เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 6
ภรพกระโจนหลบเข้าที่กำบังมุมหนึ่ง คนร้ายยังสาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง ภรพขว้างของออกไปล่อความสนใจคนร้ายอีกทางหนึ่ง คนร้ายหลงกลสาดกระสุนไปทางที่ถูกล่อ
ภรพฉวยโอกาสกระโจนเข้าลุยคนร้ายด้วยมือเปล่า เตะปืนหลุดจากมือคนร้าย เกิดคิวบู๊แย่งชิงปืนบนพื้น คนร้ายได้ครองปืนอีกครั้งและยิงสวนออกไป กระสุนเข้าต้นแขนขวาภรพ คนร้ายปราดเข้าประชิดหมายจะยิงซ้ำให้ตาย
วินาทีนั้น ปืนกระเด็นหลุดจากมือคนร้าย ด้วยฝีมือของภาษิตที่ตามมายิงสกัดไว้ทัน ภาษิตสาดกระสุนใส่คนร้ายอีก แต่พลาด คนร้ายวิ่งหลบหายตัวไปในพริบตา ภาษิตไม่ได้ตามรีบเข้าไปดูภรพ
“คุณภรพ”
ภรพกุมแผลที่ต้นแขน เพื่อห้ามเลือดให้ตัวเอง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร”
ภรพ ภาษิต และ คนงานอยู่บนเรือที่ลอยลำจอดอยู่ตรงท่าเรือ ภรพใช้ผ้าเช็ดเลือดแผลถูกยิง
ภาษิตมองแผล แล้วเอ่ยขึ้น “ไปหาหมอไหมครับ”
ภรพเหวี่ยงผ้าทิ้งไป “เลือดหยุดแล้ว แค่นี้ไกลหัวใจ”
“มามัวดูอะไรกัน ออกเรือสิ กว่าจะกลับถึงเกาะมืดค่ำกันพอดี” ภาษิตหันไปเอ็ดคนงานที่คุมเรือ
ภรพกลับบอกว่า “เดี๋ยว ฉันว่า วันนี้จะยังไม่กลับ”
ภาษิตฉงน “คุณภรพจะตามล่าไอ้พวกมือปืนนั่นเหรอครับ”
“ภาษิต...” ภรพใช้ความคิดหนัก
“ครับ คุณภรพ”
“นายว่ากี่คนกันที่รู้ว่าฉันมาที่นี่ ศัตรูอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง มันรู้ความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา”
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ อาเจิ้งเดินตามไพศาลเข้ามาเพื่อคอยรับใช้หลังจากไปตามมารับโทรศัพท์
“โทรศัพท์ใคร”
“อาภาษิต อีโทร.มาจากปักษ์ใต้”
“ลื้อคอยอยู่ข้างนอก อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามา”
“ครับนาย”
อาเจิ้งเดินออกไปแล้ว ไพศาลจึงยกโทรศัพท์ขึ้น ตบตา แม้แต่คนใช้
“ว่าไงอาภาษิต”
ภรพโทร.มาจากบ้านพักในจังหวัดตรัง พ่อลูกคุยสายกัน
“กรุงเทพฯ เรียบร้อยดีใช่ไหมป๊า”
“เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร”
“ป๊า นอกจากป๊าแล้ว มีใครอีกบ้างที่รู้ว่าผมอยู่ตรัง”
ที่บ้านจิตวรบรรจง เวลาเดียวกัน วรินวางกับข้าวจานสุดท้ายลงกลางโต๊ะ ตักข้าวใส่ถ้วย ส่งให้ผัวและลูก ดูแลปรนนิบัติเรียบร้อยแล้วจะกลับออกไปในครัว
บันลือแปลกใจ “อ้าว แล้วลื้อล่ะ”
“อั๊วไม่หิว กินไม่ลง”
“ม๊าไม่ต้องห่วงอาวันอีหรอก เดี๋ยวอีก็กลับมาเอง” บดินบอก
“แล้วใจคอจะอยู่เฉยๆ กันยังงี้รึไง”
“อีไปของอีเอง เดี๋ยวก็กลับมาเอง”
“ลื้อพูดเหมือนไม่รักลูก”
“แล้วอีทำตัวให้น่ารักสมเป็นลูกไหมล่ะ กี่ครั้งแล้ว ที่อีก่อปัญหา มีแต่เรื่องทำวงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย”
วรินสุดทนย้อนแย้งสามี “แค่อีเกิดเป็นลูกผู้หญิงใช่ไหม”
บันลือตบโต๊ะปัง วรินน้ำตาร่วง
“ม๊า อาวันอีต้องปลอดภัยน่า” บดินปลอบ
“ลื้อไปนั่งคิดนอนคิดดีกว่า ว่าจะโกหก อาประยูร อียังไงต่อ ให้อีเชื่อใจลูกสาวลื้อ ไม่งั้นลื้อไม่มีวันได้เห็นงานแต่งงานอีแน่”
วรินผละกลับออกไปทันที บดิน กับ บันลือ ฝืนกินข้าว แต่แทบจะกลืนไม่ลง
ด้านเถ้าแก่ไพศาลเรียกหาผู้เป็นภรรยา แล้วเอ่ยถามขึ้น
“อาษา เรื่องอาภรพอีลงใต้ ลื้อเผลอบอกใครไปรึเปล่า”
“เปล่านา”
“ลื้อแน่ใจนะ”
“จะมีก็แต่อาหมวยใหญ่ หมวยเล็กเท่านั้นแหละ”
ไพศาลฉุนนิดๆ “อั๊วบอกลื้อแล้วว่าไม่ต้องบอกใคร”
“เฮีย คนในครอบครัวทั้งนั้น ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน”
อาเจิ้งเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“นาย มีแขกมารอพบนาย”
ไพศาลแปลกใจ “ใคร”
“เถ้าแก่เฮ้ง”
อาเจิ้งนำไพศาล และ สุพรรษา เข้ามาในห้องรับแขก
“อาเฮ้ง” เถ้าแก่ไพศาลเอ่ยทักทาย
เฮ้งที่ยืนดูเทพกวนอูอยู่ หันตัวกลับมายิ้มทัก
“อาเซี้ย”
สุพรรษาทักทาย “อาเฮ้ง”
“อาซ้อ”
อาเจิ้งรินน้ำชาลงจอกให้แขก
“ตั้งแต่สราทจีน ก็ไม่ได้เจอกันเลย” เฮ้งเอ่ยขึ้น
“อั๊วก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ลื้อคงได้ข่าวแล้ว”
“ทำมาหากิน นับวันมันก็ยากขึ้น แล้วไอ้เรื่องยุ่งยากนี่มันก็ไม่ได้มาจากไหน มาจากคนทั้งนั้น เก่งแย่งแข่งดี อิจฉาตาร้อน ปัดแข้งปัดขากันเอง” เฮ้งบอก
“ท่าทางลื้อรู้เรื่องดีนี่อาเฮ้ง” ไพศาลพูดเป็นเชิงถาม
“อั๊วก็ฟังๆ อีมาอีกที” เฮ้งจิบชา “ใครเป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ อาบันลือ อีเป็นพวกโลภมากเห็นใครได้ดีกว่าไม่ได้ นี่อั๊วไม่อยากปรักปรำอีหรอกนะ หลักฐานมันอ่อน พูดมากไปมันก็ไม่ดี อั๊วจะพลอยเดือดร้อนเปล่าๆ”
“ทุกวันนี้ก็ได้แต่อดทน หวังว่าซักวันความจริงจะพิสูจน์ตัวเอง” สุพรรษาว่า
“ซ้อคิดถูกแล้วละ คนดีๆ พระย่อมคุ้มครองรุ่งเรืองไพศาล มีองค์กวนอูเป็นที่ยึดมั่น ทำมาหากิน ซื่อสัตย์มาตลอด องค์กวนอูต้องปกปักรักษา ยังไงอั๊วก็เป็นกำลังใจให้นะอาเซี้ย”
“ขอบใจ อาเฮ้ง ขอบใจ ลื้อเป็นมิตรแท้ของอั๊วจริงๆ”
ทะเลตอนใกล้ค่ำ พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยค่อยๆ ตกดินไป ความมืดโรยตัวเข้าคลุมบนเกาะรังนกแห่งนี้ ขณะจู๋วางสำรับอาหารเย็นลงตรงโต๊ะในกระท่อม เด็กชายเห็นวันวิสานั่งซึมอยู่มุมหนึ่งในกระท่อม
“คุณผู้หญิงครับ กินข้าวเถอะครับ”
วันวิสาส่ายหน้า
“จู๋ว่าคุณผู้หญิงไม่ต้องรอนายหัวหรอกครับ กว่าจะกลับมาถึง เผลอๆ ค่ำๆ โน่น”
“เก็บไปเถอะนายจู๋ ยังไงฉันก็กินไม่ลง”
“จู๋ รู้แล้ว คุณผู้หญิงเป็นห่วงนายหัวใช่ไหมครับ แหม ความรักมันมีอิทธิพลยังงี้นี่เอง อยากจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา วันไหนไม่เห็นหน้าเธอ โลกนี้มันก็มืดมนเหมือนคืนเดือนแรม”
วันวิสาลุกเดินออกไปเงียบๆ ทิ้งจู๋ ที่ยังเพ้อพรรณนาสรรพคุณความรักเฉิ่มๆ อยู่ในกระท่อม
เวลาผ่านไป วันวิสากางมุ้งครอบที่นอนแล้ว แต่เจ้าตัวยังนั่งซึมอยู่อีกมุม นอกมุ้ง
ภาพเหตุการณ์ใกล้ชิดชวนจิ้นระหว่างเธอและเขาตอนติดเกาะร้างด้วยกัน กระทั่งตอนเกี่ยวแขนเดินเคียงกันในตรอกศาลเจ้า ผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด
วันวิสาเศร้าใจ ทุกข์ใจเหลือเกินแล้ว
ทางด้านภรพ อยู่ที่บ้านพักในเมืองตรัง กำลังนั่งมอง ปาเต๊ะ และเสื้อผู้หญิงที่ซื้อไปฝากวันวิสานิ่งอยู่
เหตุการณ์ใกล้ชิดชวนฝัน ระหว่างเขา และวันวิสา ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
พยัคฆ์หนุ่มได้แต่ทอดถอนใจ ว่าเรื่องราวมันจะจบลงยังไงหนอ?
