูกคู่อริฆ่าตายเท่านั้น

ภายในศาลเจ้า เล้งถือธูปกำใหญ่ ควันลอยโขมง เขากำลังคุกเข่าอยู่หน้าจ้าวกงหมิง หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่สิ่งเอี๊ย ปางบู๊ ที่ประทับบนหลังเสือ เล้งกำธูปในมือและหลับตานิ่งอย่างสงบ อธิษฐานขอให้ภารกิจสำเร็จ เล้งลืมตาแล้วลุกขึ้นเอาธูปสามดอกปักที่หน้ากระถางธูป แล้วนำธูปที่ยังเหลือกำใหญ่นั้น เดินปักตามกระถางธูปถัดๆไป ซึ่งวางอยู่หน้าเทพเจ้าต่างๆ ที่ละสามดอก
ซินแสง้วงเดินเข้ามาเห็นกลุ่มชาวบ้านยืนอออยู่ ไม่กล้าเข้าไปไหว้เจ้า เพราะมีสมุน 2 คนของเล้งยืนขวางทางไว้เพื่อกันให้เล้งได้ไหว้เจ้าคนเดียว ซินแสง้วงเดินแทรกผู้คนเข้าไป
สมุน 2 คนหันมาจะขวางทาง แต่พอเห็นเป็นซินแสก็ต้องชะงักไป
ง้วงยิ้มบอก
"ขอทางเข้าไปหน่อยเถอะ เสี่ยเล้งคงไม่ว่าอะไรหรอก"
เล้งหันไปเห็นซินแสง้วงกำลังเจรจากับลูกสมุนก็รีบคลี่คลายสถานการณ์ทันที
เล้งบอกกับชาวบ้าน
"เชิญเข้ามาเลย เชิญๆ" เล้งทำเป็นด่าสมุน "ไอ้พวกนี้! ทำอะไรไม่รู้จักคิด!" แล้วทำตัวนอบน้อมกับง้วง "อั๊วขอโทษแทนเด็กๆมันด้วยนะ ซินแส"
"ไม่เป็นไรๆ ลูกน้องเสี่ยคงไม่รู้ว่า ศาลเจ้านี้เป็นของทุกคน เราอยู่กันมาอย่างสงบสุขเพราะเราต่างรู้จักแบ่งปันกัน เชิญๆ เชิญเสี่ยตามสบาย"
ซินแสง้วงยืนมองเล้งนิ่งๆ สายตาฉายแววเมตตาอยู่
"ดูเหมือนซินแสมีอะไรจะพูดกับอั๊วมากกว่านี้"
"ก็ไม่มีอะไร เสี่ยอย่าลืมไหว้เจ้าแม่กวนอิมล่ะ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา คุ้มครองผู้กระทำความดีเสมอ อย่าลืมไหว้ซะล่ะ"
ซินแสง้วงเตือนสติเล้งอย่างอ้อมๆ แล้วเดินออกไป
"ขอบคุณครับ ซินแส"
เล้งก้มหัวให้ซินแสง้วง ท่าทางเลื่อมใส แล้วหันมาปักธูปสามดอกสุดท้ายลงที่กระถางธูปใบท้ายสุด
เล้งพนมมือไหว้เทพเจ้าและหลับตานิ่ง... สีหน้าเรียบเฉย ยากหยั่งถึงใจ

ทรงกลดซิ่งมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดยังที่จอดรถของศาลเจ้า แล้วลงจากมอเตอร์ไซด์อย่างคล่อง
ภรพเดินเข้ามา ยืนมองทรงกลดที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซด์เสร็จ
"เจ็กตงว่ายังไงเนี่ย" ภรพถาม
"ไม่ว่ายังไง ก็ด่าน่ะสิ"
คณินเดินเข้ามาสมทบ เห็นมอเตอร์ไซด์ของทรงกลดแล้วต้องผิวปากวี๊ด
"คันใหม่เหรอ ว่างๆขอยืมไปขี่หน่อย"
"รถฉันไม่มีไว้ให้แกเอาไปหลอกล่อผู้หญิง"
"เฮ้ย! คนอย่างฉันไม่เคยต้องใช้วิธีหลอกล่อ แค่อยู่เฉยๆ ก็มีผู้หญิงเดินมาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวแล้ว"
"เรื่องผู้หญิง เพลาๆลงบ้างก็ดี"
ภรพบอก
"ปล่อยมันไปเถอะ มันเลือกแล้ว ที่จะตายคาอกผู้หญิงดีกว่าตายคาเครื่องสีข้าว"
"คนเรามีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองไม่ใช่เหรอวะ"
ทรงกลดบอก
"บางคนก็ไม่มีทางเลือก"
ทรงกลดนิ่งคิดถึงตงที่ไม่ยอมให้ทรงกลดเกี่ยวข้องกับแก๊งเขี้ยวสิงห์
คณินทำบุ้ยใบ้
"มาแล้ว!"
ทรงกลดกับภรพหันไปมองตามสายตาของคณิน เห็นธามเดินกำลังเดินเข้ามา สายตาทรงกลดฉายแววต้อนรับและมีไมตรีให้ ทุกคนรับรู้ว่า ธามจะได้เป็นหัวหน้าแก๊งกระทิงคนใหม่

บริเวณงานทิ้งกระจาด กลุ่มชาวบ้านยืนเบียดเสียดกัน เพื่อรอรับของทิ้งกระจาด ตง เซี๊ยะและสุงยืนมองไปที่คนของศาลเจ้าที่เตรียมข้าวของมือเป็นระวิง กลุ่มชาวบ้านที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย สุง พ่อของหงส์ (แก๊งหงส์ดำ) หันไปมองตง พ่อของทรงกลด (แก๊งเขี้ยวสิงห์) กับเซี๊ยะ พ่อของภรพ (แก๊งเสือ) แล้วอดคิดถึงรุ่นน้องร่วมสาบานอีกสองคนไม่ได้
"เสียดายที่ปีนี้อาเส็งลงมาไม่ได้" สุงบอก
อาเส็งเป็นพ่อของคณิน (แก๊งเหยี่ยวแดง) ซึ่งทำโรงสีอยู่ปากน้ำโพ
"เดี๋ยววันเชงเม้งก็ได้เจอกันแล้ว เฮีย" ตงบอก
"อาเช็งตายไปกี่ปีแล้วนี่ วันเดือนปีมันผ่านไปเร็วจริงๆ"
เช็งคือ พ่อของธาม (แก๊งกระทิง)
ตงบอก
"ถึงจะผ่านไปกี่ปี อั๊วก็จะไม่มีวันลืม"
ตงมองไปกลุ่มชาวบ้านยากไร้ที่เบียดเสียดกันรอของทิ้งกระจาด

ณ โรงเจ เมื่อ 35 ปีก่อน เลือดมังกรทั้ง 5 อยู่ในวัย 20-25 ปี อยู่ในกลุ่มชาวบ้านมารับถุงข้าวสารจากโรงเจอย่างทุลักทุเลและยากลำบาก ตง,สุง, เซี๊ยะ, เช็งและเส็งออกมาคนสุดท้าย ทุกคนต่างกอดถุงข้าวสารหลุดออกมาจากกลุ่มชาวบ้านที่ยังเบียดเสียดยื้อแย่งข้าวสารกัน ยกเว้นเส็งที่ออกมามือเปล่า
"มัวแต่มองผู้หญิงล่ะสิ" เช็งบอก เพราะรู้นิสัยเจ้าชู้ของเส็งเป็นอย่างดี
"เออ..เฮ้ย! ไม่ใช่ แย่งกับเขาไม่ทันต่างหาก"
สุงยัดถุงข้าวสารให้เส็งไปโดยไม่ต้องคิด
"เฮ้ย! เฮีย"
"เอาไป ไม่ต้องพูดมาก" สุงบอก
สุงเดินออกไปอย่างไม่ให้เส็งต้องปฏิเสธ
"เฮีย! เฮียสุงๆ"
เซี๊ยะบอก
"ไม่ต้องเรียกให้เหนื่อย"
ตงตัดสินแทนทันทีด้วยความเป็นผู้นำ แต่ทุกคนยกให้สุงที่อาวุโสและมีคุณธรรมสูงสุดเป็นผู้นำกลุ่ม
ตงบอก
"เดี๋ยวเอาข้าวสารมารวมกัน แล้วแบ่งเป็นห้าส่วน ก็หมดปัญหา"
"ลื้อพูดให้เฮียสุงยอมให้ได้ก็แล้วกัน อาตง" เซี๊ยะว่า
ตงกับเซี๊ยะมองหน้ากันอย่างขำๆและอ่อนใจ สุงเดินลิ่วหนีไปแล้ว
ตงถาม
"เฮียสุงเคยอดข้าวนานที่สุดกี่วันนะ อาเซี๊ยะ"
"ห้าวันเห็นจะได้ เฮียเล่นกินแต่น้ำข้าว ไม่รู้มีแรงไปแบกข้าวสารได้ยังไง"
"พวกอั๊วติดค้างเฮียไม่รู้เท่าไหร่"
"ไม่มีใครติดค้างใคร อั๊วเป็นพี่ใหญ่ เป็นหน้าที่ของอั๊วอยู่แล้ว อีกไม่นาน อั๊วคงต้องมอบหน้าที่นี้ให้ลื้อแล้ว อาตง"
"ไม่เอาๆ อั๊วไม่รับ ไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นนายกสมาคมเลือดมังกรเท่าเฮียอีกแล้ว ตอนนี้ก็หวังแต่ว่าจะมีคนรุ่นต่อไปเข้ามาสานต่อ แต่ไม่รู้จะฝากความหวังได้มั้ย คนรุ่นใหม่มันไม่เคยรู้จักรสชาติของการต่อสู้ชีวิต"

ทรงกลดเดินเข้ามาคนแรก เรียกผู้ใหญ่โดยไม่ได้ยกมือไหว้
"แปะสุง...เจ็กเซี๊ยะ"
ทรงกลดกวาดตามอง ไม่เห็นเหมยลี่มาด้วย ก็เดินไปยืนข้างพ่อและแอบยิ้มอย่างพอใจ
ทรงกลดพูดลอยๆให้พ่อได้ยิน
"เมียเด็กไม่มาด้วย อย่างนี้จะดูงิ้วสนุกเหรอเนี่ย"
"ลื้อไม่รู้จักโตอย่างนี้ อั๊วถึงต้องขออาหมงมาเป็นลูกชายคนใหม่"
ทรงกลดหน้าหุบลงทันที ได้แต่มองพ่ออย่างอดกลั้นความโกรธและเจ็บที่พุ่งขึ้นมา

งานทิ้งกระจาดกำลังเริ่มต้นขึ้น กลุ่มชาวบ้านฮือเข้าไปรับของบริจาคอย่างวุ่นวายโกลาหล
อาจูเพิ่งมาถึงเลยอยู่ท้ายๆ กลุ่มชาวบ้านที่มาก่อน อาจูกระโดดเหยงๆขึ้น เพื่อมองไปยังคนที่แจกของบริจาค
"จะเหลือถึงเรามั้ยเนี่ย"
อาจูมองกลุ่มชาวบ้านที่มากันอย่างมหาศาลแล้วไม่รู้จะแทรกตัวเข้าไปยังไง เธอฮึดสู้ รวบผมเป็นจุกที่หัวและพับแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว

ก่อนลุยฝ่าฝูงชาวบ้านเข้าไป อาศัยความคล่องแคล่วเลยมุดเข้าไปจนได้

ทรงกลดกำลังแจกของบริจาคอยู่กับภรพ คณินและธาม เขามองไปที่กลุ่มชาวบ้านที่เบียดเสียดกันเข้ามารับของบริจาคไม่มีหยุด

เขากวาดตามองไปทั่วแล้วต้องชะงักด้วยสัญชาตญาณ รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติในหมู่ฝูงชน
ใช่ มีกลุ่มมือปืนแฝงอยู่กับกลุ่มชาวบ้าน เพียงแต่เขายังไม่พบความผิดปกติ แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจเสียทีดียว
ทรงกลดพึมพำ
"มันแปลกๆ"
เขารู้สึกว่ามีคนคอยจ้องมองเขาอยู่
ทรงกลดกวาดตามองอีกครั้งแล้วต้องชะงักและอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าเอาเรื่องของอาจูที่บุกๆลุยๆเข้ามาอย่างมุ่งมั่นเหมือนเข้ามารับทองคำก็ไม่ปาน เธอลุยเข้ามาจนถึงตรงหน้าเขา แต่ต้องเซไปเซมาเพราะฝูงชนเบียดเสียดจนไม่ทันมองหน้าทรงกลด
ขณะที่ทรงกลดกำลังจะส่งของบริจาคให้อาจู เธอก็โดนฝูงชนเบียดจนถอยห่างออกไป เธอจึงต้องไปรับของบริจาคที่แจกโดยคนอื่น
ทรงกลดมองเธอที่กอดของบริจาคไว้แน่น พริบตาเดียว อาจูก็ไหลหายไปกับกลุ่มฝูงชน

อาจูเดินเบียดเสียดออกมาพร้อมกับกลุ่มชาวบ้านที่ได้ของบริจาคแล้ว เธอในสภาพผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่กอดของบริจาคไว้แน่นอย่างดีใจมาก
อาม่าคนหนึ่งตะโกนเสียงดังบอกหลาน
"ไปสิ รีบๆเข้าไป ไปเอามาเยอะๆ"
อาจูหันไปมองตามเสียงเห็นอาม่าที่กำลังผลักเหลานสาววัย 7-8 ขวบให้เข้าไปรับของบริจาค
"ไปสิ ไป"
เด็กน้อยบอก "อั๊วกลัว"
"กลัวอะไร หา กลัวอะไร! เข้าไปๆ ถ้าไม่ได้ของ ก็ไม่ต้องกลับบ้าน"
อาม่าเดินออกไป เด็กน้อยมองกลุ่มฝูงชาวบ้านที่เฮโลเข้าไปรับของบริจาค เสียงดังโกลาหลจนน่าสะพรึงกลัว อาจูมองเด็กน้อยแล้วนึกถึงตัวเองที่ถูกอาม่าซิ่วเอ็งจิกใช้อย่างนี้เหมือนกัน
เธอเดินเข้าไปหาเด็กน้อยแล้วส่งของบริจาคให้ เด็กน้อยมองอาจูอย่างงงๆ
"เอาไป เเจ้ให้"
เด็กน้อยที่หน้าเบ้กำลังจะร้องไห้ เลยยิ้มกว้างกอดของบริจาคแล้ววิ่งจู๊ดออกไปทันที
อาจูหันมองกลุ่มชาวบ้านที่ยังเข้ายื้อแย่งของบริจาคอยู่ แต่รู้ว่า หมดโอกาสไปรับของบริจาคแล้ว

กลุ่มชาวบ้านที่ได้ของบริจาคพากันเดินออกมา อาจูเดินตามหลังออกมาเช่นกัน เธอมองชาวบ้านคนอื่นๆที่ได้ของบริจาคมา บางคนถือกันมา 2-3 ชุดเต็มอ้อมกอด เธอถอนใจเฮือกอย่างเสียดายแล้วตัดใจเดินต่อไป
ชาย1 เดินมาขวางทางเธอไว้แล้วส่งของบริจาคที่ถุงใหญ่กว่าปกติให้
อาจูงงๆ
"ให้ฉันเหรอ"
ชาย1 ยัดของบริจาคให้จนเธอต้องรีบรับไว้ก่อนที่ของบริจาคจะหลุดหล่นลงพื้น
"รับไป! นายสั่งมา"
ชาย1 ให้ของบริจาคแล้วก็จะผละเดินออกไป
"เดี๋ยวๆ เฮีย ใครสั่งมา เฮียเป็นคนของศาลเจ้าใช่มั้ย"
ชายคนนั้นเดินออกไปโดยไม่ยอมพูดอะไร อาจูตะโกนไล่หลัง
"ฝากขอบคุณซินแสง้วงให้ด้วยนะ เฮีย"
อาจูกอดของบริจาคอย่างมีความสุขแล้วเดินออกไป
ชายคนนั้นเดินไปหาทรงกลดที่ยืนมองอยู่ห่างออกไป เขาพยักหน้าให้ชายที่ทำงานได้ตามที่สั่ง
ทรงกลดมองตามอาจูแล้วยิ้มอย่างพอใจ

บริเวณโรงงิ้วชั่วคราว เสียงดนตรีดังเร้าใจจากการแสดงงิ้วเรื่อง”ขุนศึกตระกูลหยาง” ตัวละครงิ้วร่ายรำออกมาด้านหน้าเวที ที่นั่งแถวหน้าวีไอพี มีสุงนั่งเป็นประธาน ตง เซี๊ยะ เล้ง เต็ก ไช้และหัวหน้าแก๊งอื่นๆนั่งอยู่ด้วย การแสดงงิ้วยังดำเนินต่อไป คนดูตบมือลั่นเมื่อเห็นอาฉางออกมาเปิดตัว
หงส์โผล่มาจากม่านหลังเวทีมองฉางร่ายรำงิ้วอย่างปลื้มปริ่ม ,หงส์นึกถึงพวกพี่ๆได้ว่าอยู่ที่งานทิ้งกระจาด
สุง ตงและเซี๊ยะคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้นึกสังหรณ์ใจเลยว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
เล้งตบมือแปะๆตามคนดูคนอื่นๆ ยิ้มกริ่มอย่างเพลิดเพลินไปกับการแสดงงิ้ว หงส์เห็นทางสะดวกผลุบกลับเข้าไปอย่างว่องไวโดยหาทางออกไปจากหลังโรงงิ้ว
คนดูตบมือกันกราวอย่างพอใจกับการแสดงงิ้วบนเวที

