แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 12
วันใหม่ พริบพราวที่อยู่ในชุดลำลองเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยหน้าตาไม่ค่อยพอใจระคนแปลกใจ
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
องศานั่งหันหลังรออยู่ยิ้มและหันมา
“ทักได้เป็นมิตรมากครับ” องศาประชด
“ถ้าไม่ตอบ ฉันจะให้คนไล่ออกไป”
องศาพูดสวน “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเล่นละครเก่งมาก โดยเฉพาะบทแฟน ถ้าผมไม่รู้ข่าวว่าคุณเพิ่งตกลงปลงใจคบกับปราณนต์ ผมคงเชื่อสนิทว่าคุณเป็นแฟนกับเค้ามาตั้งนานแล้ว ตามที่คุณ “แสดง“ สงสัยจะอินกับบทแฟนมากไปหน่อย เล่นไปเล่นมา เป็นแฟนกันจริงๆซะเลย .. แบบนี้ผมชักจะสนใจคราวหน้าถ้าผมต้องการให้คุณมาเล่นเป็นแฟนผมบ้าง จะได้หรือเปล่า” องศายิ้มกวน
พริบพราวยิ้มร้าย “ได้สิคะ แต่ฉันคิดค่าจ้างแบบกันเอง” องศายิ้ม “ฉันขอแค่ให้คุณไปตาย ถ้าคุณจ่ายได้ .. ฉันก็พร้อมจะรับบทแฟนคุณทันที”
องศาหุบยิ้มแค้นๆ พริบพราวไม่แคร์แล้วก็รีบตะโกน
“มีใครอยู่บ้าง ส่งแขก”
คนรับใช้และคนรถที่อยู่แถวนั้นรีบวิ่งมา องศารีบพูดสวน คนรับใช้ชะงัก
องศารีบพูดสวน “ผมไปแน่ ผมแค่จะมายื่นข้อเสนอ เรียบร้อยแล้วก็จะกลับ”
คนรับใช้มองหน้าพริบพราว พริบพราวคิดแล้วก็พยักหน้าให้หยุดฟังข้อเสนอ องศายิ้มและพูดอย่างมั่นใจ
“ถ้าคุณออกจากนารากรมาทำงานกับผม คุณจะได้เงินเดือนที่สูงขึ้น ค่าคอมมิชชั่นที่มากขึ้น และได้ถือหุ้นบริษัท ! ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทะเยอทะยาน และรักการเสี่ยง .. คุณคงรู้ดีว่าควรจะเลือกอะไร”
องศายิ้มท้าทายและวางนามบัตรไว้ก่อนจะเดินออกไป พริบพราวเรียกไว้
“เดี๋ยว”
องศาชะงักแล้วก็ยิ้มว่าพริบพราวต้องสนใจแน่ๆ องศาหันมา
พริบพราวพูดต่อ “เก็บนามบัตรของคุณกลับไปซะ อย่ามาทิ้งไว้ให้เป็นขยะที่บ้านนี้” องศาสะอึก “เพราะฉันไม่มีวันไปทำงานกับคุณ และคุณเองก็ไม่ควรจะแย่งตัวพนักงานไปจากนารากร ไม่ว่าจะเป็นฉัน หรือพี่แสนดี”
พริบพราวปรายตามาสั่งคนรับใช้ คนรับใช้จะเข้ามาจับตัวองศา องศายกมือห้าม
“ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้” องศาพูดกับพริบพราว “เปลี่ยนใจเมื่อไหร่...เจอกัน”
องศายังทิ้งท้ายด้วยความท้าทาย พริบพราวมองเขาด้วยความรังเกียจ
“พี่ลิปมีญาติแบบนี้ได้ยังไง ไม่เข้าใจเลย”
อวัศยาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆ เธอสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาโดยที่ข้างๆ ไม่มีลิปดาแล้ว
