เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 1
พระพักตร์ขรึมเข้มเปี่ยมพลังเมตตาขององค์กวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ที่สถิตบนแท่นบูชาตรงหน้า คล้ายมองลงมายัง สมาชิกของตระกูล รุ่งเรืองไพศาลศิริ ที่จัดพิธีไหว้เจ้าเนื่องในวันสารทจีนขึ้นที่ห้องโถงไหว้เจ้า ภายในคฤหาสน์หลังโอฬาร
ท่ามกลางควันธูปอบอวลคละคลุ้ง ลอยฟุ้งจากก้านธูปที่แต่ละคนสมาชิกของตระกูล รุ่งเรืองไพศาลศิริ ทยอยปักลงในกระถางธูปใหญ่นั้น ภรพ หรือ เสือ นั่งไหว้เจ้าอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทุกคนในครอบครัว อันมีพ่อกับแม่ เถ้าแก่เซี้ย หรือ เสี่ยไพศาล เจ้าของสัมปทานเกาะรังนกใหญ่ แห่งภาคใต้ กับ สุพรรษา พร้อมด้วย พี่สาว พราวตา และ ภรีม น้องเล็ก
เมื่อไหว้เสร็จ ไพศาล หันมาทางลูกชายคนเดียว บอกปณิธานของตระกูลที่สืบทอดกันมา
“ตระกูลรุ่งเรืองไพศาลศิริของเรา ยึดถือความซื่อสัตย์เหนือสิ่งอื่นใดมาตั้งแต่บรรพชน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ป๊าอยากให้เสือ ระลึกไว้เสมอว่าจะต้องมั่นคงต่อคุณธรรมข้อนี้ด้วยชีวิต เพราะเกิดเป็นคน ต่อให้รวยล้นฟ้าหรือยากจนข้นแค้น ยังไงลื้อก็ยังเชิดหน้ามองคนทั้งโลกนี้ได้อย่างมีศักดิ์ศรี”
“ครับป๊า ผมจะไม่มีวันลืมคำสอนของป๊าครับ” ภรพรับคำ
ในเวลาต่อมา ท่ามกลางที่นั่งคนดู ภรพนั่งดูงิ้วอยู่กับครอบครัว บนเวทีเป็นฉากการแสดงงิ้ว เรื่อง เล่าปี่ แตกทัพ ที่กำลังเข้มข้นด้วยฉากต่อสู้ สักครู่หนึ่ง โชคทวี เพื่อน และ ลูกน้องคนสนิท ฝ่าผู้คนตรงเข้ามาหาภรพ
“ภรพ ข้างนอกได้เวลาทิ้งกระจาดแล้ว”
“นายก็ไปบอกป๊าสิวะ”
“ปล่อยท่านดูงิ้วไปเถอะ ท่าทางกำลังเพลิน นายไปทำหน้าที่แทนท่านได้นี่หว่า”
ภรพ เหลียวมองไปข้างๆ พบว่า พ่อกับแม่และพี่น้อง กำลังดูงิ้วกันอย่างเพลิดเพลิน เขาตัดสินใจลุกออกไปกับโชคทวี ทิ้งภาพการแสดงงิ้วบนเวที ที่กำลังเร้าใจไว้เบื้องหลัง
ชาวบ้านยืนเบียดเสียดกันอยู่แน่นลานทิ้งกระจาด ชูมือสลอน ส่งเสียงอื้ออึงเพื่อรอแย่งของแจก ภรพยืนแจกของที่บรรจุในถุงผ้า ท่ามกลางฝูงคนแออัดนั้น
ในความวุ่นวายไร้ระเบียบ ชาวบ้านดันกันจนล้มระเนระนาดเบียดมาตรงหน้าภรพ จนทำให้เขาซวนเซเสียหลักไปหลายทีเหมือนกัน
จังหวะเดียวกันนี้ กระสุนนัดหนึ่งพลาดเป้าจากภรพพุ่งเข้าเจาะถุงผ้าบรรจุข้าวสาร จนข้าวสารทะลักไหลออกมา แต่ไม่ได้มีใครทันสังเกตเห็น
ประทัดพวงยาวที่ถูกจุดฉลอง กระดาษสีแดงกระจุยกระจาย เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชาวบ้านกลางลานทิ้งกระจาด ล้มระเนระนาดเพราะถูกห่ากระสุน
เสียงประทัดกลบเสียงปืนหมด!
ภรพชะงักเพียงเสี้ยววินาที และด้วยสัญชาติญาณอันฉับพลัน เขากระโจนม้วนตัวหลบห่ากระสุนที่สาดเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน สายตาคมกริบของภรพ แลเห็นชายชุดดำอยู่บนดาดฟ้าตึก เล็งปืนลงมายังจุดที่เขายืนอยู่ พร้อมกันนั้นปลอกกระสุนร่างพรูลงพื้น ด้วยมือสังหารกราดยิงชนิดไม่ยั้งมือ
ชาวบ้านกลางลานทิ้งกระจาดเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต่างพากันแตกกระเจิง หนีตายอลหม่าน บ้างก็เหยียบกันระเนระนาด ที่โดนคมกระสุนบาดเจ็บล้มตายก็มิใช่น้อย
ภรพหลบหนีเอาตัวรอดออกไปได้ กระโจนตีลังกาเข้าหลบหลังกระสอบข้าวที่กลายเป็นเครื่องกำบังชั้นดี
ภายในโถงกลางบ้านยามนี้ พราวตา สุพรรษา และภรีม เกาะกันกลม ยังหน้าซีดตัวสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไพศาลเดินวนนั่งไม่ติดที่ เครียดและกังวลสุดจะประมาณ สองคนสนิท มงคล และ โชคทวี ท่าทางกังวลไม่น้อยไปกว่ากัน
“ลื้อปล่อยให้อาภรพอยู่คนเดียวได้ยังไง” ไพศาล ประมุขของแก๊งเสืออันเลื่องลือ พูดดัง แทบเป็นตะคอก
“ตอนนั้นคนมากจริงๆ ผมพยายามเข้าไปให้ถึงตัวคุณภรพแล้ว แต่เข้าไปไม่ได้เลยครับ” โชคทวีบอก
ไพศาลหันมาทางมงคล “มงคล”
“ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นอย่างนี้ครับ”
อาเจิ้งกระหืดกระหอบเข้ามา
“นายครับ คุณภรพกลับมาแล้วครับ”
ทุกคนตื่นตัว เด้งขึ้นทันที ภรพรีบรุดเข้ามา สุพรรษาโล่งอก
“ภรพ”
“ลื้อหายไปไหนมา รู้ไหมว่าทุกคนเขาเป็นห่วงลื้อขนาดไหน” ผู้เป็นบิดาถาม
“ผมกับทรงกลดไปตามล่าไอ้ตัวมือปืนครับป๊า”
โชคทวีถามสีหน้าตื่นเต้น “ได้ตัวมันไหมครับ”
“มันล่องหนยังกับพวกผีปีศาจ พวกในโรงงิ้วเป็นยังไงบ้าง”
“ชาวบ้านตายกันหลายคน รวมทั้งอาฉางด้วยครับ" มงคลเป็นผู้รายงาน
ภรพชะงัก ตกใจมาก “อาฉางไหน พี่ชายอาหงส์น่ะเหรอ”
“ครับ”
ภรพแค้นยิ่งนัก “ไอ้พวกบัดซบ นี่มันต้องการเก็บใครกันแน่”
ทุกคนเงียบงันหาคำตอบให้กับคำถามนี้ไม่ได้
“อะไรก็ไม่สำคัญเท่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป แต่ไอ้พวกสันดานชั่วพวกนี้มันทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย มันต้องกำจัดให้สิ้นซาก” เถ้าแก่เซี้ยนัยน์ตาเข้ม
พราวตา เดินเข้ามาในห้องทำงานภรพภายในบ้าน ขณะภรพกำลังใช้โทรศัพท์อยู่
“แน่ใจรึเปล่า อั๊วว่าคณินมันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ซักแห่งมากกว่า” ชายหนุ่มนิ่งฟัง “ได้…ได้...มีข่าวคืบหน้ายังไงก็โทร.มาบอกอั๊วด้วย” เขาวางสาย หันมาทางโชคทวี และ มงคล “ทรงกลดบอกว่าคณินหายตัวไป”
“อาจจะกลับไปตั้งหลักที่ปากซอยน้ำโพก็ได้นี่ครับ” มงคลว่า
โชคทวีเสริม “แต่ยังไงก็ต้องติดต่อใครชักคนมาบ้าง”
ภรพจะเดินออก เผชิญหน้าพราวตา ผู้เป็นพี่สาว
“จะออกไปไหนอีกภรพ”
“เพื่อนผมหายไปทั้งคนนะพี่พราว”
“สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจอย่างนี้ อย่าทำให้ป๊ากับม๊ากลุ้มไปมากกว่านี้เลย” พราวตา
“ผมเอาตัวรอดได้”
ภรพออกจากห้องไปทันที โชคทวี และ มงคล ตามติด พราวตาได้แต่มองตามด้วยสีหน้ากังวล
พอไพศาลรู้เรื่อง สั่งห้ามเสียงดังลั่นห้องโถง
“ลื้อ ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้นป๊า”
“ข้างนอกนั่น ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้”
“แต่ป๊าเคยสอนผมเองว่ายามยากเพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน” ผู้เป็นลูกชายโต้เสียงดัง
“แล้วใครจะบอกลื้อได้ว่าจริงๆ แล้วลื้อนั่นแหละคือเป้าหมายที่พวกมันต้องการเก็บรึเปล่า” ไพศาลจ้องหน้าลูกชาย
“ตระกูลเรา ทำมาหากินสุจริตไม่เคยเอาเปรียบคดโกงใคร ผมไม่เชื่อหรอกป๊าว่าเราจะมีศัตรู ที่ต้องการถึงชีวิตผม”
“ลื้อจะพัง ก็เพราะความประมาท ความดื้อของลื้อเอง อย่าคิดว่าเป็นทหารมา แล้วจะทำ อะไรได้ลื้อเป็นลูกชาย คนเดียว ถ้ามีอันเป็นไป รุ่งเรืองไพศาลศิริ จะเหลือใคร ลื้อเคยคิดดูบ้างไหม”
ไพศาลหันมาสั่ง มงคลและโชคทวี ให้จับตาดูว่าใครอยู่เบื้องหลัง
ส่วนภรพกลับมามีสติ สงบลงไปได้มาก
ตกตอนกลางคืน ในบรรยากาศเศร้าหมองของงานศพ อาฉาง ที่จัดขึ้นตามธรรมเนียมจีนแท้ อันดูได้จากการแต่งตัวของผู้คนในงาน
สามหนุ่มคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของงาน โดยมงคลแย้งขึ้นเมื่อรู้ว่าภรพจะเดินทางไปเกาะรังนกตามกำหนดเดิม
“ทำไมคุณภรพไม่เลื่อนการเดินทางล่ะครับ”
“เลื่อนไม่ได้ คนที่เกาะรอฉันอยู่”
“รออีกซักอาทิตย์ให้เรื่องยุ่งๆ ซาลงก่อนไม่ดีกว่าเหรอภรพ มงคลกับฉันจะได้ไปช่วยนายได้” โชคทวีว่า
“ไม่ต้อง ฉันไปคนเดียวได้ นายสองคนอยู่กรุงเทพฯ ดีแล้ว คอยคุ้มครองครอบครัวฉันให้ดี”
“ครับ”
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ครอบครัวนาย ก็เหมือนครอบครัวฉันเหมือนกัน ป๊ากับม๊านายก็เหมือนพ่อแม่แท้ๆ ของฉัน”
“ขอบใจมากโชค”
ภายในร้านอาหารใกล้ท่าเรือ จังหวัดตรัง ตอนกลางวัน เบื้องหลังคือท้องทะเลสีคราม และความพลุกพล่านของผู้คนที่บริเวณท่าเรือ
แว่นกันแดดหรูถูกถอด และวางลงข้างกระเป๋าถือ วงหน้าสวยใต้หมวกปีกกว้างมหึมาของสุภาพสตรีนางนี้ ขยับยิ้มบางๆ ให้ เด็กเสิร์ฟ
“เอาขนมจีนก็แล้วกัน โอเลี้ยงด้วย แก้วนึง” เธอคือ วันวิสา
เด็กเสิร์ฟ 1 ตะโกนดัง เป็นภาษาใต้ “ขนมจีน โอเลี้ยง โต๊ะสาม”
วันวิสาหูแทบแตก “ห้องน้ำอยู่ทางไหนจ๊ะ”
“ทางโน้นเลยครับ”
วันวิสาหยิบแว่นตา คว้ากระเป๋า รุดเดินไปทางห้องน้ำ เด็กเสิร์ฟ แยกไปอีกทาง
ระหว่างนี้ภรพเดินเข้ามาในร้าน ส่ายตามองหาที่นั่ง แล้วเห็นว่างอยู่โต๊ะเดียว นั่งลงที่เดียวกับวันวิสา เด็กเสิร์ฟ 2 เข้ามารับออเดอร์
“สั่งอะไรดีครับ”
“ขนมจีนละกัน โอเลี้ยงด้วยแก้วนึง”
เด็กเสิร์ฟ 2 ตะโกน สั่ง “ขนมจีน โอเลี้ยง โต๊ะสาม”
“รู้แล้วๆ เร่งจริงโว้ย”
พ่อครัวส่งเสียโวยวายออกมาจากในครัวด้วยนึกว่าถูกเร่งออเดอร์เดิม
เวลาผ่านไป ไม่นาน วันวิสาเดินออกมาจากห้องน้ำ ตรงกลับมาที่โต๊ะสามของตัวเองอย่างมั่นใจ แต่แล้วต้องชะงัก เพราะภรพกำลังโซ๊ยขนมจีนของเธออย่างไม่ลืมหูลืมตา
วันวิสาแน่ใจว่านี่เป็นโต๊ะของเธอ และอาหารจานนั้นก็เป็นของเธอ รวมทั้งโอเลี้ยงแก้วนั้นด้วย
“อะไรน่ะ” วันวิสาแหวขึ้น เสียงขุ่น
“ขนมจีน” ภรพบอก ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“อร่อยไหม”
“ร่อยจังฮู้”
วันวิสายิ่งเดือดเพราะภรพซดโอเลี้ยงของเธอจนแทบหมดแก้ว
“ได้แรงอ๊ก” เขาว่า
“ไร้อารยะธรรม แต่งตัวก็ดีหรอก”
“ว่าพรือ?”