ทรงกลด ภรพ คณิน และธามกำลังช่วยแจกของบริจาคให้กับกลุ่มชาวบ้าน หงส์แทรกตัวมาจากทางด้านหลังจนมาถึงจุดแจกของทิ้งกระจาดได้ เธอปีนขึ้นเวทีมายืนอยู่ข้างธามพอดิบพอดี,มองข้ามธามไปมองหาพี่ๆคนอื่นๆ
หงส์ยิ้มแฉ่งเรียก "เฮีย!"
ทรงกลด ภรพ และคณินหันไปยิ้มให้หงส์อย่างดีใจที่ได้เจอกัน หงส์เพิ่งรู้ว่ายืนเบียดอยู่กับธาม ก็หันไปยิ้มให้อย่างรู้สึกว่า คุ้นเคยมาก
เสือ สิงห์ กระทิง แรดและหงส์ได้อยู่ร่วมกันบนเวทีชั่วขณะ
เพียงพริบตาที่ทรงกลด ภรพ ธามและคณินได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติก็สายไปแล้ว กลุ่มมือปืนที่แฝงตัวในชุดเหมือนชาวบ้านที่มารับของบริจาคต่างดึงปืนออกมา
กระสุนนับร้อยมาจากทุกทิศทุกทางสาดใส่ทายาทแก๊งใหญ่โดยหมายหัว ทรงกลด ภรพ ธามและคณินไว้แล้ว, ทุกคนต่างผละออกจากกันไปตั้งที่มั่นของตัวเอง
ทรงกลด ภรพ คณินต่างยิงสวนออกไปอย่างไม่มีหวั่น ,ธามดึงหงส์ไว้ด้านหลัง
"ป๊า! เฮียฉาง"
หงส์จะวิ่งกลับไปที่โรงงิ้ว ธามยิงป้องกันตัวไปพลางดึงหงส์ให้ออกไปด้วยกัน
การปะทะระหว่างทายาทแก๊งใหญ่กับกลุ่มมือปืนโหดยังดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน

เสียงปืนดังสนั่นจากบริเวณทิ้งกระจาด ทำให้ฉางและนักแสดงงิ้วบนเวทีชะงักตง สุง เซี๊ยะ เต็กและไช้ลุกขึ้นอย่างตกใจ พร้อมๆกับกลุ่มลูกน้องนับสิบเข้าล้อมรอบปกป้องนายของตัวเอง
มือปืนในคราบชาวบ้านนับสิบล้อมรอบโรงงิ้วไว้ทุกจุด ยิงกราดไปโดยเล็งแต่พวกแก๊งใหญ่ๆ
เล้งหายวับไปในความชุลมุนอย่างที่ไม่มีใครได้ทันสังเกต
นักแสดง และคนดูในโรงงิ้ววิ่งหนีกันอลหม่าน เสียงตะโกนร้องและหวีดร้องดังไม่แพ้เสียงปืน
ฉางเห็นสุง ตง เซี๊ยะและหัวหน้าแก๊งคนอื่นๆถูกผู้คุ้มกันนับสิบช่วยกันพาตัวออกไป
ฉางวางใจเรื่องพ่อแต่ยังห่วงเรื่องหงส์ น้องสาวที่หลบไปไหนไม่รู้ ธามพาหงส์ฝ่ากระสุนมาได้
ฉางยิ้มออก หงส์กับฉางต่างเห็นหน้ากันแล้วยิ้มดีใจ
ธามกลับออกไปตามล่าคนบงการการยิงถล่มครั้งนี้
อยู่ๆหงส์ก็รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เสียงปืนหรือเสียงกรีดร้องอย่างอลหม่านล้อมๆ ทุกอย่างเงียบกริบลงเพราะหงส์ได้ยินแต่เสียงปืนนัดสำคัญลั่นขึ้น
"เฮียฉาง"
ง้าวของฉางล้มฟาดลงที่พื้น ฉางถูกยิงตาย !!

การปะทะระหว่างกลุ่มมือปืนกับทายาทแก๊งใหญ่ยังไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด กระสุนที่สาดใส่กันทำเอาบริเวณงานไม่เหลือซากเดิมเลย
ทรงกลด ภรพและคณินต่างมองกันเพื่อหาทางจะช่วยซึ่งกันและกัน
กระสุนเฉียดฉิวทรงกลดไปหลายนัด ก่อนหันไปเห็นมือปืน 3 คนที่จ้องยิงมาที่เขาโดยเฉพาะ
ทรงกลดยิงปืนสวนไปเก็บมือปืนไปได้สองคน มือปืนคนที่ 3 เห็นท่าไม่ดีกระโจนพรวดหนีออกไป
ภรพยิงสวนออกไปเปิดทางให้ ทรงกลดวิ่งไปพลางยิงสวนไป
ทรงกลดกับภรพวิ่งตามมือปืนที่เหลือออกไป

ส่วนคณินวิ่งไล่มือปืนไปอีกทาง

มือปืนวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แทรกเข้าไปกับกลุ่มชาวบ้านที่แตกตื่น ทรงกลดกับภรพวิ่งตามออกมาพอทันเห็นหลังมือปืนไวๆ

ทรงกลดตะโกน
"หลีกไป! หลีก"
ทรงกลดกับภรพวิ่งแหวกทางกลุ่มชาวบ้านไป มุ่งมั่นจะจับมือปืนให้ได้ ฉับพลันกระสุนแล่นมาเฉียดภรพอย่างเฉียดฉิว ชาวบ้านแตกฮือหนีตายกันทั่วหน้า
ภรพวิ่งตามมือปืนอีกคนที่ซุ่มดักอยู่ในทันที
ทรงกลดหันไปมองและรับรู้ว่า ภรพวิ่งตามมือปืนอีกคนไปอีกทาง
มือปืนเป้าหมายของทรงกลดยังวิ่งลัดเลาะอยู่ตรงหน้า เขาวิ่งตาม แทรกกลุ่มชาวบ้านอลหม่านออกไปได้ แต่ไม่เห็นมือปืนเสียแล้ว
เสียงของหนักๆหล่นโครม! ทรงกลดชะโงกไปมองที่ซอยแคบๆ
มือปืนกำลังเหยียบลังเพื่อปีนข้ามกำแพงออกไป เสียงโครมครามดังมาจากลังที่ล้มระเนระนาด
ทรงกลดรุดตามไป มือปืนปีนข้ามไปอีกซอย ทรงกลดปีนตามอย่างไม่ลดละ

มือปืนวิ่งหนีทรงกลดมาตามทางอีกซอย ชาวบ้านต่างพากันหนีเข้าบ้านเข้าร้านแล้วปิดประตูทันที ทรงกลดวิ่งตามมาทัน มือปืนหันมายิงใส่
ทรงกลดยิงเปรี้ยงเดียวที่มือของมือปืน,ปืนของมือก็กระเด็นหลุดออกไป
"หยุด! ไม่งั้นกูยิง"
มือปืนหยุดชะงักไม่กล้าวิ่งหนี ค่อยๆหันหน้ามาประจันหน้ากับทรงกลด
"ใครส่งมึงมา"
มือปืนจ้องหน้าทรงกลดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่เปิดปากง่ายๆ
"กูถามว่า ใครส่งมึงมา"
ทรงกลดเตรียมจะลั่นไกแค่ขู่เท่านั้น อาจูซึ่งเดินมาหยุดที่ด้านหลัง เห็นว่าทรงกลดกำลังจะฆ่าคนอย่างเลือดเย็น
อาจูรีบทิ้งของบริจาคและกระป๋องนมใส่กาแฟร้อนที่แวะซื้อมาลงกับพื้น คว้าไม้คานจากหาบขนมจุ๋ยก้วยฟาดใส่ทรงกลดทันที
"โอ๊ย! เฮ้ย"
อาจูฟาดๆๆใส่ไม่ยั้งจนน่วม เขาหันมายุดไม้คานไว้ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเป็นอาจู
อาจูจำหน้าได้
"ไอ้กุ๊ย!"
อาจูกระชากไม้คานกลับแล้วจ้องทรงกลดอย่างกล้าๆกลัวๆ
ทรงกลดจำได้เหมือนกัน
"นี่เธอ!"
มือปืนได้โอกาสก้มลงหยิบปืนที่พื้นหันมาจะยิงใส่ แต่กระสุนพุ่งเข้าที่ไหล่ของมือปืนจนต้องทรุดทรงกลดกับอาจูหันไปมองด้านหลัง
ที่แท้ อันเป็นคนลั่นกระสุนใส่มือปืน อันถือปืนเล็งขู่มือปืนไว้แล้วมองสำรวจทรงกลดทันที
"ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ"
"ตามมาจนได้นะ แก"
อาจูถอยกรูดเมื่อเห็นทรงกลดมีพวกมาด้วย มือกำไม้คานไว้แน่น เขามองอาจูอย่างขำๆ ทรงกลดหันไปมองมือปืนคิดว่าสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว
"มันหนีไปแล้ว"
มือปืนเสี่ยงวิ่งหนีออกไป ทรงกลดกับอันไล่ตามไป
อาจูยืนอกสั่นขวัญแขวนไม่รู้ว่าตัวเองกล้าทำไปได้ยังไง เมื่อนึกบางอย่างได้ก็มองไปที่หาบจุ๋ยก้วยทันที
"ม้า!"
อาจูตกใจที่ไม่เห็นเง็กเหลือแต่หาบที่ล้มระเนระนาดอยู่

มือปืนวิ่งหนีมาจนถึงซอยตัน ทรงกลดกับอันวิ่งไล่กวดมาจนทัน เขากับอันยกปืนขึ้นเล็งขู่
"ถ้าไม่พูด! ก็ตาย! เลือกเอา"
มือปืนมองหาทางหนีรอด แต่ไม่มีทางเอาเสียเลย
"มึงหนีไปไหนไม่รอดหรอก"
มือปืนเหลือบเห็นเง็กหลบอยู่ในซอก ก้มหัวขดตัวสั่นงันงกอยู่ มือปืนลากเง็กมาเป็นตัวประกันทันที พร้อมดึงมีดที่เหน็บเอวออกมาจ่อเง็กไว้
"หลีกไป ไม่งั้นอีนี่ตาย"
อาจูวิ่งตามเข้ามา เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วแทบช็อก
"ม้า! ... อย่ายิงนะ อย่ายิง!"
อาจูกลัวจนน้ำตาไหล เง็กมองอาจูอย่างเหมือนจะเห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย
ทรงกลดกับอันมองหน้ากันแล้วทั้งคู่ค่อยๆลดปืนลง
"ปล่อยแม่ฉัน! มาจับตัวฉันแทน"
อาจูผวาเข้าไปหาเง็ก ทรงกลดดึงตัวอาจูเข้ามากอดคอล็อคตัวไว้ อีกมือก็เล็งปืนยิงใส่มือปืนทันที
เขายิงเข้าที่ไหล่ แผลเก่าของมือปืนที่อันยิงใส่
อาจูวีดร้องอย่างตกใจ
" ม้า!"
มือปืนเจ็บร้องลั่น "โอ๊ย!"
มือปืนทรุดตัว มีดในมือร่วงหล่นลงพื้น คลายมือจากเง็ก, อันตรงเข้าไปกระชากตัวเง็กออกมา
อาจูทั้งผลักทั้งทุบทรงกลดที่ยังกอดตัวไว้อยู่ เขาไม่สะดุ้งสะเทือนรอจนเห็นเง็กหลุดออกจากมือปืนจริงๆจึงค่อยคลายมือจนอาจูหลุดออกมาจากอ้อมกอด อาจูโผเข้ากอดเง็กไว้แน่น
ทรงกลดตรงเข้าไปถีบมือปืนล้มลงแล้วเอาเท้าเหยียบอก จ่อปืนขู่อย่างดุดัน
"ใครส่งมึงมา"
มือปืนเหลือบมองมีดที่หล่นอยู่พื้นแค่ปลายมือ แล้วตัดสินใจฉับพลันคว้ามีดมาแทงอกตัวเอง ฉับ!
อาจูตกใจตาโพลงเบือนหน้าหนี ทรงกลดมองมือปืนด้วยสีหน้านิ่งๆไม่สะเทือนใดๆ
อันเข้าไปแตะชีพจรที่คอของมือปืน ก่อนค้นตัวหาหลักฐาน แล้วนึกได้ พลิกตัวมือปืนแล้วถลกเสื้อขึ้นเปิดออก
"นายน้อยครับ"
ทรงกลดมองไปที่แผ่นหลังของมือปืน เห็นรอยสักรูป”เต่ามังกร”
"แก๊งเต่ามังกร"
เง็กจ้องเขม็งไปที่รอยสักเต่ามังกร อาจูหันไปมองตาม
เง็กเสียงสั่น ราวมีปมในใจ
"กลับบ้าน! อาจู! กลับบ้านเดี๋ยวนี้"

เง็กลากลูกสาวออกไปทันที ทรงกลดจ้องมองรอยสักเต่ามังกรอย่างเคียดแค้น

อ่านต่อ หน้า 2

เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ซิ่วเอ็ง สีหน้าเย็นชาเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หน้าบ้านจนเปลวไฟลุกโพลง อาจูหาบขนมจุ๋ยก้วยเข้ามา เง็กถือถังน้ำและของบริจาคตามหลังลูกสาวมา ซิ่วเอ็งส่งเสียงดุขึ้น

"ขายของหมดแล้วเหรอ ทำไมกลับมาเร็วนัก"
อาจูกับเง็กหันมามองหน้ากันอย่างลำบากใจ แต่เว่ยเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
"ม้า! เเจ้! เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเค้าว่า มีมือปืนนับร้อยบุกเข้าถล่มโรงงิ้ว คนตายเป็นเบือเลย ไม่ได้โดนลูกหลงกับเค้าใช่มั้ย"
ซิ่วเอ็งแทรก
"วันนี้ก็เลยขายของไม่ได้"
เว่ยมองสภาพแม่และพี่สาวที่เพิ่งผ่านศึกใหญ่มา
"โธ่ ม่า! ดูสภาพอาม้ากับเเจ้จูซะก่อน กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแค่ไหนแล้ว"
อาจูบอก
"ถ้าเดือนนี้หนูยังหางานบัญชีทำไม่ได้ หนูจะหางานอื่นทำ ยังไงหนูก็จะหาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้อาเว่ยให้ได้ ม่าไม่ต้องห่วง"
ซิ่วเอ็งบอก
"อย่ามาทำปากดี หาเงินมาให้ได้ซะก่อนเถอะ อาเง็ก ! เพราะลื้อคนเดียว! อั๊วบอกแล้วให้เก็บเงินไว้ส่งอาเว่ยเรียน" แล้วปรายตามองอาจู "ลูกสาว..อีกหน่อยก็แต่งออก ไปเป็นคนนอก ไปรับใช้บ้านผัว ไม่รู้จะให้มันเรียนสูงๆทำไม"
"ลูกสาวลูกชายก็เป็นลูกอั๊ว เป็นหลานอาม้าเหมือนกัน"
ซิ่วเอ็งขัดทันที
"ไม่เหมือน! อั๊วมีอาเว่ยเป็นหลานคนเดียว! ลูกติดจากผัวเก่าลื้อ อั๊วไม่เคยนับว่ามันเป็นหลาน"
ซิ่วเอ็งเดินเข้าบ้าน อาจูนิ่งอึ้งอย่างยอมรับสถานภาพตัวเอง

อาจู เง็กกับเว่ยช่วยกันเก็บโต๊ะเซ่นไหว้ อาจูหยิบรูปอาเหลียงจากโต๊ะเซ่นไหว้ไปแขวนไว้ที่ฝาผนังเหมือนเดิม เง็กกับเว่ยหันไปเห็นอาจูยืนมองรูปถ่ายของอาเหลียงนิ่งอยู่
"อาจู ไม่ต้องคิดมาก อาม่าอีไม่ได้ตั้งใจหรอก.."
เว่ยเดินเข้าไปแตะไหล่อาจูอย่างปลอบใจ
"เเจ้จู ถึงเราจะไม่ได้แซ่เดียวกัน แต่เราสองคนเป็นลูกของอาม้าเหมือนกันนะ"
"เว่ยคิดถึงป๊าเหลียงบ้างมั้ย"
เว่ยมองรูปถ่ายอาเหลียง
" ไม่คิด! ไม่คิดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว"
"อาเว่ย!"
"เราจะไปคิดถึงคนที่ทิ้งเราไปทำไม"
"ลื้อยังเด็ก ลื้อไม่เข้าใจหรอก"
"ผมเข้าใจทุกอย่าง ผมไม่รู้ว่า ม้าจะเกลียดอาป๊าของเเจ้จูทำไม อาป๊าของเเจ้จูตายเพราะถูกนักเลงฆ่าตาย ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลัง แต่อาป๊าสิ"
เว่ยหันไปมองรูปถ่ายของอาเหลียงอย่างเจ็บช้ำใจ แล้วเดินออกไป เง็กได้ยินด็อึ้งไป
"อาเว่ย."
"อาเว่ยพูดถูกเรื่องนึงนะ ม้า ทำไมม้าเกลียดอาป๊าของหนูนัก"
"วันนี้ลื้อก็ได้เจอกับตัวเองแล้ว เห็นหรือเปล่า เห็นไอ้พวกแก๊งนักเลงมันไล่ฆ่ากันมั้ย ไอ้คนพวกนี้ใจคอโหดร้าย ไม่มีความเป็นคน! อาป๊าลื้อก็เหมือนกัน"
อาจูนิ่งอึ้งอย่างสะเทือนใจ