อาหารเช้าหน้าตาน่ากินมากวางอยู่บนโต๊ะ อวัศยาเดินออกมาจากห้องนอน
อวัศยาตะโกนเรียก “บอส”
ลิปดาหันไปพูด
“ตื่นแล้วเหรอคุณ หิวมั้ย อาหารเช้าเสร็จพอดี หม่ำกัน”
อวัศยาหันขวับมาเห็นลิปดายิ้มสดใส อวัศยาเดินมาหาเขาแบบงงๆ
ลิปดาพูดเหมือนไม่คืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นอนหลับสบายมั้ยครับ”
อวัศยาเดินมานั่งที่โต๊ะแบบงงๆ “นี่บอสจำไม่ได้เลยเหรอว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ลิปดาทำหน้าคิดแล้วตอบกวนๆ “จำไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นเหรอ เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
อวัศยาชะงักกึก ภาพเมื่อคืนย้อยกลับมาทันที
ภาพตอนที่ทั้งคู่กอดกันในลิฟท์ จูบกันบนเตียง และนอนกอดกันทั้งคืน
อวัศยาหน้าแดง
ลิปดาแกล้งยื่นหน้าเข้ามา “คิดอะไรอยู่ทำไมหน้าแดง ตกลงเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
อวัศยาดันหน้าลิปดาออก “ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ลิปดาหน้าหงายไปตามแรงผลักแล้วก็จับมืออวัศยามารวบไว้พร้อมกับหันมา
“ไม่จริง มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ผมจำได้ลางๆ ..” ลิปดาทำเป็นคิด “เหมือนกับว่าผมจะเมามาก แล้วผมก็นอนที่ล็อบบี้ แล้วคุณก็ไปพาผมขึ้นมา แล้วผมก็ถอดเสื้อ แล้วผมก็ไปนอนบนเตียงคุณ แล้วผมก็จ....”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”
“ทำไมไม่ให้พูด อายเหรอ”
อวัศยาทำเสียงดังใส่ เล่นใหญ่ไว้ก่อน “ไม่อาย ฉันไม่ได้อายสักหน่อย”
“ไม่จริง คุณอายดูสิหน้าแดงใหญ่แล้ว” ลิปดาหัวเราะ
อวัศยายังทำเสียงเข้ม “ฉันไม่ได้อาย หน้ามันแดงเอง ไม่ได้อายสักหน่อย”
“คุณไม่อาย”
“ใช่ !”
“เมื่อคืนผมก็ไม่เมา”
“ใช่” แล้วอวัศยาก็ตาค้าง “หือ”
“ทุกอย่างที่ผมทำ ตั้งแต่เดินเข้าไปในห้องนอน .. ผมมีสติ และตั้งใจทำทุกอย่าง”
อวัศยาลุกพรวดด้วยความตกใจ “คุณทำแบบนั้นทำไม”
ลิปดากลืนน้ำลายคิดในใจว่าเอาวะ “ที่ผมทำเพราะ..ผม...”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศความโรแมนติกอย่างสิ้นเชิง
“ผม ...”
อวัศยาลุ้นๆ เสียงโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่อง ลิปดาเสียสมาธิ
“ฮึ่ย ผมขอปิดเสียงแป๊บนึงนะ...เดี๋ยวมาต่อ”
อวัศยาพยักหน้า ลิปดารีบหันไปจะปิดเสียงโทรศัพท์
โทรศัพท์ขึ้นชื่อ “แจน” ลิปดาลังเลแต่ก็ตัดใจกดปิดเสียง ทันใดนั้นก็มีข้อความเข้า “เจมส์ป่วยหนัก ลิปอยู่ไหน” ลิปดาชะงักกึกแล้วก็หน้าเสีย แล้วเขาก็กดโทรกลับไปทันที