รุ่งเช้า เห็นคนงานจากเกาะคนเดิม รีบวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาหา ภรพ และ ภาษิตคอยอยู่แล้วตรงท่าเรือ
“มัวทำอะไรอยู่วะ”
“ผมไม่คิดว่านายหัวจะกลับเกาะเช้าขนาดนี้ครับ”
“งานต้องทำมีตั้งเยอะ จะให้มัวลอยไปลอยมาได้ยังไงวะ”
ภรพ และ ภาษิต กระโดดลงเรือ
คนงานรีบปลดเชือกคล้องเรือ กระโจนตามลงเรือไป
ตอนสายวันเดียวกัน เสี่ยเฮ้งแวะมาที่บ้านจิตวรบรรจง และกำลังใส่ใคล้ให้ร้ายเถ้าแก่ไพศาล ต่อ บันลือ และ บดิน ฟัง สองพ่อลูกดูท่าจะเคลิ้มคล้อยไปด้วย
“อั๊วก็คิดอยู่เหมือนกัน คนอย่างไอ้เซี้ยมันโลภมาก ได้สิบจะเอาร้อยได้ร้อยจะเอาหมื่น” บันลือว่า
“อีไม่ฉลาด ที่ต้มไนเตรต ใส่รังนก ส่งไปให้ลูกค้า” เฮ้งเยาะหยัน
“ตบตาใครๆ ไม่สำเร็จแล้งยังมาโยนความผิดให้คนอื่นอีก คนยังงี้ อั๊วนับถือไม่ลงหรอกเจ็ก” บดินบอก
“ต่อหน้าคนอื่น อีว่าอีนับถือองค์กวนอู ค้าขายอย่างซื่อสัตย์ แต่ลับหลัง อย่าให้อั๊วพูดเลยเจ็บปวดหัวใจเปล่าๆ อีคงมั่นใจว่าอีเป็นขาใหญ่ธุรกิจรังนก แต่อั๊วว่าอีทำยังงี้มันจะบรรลัยเสื่อมเสียทั้งวงการมากกว่า” เฮ้งวางตัวแสนดี
“แต่ประมูลสัมปทานครั้งหน้า มันคงถูกตัดสิทธิ์นะอาเฮ้ง”
“ลื้ออย่าประมาทไป อาเซี้ยอีมีอิทธิพลมาก อั๊วได้ยินมาว่าอีกำลังวิ่งเต้นจะใต้โต๊ะผู้ใหญ่หลายคน อีวางแผนจะผูกขาดสัมปทานรังนกคนเดียว”
บันลือฟังแล้วแค้น “ไอ้ชั่ว”
“อั๊วเห็นก็มีแต่ลื้อคนเดียวนี่แหละอาบันลือ ที่จะกำจัดคนเจ้าเล่ห์อย่างอาเซี้ยได้”
บันลือนิ่งคิด
ที่เกาะรังนก จู๋วิ่งหน้าเริดออกมาที่ชายหาด ขณะเรือแล่นเข้าจอด และภรพขึ้นจากเรือ หอบถุงกระดาษมาด้วย
จู๋รีบร้อนต้องการส่งข่าวเกี่ยวกับวันวิสา “นายหัว นายหัว” เด็กชายหอบจนลิ้นห้อย
“เป็นอะไรไอ้จู๋”
“คุณผู้หญิง ครับ คุณผู้หญิง”
ภาษิตขัดจังหวะขึ้น “มาช่วยกันขนของเลย พวกโน้นเอาไปโรงครัว ของใช้ในโกดังแยกไว้ก่อนอย่าให้ปนกัน”
จู๋หันมาอีกที ภรพก็เดินลิ่วๆ ไปไกลแล้ว จู่ร้องตาม
“นายหัว”
ภรพหันมา “ถ้าอั๊วทายไม่ผิด แม่นี่ก่อปัญหาอีกตามเคย”
“ม่ายช่าย” จู๋พยายามจะบอก
“เดี๋ยวอั๊วจัดการเอง”
ภรพเดินลิ่วๆ ไป
คนงานโยนกระสอบของลงมาจากเรือ ไอ้จู๋แทบโดนของทับตาย
พอภรพมาถึงกระท่อม เห็นวันวิสานอนซมอยู่ ภรพปากไวกว่าใจ แดกดันขึ้นทันควัน
“ผู้หญิงแบบไหนกันเนี่ย สายป่านนี้ยังนอนขี้เกียจสันหลังยาว”
วันวิสาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ใครเอาไปทำเมียคงเจริญพิลึกละ”
วันวิสายันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก โดยภรพไม่ทันสังเกต เพราะมันปากที่ได้ด่าเธอ
“นี่ถ้าฉันยังไม่กลับมา คงนอนเพลินจนข้ามวันข้ามคืนละมัง มีคนหาให้อยู่ หาให้กินมันก็เสียคนยังงี้”
“นายจะเอาอะไร”
“คนเพิ่งมาถึงน้ำซักขันคิดไม่ออกรึไงว่าต้องตักมาให้กิน ทำไมต้องให้บอก ทุกอย่างเลยวะ”
วันวิสาเดินไปตักน้ำในโอ่งตรงระเบียง
“ฝึกเอาไว้ ถึง อีกหน่อยแต่งงานได้ผัว มีคนคอยปรนนิบัติ ก็ต้องสอนคนใช้สอนลูกหลานเป็น”
วันวิสาเดินประคองขันน้ำกลับมา จะยื่นให้ภรพ แต่รู้สึกว่าทุกอย่างในมือหนักอึ้ง โลกทั้งโลกหมุนคว้าง ผู้ชายเบื้องหน้าหน้าตาบิดเบี้ยวเป็นยักษ์เป็นมาร
ภรพเพิ่งเห็นใบหน้าโรยราของวันวิสาระยะใกล้ จังหวะที่ขันร่วงหลุดจากมือพอดี
ขันน้ำอลูมิเนียมกระทบพื้นดังเคล้ง นี่ถ้าเป็นของแตกได้ ก็คงกระจายเป็นเสี่ยงๆ
สติสัมปชัญญะดับวูบ วันวิสาล้มทั้งยืน โชคยังดีที่ภรพคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน
แทบจะทันทีทันควัน ร่างวันวิสาถูกวางลงบนที่นอนในกระท่อม
“เธอ...เธอ...อีเจ๊…”
ภรพร้องเรียกไม่หยุด เพิ่งสัมผัสได้ถึงไข้สูงตัวร้อนจัด จู๋ตามกลับมาพอดี
“ไอ้จู๋ ทำไมถึงเป็นยังงี้”
“คุณผู้หญิงไม่สบายตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”
“ไม่สบายได้ยังไง”
“คุณผู้หญิงทำงานบ้านทั้งวัน แถมออกไปซักผ้าให้นายหัวกลางแดดด้วยครับ”
ภรพโมโห “แล้วทำไมลื้อไม่รีบบอก”
“ก็เมื่อกี้จู๋จะบอกนายหัวแล้ว แต่บอกไม่ทันนี่ครับ”
“ไอ้บ้า แล้วนี่หายาแก้ไข้ให้กินรึยัง”
“ยาแก้ไข้หมดแล้วครับ”
“ไอ้โง่”
“จู๋ ไม่ได้โง่นะครับ จู๋ต้มยาให้หม้อนึงแล้ว”
“เออ...ลื้อฉลาด”
“แต่คุณผู้หญิงไม่ยอมกินครับ”
“ทำไม”
“จู๋อ้อนวอนให้กินยังไง ก็ไม่ยอมกิน” จู๋สาธยาย
“อั๊วถามว่า ทำไม”
“คุณผู้หญิงบอกว่า…”
“บอกว่าอะไร”
“บอกว่าอะไร ตายก็ดี ปล่อยให้ตายไปเลยดีกว่า ครับ”
ภรพอึ้ง ผินหน้าไปมองซากชีวิตที่ถูกเขาทรมาน ทรกรรม พบว่าใบหน้าวันวิสาซีดไปทั้งหน้า ริมฝีปากไม่เหลือเลือดฝาดแล้ว
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภรพให้จู๋อยู่ดูแลวันวิสา ตัวเขาดิ่งมาหาภาษิตถึงในออฟฟิศจะให้เอาเรือออก
“เรือออกไปเกาะผีหลอกแล้วครับคุณภรพ”
“ใครบอกให้ไป”
“วันนี้คนงานต้องเก็บรังนกที่เกาะผีหลอกไงครับ”
“รู้แล้ว แต่ไอ้หน้าไหนมันสั่ง”
“ก็คุณภรพสั่งเองตั้งแต่เช้าไงครับ”
ภรพเสียฟอร์ม “แล้วในตู้มียาอะไรบ้าง”
“แก้ปวดกับลดไข้ครับ”
ภรพพล่าน “ไอ้บ้าเอ๊ย”
“ให้กินประทังไปก่อนเถอะครับ ดูอาการอีกที ผมกลัวว่า...”
“อะไร...นายจะพูดอะไร”
“ถ้าโชคร้ายอาจจะ มาลาเรียนะครับ”
ภรพอึ้งหนัก
“ถ้าเรือกลับมา ผมจะรีบไปบอกคุณภรพทันทีครับ ถ้ามาลาเรียจริง ยังไงก็ต้องส่งให้ถึงมือหมออย่างเร็วที่สุดไม่งั้นถ้าขึ้นสมอง...”