ภายในบ้าน ทรงกลดแข็งกร้าวอย่างเอาเรื่อง มีอันยืนอยู่เยื้องหลัง
"เป็นฝีมือของแก๊งเต่ามังกรแน่ๆ"
ทรงกลดหันไปมองพ่อที่อยู่ตรงข้าม ปอยืนอยู่เยื้องหลังตง และมีลูกน้อง 4-5 คนยืนถัดไป
ทรงกลดจ้องมองพ่อว่าจะตัดสินใจยังไง
"อาหมง! ไปสืบดูให้แน่ว่า เป็นฝีมือแก๊งไหน" ตงบอก
หมงอยู่ข้างตัวตง ค้อมหัวรับคำสั่งอย่างไม่มีคำถาม
"ครับ ป๊า ผมจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้เลย"
"ทำไมต้องสืบ! เรามีหลักฐานชี้ชัดขนาดนี้แล้ว ถ้าป๊าไม่กล้า ผมจะไปสะสางบัญชีกับเสี่ยเคี้ยงเอง ไป อาอัน"
ทรงกลดเดินออกไป อันเดินตาม
ตงเรียกเสียงดัง
"ทรงกลด"
อันเตือนเบาๆ
"นายน้อยครับ"
ทรงกลดยังดื้อเดินต่อไปอีก แต่แล้วก็ต้องชะงักหยุด เมื่อเสียงพ่อดังขึ้น
"หยุดเดี๋ยวนี้! นี่ไม่ใช่หน้าที่ของลื้อ"
ตงเดินเข้าไปหยุดประจันหน้ากับลูกชาย
"เรื่องนี้เป็นเรื่องของแก๊งเขี้ยวสิงห์ ลื้อไม่ต้องยุ่ง"
"ผมไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์หรือไง"
"หน้าที่ของลื้อคือดูแลบริษัทตงวานิช"
"โดยมีไอ้หมงมาคุมผมอีกที..ไหนๆก็รับมันมาเป็นลูกแล้ว ก็ยกทั้งแก๊ง ทั้งบริษัทให้มันไปแล้วกัน ป๊า..แต่วันไหนที่ไอ้หมงขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ วันนั้นป๊าจะไม่ได้เห็นหน้าผม"
ทรงกลดเดินออกไปอย่างโกรธ อันเดินตามออกไป
หมงบอกตง
"นายน้อยไม่น่าจะคิดมากเลย ยังไงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ก็ต้องเป็นนายน้อยอยู่แล้ว ผมไม่บังอาจรับตำแหน่งนี้หรอก"
"แต่ถ้าอั๊วจะยกตำแหน่งนี้ให้ลื้อล่ะ"
หมงทำเป็นตกใจและไม่เห็นด้วย
"ป๊าครับ"
ปอขัด
"เรื่องสำคัญอย่างนี้ นายใหญ่อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจเลยครับ"
หมงมองปอแต่ซ่อนความรู้สึกไม่พอใจ ตงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะยกตำแหน่งหัวหน้าให้หมง

หมงสั่งการลูกน้อง 4-5 คน
"ไปได้แล้ว ถ้าได้ข่าวยังไง ต้องมาบอกฉันเป็นคนแรก เข้าใจมั้ย!"
"ครับ คุณหมง"
"นายน้อย!"
หมงกับลูกน้องหันไปตามเสียง เหมยลี่เดินเข้ามา
"พวกแกควรจะเรียกคุณหมงว่านายน้อยได้แล้ว"
หมงรีบไล่
"ไปทำงานที่ฉันสั่ง ไป"
ลูกน้อง 4-5 คนรีบเดินออกไป
หมงเตือน
"เหมยลี่"
"ถ้าเธอยังไม่ได้เป็นนายน้อย แล้วเธอจะขึ้นเป็นนายใหญ่ได้ยังไง"
"เรื่องนี้ให้อาป๊าเป็นคนตัดสินใจเถอะ แล้วของแบบนี้เป็นเรื่องของบุญพาวาสนาด้วย อาป๊าเมตตารับฉันมาเลี้ยงเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ฉันก็โชคดีมากแล้ว"
"แน่ใจหรือว่า เธอต้องการแค่นี้จริงๆ"
เหมยลี่แตะไหล่หมง เลื้อยมือไปตามจนมาแตะที่คอแล้วไล้ที่คอของหมงเบาๆอย่างยั่วยวน
"ถ้าหากมีอะไรให้ฉันช่วยล่ะก็ บอกได้นะ"
หมงจับมือเหมยลี่ไว้ให้หยุดแต่ไม่ได้ปล่อยมือ,แล้วมองไปรอบตัวอย่างระวัง หมงเห็นทางโล่งก็จับมือขึ้นหอมหลังมือเบาๆ
"ขอบใจ"
"ฉันจะรอนะ หมง ฉันจะอดทนรอ..รอวันที่ฉันได้เป็นนายหญิงของแก๊งเขี้ยวสิงห์"

เหมยลี่มองหมงอย่างหยอดๆ หวังจะช่วยหมงเป็นหัวหน้าแก๊ง เธอจะได้เป็นนายหญิงเต็มตัวเสียที

ทรงกลดกับอันเดินตรงจะไปที่โรงรถ เขาหันไปเห็นอันกำลังนิ่งคิดอะไรอยู่

"มีอะไร ก็พูดมา"
"ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ เอาจริงหรือครับ" อันถาม
ทรงกลดแหย่
"ทำไมแกคิดว่า ฉันไม่แน่พอที่จะเป็นหัวหน้าแก๊งงั้นเหรอ"
อันไม่ขำด้วย
"ผมไม่เคยเห็นนายน้อยสนใจเรื่องนี้"
"ฉันก็ยังไม่สนใจ แค่อยากขวางลำป๊าไม่ให้ยกตำแหน่งให้ไอ้หมงมันเร็วนัก คนไม่มีน้ำยาอย่างไอ้หมงมันจะทำอะไรได้ ฉันจะต้องหาไอ้ตัวการที่สั่งฆ่าพวกเราให้ได้ อาฉางจะต้องไม่ตายเปล่า"
"แล้วคุณคณินก็ยังมาหายตัวไปอีก แต่ที่เราถูกยิงถล่มที่ศาลเจ้าวันนี้ ไม่น่าจะเป็นฝีมือของคนๆเดียวหรือแก๊งเดียว"
"เรากำลังจะไปหาคำตอบอยู่นี่ยังไง เริ่มต้นที่แก๊งเต่ามังกร! ไอ้เสี่ยเคี้ยง!"
ทรงกลดเดินนำอันเพื่อไปที่รถ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อปอนำลูกน้อง 4-5 คนมาขวางทางทรงกลดไว้
"เสียใจด้วยครับ นายน้อย"
ทรงกลดฮึดฮัดโมโหที่ถูกหยุดเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

ค่ำนั้น ในห้องอาม่า บ้านอาจู ซิ่วเอ็งนั่งพึมพำเหมือนสวดมนต์อยู่ในห้องมืดๆตะคุ่มๆ
ที่หน้าห้อง เว่ยแอบมองลอดรอยแตกของประตูที่มุมโน่นมุมนี้,แต่ก็เห็นแต่ด้านหลังของอาม่า
อาจูเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังน้องชายจอมซนแล้วดุเบาๆ
"อาเว่ย"
เว่ยรีบยืดตัวตรง ทำยกแขนแล้วบิดตัวไปมาเหมือนไม่ได้แอบทำอะไร
"เดี๋ยวเถอะนะ"
"ก็ผมอยากรู้นี่ แจ้ ว่าอาม่าทำอะไร เห็นกินข้าวเย็นเสร็จก็เข้าห้องปิดประตูเงียบทุกวัน"
"แกจะสงสัยอะไร อาม่าก็สวดมนต์ไหว้เจ้าทุกวันอยู่แล้ว"
"แต่บางทีก็สวดมนต์ถึงเช้าเลยนะ แล้วบางวันผมก็ได้กลิ่นแปลกๆด้วย"
"ถ้าสงสัยมาก ก็เปิดประตูเข้าไปถามอาม่าเลย ไป" อาจูบอก
อาจูแกล้งผลักเว่ยให้ไปที่ประตู แต่เว่ยขืนตัวไว้ไม่ยอมให้ผลักไปง่ายๆ
"ไม่เอาๆ แจ้ อย่าเล่นแบบนี้"
อาจูหยอก
"อาม่ารักเว่ยจะตาย ไม่ว่าอะไรหรอก เข้าไปสิ เเจ้ก็อยากรู้เหมือนกัน"
"เเจ้น่าจะอยากรู้เรื่องอาป๊าของเเจ้มากกว่านะ"
อาจูชะงักไป
"อาม่าเคยบอกอะไรแกงั้นเหรอ ว่ายังไงล่ะ เว่ย!"
"เเจ้อยากรู้ ก็มานี่เลย"
เว่ยดึงอาจูออกไป
ภายในห้อง ซิ่วเอ็งที่กำลังสวดมนต์พึมพำอยู่ ในห้องค่อนข้างทึบ มีเพียงแสงจากตะเกียงดวงเดียว ซิ่วเอ็งเคาะกระดองเต่า สวดมนต์อยู่หน้ารูปวาดเทพเจ้าเตาไฟ ถัดไปเป็นรูปของอาเหลียง มีตู้ยาที่มีลิ้นชักเล็กๆเป็นสิบ และขวดโหลสมุนไพรฯลฯ
ซิ่วเอ็งสวดมนต์เสียงดังขึ้นชวนให้สั่นประสาท แล้วหยิบกระดาษเขียนชื่อจีน “อึ้งตงกัว” ขึ้นมา แล้วโยนลงภาชนะเหล็กใบเล็กที่จุดไฟอยู่
ซิ่วเอ็งโรยผงกำยานลงไป ไฟลุกพรึ่บ กระดาษชื่อของตงไหม้วอดในพริบตา !
ซิ่วเอ็งจ้องมองที่รูปอาเหลียงด้วยสีหน้านิ่งเครียด

เว่ยลากอาจูเข้ามาในห้องนอน แล้วผละไปที่หีบใบใหญ่ที่วางอยู่ซอกลึกของมุมห้อง เว่ยรื้อค้นอยู่ครู่เดียว ก็ได้กล่องใบเล็กติดมือมาแล้วส่งให้อาจู
"ผมเห็นม้าชอบหยิบกล่องนี้ขึ้นมาดูบ่อยๆ"
"แกนี่สอดรู้สอดเห็นจริงๆ"
"เค้าเรียกว่าเป็นคนช่างสังเกตต่างหากล่ะ เเจ้ ลองเปิดดูสิ"
"ไม่เอาล่ะ เที่ยวค้นดูข้าวของๆคนอื่น มันไม่ดี รู้มั้ย"
"อาม้าเปิดกล่องนี่ดู แล้วก็นั่งร้องไห้ทุกที เป็นเเจ้ เเจ้ไม่อยากรู้เหรอว่า มันคืออะไร"
อาจูนิ่งอึ้งไปแล้วค่อยๆเปิดกล่องออกดู ภายในมีหยกรูปเต่ามังกร เธอหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ แวบหนึ่ง เธอคิดถึงภาพที่เห็นเมือ่เช้า รอยสักรูปเต่ามังกร
"เต่ามังกร..แก๊งเต่ามังกร!"
เว่ยภูมิใจนำเสนอ
"อาป๊าของเเจ้ต้องเป็นคนของแก๊งเต่ามังกรแน่ๆ!"
อาจูไม่ได้รู้สึกดีเลยที่รู้เรื่องนี้

ในห้องนอน ทรงกลดวางปืนคู่ใจลงบนโต๊ะแล้วก็เดินไปเดินมา หาทางออกที่จะไปจัดการกับเคี้ยง
"โธ่เว้ย!"
เขากระแทกตัวลงนั่ง มองไปยังที่ทับกระดาษทำด้วยหยกเป็นรูปสิงห์แบบจีน เขากำที่ทับกระดาษไว้แน่นด้วยอารมณ์จะระเบิดที่ทำอะไรไม่ได้อย่างที่คิด

ห้องนอนอาจู ค่ำต่อเนื่องมา อาจูมองหยกเต่ามังกรที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิดและตัดสินใจยังไม่ได้ เธอมองไปเบื้องหลัง เห็นเง็กนอนหลับอยู่บนเตียง เว่ยซุกตัวนอนอยู่ที่พื้น
อาจูกำหยกเต่ามังกรไว้แน่นด้วยความว้าวุ่นใจ

บ้านทรงกลดในบรรยากาศตอนเช้า ประตูห้องนอนเปิดโผละออกมา เขาเดินอาดๆออกมาอย่างตัดสินใจแล้วว่า จะลุย !! ลูกน้อง 2 คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง,กรูกันเข้ามาขวางทางไว้
"ถ้าก้าวมาอีกก้าวเดียว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน"
ลูกน้อง1บอก
"ผมขอโทษจริงๆ แต่นายใหญ่สั่งไว้"
ลูกน้อง 1 ก้าวเข้าไปหาทรงกลด ฉับพลันทันใด ทรงกลดก็จับตัวลูกน้องเอามือไพล่หลัง กดไหล่ลงจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
"โอ๊ย! อ๊าก"
ลูกน้อง 2 จะเข้ามาช่วยแต่ถูกอันที่เข้ามาดึงตัวไว้แล้วจับอัดเข้าข้างฝา
ทรงกลดกับอันปล่อยมือลูกน้อง 2 คนที่ทรุดตัวลงไปกับพื้น ลูกน้องอีก 2 คนเดินเข้ามา เขาทั้งสองแค่มองลูกน้องที่มาใหม่ 2 คนก็ขยาดถอยออกไป

ทรงกลดเดินนำอันออกไปโดยทันที ไม่ต้องพูดอะไรมาก

ทรงกลดกับอันเดินเร็วรี่ออกไปทางประตู หน้าตาเอาจริงของเขาทำให้ลูกน้อง 4-5 คนที่คอยเฝ้าอยู่ ต่างรีๆรอๆว่าจะทำยังไงดี

ทันทีที่ทั้งสองเดินพ้นประตูออกไป ลูกน้องที่ดูเป็นหัวหน้าตัดสินใจขยับจะตามไปทันที
“ไม่ต้องตามไป!”
ตงเดินออกมาพร้อมกับปอ
“เดี๋ยวผมจะรีบส่งคนไปที่บ้านเสี่ยเคี้ยง”
“ไม่ต้อง! ให้มันได้รับบทเรียนซะบ้าง”
“นายน้อยไปกับอาอันแค่สองคน ผมเกรงว่า นายน้อยจะเป็นอันตราย”
“คงไม่ถึงตายหรอก! ยังไงเสี่ยเคี้ยงมันก็ไม่กล้าแตะต้องคนของเรา..อั๊วนึกแล้วว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ อั๊วไม่น่ายอมให้มันกลับมาที่นี่เลย”
“ไม่มีใครบังคับนายน้อยได้หรอกครับ”
“แต่อั๊วต้องบังคับมันให้ได้ ยังไงทรงกลดก็มายุ่งเกี่ยวกับแก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่ได้”
“นายใหญ่ก็ได้ยินนายน้อยพูดเมื่อคืนแล้ว”
“มันไม่มีสิทธิ์คัดค้านการตัดสินใจของอั๊ว ถ้ามันทนเห็นอาหมงขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่ได้ มันจะไปไหนก็ไป ถึงอั๊วจะไม่ได้เห็นหน้ามันอีกตลอดชีวิต ก็ยังดีกว่าที่จะเห็นมัน…”
ตงหยุดชะงักไม่พูดต่อท้ายคำว่า “ตาย” แต่แอบหนักใจ
“ผมเข้าใจครับ”
“มีลื้อคนเดียวแหละที่เข้าใจ...อาปอ”
ตงตบไหล่อาปอคนสนิทที่รู้ใจทุกเรื่อง

อาจูกับเว่ยเดินมาแอบมองไปที่หน้าบ้านเสี่ยเคี้ยง,เห็นสมุนแก๊งเต่ามังกรเดินเข้าเดินออก
อาจูเปลี่ยนใจดึงเว่ยให้เดินออกไป
“เรากลับกันดีกว่า”
เว่ยดึงมืออาจูไว้
“โธ่! เเจ้จู ไหนๆก็มาแล้วน่า”
“หยกเต่ามังกรอาจจะเป็นของป๊าเหลียงก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ถ้าเป็นของอาป๊าผม คงถูกเอาไปตึ๊งที่โรงรับจำนำแล้ว”
“แกจะรู้อะไร”
“อย่าคิดว่าผมเป็นเด็ก ผมรู้ทุกเรื่องแหละ คนในซอยบ้านเราปากมากจะตาย แต่แปลกที่ไม่มีใครรู้เรื่องอาป๊าของแจ้จูเลย”
“ที่ลากเเจ้มานี่ก็เพื่อสนองความสอดรู้สอดเห็นของตัวเองงั้นสิ งั้นกลับ”
เว่ยโอด
“แจ้จู!”
"แจ้ไม่ต้องการรู้อะไรมากกว่านี้แล้ว คนก็ตายไปแล้ว จะรู้ไปทำไม"
อาจูเดินออกไป เว่ยจำต้องเดินตามไป สวนทางกับทรงกลดกับอันที่เดินเข้ามาอีกทาง
เขาทั้งสองยืนมองป้ายชื่อจีนหน้าบ้าน “เต่ามังกร”

ภายในบ้าน เคี้ยงจิบน้ำชาอย่างกังวลใจ อิกยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง
"อั๊วไม่อยากเชื่อว่า จะเกิดเรื่องแบบนี้ได้"
เล้งรินน้ำชาใส่ถ้วยอย่างช้าๆ เกี๊ยงยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลัง
"อั๊วก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน พวกเราก็เหมือนพี่น้องกัน แต่กลับคิดมาฆ่ากันเองอย่างนี้"
เคี้ยงถาม
"ลื้อคิดว่า ไอ้คนที่ส่งมือปืนมาถล่มที่ศาลเจ้า เป็นแก๊งในสมาคมฯงั้นเหรอ อาเล้ง"
"เรื่องของผลประโยชน์ ไม่เข้าใครออกใคร แล้วอีกอย่างหลายแก๊งก็คิดว่า เฮียสุง ครองตำแหน่งนายกสมาคมฯ นานเกินไปแล้ว แต่อั๊วก็ไม่เห็นว่าใครที่เหมาะสมเป็นผู้นำเท่าเฮียสุงอีกแล้ว"
"ผู้นำอะไร!? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อั๊วไม่เห็นอีจะทำอะไรเลย อั๊วว่า ลื้อน่ะ เหมาะที่จะเป็นนายกสมาคมฯคนต่อไปที่สุด"
"บารมีของอั๊วยังไม่ถึงหรอก เฮีย ตอนนี้คนที่รับการยกย่องนับถือที่สุดก็เป็นเฮียตง..แก๊งเขี้ยวสิงห์..ที่อั๊วมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ"
ทรงกลดกับอันเดินตรงเข้ามา สมุนแก๊งเต่ามังกร 4-5 คนตามหลังมา แต่ไม่กล้าทำอะไร
เล้งกับเคี้ยงผุดลุกขึ้นทันที
"ทรงกลด! ใจเย็นๆ อั๊วกำลังสืบหาความจริงให้ลื้ออยู่" เล้งบอก
"นี่มันเรื่องอะไรกัน" เคี้ยงว่า
เล้งบอกกับทรงกลด
"อั๊วเชื่อว่า แก๊งเต่ามังกรถูกใส่ความแน่ๆ มือปืนที่ไล่ฆ่าลื้อ ไม่ใช่คนของเฮียเคี้ยง"
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก๊งมังกรดำ ออกไปดีกว่า..ครับ"
เคี้ยงตบไหล่เล้ง
"อาเล้ง! กลับไปเถอะ! ขอบใจที่อุตส่าห์มา อั๊วจัดการเรื่องนี้เองได้"
เล้งทำท่าหนักใจแต่ก็ยอมเดินออกไปพร้อมกับเกี๊ยง, เล้งเดินผ่านหน้าทรงกลดแล้วชะงักแวบนึง
เล้งพูดเสียงเบา
"น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ลื้อนี่โง่จริงๆ"
เล้งสั่งสอนทรงกลดเหมือนลูกเหมือนหลานอย่างอ่อนใจ แล้วเดินออกไปพร้อมกับเกี๊ยง
ทรงกลดไม่สนใจฟังเล้ง แต่กลับก้าวเข้าไปประจันหน้ากับเคี้ยง
"กลับไปซะ อย่ามาทำใหญ่แถวนี้ ! ถ้ายังไม่อยากตาย"
ทรงกลดมองหน้าเคี้ยงอย่างไม่กลัวเกรง อันขยับแตะปืนที่เอว อิกชักปืนออกมา พร้อมๆกับสมุนแก๊งเต่ามังกรที่ชักปืนเข้าล้อมรอบตัวทรงกลดกับอันไว้