อวัศยาเห็นแล้วก็งง เธอปรายตาแอบมองว่าลิปดาทำอะไร ลิปดาหันมาชูนิ้วชี้เหมือนจะบอกว่า “ขอหนึ่งนาที” ลิปดาหยิบโทรศัพท์มาแนบหูฟังสัญญาณรอสาย อวัศยาขมวดคิ้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฮัลโหลขอโทษทีรับไม่ทัน เป็นไงบ้าง” ลิปดาหน้าเสีย “โอเคๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
อวัศยางง ลิปดาหันมาทางอวัศยาแล้วพูดเสียงเครียด
“ผมขอโทษ พอดีมีเรื่องด่วนเข้ามา ต้องรีบไปจัดการ”
ลิปดาพูดไปก็วิ่งหยิบของไปด้วย ทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถ โทรศัพท์ หมวกกันน็อคแล้วก็หันมาทางอวัศยา
“คุณทานอาหารเลยนะ ไม่ต้องรอผม” ลิปดาบอก อวัศยางงๆ
ทันใดนั้นลิปดาก็พุ่งเข้ามาและหอมแก้มอวัศยาหนึ่งฟอด อวัศยาตกใจ
“บอส”
ลิปดายิ้ม “See you”
ลิปดารีบเดินพรวดออกไปเลย อวัศยายังอึ้ง มึน และเอ๋ออยู่ เสียงประตูห้องปิดลงทำให้ทั้งห้องเงียบ อวัศยานั่งแล้วก็ค่อยๆ เอามือมาจับแก้มเบาๆ แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง อวัศยารู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ
ปราณนต์ถามเปรี้ยวด้วยความแปลกใจ
“ป้าจะให้ผมกับพราวช่วยกันขายห่อหมก...หมดนี่เนี่ยนะ”
ปราณนต์ยืนอยู่ที่หน้าแผงห่อหมกกับพริบพราว เปรี้ยวยืนทำหน้าเหมือนยุ่งมาก
“ใช่ พอดีป้ามีนัดสำคัญต้องรีบไปด่วนเลย ป้าฝากแผงไว้กับณนต์ กับ....หนูพราว จะได้หรือเปล่า หนูพราวจะรังเกียจหรือเปล่า” เปรี้ยวดราม่าเล็กน้อย “แต่ถ้าหนูพราวไม่อยากมายืนร้อน ๆ ในตลาดนัดเล็กๆ ก็ไม่เป็นไรนะ ป้าเอาห่อหมกพวกนี้...ไปทิ้งก็ได้ ไม่ต้องขง ต้องขายมันแล้ว”
ปราณนต์งง “อ้าว”
พริบพราวรีบบอก “พราวไม่รังเกียจหรอกค่ะ เชิญคุณป้าตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวพราวกับณนต์ช่วยกันจัดการขายห่อหมกพวกนี้เองค่ะ”
พริบพราวพูดด้วยความจริงใจ เต็มใจ ปราณนต์หันมามองหน้าพริบพราวแบบไม่อยากเชื่อ พราวยิ้ม
เปรี้ยวถามย้ำ “แน่ใจนะ ฝืนใจหรือเปล่า”
“ไม่ฝืนเลยค่ะ พราวเต็มใจ คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะ พราวอยู่ด้วยความเต็มใจค่ะ”
เปรี้ยวทำเป็นพยักหน้ารับ “ก็ได้ๆ ถ้าไม่ฝืนใจ งั้นป้าก็ไปก่อนนะ ฝากร้านด้วย ถ้าขายหมดก็จะขอบคุณมากๆ ไปแหละ”
เปรี้ยวรีบชิ่งไปเลย ปราณนต์หันมาทางพริบพราว
“ไหวแน่นะ”
“ไหวสิ .. พราวชอบขายของ จำความได้ก็เล่นขายของมาตลอด ไม่เคยเป็นคนซื้อเลยนะ เป็นคนขายอย่างเดียว เห็นอะไรก็อยากจะขาย..ขาย..ขายให้หมด”