“ว่านายน่ะแหละ”
“อ้าว เราเคยรู้จักกันเหรอเจ๊”
“ก็เพราะไม่เคยรู้จักไง แล้วนายถือวิสาสะอะไรมานั่งโต๊ะฉัน กินขนมจีนกับโอเลี้ยงฉัน
ภรพจ้องตอบโต้ เพราะท่าทีไม่เป็นมิตร แถมถูกวันวิสาด่าชุดใหญ่ “เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าเนี่ยเจ๊”
“อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ”
เด็กเสิร์ฟ 2 ยกขนมจีนกับโอเลี้ยง อีกชุดเข้ามาพอดี
“ขนมจีน โอเลี้ยงมาแล้วครับ”
ภรพ ชะงักกึก วันวิสาท้าวสะเอวฉับ
“ของใครน้อง” ภรพถาม
“ของเฮียแหละครับ”
วันวิสาได้ที “นั่นไง เห็นไหม ผิดแล้วก็ยอมรับผิดมาซะดีๆ”
ภรพเลื่อนจานที่กินไปแล้วให้วันวิสา ดึงจานที่เพิ่งมาเสิร์ฟหาตัว
วันวิสางง “ทำอะไรน่ะ”
“อ้าว ก็น้องเขาบอกเองว่าจานนี้ของผม”
“ทุเรศที่สุด ฉันไม่มีวันกินของเหลือเดนนายหรอก”
วันวิสาดึงจานมาจากภรพ รวมทั้งแก้วโอเลี้ยงที่ภรพแกล้งจะคว้าไว้ด้วย
“ไร้ยางอารยะธรรม ทำผิดแล้วยังไม่รู้จักขอโทษ”
ภรพแกล้งดูดโอเลี้ยง จ๊วบจ๊าบ เสียงดังกวนประสาท
“กรุณาไปกินที่อื่นด้วย นี่โต๊ะฉัน”
“เจ๊ยกมาจากบ้านเลยเหรอ”
วันวิสาระงับอารมณ์เต็มที่ มือกำแน่นแต่หูตาพอง โกรธสุดขีด
“ไปก็ได้”
ภรพยกจานขนมจีน แก้วโอเลี้ยง ออกไปนั่งโต๊ะถัดไป แต่ก็เผชิญหน้าวันวิสาอยู่ดี
“ไร้อารยะธรรม....ไร้อารยะธรรม”
วันวิสาลุกเปลี่ยนที่นั่ง หันหลังให้ภรพ
ภรพ ยิ้มสะใจ
ที่ท่าเรือในเวลาถัดมา ทุกอย่างสงบนิ่ง เหมือนไม่มีความเคลื่อนไหว เรือประมง เรือโดยสารจอดนิ่ง ภรพยืนคอยอยู่บนโป๊ะเริ่มกระวนกระวาย เพราะเรือที่นัดไว้ไม่มาตามนัด ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดู
อีกฟาก ในเวลาเดียวกัน ที่สำนักงาน ไพศาลศิริรังนก โชคทวีคุยโทรศัพท์อยู่ในมุมนั้น
“ฉันนัดให้แล้วจริงๆ ไอ้พวกนี้ทำไมมันทำงานสะเพร่านักวะ”
ไพศาลเดินเข้ามาพอดี “มีอะไร”
“คุณภรพโทร.ทางไกลมา บอกว่าเรือไม่มารับตามนัดครับ”
ไพศาลขยับเข้าหาโชคทวี “มา...อั๊วคุยเอง”
โชคทวีส่งโทรศัพท์ให้เถ้าแก่
“เรือไม่มารับ ลื้อก็รอพรุ่งนี้ก่อนก็ได้”
ภรพใช้โทรศัพท์ อยู่ในสำนักงานท่าเรือ
“ไม่ดีกว่าครับป๊า เดี๋ยวผมจะหาทางไปจนได้ อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีปัญหาอะไร”
ขณะที่ภรพเดินกลับออกมาที่ท่าเรือ มีเสียงชาวบ้านดังขึ้น
“หารือรับจ้างเหรอครับคุณ”
ภรพหันกลับมา “ใช่ เรือที่นัดไว้ไม่มี”
“เขาประกาศว่าพายุจะเข้า ไม่มีใคร กล้าออกเรือหรอกครับ คุณจะไปไหน” ชายชาวบ้านถาม
“เกาะรังนกใหญ่”
“ไม่ใช่ใกล้ๆ เลย” ชายคนนั้นพึมพำ
“พี่ชายจะคิดค่าจ้างเท่าไหร่”
“มันเสี่ยงนะครับ มันจะไม่คุ้ม”
“เท่าไหร่ฉันก็จ่าย”
ภรพกระโดดลงเรือแล้ว ชาวบ้านเจ้าของเรือปลดเชือกผูกเรือเตรียมออกจากท่า
“เดี๋ยวก่อน รอด้วยๆ”
ภรพหันกลับมามอง แลเห็นอีเจ๊เสียงแปร๋นคนเดิม วันวิสาวิ่งหน้าตั้งโบกมือหย็อยๆ มาแต่ไกล
“ฉันจะไปเกาะเจ็ดไปส่งฉันหน่อยสิ”
“ไม่ได้ไป” เจ้าของเรือบอก
“ฉันจ้างนะไม่ได้ให้ไปส่งเปล่าๆ”
“ไม่ไป”
“ฉันมีเงินนะ เท่าไหร่ฉันก็จ่ายได้”
“พูดไม่รู้เรื่อง บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ”
“รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
ฟังอยู่นาน ภรพรำคาญเต็มทน “นี่เจ๊ เจ๊ฟังภาษาไทยใต้ๆ ไม่ออกเหรอ..ไม่ไป” เขาออกสำเนียงใต้ แล้วต่อด้วยสำเนียงคนกรุงเทพฯ ว่า “ก็แปลว่า ไม่ไป”
วันวิสาเข่นเขี้ยว “ตาบ้า”
“ไปเหอะพี่ชายไม่ต้องไปสนใจหรอก”
ภรพ มุดเข้าเรือหายไปอีกฝั่ง ชาวบ้านปลดเชือกเรือเสร็จก็ขยับเข้าเรือ
วันวิสายืนละล้าละลัง จะหาเรือรับจ้างลำอื่นก็ท่าทางไม่มีหวัง น้ำท้ายเรือถูกเครื่องยนต์ตีใต้น้ำ บอกให้รู้ว่าเรือจะออกแน่แล้ว
วันวิสาตัดสินใจฉับพลัน โยนกระเป๋าเดินทางใบเล็กลงที่ท้องเรือทันควัน
เรือแล่นอยู่กลางทะเลมาสักระยะ จนมองไม่เห็นฝั่งแล้ว
ภรพนั่งกอดอกหลับตาอยู่มุมหนึ่ง คว้าหมวกที่สวมปิดหน้าอยู่ไม่ทัน เพราะลมแรงจัด ภรพจะขยับไปเก็บหมวก
แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นวันวิสาโพกผ้าคลุมผมกันลม แล้วสวมหมวกปีกกว้างใบเบ้อเริ่มทับ กำลังทาครีมกันแดดอยู่ตรงท้ายเรือ ท่าทางไม่อินังขังขอบ เหมือนมาพักผ่อนตากอากาศกระนั้น
“เฮ้ย มายังไงเนี่ย”
ภรพหันไปตะโกนเรียกคนขับเรือแล้วบุ้ยใบ้ชี้ไปทางท้ายเรือ
คนขับเรือท่าทางโมโหและขัดใจไม่น้อย ดับเครื่องเรือให้ลอยเท้งเต้งกลางทะเล แล้วพุ่งมาที่ท้ายเรือกับ
ลูกน้อง 2 คน
“พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงวะ”
“ไหนๆ ฉันก็ลงมาแล้ว เกาะเจ็ดแค่นี้เอง ทำไมจะไปส่งฉันไม่ได้ ไม่ได้ให้ไปส่งฟรีๆ ซะหน่อย”
ภรพลุกเดินตามมาดูเหตุการณ์
“จับโยนทิ้งน้ำไปเลยสิ้นเรื่องลูกพี่” ลูกน้อง 1 โมโห
“เงินฉันมีเต็มกระเป๋าเนี่ย จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา”
คนขับเรือกับลูกน้องสบตากันอย่างรู้ใจ
“คนใต้ใจกว้างยังกะอะไรดี ฉันรู้”
ภรพเอ่ยขึ้น “ส่งผมแล้วพี่ชายก็ไปส่งเจ๊แกหน่อยเถอะ นึกว่าเอาบุญ”
คนขับเรือกับลูกน้อง กลับไปทำหน้าที่ต่อ
เรือ แล่นตะบึงต่อไปในทะเล ภรพเดินวนรอบวันวิสา มองอย่างแปลกใจ ผู้หญิงอะไรวะ?
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนรึไง”
“คนน่ะเห็นบ่อย แต่คนแปลกๆ อย่างเจ๊น่ะนานๆ เห็นที ไปเกาะเจ็ดไปทำไมเจ๊ ไปหาผัวเหรอ”
วันวิสาฉุนกึก “อีตาบ้า”
“อ้าว คำก็อีตาบ้า สองคำก็อีตาบ้า เกาะเจ็ดน่ะใครๆ ก็รู้ว่ามีแต่ผู้ชายกลัดมันอยู่ทั้งนั้น ไม่มีผู้หญิงที่ไหนขึ้นไปเหยียบหรอก ยกเว้นแต่...”