เล้งกับเกี๊ยงเดินออกมาจากตัวบ้านทรงกลด
"ไอ้ซ้งล่ะ" เล้งถาม
เกี๊ยงบอก
"เตรียมพร้อมแล้วครับ"
"อั๊วก็เตือนแล้วนะ ไม่รู้มันไปเอานิสัยเลือดร้อนมาจากไหน"
"ครับ นายใหญ่เตือนมันแล้ว มันไม่เชื่อเอง"
"เฮ้อ! ไม่น่าที่จะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เลย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ"
เล้งเดินทำหน้าตายออกไป เกี๊ยงเดินตามไปติดๆ

ทรงกลดกับอันยังคงอยู่ในวงล้อมของอิกและสมุน 4-5 คน เคี้ยงปัดมืออิกให้ลดปืนลง
"เอาปืนลง!"
อิกกับสมุนทั้งหลายลดปืนลงแล้วถอยออกไป แต่ยังเตรียมพร้อมจะลุยทุกเมื่อ
"นี่อั๊วเห็นแก่เฮียตงนะ อั๊วจะให้โอกาสลื้อ"
"ผมต่างหากที่จะให้โอกาสเสี่ย..ยอมรับผิดซะ!"
"อั๊วไม่ได้ทำอะไรผิด อั๊วทำการค้าของอั๊ว ไม่เคยยุ่งกับใคร มีแต่แก๊งลื้อที่ชอบแส่เรื่องของคนอื่น"
"ถ้าแก๊งเสี่ยไม่ระรานเที่ยวเก็บค่าคุ้มครองในเขตแก๊งเขี้ยวสิงห์ เราคงไม่แส่หรอก เสียผลประโยชน์ไปไม่กี่หมื่น คิดจะเล่นเราถึงตายเลยเหรอ เสี่ย"
เคี้ยงพูดเหน็บ
"อั๊วจะทำไปทำไม อั๊วแก่แล้ว เดี๋ยวก็ตาย ไม่มีลูกไม่มีหลานสืบต่อวงศ์ตระกูล แต่ถ้ามีลูกแล้วเป็นอย่างลื้อ ก็อย่ามีซะดีกว่า พ่อลื้อคงคิดอย่างนี้ถึงได้รับอาหมงมาเป็นลูกแทน"
ทรงกลดโกรธที่ถูกเคี้ยงจี้ใจดำ แตะปืนที่เอวทันที
ในทันทีกระสุนพุ่งมาจากซ้งที่ซุ่มอยู่ เฉียดขมับของทรงกลดไปนิดเดียว เสียงเปรี้ยงเดียวของปืนทำให้สถานการณ์พุ่งถึงจุดเดือด ต่างฝ่ายต่างคิดว่าถูกอีกฝ่ายซุ่มยิง
ทรงกลดกับอันกระโดดหลบหาที่กำบังกระสุน, อิกรีบบังตัวเคี้ยงเพื่อคุ้มกันแล้วยิงใส่ทรงกลด
ทรงกลดกับอันยิงโต้ตอบกับอิกและสมุน อันมองทรงกลดอย่างรู้ว่า คงต้านไว้ไม่อยู่แน่
"รีบหนีไป ผมจะยิงคุ้มกันให้"
อันไม่รอคำตอบจากทรงกลด โผออกมากราดยิงใส่สมุนเต่ามังกร ทรงกลดจำต้องวิ่งหนีออกไปก่อน พลางยิงป้องกันตัวเองไปตลอดทาง
อันวิ่งตามออกไป กระสุนของอิกยิงเฉียดที่ต้นแขนซ้ายของอัน แต่อันก็หลบหนีออกไปได้
ซ้งที่ซุ่มแอบอยู่รีบตามทรงกลดไปอย่างลับๆ อิกจะไล่ตามทรงกลดไป
"ไม่ต้องตาม!"
อิกไม่เห็นด้วย
"นายครับ"
"ทำตามที่อั๊วสั่ง!"
เคี้ยงยังค้างคาใจ ยังไม่ปักใจเชื่อว่ากระสุนนัดแรกมาจากคนของทรงกลด

เพราะแก๊งเต่ามังกรนั้น แม้จะทำธุรกิจผิดกฎหมาย เอาแต่เงิน ถ้าไม่จำเป็นไม่เสียเวลาไปบู๊กับแก๊งไหนทั้งสิ้น

อาจูเดินลิ่วๆมา เว่ยเดินตามมาติดๆ

"เเจ้จู!"
อาจูหยุดเดิน หันฉับกลับมาทันทีจนเว่ยเบรกไม่ทันแทบจะชนพี่สาวหัวทิ่ม
"บอกว่า ไม่ก็ไม่สิ นี่ม้ารู้ว่าเรามาที่นี่ ม้าต้องโกรธมากแน่ๆ"
"แจ้รู้อะไรเกี่ยวกับอาป๊าของตัวเองมั่ง"
"ป๊าเจ้ชื่อ ก๊ก ถูกนักเลงแทงตายตั้งแต่เเจ้อยู่ในท้องอาม้า รู้แค่นี้ก็พอแล้ว"
"เเจ้ไม่อยากรู้หรือไงว่า ป๊าเเจ้ถูกใครฆ่าตาย ทำไมถึงถูกฆ่า คนเป็นนักเลงไม่ใช่คนเลวซะหมด ป๊าเเจ้อาจจะตายเพราะปกป้องเจ้านายก็ได้ ใครจะรู้ ถ้าเราลองถามคนเก่าแก่ของแก๊งเต่ามังกร"
อาจูขัดทันที
"ไม่! คนดีๆเค้าไม่เป็นนักเลงกันหรอก แกนี่อยากเข้าแก๊งมาเฟียมากเลยใช่มั้ย เว่ย ให้เจอกับตัวเองจริงๆเข้าซะก่อนเถอะ"
อาจูพูดไม่ทันขาดคำ ทรงกลดกระโดดตัวลอยลงมาจากกำแพงหลังบ้านเคี้ยง ตามมาด้วยอาอัน
ที่โดนยิงเฉียด มีแผลที่ต้นแขนซ้าย เลือดไหลซิบๆ
อาจูกับเว่ยอ้าปากค้าง ทรงกลดหันมามองอาจูอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน
"รีบไปกันเถอะ!" อันบอก
กระสุนพุ่งเข้าหาทรงกลด แต่เพราะทรงกลดขยับเดินไปหาอาจู กระสุนเลยพลาดยิงทะลุกำแพงไป เขาดึงตัวอาจูให้หลบหลังกองลังไม้ ส่วนอันดึงเว่ยให้พ้นทางกระสุน
ซ้งกับสมุน 2 คนตามมาเก็บทรงกลดเพื่อป้ายความผิดให้แก๊งเต่ามังกร
ทรงกลดบอกกับอัน
"แยกกันหนี"
ทรงกลดรีบหนีไปพร้อมดึงอาจูติดไปด้วย
"เเจ้จู!"
อันกับซ้งยิงใส่กันอีกชุดใหญ่ เว่ยตาลุกโพลงตื่นตาตื่นใจที่ได้เจอของจริง อันมองเว่ยอย่างรำคาญ เป็นภาระโดยใช่เหตุ
"วิ่งเร็วหรือเปล่า"
เว่ยพยักหน้าหงึกๆอย่างตื่นเต้น
"ตามมา"
อันวิ่งออกไป โดยหันมายิงโต้ตอบซ้งเป็นระยะๆ เว่ยวิ่งหนีโดยหลบอยู่หลังอัน

ทรงกลดจับมืออาจูวิ่งลัดเลาะหนีมาตลอดทาง เขาพาอาจูหลบเข้าซอกหลืบ แล้วค่อยๆโผล่หน้าไปมองว่ามีใครตามมาไหม
"ปล่อย!"
อาจูบิดมือตัวเองออกจากทรงกลดที่จับไว้แน่น เขารีบปล่อยมือทันที
"ขอโทษที เราปลอดภัยแล้ว"
กระสุนลั่นเปรี้ยงที่กำแพงโดยเฉียดๆหูทรงกลดจนหูแทบดับ
"เล่นไม่เลิกใช่มั้ย"
ทรงกลดตั้งสติแป๊บเดียวก็โผล่หน้าออกไปยิงใส่ซ้งที่ลุยเดี่ยวตามมา ซ้งยิงสวนกลับมา ทรงกลดหลบพร้อมกับกดหัวอาจูให้ต่ำลง
ทรงกลดโผล่ไปอีกหนแล้วเล็งปืนไปที่หัวใจของซ้ง,คราวนี้เสร็จแน่
"อย่า!"
อาจูกล้าๆกลัวๆแล้วตัดสินใจปัดมือทรงกลดจนปืนลั่นไปทางอื่นแค่เฉียดๆซ้งไป
"อยากตายหรือไง"
ซ้งได้โอกาสจะยิงสวนมา แต่เสียงปี๊ดๆของนกหวีดดังขึ้นขัดจังหวะ
อาจูตะโกน
"ตำรวจมา! ทางนี้ค่ะ ผู้ร้ายอยู่ทางนี้"
ซ้งรีบหลบออกไปทันที ตำรวจ 2 นายวิ่งเข้ามา
ทรงกลดดึงอาจูวิ่งหนีออกไป ไม่อยากเผชิญหน้ากับตำรวจให้มากความ

อันวิ่งพาเว่ยหนีมาที่ซอยเปลี่ยว อันหยุดหันไปมองทางด้านหลัง ยังไม่มีใครตามมาทัน
"ไปได้แล้ว วิ่งตรงไปเรื่อยๆแล้วเลี้ยวซ้ายแรก จะมีทางลัดไปตลาด" อันบอก
"เฮียอยู่แก๊งไหนน่ะ"
"ไม่ใช่เรื่อง"
เว่ยเห็นสร้อยของอันที่มีจี้เขี้ยวสิงห์
"แก๊งเขี้ยวสิงห์ เฮียต้องเป็นระดับหัวหน้าน่ะเนี่ย ไม่งั้นไม่มีสร้อยเขี้ยวสิงห์หรอก"
เว่ยมองอันอย่างตื่นเต้น เขารู้เรื่องแก๊งมาเฟียอย่างเชี่ยวชาญ
"ไปได้แล้ว ไป"
"ขอผมจับปืนหน่อยได้หรือเปล่า"
"บอกให้ไปไงล่ะ
"ดุสมกับอยู่แก๊งเขี้ยวสิงห์จริงๆ แล้วผู้ชายที่หนีมากับเฮียเป็นใครเหรอ แล้วแก๊งไหนที่ไล่ล่าพวกเฮียอยู่"
"ไม่ห่วงพี่สาวบ้างหรือไง"
เว่ยนึกได้
"เเจ้จู!"
เว่ยวิ่งออกไปทันที แล้วหยุดหันมาโบกมือให้อัน
"แล้วเจอกันนะ เฮีย!"
อันมองตามเว่ยอย่างหน่ายๆ ขำๆ

ทรงกลดจับมืออาจูลากให้เดินมาด้วยกัน
"นี่คุณ"
ทรงกลดปล่อยมือจากอาจูโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง
"คราวนี้เราปลอดภัยจริงๆแล้ว"
อาจูพึมพำบ่น
"เราปลอดภัยตั้งแต่ตำรวจมาแล้วล่ะ จับมือไม่ยอมปล่อย"
"แล้วถ้าตำรวจมาไม่ทัน รู้มั้ยว่า จะเกิดอะไรขึ้น ปืนไม่ใช่ของเล่น ทีหลังอย่าทำอย่างนั้นอีกเป็นอันขาด"
"ฉันทำไปก็เพื่อช่วยคุณ ถ้าคุณยิงคนตาย คุณก็ต้องติดคุก"
"ฉันยิงเพื่อป้องกันตัว ไม่ติดคุกแน่!"
"คุณมีงานมีการทำหรือเปล่าเนี่ย หรือมีอาชีพไล่ยิงคนเล่น ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น พวกคุณจะทำอะไร อย่าทำให้ชาวบ้านเค้าเดือดร้อน"
อาจูผละเดินออกไป
"พวกคุณน่ะพวกไหน"
อาจูหันมาพูดใส่หน้า
"พวกแก๊งอันธพาล! ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย! คนอย่างพวกคุณไม่มีใครตายดีแม้แต่คนเดียว"
"อย่าเพิ่งกล่าวหากันสิ เธอยังไม่รู้จักฉันเลยนะ อาจู"
อาจูหน้าเหวอ จำไม่ได้ว่าทรงกลดรู้ชื่อได้ยังไง
" เเจ้จู"
อาจูหันไปตามเสียง, เว่ยวิ่งหน้าเลิ่กลั่กเข้ามา
อาจูโล่งใจ
"อาเว่ย!"
เว่ยวิ่งมากอดอาจูอย่างดีใจที่เห็นพี่สาวไม่เป็นอะไร
"เเจ้ไม่เป็นไรใช่มั้ย"
"ไม่เป็นไร"
อาจูรีบสำรวจดูเว่ยว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า พอเห็นว่าปลอดภัยดีก็โล่งใจ
อาจูหันไปมองหาทรงกลด ปรากฏว่า เขาหายตัวไปแล้ว
"เฮียที่พาเเจ้หนีไป อยู่ไหนแล้วล่ะ"
อาจูมองหาทรงกลดอีกครั้งอย่างอดคาใจไม่ได้ว่า เขาเป็นใครกัน?

ทรงกลดเดินกลับเข้ามาในบ้าน อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าเอาเรื่องของอาจู เขาชะงักกึกเมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลย
ตงยืนหน้าทะมึนอยู่กับหมงและมีปอยืนเครียดอยู่
อันคุกเข่าอยู่ที่พื้น ที่ต้นแขนซ้ายมีผ้าพันแผลพันอย่างลวกๆ อันหน้านิ่งอย่างยอมรับโทษโดยดี
"ผมผิดเอง อาอันไม่เกี่ยว"
"งั้นก็คุกเข่าลง" ตงบอก
"ป๊า!"
" ไม่ได้ยินที่อาป๊าลื้อสั่งเหรอ"
ทรงกลดหันไปมอง เคี้ยงเดินยิ้มใจเย็นแต่ตาเอาเรื่อง ค่อยๆเดินเข้ามา
เคี้ยงหยุดต่อหน้าทรงกลด
"ลื้อพูดออกมาเองว่า ลื้อผิด"
"คุกเข่าลง!"
ทรงกลดมองอันที่คุกเข่าที่พื้นอย่างโกรธขึ้นเรื่อยๆ อันก้มหน้าลงไปอีกอย่างสะกดอารมณ์
"ป๊าจะให้ผมคุกเข่าให้ไอ้..."
"ทรงกลด"
เคี้ยงบอก
"ลูกผู้ชายทำผิด กล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ! หรือว่าลื้อไม่ใช่ลูกผู้ชาย"
"อั๊วจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย! คุกเข่าขอขมาเจ็กเคี้ยงเดี๋ยวนี้!"
ทรงกลดหันไปเห็นเคี้ยงที่กระหยิ่มยิ้มเยาะ ก็ยิ่งแค้นใจแทบกระอักเลือด
ทรงกลดหันไปมองบิดาอย่างเจ็บปวด ที่ถูกบังคับให้ลดศักดิ์ศรีลงเพื่อสวะอย่างเคี้ยง!