พริบพราวยิ้มสู้แล้วก็หันมาทางห่อหมก
“วันนี้ก็แค่เปลี่ยนจากขายหุ้นมาขายห่อหมก สนุกจะตาย” พริบพราวเริ่มคิด “จะทำยังไงถึงจะขายห่อหมกพวกนี้ให้หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว”
พริบพราวรู้สึกสนุกกับมิชชั่นที่ได้รับมอบหมาย ปราณนต์มองแล้วก็ยิ้มพลางคิดในใจว่า “เออ เป็นคนแปลกจริงๆ” เขาเริ่มสนุกด้วย
เปรี้ยววิ่งมาแล้วก็รีบหลบเพื่อแอบดูที่มุมตึกด้วยความตื่นเต้นกึ่งลุ้นกึ่งดูถูกนิดๆ ว่าจะทนได้สักกี่นาที
พริบพราวยังคิดต่อ
“ห่อหมกในตลาดนัด ขายห่อละ 50 บาท ราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าที่มาเดินตลาดนัด”
พริบพราวหยิบห่อหมกมาหนึ่งกระทงแล้วก็ชิมแล้วก็ชื่นชม
“อร่อยมาก ไม่คาว ไม่เผ็ดเกินไป หอมพริกแกง”
“วิเคราะห์ยังกะเป็นนักชิม” ปราณนต์ว่า
“ถึงจะทำอาหารไม่เป็น แต่ก็มีรสนิยมในการกินนะคะ ขอบอก”
ปราณนต์ยิ้ม “เชื่อ ! อร่อย แล้วไงต่อ”
พริบพราวมองไปรอบๆ “สินค้าดี แต่โดนราคาคนเลยไม่กล้าซื้อ เราต้องดึงดูดความสนใจลูกค้าให้หันมามองและสร้างความน่าเชื่อถือ” พริบพราวปิ๊งไอเดีย “คิดออกแล้ว เดี๋ยวมานะ”
พริบพราววิ่งไป ปราณนต์มองตามงงๆ
“พราว พราวจะไปไหน พราว”
พริบพราวไม่ตอบแต่วิ่งไปเลย
เปรี้ยวยังแอบดู
“จะไปไหนของเค้า หรือว่า จะวิ่งหนีกลับบ้าน”
ปราณนต์ที่ยืนอยู่หน้าแผงชะเง้อมองหาพริบพราว
ทันใดนั้น พริบพราวก็วิ่งมาพร้อมกับถุงใส่ช้อนพลาสติกและถ้วยพลาสติกเล็กๆ
“เอาช้อนกับถ้วยพลาสติกมาทำอะไร”
“ทำแบบนี้ไง”
พริบพราวใช้ช้อนเล็กตักห่อหมกใส่ถ้วยพลาสติกเล็กๆ เป็นคำๆ แล้วเรียงใส่ถาดอย่างรวดเร็ว
“เอาไว้ให้ลูกค้าลองชิม พราวมั่นใจว่าถ้าเค้าได้ชิมจะรู้ว่าคุณภาพ รสชาติ มันเกินราคา การตัดสินใจซื้ออาจจะง่ายขึ้น”
“อ๋อโอเค เข้าใจหล่ะ มาผมช่วย”
ปราณนต์กับพริบพราวช่วยกันตักห่อหมกใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วเรียงใส่ถาดอย่างสวยงาม
เปรี้ยวยังแอบดูด้วยความสนใจและสงสัย
“ทำอะไรกัน”
ถ้วยใส่ห่อหมกถ้วยเล็กๆ วางเรียงกันประมาณ 20 กว่าถ้วย พริบพราวหันมาทางโทรศัพท์มือถือ เลื่อนหาเพลงประจำตัวแล้วก็กดปุ่มที่หน้าจอ เสียงดนตรีบีทแดนซ์ดังขึ้นมาอย่างฮึกเหิม
ปราณนต์งง “เฮ้ยย ทำไร”
“เรียกแขก”
พริบพราวพูดจบก็หันไปเต้นเข้าจังหวะซึ่งเป็นการเต้นท่าไม่ยากแต่น่ารัก
คนในตลาดที่เดินไปหาหันมามอง หลายคนยิ้ม บางคนเริ่มเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูป บางคนถ่ายเป็นคลิป ปราณนต์มองพริบพราวแล้วก็อึ้ง พริบพราวเต้นอย่างน่ารักและมีความสุข