วันวิสาแหวขึ้นมา “ฉันจะไปทำไมมันก็เรื่องของฉัน”
“ที่ถามไถ่เนี่ย หวังดีนะเจ๊”
“อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ ฉันไม่คุยกับนายแล้ว” จู่ๆ วันวิสารู้สึกพะอืดพะอมเพราะเริ่มเมาคลื่น เอาผ้าปิดปากปิดจมูกเป็นการใหญ่
“รวยมากเหรอ เห็นคุยซะลั่น ว่าเงินเต็มกระเป๋า”
วันวิสาคว้ากระเป๋ามาเหน็บกับตัวอย่างไม่ไว้ใจ
“จะบอกให้นะเจ๊ ไม่ได้ขู่นะ ผมว่าเจ๊ ไปไม่ถึงเกาะเจ็ดหรอก ไม่ทันถึงเกาะหนึ่ง ก็ถูกปล้นถ่วงทิ้งน้ำแล้ว”
วันวิสาสุดทนกับอาการเมาคลื่นอ้วกพุ่งเข้าใส่เต็มแขนภรพเลอะเทอะ ภรพกระโดดหลบไม่ทัน เซ็งสุดๆ
“อื้อฮือ ขนมจีน ทั้งจานเลย นะเนี่ย”
“สมน้ำหน้า”
วันวิสา วิ่งออกไปอ้วกต่อที่กราบเรือ ภรพมองตามสุดจะเซ็ง
เรือแล่นผ่านหมู่เกาะน้อย ใหญ่ ภูมิประเทศแปลกตาไม่คุ้นเอาเลย ภรพมองเกาะที่เรือแล่นผ่านมาที มองทางข้างหน้าทีอย่างแปลกใจ ก่อนจะกลับเข้าไปในเก๋งเรือ ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องเรือ
“พี่ชาย เกาะรังนกใหญ่ต้องไปทางโน้นนี่ ไม่ใช่ทางนี้”
คนเรือกับลูกน้องมองหน้ากันนิ่งๆ
“ทางนี้แหละถูกแล้ว” ลูกพี่ใหญ่บอก
“พี่ชายต้องมุ่งหน้าตะวันตกตั้งแต่ผ่านเกาะตะปูโน้นแล้ว”
คนเรือพยักหน้าให้สัญญาณบางอย่างกับลูกน้อง แล้วจับเครื่องเรือให้ลอยลำนิ่ง
“ทางนี้มันทางลัด”
“ไม่มีหรอกทางลัดนะ”
“มี ทางลัดลงนรกไง”
ขาดคำสมุนอีกคนโผล่เข้ามาด้านหลังภรพพร้อมปืนในมือ
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภรพชะงักตั้งตัวไม่ทันกับเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานซึ่งๆ หน้า คนเรือเผยธาตุแท้ของคนร้าย มันชักปืนออกมาจากลิ้นชัก ในจังหวะที่วันวิสาเมาเซพะอืดพะอมพรวดพราดเข้ามาพอดี
“มียาแก้เมาไหม ฉันไม่ไหวแล้ว”
วันวิสาอ้วกออกมาอีกรอบ พุ่งเข้าหน้าสมุนที่ถือปืน จนสมุนต้องสะบัดหน้าหนีอ้วก ปืนลั่นเข้าใส่เพดานเก๋งเรือนัดแรก
ภรพฉวยโอกาสเตะสมุนอีกคน เซไปปะทะกับคนเรือลูกพี่จนใช้ปืนไมได้
วันวิสาถูกผลักพุ่งเข้ามาหาภรพ จนเธอหน้าคะมำ หวีดร้องออกมา
“อ๊าย เสียงอะไร เครื่องยนต์ระเบิดเหรอ เหมือนเสียงปืนเลย”
“เข้าใจถูกแล้วเจ๊”
วันวิสาหันกลับมาเห็นปืนในมือคนร้ายก็ร้องกรี๊ด “แอร๊ย พวกแกจะปล้นฉันเหรอ”
“ก่อนมันจะปล้น มันคงจับเจ๊ทำเมียก่อนแหละ”
“แอร๊ย...ไอ้บ้า”
วันวิสาบ้าเลือดขึ้นมาทันที คว้าของแข็งได้ฟาดเข้าใส่สมุนที่มีปืนทันที ภรพเข้าลุยอีก 2 คนด้วยมือเปล่า สมุนที่จะเข้ามารุมภรพ ลื่นอ้วกบนพื้น เสียหลัก วันวิสากรีดร้องตลอดเวลา
“อีบ้านี่เสียงมันแสบแก้วหูกูจริงๆ” คนเรือโมโหปนรำคาญ
เกิดคิวบู๊สุดพลิ้วในเก๋งเรือ ภรพโหนตัวกับขื่อเพดานแล้วถีบสมุนคนหนึ่งหลุดออกไปด้านนอก ส่วนวันวิสายังกระหน่ำตีสมุนอีกคน
สุดท้ายภรพสบโอกาสฉุดวันวิสาพาหนีออกไปจากเก๋งเรือ
วันวิสาพุ่งเข้ามาคว้ากระเป๋าตัวเองกอดเอาไว้แน่น
ภรพสู้ด้วยมือเปล่ากับคนร้ายทั้งสาม ที่มีทั้งมีดและปืน เสากระโดงเรือ มีประโยชน์กับภรพมาก ภรพเตะมือคนร้ายจนมีดหลุดมือ มีดไหลมาตามพื้นจนมาหยุดตรงหน้าวันวิสา
วันวิสากรี๊ด หยิบมีดขึ้นมา ทั้งกลัวและรังเกียจ แล้วโยนมีดทิ้งน้ำไป มีปืนผู้ร้ายไหลมาตามพื้นเรือมาหยุดตรงหน้าวันวิสากระบอกหนึ่ง นางคีบปืนอย่างรังเกียจ โยนทิ้งน้ำไปอีก
ผู้ร้ายลูกสมุนกลิ้งมาตามพื้นมาหยุดตรงหน้าวันวิสา นางกรี๊ด แต่ผู้ร้ายล็อคคอจับเป็นตัวประกัน
“อีตัวแสบ วอนแท้ๆ มึง”
สมุนจะผลักวันวิสาลงน้ำ จังหวะที่ภรพถูกเตะเซมาพอดี ร่างวันวิสาถูกภรพชน เธอพยายามควานคว้าอากาศเด้งหน้าเด้งหลังอยู่อึดใจ
ภรพจะคว้าตัววันวิสาแต่หลุดมือ วันวิสาตกน้ำตูม ตะกายน้ำป๋อมแป๋มตากเหลือกลาน ภรพคว้าเชือกได้โยนลงไปให้วันวิสา แล้วหันกลับมาบู๊กับพวกคนร้ายต่อ คนเรือลูกพี่ยิงปืนใส่ภรพ
ภรพตีลังกาหลบวิถีกระสุนทัน กระสุนนั้นพุ่งลงน้ำ น้ำพุ่งแตกกระจาย
ภรพมือเปล่าจัดการผู้ร้ายสลบเหมือดไปทีละคน จนนอนกองทับกันพะเนิน เหนื่อยจนแทบหมดแรง
เสียงวันวิสากรี๊ดๆๆ “แอร๊ย ช่วยด้วย”
ภรพโผเผมาข้างกราบเรือ เกาะเชือกแน่นลอยคอในน้ำ
“ช่วยฉันขึ้นไปที”
“โหนตัวขึ้นมาสิเจ๊”
“อย่ามาเรียกฉันเจ๊นะ” วันวิสาโมโห
“ไม่ให้เรียกเจ๊แล้วจะให้เรียกอะไรวะ”
“อีตาบ้า ช่วยฉันขึ้นไปเดี๋ยวนี้นะ”
“เจ๊ ดูอะไรข้างหลังโน่นสิ”
“อะไร”
“มากันฝูงเบ้อเริ่มเลย”
“อะไร”
“อะไรล่ะที่มันชอบอยู่ในทะเลน่ะ”
วันวิสากรี๊ดเสียงแปร๋น “แอร๊ย...ฉลามเหรอ ฉลามๆ ๆ ๆ”
อะดีนาลีนนางหลั่งทันที วันวิสาปีนเชือกโหนตัวขึ้นมาได้เองอย่างคล่องแคล่ว ภรพยื่นมือดึงตัววันวิสาขึ้นมาบนท้องเรือ
“ไหนฉลาม” วันวิสาชะโงกหา
ภรพย้อนเอาว่า “ไหนฉลาม”
“ก็นายบอกเองว่าฝูงเบ้อเริ่ม”
“แมงกะพรุนต่างหาก เจ๊พูดของเจ๊เองนะว่าฉลามน่ะ” ภรพเดินออกไปเฉยเลย
วันวิสาค้อนควัก
“อีตาบ้า”
ภรพพพยายามสตาร์ตเครื่องเรือ แต่สตาร์ตยังไงก็ไม่สำเร็จ ภรพเริ่มหัวเสีย วันวิสากอดกระเป๋าใส่เงินเอาไว้กับตัวแน่น สภาพยังเปียกซ่ก
“นายอย่าบอกนะว่าเราต้องลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลยังงี้ไปเรื่อยๆ”
“เจ๊ซ่อมเครื่องเป็นไหมล่ะ”
“ถามโง่ๆ”
“งั้นก็หุบปาก แล้วก็วางไอ้กระเป๋านั้นซะที จะได้มาช่วยกัน”
“ฉันไมไว้ใจใครทั้งนั้น รวมทั้งนายด้วย”
ภรพเซ็ง เดินออกมาอีกทาง
ผู้ร้ายทั้งสามถูกมัดรวมกันหมดสภาพ อยู่ที่เสากระโดงเรือ ภรพเดินเข้ามา
“ใครสั่งพวกลื้อมา”
ภรพใช้เท้าดีดมีดขึ้นมาจากพื้น
วันวิสาแหวเข้ามาอีก “นายจะทำอะไรเขา”
“จะให้ผู้ร้ายยอมเปิดปาก เจ๊คิดว่าจะต้องทำยังไงล่ะ”
“ไม่นะ...ตัดไข่ฉันว่ามันโหดร้ายเกินไป”
ภรพอึ้งไปเลยเหมือนกัน คิดได้ไง? “ความคิดเจ๊นี่ไม่เลวเหมือนกัน บอกมา ใครส่งพวกลื้อมา”
วันวิสาหันหลังหนีภาพโหด จังหวะนี้สายตาวันวิสามองไปไกลๆ เห็นเรืออีกลำแล่นตรงมา
“เรือ...เรือ...มีเรือมาทางนี้ มีคนมาช่วยเราแล้ว...นายดูสิ เขาจะเห็นเราไหม”
ภรพยายามมองฝ่าเปลวแดดออกไป
วันวิสาคว้าผ้ามาโบกสุดแขนให้คนบนเรือลำโน้นเห็น
“มัวยืนเฉยอยู่นั้นแหละ ช่วยกันสิ เขาจะได้เห็นเรา”
ทว่าสายตาภรพเห็นเปลวไฟประทุออกมาจากกระบอกปืน และมั่นใจว่ามันเป็นปืนยิงลูกระเบิด ส่วนวันวิสายังโบกผ้าหย็อยๆ
ภรพฉุดวันวิสาพุ่งไปอีกฝั่งของกราบเรือทันที ระเบิดมฤตยูแหวกอากาศมา สามดาวร้ายชะตาขาดตาเหลือกดิ้นทุรนทุราย
ภรพตะโกนก้อง “โดด”
วันวิสางง “โดดทำไม”
“บอกให้โดด”
“ไม่โดด”
ภรพถีบเข้าเต็มตีนใส่ตูดวันวิสาจังๆ นางร้องวี๊ด “แอร๊ยย...”
ร่างวันวิสาลอยละลิ่วตกน้ำตูม ภรพกระโดดน้ำตามติดๆ ในจังหวะที่ระเบิดพุ่งเข้าหาเรือพอดี สามดาวร้ายแหกปากลั่น
วันวิสาทะลึ่งพรวดขึ้นผิวน้ำ ภรพตามขึ้นมาจิกหัวกบาลกดลงให้ดำน้ำ
ระเบิดปะทะเรือ พริบตานั้นเรือระเบิดเป็นจุลกลางทะเล
เรือเจ้าของผลงานลำนั้นแล่นจากไปห่าง ออกไปเรื่อย บนผิวน้ำเต็มไปด้วยซากแตกหักพังจากเรือรวมทั้งแบงค์มากมายลอยเกลื่อนผิวน้ำ
ภรพ วันวิสา เกาะซากไม้จากเรือลอยคอพากันว่ายน้ำไปหาฝั่งของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด
สองคนลอยมาสักระยะ ภรพเดินลุยเดี่ยวขึ้นมาหาฝั่ง สภาพหมดเรี่ยวแรง ขณะที่วันวิสายังหลับหูหลับตากอดซากไม้ไว้แน่น
“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันหมดแรงแล้ว ต้องตายแน่ๆ”
ภรพเดินย้อนกลับมา ลากขาวันวิสามาจนถึงชายหาด นางตาเหลือกโวยวายลั่น
“หุบปากซะทีเจ๊ เจ๊ไม่จมน้ำตายหรอก แต่จะตายเพราะหลอดลมแตก”
“รู้ยังงี้ฉันไม่ลงเรือมาลำเดียวกับนายซะก็ดี นายมันตัวซวยชัดๆ”
“พูดให้มันสวยๆ หน่อยนะเจ๊ ใครตัวซวยกันแน่ เจ๊นะแหละ ถ้าไม่อุตริโดดลงเรือมาอวดรวย ไอ้โจรพวกนั้นมันคงไม่คิดจะปล้นเอาหรอก”
สองคนโทษกันไปมา
“นายนะแหละ ไปหาเรื่องมันก่อน หน้าตาอันธพาลอย่างนายเนี่ย บอกยี่ห้อเลยว่าชอบหาเรื่องชาวบ้านขนาดไหน”
“เจ๊นั้นแหละต้นเหตุ”
“นายต่างหาก”
“ผู้หญิงละก็ยังงี้ทุกที ไม่ยอมรับความจริง”
“ผู้ชาย มันก็ยังงี้แหละ คิดแต่ว่าตัวเองถูกฝ่ายเดียว ดีเอาเข้าตัว ชั่วยกให้คนอื่น”
ภรพจ้องวันวิสาเขม็ง วันวิสาไม่ยี่หระ หรือสะทกสะท้านใดๆ จ้องตอบเอาเรื่อง
ภรพระบายอารมณ์ ร้องจ๊ากใส่หน้าวันวิสา สาแก่ใจแล้วเดินจากไปทันที
“ดี ทางใครทางมัน ชาตินี้อย่าได้เจอะได้เจอผู้ชายอย่างนายอีกเลย”
วันวิสาเดินแยกคนละทิศกับภรพ แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่ารอบตัวเป็นความเวิ้งว้างของชายหาด เปลี่ยว กับความร้างไร้บนแผ่นดินเกาะแห่งนี้
สุดท้ายเธอเปลี่ยนใจ หันหลังกลับ ภรพเดินเลียบชายคลื่นไปไกลแล้ว
“นี่ นาย รอด้วย รอฉันด้วย นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวยังงี้ไม่ได้นะ นายทำให้ชีวิตฉันมีปัญหา นายต้องรับผิดชอบ”
ในชายหาดอันเวิ้งว้างกว้างสุดลูกหูลูกตายามนั้น แลเห็นวันวิสาเดินตามภรพต้อยๆ
ถัดมาภรพมองสำรวจขึ้นไปบนเกาะ เผื่อจะพบคนบนเกาะบ้าง ป้องปากกู่ร้องเรียก
“วู้....มีใครอยู่มั้ย...”
