ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในระดับโรงพักจะผ่านไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจยังคงมีประเด็นต่อเนื่องให้ได้พูดถึงอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วยที่ยังแก้ไม่ตก เห็นได้จากตำรวจหน่วยงานหนึ่งชื่อ "กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับค้ามนุษย์" หรือชื่อย่อ บก.ปคม. ออกไล่ล่าจับซ่อง จับสถานบริการแอบแฝงจนมีการย้ายตำรวจพื้นที่ทั้งในเขตนครบาล และภูธร หลายสิบนาย
ความผิดฐานบกพร่อง หรืออาจจะร้ายแรงถึงขั้นรับส่วยน้ำกาม ไล่กันตั้งแต่ระดับสารวัตร ผู้กำกับ ยันไปถึงผู้การฯ
เท่าที่สดับตรับฟังมาตำรวจใหญ่ระดับ สตช.บอกว่า เตือนกันมาหลายครั้งแล้วว่ารัฐบาลเขากำลังตอบสนองพวกฝรั่ง ที่กล่าวหาว่าประเทศไทยมีการค้ามนุษย์...ตำรวจใหญ่คนเดียวกันเล่าไปขำไป...ไหนว่าไม่กลัวอเมริกา...ไหนว่าเรามีอธิปไตยของเรา...แต่อาการกวาดจับอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตำรวจที่เหลือหม้อข้าวน้อยเต็มทีเขาปรับตัวไม่ทัน
ตัวอย่างเช่น จังหวัดอุดรธานี ซ่องค้าเนื้อสดตั้งอยู่ในซอยเสาไฟแดง กลางเมืองมานานแล้ว ถ้าใครเคยไปท่องราตรีประเทศสิงคโปร์ แถวๆ ย่านเก-ล้ง อาจจะนึกออก เพราะเป็นถนนสายโลกีย์อนุญาตให้ค้าประเวณีอย่างถูกกฎหมาย...ซอยเสาไฟแดง ก็เช่นกัน แต่กฎหมายไทยห้ามเอาไว้ ถนนบาปสายนี้เป็นแหล่งบันเทิงของหนุ่มกลัดมันทั้งหลาย ประมาณว่า มีซ่องโสเภณีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่กว่า 20 ซ่อง และมาในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เป็นบ้านพักแล้วปรับแต่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ซ่องระดับนี้ถือว่าเป็นซ่องโลโซ สนนราคาค่าบริการแบบเลือกได้ชั่วคราวราว 7-800 บาท อีกระดับหนึ่งสร้างเป็นตึกไม่ต่างอะไรจาก อพาทเม้นต์ มีห้องน้ำในตัว ค่าใช้จ่ายขยับตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป
ซ่องอุดรฯ จึงเป็นแลนด์มาร์คของการค้าประเวณีแห่งภาคอีสาน ลูกค้าประจำมีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในอุดรฯ และจังหวัดข้างเคียงไปจนถึงนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพมหานคร และต่างประเทศ เรียกว่าเป็นสวรรค์ของพวกสรรหาความสุขทางเพศก็ว่าได้ เพราะสาวลาวที่มาขายบริการนั้น ล้วนอยู่ในวัยกระเตาะ รูปร่างหน้าตา แต่ละคนสะสวยแต่งตัวทันสมัยไม่แพ้วัยรุ่นไทย จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของเสือป่าแมวเซาทั้งหลาย