ปราณนต์ร้องออกมา “ว้าว”
เปรี้ยวอึ้ง
“โห..ลงทุนเว้ยเฮ้ย”
เปรี้ยวรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและวิ่งมาแอบถ่ายด้วยความตื่นเต้น
พริบพราวเต้นต่อเนื่อง คนเริ่มเดินเข้ามามุง ปราณนต์ยิ้มชอบใจ พริบพราวเต้นจบท่อน คนปรบมือ
พริบพราวตะโกน “ขอบคุณมากค่า ! ชมการแสดงแล้วเชิญชิมห่อหมกปลาแสนอร่อย !!ปลาเนื้อแน่น พริกแกงหอมกรุ่น ชิมกันคนละคำสองคน ซื้อไม่ซื้อไม่ว่ากันนะคะ เชิญชิมฟรีได้เลยค่า” พริบพราวหันมาทางปราณนต์ “ณนต์” พริบพราวพยักหน้าให้เอาถาดถ้วยชิมมาแจก
“โอเคๆ” ปราณนต์ยกมาสองมือแบบเท่ๆ “เชิญชิมฟรีเลยครับ มีทั้งห่อหมกปลาช่อนกระหล่ำปลี ใบยอก็ดีนะครับ ชิมฟรีครับชิมฟรี ไม่มีชาร์จ”
พริบพราวกับปราณนต์ช่วยกันแจก ชาวบ้านรีบเข้ามารุมด้วยความสนใจ
“อร่อยๆ อันเท่าไหร่”
“ห้าสิบบาทครับ”
“ใบยออันนึง กระหล่ำอันนึงนะ”
“ครับๆ เดี๋ยวผมใส่กล่องให้ครับ”
ปราณนต์รีบวิ่งไปหยิบห่อหมกใส่กล่อง รับเงิน ทอนเงิน คนอื่นเข้ามาสั่งต่อ ปราณนต์ขายที่หน้าร้าน ส่วนพริบพราวเดินแจกตัวอย่างให้ชิมฟรี บรรยากาศดูคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ
พริบพราวกับณนต์ช่วยกันขายของอย่างสนุกสนาน จังหวะที่ปราณนต์หันมามองพริบพราวก็เห็นพริบพราวกำลังคุยกับลูกค้าอย่างไม่มีฟอร์มและไม่ถือตัว ปราณนต์อมยิ้มมีความสุข พริบพราวหันมาเห็นว่าปราณนต์มองอยู่ก็ยิ้มสดใสให้จนเป็นความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน
พริบพราวหันกลับมาที่ลูกค้าแล้วก็ต้องชะงักที่เห็นเปรี้ยวยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เปรี้ยวยืนยิ้มและปรบมือให้ พริบพราวแปลกใจแล้วก็เริ่มเข้าใจ
คลิปตอนพริบพราวเต้นถูกเปิดดูจากมือถือเปรี้ยว ปริมกับปุ้มหัวเราะชอบใจ เปรี้ยวยืนอยู่อีกมุม ปราณนต์กับพริบพราวนั่งอยู่ด้วยกันแล้วยิ้มมีความสุข พริบพราวหัวเราะเขินๆ ที่ทำไปได้
“น้องพราวทุ่มเทมากค่ะ พี่ปรบมือให้” ปุ้มปรบมือรัวๆ
“เป็นการขายที่ประสบความสำเร็จมากครับ แค่สองชั่วโมงขายหมดเกลี้ยง”
“ขอบใจมากนะจ้ะ” ปริมหันมาทางเปรี้ยว “เป็นยังไง แบบนี้เรียกว่าผ่านมั้ย”
เปรี้ยวพูดทันที “ยัง”
ทุกคนหันมาทางเปรี้ยว เปรี้ยวทำหน้าเข้ม
“ยังไม่ให้ผ่านจนกว่าจะสอนป้าเต้นให้ได้แบบนั้นบ้าง” แล้วเปรี้ยวก็ทำท่าเหมือนพริบพราว แต่ค่อนข้างฮากว่า “อย่างนี้ใช่ป่ะ”
ทุกคนขำท่าเปรี้ยว ปุ้มโบกมือ