ภาษิตพูดได้แค่นั้น ด้วยภรพรู้เรื่องนี้ดี
ชามขาวต้มวางไว้มุมหนึ่งในกระท่อม วันวิสายังนอนไม่ได้สติ มีชามอ่างใส่น้ำวางลงข้างตัว ภรพบิดน้ำออกจากผ้าและเช็ดตัวให้วันวิสา
“ยัยเจ๊ ยัยเจ๊ ได้ยินผมไหม”
วันวิสานิ่ง
“วัน...วันวิสา...วันวิสา”
วันวิสาเหมือนพยายามปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ทุกอย่างหนักอึ้ง และล้มเหลว เธอปิดเปลือกตาลง
“ได้ยินผมไหม...วันวิสา”
มีแต่เสียงครางฮือๆ หลุดออกมา
“อย่าเป็นอะไรไปนะ ได้ยินไหม หนักกว่านี้คุณกับผมก็ผ่านกันมาแล้วไข้แค่นี้อย่าเป็นอะไรไปนะ คุณต้องเข้มแข็งนะ ไม่งั้นผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
วันวิสาเริ่มเพ้อ “ป๊า อยู่ไหน ม๊าช่วยหนูด้วย”
ภรพเห็นอาการแล้วหนักใจ
ถัดมา ที่โรงครัวกระท่อมคนงาน เด็กจู๋ยืนมองภาพตรงหน้า ได้แต่ส่ายหน้า เห็นภรพสวมวิญญาณพ่อครัวทำอาหารให้วันวิสาด้วยตัวเอง ใบหน้าหล่อเปื้อนดำเขม่าก้นหม้อ พัดกระพือเตาให้ไฟคุเหย็งๆ
“จู๋ทำให้ก็ได้นายหัว แค่สั่งมาเท่านั้นแหละ”
“ลื้อทำไม่อร่อย”
“อ้าว วันก่อนยังบอกฝีมือจู๋กุ๊กเหลายังอาย”
“ลื้อทำไม่ถูกปากคนป่วยหรอกโว้ย”
“ยังงี้เขาเรียกเถียงข้างๆ คูๆ”
“ไอ้จู๋”
“คร๊าบ”
“ลื้อหุบปากไปเลยถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
จู๋ปิดปากเงียบตามสั่ง
“คุณผู้หญิงเขาพูดถึงอั๊วว่ายังไงอีก”
จู๋ปิดปากแน่น ส่ายหน้า
“อมอะไรไว้” ภรพหงุกหงิด
“เปล่าครับจู๋กลัว จู๋ไม่อยากเจ็บตัว”
ภรพหมั่นไส้ เตะไอ้จู๋ป๊าบ เด็กชายหัวทิ่มหัวตำ
วันวิสายังนอนซม หลับตาต่อสู้กับพิษไข้
“วันวิสา...วันวิสา” ภรพเรียกสติ
วันวิสาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
“วันวิสา...ได้ยินผมไหม”
วันวิสากลอกตาไปมองภรพ
“ลุกขึ้นเถอะ คุณต้องกินข้าว จะได้กินยา”
วันวิสามองเฉยๆ สีหน้าเลื่อนลอย เหมือนกับว่าตัวเองแค่ฝันไป ภรพพยุงประคองวันวิสาให้ขึ้นนั่ง
“กินข้าวนะ แข็งใจหน่อย”
“มันไม่ใช่ความจริงใช่ไหม ฉันแค่ฝันไปใช่ไหม อดีตเป็นแค่ภาพลวงตา ปัจจุบันต่างหากที่เป็นความจริง นี่ไม่ใช่นายหรอก...ฉันรู้...ไม่ใช่นายหรอก...ฉันแค่ฝันไป”
ภรพอึ้งอีก นี่เขาใจร้ายกับเธอขนาดนี้เชียวหรือ
จันทร์กระจ่างเหนือทะเล ท้องน้ำถูกฉาบเป็นสีเงินระยิบระยับ ตะเกียงน้ำมันวอมแวมอยู่ตรงมุมกระท่อม
ในมุ้ง เห็นวันวิสานอนขดตัวในผ้าห่ม แต่ยังหนาวจนสั่น ภรพชะโงกหน้ามองแล้วคลี่ผ้าห่มอีกผืนห่มคลุมให้
“ป๊า...ม๊า...หนูหนาวจังเลย...หนาว”
ภรพกังวลจัด สุดท้ายตัดสินใจขยับลงนอนข้างๆ เบียดเนื้อเข้ากอดแน่น หวังให้ไออุ่นจากกายขับไล่พิษไข้และอาการหนาวเหน็บ
มือของเขากุมมือของเธอไว้แน่น ถ้าทำได้เขาอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดจากอาการป่วยของเธอ มาไว้ที่ตัวเอง
เช้าวันนี้ ท้องทะเลบรรเจิดสดใสยิ่งยวด
วันวิสาค่อยๆ ลืมตาตื่น เธอมึนงงอยู่ชั่วขณะ เหมือนเวลาผ่านเลยไปนานแสนนาน ลุกขึ้นนั่งและตลบมุ้งพาตัวเองออกมา
ภรพยกถาดใส่ข้าวต้มเข้าพอดี
“ตื่นแล้วเหรอ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
ภรพวางถาดอาหาร เดินเข้ามาเอาหลังมืออังเนื้อแขนวันวิสาตรวจอาการ
“ไม่มีไข้แล้วนี่ ยังหนาวอยู่รึเปล่า”
วันวิสาส่ายหน้า นึกสยอง ขยับตัวหนี
“เมื่อคืนคุณสั่นจนค่อนคืน บ่นว่าหนาว ผมต้องสละผ้าห่มผมให้อีกผืน”
วันวิสาค่อนขอด “ถือว่าเป็นบุญคุณอีกตามเคยละสิ”
“เอาไว้รวมยอดตอบแทนซะทีเดียวก็ได้” เขาว่า
วันวิสาก้มมองเสื้อผ้าตัวเองและเพิ่งค้นพบ
“เสื้อผ้าฉัน”
“ใหม่เอี่ยมเลย ยังไม่ทันได้ซัก หวังว่าคงไม่ถือ”
วันวิสาสะดุดหู หันขวับมาทางภรพ
“ผมเป็นคนเปลี่ยนให้คุณเองกะมือ” เขาบอกหน้าตาเฉย
วันวิสาอายมากกว่าเจ็บ
“จะล้างหน้าแปรงฟันก่อนไหม จะกินข้าว เดี๋ยวจะได้กินยา”
“ไม่ต้องมายุ่งกะฉัน นายควรจะปล่อยๆ ให้ฉันตายไปดีกว่า”
วันวิสาแผดเสียงใส่อย่างอัดอั้น ภรพอึ้ง ยังไม่หนำใจวันวิสาระบายต่อ
“ตอนที่นายลงเรือข้ามไปฝั่ง ฉันภาวนาขอให้เรือนายอับปาง ขอให้นายมีอันเป็นไปไม่ต้องกลับมาทนเห็นหน้ากันอีก นายรู้ไหม สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดคือลืมตาขึ้นมาแล้วต้องเห็นหน้านายนี่แหละ”
วันวิสาพาตัวเองลุกเดินออกไป ในสภาพโผเผเพราะเพิ่งฟื้นไข้
ทิ้งภรพให้ดื่มกินความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น
ภรพยืนอยู่บนหน้าผายอดเขา บ่มแผลกลัดหนองในหัวใจ สุดท้ายแหกปากตะโกนก้องร้องระบายอารมณ์ แล้วกระโดดทิ้งตัวลงจากหน้าผา ร่างภรพร่วงละลิ่วจนกระทบผิวน้ำ
ภรพจมลงมาใต้ผืนน้ำ เขาตั้งใจให้ตัวเองจมอยู่ในน้ำให้นานที่สุดจนลมหายใจสุดท้าย
ภรพทะลึ่งพรวดขึ้นผิวน้ำ เขาต้องการตัวตนของเขากลับคืนมา
เหตุการณ์ในกระท่อม วันวิสากินข้าวต้มได้มากพอประมาณ จู๋นั่งเฝ้าห่างออกไป
“คุณผู้หญิง อิ่มแล้วเหรอครับ”
วันวิสาพยักหน้า “ขอบใจนะนายจู๋ ข้าวต้มอร่อยมาก”
จู๋ยิ้มปลื้ม “เดี๋ยวคุณผู้หญิงต้องกินยานะครับ อย่าลืมนะครับ ว่าแต่เมื่อกี้คุณผู้หญิงพูดจริงๆ ใช่ไหมครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องข้าวต้มอร่อยมากน่ะครับ”
วันวิสาพยักหน้า
“อร่อยกว่าข้าวต้มฝีมือนายหัวเมื่อวานรึเปล่าครับ”
วันวิสาชะงัก
“นายหัวไปต้มข้าวให้คุณผู้หญิงเองกะมือเลย บอกว่าจู๋ไม่มีฝีมือ คุณผู้หญิงเลยไม่ยอมกิน แต่ถึงข้าวต้มนายหัวอร่อยกว่าจู๋ก็ไม่เสียใจหรอกครับ เพราะนายหัวตั้งอกตั้งใจทำมาก ชิมแล้วชิมอีก จู๋ยอมแพ้นายหัวคนเดียว”
วันวิสาอึ้งอยู่ชั่วขณะ “นายจู๋มีอะไรทำก็ไปทำเถอะ”
“ตอนนายหัวรู้ว่าคุณผู้หญิงไม่สบาย นายหัวแทบบ้า คลั่งเหมือนผีเข้าเลยละครับคุณผู้หญิง จริง ๆ นะครับ จู๋ไม่ได้พูดเกินจริง” เด็กชายเจื้อยแจ้ว แล้วยกสำรับกลับออกไป
วันวิสาอึ้ง กับคำพูดซื่อๆ ของเด็กชายจู๋
เย็นแล้ว ภรพยังคงนั่งเซ็งอยู่ริมหาด ภาษิตผ่านมาเห็น
“เย็นแล้วคุณภรพยังไม่หิวเหรอครับ”
ภรพส่ายหน้า
“แล้ว ไม่ห่วงคนป่วยแล้วเหรอครับ”
“ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วง ไม่ใช่มาลาเรียฉันก็โล่งใจแล้ว นึกว่าจะต้องเดือดร้อนพาไปหาหมอบนฝั่งโน่น...ยิ้มอะไรวะ”