วันวิสาเดินตามมาจนทัน
“ทำอะไรของนาย”
“สมองเจ๊มันจมน้ำไปเหรอ”
วันวิสาฉุน “อย่ามาหยาบคายกับฉันนะ”
“ก็แทนที่จะมาถามคำถามโง่ๆ ยังงี้ ช่วยกันสิเจ๊”
“อย่ามาเรียกฉันเจ๊นะ”
“ไม่เรียกเจ๊ แล้วจะให้เรียกอะไร ซิ่มหรอ”
“อีตาบ้า”
ภรพกู่ร้องอีก “วู้...มีใครอยู่ไหม วู้... ช่วยกันหน่อยสิเจ๊ อย่ามัวกินแรงคนอื่น”
“พูดดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมาหยาบคายกับฉันด้วย”
ภรพประชด “อาอึ้มครับ ถ้าอาอึ้มอยากออกไปจากเกาะนี้ อาอึ้มช่วยกรุณาทำตามที่กระผมบอกด้วยเถอะครับ”
วันวิสาไม่เต็มใจนัก “วู้...มีใครอยู่แถวนี้บ้างไหมค๊า...วู้”
ทั้งคู่ช่วยกันกู่ร้องเรียกระงม แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ
“ไม่น่าจะมีใครอยู่บนเกาะนี้” วันวิสาว่า
“มีสิ...ก็เราสองคนนี่ไง”
“ไม่เอาหรอกนะ ฉันไม่ยอมอยู่ที่นี่เด็ดขาด”
“หัดยอมรับความจริงหน่อยสิเจ๊ ว่านี่มันเกาะร้าง”
“แต่ฉันไม่ขออยู่กับคนที่ฉันไม่เคยรู้จักเด็ดขาด”
“พูดอย่างผมอยากอยู่กับเจ๊นักนี่”
“รู้ยังงี้ฉันไม่ลงเรือมาลำเดียวกับนายซะก็ดี”
“เสียใจด้วยนะ มันเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันก็คือ เราสองคนอยู่บนเกาะร้างกลางทะเล มุมไหนของประเทศไทยยังไม่รู้เลย ก่อนคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไง เอาชีวิตตัวเองให้รอดซะก่อนเถอะเจ๊”
ภรพเดินออก กู่ตะโกนเรียกหาคน
วันวิสาจำใจเดินตาม เค้นเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ
ภรพเข้ามานั่งแผ่หมดแรง หลบแดดที่ใต้ร่มไม้ริมหาด วันวิสาหมดสภาพ ลากสังขารตามเข้ามา
“นี่เราต้องเดินไปถึงไหน”
“รอบเกาะ”
“เชิญนายเดินไปคนเดียวละกัน ฉันไม่ไปกับนายแล้ว”
“จะมาตายแห้งเป็นปลาเค็มอยู่แถวนี้ศพไม่สวยนะเจ๊”
“เรื่องของฉัน ถ้าฉันตาย ฉันจะเป็นผีคอยตามจองล้างจองผลาญนาย...คอยดูสิ”
ภรพสุดจะระอา “ยังมีฤทธิ์อีกแน่ะ”
“ก็ไม่ใช่เพราะนายเหรอ ฉันถึงต้องมาซวยยังงี้”
“เจ๊น่ะแหละตัวซวย”
วันวิสาโมโห “นายต่างหาก ตัวซวย”
“หุบปาก”
วันวิสาหุบปากจริง ๆ
“ทำไมต้องให้เสียงดัง”
“ฉันขี้เกียจเถียงกับนาย ฉันหิวน้ำ ถ้าฉันไม่ได้กินน้ำตอนนี้ ฉันต้องตายแน่ๆ”
“ตายเพราะพูดมาก ไม่ได้ตายเพราะขาดน้ำหรอก”
จู่ๆ มะพร้าวแห้งลูกหนึ่งร่วงตุ้บลงมา ตรงกลางระหว่างสองคน
วันวิสาคว้ามะพร้าวหมับ “รอดตายแล้ว”
“พูดผิดพูดใหม่นะเจ๊ ถ้าจะรอดก็ต้องรอดทั้งสองคน”
วันวิสาไม่สนกอดมะพร้าวไว้แน่น “ลูกนี้ของฉัน นายจะกินก็ไปหาเอาเอง”
“ทำเป็นอวดเก่ง แล้วมีปัญญาปอกไหมล่ะ”
วันวิสาตะกุยเปลือกมะพร้าวแห้งแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างสิ้นหวัง ล้มลงนอนท่าทีหมดแรง ภรพยิ้มสมเพชแล้วขยับออกไป
ใต้ร่มไม้ ริมชายหาดแห่งนั้น วันวิสานอนตะแคงสีหน้าอิดโรย ปากขาวซีดอยู่ตรงนั้น มีเสียงคนใช้ก้อนหินทุบลูกมะพร้าว ดังตุ้บๆ มาเป็นระยะ นั่นทำให้วันวิสาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกตัวหันไปมอง เห็นภรพกำลังใช้หินคมทุบเปลือกมะพร้าวแห้ง สลับปอกเปลือกฉีกออก
“ทำไมนายเก่งยังงี้ นายนี่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดเลย เกิดมาฉันไม่เคย เจอใครทั้งเก่งทั้งฉลาด แถมยังมีน้ำใจเท่านายเลย”
“ไอ้เก่งกับฉลาดเนี่ยยอมรับนะเจ๊ แต่อันหลังนะ เจ๊อย่าตั้งความหวังให้มันมากนัก”
“จะแล้งน้ำใจกับผู้หญิงได้ลงคอเชียวเหรอ”
“เจ๊ก็ถอนคำพูดก่อนสิว่าผมเป็นตัวซวย”
“ก็นายเป็นตัวซวยจริงๆ นี่นา”
ภรพปอกเปลือกออกได้หมดพอดี ลองเขย่าลูกมะพร้าว ฟังเสียงน้ำมะพร้าวคลอนข้างใน
“แหม น้ำมันคงจะหวานชื่นใจแท้ๆ มะพร้าวลูกนี้”
“ถอนก็ได้ นายไม่ได้เป็นตัวซวย นายเข้ามาในชีวิตฉัน เป็นมงคลกับชีวิตฉันจริงๆ” วันวิสาเข่นเขี้ยว เคี้ยวฟันพูด
ภรพเสียงเข้ม ออกคำสั่ง “อ้าปาก”
“ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งนายด้วย”
“บอกให้อ้าปาก”
“ไม่”
ภรพใช้หินทุบกะลามะพร้าวหลายๆ ที แรงๆ จนมะพร้าวแตก เขายื่นมะพร้าวลูกนั้นมาตรงหน้าเธอ
วันวิสาแหงนหน้าอ้าปากกินน้ำมะพร้าว ที่ไหลพรูออกมาอย่างหิวกระหายราวกับดื่มกินน้ำทิพย์จากแดนสรวงก็ไม่ปาน
ไม่นานถัดมา เปลือกมะพร้าวถูกฉีกปอกเกลื่อนพื้นใต้ร่มไม้ วันวิสาแทะเนื้อมะพร้าวติดกะลากินอย่างเพลิดเพลินด้วยความหิวโหย ส่วนภรพแทะเนื้อมะพร้าวจนหมดอยู่อีกมุม
“ค่อยยังชั่ว ยิ่งถ้าได้นอนพักซักงีบ จะสมบูรณ์แบบมากเลย”
วันวิสาล้มตัวลงนอน ตรงกันข้ามกับภรพที่ลุกขึ้นพรวด
“ไปได้แล้ว”
“ไปไหนอีก”
“เจ๊จะปักหลักเฝ้ามะพร้าวต้นนี้คนเดียวก็ตามใจเจ๊นะ”
“เดี๋ยวอาจมีเรือผ่านมาทางนี้ก็ได้” วันวิสาแย้ง
“งั้นเจ๊ก็เฝ้าเรือที่อาจจะผ่านมาก็แล้วกัน โชคดี ไม่ตายซะก่อนคงได้เจอกันอีก”
แล้วภรพ ก็เดินลิ่วๆ มุ่งหน้าเข้าป่าไป
“อีตาบ้า นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวได้ยังไง”
วันวิสาโมโห จำใจลุกตามภรพออกไป
ภรพเดินลุยนำทางเข้ามาในป่า แหวกทั้งหญ้า ทั้งเถาวัลย์ ที่ขึ้นจนรก ไม่มีสภาพทางเดินที่ใครเคยใช้ กิ่งไม้ที่ภรพแหวก ดีดใส่วันวิสาที่ตามมาติดๆ ไปตลอดทาง
“นายเดินดีๆ ได้ไหม ทำไมต้องดีดกิ่งไม้ใส่ฉันด้วย”
“ก็ใครใช้ให้เจ๊มาเดินจ่อติดยังงี้ล่ะ”
“ก็ถ้าฉันเดินตามนายไม่ทันเกิดหลงทางขึ้นมาล่ะ”
“ก็เรื่องของเจ๊สิ”
“คนไม่มีน้ำใจ โอ๊ย” วันวิสาโดนกิ่งไม้ดีดใส่อีก โวยลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ภรพหงุดหงิดปนรำคาญ “มันอะไรนักหนา”
“นายลองมาเป็นคนเดินตามดูบ้างสิ นายจะได้รู้ว่ามันนรกขนาดไหน”
“เอ้า เชิญ คุณผู้หญิงผู้นำทาง” ภรพฝายมือ หลีกทางให้วันวิสาเดินนำทางบ้าง
วันวิสามุดป่ารกด้วยความทุลักทุเลได้ไม่กี่ก้าว ก็พลาดตกเนินหายลับไปในพงหญ้า เห็นแต่พุ่มไม้ที่สั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังลั่นป่า ภรพยืนมองสาแก่ใจ แถมไม่ขยับเข้าไปช่วยด้วย
วันวิสาคลานสี่ขาปีนเนินรกกลับขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ไง ผู้นำทางหญิง ทีนี้รู้รึงยังว่า เป็นผู้นำกับผู้ตามอันไหนมันง่ายกว่ากัน”
ภรพออกเดินต่อ
“ใจดำแล้วยังบ้าอำนาจอีก”
วันวิสาบ่นบ้าขณะมุดป่ารกตามภรพไป
ถัดมา วันวิสาทั้งมุดทั้งคลานลุยป่าด้วยเท้าเปล่า มาอย่างทุลักทุเล แถมบ่นไม่หยุดปาก
“ชีวิตฉัน ทำไมต้องมาเป็นยังงี้ด้วย”
เมื่อวันวิสามองไป พบว่าข้างหน้าไม่มีเงาภรพแล้ว ทุกอย่างเงียบสงัด เหมือนเธอถูกทิ้งอยู่คนเดียวในป่า
“นาย...นาย”
ไม่มีเสียงตอบรับ วันวิสาเริ่มใจเสีย ขวัญหนีดีฝ่อ
“นาย...อย่ามาทำยังงี้กะฉันนะ”
วันวิสากลัวจนลนลาน ลุยป่าพรวดพราดชนิดไม่ลืมหูลืมตา จนหลุดจากแนวป่าพรวดออกไป
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือแอ่งน้ำใสที่มีน้ำตกสูง น้ำเทกระเซ็นลงมาเหมือนภาพสวยในฝัน วันวิสาดีใจจงยั้งอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ กระโจนลงน้ำทันที ล้างตัวอย่างรู้สึกสดชื่นสุดๆ ถอดเสื้อออกขยี้ซักใหญ่
ขณะกำลังเพลินเหมือนอยู่ในสปาส่วนตัว ภรพที่มุดน้ำอยู่ก็โผล่พรวดขึ้นมาตรงหน้าวันวิสาโดยไม่มีมีขลุ่ย
วันวิสากรี๊ด “แอร๊ย...อีตาบ้า โรคจิตไม่มีมารยาท มาแอบดู ฉัน”
“ใครเขาแอบดูเจ๊ มีอะไรน่าดูนักหนา”
“งั้นก็ออกไปไกลๆ ฉันสิ”
“ขึ้นได้แล้ว”
วันวิสายังเฉย “ฉันเพิ่งลงมา ขี้เกลือยังออกไม่หมดเลย อย่ามาออกคำสั่งยังกะฉันเป็นลูกน้องนายนะ”
ภรพขึ้นจากน้ำ เอยขึ้นว่า “มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ นับหนึ่งถึงสามเท่านั้นนะ หนึ่ง”
วันวิสาทำหูทวนลม
“สอง”
วันวิสาทำไม่สน
“แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ สาม” ภรพเดินออกไปทันที
“ชิ พวกบ้าอำนาจ”
วันวิสาชะงักกึก รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรลื่นๆ กระดืบมาที่หว่างขา พอคลำ ควานดูแล้ววันวิสากรี๊ดดังลั่นป่า
“แอร๊ยย...”