“ไม่ใช่เลยป้า ปุ้มว่าเอาไว้ให้น้องพราวว่างๆ มาสอนดีกว่านะ วันนี้หิวแล้ว เราไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ ดูป้าเต้นมากกว่านี้เกรงว่าจะกินไม่ลง” ปุ้มว่า เปรี้ยวค้อน
ปริมพูดกับพริบพราว “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แม่เตรียมกับข้าวอร่อยๆไว้ให้ ไปกินกันนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปราณนต์มองพราวแล้วก็ยิ้มมีความสุขที่เห็นพริบพราวเข้ากับคนในครอบครัวได้ ทุกคนกำลังจะลุกไป เปรี้ยวพูดขึ้น
“เดี๋ยว! ก่อนกิน ป้าขอให้หนูพราวมาช่วยอีกแค่อย่างเดียว สุดท้ายแล้วจริงๆ”
“อารายอีกป้าเปรี้ยว” ปุ้มถาม
“แค่ออกไปช่วยยกของที่รถหน้าบ้าน แป๊บเดียว”
“เดี๋ยวผมไปยกให้เองครับ” ปราณนต์บอก
“ไม่ต้องๆ ของไม่ได้หนักมาก ป้ากับพราวยกแค่สองคนได้ ณนต์ไปช่วยแม่กับปุ้มจัดโต๊ะในครัวเถอะ แป๊บเดียวๆ ไม่นาน” เปรี้ยวเดินนำออกไปจากบ้าน
ปราณนต์เกรงใจไม่อยากให้พริบพราวทำ พริบพราวรีบบอก
“พราวไปช่วยป้าเปรี้ยวเอง เดี๋ยวมา”
พริบพราวยิ้มให้ปราณนต์แล้วก็เดินตามเปรี้ยวไป ปราณนต์มองตามด้วยความเป็นห่วง
กองของวางอยู่หน้าบ้าน เปรี้ยวยืนจัดเรียงของ พริบพราวเดินตามออกมาเพื่อจะช่วย
“พราวช่วยค่ะ” พริบพราวกำลังจะยกซึ้งไป
เปรี้ยวเอ่ยถาม “เธอคิดยังไงกับปราณนต์กันแน่”
พริบพราวชะงักมองหน้าเปรี้ยวงงๆ
เปรี้ยวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้หญิงอย่างเธอจะหาผู้ชายที่เพอร์เฟคแค่ไหนก็ได้ .. แต่ทำไมเธอถึงเลือกณนต์”
พริบพราวพูดออกจากความรู้สึก “พราวไม่เคยคิดว่าจะมีใครเพอร์เฟค แต่ละคนก็มีจุดบกพร่อง .. พราวก็มี แต่ณนต์เป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มและแก้ไขจุดบกพร่องนั้น ทำให้พราวเข้าใจคนอื่น เข้าใจตัวเอง และมีคุณค่ามากขึ้น”
ปราณนต์ที่ยืนแอบฟังอยู่รู้สึกตื้นตันใจ
พริบพราวพูดต่อ
“พราวมีความสุขเวลาที่ทำให้ณนต์ได้หัวเราะ”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่ปราณนต์กับพริบพราวอยู่ด้วยกัน ภาพความเปิ่น เอ๋อ วีน เหวี่ยง หรือ ความคุณหนูของพริบพราวทำให้ปราณนต์ขำ
“พราวรู้ว่า..ณนต์เองก็มีความสุขเวลาที่ทำให้พราวเป็นที่รักของคนอื่นมากขึ้น”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่พริบพราวเข้ากับคนในออฟฟิศได้ดีขึ้น ตอนที่เธออยู่ครอบครัว และเข้ากันได้มากขึ้น
ปราณนต์คิดแล้วก็ตื้นตันเพราะว่ามันคือความจริง
พริบพราวพูดต่อด้วยความสุข
“เราสองคนไม่ใช่คนเพอร์เฟค แต่เราเข้ามาเติมในจุดที่ขาดของกันและกัน ...ณนต์คือผู้ชายที่ลงตัวกับพราวมากที่สุด มันคือสิ่งที่เพอร์เฟคที่สุด นี่คือเหตุผลที่ทำให้พราวเลือกณนต์”