อ่านต่อ หน้า 3

เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

อาจูกับเว่ยเดินกลับมาด้วยกันในซอยบ้าน เว่ยเดินนำตรงจะไปเข้าบ้านแต่ถูกอาจูดึงตัวไว้ก่อน

"อาเว่ย เดี๋ยวก่อน!"
อาจูจับตัวเว่ยมาสำรวจตรวจตราอีกที ทั้งที่เว่ยไม่ได้มีอะไรผิดปกติจากเดิม แต่อาจูก็ยังดึงเสื้อเว่ยให้เข้าที่,ลูบผมยุ่งๆให้เรียบ,เช็ดหน้าให้เกลี้ยงสะอาด
เว่ยจับมืออาจูให้หยุด
"เเจ้จู! อย่ากลัวนักเลย ถ้าเเจ้ไม่ทำตัวมีพิรุธ รับรองอาม้าไม่รู้หรอก"
"อาม้าไม่รู้อะไร" เง็กถาม
อาจูกับเว่ยสะดุ้งสุดตัว แล้วหันไปมองทางด้านหลัง
เว่ยตกใจจนหลุดพิรุธเสียเอง
"เฮ้ย!"
เง็กถือชะลอมกระเทียมเต็มสองมือ เพิ่งจะกลับเข้าบ้าน มายืนหน้าดุทางด้านหลัง
ทั้งคู่ต่างตกใจ "ม้า!"
ซิ่วเอ็งเดินออกมาจากในบ้าน ท่าทางเลิ่กลั่กของอาจูกับเว่ยก็รู้ได้ในทันทีว่าไปแอบทำอะไรมาแน่
ซิ่วเอ็งเล่นงานอาจูคนเดียว
"ลื้อพาอาเว่ยไปไหนมา!"
"ม่า!"
เว่ยโดดหลบไปอยู่หลังพี่สาวทันที อาจูมองซ้ายขวาทั้งอาม้า - อาม่าดักหน้าขวางหลังโดยหนีไปไหนไม่ได้
อาจูมองซิ่วเอ็งที่มีสายตาคมกริบด้วยความกลัวเกรงเป็นอย่างมาก

ทรงกลดยืนจ้องหน้าตงด้วยความโกรธ บรรยากาศในบ้านเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ
ตงเสียงดุเข้ม
"ทรงกลด"
"นายน้อยครับ"
ทรงกลดหันไปทางปอที่มองมาอย่างขอร้อง เขามองไปที่อันที่ยังคุกเข่านิ่งอยู่ที่พื้น ทรงกลดไม่ยอมให้อันรับโทษคนเดียว
เคี้ยงเริ่มคลี่ยิ้มอย่างพอใจที่เห็นทรงกลดดูเหมือนกำลังจะย่อตัวลงคุกเข่า
แต่หมงพรวดพราดมาที่หน้าเคี้ยงแล้วคุกเข่าลงตัดหน้าทรงกลดทันที
"เจ็กเคี้ยงครับ ผมขอรับผิดแทนนายน้อยเอง"
หมงก้มจนหัวลงโขกพื้น ก้มแล้วก้มอีกจนครบสามครั้งอย่างนอบน้อม พร่ำพูดว่า
"ยกโทษให้นายน้อยด้วยนะครับ ได้โปรดยกโทษให้ด้วย"
ทรงกลดมองอย่างรู้ทันว่าหมงต้องการเสนอหน้ารับหน้าที่แก้ปัญหา
ทรงกลดบอกเคี้ยง
"คงพอใจแล้วนะ!" แล้วหันไปบอกกับอัน "ลุกขึ้นได้แล้ว มีคนดีเสียสละยอมรับผิดแทนเราแล้ว"
อันเงยหน้ามองตงที่พยักหน้าอนุญาตให้ลุกได้ อันค่อยๆลุกขึ้นเพื่อเดินตามทรงกลดออกไป
เคี้ยงยังไม่พอใจ
"เดี๋ยวก่อน"
ทรงกลดชะงักหันกลับมามองเคี้ยงอย่างรำคาญใจ
"เสี่ยต้องการอะไรอีก ทายาทแก๊งเขี้ยวสิงห์ก็ยอมคุกเข่าก้มหัวให้แล้ว ถึงผมคุกเข่าให้เสี่ย มันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก ผมไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในแก๊งนี้! ... ผมแค่บังเอิญเกิดมาใช้แซ่เดียวกับหัวหน้าแก๊งเท่านั้น"
ทรงกลดเดินลิ่วๆออกไป โดยมีอันเดินตามไปอย่างเงียบๆ
" เรื่องมันจบง่ายไปหรือเปล่า เฮียตง" เคี้ยงถาม
"ลื้อต้องการอะไร ก็ว่ามา"
หมงมองตงกับเคี้ยงไปมาอย่างเสียหน้า การยอมคุกเข่าของตัวเองไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ตงนิ่งยอมลงให้เคี้ยงโดยไม่ต่อรองให้มากความ ทำให้เคี้ยงค่อยยิ้มออกมาได้

ทรงกลดกับอันเดินด้วยกันมา จะออกไปจากบ้าน เหมยลี่เดินลงมาจากบันไดชั้นบนปะหน้าเข้าให้กับทรงกลดอย่างจงใจ
เหมยลี่ทำเป็นสั่งสอน
"ในเวลาอย่างนี้นายน้อยไม่ควรออกไปไหนนะคะ เหมยลี่ขอร้องล่ะ อย่าก่อปัญหาให้นายใหญ่อีกเลย"
"เธอมีสิทธิ์อะไร"
"ก็สิทธิ์ที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ไงคะ"
ทรงกลดพูดขัดเสียงดุ
"บ้านนี้มีนายหญิงเพียงคนเดียว"
เหมยลี่ยิ้มหวาน
"แม่ของนายน้อยตายไปแล้วนะคะ นายใหญ่เป็นคนสั่งให้เหมยลี่ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณวรดี เหมยลี่ก็เลยต้องช่วยนายใหญ่ควบคุมดูแลความประพฤติของนายน้อยด้วย"
ทรงกลดมองเหมยลี่อย่างอดกลั้นเป็นที่สุด
"อย่ามายุ่งเรื่องฉัน! ห่วงตัวเองดีกว่า ไม่รู้ว่าจะถูกป๊าเขี่ยทิ้งวันไหน"
เหมยลี่หัวเราะเบาๆ
"วันนั้นไม่มีวันมาถึงหรอกค่ะ แต่นายน้อยสิคะ หาแต่เรื่อง สร้างแต่ศัตรูไม่เว้นวัน เหมยลี่ล่ะกลัวจริงๆว่า นายใหญ่จะหมดความอดทน เคยได้ยินมั้ยคะ เนื้อไหนร้าย ก็ให้ตัดเนื้อนั้นทิ้งไป แม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆก็ตาม!"
ทรงกลดจ้องเหมยลี่อย่างโกรธ แต่เห็นเป็นผู้หญิงเลยไม่เอาเรื่องมากกว่านี้
อันเอ่ยเสียงเรียบ
"ไปกันเถอะครับ นายน้อย...ก็แค่ผู้หญิงหยำฉ่าคนนึง"
เหมยลี่หลุดทันที
"ไอ้อัน!"
เหมยลี่ตรงรี่เข้าไปจะเงื้อมือตบอัน แต่ทรงกลดคว้ามือเหมยลี่ไว้ได้ก่อน
ตง ปอและหมงเพิ่งก้าวเข้ามาได้เห็นแค่ภาพที่ดูเหมือนทรงกลดกำลังทำร้ายเหมยลี่ เพราะเหมยลี่พยายามบิดมือออกจากทรงกลดแสดงสีหน้าเจ็บปวดเกินจริง ทั้งๆที่ทรงกลดแค่จับข้อมือไว้เท่านั้น
"ทรงกลด! หยุดเดี๋ยวนี้"
เหมยลี่น้ำตาร่วงได้ทันที
"นายใหญ่คะ!”
ทรงกลดปล่อยมือเหมยลี่อย่างรังเกียจเต็มทน
เหมยลี่รีบเข้าไปหลบหลังตงอย่างกลัวทรงกลดจนตัวสั่น
“ที่ลื้อไปก่อเรื่องที่แก๊งเต่ามังกรยังไม่พอใช่มั้ย”
ทรงกลดแกล้งถอนใจหนักๆ
“เฮ้อ! จะลงโทษอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่า ผมจะต้องคุกเข่าขอโทษนางบำเรอของป๊า เฮ้ย! หมง! คุกเข่าแทนฉันหน่อยที”
ทรงกลดแกล้งพยักหน้าเรียกหมงอย่างหยอกๆแบบเหยียดๆ
หมงกัดฟันนิ่งอดทนไม่ตอบโต้ เลยยิ่งทำให้ตงเริ่มโกรธจัดขึ้นไปอีก
“ถ้าวันนี้ลื้อไม่ได้รับการสั่งสอน อั๊วคงจะเป็นหัวหน้าแก๊งเขี้ยวสิงห์ไม่ได้อีกต่อไป”
ปอเตือนให้ใจเย็น
“นายใหญ่ครับ”
“ไม่ต้อง! อาปอ ไม่ต้องห้าม”
อันเหลือบเห็นหมงกับเหมยลี่แอบสบตามองกันอย่างสะใจยิ่ง

ทรงกลดมองพ่ออย่างท้าทายว่า จะสั่งสอนยังไงต่อไป ว่ามาได้เลย!

อาจูกับเว่ยมองหน้ากันไปมาแล้วทำเนียนๆเข้านั่งลงข้างๆแม่ เง็กหน้าขรึมนั่งแกะกระเทียมจากที่เป็นพวงใหญ่ให้เป็นกลีบๆทิ้งใส่ตะกร้า

อาจูกับเว่ยรีบช่วยแม่แกะกระเทียมอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นงานที่หารายได้อีกทางของครอบครัว
“อาจู”
แม้ว่าเง็กจะเรียกด้วยเสียงเรียบ แต่อาจูสะดุ้งและหลุดปากทันที
“ม้า! หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เว่ยหน่ายใจกับพี่สาวขี้กลัว แต่เขาก็สามารถโกหกแก้ไขสถานการณ์ได้ทันควัน
“โธ่ ม้า ก็เราบอกแล้วว่า เราไปแถวท่าน้ำ แล้วก็บังเอิญไปเจอพวกนักเลงตีกัน”
“พวกลื้อยังไม่บอกเลยว่า ไปทำอะไรที่ท่าน้ำแต่เช้า”
ซิ่วเอ็งกำลังบดยาสมุนไพรด้วยหินบดยาอย่างช้าๆแต่ตาจับมองอาจูอยู่ตลอด
เว่ยเบี่ยงเบนเรื่องแต่ไปผิดทาง
“ไอ้นักเลงพวกนี้ ไม่รู้มีเรื่องอะไรกันมา เจอหน้ากันก็ยิงใส่กันทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวเลยนะ ม้า”
เง็กตกใจ
“มียิงกันด้วยกันเหรอ”
เว่ยลืมตัว ขี้คุยเกิน
“กระสุนพุ่งมาแบบนี้เลย ม้า เปรี้ยงๆๆ พิ้วๆๆ”
เว่ยทำเสียงปืนแล้วเอานิ้วชี้ปัดผ่านปลายจมูกตัวเองอย่างเท่ๆ
“เฉียดปลายจมูกผมไปนิ๊ดเดียว” เว่ยนึกได้รีบหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่เราก็วิ่งหนีมาทันนะ ม้า เห็นมั้ย ไม่มีใครเป็นอะไรเลย”
เง็กไม่ทันจะเล่นงานเว่ย ซิ่วเอ็งก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“อาจู! ไปดูสิว่า ข้าวสุกหรือยัง”
อาจูรีบลุกเดินไปที่ครัวหลังบ้านทันที ซิ่วเอ็งเดินตามไปอย่างช้าๆ

อาจูตรงเข้าไปที่หม้อข้าวบนเตาไฟอั่งโล่แล้วเอาทัพพีคนดูว่าข้าวสุกหรือยัง เมื่อเห็นว่าข้าวสุกแล้วก็ค่อยๆเทน้ำข้าวลงใส่หม้ออีกใบ แล้วเอาไม้มาขัดฝาหม้อไว้แล้วดงข้าวให้แห้ง
ซิ่วเอ็งเดินมามองอาจูอย่างด้วยสีหน้านิ่ง แต่เอาเรื่อง
“พอได้แล้ว”
“ข้าวยังไม่แห้งดีเลย ม่า”
“บอกว่า พอก็พอสิ”
อาจูยังคงจับหม้อข้าวอังกับเตาอีกครั้ง ซิ่วเอ็งใช้เล็บยาวๆอันแหลมคมจิกลงที่หลังมือของอาจู
อาจูชะงักด้วยความเจ็บแต่ไม่กล้าร้องออกมา ซิ่วเอ็งกดเล็บคมๆลงไปอีกจนหลังมืออาจูเลือดไหลซิบๆ
“อั๊วรู้นะว่า ลื้อพาอาเว่ยไปไหน ทีหลังอย่าทำ”
ซิ่วเอ็งหันไปเอาชามตักน้ำข้าวร้อนๆจากอีกหม้อขึ้นมา
“น้ำข้าวนี่ดีนะ สาวๆที่อยากหน้าขาวก็เอาไปล้างหน้า”
อาจูชะงักกึกอย่างกลัวใจ ไม่รู้ว่าซิ่วเอ็งจะทำอะไรอีก แต่นิ่งตัวแข็งด้วยความกลัว ไม่กล้าขยับหนี
“หรือใช้ล้างแผลก็ได้”
“ม่า..หนูจะไม่ทำอีกแล้ว ม่า”
มือของซิ่วเอ็งจับแขนอาจูไว้แน่นแรงเยอะเกินหญิงแก่
ซิ่วเอ็งเทน้ำข้าวร้อนๆลงไปที่หลังมือ อาจูแทบดิ้นพล่านอย่างปวดแสบปวดร้อน
“ล้างตอนแผลสดๆ...จะได้ไม่มีแผลเป็นไงล่ะ”
ซิ่วเอ็งยิ้มราวกับมีเมตตาแต่การกระทำโหดร้ายสวนทางรอยยิ้มแล้วเดินออกไป
ความจริงแล้ว แค่โบราณมา คนจีนใช้น้ำซาวข้าวล้างแผล แต่ซิ่วเอ็งจงใจทำโทษโดยใช้น้ำข้าวร้อนๆแทน
อาจูรีบหาน้ำเย็นมาราดล้างมือทันที เม้มปากตัวเองแน่นไม่ให้ร้องไห้ออกมา
อาจูนึกได้คว้าขวดน้ำปลาตามความเชื่อเดิมๆ แต่เง็กเข้ามาดึงมืออาจูไว้เสียก่อน
“อย่า! สอนไม่เคยจำ”
อาจูเงยหน้ามองเง็กแล้วน้ำตาไหลอย่างเสียใจที่ถูกอาม่าทำอย่างนี้

เง็กเข้ามาดึงมืออาจูออกมาแล้วโปะเยื่อใสๆของว่านหางจระเข้ผสมการบูรและยาจีนต่างๆลงบนหลังมือให้
“เดี๋ยวก็หาย..อย่าโกรธอาม่าอี ชีวิตนี้อีเหลืออาเว่ยคนเดียว”
“หนูเข้าใจ หนูผิดเอง..หนูไม่น่าพาอาเว่ยไป”
อาจูชะงักไป
“เลิกคิดเรื่องอาป๊าของลื้อซะ คนอย่างนั้น ตายไป นรกยังไม่ต้องการ”
เง็กเดินออกไป อาจูมองตาม คำพูดของแม่กลับทำให้อาจูยิ่งสงสัยเรื่องพ่อมากขึ้น

ตงเดินนำทรงกลดเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าแท่นบูชาที่มีรูปถ่ายของบรรพชนพร้อมป้ายผ้าตัวอักษรจีนที่เขียนด้วยพู่กัน ที่มีความหมายว่า “ศักดิ์ศรี”
หมงกับเหมยลี่เดินตามมาด้วยความอยากรู้และแอบสะใจอยู่
ปอกับอันเดินรั้งท้ายเข้ามา อันมองปอเป็นเชิงขอร้อง ปอส่ายหน้าน้อยๆ อย่างหมดหนทาง
"พวกลื้อออกไป!"
หมงกับเหมยลี่หันไปมองปอกับอัน, คิดเองว่าตงไล่พวกลูกน้อง
"ออกไปให้หมด! ยกเว้นอาปอ"
"ถ้าอาปออยู่ได้ ทำไมเหมยลี่จะอยู่ไม่ได้ล่ะคะ"
"เราออกไปกันเถอะครับ คุณเหมยลี่ ... ป๊าครับ ใจเย็นๆนะครับ"
หมงเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ เหมยลี่จำต้องเดินตามหมงออกไป แม้อยากจะเห็นทรงกลดได้รับการลงโทษแค่ไหนก็ตาม แต่ต้องสร้างภาพเป็นคนที่หัวอ่อนเชื่อฟังเหมือนหมง
ทรงกลดพยักหน้าให้อัน อันค่อยๆ เดินออกไปอย่างเป็นกังวล
"ทรงกลด!"
ทรงกลดรู้ทันว่า ตงจะลงโทษให้คุกเข่าต่อหน้าแท่นบูชารูปถ่ายบรรพชน
ทรงกลดพูดดักคอ
"ป๊าเคยสอนผมไว้ว่า นั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่"
ตงพูดต่อ
"หัวเข่าลูกผู้ชายมีค่ายิ่งกว่าทองคำ คำสอนนั่น อั๊วสอนให้ลื้อรู้จักรักศักดิ์ศรี ให้มานะบากบั่นด้วยตัวเอง แม้อับจนยังไง ก็อย่าคุกเข่าก้มหัวขอร้องใคร แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรี! แต่เป็นเรื่องของการยอมรับผิด"
ทรงกลดยังดื้อแพ่งยืนนิ่งอยู่
"ผมไม่ได้ทำผิด"
ปอบอก
"การบุกไปที่แก๊งเต่ามังกรไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ลูกที่ทำให้พ่อต้องก้มหัวให้กับศัตรู นายน้อยคิดว่า เป็นการทำผิดได้หรือยังครับ"
ทรงกลดเริ่มรู้สึกผิด หันไปมองตงที่ยืนนิ่งหน้าเฉยไม่แม้แต่มองมาอีก เขาเงยหน้ามองป้ายผ้าตัวอักษร “ศักดิ์ศรี” แล้วต้องยอมรับกับสิ่งที่ทำลงไป เขาค่อยๆ ย่อตัวแล้วยอมคุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชาบรรพชนในที่สุด
ทรงกลดเจ็บใจแทนพ่อ
"แล้วมันต้องการอะไรอีก เสี่ยเคี้ยงมันไม่ยุติเรื่องนี้ง่ายๆแน่"
"ลื้อไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้"
ตงแม้จะเก็บงำความรู้สึก แต่ทรงกลดรับรู้ได้ว่าพ่อต้องเสียหน้าและเสียผลประโยชน์ให้เสี่ยเคี้ยงไปไม่น้อย
ทรงกลดต้องยอมรับผิดจนยอมก้มหัวลงแทบจรดพื้น ก้มหัวแล้วก้มอีกจนครบสามครั้ง
"ลุกขึ้นได้แล้วล่ะครับ นายน้อย"
"ยัง! ให้มันรู้สำนึกก่อน แล้วถึงจะลุกขึ้นได้"
ตงเดินออกไป ทรงกลดคุกเข่าอย่างทระนงและนึกถึงภาพที่ตัวเองคุกเข่าให้พ่อครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน

ตอนนั้น ทรงกลดอายุ 17 ปีคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าตงในวัยหนุ่ม อายุราว 20 ปี
"ลุกขึ้น! เป็นลูกผู้ชาย ห้ามคุกเข่าให้ใคร" ตงบอก
"ผมขอร้องล่ะครับ ป๊า"
"อั๊วบอกให้ลุกขึ้น"
"ผมไม่ลุก ผมจะไม่ไปเรียนต่อที่อเมริกา ! เพื่อนผมไม่เห็นมีใครต้องไปซักคน"
"อั๊วให้ลื้อไป ลื้อก็ต้องไป"
"แม่ครับ"
ทรงกลดหันไปมองวรดีอย่างขอร้อง วรดีมองสามีแล้วไม่รู้จะทำยังไง แต่รับรู้ถึงความจำเป็นที่ทรงกลดต้องไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
"แม่ลื้อก็จะต้องไปกับลื้อด้วย"
"ทำไมแม่ต้องไปด้วย"
"ไม่ต้องถามมาก"
ปอกับอัน ทั้งคู่อยู่ในชุดเดินทางเดินเข้ามา
"เราต้องไปกันเดี๋ยวนี้แล้วล่ะครับ นายใหญ่"
"ผมไม่ไป ใครก็บังคับผมไม่ได้"
ตงสั่งปอ
"ลากตัวมันไป"
ตงเดินออกไป ปอเข้ามาหานายน้อย แต่ทรงกลดปัดมือปอออกไปทันที
"อย่ามายุ่งกับฉัน"
"อาอัน มาช่วยที"
ปอกับอันพยายามเข้าไปดึงทรงกลดให้ลุกขึ้น แต่ทรงกลดปัดมือทุกคนและถึงขั้นจะต่อยถ้าใครมาแตะตัว
"ที..." วรดีเรียกชื่อเล่นของทรงกลด ชื่อเล่นนี้แม่จะเป็นคนเดียวที่เรียกเขา ทรงกลดชะงักหยุดอาละวาดทันที วรดีเดินเข้าไปดึงทรงกลดให้ลุกขึ้นมา
วรดี แม่ของทรงกลดเป็นลูกครึ่งไทยจีน พ่อแม่อพยพมาเมืองไทย ถือเป็นรุ่น2 ไม่ใช่รุ่น1 อย่างตง

และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทรงกลดคาดเดาเอาเองว่าเจ้าสัวตงไม่รักวรดี เพราะไม่มีเชื้อจีนอย่างตง

รถจอดอยู่หน้าตัวบ้าน ตงยืนรออยู่ มีลูกน้อง 4-5 คนยืนอยู่เยื้องไปด้านหลัง ปอเดินนำออกมาแล้วค้อมหัวให้ตงเป็นสัญญาณว่า จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ทรงกลดกับวรดีเดินออกมาจากตัวบ้าน อันถือเสื้อสูทมาส่งให้ทรงกลดแต่ถูกปัดออกไป วรดีรับเสื้อสูทจากอันมาถือไว้เอง เขาจ้องหน้าพ่ออย่างไม่พอใจ
"รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน" ตงบอก
ปอตบไหล่อันแล้วกอดไหล่ลูกชายไว้ชั่วขณะ
"ดูแลนายหญิงกับนายน้อยด้วย"
"ครับ เตี่ย" อันรับปาก
วรดีน้ำตาคลอมองตงอย่างล่ำลา เหมือนจะเก็บภาพตงไว้เป็นภาพความทรงจำ
"เฮียตง"
ตงพยักหน้าให้และพยายามควบคุมความเจ็บปวดอย่างที่สุด
"ไปได้แล้ว"
"แม่ไม่ต้องห่วง สามสี่ปี ผมก็เรียนจบแล้ว แล้วเราก็จะได้กลับบ้าน"
ทรงกลดโอบไหล่วรดีพาเดินออกไปที่รถ ทำเป็นไม่แยแสพ่อ
"เดี๋ยวก่อน!"
ทรงกลดชะงัก หยุดเดินและหันกลับมาด้วยความหวังว่าพ่อจะสั่งลาหรืออวยพรให้แต่ตงเดินเข้าไปกระตุกสร้อยที่แขวนเขี้ยวสิงห์ออกจากคอทรงกลด
"ต่อไปนี้ลื้อไม่ใช่คนของแก๊งเขี้ยวสิงห์แล้ว"
ทรงกลดตกใจคาดไม่ถึง
" ป๊า!"
"ลื้อสองคน...ไปแล้ว ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก"
ตงหันกลับไปแล้วเดินตรงเข้าบ้านทันที ในมือกำสร้อยเขี้ยวสิงห์ไว้แน่น ทรงกลดยืนตกใจแทบล้มทั้งยืนที่อยู่ๆก็ถูกพ่อตัดขาดอย่างไม่ได้ตั้งตัว

วันนี้ ... ทรงกลดคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาที่มีรูปถ่ายบรรพชนที่ล่วงลับ แต่ไม่มีรูปวรดี เขาแตะคอที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างขมขื่น

วันนั้น ... ทรงกลดเดินใจลอยไปที่รถอย่างมึนงง ไม่เข้าใจ วรดีรีบตามไปดึงทรงกลดไว้
"ที...ฟังแม่ก่อน ป๊าเค้ามีเหตุผลของเค้า"
ทรงกลดกัดฟันแน่น หูอื้อ ตาพร่ามัวไม่ได้ยินที่วรดีพูดแม้แต่คำเดียว
"ป๊าเค้าหวังดีกับเราสองคน"
ทรงกลดยังช็อกอยู่
"ผมไม่เข้าใจ...ทำไม ทำไม"
ตงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ มีปอเดินตามหลัง ขณะที่ทรงกลดกับวรดีเดินไปที่รถ ทั้งสองฝ่ายเริ่มห่างไกลกันทุกทีๆ
ทรงกลดตั้งตัวติดและเริ่มโกรธ! วรดีจับมือทรงกลดไว้แน่นอย่างเป็นห่วง
"ที"
อันเดินตามสองแม่ลูกมาอย่างเงียบกริบ ได้แต่รับรู้อย่างเงียบๆ
"ป๊าไม่ต้องการเรา เราก็ไม่ต้องการป๊าเหมือนกัน แม่ไม่ต้องกลัว! ผมจะดูแลแม่เอง"
ทรงกลดกอดวรดีไว้ราวกับโลกนี้เหลือกันอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก

ภาพความทรงจำเก่าๆกลับมาอีกครั้งในวันนี้ ทำให้ทรงกลดนึกโกรธตงขึ้นมาอีก เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วก้มหัวทำความเคารพรูปถ่ายบรรพชน เดินผ่านปอที่ยืนเฝ้ารออยู่
"นายน้อย"
ปอเหลือบมองไปที่ตงอย่างเกรงๆ ตงเดินเข้ามาหยุดยืนมองลูกชาย
"นายใหญ่ยังไม่ได้...(สั่งให้ลุกได้)" ปอบอก
"ฉันรู้สำนึกแล้ว ! ฉันยอมรับว่า ฉันทำผิด"
ทรงกลดจ้องมองตงอย่างกล่าวโทษ
"ว่าแต่คนที่ทำผิดยิ่งกว่าฉันน่ะ เคยยอมรับผิดบ้างหรือเปล่า"
ทรงกลดเดินผ่านหน้าตงไปอย่างถือดี

บรรยากาศยามค่ำคืนที่รื่นรมย์ของฉั่วเทียนเหลา หยกมณี ทาสีเล็บแดงสดมาแตะที่ไมโครโฟน ร้องเพลงเสียงหวานใส เธอในชุดกี่เพ้าสีสวยเย้ายวนกำลังร้องเพลงอยู่ที่เวที
แขกในร้านมีแต่เสี่ยหนุ่มเสี่ยแก่เป็นส่วนมาก ต่างกินดื่มและฟังหยกมณีร้องเพลงไปอย่างเพลินตา เธอส่งยิ้มหวานให้บรรดาเสี่ยๆโดยหมายตาแต่เสี่ยที่รู้ว่ากระเป๋าหนัก
พอได้จังหวะ เสี่ยอวดรวยทั้งหลายต่างเข้าไปคล้องสร้อยทองเส้นเล็กเส้นโตให้หยกมณี เสี่ยหื่นคนสุดท้ายยังรีรออยู่ไม่ยอมไปง่ายๆ พยายามดึงมือหยกมณีไว้แล้วยัดเงินฟ่อนใหญ่ให้
หยกมณีรับแต่สร้อยทอง ให้เสี่ยๆคล้องคอเท่านั้น ไม่รับเงินสด ดังนั้น เมื่อเสี่ยตบเงินสด เธอจึงยิ้มหวานแล้วยัดเงินคืนให้เสี่ยหื่นไป เอามือแตะที่ปากแล้วส่งจูบให้อย่างยั่วเย้า เธอเดินหนีและยังร้องเพลงต่อ พลางกวาดตาหมายจะเรียกสร้อยทองจากเสี่ยๆอีก
หยกมณีชะงักเกือบจะหยุดร้องเพลง เมื่อเห็นอันยืนนิ่งมองอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน เธอควบคุมอารมณ์น้อยใจพลุ่งพล่านไว้แล้วร้องเพลงต่อ เสี่ยหื่นยังตามหยกมณีต่อ
เสี่ยหื่นคล้องสร้อยทองห้าบาทให้หยกมณี ด้วยอารมณ์ชั่ววูบอยากประชด เธอคว้าคอเสี่ยหื่นมาใกล้แล้วหอมฟอดใหญ่ เสี่ยหื่นตาโตตะลึงงงงันไป เธอหันไปมองอันอีกครั้ง แต่ก็พบความว่างเปล่า
หยกมณียังฝืนใจร้องเพลงต่อไปโดยควบคุมไม่ให้เสียงแตกพร่าด้วยความช้ำใจ

พนักงานโค้งลาแขกเสี่ยๆกลุ่มสุดท้ายที่เดินออกจากร้าน หยกมณีเปลี่ยนมาในชุดปกติกับเพื่อนนักร้อง 2-3 คนเดินออกมาจากร้าน
หญิง1บอก
"พรุ่งนี้เจอกันนะ แจ้หยก"
หยกมณีพยักหน้าให้แล้วเดินแยกออกมา พลางมองไปรอบๆอย่างอดใจไม่ได้ เธอหันหน้ากลับมาอีกที แต่ดันเจอคนที่ไม่อยากเจอ อิกยืนดักรออยู่แทนที่จะเป็นอัน
หยกมณีเดินหนีไปอย่างเบื่อชีวิตเส็งเคร็งมีแต่ผู้ชายห่วยๆมารุมตอม อิกเดินไปดักหน้าเธอไว้ ทำยียวน
"เดินหนีเฮียอย่างนี้ เฮียเสียใจนะ หยก"
หยกมณีจ้องหน้าอิกอย่างไม่กลัว
"เฮียอิก! ฉันบอกเฮียแล้วว่า อย่า-มา-ยุ่งกับฉัน ฉันเป็นผู้หญิงกินผัว ไม่กลัวตายหรือยังไง"
"ถ้ากลัวก็ไม่มา เฮียอยากจะช่วยหยกยังไงล่ะ"
อิกคว้ามือหยกมณีไว้แล้วดึงมาใกล้ๆ ยื่นหน้าไปเกือบชิด
"เฮียจะช่วยล้างอาถรรพ์ให้น้องหยกเอง เฮียจะเป็นผัวคนที่สี่ให้หยกเอง ชาวบ้านจะได้เลิกลือกันเสียที ดีมั้ยจ๊ะ"
หยกมณีโกรธจัดกระชากมือออกแต่สู้แรงอิกไม่ได้
"ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที" หยกมณีตะโกน
พนักงานชาย 2- 3 คน วิ่งออกมาจากร้านแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเป็นนักเลงอย่างอิก
อิกยิ้มมั่นใจ
"ใครจะกล้าช่วย"
อิกลากหยกมณีไป พนักงานชาย 2-3 คนมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆไม่กล้าทำอะไร
"บ้านเฮียหรือบ้านน้องดีล่ะ น้องหยก"
อันก้าวช้าๆออกมาจากเงามืด อิกหยุดชะงักมองอันอย่างคาดไม่ถึง หยกมณีใช้โอกาสที่อิกชะงัก รีบสะบัดตัวออกจากอิกแล้ววิ่งไปหลบหลังอัน
"ไอ้อัน"
อันกับอิกชักปืนออกมาแทบจะพร้อมๆกันต่างจ่อหน้ากัน พร้อมจะลั่นปืนใส่กัน
"หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าอยากตายก็ไปตายที่อื่น ไป!"
อันกับอิกยังคงไม่ยอมลดปืนลง
"หรืออยากให้เรื่องนี้ไปถึงหัวหน้าของพวกเฮีย"
อันกับอิกต่างมองหน้ากันอย่างระวังตัว แล้วค่อยๆลดปืนลงแล้วเก็บปืนเหน็บที่เอว อิกกลับชักปืนขึ้นมาอีกหวังจะยิงใส่อันตอนเผลอ แต่อันไม่เคยเผลอ พุ่งตัวเข้าใส่อิกจนล้มหงายไป
อิกตะเกียกตะกายลุกขึ้น อันอัดหมัดใส่อิกอย่างไม่ยั้งแล้วกระชากคอเสื้ออิไว้
"อย่ามายุ่งกับหยกอีก ไม่งั้นตาย"

อันผลักอิกกระเด็นออกไป แล้วหันมามองหา แต่หยกมณีหายตัววับไปแล้ว

หยกมณีเดินกอดกระเป๋าสะพายไปตามทางในซอย เสียงฝีเท้าดังขึ้นทางข้างหลัง เธอรู้ว่าอันเดินตามมา เลยพูดลอยๆ

"ไม่ต้องมาส่ง กลับเองได้"
หยกมณีปรายตามองไปทางข้างหลัง อันเดินตามมาอย่างห่างๆ เธอเดินต่อไป เขาก็ยังเดินตามอยู่ หยกมณีหันขวับกลับมาจ้องอัน
"บอกว่าไม่ต้องตามยังไงล่ะ หยกดูแลตัวเองได้"
"เหมือนอย่างวันนี้งั้นเหรอ"
"ยังไงหยกเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องมายุ่ง"
"ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก"
"ทำไมจะไม่ได้ ที่เฮียหายไปเป็นสิบปี ทิ้งหยกให้อยู่ทางนี้คนเดียว เฮียยังทำได้เลย! แล้วจะมาห่วงอะไรตอนนี้"
"หยก"
"ไป กลับไป! หยกไม่อยากเห็นหน้าเฮีย"
หยกมณีผลักอันออกไปอย่างแรง กระแทกไปที่ต้นแขนซ้ายที่เพิ่งถูกยิงมา
"บอกให้กลับไปยังไงล่ะ"
หยกมณีผลักอันอีกอย่างเต็มแรงแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเลือดไหลซึมออกมาจากแผลเก่าที่ต้นแขน

เวลาต่อเนื่องมา ในบ้านหยกมณี อันถอดเสื้อเหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาว บนคอสวมสร้อยเขี้ยวสิงห์ เธอล้างแผลที่ต้นแขนซ้ายของอัน เธอล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์เสร็จก็เริ่มใส่ยาแดงให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูหยิ่ง เขาหน้านิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆอึดและถึกจนทนความเจ็บได้
หยกมณีมองอันด้วยความหมั่นไส้ เอาสำลีจุ่มยาแดงชุ่มๆแล้วกดไปที่แผลอย่างแรงๆ
อันนิ่วหน้านิดเดียวด้วยความเจ็บ
"นึกว่าเจ็บไม่เป็น"
"เฮียก็เป็นคนธรรมดาๆ มีเลือดมีเนื้อ"
"แต่ไม่มีหัวใจ"
อันเสียใจ
"หยก"
หยกมณีทำใจแข็ง แต่ก็ยังน้ำตาคลอๆ รีบทำแผลพันผ้าก๊อซให้อันอย่างเร็ว
"เสร็จแล้ว! กลับไปซะ"
อันฉวยมือหยกมณีไว้ก่อนที่หยกมณีจะผละออกไป
"เฮียกลับมาแล้วไง"
"กลับมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิบปีที่เฮียหายไป เฮียรู้มั้ยว่า เกิดอะไรขึ้นกับหยกบ้าง หยกไม่ใช่หยกคนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
"แต่เฮียยังเป็นเฮียอันคนเดิม"
"ไม่จริง! หยกไม่เชื่อ หยกไม่เชื่อคำพูดของผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น กลับไปได้แล้วอย่าให้หยกต้องพูดซ้ำพูดซาก กลับไปซะ ถ้าจะทิ้งกัน ก็ทิ้งกันให้ตลอด ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีก"
หยกมณีคว้าเสื้อของอันแล้วขว้างใส่หน้า อันยืนนิ่งปล่อยเสื้อตกลงไปอยู่ที่พื้น เขาค่อยๆก้มลงหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ เธอหันหลังให้อันเหมือนกับว่าไม่แคร์แล้วจริงๆ
อันใส่เสื้อเสร็จ ยืนมองหยกมณีชั่วอึดใจแล้วตัดสินใจเดินออกไป

เขาเดินอย่างโดดเดี่ยวออกไปจากบ้านหยกมณีไปตามทางเดินที่มืดสลัว หม่น บรรยากาศเงียบเชียบมีแต่เสียงฝีเท้าของอันดังก้องในทางเดินเปลี่ยว หยกมณียืนมองอันจากหน้าต่างชั้นบน
เขาหยุดเดิน เพราะรู้สึกได้ แต่ก็ไม่หันกลับมามองแล้วเดินต่อไป