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่เคยเห็นคุณภรพเป็นยังงี้”
“ผู้หญิงมันจะเป็นต้นเหตุของปัญหาสารพัดในโลกนี้”
“แต่ปัญหาสารพัดก็จบได้เพราะผู้หญิงเหมือนกันนี่ครับ ถ้าเข้าใจผู้หญิงพอ”
“พูดอะไรของนายวะภาษิต” ภรพเฉไฉคุยเรื่องงาน “รังนกล็อตต่อไปพร้อมส่งเข้ากรุงเทพฯ เมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าก็น่าจะพร้อมส่งครับ”
“เตรียมส่งข่าวไปว่า งวดนี้เราได้รังนกมากกว่าปกติ”
ภรพตั้งใจถ่วงเวลา กลับมาจนมืดค่ำจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตใกล้ชิดกับวันวิสามากเกินไป พอเข้ามาในกระท่อมก็เห็นวันวิสายังเฝ้าสำรับอาหารเย็นอยู่เงียบๆ มุมหนึ่ง
“มัวแต่นั่งมองมันคงไม่ทำให้อิ่มได้หรอก”
“ฉันกินไม่ได้หรอก ในเมื่อนายไม่ได้สั่งให้กิน”
แม่พระจันทร์วันเพ็ญพูดปด ด้วยจริงๆ เจ้าหล่อนก็รอเพื่อให้เขากลับมากินด้วยกัน
ภรพโมโห “จะบ้าแล้ว”
“ฉันมันแค่เชลยของนาย ต้องรอฟังคำสั่งจากนายเท่านั้น”
“อย่ามาทำประชดประชัน”
“ฉันมีสิทธ์ทำอย่างนั้นด้วยเหรอ ในเมื่อนายเคยออกปากเองว่า ผู้หญิงต้องกินหลังผู้ชาย”
“ฉันกินเรียบร้อยมาแล้ว กินข้าวซะจะได้กินยา ที่นี่ไม่มีใครมีเวลามากพอจะมานั่งดูแลใคร เพราะฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้เป็นภาระคนอื่น เอาตัวเองให้รอดปลอดภัย ซักวันจะได้กลับไปเห็นหน้าป๊ากับม๊ากันคนรักของเธอไง”
ภรพเดินหงุดหงิดออกไปจากกระท่อม วันวิสามองตาม
จู๋ประแป้งลายพร้อยหลังอาบน้ำ เตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว ภรพเดินเข้ามาปั้นหน้าเครียด
“ไอ้จู๋”
“ครับนายหัว”
จู๋รีบแจ้นออกมารับหน้า
“นายหัวจะเอาอะไรครับ ยาแก้ปวดแก้ไข้นายหัวต้องไปเอาที่หัวหน้าภาษิตครับ”
“อั๊วไม่ได้มาเอายา เอาข้าวมากินหน่อยซิ”
จู๋เง็ง “อ้าว ข้าวเย็น จู๋ก็ยกสำรับไปใช้แล้วนี่ครับนายหัว”
“อั๊วจะกินที่นี่ มีปัญหาอะไร”
“มีแน่ครับ มันเหลือแต่ข้าวก้นหม้อติดไหมด้วย กับข้าวก็หมดแล้วมีแต่น้ำพริกก้นถ้วยกับผักนิดหน่อยครับ”
“นั่นแหละ เอามากิน”
ภรพปักหลักคอย จู๋วิ่งพล่าน คดข้าวก้นหม้อใส่จานบ่นกระปอดกระแปด
“ของดี ๆ มีไม่กิน ไม่รู้จะงอนอะไรกันนักหนา”
“ลื้อบ่นอะไรไอ้จู๋”
“เปล่าคร๊าบ”
จู๋ยกเศษๆ อาหารมาวางให้ภรพ แล้วปักหลักนั่งมองจ้องหน้าภรพ
“ลื้อมองหน้าหาเรื่องรึไง”
“เปล่าคร๊าบ จู๋แค่อยากรู้ว่าอร่อยไหม”
“ดีกว่าเลียไม้กระดานหน่อยนึง”
จู๋บ่นงึม “นายหัวนี่ทำตัวเหมือนเด็กๆ”
“ไอ้จู๋”
ภรพเหวี่ยงขากะถีบ แต่จู๋หลบทัน
“คนปากไม่ตรงกับใจนี่จู๋เห็นมาเยอะแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่บ่นว่า รู้งี้ รู้งี้ ทุกที”
จู๋ชิ่งหนีออกไปก่อนที่บาทาจะเหวี่ยงมาอีกคำรบ
ภรพอึ้งกับคำพูดเด็กน้อย
คืนนั้นวันวิสายังคงนั่งข้างมุ้งไม่ยอมเข้านอน พอภรพกลับเข้ามา ชะงักเมื่อเห็น
“อ้าว อะไรของเธออีก มานั่งตากยุงอยู่ได้ อยากเป็นมาลาเรียจริงๆ รึไง”
“เป็นก็เป็น ฉันจะทำอะไรได้นอกจากคอยฟังแล้วก็ทำตามคำสั่งของนาย”
ภรพตัดบท มุดมุ้งเข้าไปหยิบหมอนและผ้าห่มของตัวเองออกมา
“น่าจะว่านอนสอนง่ายยังงี้แต่แรกแล้ว เข้าไปนอนซะ”
พอวันวิสามุดเข้ามุ้ง
ภรพขยับออกมาข้างนอก วางหมอนลงมุมหนึ่งแล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้า ทั้งคู่หันหลังใส่กัน วันวิสายังลืมตา ภรพเองก็หลับตาไม่ลง รอคอยให้เธอเรียก แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
วันวิสาค่อยๆ พลิกตัวหันมามองผ่านมุ้ง ภรพทำเป็นตบยุงที่มาตอมหน้า ทำเป็นพลิกตัวหันมาทางเธอ
วันวิสารีบหลับตา ทำเป็นไม่สนใจ
ภรพเซ็งทวีคูณ จะมุดกลับเข้ามุ้งก็จะยิ่งเสียเชิงเปล่าๆ เลยดึงผ้าห่มคลุมโปง
วันวิสาที่ค่อยๆ แอบลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง
เช้าวันใหม่ เมื่อภรพตื่นนอน มองไปที่มุ้ง พบว่ามุ้ง หมอน ที่นอน ถูกพับเก็บเรียบร้อย ภรพมองหาวันวิสา
สักครู่วันวิสากลับเข้ามา หลังจากไปล้างหน้าล้างตา ตากผ้าขาวม้าไว้ที่เฉลียงแล้วจะเดินออกไป
“จะไปไหน”
“ไปช่วยนายจู๋หุงข้าว ทำกับข้าวอย่างที่นายเคยสั่งเอาไว้ไง”
“วันนี้ไม่ต้องไป ปล่อยไอ้จู๋มันทำไป สำหรับเธอ มีงานที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ”
วันวิสางง งานสำคัญอะไร?
ภรพนั่งลงที่โขดหินในลำธาร ถอดเสื้อออกโชว์อกอั๋น
“นายจะทำอะไรของนาย” วันวิสางุนงง
“โกนหนวดให้หน่อยซิ” ภรพยื่นมีดโกนให้
วันวิสามองนิ่ง
“แขนฉันเจ็บ ยกไม่สะดวก ไม่งั้นก็โกนเองไปแล้ว” ภรพหาข้ออ้าง
วันวิสาเพิ่งเห็นแผลที่ถูกยิงมา “นายไปโดนอะไรมา”
“ฝีมือคนของเธอไล่ล่าฉันไง”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย สาแก่ใจใช่ไหมล่ะ ที่ได้เห็นผลงานคนของเธอ”
ภรพยื่นมีดโกนให้ วันวิสารับมีดโกนมา
ใบหน้าภรพตอนนี้มีฟองสบู่โปะเต็มตำแหน่งเครา คมมีดโกนแตะเข้าแก้มและเริ่มโกนอย่างแผ่วเบา สายตาภรพมองวันวิสาไม่ละสายตา จังหวะหนึ่งวันวิสาละสายตาจากมีดโกน มาสบตาภรพจังๆ ตาสบตาในระยะชิดใกล้ จนแทบจะรับรู้ลมหายใจของกันและกัน วันวิสาเป็นฝ่ายหลบสายตาของเขา
“มือเธอเบา หรือมีดโกนฉันคมมากกันแน่”
วันวิสาไม่ตอบ
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร เพราะคงเชื่อยาก”
“ก็แล้วแต่นายจะคิดละกัน ใครก็คงห้ามความคิดนายไม่ได้”
วันวิสาหมั่นไส้ยิ่งนัก ตั้งใจโกนให้จบๆ ไป
“มีดโกนคมๆ อยู่ในมือเธอแล้ว โอกาสเป็นของเธอแล้วนี่ เธอจะปาดคอฉันตอนนี้เลยก็ยังได้ เธอจะได้เป็นอิสระกลับไปหาคนของเธอซะที” เขาไม่วายปากเปราะ
“นายคิดว่าตัวนายมีค่า ขนาดที่ฉันจะแลกด้วยการทำความชั่วงั้นหรอ”
“คนเราก็เท่านี้แหละนะ พบกันเพื่อรอวันที่จะจากกัน”
“วันนั้นต้องมาถึงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเร็วหรือจะช้าก็ต้องมาถึง แต่ถ้ามันพอจะมีความทรงจำดีๆ เหลืออยู่ไว้บ้าง ฉันขอเลือกจดจำเรื่องดีๆ เท่านั้น เพราะฉันจะไม่เสียใจเลย ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ”
ทั้งคู่ต่างเจ็บปวดชอกช้ำเหลือคณาจากการประหัตประหารกันด้วยคำพูด ที่ไม่ตรงกับหัวใจตัวเองเล้ย...