วันวิสาลนลานตะกายเข้าหาฝั่งตาเหลือกตาลาน ภรพย้อนกลับมา
“เตือนแล้วใช่ไหม”
“ตัวอะไรก็ไม่รู้ลื่นๆ ยาวๆ”
“ไม่งูก็ปลิงน่ะแหละ แหมมันน่าจะมุดเข้าไป...ในนั้น” เขามองเหล่
“อีตาบ้า”
“ทีนี้ก็จำไว้ คำสั่งมีให้ทำตาม ไม่ใช่ฝ่าฝืน เข้าใจหรือยังเจ๊”
ภรพเดินออกไป วันวิสาเบะปากหมั่นไส้หนึ่งที ก่อนจำใจต้องตามเขาออกไป
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
สองคนออกเดินป่า เพื่อหาที่พัก จนมาทะลุชายหาดอีกมุมหนึ่ง ภรพมองสำรวจรอบๆ ตัวด้วยสายตา แล้วตัดสินใจ
“เราจะทำที่พักแถวนี้”
“ทำไมต้องเป็นแถวนี้ ทำไมเราไม่ไปอยู่ใกล้ๆ น้ำตกโน่น จะได้มีน้ำกินน้ำใช่ง่ายๆ หน่อย” วันวิสาแย้ง
“อ๋อ นี่เจ๊กะจะอยู่ยาวแบบมาตากอากาศเลยใช่ไหม”
“เราจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีน้ำจืด” วันวิสาโต้ สีหน้ามั่นในเหตุผลมาก
“แล้วถ้าบังเอิญเรือแล่นผ่านมาซักลำเจ๊จะเรียกเขาทันได้ยังไง”
“ทันก็แล้วกัน”
ภรพหมั่นไส้ “จะไปหาผัวที่เกาะเจ็ดหรือจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”
วันวิสาโกรธ “หยาบคายที่สุด”
“ไปหาเก็บไม้มา”
วันวิสาประชดทำตามคำสั่งหันไปหยิบไม้ชิ้นเล็กเท่าก้านไม้ขีด ยื่นส่งให้ภรพที่กำลังเคลียร์พื้นที่อยู่
“สมองเจ๊นี่ท่าจะจมไปกับน้ำจริงๆ ไม้เอามาก่อฟืน เข้าใจไหม”
“แล้วทำไมไม่บอกล่ะโว้ย”
ภรพอื้ออึ้งที่เจอวันวิสาโวยตอบ
วันวิสาเดินกระแทกกระทั้นออกไป
ไม้ท่อนซึ่งส่วนใหญ่ลอยน้ำมา ถูกวันวิสาโยนลงพื้น
ภรพปั่นไม้อยู่สักพักจนควันขึ้น แล้วเอาเศษหญ้าแห้งเข้าสุมจนไฟลุกขึ้น เขาประคองป้องลมพร้อมๆ กับเติมเชื้อไฟไปเรื่อยๆ แล้วเอาเชื้อไฟใส่กองฟืนที่สุมรอไว้แล้ว
วันวิสามองแล้วอดทึ่งไม่ได้ “นายทำได้ยังไงน่ะ”
“เรื่องกล้วยๆ มันเป็นความสามารถ...ผู้ชายเท่านั้นแหละที่ทำได้”
วันวิสาหมั่นไส้ “อย่าหลงตัวเองให้มากนัก”
“แล้วผู้หญิงอย่างเจ๊ทำอะไรได้บ้าง นอกจากโวยวายแล้วก็ก่อแต่ปัญหา”
“แล้วนายจะได้เห็น”
“อย่าให้นานนักแล้วกันเจ๊ เอามื้อเย็นนี่เลยเป็นไง เดี๋ยวหาว่าผมเผด็จการดีแต่ออกคำสั่ง ผมให้เจ๊เลือกก่อนก็ได้”
วันวิสาเลือดขึ้นหน้า ที่ถูกสบประมาท
ผ่านไปสักระยะ ขณะที่ภรพลุยกลับออกมาจากแนวป่า แบกกล้วยป่าที่สุกงอม มีร่อยรอยสัตว์ป่าแทะกินไปบ้าง ชายหนุ่มมองไปที่ชายหาด เห็นวันวิสาไล่ล่าจับปลาในทะเลด้วยมือเปล่า หัวทิ่มหัวตำ แลดูน่าขัน
ที่ชายหาด วันวิสาหมดสภาพเหมือนได้รับทุกขเวทนาเป็นที่ยิ่ง ภรพเดินเข้ามาปอกกล้วยกิน แถมปลิ้นเม็ดถ่มทิ้งเป็นชุด
“ไม่ได้ปลาซักตัวก็แทะมะพร้าวแก่กินเป็นมื้อเย็นละกันนะเจ๊” ภรพเยาะเย้ยถากถาง
วันวิสาเหลียวขวับ ใบหน้างามค้อนควักให้เต็มวง “อย่ามาเยาะเย้ยกันนะ”
“ยอมรับมาซะเหอะเจ๊ โลกนี้น่ะ เขาออกแบบมาให้ผู้ชายเป็นผู้นำ ผู้หญิงน่ะทำงานของผู้ชายไม่ได้หรอก”
ภรพเดินพาสีหน้าเย้ยหยันออกไป วันวิสาได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ
ปลาเป็นๆ ดิ้นกระแด่ว ๆ ติดปลายแหลมขึ้นมาตัวแล้วตัวเล่า ภรพแทงปลาในแอ่งน้ำบริเวณโขดหิน วันวิสามองจ้องอย่างทึ่ง และปรบมือให้ทุกครั้งที่ได้ปลาขึ้นมา
ภรพจ้วงแทงและจะยกปลายไม้ขึ้นอวด วันวิสาปรบมือล่วงหน้า
ทว่าสิ่งที่ติดปลายไม้ขึ้นมา กลับเป็นแมงกะพรุนตัวใหญ่เบิ้ม ภรพโยนแมงกะพรุนใส่วันวิสา สาวสวยปากกรรไกรโกยแน่บวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ปากกรีดร้องอย่างคนเสียขวัญ
ภรพหัวเราะสะใจ
ทะเลยามพลบค่ำ ท้องฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินเข้ม กองไฟเล็กๆ ที่ภรพก่อขึ้นริมหาด กลายเป็นที่ปรุงอาหาร ปลาถูกไม้เสียบย่างจนสุก วันวิสากำลังแทะปลาร้อนๆ กินอย่างเอร็ดแอร่ม เพราะหิวจัด ต้องคอยสูดปาก จนปากบิดปากเบี้ยว เพราะปลาร้อนๆ ลวกปาก
“นี่ถ้าได้ข้าวร้อนๆ ซักถ้วย มื้อนี้ก็สมบูรณ์แบบได้เหมือนกันนะ” เธอว่า
“ตื่น เจ๊ ตื่น อย่าเพ้อให้มันมากไปนัก ที่นี่เกาะกลางทะเล ไม่ใช่เหลา”
“รู้แล้วน่า”
“เจ๊นี่ท่าทางไม่ได้ทุกข์ ร้อนเท่าไรเลยนี่ มาจากไหนเจ๊น่ะ”
“จากไหนก็ช่างฉันเหอะ”
“พูดจาสำเนียงยังงี้ต้องมาจากเชียงใหม่แหงๆ”
“นายนี่เดาเก่งจัง แล้วนายล่ะมาจากไหน”
“ก็แถวๆ นี้แหละ เตือนอะไรอย่างนะ เจ๊ เป็นผู้หญิง เดินทางคนเดียวมันเสี่ยง อันตรายมันรอบตัวน่ะแหละ”
วันวิสาหงุดหงิด “เลิกเรียกฉันว่าเจ๊ซะที”
“เกิดปีไหน เจ๊น่ะ”
“หยาบคาย ไม่เคยมีใคร สั่งสอนนายรึไงว่าถามอายุคนอื่นน่ะ มันเป็นมารยาทที่ทราม”
“เอ๋า ไม่ถามแล้วจะรู้ได้ยังไงวะ”
“ก็ไม่จำเป็นต้องรู้”
“ไม่อยากให้รู้ก็ต้องเดาเอา อย่างเจ๊เนี่ยน่าจะซัก สามสิบสอง ลูกกี่คนแล้วล่ะ”
“อีตาบ้า ฉันไม่คุยกับนายแล้ว”
วันวิสาสะบัดหน้าหันหลังหนีภรพทันที แล้วแทะปลากินๆๆ
ภรพแอบขำที่ยั่ววันวิสาได้สำเร็จ
หลังมื้อค่ำแสนแอร่ม วันวิสา เอากิ่งไม้ขีดเส้นแบ่งแดนลงบนพื้นทราย และปักไม้ไว้ให้เห็นชัดเจน โดยมีกองไฟ คั่นกลาง ภรพมองฉงน
“ทำอะไรน่ะ”
“ขอบใจที่ถาม นี่เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ฝั่งนี้เป็นเขตของฉัน นายก็อยู่ฝั่งของนายไปห้ามรุกล้ำเข้ามาเด็ดขาด”
“ปัญญาอ่อนไปหน่อย รึเปล่าเจ๊”
“ไม่ทราบ แต่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ควรไว้ใจนาย”
ภรพหัวเราะขัน “จะบอกอะไรให้นะเจ๊ อย่างเจ๊น่ะ” เขาส่ายหน้าแทนคำพูด
วันวิสาแหวใส่ “ทำไม อย่างฉันทำไม พูดออกมานะ”
“เจ๊ บังคับให้ผมพูดเองนะ”
“แน่จริง นายก็พูดออกมาสิ”
“อย่างเจ๊นะ เห็นแล้ว เสื่อมถอยทางอารมณ์เปล่าๆ”
“นาย” วันวิสายั๊ว ลุกพรวดพราด ข้ามเขตแดนที่ขีดเส้นไว้ พุ่งเข้ามากะจะลุยภรพ
“เอ้าๆ นี่มันเขตของผมนะเจ๊รุกเข้ามาได้ยังไง”
วันวิสาถอยกลับไปเขตตัวเอง อย่างเสียฟอร์ม
“ถ้าผม จะทำอะไรเจ๊น่ะนะ ไอ้แค่เส้นแบ่งเขตเหมือนเด็กเล่นกันเนี่ย มันไม่มีความหมายอะไรหรอกเจ๊”
“ฉันก็หวังว่านายจะเป็นสุภาพบุรุษพอ ขืนล้ำมาละก็ โดนดีแน่ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
วันวิสาหยิบไม้ท่อนพอมือ ที่ใช้ทำฟืนขึ้นมาถือไว้ แล้วถอยไป จัดมุมนอนของตัวเอง
ภรพส่ายหัว มองอย่างเอือมระอา
ตกกลางดึก คลื่นซัดเข้าชายหาดอย่างสงบ บนท้องฟ้ามืดๆ ดาวจำนวนมหาศาล จำรัสแสงแข่งกัน กองไฟที่สุมไว้ริบหรี่เหมือนใกล้จะมอด
วันวิสาขยับตัวพลิกตัวเพราะพื้นแข็งและหลับไม่สนิท พลิกตัวหันหน้ามาด้านภรพนอน
ภรพขยับลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะลุกไปเติมพืนใส่กองไฟ มองไปทางวันวิสา แล้วชะงัก เหมือนเห็นบางอย่างแต่ไม่แน่ใจ ภรพขยับตัวคืบเข้าไปหาวันวิสา ข้ามเขตแดนที่ขีดไว้
วันวิสาปรือตาขึ้นพอดี และเห็นภรพกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
วันวิสาลุกพรวดขึ้น กรีดร้องโวยวาย คว้าไม้ที่วางไว้ข้างตัวกระหน่ำฟาดภรพเต็มแรงโดยไม่ยั้ง
“ตายๆๆๆ”
“โอ๊ย”
ภรพร้องลั่น ฝืนทนเจ็บ เขายังตะเกียกตะกายมุ่งหน้าไปยังสิ่งที่เขาเห็นบนพื้น สุดท้ายภรพคว้าปลายหางงู ขนาดยาวใหญ่ใช่เล่น แล้วเหวี่ยงทิ้งไปไกลสุดแรง
วันวิสาวี๊ด กระโจนหนีไปไกล “อ๊าย...อะไรน่ะ”
“ถามโง่ๆ งูจะกัดตาย ยังไม่รู้ตัวอีก โอย...อูย มือหนักจริงๆ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ รู้งี้…”
วันวิสาค้อนควัก “ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
“ยังไม่รู้จักขอโทษอีก”
“ขอโทษ” วันวิสาพูดโดยไม่เต็มใจ
“ขอบคุณเป็นไหมเนี่ย”
“ขอบคุณ” วันวิสากระแทกคำ ไม่เต็มใจ “แล้วงูตัวนั้นมันจะเลื้อยกลับมาอีกรึเปล่า”
“ไม่แน่”
วันวิสา สยองปนหลอน ขยับเอาไม้มาขีดเส้นแบ่งเขตแดนใหม่ ให้กองไฟอยู่ในเขตของเธอ
“ถอยไปได้แล้ว นั่นเขตของนาย นี่เขตของฉัน”
“เจ๊น่าจะขีดเส้นทางโน้น แล้วบอกไอ้งูตัวนั้นว่าอย่าเข้ามามากกว่านะ”
ภรพ ถอยกลับไปในเขตตัวเอง ส่วนวันวิสา เริ่มจัดที่นอนให้ตัวเองใหม่ หลอนไม่เลิก
ดึกมากแล้ว ไฟในกองฟืนลุกโชนมากขึ้น ภรพนั่งกอดเข่า เพราะหลับไม่ลงแล้ว
“นาย...นาย...นี่นาย”
“อะไร...นายๆ อยู่นั่นละ”
“ก็นาย ชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกถูก”
ภรพนิ่งไปชั่วขณะ “จู๋”
วันวิสาตาเหลือก “หา...อะไรนะ”
“จู๋”ภรพย้ำ
“ทุเรศ”
“อ้าว”
“ชื่อบ้าอะไรลามกจกเปรต น่าเกลียดที่สุด”
“ลามกที่ตรงไหน น่าเกลียดตรงไหน จู๋แปลว่าหดจนสั้น ดวงจู๋ไง ไม่เคยได้ยินรึไง เจ๊คิดมาก”