พริบพราวพูดตรงๆ ซื่อๆ
ปราณนต์ประทับใจ
เปรี้ยวพยักหน้าเพระาเริ่มใจอ่อนและยอมรับจนได้
“ได้ยินแบบนี้แล้วก็โล่งอก..ป้าเห็นความเป็นคนตรงไปตรงมาของพราวแล้วก็สบายใจ บอกตรงๆกลัวอยู่อย่างเดียว ความไม่จริงใจ”
พริบพราวเจ็บจี๊ดเหมือนโดนมีดปักกลางใจ
เปรี้ยวพูดต่อ “ถ้าคิดจะคบกันแล้ว ขอให้ตรงไปตรงมาแบบนี้ตลอดไป อย่ามีอะไรที่ปิดบัง หรือ หลอกลวงกันแค่นั้นก็พอ”
พริบพราวสะอึก เปรี้ยวจับมือพริบพราว
“ยินดีต้อนรับ ตอนนี้หนูเป็นหลานสาวคนนึงของป้าแล้วนะ” เปรี้ยวยิ้มเป็นมิตร
พริบพราวยิ่งรู้สึกผิด “ขอบคุณมากค่ะ”
พริบพราวยิ้มรับทั้งที่ในใจรู้สึกผิดอย่างแรงจนความกังวลฉายออกมา
ปราณนต์ยิ้มด้วยความดีใจซึ่งเป็นรอยยิ้มคนละความหมายกับพริบพราวอย่างสิ้นเชิง
เจมส์นอนซม ลิปดาเช็ดตัวให้เจมส์จนเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ยิ้ม
“ไงไอ้เสือ อาการดีขึ้นยัง พี่ลิปรอเล่นอยู่นะ”
“รออีกแป๊บนะครับ เจมส์ แค้กๆๆๆ จะรีบหายครับ”
“เก่งมาก”
ลิปดาจับหัวแล้วก็ลูบปลอบใจ เจมส์หลับตา ลิปดามองเจมส์ด้วยความรักแล้วลุกถือกาละมังใส่น้ำและผ้าเดินออกไป
ทันทีที่เปิดประตูออกก็มีหมัดสวนเข้าที่หน้าอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว
ลิปดาเซแล้วก็ล้มโครม “โอ้ย !!”
แจนเดินออกมาจากห้องครัวด้วยความตกใจ
“แมท”
ฝรั่งตัวใหญ่ หล่อ เข้มยืนอยู่ด้วยความโกรธ เจมส์ลืมตาขึ้นด้วยความงงแล้วก็ร้องเรียกขึ้น
เจมส์ร้องเรียก “แดดดี้”
ลิปดานอนอยู่ที่พื้นจับแก้มที่โดนต่อย
แจนเปิดประตูผัวะออกมา
"ออกไปเลยนะ แล้วก็คืนกุญแจบ้านมาด้วย ต่อไปห้ามเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต"
"เพราะมันใช่มั้ย" แมทชี้มาที่ลิปดา "คุณถึงไม่ยอมกลับมาคืนดีกับผม"
ลิปดาที่เดินเข้ามาพอดีงง แจนรีบสวน
"ไม่เกี่ยว ก็บอกแล้วไงว่า แจนกับลิปเป็นเพื่อนกัน เรื่องระหว่างเราสองคนไม่เกี่ยวกับลิป"
แมทเริ่มอ้อน "ถ้าไม่เกี่ยว..เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยแจน..ผมขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ผมรู้แล้วว่าผู้หญิงคนอื่นไม่มีค่าเลย เมื่อเทียบกับคุณ กับลูก"
ลิปดาคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ แมทพยายามอ้อนวอน แต่่แจนพยายามใจแข็ง
"มันสายไปแล้วแมท .. คุณทำให้ฉันรู้ว่าฉันกับลูกอยู่ได้โดยไม่มีคุณ..เพราะฉะนั้นฉันจะไม่กลับไปอีก ออกไป"
"แจน...”