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 6 (ต่อ)
เมื่อสองคนกลับจากลำธารมาถึงหน้ากระท่อม วันวิสาทำท่าจะเดินออกไป
“จะไปไหน”
“ไปช่วยนายจู๋ทำกับข้าว”
“ไม่ต้องไป...มานี่ซิ”
วันวิสาจำใจเดินกลับไปหา
“ล้างแผล ใส่ยาให้หน่อย”
วันวิสามองนิ่ง
ภรพมองแผล ใช้ข้ออ้างเดิมมาหากิน “ทำเองมันไม่ถนัด”
วันวิสาจำใจทำตามคำสั่ง หยิบสำลี ยา น้ำยาล้างแผล ออกมา และเริ่มจัดการกับแผล สายตาภรพจากอยู่ที่อื่นค่อยๆ หันมามองวันวิสาระยะใกล้
วันวิสาเองที่พยายามสนใจแต่แผลตรงหน้า อดไม่ได้ที่ต้องเหลือบไปมองแว่บหนึ่ง ตาประสานตา
“มือเบาเหมือนกันนี่”
วันวิสาตั้งใจไม่ต่อปากต่อคำ
“โสร่งที่ซื้อมาให้ ชอบไหม” เขาถามเสียงนุ่ม
“ก็ดี” เธอตอบสั้นๆ
“ถูกใจรึเปล่า”
“ฉันมีสิทธิ์ออกความเห็นด้วยเหรอ ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ในเมื่อฉัน ก็เป็นแค่นักโทษของนาย”
ภรพอึ้งนิ่งงันไป
วันวิสาทำแผลเสร็จ เก็บข้าวของออกไป ทิ้งภรพให้นั่งนิ่งอึ้งกิมกี่อยู่ลำพัง
เวลาเดียวกัน ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวี และ มงคลเข้ามาในห้องทำงานเถ้าแก่ไพศาลพร้อมกัน
“มีอะไรครับเจ็ก”
“อีกสองวัน รังนกจะส่งมาถึงกรุงเทพฯ”
“หมายความว่าพรุ่งนี้ของถึงจะออกจากตรัง ใช่ไหมครับนาย” มงคลถาม
“ใช่ อาภรพอีไม่อยู่ ยังงี้ลื้อสองคนต้องเป็นเรี่ยวแรงเป็นหูเป็นตาแทนอีด้วย”
“เจ็กไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะทำอย่างดีที่สุด”
“รังนกรุ่นนี้ เราจะส่งไปที่ไหนครับนาย” มงคลถามอีก
“ส่งให้แทนรุ่นก่อนที่มีปัญหา ยังไงเราก็ต้องรับผิดชอบ อั๊วถึงอยากให้ดูแลให้ดี อย่าให้เกิดปัญหาซ้ำอีก” เถ้าแก่กำชับ
ที่โกดังเก็บ และบรรจุรังนก ตอนนี้ คนงานเกาะรังนกทยอยขนลังกระดาษใส่รังนก ที่ปิดผนึกแล้ว ออกมาเรียงเป็นตั้งๆ เตรียมการขนส่ง
ภาษิตเข้ามาภรพที่ยืนดูความเรียบร้อยอยู่ในนั้น
“ผมส่งข่าวไปทางกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้วครับคุณภรพ”
“ขอบใจ ทีนี้เราจะได้รู้กันว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่”
ภรพใช้สแตมป์ฉาบหมึก แอบประทับตราทำสัญลักษณ์ใส่ตรงมุมหนึ่ง ที่ไม่มีใครสังเกตได้ง่ายๆ บนลังกระดาษ
ค่ำแล้ววันวิสาเดินวนไปเวียนมาอย่างคนไม่มีอะไรทำ สุดท้ายก็มาหยุดหน้าเครื่องเล่นจานเสียง หยิบแผ่นเสียงแผ่นนั้นขึ้นมา ค่อยๆ วางลงบนจานเครื่องเล่น
มือเรียวค่อยๆ จรดเข็มลงบนแผ่น จังหวะเดียวกัน ภรพกลับมาพอดี เขาชะงักหยุดมองเธอ
เสียงเพลงเจื้อยแจ้วแว่วหวาน วันวิสายืนเกาะเครื่องเล่น ฟังนิ่งเหมือนภาพความทรงจำดีๆ หลายอย่างกลับมา
ภรพเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
แต่จู่ๆ มือวันวิสาก็ยกเข็มเครื่องเล่นขึ้นทั้งที่เล่นได้กลางเพลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
ภรพทำทีเป็นเพิ่งกลับเข้ามาถึง
วันวิสาขยับผละออกจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง
ภรพเดินตรงไปที่มุ้ง หยิบหมอน ผ้าห่มออกมา
“ค่ำมืดแล้ว มัวทำอะไรอยู่ เข้านอนได้แล้ว”
ภรพหอบหมอน ผ้าห่มออกมานอนที่เฉลียง
วันวิสามุดเข้ามุ้ง มองภรพอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอนตัวลงนอน
ภรพพยายามข่มตาให้หลับ แต่มันช่างยากเย็นเหลือแสน
เวลาล่วงเข้าสู่ตอนดึก ฟ้าแล่บแปลบปลาบ แล้วตามด้วยฟ้าร้อง และจู่ๆ ฝนก็เทลงมาที่ชายคา ภรพลุกพรวดสะดุ้งตื่น
วันวิสาตื่นขึ้นเหมือนกัน เพราะเสียงฝนและฟ้าร้อง
ลมสาดฝนเข้ามาตรงเฉลียง ภรพหอบหมอน ผ้าห่มกลับเข้ามาใต้ชายคา ด้วยความเซ็ง วันวิสาลุกขึ้นนั่งมอง
ภรพหามุมนอนใหม่ให้ตัวเอง
“ทำไมนายไม่เข้ามานอนในนี้ล่ะ”
ภรพจะอิดออดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวจะหาโอกาสอย่างนี้ไม่ได้อีก เขาหอบหมอนเดินกลับมามุดมุ้ง
“เป็นความผิดของนายเองที่ไม่สำรองมุ้งไว้อีกหลัง”
วันวิสาเอนลงนอนหันหลังให้ภรพ
เช่นเดียวกับที่ภรพลงนอนหันหลังให้วันวิสา
ฝนเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว น้ำไหลลงชายคาดังซู่ซ่า ทั้งคู่พลิกตัวมาเผชิญหน้ากัน พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ต่างฝ่ายต่างลืมตาขึ้นพร้อมกัน
วันวิสาหนีสายตาเขาโดยการพลิกตัวหันหลังให้ สองคนคุยกันโดยหันหน้าไปคนละทาง
“นอนไม่หลับ สงสัยคิดถึงคนรักที่กรุงเทพฯ”
“ก็ทำนองนั้นแหละ นายก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“บรรยากาศยังงี้ใครบ้างไม่คิดถึงคนรักของตัวเอง จะแต่งเมื่อไหร่ล่ะ เธอน่ะ”
“เร็วที่สุด พร้อมเมื่อไหร่ก็แต่งเมื่อนั้น...แล้วนายล่ะ”
“ก็เหมือนกันแหละ แต่คงจะเร็วกว่าเธอ อาจจะเป็นอาทิตย์หน้านี่เลยก็ได้”
“โชคดี”
“เช่นกัน”
วันวิสาขัดใจในน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาของเขานัก
จู่ๆ สายฟ้าฟาดเปลี้ยงลงอย่างแรง เสียงฟ้าผ่าดังราวกับสายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ นี่เอง วันวิสาตกใจสุดขีดกรีดร้องผวาพรวดเข้าซุกกอดภรพทันที
ทุกอย่างหยุดนิ่ง เนิ่นนาน
“กลัวมากก็กอดให้แน่นๆ” ภรพบอก
วันวิสารู้ตัว เสียฟอร์ม ผละตัวถอยออกทันที
“อยู่ใกล้ๆ ฉัน มีอะไรต้องกลัวอีก”
วันวิสาไม่ยอมหันกลับมา
ภรพขยับเข้ากอด แนบชิดกับแผ่นหลังสาวเจ้า ลมหายใจรดต้นคอกัน
วันวิสาต่อสู้กับอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก
“นายอย่าทำอย่างนี้นะ”
“ตอนเธอไม่สบายฉันก็กอดเธอไว้อย่างนี้ หายดีแล้วจะขอบใจกันซักคำก็ไม่มี”
วันวิสาหันขวับ แต่ไม่ทันที่จะเอ่ยวจีใดๆ เนื่องเพราะ สายฝนที่เทลงมาอย่างหนักอีกห่าใหญ่ๆ
วันวิสาพร่ำบอกตัวเองในใจซ้ำไปวนมา
“ฉันเกลียดนาย...ฉันเกลียดนาย”
เวลาผ่านไปจนน้ำฝนเริ่มขาดเม็ดแล้ว แต่ที่ยังค้างตามใบไม้ ชายคาร่วงหยดเบาๆ ลงกระแทกบางสิ่ง
ภรพมุดออกมาจากมุ้ง ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เขาไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ภรพเคลื่อนตัวออกไป
วันวิสาที่นอนตะแคงหันหลังให้ น้ำตาไหลด้วยตามรู้สึกหลายอย่างประดังประเด รำพันเบาๆ
“ฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดนาย”
ไม่นานต่อมา เด็กจู๋ที่หัวฟู และอยู่ในอาการงัวเงีย กางมุ้งอีกหลังให้ภรพ ปากบ่นงึมงำ
“จู๋บอกนายหัวแล้ว ว่าเอามุ้งหลังนี้ไปสำรองไว้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง ฉุกเฉินยังงี้ลำบากจู๋ทุกที”
“เลิกบ่นได้แล้วโว้ย นอนๆๆ”
ภรพมุดมุ้งเข้าไป
“นายหัวไปทำอีท่าไหน คุณผู้หญิงถึงไล่ส่งมายังงี้”
“อั๊วมาของอั๊วเองโว้ย ไม่ได้มีใครไล่”
“นายหัวนะนายหัว เสียเชิงชายหมด ทำไมต้องให้จู๋คอยสอนด้วยก็ไม่รู้ ผู้หญิงน่ะเอาอกเอาใจซะหน่อยก็เลิกงอนแล้ว ทำผิดอะไรไปก็ขอโทษซะขี้คร้านจะอ่อนเป็นขี้ผึ้งไฟลน นายหัวรู้จักไหมขี้ผึ้งไฟลนน่ะ” เด็กจู๋พรรณนาอวดโวหารน้ำเน่าที่จดจำมาอีกที
ภรพรำคาญ “หุบปากไปเลยไอ้จู๋ อั๊วจะนอนโว้ย”
จู๋มุดกลับไปในมุ้งตัวเอง
ภรพทอดถอนใจ สีหน้าใคร่ครวญหนักอยู่เหมือนกัน หรือเขาควรจะขอโทษเธอ?