วันวิสาบ่นบ้าปากขมุบขมิบ ยังไงก็รับไม่ได้
“แล้ว เจ๊ล่ะชื่ออะไร”
“จะรู้ไปทำไม”
“อ้าว ทีเรียกเจ๊ละจะเป็นจะตายให้ได้ ทีถามชื่อละไม่อยากบอก งั้นก็เรียกเจ๊ ต่อไปละกัน”
วันวิสาโพล่งขึ้น “จิ๋ม”
“หา ชื่ออะไรนะ”
“ก็บอกว่าจิ๋ม หูหนวกรึไง”
ภรพหัวเราะก๊าก “คนบ้าอะไรชื่อจิ๋ม ชื่อคนตายมีตั้งเยอะพ่อแม่เจ๊นึกอะไรไม่ออกรึไง ถึงตั้งชื่อลูกน่าเกลียดยังงี้”
“น่าเกลียดตรงไหนไม่ทราบ”
“มันก็พอๆ กับจู๋น่ะแหละ”
“จิตใจนายมัน มีแต่เรื่องลามกน่ะสิ จิ๋มแปลว่าเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดูต่างหาก”
“อ๋อ จ้ะ เข้าใจแล้ว...เจ๊จิ๋ม”
ภรพทิ้งตัวลงนอน หัวเราะชอบใจ วันวิสาขัดเคืองใจ อยากจะซัดให้ซักป้าบ
เช้าวันนี้ คลื่นลมสงบเซาะหาดเบาๆ แดดสาดแสงอ่อนๆ ไปทั่ว ท้องทะเลสดใส น้ำเป็นสีมรกต
วันวิสาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เหมือนทบทวนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความฝันหรือไม่ แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนชายหาดเวิ้งว้าง เธอชักใจเสีย มองหาภรพ แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
วันวิสาร้องตะโกน “นาย...นาย...นายจู๋”
เรียกๆ ไป วันวิสารู้สึกอิลักอิเหลื่อ อับอายที่ต้องเรียกชื่อน่าเกลียดนี้
“คนบ้า ชื่อพิเรนทร์อะไรก็ไม่รู้” สุดท้ายต้องตะโกนต่อ “นายจู๋...นายอยู่ไหน นายจะมาทิ้งฉันไว้คนเดียวไม่ได้นะ”
ภรพเดินเลาะมาตามชายหาดเวิ้งว้าง สำรวจรอบตัว จนเห็นบางสิ่งไกลๆ ภรพ ออกวิ่งไปตามแนวคลื่น ลังไม้ใบนึงที่ลอยน้ำมาจากเรือ ถูกซัดเกยหาดอยู่ ภรพวิ่งมาถึงลังไม้ เปิดฝาลังออก
ภรพสมหวังเพราะในลังมีเชือกขดหนึ่งกับมีดปลายแหลม
ไม่นานต่อมา ลังไม้อันนั้นถูกโยนลงพื้น ภรพมองหาวันวิสา แต่ไม่เห็นแม้เงา จึงตะโกนหา
“เจ๊...เจ๊จิ๋ม...ยัยเจ๊จิ๋ม...หายหัวไปไหนหว่า”
ภรพรู้สึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
ภรพกระโจนมาตามโขดหิน และพบวันวิสาก้มหน้า ก้มตาใช้หินตอกหอย นางรม บนโขดหินอย่างเอาจริงเอาจัง
ภรพตะโกนเรียก “เจ๊จิ๋ม”
วันวิสา ตกใจหินในมือร่วงตกน้ำ
“แหกๆๆ อีบ้า รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป กว่าฉันจะหาหินได้ก้อนถนัดๆ มือยังงี้”
“ตอกหอยนางรมเป็นกะเขาด้วยเหรอ ใช้ได้ ไม่อดตายแล้ว”
“นายยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าผู้หญิงก็ทำอะไรๆ อย่างที่ผู้ชายทำได้เหมือนกันอย่างน้อยวันนี้เราก็มีอาหารเช้ากินกันแล้ว”
“ยอมรับก็ได้”
“ดี ถ้างั้นนายก็เลิกเรียกฉันว่าเจ๊ซะที เพราะฉันไม่ชอบ”
“นั่นสินะ คนเขามีชื่อ ก็ต้องเรียกชื่อมันถึงจะเป็นการให้เกียรติกัน แต่คนอะไรชื่จิ๋ม น่าเกลียดชะมัด”
“ก็ดีกว่าชื่อนายละกัน ทะลึ่งหยาบคาย”
“พอได้แล้ว พอ ถอยไป”
ภรพ อวดมีดในมือแล้วใช้มีดแซะหอยนางรม อย่างง่ายดาย
“นายไปได้มีดมาจากไหนน่ะ”
“เสกมามั้ง...อ้าปาก”
ภรพป้อนหอยนางรมวันวิสา
วันวิสายิ้มแฉ่ง “เก่งจังเลย นายเก่งจังเลย”
ทั้งคู่แบ่งหอยกันกิน โขดหินกลายเป็น ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องเสียเงิน
อีกฟาก ที่ห้องทำงานบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ เถ้าแก่ไพศาลกำลังอารมณ์เสียสุดๆ ต่อหน้า มงคล และ โชคทวี
“ทำไมมันถึงได้เหลวไหลยังงี้”
“คุณภรพคงไปพักที่ไหนซักแห่งน่ะครับนาย” มงคลว่า
“บ้านก็มีทำไมมันไม่ไปพัก”
“เจ๊กก็รู้นิสัยภรพดีนี่ครับ” โชคทวีบอก
“อั๊วไม่น่าปล่อยให้มันไปคนเดียวเลย ลื้อโทรศัพท์กลับไปที่ตรังอีกที บอกคนทางโน้นให้โทรกลับมาทุกชั่วโมง หรือได้ข่าวอะไร ก็ให้โทรกลับมาทันที”
“ครับ เจ็ก” โชคทวีขยับไปโทรศัพท์
“นายจะให้ผมตามลงไปดูคุณภรพเลยไหมล่ะครับ” มงคลถาม
“ไม่ใช่ ตอนนี้”
มงคลออกจากห้องทำงาน เดินตรงมาที่ห้องโถงหน้าจ๋อยสนิท
พราวตาถามขึ้นทันที “มีข่าวอะไรคืบหน้าบ้าง มงคล”
“ยังเลยครับคุณพราว”
สุพรรษาบ่น “ลูกหนอลูก ทำไมถึงทำให้ใครต่อใครเขาเป็นห่วงขนาดนี้”
“ม้าอย่าเพิ่งคิดแต่ด้านร้ายๆ สิ ภรพอาจจะบังเอิญไปเจอเพื่อนเก่า ก็เลยพากันไปสนุกที่ไหนตามประสาก็ได้” พราวตาปลอบแม่
“นั่นสิครับ ซ๊อ อย่าเพิ่งห่วงไปเลย”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง หมู่นี้มีแต่เรื่องไม่ดี”
“ม้า คนดีน่ะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองเสมอ ม้าสอนอั๊วเอง ม้าอย่าลืมสิ”
ไม้ท่อนยาวถูกโยนมารวมกอง วันวิสายืนมองเฉย
“เอ้า ยืนเฉยอยู่นั่นละ ลากไปสิคุณ”
“ก็มันหนักนี่ ฟืนธรรมดานายทำไมไม่เลือกท่อนเล็กๆ สั้นๆ ก็พอ”
“ใครบอกไม้นี่จะเอาไปทำฟืน”
“อ้าว แล้วเอาไปทำอะไร”
“สร้างกระต๊อบ”
วันวิสาตกใจ “ไม่นะ นายอย่าบอกนะว่าเราจะต้องปักหลักอยู่ที่นี่ไปอีกนาน”
“ใครจะไปรู้ อาจจะเดือน สองเดือน หรือเป็นปีก็ได้”
“ฉันไม่มีวันทนอยู่กับนายเด็ดขาด”
“คิดเหรอว่าคุณ เป็นฝ่ายต้องทนฝ่ายเดียว พูดมากเสียเวลา ขนไป”
วันวิสายังหน้างอไม่ยอมขยับ
“คืนนี้จะนอนตากลมตากน้ำค้างอีกก็ตามใจนะ”
วันวิสาขยับเข้ามา ลากไม้ออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
วันวิสาลากเถาวัลย์ รุงรังออกมาจากแนวป่ามายังชายหาด ใบไม้ยังไม่ได้ริดออก
ภรพประกบไม้เข้าด้วยกัน ผูกด้วยเถาวัลย์
“เถาวัลย์หมดแล้ว ทำอะไรให้มันเร็วๆ หน่อยได้ไหมคุณ”
“จะเอาเร็วกว่านี้ ก็มาทำเองสิ”
วันวิสาทั้งดึงทั้งลากเถาวัลย์ อีลุงตุงนังจนตัวเองหมดแรง ล้มหงายหลังไม่เป็นท่า
ภรพ เฉยไม่ขยับเข้ามาช่วย แถมมองด้วยสายตาสมเพช
“ผู้หญิงก็ทำได้แค่นี้แหละ”
“ผู้ชายอย่างนายก็ใจดำยังงี้เหมือนกัน”
วันวิสา พยายามลุกขึ้น เอาตัวเองออกจากเถาวัลย์ที่พันตัวอยู่ อย่างหัวเสีย เดินหนีลิ่วๆ ออกไป
“จะไปไหน มาช่วยกันก่อน”
“นายเก่ง นายก็แสดงฝีมือไปคนเดียวละกัน”
“เสร็จแล้วอย่ามาง้อนะ”
“กระต๊อบสับปะรังเค เชิญนายอยู่ไปคนเดียวเหอะ”
ภรพหัวเสีย ทิ้งงานเดินผละออกไปเหมือนกัน
เห็นทั้งสองคน เดินหันหลังให้กัน แยกกันไปคนละทาง
วันวิสาชะงัก เพราะจู่ๆ ฝนก็ก็เทลงมาไม่มีปี่มีขลุ่ยตกกลางแดดออก
“อะไรกันเนี่ย” วันวิสาโวยลั่น
กระต๊อบที่สร้างได้แค่ขึ้นโครงสร้างเสา กับคานหลังคายังไม่ได้มุง ถูกสายฝนเทลงมาเหมือนแกล้งกระนั้น
ไม่นานต่อมา ตรงมุมหนึ่งถัดไปจากกระต๊อบ ภรพ วันวิสา นั่งจ๋อง อยู่ด้วยกัน แชร์ใบกล้วยใบเดียวกัน หลบฝน ใช้มือต้องช่วยกันประคองใบกล้วยไว้
“นายจะเบียดเข้ามาทำไม”
“ใจคอจะไม่แบ่งคนอื่นเขาเลยรึไง”
ภรพดึงใบกล้วยมาทางด้านตัวเอง
“เป็นความผิดของนายน่ะแหละ ถ้ากระต๊อบเสร็จเร็ว ก็ไม่ต้องมาทรมานกันยังงี้หรอก”
วันวิสากระแซะเบียดตัวเองเข้ามาชิด
ภรพเพื่อหลบฝน ไหล่เบียดไหล่ แขนชนแขน แทบจะกลายเป็นคนคนเดียวกัน แต่ภรพมองด้วยหางตา วันวิสาสะบัดหน้าใส่
วันวิสาวางใบกล้วยแปะบนหลังคากระต๊อบ แล้ววิ่งออกมาดูกระต๊อบ มุมไกล ข้างๆ ภรพ
ไม่นานนัก กระต๊อบหลังเล็กก็เสร็จสมบูรณ์
“น่ารักน่าอยู่ดีเหมือนกันนะกระต๊อบหลังนี้”
ภรพหมั่นไส้ “เอาเชียว เมื่อกี้ยังเรียกมันว่ากระต๊อบสับปะรังเคอยู่เลย”
“ก็มันสับปะรังเคจริงๆ นี่นา โดยเฉพาะโครงสร้างฝีมือนาย แต่พอมุงหลังคาด้วยฝีมือฉันแล้ว มันเป็นกระต๊อบที่น่ารักมาก” เธอว่า พร้อมกับยิ้มยืด “เสียดายแคบไปหน่อย เหมาะจะอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้น นายนอนข้างนอกก็แล้วกันนะ”
“ฝันไปเหอะ”
“นายเป็นผู้ชายนายต้องเป็นฝ่ายเสียสละสิ มันถึงจะถูก”
“ไม่”
“งั้น นายก็สร้างอีกหลัง ของนายหลังนี้ยกให้ฉัน...นะ..นะ”
“ไม่”
ภรพเดินตรงไปที่กระต๊อบ วันวิสาวิ่งตาม
วันวิสาขีดเส้นแบ่งแดนในกระต๊อบ พื้นที่ของตัวเองมากกว่าภรพ
“ฝั่งโน้นของนาย ฝั่งนี้ของฉัน ห้ามล้ำเข้ามาเด็ดขาด”
ภรพขีดเส้นใหม่กึ่งกลาง “ผู้หญิงผู้ชายเท่ากัน อย่าโลภมาก” แล้วมุดออกมานอกกระต๊อบ
วันวิสาอดไม่ได้ แอบขีดเส้นแบ่งแดน ให้ตัวเองได้เพิ่มอีกหน่อย
“นี่” ภรพตวาดเรียกมาจากด้านนอก
วันวิสาสะดุ้งสุดตัว “อะไร” รีบมุดออกมานอกกระต๊อบ
“ไปหามันมา จะได้เอามาเผากิน”
“มันอะไร”
“ในป่าน่ะเยอะแยะ”
“นายก็ไปเองสิ”
“เพิ่งรู้ว่าชอบจับปลามากกว่า”
“ใครบอก”
“จะกินไหมอาหารกลางวันน่ะ”
วันวิสาหน้างอ เดินไปหยิบมีดที่วางอยู่ ใกล้กองไฟ แล้วเดินลิ่วๆ ขึ้นไปทางแนวป่า