ภาพที่ชาวบ้านเห็นจนชินตาก็คือ นักท่องเที่ยวหนุ่มๆ เดินเข้าบ้านนั้นออกมาแวะบ้านนี้ วนไปวนมา 3-4 บ้าน..โจ่งครึ่ม...ท้าทายกฏหมาย และศีลธรรม กลายเป็นเรื่องปกติของที่นี่
ต้องย้ำว่า มิได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นมานานแล้ว...นานกว่า 20 ปี...ส่วยน้ำกามจึงเป็นเนื้อเป็นหนัง ตำรวจหลายหน่วยได้ประโยชน์จากซ่องกันทั่วถ้วน ทั้งตำรวจท้องที่ สืบสวนจังหวัด สืบสวนภาค ตำรวจนอกหน่วย เช่น กองตรวจคนเข้าเมือง กองปราบปราม หรือ ปคม. มีตำรวจตัวดีบางคนมารับทรัพย์รับส่วยแจกจ่ายไปหลายระดับ
จำนวนเงินมากหรือน้อย ให้กลับไปดูกรณีส่วยคาราโอเกะ หรือซ่องแอบแฝงที่จังหวัดนครพนม ก่อนหน้าหลายปีแล้วเคยบมีเรื่องราวฟ้องร้องตำรวจระดับสูงของ ปคม.คนหนึ่ง ว่ากันว่ารับส่วยกันเดือนละ 30 ล้านบาท
จริงเท็จประการใด คดีความยังคาอยู่ที่ ป.ป.ช. ว่างๆ คงต้องสอบถามความคืบหน้าไปยัง พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตรอง ผบ.ตร.ในฐานะประธานการสอบสวนที่รู้เรื่องราวดีที่สุดคนหนึ่ง
เอาล่ะ...เหมือนฉายหนังซ้ำ ว่ากันพอหอมปากหอมคอ เพราะอย่างไรเสียไม่ว่าซ่อง ตจว. หรือซ่อง กทม. ที่กำลังเข้มงวดกวดขันกันอยู่นั้น อีกไม่ช้าไม่นานต้องกลับมาแน่ ตราบใดที่มนุษย์ยังวนเวียนอยู่ใน รัก โลภ โกรธ หลง ตำรวจเองยังป้วนเปี้ยนอยู่กับผลประโยชน์ อะไรที่เคยกินเคยใช้กันอยู่ สมมุติว่าถ้าปลอดส่วยขาวสะอาดหมดจด ทั้งจ่า ผู้หมวด ผู้กอง สารวัตร ผู้กำกับ ยันผู้การฯ รับทรัพย์กันแต่เงินเดือน เชื่อว่าอาชีพตำรวจก็คงไม่เป็นที่นิยม อาจถึงขั้นขาดแคลนกันเลยก็ได้
มาเรื่องต่อเนื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ และการซื้อขายตำแหน่งตำรวจกันอีกครั้ง...ข่าวไฮโซสาว “ตั้ม”วิชชุดา ลีนุตพงษ์ ทายาทเศรษฐีพันล้าน เจ้าของกิจการรถยนต์หรูออกมาแฉ อดีตแฟน “รองอั๋น”พ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุลรอง ผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สน.สุทธิสาร เซเล็บตำรวจหนุ่มสุดหล่อ ด้วยข้อกล่าวหา ขอยืมเงิน 5 ล้านบาท เพื่อไปใช้จ่ายค่าความก้าวหน้าในวงการตำรวจ
“จ่ายค่าความก้าวหน้า”จะเข้าข่าย “ซื้อขายตำแหน่ง”อย่างไร หรือไม่ ลองมาอ่านข้อความที่ คุณวิชชุดา โฟสต์เอาไว้ในเฟชบุ๊กดังนี้....
"เรื่องของเรื่องคือ คุณรู้จักดิชั้นไม่ถึงเดือน คุณก็มาถามแล้วว่า ถ้าคุณต้องใช้เงินหลักล้าน เพื่อขึ้นตำแหน่งผู้กำกับ ดิชั้นจะช่วยคุณได้หรือเปล่า........บอกสื่อเหมือนที่บอกกับคุณอย่างไม่อายเลยค่ะว่า ตอนนั้นที่ตอบว่า “ช่วย” เพราะคิดว่าคุณเข้ามา ก็เพราะเรื่องเงิน ตอนนั้นคุณกำลังหล่อ กำลังดัง จะไปจีบใครก็ได้ ถ้าตอบว่าไม่ช่วย คุณก็คงเลิกคุย ดิชั้นเลยตอบว่าช่วย....