เช้าตรู่วันนี้ คนงานขนลังบรรจุรังนกลงเรือ ภรพเดินตัดชายหาดมาถึงเรือ
“เรียบร้อยไหมภาษิต”
“เสร็จพอดีครับคุณภรพ”
“ออกเรือได้เลย บอกคนงานไปหาข้าวกินเอาที่ฝั่ง”
ภรพขึ้นเรือไป
ฝ่ายวันวิสาเดินมาถึงกระท่อมจู๋
“มีอะไรให้ฉันช่วยทำบ้างนายจู๋”
“จู๋ทำเสร็จหมดแล้วละครับ คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงจะกินที่นี่หรือจะให้จู๋ยกไปให้ที่โน่นดีล่ะครับ”
“ฉันยังไม่หิวหรอก...ยิ้มอะไร นายจู๋...ยิ้มอยู่ได้”
“คุณผู้หญิง มาง้อนายหัวเหรอครับ” เด็กชายยิ้มกริ่ม
“ง้ออะไร”
“เมื่อคืนนายหัวมากางมุ้งนอนที่นี่ พลิกไปพลิกมา เอาแต่ถอนใจ จู๋ว่านายหัวคงไม่ได้หลับทั้งคืนละครับ”
“มาบอกฉันทำไม”
“นายหัวน่ะปากไม่ค่อยตรงกับใจ คุณผู้หญิงอย่าไปโกรธเลยครับ”
“เขากับฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน นายจู๋เข้าใจอะไรผิดแล้วละ”
วันวิสามองรอบตัว
“คุณผู้หญิงไม่ต้องมองหานายหัวหรอกครับ นายหัวไม่อยู่แล้วครับ”
“เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับฉัน”
“นายหัวข้ามฝั่งไปเมื่อกี้เองครับ เห็นว่าอาจจะไปกรุงเทพฯ หลายวัน”
“อะไรนะ”
“นายหัวว่ามีงานสำคัญต้องทำครับ”
วันวิสาวิ่งออกไปทันที
วันวิสาวิ่งออกมาที่ชายหาด เห็นเรือแล่นห่างออกไปไกลลิบๆ วันวิสาทั้งโกรธทั้งเสียใจ
ตะโกนก้องตามไป “คนเลว นายมันคนเลว”
ไม่มีทางที่ใครคนนั้นที่อยู่บนเรือลิบๆ จะได้ยิน
เรือจอดเทียบท่าเรือเมืองตรังแล้ว คนงานทยอยขนลังขึ้นจากเรือ ไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ไม่ไกล ภรพยืนคุมคนงานอยู่มุมหนึ่ง ภาษิตเดินเข้ามาหา
“คุณภรพครับ วันนี้รังนกเถ้าแก่บันลือ ก็ส่งเข้ากรุงเทพฯ เหมือนกันครับ”
“เป็นความบังเอิญที่พอเหมาะพอเจาะกันจริงๆ”
ที่ห้องโถงบ้านจิตวรบรรจง ตอนสาย บดินกำลังรินน้ำชาเติมให้เฮ้งที่แวะมาหา
“ขอบใจๆ ลูกชายลื้อนี่โหงวเฮ้งดีมีแววเป็นผู้นำคนหมู่มากนะอาบันลือ” เฮ้งยิ้มแย้ม
“อีกหน่อยอีก็ต้องบริหารงานทุกอย่างต่อจากอั๊วน่ะแหละอาเฮ้ง วิชาความรู้มีเท่าไรก็ต้องถ่ายทอดให้อีหมด”
วรินยกขนมเปี๊ยะ ของหวานกินกับน้ำชาออกมาต้อนรับแขก
“นับวันยิ่งทำมาค้าขายยากคนชั่วๆ มันเข้ามาเบียดบังที่คนดีๆ อย่างพวกเราจนแทบจะไม่มีที่ยืนกันอยู่แล้ว”
“ลื้อไปดูข้าวด้วย วันนี้อาเฮ้งอีจะกินข้าวกลางวันกับเรา” บันลือหันไปสั่งวริน
วรินขยับออก
เฮ้งเอ่ยขึ้นอีกว่า “อั๊วได้ยินมาว่า งวดนี้รังนกของจิตวรบรรจงคุณภาพดีเยี่ยม”
“อั๊วกับป๊าก็ยังไม่ได้เห็นของเหมือนกันเจ็ก ของน่าจะมาถึงพรุ่งนี้”
“ลื้อได้ข่าวมาจากไหนล่ะอาเฮ้ง” บดินแปลกใจ
“โชคลาภยังงี้เขาลื้อกันทั่วภาคใต้แล้วอาบันลือ แต่เฮงๆ ยังงี้ ลื้อต้องระวังตัวให้มากๆ นา”
บดินฉงน “เจ็กไปได้ยินอะไรมา”
“อั๊วพูดไปก็เหมือนให้ร้ายคน” เฮ้งทำเป็นไม่อยากพูด
นั่นยิ่งทำให้บันลือสนใจ “พูดมาเหอะอาเฮ้ง เราคนเห็นใจกันมานาน”
“อั๊วได้ยินมาว่า อาเซี้ยมันกำลังคิดทำอะไรบางอย่าง มันว่าในเมื่อมันเจ๊งแล้ว คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะเจริญเลย ยังไงก็ต้องเจ๊งไปกับมัน”
บันลือคิดแค้น คำรามออกมา “ไอ้เซี้ย”
สามคนไม่รู้ว่าวรินหยุดยืนแอบฟังอยู่หลังประตูห้องนั่นเอง
คืนนั้น รถหกล้อบรรทุกลังรังนกของภรพ แล่นมาตามถนนที่มืดสนิท
ทิ้งระยะห่างพอควร จึงเห็นรถยนต์อีกคัน แล่นตามมา ในรถยนต์คันดังกล่าว ภรพนั่งมากับภาษิต
“นี่มันที่ไหนแล้วภาษิต”
“กำลังจะเข้าเขตชุมพรแล้วครับ คุณภรพแน่ใจเหรอครับว่ามันจะลงมือ”
“ไม่มีใครตอบได้หรอก ศัตรูอยู่ในที่มืด ถ้าโชคยังพอเข้าข้างเราบ้าง คืนนี้คงทำให้มันโผล่หัวออกมาที่สว่างซะที”
ถัดมาไม่นานนัก รถบรรทุกข้างหน้าตีออกขวาเพื่อแซงรถบรรทุกอีกคันซึ่งแล่นช้ามาก
“ไอ้คันข้างหน้ามันทำไมแล่นช้านัก” ภรพแปลกใจเอาการ
รถภรพแล่นเข้าใกล้และแซงขึ้นได้อย่างง่ายดาย
จังหวะแซงขึ้นไปภาษิตจึงเห็น “รถเสี่ยบันลือครับ ผมจำได้”
ภรพเหลียวมองตามจนแซงมาไกล
จู่ๆ มีรถหกล้อคันหนึ่งโผล่พรวดออกจากข้างทาง ตัดหน้ารถบรรทุกของภรพจนต้องหักหลบละเบรก
ภรพเห็นรถบรรทุกต้องจอด
“เกิดอุบัติเหตุแน่ๆ เลยครับ”
“เลยไปเลยภาษิต อย่าจอด อย่าทำเป็นรู้จัก”
รถภรพแซงรถบรรทุกคู่กรณีขึ้นไป ภรพมองตามจนเหลียวหลัง
ทิ้งระยะปลอดคนแล้ว ชาย 2 คนจากรถบรรทุกคันนั้นชักอาวุธปืนออกจี้คนขับรถบรรทุกของภรพ
ตรงจุดพักรถ ซึ่งเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ข้างทางหลวง ภรพ และภาษิตปักหลักคอยอยู่ที่นั่น เพราะยังไงรถบรรทุกทุกคันก็ต้องแวะจอดที่นี่
“นี่มันนานเกินไปแล้วนะครับคุณภรพ รถน่าจะมาถึงแล้ว”
“รถของเราฉันไม่ห่วงหรอกภาษิต คนขับมันเอาตัวรอดได้แต่ฉันว่ารถเสี่ยบันลือน่าสงสัยมากกว่า ต่อให้ขับช้ายังไงมันก็ต้องมาถึงแล้ว”
ภาษิตกังวลไม่หาย “เอาไงดีครับ”
“ย้อนกลับไปดู”
ภรพ และภาษิต พากันกลับขึ้นรถ
ตรงจุดใกล้ที่เกิดเหตุ เห็นคนขับรถบรรทุกวิ่งถลันออกมาจากข้างถนน เหมือนต้องการความช่วยเหลือ
ภาษิตจอดรถทันที
“มันจี้ผม แล้วเอารถไปทั้งคันเลยครับ” คนขับรถบอก
“ช่างมัน ปล่อยมันไป ลื้อปลอดภัยใช่ไหม” ภรพถาม
“ครับ แต่ผมเห็นพวกมันจี้รถอีกคัน แล้วขับเข้าไปทางโน้นครับ”
ภรพมองไปตามถนนเล็กๆ ที่แยกจากทางหลวง
“น่าจะเป็นรถเถ้าแก่บันลือนะครับ”
ภรพใช้ความคิดนิ่งๆ
อ่านต่อหน้า 4
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ในป่าละเมาะ ห่างจากจุดเกิดเหตุปล้นรถพอควร แลเห็นคนงาน 3 คน กับโจรอีก 2 คน กำลังช่วยกันถ่ายเทลังใส่รังนกลงจากรถบันลือ และเตรียมลังอีกชุดใส่ขึ้นไปแทน