ภรพแทงปลาในแอ่งน้ำโขดหิน ปลาเป็นๆ ติดปลายแหลมของไม้ขึ้นมา ปลาถูกร้อยเหงือกกับเถาวัลย์เป็นพวง ได้ราว 5-6 ตัว ภรพไต่ปีนขึ้นยอดโขดหิน และมองหาวันวิสา แต่ไม่เห็นวี่แวว จึงตะโกนเรียก
“ยัยเจ๊จิ๋ม”
ทั้งแนวหาดแนวป่าเหมือนไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตใดๆ ภรพเซ็ง
ภรพลุยป่าตามทางหลักที่ใช้ไปตักน้ำจืด แต่ไม่มีวี่แวววันวิสา ภรพลุยป่าต่อไป
พอภรพเดินหลุดพุ่มไม้มาถึงลานน้ำตก แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเสื้อ กางเกงรวมถึงชั้นในทั้งท่อนบนท่อนล่างของวันวิสาถูกผึ่งตากให้แห้งอยู่กับพุ่มไม้ข้างโขดหิน
วันวิสาในสภาพเปลือยเปล่า มุดดำน้ำอยู่โผล่ขึ้นมาสู่ผิวน้ำ
ภรพตวาดลั่น “ยัยเจ๊”
วันวิสาตกใจสุดขีด “ว้าย...อีตาบ้า” เธอรีบกอดปิดหน้าอดตัวเองไว้ มุดน้ำจุ่มมิดคาง
“ให้มาหาเผือกหามัน หายมาเป็นชั่วโมง”
“ฉันก็ต้องการเวลาที่เป็นส่วนตัวของฉันบ้างสิ”
“คิดว่าตัวเองมาพักผ่อนตากอากาศอยู่รึไง เสือมันน่าจะมาคาบไปกินให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“ไม่ต้องมาข่มมาขู่ฉันหรอก ฉันไม่กลัว”
“ไหน...มันที่ให้มาหา”
วันวิสาส่ายหน้า “ไม่มี”
“ไม่มีได้ยังไง มันเต็มป่า”
“ก็ฉันไม่รู้จักนี่”
“เวร...ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยยัยเจ๊” ภรพเก็บมีดขึ้นมา
วันวิสาบอก “ไม่”
“บอกให้ขึ้นมา”
“ไม่”
“จะลองดีใช่ไหม”
“นายมายืนโด่อยู่ตรงนี้ แล้วจะให้ฉันขึ้นไปได้ยังไง อีตาบ้า หัดให้เกียรติผู้หญิงบ้าง”
ภรพได้คิดเหมือนกัน “นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ขึ้นมา ขอให้ปลิงเกาะ เจ๊จิ๋ม”
ภรพเดินออกไป ปากเริ่มนับ
“หนึ่ง...สอง...สาม”
วันวิสาตาลีตาลานขึ้นมาจากน้ำด้วยความกลัว บ่นอุบ
“อีตาบ้า คิดเหรอว่าฉันกลัว”
วันวิสามุดป่าตามมา มือยังกลัดกระดุมเสื้อคาอยู่ เสื้อชั้นในไม่ทันได้สวม แต่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงมาสายเสื้อชั้นในห้อยรุ่งริ่ง เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตามุดป่า จึงแทบปะทะชนภรพที่ยืนดักรออยู่
“อีตาบ้า”
“เอ้า ดูให้เต็มตา ต้นแบบนี้ เขาเรียกมันสำปะหลัง เถานี่เขาเรียกมันตะพาบ”
“ไหน ไม่เห็นมีลูกมันเลย”
ภรพงง “ลูกอะไร”
วันวิสาบอกหน้าตาเฉย “ลูกมันที่เราจะเอาไปกินน่ะ”
ภรพอยากตาย “เราไม่ได้กินลูกมัน เรากินหัวมัน หัวมันอยู่ใต้ดิน”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
ภรพส่ายหน้า ระอาเหลือ
“นี่อย่ามามองฉันด้วยสายตายังงี้นะ ใครหน้าไหนมันจะรู้ไปหมดทุกเรื่องในโลกนี้ล่ะ” เธอประชดเอาตอนท้าย “ยกเว้นนาย”
ภรพคร้านจะต่อปากต่อคำ “มันสำปะหลังนั่นน่ะ ถอนมันขึ้นมา”
ภรพเดินแยกไป ใช้มีดขุดมันตะพาบในดิน วันวิสาดึงต้นมันสำปะหลังสุดแรง ภรพแอบมองขำปนเวทนาแต่ทำเป็นไม่สน
วันวิสาชักยัวะ ออกแรงออกเสียงเต็มที่ “จ๊าก”
หัวมันไม่หลุดขึ้นมา แต่ก้านหักคามือ วันวิสาหงายหลังตูดกระแทกพื้นเต็มแรง
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภรพหอบหัวมันสำปะหลังเต็มไม้เต็มมือ เดินนำฝ่าป่าออกมา วันวิสาเดินขากระเผลกๆ ตามมาหอบหัวมันเล็กๆ น้อยๆ บ่นอุบมาตลอดทาง
“ตั้งแต่เกิดมา ชีวิตฉันไม่เคยต้องลำบาก ดวงตกขนาดนี้เลย เพราะนายคนเดียว นายมันตัวซวย”
“หุบปากได้แล้ว จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา”
วันวิสาจ๋อยเมื่อภรพเสียงดังใส่หน้า
ภรพหันกลับไปจะเดินต่อแต่แล้วชะงัก มองไปไกล แล้วทิ้งทุกอย่างในมือ วิ่งลงชายหาดไปสุดกำลังฝีเท้า
วันวิสางงสุดๆ มองตามภรพไป
“อีตาบ้า ผีเข้ารึไง”
ขณะด่าสายตาวันวิสาเห็นเรือประมงลำหนึ่งแล่นอยู่ไกลๆ ลิบๆ
วันวิสากรี๊ด “อ๊าย...เรือๆๆ”
นางโยนทุกอย่างทิ้ง วิ่งแหกปากลั่นตามภรพไป
หัวมันถูกโยนลงกองไฟเพื่อเผากิน วันวิสาบ่นไม่เลิก
“นายนี่มันตัวโตซะเปล่า เรือลำเดียวนายก็ทำให้เขาเห็นเราไม่ได้”
“หุบปากไปเลย ยัยปากมาก เรื่องเฮงซวยยังงี้มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก ถ้ามีใครซักคนคอยเฝ้าตรงนี้ไว้”
“ก็แล้วนายทำไมไม่เฝ้าไว้ล่ะ”
“ก็แล้วใครใช้ให้เจ๊หายหัวไปในป่านานขนาดนั้นล่ะ”
“อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดฉันนะ”
“ไม่โทษเจ๊ แล้วจะให้โทษใคร”
“นายก็มีส่วนผิดเหมือนกันน่ะแหละ อย่างน้อยนายก็ควรจะสุมไฟให้มีควันไว้ คนบนเรือเขาจะได้เห็น”
“มาฉลาดเอาตอนนี้มันก็สายไปแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจไว้เหอะ ได้ค้างเติ่งอยู่บนเกาะนี่จนแก่หนังเหี่ยวแน่
วันวิสาลุกเดินหนี ภรพมองตามแล้วเห็นบางสิ่งบางอย่าง เขาเดินตาม แล้วฉกดึงยกทรงในกระเป๋ากางเกงวันวิสาออกมา
วันวิสาร้องกรี๊ด “ว้าย อีตาบ้า นายจะทำอะไรของนาย”
ยกทรงวันวิสาถูกผูกไว้ปลายไม้ที่ปักไว้หน้ากระต๊อบ แทนธง ยกทรงล้อลมปลิวไสว ภรพหยิบมันที่เผาสุกแล้วร้อน ๆ ขึ้นมาบิ วางใส่ใบตองแล้วยื่นให้วันวิสา
“นายมันคนเห็นแก่ตัว”
วันวิสารับมันเผาไปแล้วหันหลังให้ภรพ เพราะอายที่ไม่ได้ใส่ยกทรง
ภรพดูออก “ยกทรงตัวเดียว เจ๊จะหวงอะไรนักหนา หรือจะเปลี่ยน...ใส่ยกทรงไว้แล้วเอาเสื้อนั่นขึ้นไปผูกแทน”
วันวิสาฉุน “เสื้อนายก็มีทำไมนายไม่ผูกเสื้อของนาย”
“แม่สอนไว้ ใส่เสื้อจะได้ไม่เป็นปอดบวม”
วันวิสาฟังแล้วแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
ภรพแหงนมองธงยกทรง “ทีนี้เรือลำไหนผ่านมาไม่รีบเข้ามาช่วยเรา ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
ภรพหยิบปลาที่ย่างสุกแล้วใส่ในใบตองวันวิสา แต่วันวิสางอน ขยับหนีไปจนห่าง ภรพมองขันๆ
ส่วนที่โถงบ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ โชคทวีกำลังรายงานเหตุการณ์ให้ทุกคน อันมี ไพศาล สุพรรษา พราวตา ภรีม มงคล และอาเจิ้ง ฟัง
“คนที่ท่าเรือบอกว่า ภรพถามหาเรือรับจ้างให้ไปส่งที่เกาะใหญ่ครับ”
ไพศาลซักต่อทันที “แล้วไง”
“สองวันเข้าวันนี้แล้ว ไอ้เรือลำนั้นมันยังไม่กลับเข้าฝั่งเลยครับนาย”
ไพศาลรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว สังหรณ์ใจโดยประหลาด
สุพรรษาเห็นท่าทางสามีก็นึกฉงน “หมายความว่ายังไง เกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่แน่ใจครับ แต่ภาษิตยืนยันว่าทะเลสองสามวันมานี้ไม่มีคลื่น ลมแรงครับ” โชคทวีว่า
“แล้วมันจะหายสาบสูญไปได้ยังไง” เถ้าแก่ถาม
“เป็นไปได้ไหมครับนาย โจรสลัด”
คำสันนิษฐานของมงคล ทำเอาสุพรรษาที่ใจหวิวอยู่แล้วหน้ามืดเป็นลมทันที
“ภรพ...ภรพ”
“ม้า...ม้า…”
พราวตากะภรีมร้องประสานเสียง เข้าประคองดูแลแม่ทันที
ถัดมา ไพศาล โชคทวี และ มงคล พากันเข้ามาในห้องทำงานของเถ้าแก่ในบ้าน โชคทวีเอ่ยขึ้นว่า
“ภาษิตบอกคนของเราให้ออกตามหาภรพแล้วครับเจ๊ก”
“ถ้ามันเป็นพวกโจรสลัดจริง มันก็ต้องเรียกค่าไถ่มา”
“งั้นก็ต้องให้พวกเราคอยก่อนใช่ไหมครับนาย” มงคลเอ่ยขึ้น
“คอยจนกว่าพวกมันจะติดต่อกลับมา”
“เจ๊กจะลงไปตรังเองหรือจะให้ผมลงไปครับ”
ไพศาลอื้ออึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนคิดอะไรไม่ออก
โชคทวีเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องทำงาน ภรีมที่คอยอยู่แล้วรีบเข้ามาหา
“พี่โชคจะลงไปตรังเมื่อไหร่ภรีมขอไปด้วยคนนะคะ”
“เจ็กให้คอยฟังข่าวไปก่อน ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าให้ข่าวรั่วไปข้างนอก”
“ป๊าจะต้องรออะไร ทำยังงี้เหมือนไม่ห่วงเฮีย”
“เจ็กคงมีเหตุผลของเจ็กน่ะแหละ แต่ภรีมไม่ต้องห่วงนะ เจ็กมีคำสั่งเมื่อไหร่พี่จะรีบลงไปทันที เฮียของภรีมจะต้องปลอดภัย พี่ไม่มีวันยอมให้เพื่อนรักของพี่ เป็นอะไรไปหรอก”
“ขอบคุณพี่โชคมากค่ะ”
โชคทวียิ้มให้ ปลอบใจภรีม
ตกตอนกลางคืน วันวิสานอนนิ่งอยู่ในกระต๊อบริมชายหาด ภรพพลิกตัวมาก็ดันเห็นวันวิสานอนอยู่ ภรพหันหลังหนี
ข่มใจตัวเองอึดใจ ก็ตัดสินใจลุกพรวดขึ้นนั่ง วันวิสาลุกพรวดขึ้นนั่งเหมือนกัน แถมคว้าไม้มากำไว้แน่นระวังตัว
“เป็นอะไร”
“ฉันได้ยินเสียงนายตลอดเวลาแหละ อย่าคิดไม่ซื่อนะ นายโดนดีแน่”
“เข้าขั้นโรคประสาทแล้วนะเจ๊น่ะ”
ภรพขยับขีดเส้นแบ่งแดนเน้นย้ำอีกที
“อย่าล้ำเส้นเข้ามานะ ไม่งั้นโดนดีแน่”
“อีตาบ้า ฉันต่างหากต้องเป็นคนพูดประโยคนั้นกับนาย”
ภรพจะมุดออกไปจากกระต๊อบ หันมา
“อย่าตามออกมานะ ไม่งั้นโดนดีแน่”
ภรพออกจากกระต๊อบไป วันวิสางง เป็นไรยะ?