หยกมณียืนมองอันจนเดินลับตา น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ภายใต้บรรยากาศชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนตามตรอกซอกซอยในยามเช้า เง็กกำลังจะยกหาบจุ๋ยก๊วยขึ้น แต่เว่ยเข้ามาแย่งมายกหาบเสียเอง
"วันนี้ผมไปช่วยม้าขายเอง"
ซิ่วเอ็งกำลังเกลี่ยสมุนไพรจีนบนกระด้งเพื่อตากแดด หันขวับทันที
"ไม่ต้องไป อาจูอยู่ไหน ทำไมไม่ให้อีไปช่วยขายของ"
เง็กบอก
"วันนี้อาจูจะไปสมัครงาน"
อาจูในชุดกระโปรงที่ดูดีเท่าที่จะหามาได้ เดินออกมาพร้อมถือซองเอกสาร สะพายกระเป๋าเก่าใบใหญ่ ซิ่วเอ็งปรายตามองอาจูอย่างไม่เชื่อน้ำหน้า
"ไปทำไมให้เสียเวลา ไม่มีที่ไหนรับผู้หญิงเข้าทำงานหรอก" ซิ่วเอ็งบอก
"สมัยนี้เค้ารับผู้หญิงเยอะแยะไป ม่า"
"แล้วทำไมไม่ได้งานทำซักทีล่ะ หางานทำมากี่เดือนแล้ว" แล้วหันไปบอกกับอาจูพลา
งยิ้มเยาะ "ลื้อช่วยอาม้าลื้อขายของดีกว่า อยากทำงานบริษัทใหญ่ๆ เพราะอยากไปเจอผู้ชายเยอะๆ ล่ะสิ"
อาจูนิ่ง ไม่กล้าเถียงกับซิ่วเอ็ง
เว่ยทำหน้าตาย
"อย่างงั้นก็ดีนะ ม่า แจ้จูจะได้มีผู้ชายดีๆให้เลือกเยอะๆ ถ้าให้แจ้จูเดินขายของกับม้า ก็จะเจอแต่พวกเกี๋ยวกุ้ย..ผู้ชายกุ๊ยๆนา"
"อาเว่ย! อย่าเถียงผู้ใหญ่" เง็กบอก
"ไม่ได้เถียง แค่แสดงความ แจ้ไม่ต้องรีบร้อนหางานหรอก ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเทอมผม ถ้าเรามีเงินไม่พอ ผมก็ไม่เรียนต่อ"
เว่ยทิ้งระเบิดโครมแล้วรีบคอนหาบจุ๋ยก้วยเดินลิ่วๆออกไป เง็กต้องรีบคว้าถังน้ำแล้วเดินตามไป ซิ่วเอ็งหันขวับมามองอาจูอย่างคาดโทษทันที
"หนูจะหางานทำให้ได้ ยังไงอาเว่ยก็จะต้องได้เรียนต่อ"
"ทำให้ได้ตามที่พูดก็แล้วกัน ไม่งั้นอั๊วไม่เอาลื้อไว้แน่"

อาจูนิ่งอึ้งอย่างหนักใจ

เลือดมังกร : สิงห์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในย่านการค้าที่วุ่นวายจอแจและรีบร้อนของเยาวราช อาจูเดินเข้าเดินออกบริษัทและร้านค้าต่างๆอย่างคอตกผิดหวัง เธอกอดซองเอกสาร ที่ใช้สมัครงาน เดินเครียดๆ อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา

เธอเดินมาหยุดยืนเงยหน้ามองร้านขายยาหรือร้านเครื่องไหว้ที่เล็กๆเป็นความหวังสุดท้าย
ผู้ชาย1 เดินออกมาติดป้าย ไม่รับคนงานที่หน้าร้าน เธอเดินลากขาออกไปอย่างเหนื่อยล้า

ทรงกลดกับอันเดินเข้ามาในร้านฉั่วเทียนเหลา
"ได้ความมาว่ายังไง ไอ้เสี่ยเคี้ยงมันเรียกร้องอะไรจากทางเรา"
"เสี่ยเคี้ยงขอซื้อโรงงานเก่าของเราที่ท่าเรือครับ ราคาเหมือนได้เปล่า..."
"สันดานไม่เคยเปลี่ยน ไอ้คนฉวยโอกาส คนอย่างมันจะเอาโรงงานเก่าๆไปทำอะไร" ทรงกลดนิ่งคิด "ทำบ่อนหรือโรงฝิ่น..ก็ไกลเกินไป"
ทรงกลดมองอันอย่างปรึกษาช่วยกันคิด
"คงไว้รับส่งสินค้าเถื่อนน่ะครับ"
อันจ้องทรงกลดที่กำลังยิ้มน้อยๆอย่างคิดแผนออก
อันติงเบาๆ
"เราเพิ่งจบเรื่องกับพวกมันนะครับ"
"ปัญหาเรากับแก๊งเต่ามังกรจะจบ ก็ต่อเมื่อไอ้เสี่ยเคี้ยงจะเลิกทำเรื่องชั่วๆ"
อันนิ่งไป เลิกพูดต่อให้เหนื่อยเปล่า
ทรงกลดแหย่
"อ้าว! ไม่ห้ามต่อแล้วเหรอไง"
"เคยห้ามที่ไหน แค่เตือน"
เสียงอาจูดังแว่วเข้ามา
"ไม่มีตำแหน่งว่างจริงๆเหรอคะ"
ทรงกลดหันไปมองตามเสียง เห็นอาจูกำลังตื้อของานจากชาย1
"ไม่มีๆ คนทำบัญชีเรามีแล้ว"
"ไม่ต้องทำบัญชีก็ได้ค่ะ งานอะไร หนูก็ทำได้ทั้งนั้น"
"ที่นี่ไม่มีงานให้เธอทำหรอก กลับไปๆ"
ชาย2 เดินเข้ามาหาชาย1
"วันนี้คนในครัวขาดนะ เฮีย"
อาจูยิ้มกว้างอย่างดีใจ
"แค่วันนี้วันเดียวนะ"
อาจูพยักหน้างึกๆ
"ได้ค่ะๆ ทำแค่วันเดียวก็ได้"
ทรงกลดมองได้เห็นความมานะพยายามของอาจูอีกครั้ง เขามองตามอาจูที่เดินตามชาย 2 ไปที่ครัวโดยที่เธอไม่ได้สนใจคนอื่นเลย และไม่เห็นทรงกลดด้วย

ความวุ่นวายในครัว พ่อครัว 2 คนกำลังวุ่นอยู่หน้าเตาไฟ ลูกมือคนอื่นๆเตรียมหั่นผักหั่นเนื้อ มีถาดใส่จานชามใบใหญ่ๆวางสุมอยู่เป็นสิบถาด อาจูใส่ผ้ากันเปื้อนแบบเต็มตัวยาวถึงครึ่งเข่าเดินถือกะละมังเข้ามา แล้วหยิบจานชามสกปรกใส่กะละมังจนเต็ม
เธอยกกะละมังใส่จานชามสกปรกมาวางที่อ่างล้างจาน แล้วลงมือล้างจานชามอย่างว่องไว
อาจูรีบยกจานชามสะอาดตั้งใหญ่มาให้พ่อครัว มีอยู่สองสามครั้งที่อาจูเกือบทำจานชามหล่นแต่ก็ประคองไว้ทัน
ทรงกลดเข้ามายืนมองอาจูทำงานหนักตัวเป็นเกลียวอย่างเงียบๆ

อาจูลากถังขยะมาวางไว้ที่ด้านหลังครัวหนึ่งใบ แล้วกลับเข้าไปลากถังขยะออกมาอีกใบ
แล้วหยุดหอบด้วยความเหนื่อย ยืนพิงผนังตึกด้านหลังร้านด้วยความอ่อนล้า
อาจูยกมือของตัวเองขึ้นมาดูเห็นว่า ฝ่ามือแดงเถือกเพราะต้องล้างจานชามด้วยน้ำอุ่นจัด
ทรงกลดเดินเข้ามาหยุดมอง กำลังจะก้าวเดินเข้าไปหา แต่อาจูส่งเสียงดังให้กำลังใจตัวเอง
"ไหวสิ ต้องไหว"
อาจูกำมือทั้งสองไว้แน่นทำท่าฮึดสู้แบบนักมวยเตรียมแย็บใส่หน้าคู่ชกแล้วรีบกลับเข้าไปในครัวใหม่
ทรงกลดมองอาจูอย่างขำๆปนเอ็นดูแล้วนึกหาทางช่วยอาจูขึ้นมาได้

อันนั่งจิบน้ำชารอทรงกลดอยู่ที่โต๊ะในร้านฉั่วเทียนเหลา บริกรเดินเข้ามาอย่างเกรงๆ)
"จะให้ยกอาหารขึ้นโต๊ะเลยมั้ยครับ"
"ยัง"
บริกรเห็นท่าทางนิ่งๆของอันแล้วไม่กล้าตอแย ได้แต่รินน้ำชาเพิ่มให้แล้วรีบถอยออกไป
หยกมณีเดินเข้ามา พอเห็นอันนั่งอยู่ก็ชะงัก เธอทำหมางเมินใส่ หันไปทางบริกรที่กำลังจะเดินไป
"แจ้สุ่ยล่ะ" หยกมณีถามถึงเจ้าของร้านฉั่วเทียนเหลา
"รออยู่ที่ห้องทำงานครับ"
บริกรเดินออกไป เธอเดินช้าเกินปกติพลางปรายตาว่า อันจะขยับทำอะไรไหม
แต่อันจิบน้ำชาอย่างเงียบๆ เธอขัดอกขัดใจมากแต่ทำอะไรอันไม่ได้
ทรงกลดเดินยิ้มเข้ามาอย่างนึกสนุก พอเห็นหยกมณีก็รู้ทันทีว่าต้องใช้ใครทำงานให้
"หยกมาพอดี ช่วยอะไรหน่อยสิ"
" มีอะไรเหรอคะ นายน้อย"
หยกมณีฉงน ลืมตัวหันมามองอันเป็นเชิงถามแล้วต้องเมินหน้าจากอันทันที
ทรงกลดยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย โดยมีอันที่รู้ทันว่า ทรงกลดต้องทำอะไรนอกลู่นอกทางแน่นอน

หน้าฉั่วเทียนเหลา อาจูเดินไปนับเหรียญไม่กี่บาทในมือที่เป็นค่าแรงวันนี้
"ก็ยังดีน่า ไม่ต้องกลับบ้านมือเปล่า"
อาจูดึงซองเอกสารที่ยับยู่ยี่ในกระเป๋าออกมาดูแล้วก็ต้องหนักใจ
"ทำไมงานถึงหายากอย่างนี้"
อาจูเดินก้มหน้าอย่างคิดหนัก หยกมณีเดินตามหลังมาจนทัน
"เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป"
อาจูหยุดเดิน หันไปมองหยกมณีอย่างเป็นงงเพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
"เธอกำลังหางานทำอยู่ใช่มั้ย"
อาจูพยักหน้าพลางมองหยกมณีอย่างทึ่งๆที่แต่งตัวสวยและดูเก๋ไก๋กว่าผู้หญิงคนอื่นๆ หยกมณียื่นนามบัตรทรงกลดให้อาจู
"พรุ่งนี้ไปสมัครงานที่บริษัทนี้นะ"
"บริษัทตงวานิช... เค้ากำลังรับคนทำบัญชีอยู่หรือคะ"
"พรุ่งนี้ไป ก็จะรู้เอง ไปให้ได้ล่ะ ไม่งั้นเธอจะเสียใจทีหลัง"
หยกมณีกำลังจะเดินกลับไปร้าน
"เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งไป ทำไมคุณถึงช่วยฉันล่ะคะ แล้ว.." อาจูก้มดูนามบัตรอีกที "แล้วคุณทรงกลดนี่เป็นใครคะ เป็นเพื่อนคุณหรือคะ"
"ถ้าอยากได้งานทำ ก็อย่าถามมาก เธอไม่รู้หรอกว่า เธอน่ะโชคดีแค่ไหน"
หยกมณียิ้มเดินออกไป ทิ้งให้อาจูยืนเหวอมองนามบัตรในมือ

นามบัตรใบนั้น มีแต่ชื่อทรงกลด ชื่อบริษัทและที่อยู่ แต่ไม่ได้บอกตำแหน่งของทรงกลดแต่อย่างใด

บ้านทรงกลดในบรรยากาศเช้าวันใหม่ เขาเดินรีบเร่งเพื่อออกไปจากบ้าน อันเดินไล่ตามมาแล้วต้องส่ายหน้ากับความใจร้อนของนาย

"นายน้อยครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมรถก่อน"
ทรงกลดดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดันไหล่อันไว้ไม่ให้ไป
"เราต่างคนต่างไปดีกว่า แล้วเจอกันที่บริษัท"
อันอ่อนใจ
"อีกแล้ว!"
ทรงกลดเดินเร็วออกไป อันรีบเดินตามเพราะรู้ว่า ทรงกลดต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไป เดี๋ยวไล่ตามไม่ทัน ตงกับปอเดินออกมา ทันเห็นอันเดินเร็วเพื่อไล่ตามทรงกลดให้ทัน
"รีบไปไหนของมัน" ตงพูดขึ้น
"ไปบริษัทครับ"
"วันนี้มีประชุมสำคัญอะไรงั้นเหรอ"
"ไม่มีนี่ครับ นายน้อยขยันขันแข็งสนใจงานบริษัทอย่างนี้ก็ดีนะครับ จะได้ไม่มีเวลาไปเอาเรื่องกับแก๊งเต่ามังกรอีก"
"อั๊วไม่คิดว่า เสี่ยเคี้ยงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงถล่มที่ศาลเจ้า คนอย่างมันสนใจแต่เงินกับผู้หญิง แล้วนี่อาหมงสืบหาคนบงการไปถึงไหนแล้ว"
"ไอ้พวกมือปืนมาจากต่างถิ่น ไม่เคยทำงานให้แก๊งไหน เราไม่มีเบาะแสที่จะสาวไปถึงตัวคนบงการได้เลยครับ"
"แล้วยังไง? เราต้องรอให้มันลงมืออีกครั้งหรือไง ถึงจะจับไอ้คนบงการได้"
ตงพูดพลางหยิบถุงใส่ยานัตถุ์ออกมาเท แล้วสูดเข้าจมูกเฮือกหนึ่งแก้ความหงุดหงิดใจ

อาจูกำลังพัดๆชุดที่ใส่เมื่อวานที่เพิ่งซักตากมาเมื่อคืน เพราะเธอมีชุดกระโปรงชุดดีๆเพียงชุดเดียวเท่านั้น เง็กเดินเข้ามาจับชุดที่แขวนอยู่
อาจูยังพัดชุดกระโปรงอย่างเอาเป็นเอาตายให้ชุดแห้งให้ได้
"เปียกขนาดนี้ คงแห้งไม่ทันหรอกมั้ง เมื่อวานก็ไม่น่าซักเลยนี่นา ใส่ซ้ำอีกวันก็ได้"
"ไม่ซักไม่ได้หรอก ม้า ทำงานในครัวทั้งวัน ชุดเหม็นหึ่งเลย เมื่อคืนฝนไม่น่าตกเลย ไม่งั้นก็คงแห้งทัน"
"ม้าบอกให้ตัดชุดเผื่อไว้สองสามชุดก็ไม่ฟัง ใส่แต่ไอ้ชุดตัวเก่งนี่ แล้วถ้าเกิดได้งานทำขึ้นมา จะทำยังไง"
"หนูก็เอาชุดเก่าๆของม้ามาแก้ น่าจะใส่ได้ แต่วันนี้คงไม่ทันแล้ว"
อาจูเริ่มกลุ้มใจ เว่ยถือชุดกระโปรงวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามา
"ได้ชุดมาแล้ว แจ้จู"
อาจูขำน้องชาย
"ไปเอามาจากไหน"
"ยืมแจ้เล็กห้องท้ายซอยมา เร็วๆสิ ลองใส่ดูว่า ใส่ได้หรือเปล่า"
ซิ่วเอ็งเดินออกมาจากห้องตัวเอง พอเห็นเว่ยถือชุดกระโปรงอยู่ก็รีบไปกระชากมา ตะคอกเสียงดัง
"อาเว่ย! ลื้อเป็นผู้ชาย จับกระโปรงผู้หญิงได้ยังไง จับแล้วซวยรู้มั้ย"
ซิ่วเอ็งขว้างชุดกระโปรงใส่หน้าอาจูจนเธอคว้าชุดกระโปรงไว้แทบไม่ทัน
"ผู้ชายห้ามแตะต้องของต่ำๆ ลื้อกลับใช้อาเว่ยไปเอากระโปรง ทำอะไรไม่รู้จักคิด"
"ผมไปของผมเอง แจ้จูไม่ได้ใช้ ม่าจะด่าก็ด่าผมเถอะ แต่เก็บไว้ด่าวันหลังนะ แจ้จูต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะไปสมัครงานไม่ทัน ไปเปลี่ยนชุดเลย แจ้ ไป"
เว่ยรีบรุนหลังให้อาจูเดินออกไป
ซิ่วเอ็งเสียงดุ
"อาจู"
อาจูชะงักหันมามองซิ่วเอ็ง
"ถ้าวันนี้ไม่ได้งานทำ ก็ไม่ต้องออกไปหางานแล้ว อยู่บ้านช่วยงานอั๊วไป ลื้อไม่รู้กฎไม่รู้ธรรมเนียมหลายเรื่อง คราวนี้อั๊วจะได้มีเวลาสั่งสอนลื้อ"
อาจูหันไปมองเง็ก ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เง็กต้องเชื่อฟังแม่ผัวตามธรรมเนียมจีนที่ไม่กล้าหือใส่
เว่ยกระซิบอย่างสยองแทน
"แย่แล้ว..แจ้จู"
อาจูรู้สึกกลัวจับใจที่ถูกซิ่วเอ็งขีดเส้นตาย แค่คิดว่าต้องอยู่บ้านกับซิ่วเอ็งก็ขนลุกขนพองแล้ว

บริษัทตงวานิชที่เป็นส่วนบริหารเป็นตึกทำงานที่แยกจากส่วนโรงงานอะไหล่รถยนต์ อาจูเดินเข้ามาถึงหน้าตึกบริษัทอย่างตื่นเต้น พลางก้มดูชื่อบริษัทในนามบัตรอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองชื่อบริษัท
"บริษัทตงวานิช...ที่นี่แหละ"
อาจูยืดตัวตรงแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม

แล้วเธอก็พาเอาสีหน้าผิดหวังกลับมา
อาจูแทบหมดแรง
"ไม่มีตำแหน่งว่าง"
พนักงานชายยืนมองอาจูอย่างรำคาญ
"ใช่ บริษัทเราไม่มีตำแหน่งว่าง ไม่ได้ประกาศรับสมัครงานด้วย แล้วที่สำคัญบริษัทเราไม่รับผู้หญิงเข้าทำงาน"
อาจูมองไปรอบๆ บริษัท แล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งเพราะเห็นแต่พนักงานผู้ชายที่เดินเข้าเดินออก
"แต่ว่า..แต่ว่ามีคนบอกให้ฉันมาสมัครงานที่นี่นะคะ ถ้าที่นี่ไม่รับคนเข้าทำงาน เธอคงไม่แนะนำฉันมา เธอให้นามบัตรกับฉันมาด้วย คุณ..คุณ เจ้าของนามบัตรคงกำลังหาคนทำงานอยู่"
อาจูส่งนามบัตรทรงกลดให้ดู แต่พนักงานชายชายไม่สนใจจะดู
"เธอมาผิดบริษัทแล้วมั้ง กลับไปซะ ไป"
อาจูดูนามบัตร
"งั้นฉันขอพบคุณ... คุณทรง..."
พนักงานขัดทันที
"พูดไม่รู้เรื่องหรือยังไง บริษัทนี้ไม่รับผู้หญิง"
อาจูนิ่งอึ้งแล้วต้องยอมแพ้ ใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ความหวังครั้งสุดท้ายพังทลาย อาจูหันกลับไปแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ
" เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป"
อาจูหันกลับมาเจออันเดินตามหลังมา อาจูมองอันอย่างคุ้นหน้าแต่ยังคิดไม่ออก
"ตามมานี่"
อันก้าวยาวๆ เดินเข้าไปด้านใน อาจูเดินตามอย่างงงๆ
พนักงานชายมองตาม เห็นอันเป็นคนพาอาจูไปก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทรงกลดแน่นอน แล้วพนักงานคนนั้นก็นึกถึงหมงขึ้นมาได้ทันที
"คุณหมง! เฮ้ย! คุณหมงเข้ามาหรือยัง"

อาจูรีบเดินตามอันไป

อันเดินนำอาจูไปตามทางเดินในบริษัท เดินผ่านแผนกต่างๆไป เธอมองไปรอบๆเห็นแต่พนักงานผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะกันอยู่

อาจูเกรงๆ
"คุณคะๆ"
อันหยุดเดินหันมามองอาจูอย่างยุ่งยากใจ
"ตกลงที่นี่มีตำแหน่งว่างใช่มั้ยคะ ตำแหน่งอะไรคะ แล้วจะสัมภาษณ์งานวันนี้เลยหรือเปล่า คือ...ฉันจะรู้เลยหรือเปล่าว่า ฉันได้งานหรือไม่ได้งาน"
อันหันรีหันขวางไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังดี เพราะเคยแต่บู๊มานักต่อนัก แต่จัดการเรื่องผู้หญิงนี่ ไปไม่เป็นเลยทีเดียว
"เออ...ผมจะพาคุณดูรอบๆไปก่อน มีอะไรรอถามนายน้อยแล้วกัน"
"นายน้อย"
"นายน้อย..เจ้านายของคุณยังไงล่ะ"
"เจ้านาย...เจ้านายของฉัน"
อาจูงงที่ยังไม่ทันรู้ว่าได้งานอะไรก็มีเจ้านายเสียแล้ว
ทรงกลดเดินเข้ามาอีกทาง มีพนักงานชาย 4-5 คนเดินตามหลังมา เขาอ่านแฟ้มเอกสารอย่างเร็วๆแล้วส่งคืนให้พนักงานไป
อันเห็นทรงกลดเดินมาก็โล่งใจ อาจูหันไปตามสายตาของอัน
ทรงกลดเดินนำพนักงานเข้ามา ท่าทางดูมีอำนาจและมีสง่าราศี มองปราดเดียวก็รู้ว่าใหญ่ในบริษัท
"นั่นไงนายน้อย...เจ้านายของคุณมาแล้ว"
"นาย..น้อย"
อาจูมองทรงกลดอย่างเหวอๆ ที่เห็นทรงกลดในชุดสูททำงานอย่างผู้บริหาร ภาพของทรงกลดที่เธอรู้จักผ่านเข้ามา
ทรงกลดกอดคออาจูไว้แล้วถือปืนยิงใส่มือปืนที่จับเง็กเป็นตัวประกัน และ ทรงกลดกับอันช่วยกันค้นตัวมือปืนจนเจอรอยสักรูปเต่ามังกร
อาจูตาโพลงอย่างตกใจที่เห็นนักเลงสองคนกลายเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โต
อาจูหันไปมองอันอย่างจำได้แล้ว พอหันมามองทางทรงกลดอีกครั้ง เขาก็เดินมาหยุดตรงหน้าอาจูพอดี
อาจูเกือบหลุดกุ๊ย
"ไอ้...เออ..คุณ!..คุณ"
"ว่ายังไง อาจู...เจอกันอีกแล้ว" เขาหันไปพูดกับอัน "ฉันพาอาจูเดินดูรอบๆ บริษัทต่อเอง"
อันถอนใจโล่งอกที่หลุดจากสถานการณ์ที่งงๆนี้ไปได้แล้วเดินเฉียดทรงกลดเพื่อเตือนเบาๆ
" แน่ใจแล้วนะครับ"
ทรงกลดตบไหล่อันอย่างหยอกๆ
"แน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่... เธอมาได้ถูกเวลาจริงๆ เรากำลังขาดคนอยู่พอดี"
ทรงกลดโกหกหน้าตาย อันอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้แล้วเดินออกไป อาจูยังเหวอๆ ทรงกลดมองอย่างขำๆ

ทรงกลดเดินนำอาจูผ่านแผนกบัญชีไป อาจูมองเหลียวหลังป้ายแผนกบัญชีที่น่าจะเหมาะสำหรับเธอ แต่เขากลับเดินนำไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะให้อาจูทำงานตำแหน่งอะไรดี
“คุณคะ เออ...นายน้อยคะ ตกลงคุณรับฉันเข้าทำงานจริงๆหรือคะ”
“ก็จริงน่ะสิ”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำงานตำแหน่งอะไรเหรอคะ”
ทรงกลดยังคิดไม่ตกแทบลืมตัวยกมือขึ้นเกาหัวแต่ยังรักษาอาการไว้ได้
“เออ..เธอทำงานเป็น..เป็นผู้ช่วยฉันไปก่อนล่ะกัน”
หมงเดินเข้ามาขัดจังหวะ มีพนักงานชายเดินตามมา เป็นคนที่ไปสอพลอบอกหมงเรื่องอาจู
“แต่มันขัดกับนโยบายของบริษัทนะครับ นายน้อย”
ทรงกลดหันไปมองหมงอย่างเห็นเหมือนเป็นขี้ดินที่ไม่มีความสำคัญ
“บริษัทตงวานิชไม่เคยรับผู้หญิงเข้าทำงาน”
“ก็ใช่...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็เข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ไม่ได้ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้เป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่รับผู้หญิงคนอื่นอีก นอกจากผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว มีอะไรข้องใจอีกมั้ย”
ทรงกลดมองหมงแล้วกวาดตาไปถึงพนักงาน จนพนักงานชายหัวหดแทบไม่ทัน
“ในเมื่อนายน้อยตัดสินใจไปแล้ว ผมก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ว่าแต่นายน้อยรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีพอแล้วหรือครับ” หมงบอกพลางยิ้มเหยียด
หมงมองอาจูอย่างดูหมิ่นไม่แน่ใจว่าทรงกลดไปเก็บมาจากไหน แล้วเดินออกไปพร้อมกับพนักงาน
“คุณคนนั้นพูดถูกนะคะ คุณ..เออ..นายน้อยยังไม่รู้เลยว่า ฉันทำงานอะไรได้บ้าง อยู่ๆก็ข้ามขั้นตอนรับเข้าทำงานเลย มันจะดีหรือคะ”
“ปกติเวลาเค้ารับคนเข้าทำงาน เค้าต้องทำอะไรบ้างล่ะ”
“เราก็ต้องกรอกใบสมัครงานก่อน พอผู้จ้างเห็นประวัติการศึกษาหรือประสบการณ์การทำงานที่เหมาะกับตำแหน่งที่ว่าง ก็จะเรียกผู้สมัครงานไปทดสอบความสามารถ ถ้าสอบผ่านก็จะสอบสัมภาษณ์เป็นขั้นตอนสุดท้าย”
“ได้ ไม่มีปัญหา!”
ทรงกลดจับแขนอาจูให้เดินออกไปด้วยกัน
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ”
“ตามมา เดี๋ยวก็จะรู้เอง”
อาจูถูกทรงกลดดึงจนตัวปลิวไปตามแรงของทรงกลด

ทรงกลดดึงอาจูเดินออกมาจนถึงทางออกของบริษัท อันนั่งรออยู่ที่ส่วนรับแขกในบริษัท รีบลุกขึ้น
“นายน้อยครับ”
“ไม่ต้องตามมา”
ทรงกลดโบกมือให้อันอย่างสบายๆ อาจูมองอันอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
กลุ่มพนักงานชายที่เดินเข้ามาต่างหลีกทางเป็นทิวแถว เพื่อให้ทรงกลดพาอาจูเดินออกไป
หมงเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของอัน
“ของเล่นใหม่ของนายน้อยล่ะสิ นายน้อยของแกนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะ”
อันเสียงเย็นชาถาม
“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันจะไปโรงงาน ไปขับรถให้ฉันหน่อย”
“ไม่ใช่หน้าที่ของผม”
“ฉันก็เป็นนายของแกเหมือนกันนะ ไอ้อัน”
“ก็ได้ครับ”
“ดี! แกรู้ว่าใครเป็นใครก็ดี ตอนนี้แกอาจจะมีหลายนาย แต่อีกหน่อยแกจะมีนายเพียงคนเดียว นั่นก็คือ ฉัน”
“ผมไม่เคยมีหลายนาย นายของผมมีแค่นายใหญ่กับนายน้อยเท่านั้น! คนที่ยอมคุกเข่าก้มหัวให้ศัตรูอย่างคนขี้ขลาด ผมนับถือไม่ลงหรอกครับ”
อันเดินออกไป หมงมองตามอย่างโกรธ
“ไอ้อัน! แล้วแกจะต้องเสียใจ”

หมงมองตามอันอย่างคนเป็นศัตรูกันจริงๆแล้วทีนี้

ทรงกลดดึงตัวอาจูจนออกมาที่หน้าบริษัท อาจูบิดมือออกจากมือทรงกลดจนได้

"นี่คุณรับฉันเข้าทำงานจริงๆหรือเปล่า หรือว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น"
อาจูควานหานามบัตรของทรงกลดขึ้นมาดู
"นี่นามบัตรของคุณใช่มั้ยคะ"
"ใช่ นามบัตรของฉันเอง มีปัญหาอะไรเหรอ"
"นี่เป็นแผนการของคุณทั้งหมด นี่คุณ ฉันไม่มีเวลาจะมาเล่นสนุกด้วยหรอกนะ ฉันต้องการงานจริงๆ แล้วต้องหางานให้ได้ภายในวันนี้ด้วย"
"ฉันก็ไม่มีเวลาเล่นสนุกเหมือนกัน ฉันรับเธอเข้าทำงานจริงๆ ฉันก็กำลังทำตามขั้นตอนการรับสมัครงานอย่างที่เธอต้องการไงล่ะ"
"ขั้นตอนอะไรคะ"
"เธอติดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ๆมาบ้างหรือเปล่า"
อาจูคุ้ยหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าสะพายใบใหญ่อย่างงงๆแต่ก็ทำตาม แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆขึ้นมาให้ดู ทรงกลดส่ายหน้าว่ายังใช้ไม่ได้
"ถ้าต้องใช้ผืนใหญ่ๆ...ฉันก็มีแต่ผ้าผืนนี้ค่ะ"
อาจูดึงกล่องอาหารกลางวันมีผ้าผืนใหญ่ห่อเอาไว้ขึ้นมาให้ดู เขาพยักหน้าแทนคำตอบว่าใช้ได้ อาจูแกะผ้าผืนใหญ่ออกจากกล่องอาหารอย่างเป็นงง ทรงกลดดึงผ้าผืนใหญ่จากอาจูมาแล้วพับทบกันเป็นสามเหลี่ยม
ทรงกลดดึงอาจูเข้ามาใกล้ แล้วเอาผ้าที่พับเป็นสามเหลี่ยมนั้นโพกผมให้อาจูอย่างชำนาญ
เขาดึงปลายผ้าสองด้านมาที่ใต้คางของเธอแล้วผูกเข้าด้วยกัน เธอตัวแข็งยืนมองทรงกลดนิ่ง ไม่คิดว่าผู้ชายบู๊ๆลุยๆอย่างทรงกลดจะผูกผ้าโพกผมให้ผู้หญิงเป็น
ทรงกลดยืนมองตากับอาจูอยู่อึดใจ ต่างคนต่างนิ่งไปชั่วขณะ
อาจูหลุดปาก
"คุณนี่...ต้องสนิทกับคุณแม่แน่ๆเลย"
ทรงกลดมีแววตาเศร้าขึ้นมาแวบนึงเมื่อนึกถึงแม่วรดีที่จากไป เขาแกล้งดุ
"พูดอะไรของเธอ! ไปกันได้แล้ว ไป"
ทรงกลดจับมืออาจูแล้วดึงให้เดินออกไปด้วยกัน
"คุณจะพาฉันไปไหน ถามยังไงก็ไม่บอกใช่มั้ย ฉันจะได้เลิกถาม"
ทรงกลดหันมายิ้มขำเมื่อนึกภาพต่อไปว่าอาจูจะเจอเข้ากับอะไร

อันเดินมาแล้วจะเดินไปที่รถประจำตำแหน่งของหมง แต่หมงกลับหยุดยืนอยู่ข้างรถของทรงกลดอย่างยียวน
"วันนี้ฉันจะนั่งรถคันนี้"
"นั่นมันรถประจำตำแหน่งของนายน้อย"
"ฉันต้องการนั่งคันนี้"
หมงยืนรอให้อันมาเปิดประตูให้ อันควบคุมอารมณ์แล้วเดินไปเปิดประตูด้านหลังให้ หมงเข้าไปนั่งในรถ อันปิดประตูรถอย่างปกติ ไม่แสดงสีหน้าใดๆให้หมงได้ใจ
อันรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองมาอยู่ เมื่อหันไปมองที่มุมหนึ่งของที่จอดรถแต่ไม่เห็นว่ามีอะไร อันขึ้นไปนั่งที่นั่งคนขับด้านหน้าด้วยความรู้สึกระแวดระวัง รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
อันขับรถแล่นออกไป อิกออกมาจากที่ซ่อนตัวตรงมุมที่อันหันไปมองก่อนหน้านี้
ภายในรถ อันขับรถไปช้าๆ มองกระจกหลังแล้วเห็นอิกยืนอยู่ด้านหลัง
"ไอ้อิก"
"มีอะไร"
อันไม่ตอบแต่ขับรถต่อไปอย่างสังหรณ์ใจว่า อิกต้องมีแผนร้ายอะไรแน่ๆ อิกยิ้มอย่างสาสมใจที่การทำลายล้างแก๊งเขี้ยวสิงห์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ทรงกลดดึงอาจูให้เดินมาด้วยกันโดยไม่ยอมปล่อยมือ
"นี่คุณ...เออ..นายน้อยคะ คุณคิดจะทำอะไรของคุณ นี่หรือคะขั้นตอนการรับสมัครงานของคุณ ขั้นตอนอะไรของคุณ"
"ขั้นตอนการทดสอบความสามารถ ว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยของฉันไหวมั้ย"
"ออกมาข้างนอกอย่างนี้ แล้วคุณจะทดสอบความสามารถฉันยังไง"
ทรงกลดปล่อยมือจากอาจูแล้วตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ประจำตัว เธอมองตามแล้วต้องเหวออีกครั้ง ทรงกลดขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์อย่างคล่องแคล่ว เขาตบเบาะท้ายมอเตอร์ไซค์เป็นการบอกว่าเธอต้องขึ้นซ้อนท้าย อาจูชี้ที่ตัวเองแล้วชี้ไปที่เบาะท้ายมอเตอร์ไซค์อย่างไม่แน่ใจ
"ไม่อยากได้งานทำแล้วเหรอ"
อาจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆแล้วทำใจเดินตรงไปขึ้นซ้อนท้ายอย่างทุลักทุเล เธอขยับตัวให้ห่างจากทรงกลดที่สุด แล้วดึงผ้าโพกหัวให้แน่นขึ้น
"เพราะอย่างนี้นี่เอง"
"ไม่งั้นผมเธอต้องกระเซิง ดูไม่ดีแน่"
อาจูประชด
"ค่ะ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แล้วนี่คุณ เออ นายน้อย เออ...ฉันว่า ฉันเลิกถามดีกว่าว่า คุณจะพาฉันไปไหน"
"ถ้าเรียกยากนักล่ะก็ เรียกชื่อฉันก็ได้ ฉันเบื่อที่เป็นนายน้อยเต็มทนเหมือนกัน"
"ให้ฉันเรียกคุณว่า คุณทรงกลด งั้นเหรอคะ"
"เรียกฉันว่า ที"
เขาให้เธอเรียกชื่อนี้ เหมือนที่แม่เรียกเขาตอนเด็ก
ขณะที่อาจูงงกับชื่ออยู่นั้นทรงกลดก็ดึงมือเธอให้มากอดเอวเขา จนทำให้อาจูต้องขยับเข้าไปใกล้เขายิ่งขึ้น เขาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วแล่นออกไปทันที อาจูผวา กอดเอวเขาไว้แน่น รถมอเตอร์ไซค์แล่นเร็วออกไปโดยเร็ว
"ที ที่แปลว่า ท้องฟ้า น่ะเหรอคะ"
"ใช่ ที ที่แปลว่า ท้องฟ้า"
ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส มอเตอร์ไซค์แล่นไปตามถนนที่ยาวไกล
"คุณที"
"กอดเอวฉันไว้แน่นๆนะ"
ทรงกลดบิดเร่งความเร็ว มอเตอร์ไซค์แล่นวืดๆๆไปอย่างรวดเร็ว
"ฉันยังไม่อยากตายนะ คุณที"
เขาหัวเราะดังลั่นอย่างสนุก อาจูจำต้องกอดเอวทรงกลดไว้แน่นขึ้น

ทรงกลดซิ่งมอเตอร์ไซค์มีอาจูซ้อนท้ายไปตามถนนที่ทอดไปไกลไม่รู้จะไปหยุดที่ตรงไหน

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น