“เฮ้ย เร่งมือกันหน่อยโว้ย ผิดเวลามามากแล้ว” ชายที่เป็นหัวหน้าร้องสั่ง
คนงานเตรียมขนลังอีกชุดขึ้นใส่แทน
ขณะเดียวกัน ตรงบริเวณหลังพุ่มไม้มุมหนึ่งใกล้ๆ นั้นเอง ภรพ กับภาษิต ขยับเข้ามาซุ่มสังเกตการณ์
“เป็นอย่างที่คุณภรพคิดจริงๆ”
“มันกำลังทำอย่างที่เคยทำกับเรา”
สองคนมองไปอีกครั้ง เห็นคนขับรถ รถบรรทุกของบันลือ นอนคว่ำกลายเป็นศพไปแล้ว
“เอาไงดีครับคุณภรพ พวกมันมีกันไม่ใช่น้อยเลยนะครับ”
“ดูดีๆ ภาษิต ไอ้ที่เราควรฉะกับมันมีอย่างเก่งก็แค่สี่”
ภรพกระซิบนัดหมายแผนกับภาษิต
ไม่นานหลังจากนั้น โจร 1 เดินห่างออกมาจากกลุ่มเพื่อเยี่ยว ภรพรอจังหวะ ฟาดด้วยไม้จนโจรร่วงสลบคาเยี่ยว
ภรพเก็บปืนมาเป็นทุน แล้วถอดเสื้อแจ็คเก็ตโจรมาสวม
ภรพกลับเข้ามาปะปนในกลุ่มโจรหลังรถบรรทุกที่กำลังมีการขนลัง อาศัยความมืดสลัวปกปิดใบหน้า
อีกมุม ภาษิตเข้าล็อกคอโจร 2 ที่กำลังจะยกน้ำขึ้นดื่ม โจรสองไม่พลาดท่าขัดขืนและตอบโต้ โจร 3 กับ โจร 4 ไหวตัว จะเข้าช่วยเพื่อน
ภรพเข้าตะลุมบอน 2 โจร โชว์คิวบู๊อันแสนพลิ้วและบรรเจิดให้ดูเป็นขวัญตา โจรทั้ง2 พยายามจะใช้อาวุธ แต่ภรพก็จัดการได้ ราบคาบ
เสียงปืนดังขึ้น พวกคนงานโกยหนีกันไปคนละทิศละทาง
ภรพจัดการกับสองโจร จนหนีตายกันหัวซุกหัวซุน
ถัดจากนั้น ลังบรรทุกรังนกของบันลือถูกเปิดออก ภรพตรวจดูภายในรัง พบว่าเต็มไปด้วยรังนกมีคุณภาพ
“คุณภรพครับดูนี่สิครับ”
ภรพขยับไปหาภาษิตที่เปิดลังอีกกอง ที่เตรียมขนใส่รถแทนรังนกคุณภาพดี ภาษิตหยิบรังนกออกมาจากลัง ส่งให้ภรพดู
“เกรดต่ำ แถมยังสีแดงผิดปกติด้วย มันคงตั้งใจทำอย่างที่เคยทำกับเรา”
“หมายความว่า เถ้าแก่บันลือก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกับเราน่ะสิครับ”
ระหว่างนี้ โจร 1 ที่ถูกไม้ฟาดสลบ ขยับตัวฟื้นขึ้น ภรพหันไปเห็น โจร 1 ลุกขึ้นจะโกยหนี ภาษิตกระโจนเข้ารวบตัวมันได้เค้นคอถาม
“ใครส่งพวกลื้อมา พูดมาเดี๋ยวนี้ ใครเป็นนายพวกลื้อ ไม่งั้นได้เข้าไปนอนในตะรางแน่ พูดมา”
เสียงปืนอีกชุดดังขึ้น มันเป็นการกราดยิง
ภรพ และ ภาษิต กระโดดหลบกันได้ทัน แต่โจร 1 ร่วงผล็อย ตายตกไปตามกรรม
ภาษิตกระชับปืน ยิงสวนออกไป แต่ดูเหมือนชายชุดดำจะล่องหนไปเสียแล้ว ภาษิต ทำท่าจะไล่ตาม
ภรพห้ามไว้ “ไม่ต้องตามมัน ภาษิต”
ภรพกลับเข้ามาเขี่ยศพโจร 1 ด้วยความเสียดายโอกาส
“กำลังจะได้รู้อยู่แล้วเชียว ไอ้บ้าเอ๊ย”
ภรพต้องลำดับความคิดอย่างหนัก
รุ่งเช้า วรินรีบรุดลงบันไดมาในห้องโถง เพราะเสียงโทรศัพท์ดังลั่นบ้าน
“สวัสดีค่ะ บ้านจิตวรบรรจงค่ะ” วรินรอสาย นิ่งฟัง แล้ววางสายลง
บันลือ กับ บดิน ตามลงมาสมทบ
“ใครมันโทร.มาแต่เช้า”
“สายทางไกล เขาบอกให้รอ” วรินบอก
“จะเป็นอาวันรึเปล่าป๊า”
ทุกคนรอสายเข้าอีกที อย่างใจจดใจจ่อ จนโทรศัพท์ดังขึ้น บันลือรีบรับสายเอง
“อาวัน นั่นลื้อรึเปล่า” เถ้าแก่ฟังอยู่นาน “ที่ไหน ลื้อเป็นใคร”
บันลือต้องวางสายลง เพราะปลายสายวางไปแล้ว
วรินรีบถาม “ไม่ใช่อาวันเหรอ”
“มีอะไรป๊า”
“อีเป็นใครไม่รู้ โทร.มาบอกว่ารถของเราถูกปล้น ให้รีบลงไปชุมพร”
อีกฟาก ภาษิตกำลังจ่ายเงินค่าโทรศัพท์ทางไกลตรงเคาน์เตอร์ แล้วเดินออกมาหาภรพที่นั่งคอยมุมหนึ่งในล็อบบี้ ของโรงแรมเล็กๆ ในชุมพร
“เรียบร้อยครับคุณภรพ ผมว่าถ้าเถ้าแก่บันลือไม่ลงมาเอง ก็คงส่งลูกน้องชายมา”
ภรพคิดไม่ตกสักที “นายคิดว่าโจรมันตั้งใจจะสับเปลี่ยนรังนกทำไมภาษิต ปล้นทั้งทีทำไมมันต้องลงทุนขนาดนี้”
ภาษิตเสริมว่า “รังนกถึงปลายทาง ยังไงไม่มีการเปิดลังออกตรวจคุณภาพ”
“มันต้องการทำลายชื่อเสียงกันชัดๆ เหมือนกับที่มันทำกับเรา แล้วยังไงเสี่ยบันลือก็ต้องสงสัยเราว่าเป็นคนเอาคืน”
“นี่มันยุให้เราเป็นศัตรูกับเถ้าแก่บันลือเลยนะครับ”
“ถ้าเรารู้ว่ารังนกของเราที่มันปล้นไป ไปอยู่ในมือใครเราคงได้คำตอบทั้งหมด”
วันวิสาวิ่งมาสุดแรงตีน เพราะเรือติดเครื่องเตรียมออกไปฝั่งอยู่เดี๋ยวนี้
“เดี๋ยวก่อน รอด้วย ขอฉันไปด้วยคน”
จู๋วิ่งไล่กวดออกมา
“ไปไม่ได้ครับ” คนเรือบอก
“ทำไมจะไปไม่ได้”
“ไม่ได้ครับ”
“ฉันจะไปฝั่ง ฉันมีธุระสำคัญต้องทำ”
เรือออกจากฝั่งไปเลย วันวิสาไม่ย่นย่อ ลุยน้ำจะขึ้นเรือให้ได้
“คุณผู้หญิงครับ อย่าไปเลยครับ” จู๋ลุยน้ำตามมา
เรือแล่นหนีออกไปไม่แยแสวันวิสา
“ใจดำ”
วันวิสาโกรธมากลุยน้ำกลับขึ้นมาหาด
“คุณผู้หญิงอย่ายังงี้เลยครับจู๋ขอร้อง”
“ทำไมฉันจะข้ามไปฝั่งโน้นไม่ได้ นายจู๋”
“คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้าครับ นายหัวสั่งเอาไว้”
“ใจดำ ใจดำมากทั้งนายทั้งลูกน้อง”
วันวิสาเดินหุนหันกลับออกมาด้วยความโกรธ
จู๋มองตามคุณผู้หญิงคนสวยของมันอย่างงงๆ
เมื่อมงคล และ โชคทวี เข้ามาในห้องทำงานเถ้าแก่ โชคทวีเอ่ยขึ้นทันที
“เจ็กครับ ผมรอจนบ่ายของก็มาไม่ถึงโกดังซะทีครับ เจ็กจะให้ทำยังไงดีครับ”
“ทำไมมันไม่มาตามนัด แล้วยังงี้จะส่งลงเรือทันเที่ยวนี้ได้ยังไง”
“ผมโทร.ไปที่ตรังก็ติดต่อใครไม่ได้เลยครับ” โชคทวีว่า
“ให้ผมตามลงไปดูไหมครับนาย” มงคลกังวลมาก
“ไม่ต้อง ลื้ออยู่ที่นี่”
“ผมว่ามันชักไม่ชอบมาพากลนะครับเจ็ก เถ้าแก่บันลือจะมาไม้ไหนกับเรารึเปล่าก็ไม่รู้”
ไพศาลเอาแต่นิ่ง
ที่โกดังพักสินค้าในตรัง คนงานมัดเชือกรัดผ้าใบคลุมสินค้าอย่างแน่นหนา คนขับรถรับคำสั่งสุดท้ายจากภรพก่อนออกเดินทาง
“ลื้อสองคนสลับกันขับ เหนื่อยก็พัก แต่อั๊วขอสั่งห้ามจอดรถแวะพักกลางทางที่ไหนเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ครับนายหัว”
คนขับรถทั้งสองขึ้นรถ ภรพและภาษิตมองตามรถที่ออกตัวไป
“หวังว่าแผนนี้จะสำเร็จนะครับคุณภรพ”