พอคบไป ดิชั้นก็เริ่มไว้ใจ หมดความคิดว่า คุณมาเพราะเงิน แต่พอถึงวันนึงคุณต้องให้ดิชั้นช่วยด้วยเงิน 5 ล้าน แล้วดิชั้นสารภาพว่า ช่วยไม่ได้ เพราะไม่เคยเอาเรื่องอุบาทว์นี้ไปบอกพ่อบอกแม่ หรือแม้แต่บอกเพื่อน คุณก็เลยขอเลิก….
คราวนี้ลองไปอ่านคำชี้แจงของฝ่ายชายกันบ้าง.... พ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุล รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สน.สุทธิสาร ใช้คำอธิบายแทนตัวเองว่า “ฝ่ายชาย” โดยอธิบายว่า เป็นเรื่องของคน 2 คน ที่คบกันแล้วเลิกกันไป แต่ฝ่ายหนึ่งผิดหวังจึงอยากทำลาย พร้อมกับปฏิเสธไม่เคยขอเงินฝ่ายหญิงแม้แต่บาทเดียว
“ชีวิตฝ่ายชายมาได้ทุกวันนี้ ยืนยันว่า มาด้วยการทำงานตามปกติ ไม่เคยเสียเงินในการขึ้นตำแหน่ง ตามที่ถูกกล่าวหาแม้แต่บาทเดียว ทุกคนที่รู้จักรู้ดี”
การตอบโต้ 2 คนดังที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น หากมองว่าเป็นเรื่องหึงๆ หวงๆ เรื่องของความรัก ถ้าจบด้วยการเลิกลา มักมีเรื่องไม่ค่อยดีตามมา เหมือนกับที่เปรียบกันว่า ยามรักยอมตายแทนกันได้ แต่พอยามชัง จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปข้าง แต่สำหรับกรณีนี้ต้นสังกัดอย่าง กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ กระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่สนใจพิสูจน์ความจริงกันบ้างหรือ
ก่อนหน้าเคยมี อดีต ส.ส.คนดังของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่า มีการวิ่งเต้น ซื้อขายเก้าอี้กันขนานใหญ่ ราคาว่ากันตั้งแต่ 8 แสน จนถึง 30 ล้านบาท และแม้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะออกมาปปฏิเสธอย่างทันควัน แต่คราวนี้มีการพูดถึงอีกโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม
แน่นอนว่า พอตั้งเรื่องจะเชิญมาสอบ หรือเชิญมาให้ข้อมูล คุณวิชชุดา ก็อาจจะปฏิเสธ เพราะคงต้องการระบายความรู้สึกไปเท่านั้น แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ล่ะ จะให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเล่นๆ หรือ
กระทั่งพ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุล นายตำรวจสุดหล่อก็เถอะ จะทำแค่ปฏิเสธทางเฟชบุ๊กแค่นั้น โดยไม่มีการพิสูจน์ตัวเองในทางอื่น
เขากล่าวหาว่าคุณไปขอเงิน 5 ล้านบาท เพื่อซื้อตำแหน่งผู้กำกับเชียวนะ...เสียหายหลายแสนหลายล้าน ทั้งเกียรติภูมิตัวเอง และครอบครัว เสียหายองค์กรที่คุณรัก แม้จะต้องเอาเรื่องกับอดีตแฟน มีเรื่องกับสตรีถึงขั้นนี้ถ้าฟ้องร้องกัน ก็คงไม่มีใครขัดข้อง
สุดท้ายคงเป็นสิทธิส่วนบุคคล ว่ากันตามสะดวกทุกฝ่าย... แต่สำหรับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นทำเรื่องไร้สาระอะไรมาก็มาก เรื่องอย่างนี้ท่านมองว่าอย่างไร
ขนาดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนขยันท่านยังไม่ยอมมองผ่านชื่อ “ข้าวลืมผัว” ไปเลย ไม่รู้ว่าวันนี้กรมการข้าวไปเปลี่ยนชื่อเพื่อป้องกันความแตกแยกหรือยัง