ภรพลงนอนข้างกองไฟ เสียงสัตว์ป่า สัตว์กลางคืนร้องระงมดังขึ้นจากในป่า ฟังแล้วชวนหลอน และน่าขนลุก วันวิสาที่นอนอยู่ในกระต๊อบ ลืมตาพรึ่บขึ้นไม่ชอบเสียงนี้เลย เธอพลิกตัว เสียงนั้นยิ่งเสียดแทงความรู้สึก
วันวิสาลุกพรวดขึ้น เหลียวขวับไปนอกกระต๊อบ
วันวิสาโกยออกมานอกกระต๊อบร้องเรียก “นายจู๋”
ภรพนอนอยู่ข้างกองไฟ “อะไร”
“นายได้ยินเสียงอะไรไหม”
“อือ”
“แล้วนายว่ามันเสียงอะไร”
“เสือมั้ง”
“นายอย่ามาพูดมั่วๆ นะ”
“อ้าว...ก็นั่นมันเสียงเสือ จะให้บอกเสียงแมวรึไง”
“นายว่ามันจะมาทางนี้ไหม”
“มาสิ มันก็คงหิวมัน ได้กลิ่นเหยื่อทางไหน มันก็มุ่งหน้าไปทางนั้นแหละ”
วันวิสาฉุนกึก “นี่นายจะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างเลยเหรอ”
“จะให้ทำอะไรล่ะ เท่าที่ฟังจากเสียงมันน่ะ ตัวมันคงใหญ่ไม่ใช่เล่นอย่างน้อยก็คงซักสองเมตรละ”
วันวิสาตาโต “สองเมตร”
“กลัวมากเลยเหรอเจ๊”
“ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้”
“กลัวก็มานอนตรงนี้สิ”
“จะบ้าเหรอ”
“สัตว์ป่าน่ะยังไงมันก็กลัวไฟ มันไม่กล้าเข้ามาใกล้ๆ หรอก”
“นายพูดจริงเหรอ”
“เจ๊จะไม่เชื่อก็ได้นี่”
เสียงสัตว์ดังคำรามขึ้นอีก
วันวิสาโกยพรวดเข้ามาชิดภรพ นอนซุกด้านหลังภรพทันที ภรพถูกซุกกอดจากด้านหลังด้วยหน้าอกหน้าใจสาวปากร้าย อารมณ์กระเจิดกระเจิง จิตใจเตลิดไปไม่น้อย
“นายอย่าหันมานะ นอนยังงี้ดีแล้ว”
เสียงสัตว์ป่าดังขึ้นอีก
“เท่าที่ฟังเสียง มันน่าจะเป็นเสือโคร่งตัวเมีย อาจจะเป็นเสือแม่ลูกอ่อน โอ้โฮ้ เวลามันหิวนี่ ไม่อยากจะคิดเลย”
วันวิสายิ่งจินตนาการยิ่งซุกตัว เข้ามาเบียดแผ่นหลังภรพจนแน่น พร้อมกับหลับตาปี๋
ภรพได้แค่อิ่มเอมในอารมณ์อันลึกล้ำ ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
อีกเช้าแล้ว พระอาทิตย์โผล่พ้นโค้งน้ำลิบตา วันวิสาขยับตัวตื่นนอนและพบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวข้างกองไฟ ขยับลุกขึ้นก็พบว่าภรพไม่ได้อยู่แถวนั้น แต่เสื้อของภรพห่มให้เธออยู่ วันวิสาดึงเสื้อภรพออกจากตัว ค้อนลมแล้งตามประสา
“มีน้ำใจกะเขาเหมือนกันนี่”
ขณะที่ภรพกำลังริดเถาวัลย์ ซึ่งรวบรวมไว้ได้ไม่น้อย วันวิสาเดินเข้ามา
“นายทำอะไรน่ะ”
“กับดักเสือ”
“พูดเป็นเล่น” วันวิสาไม่เชื่อ
ภรพโยนไม้ข่อยที่ทำเป็นแปรงสีฟันให้วันวิสา วันวิสารับมางงๆ
“อะไรของนายเนี่ย”
“ไปแปรงฟันซะ เหม็นขี้ฟันทั้งคืนเลย”
“ทุเรศ เสื้อนายก็เหม็นพอกันน่ะแหละ”
วันวิสาสะบัดเดินออกมา
“ไวๆ ด้วย เดี๋ยวจะได้ไปกัน”
วันวิสาหันมา “ไปไหน”
“เข้าป่า”
วันวิสาลุยป่าเดินตามภรพ ทั้งคู่ช่วยกันหอบข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งกับดักเถาวัลย์ เชือกที่เก็บมาได้ ไม้ท่อนแหลมสำหรับทำหลุมพราง วันวิสาก้มหน้าก้มตาเดินจนชนหลังภรพที่หยุดเดินตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“จะหยุดทำไมไม่บอกกันเล่า”
“คนเดินตามมันมีหน้าที่คอยดูคอยระวังคนเดินนำนะเจ๊”
“จะต้องไปอีกไกลแค่ไหนกันเนี่ย”
“แถวนี้แหละ ถ้าโชคดีพรุ่งนี้เราคงได้กินเนื้อหมูป่ากัน”
“นายรู้ได้ยังไง”
ภรพหงุดหงิด “ก็แหกตาดูหน่อยสิเจ๊ เนี่ยมันร่องรอยหมูป่าทั้งนั้น มันมาขุดหัวมันกิน เห็นไหมเนี่ย หมูป่ามันยังรู้เลยอันไหนมันสำปะหลัง”
“อย่ามาแขวะกันนะก็ฉันไม่ใช่หมูป่านี่”
“ไม่ใช่อีกหน่อยก็ใกล้เคียงละ”
วันวิสาฟาดหลังภรพเต็มแรง
ภรพร้องชู่ว์
วันวิสาถามเบา “อะไร”
“ไม่รู้”
“เสือรึเปล่า”
“ไม่แน่” ภรพทรุดลงแทบมอบกับพื้น
วันวิสาผวา กลัว ตั้งท่าจะโกยหนี ภรพคว้าข้อเท้าไว้หมับ กระตุกให้หมอบลง วันวิสาต้องหมอบตาม
“ตามมา เงียบๆ นะ”
วันวิสาจำใจคลานคืบตามภรพไปอย่างทุลักทุเล ได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
ภรพคลานคืบมาหยุดหลังพุ่มไม้แหวกพุ่มไม้ดูแล้วโบกมือส่งสัญญาณให้วันวิสาคลานเข้ามา
“อะไร”
ภรพชู่ว์ โบกมือให้เข้ามา วันวิสาคลานเข้ามา ภรพแหวกพุ่มไม้ให้วันวิสาดู
สายตาของทั้งคู่ มองไปยังเบื้องหน้าไกลๆ เห็นกวางฝูงเล็กฝูงนึ่งกำลังเล็มกินใบไม้กันอยู่ วันวิสาตื่นตะลึงเพราะไม่เคยเห็นสัตว์ป่าสดๆ เป็นๆ อย่างนี้ เธอเคลิ้มเหมือนต้องมนต์
“น่ารักจังเลย น่ารักจังเลย”
กลายเป็นว่าใบหน้าภรพ หน้าวันวิสาแทบแนบติดกัน ทั้งคู่สนใจไปที่ฝูงกวางเบื้องหน้า จนสักพักภรพรู้สึกตัว กลอกตามองวันวิสาโดยไม่ขยับหน้า
วันวิสาหน้าตาอิ่มสุขกับการดูฝูงกวาง จนเผลอหน้ามาแนบหน้าภรพ ด้วยช่องที่แอบดูมันแคบมาก
ภรพตาค้างกับแก้มอุ่นๆ นุ่มๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เตยได้ใกล้ชิดผู้หญิงคนไหนแบบนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าฉวยโอกาสมากไปกว่านี้ มือที่เหนี่ยวกิ่งไม้ไว้เคลื่อนออก พุ่มไม้ดีดแทบทิ่มเข้าหน้าตา กลายเป็นสองคนหัวโขกกัน เสียงนั้นทำเอาฝูงกวางตกใจพากันวิ่งเตลิดหนีไป
วันวิสาโมโห
“อีตาบ้า กวางหนีกันไปหมดเลยเห็นไหม”
เมื่อสร้างกับดักสัตว์เสร็จ ภรพก็ทดสอบประสิทธิภาพกับดักนั้น โดยที่ก้นหลุมเป็นขวากแหลม
“ตัวไหนตกลงมาก็เรียบร้อย...เสร็จเรา”
ภรพวางกิ่งไม้ปิดปากหลุม, เอาใบไม้แห้งพรางปากหลุม วันวิสานั่งยอง ๆ ดู อย่างจิตตก
“นายจู๋ นายไม่คิดว่ามันโหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ”
“อ้าว ไหงสะบั้นอารมณ์กันยังงี้ล่ะเจ๊”
“ฉันกินมันไม่ลงหรอกนะ สัตว์พวกนี้มันน่ารักจะตาย”
“แต่มันเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของคนนะเจ๊”
“แต่เราก็เลือกกินอย่างอื่นแทนได้นี่นา มะพร้าวก็มี มันก็มี ปลาก็มี หอยก็ได้ นายลองคิดดูสิ ถ้านายกลายเป็นฝ่ายถูกล่าขึ้นมาบ้างนาย จะรู้สึกยังไง สัตว์โลกตัวไหนมันก็รักชีวิตมันด้วยกันทั้งนั้นแหละ”
ภรพอึ้ง นิ่งงันไปเลย มากกว่าการได้คิด เขาได้เรียนรู้ความคิดจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
เบื้องหน้าคือทะเลสวยน้ำใส วันวิสานั่งกอดเข่ามองเหม่อออกไปไกล ขณะภรพหิ้วสับปะรดออกมาจากป่า
“เจ๊จิ๋ม ดูซิผมได้อะไรมา” ภรพชูสับปะรดขึ้นอวด
“นายไปได้มาจากไหน” เธอถามน้ำเสียงเนือยๆ
“เลยน้ำตกขึ้นไปอีก นี่เจ๊ จะว่าไปนะ เกาะนี้มีทุกอย่างเลยให้อยู่เป็นปีเราก็อยู่กันได้”
วันวิสายิ้มแห้ง ๆ
ภรพใช้มีดผ่าสับปะรด แบ่งออกเป็นหลายชิ้น เหมือนฝ่าแตงโม แล้วยื่นให้วันวิสาชิ้นหนึ่ง วันวิสารับสับปะรดไปแล้ว เดินออกไปนั่งหันหลังให้ภรพ ก้มหน้ากิน
ภรพกัดสับปะรดกินแล้วเดินตามมานั่งข้างวันวิสา
“อืม หวานฉ่ำชื่นใจ แต่อย่ากินเยอะนะเจ๊ ขี้แตกไม่รู้ด้วย” ภรพหัวเราะร่า
แต่วันวิสาไม่ขำ ไม่เคือง จนภรพแปลกใจ หันไปมอง พบว่าใบหน้าที่ก้มอยู่ของวันวิสา มีหยดน้ำตาร่วง ไหลออกมา
“อะไร สับปะรดมันอร่อยจนเจ๊น้ำตาร่วงยังงี้เลยเหรอ”
“ฉันคิดถึงบ้าน ป่านนี้พ่อแม่ฉันคงเป็นห่วงน่าดูเลย”
ภรพไม่วายปากเสีย “พ่อแม่หรือว่าผัว”
วันวิสาหันมามองอย่างตำหนิแล้วเขวี้ยงเปลือกสับปะรดใส่ภรพ ลุกเดินหนีไปยืนร้องไห้ป้ายน้ำตาทิ้ง จนภรพตามเข้ามา
“เราจะไม่อยู่บนเกาะนี่อีกนานหรอก เจ๊ก็มีภาระของเจ๊ ผมก็มีหน้าที่ที่ต้องทำของผม เราจะหาทางออกไปจากเกาะนี่ให้ได้...เจ๊หยุดร้องไห้ซะที ผมไม่ชอบเห็นน้ำตาผู้หญิง”
วันวิสาป้ายน้ำตาทิ้ง “นายสัญญานะ”
“สัญญาก็ได้ ผมไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงนักหรอก โดยเฉพาะผู้หญิงติงต๊องอย่างเจ๊ เสียอารมณ์เปล่าๆ”
“อีตาบ้า”
วันวิสาโมโหสุดขีด เงื้อมือจะชก ภรพยึดหมัดเอาไว้ได้ไม่ยอมปล่อย พอวันวิสาจะเตะ ภรพรวบขาเธอเอาไว้อีก
ภรพแกล้งวันวิสาเล่นบนชายหาดอย่างสนุกสนาน ด้วยนั่นเป็นสิ่งที่เขาพอจะทำให้เธอลืมความทุกข์ อารมณ์เศร้าเจือจางลงไปได้บ้าง
อ่านต่อตอนที่ 3