“ต้องสำเร็จ ไม่มีใครรู้หรอกว่าของจริงอยู่ในรถเที่ยวนี้ นอกจากฉันกับนายแม้แต่ป๊ายังไม่รู้เลย”
“ป่านนี้ของที่มันปล้นเราไปเมื่อคืนคงถึงมือไอ้โจรตัวจริงแล้วครับ”
“อีกไม่นานหรอกภาษิต เราจะได้รู้ว่ามันเป็นใคร”
คืนนั้น ขณะที่วันวิสาที่หลับๆ ตื่นๆ อยู่ สุดท้ายเธอลืมตาขึ้น แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง เห็นภรพนั่งอยู่ข้างมุ้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สองคนปะทะคารมกันรอบมิดไนท์
“ฉันเองไม่ใช่ผีที่ไหน”
“ถ้าเป็นผีนายจริงๆ ฉันจะดีใจมาก”
“อยากเห็นฉันตาย”
“ทุกลมหายใจเข้าออกเชียวละ”
“ถึงเวลานั้นก็อย่าเสียน้ำตาละกัน”
“นายมันเลวกว่าที่ฉันคิด”
“ขอบใจที่ชม”
“เมื่อไหร่นายจะปล่อยฉันกลับไปซะที”
“ได้กลับไปแน่ ให้งานฉันสำเร็จอย่างที่ต้องการซะก่อน”
“นายไม่มีวันทำร้ายครอบครัวฉันได้หรอก”
“อย่ามั่นใจอะไรเกินไปนัก เพราะป่านนี้ป๊าเธอคงกระอักเลือดแล้ว”
“นายทำอะไรป๊าฉัน บอกมาเดี๋ยวนี้นายทำอะไรป๊าฉัน”
ภรพเพียงยิ้ม ไม่ยอมตอบ
“คนเลว นายมันคนเลว”
วันวิสาปราดเข้าตบตีภรพพัลวัน
“อยากโดนดีเหมือนคืนก่อนอีกรึไง”
วันวิสาร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ จำต้องถอยออกไป
“เรื่องระหว่างบ้านเธอกับบ้านฉันไม่มีทางจบลงง่ายๆ แน่ พอ ๆ กับเรื่องระหว่างเราสองคนน่ะแหละ”
วันวิสาออกไปนั่งร้องไห้ไกลๆ
ภรพมองนิ่งสีหน้าเฉยเมย เพราะเขาตัดสินใจได้แล้ว
ท้องทะเลเช้าวันนี้แสนเหงาจับใจ เรือจอดสงบนิ่งอยู่ในที่ของมัน วันวิสานั่งกอดเข่าคอตกอยู่มุมหนึ่งอย่างคนสิ้นหวังบนชายหาดนั้น สักครู่ภาษิตตรงเข้ามาหา
“คุณจะเข้าฝั่งกับผมไหม”
วันวิสาเงยหน้าขึ้นมามองผู้พูดอย่างงงงัน
“นายว่าอะไรนะ”
“ผมมีธุระในเมือง ถ้าคุณอยากจะติดเรือออกไปก็ได้”
วันวิสาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ช่างเหอะ โอกาสทองเป็นของเธอแล้ว
ถัดมาไม่นาน แลเห็นระลอกน้ำท้ายเรือกระฉอกกระเซ็นเป็นสาย ขณะเรือแล่นออกไป วันวิสานั่งอยู่ในเรือ เธอไม่ยอมหันกลับไปมองที่ที่จากมาอีกเลย
มองจากจากบนเกาะ เห็นเรือลำนั้นแล่นไกลออกไปเกือบสุดสายตา มันพาหัวใจใครคนหนึ่งหลุดลอยไปด้วย
ภรพยืนมองภาพวันวิสาจากไปด้วยความรู้สึกหลายอารมณ์แต่ต้องตัดใจ
ยังไงเสียวันนี้เขาต้องปล่อยเธอไป ด้วยเขาสร้างความเกลียดชังให้เธอมากเกินพอแล้ว
ภรพกลับเข้ามาในกระท่อม ซากการใช้ชีวิตของวันวิสายังเหลือค้างให้เห็นเป็นที่ชวนระลึกถึงหลายอย่าง ชุดราตรีที่เธอใส่ติดตัวตอนขามา ถูกพับเก็บไว้มุมหนึ่ง
ภรพสะเทือนซางเหลือแสนจนต้องเบือนหน้าหนีจากภาพเหล่านั้น
เด็กจู๋ยิ้มแป้นแล้น ยกสำรับอาหารกลางวันเข้ามา
“นายหัว กินข้าวครับ วันนี้คุณผู้หญิงตำส้มปลาเองเลยนะครับ หรอยจังฮู้ เอ...สงสัยจะเอาผ้าไปซักที่ลำธารจู๋ไปตามคุณผู้หญิงนะครับ บอกว่านายหัวรอกินข้าว”
“ไม่ต้อง ไอ้จู๋”
“แล้วใครจะแกะเนื้อปลาให้นายหัวล่ะครับ”
“อั๊วบอกว่าไม่ต้อง ลื้อจะไปไหนก็ไป”
“นายหัวอารมณ์ไม่ดี น่าจะเปิดเพลงฟัง”
จู๋ขยับไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียง
“ไอ้นี่ เซ้าซี้จริงโว้ย” ภรพเงื้อง่า
จู๋โกยแน่บ สีหน้าของภรพคืนสภาพเครียดขรึม
เรือจากเกาะรังนกเข้าเทียบท่าเรืองเมืองตรังแล้ว วันวิสารีบขึ้นจากเรือ
“ขอบใจนายมาก ฉันจะไม่ลืมน้ำใจของนายเลย อย่างน้อยนายก็ทำให้ฉันพอมีความหวังได้ว่าโลกนี้ยังพอมีคนที่มีสามัญสำนึกไม่ได้ก้มหน้ารับใช้คนเลวๆ อย่างนายภรพจนแยกผิดชอบชั่วดีไม่ออก”
วันวิสาจะผละไป ภาษิตเรียกไว้
“คุณครับ”
วันวิสาหันกลับมา ภาษิตยื่นซองใส่เงินให้ วันวิสางง
“ค่าใช้จ่าย คุณต้องใช้ระหว่างกลับกรุงเทพฯ คุณภรพฝากมาให้คุณครับ”
วันวิสารับซองนั้นมาด้วยความงงงัน
ภาษิตกลับลงเรือ
วันวิสาอื้ออึง นี่มันอะไรกัน?
เวลาผ่านไป เห็นเรือแล่นกลับออกไปไกล มุ่งหน้าสู่เกาะรังนก
วันวิสาเดินออกมาตามทางของท่าเรือ ชาตินี้คงไม่ได้พบกันอีก แววตาของเธอพร่าพรายเต็มไปด้วยทำนบน้ำตา ที่ค่อยๆ ทำหน้าของมัน ร่วงพรูเต็มใบหน้าสวยนั้น
ฝ่ายภรพยืนใจลอยดูคนงานทำงานกันอยู่ริมหาด อย่างคนสติไม่อยู่กับตัว สักครู่ภาษิตกลับเข้ามา
“ผมส่งเธอขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบใจมาก เรื่องหาทางกลับกรุงเทพฯ คงไม่ใช่เรื่องยาก”
“จากกันอย่างปล่อยให้เธอเข้าใจอะไรผิดๆ ไม่ใช่เรื่องดีนะครับคุณภรพ”
“ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว เธอเกลียดฉันยังกะอะไรดี ปล่อยเธอไปให้เธอมีโอกาสเลือกชีวิตของเธอเอง ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้แล้ว”
ภาษิตย้อนแย้ง “ถ้าเธอรู้ความจริง…”
ภรพสวนออกมา “ไม่สำคัญหรอก ภาษิต ชีวิตของฉันคืองานเท่านั้น อีกอย่าง ครอบครัวเธอ ครอบครัวฉันเราอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ไม่มีทางประสานรอยร้าวได้หรอก”
ปากพูดไปคล้ายทำใจยอมรับได้ แต่มันจริงแล้วหรือพ่อพยัคฆ์หนุ่ม?
อีกฟาก วรินรีบรุดมาที่ประตูบ้าน เพราะได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก
เมื่อประตูถูกเปิดเข้ามา เผยให้เห็นร่างวันวิสาที่ดูอิดโรยปรากฏตัวที่หลังประตูนั้น
“ป๋า...หนูกลับมาแล้ว” วันวิสาฝืนยิ้ม มันช่างแห้งแล้งเหลือเกิน
วรินไม่อยากเชื่อสายตา ดีใจยิ่งนัก “อาวัน อาวัน นี่ลื้อจริงๆ ใช่ไหม”
วันวิสายิ้มให้มารดาทั้งน้ำตา ก่อนจะร่วงผล็อยหมดเรี่ยวแรง หมดสติกลางอากาศ
“อาวัน อาวัน ใครก็ได้ช่วยที”
ร่างวันวิสากองเป็นซากชีวิตอยู่กับพื้น ตรงประตูหน้าบ้านนั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 7