"ฉันบอกให้ออกไป" แจนตะโกน
แมทจำใจต้องเดินออกไปด้วยความเศร้า พอลับหลังแมท แจนก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ ลึกๆ แล้วเธอไม่ได้เข้มแข็งแถมยังสับสน ลิปดาเดินมาหาเพื่อจะปลอบใจ
แจนสวน "ขอบคุณมากนะลิปที่มาช่วยดูแลเจมส์ ... แจนขออยู่คนเดียว"
ลิปดาชะงักแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ ลิปดาหันไปหยิบของส่วนตัวแล้วหันมามองแจนที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
อวัศยากำลังจะหยิบบะหมี่กระป๋องมาต้มกินด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อความเข้า
อวัศยาหยิบมาอ่าน “หยุดเลยนะ ห้ามต้มบะหมี่ ผมกำลังจะเข้าไปพร้อมกับอาหารเวียตนามสุดอร่อย” อวัศยางง “หือ รู้ได้ยังไง” อวัศยาดูบะหมี่กระป๋องในมือ
เสียงออดดัง อวัศยาหันขวับไปมอง
ประตูห้องเปิดออก ลิปดายืนพร้อมกับถุงอาหารจำนวนมาก
“อาหารเย็นมาแล้วครับคุณผู้หญิง”
อวัศยารับมา “ขอบใจ” แล้วอวัศยาก็ปิดประตูใส่หน้าลิปดาด้วยความหงุดหงิด
ลิปดาสะดุ้งที่ประตูกระแทกหน้า ลิปดารู้ชะตากรรมตัวเอง
“เฮ่อ งานเข้าจนได้”
อาหารเวียตนามมีทั้งปอเปี้ยะสด กุ้งพันอ้อย ฯลฯ วางเต็มโต๊ะ อวัศยาเคี้ยวตุ้ยไม่พูดไม่จา ลิปดามากระแซะๆ อวัศยาขยับเก้าอี้หนี ลิปดาก็มากระแซะอีก
“ขอโทษนะ ผมต้องไปช่วยเพื่อนทำธุระสำคัญ ก็เลยกลับมาช้า .. อย่าหึงนะ”
อวัศยาหันขวับ “ฉันไมได้หึง แต่ฉันหิว”
“แสดงว่าเคยชินกับการที่ผมเตรียมอาหารไว้ให้ พอผมไม่อยู่ก็เลยรู้สึกเหมือนขาดอะไรใช่มั้ยหล่ะ”
“ใช่” อวัศยาหลุดปากแล้วรีบเก๊กฟอร์มต่อ
ลิปดายิ้ม “ดีใจนะเนี่ย” อวัศยาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ลิปดาพูดต่อ “เออ นี่ พรุ่งนี้ผมจะยกห้องทำงานผมให้คุณ เดือนนี้ทั้งเดือนคุณทำงานที่นี่” อวัศยางง “ผมจะให้คุณทำโปรเจคพิเศษวิเคราะห์ข้อมูลหลักทรัพย์ของกลุ่มบริษัท IT ของเมกา เอาแบบละเอียดเจาะลึก ตามข่าวที่โน่นอย่าให้หลุด เดี๋ยวผมจะให้ contact คนของผมที่โน่นไว้ คุณทำงานอยู่ที่นี่สะดวกกว่า...ส่วนลูกค้าของคุณผมจะให้คุณพีดูแลแทนไปก่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเข้าบริษัท” ลิปดาพูดเบาๆ “ไม่ต้องเห็นหน้ากันจะได้ตัดใจง่ายๆหน่อย”
อวัศยาอ้าปากจะแย้ง แต่ลิปดารวบรัดตัดความ
“โอเคตามนี้นะครับ อะกินๆ” ลิปดาคีบปอเปี้ยะสดใส่ปากอวัศยาเลย “อร่อยใช่มั้ยหล่ะ”
อวัศยาเคี้ยวแทบไม่ทัน ลิปดาจะป้อนอีก อวัศยารีบห้าม
“พอแล้ว เคี้ยวไม่ทัน”
ลิปดารีบส่งน้ำให้ “น้ำครับน้ำ”
ลิปดารีบส่งแก้วน้ำให้แล้วก็หัวเราะที่ได้แกล้งอวัศยา อวัศยารับแก้วน้ำไปแล้วทำหน้างอนๆ ลิปดามองแล้วก็ยิ้ม
“ผมเพิ่งรู้ว่าการกลับมาห้องแล้วรู้ว่ามีคนรออยู่..มันมีความสุขแค่ไหน”
ลิปดามองอวัศยาด้วยตาหวานซึ้ง อวัศยาสะเทิ้นแล้วก็หลบตาก่อนจะพูดสวนลอยๆ
“ถ้ารู้ ทีหลังก็กลับให้มันเร็วๆหน่อย คนรอ...เค้าไม่มีความสุข” อวัศยาโคตรเขิน
ลิปดาหัวเราะ “โอเคครับ ผมจะกลับให้เร็วกว่านี้นะ”
อวัศยาพยักหน้าเขินๆ แล้วตอบเสียงในลำคอ “อื้อ” ลิปดาเห็นอวัศยาเขินแล้วก็ยิ้มมีความสุข
ลิปดาเอาผักมาเขี่ยหน้าอวัศยา “น่ารักอ่ะ”
อวัศยาผงะตาขวางๆ
“บ้าป่ะเนี่ยอยู่ๆมาชม” อวัศยาเขินมาก “ รีบๆกินเลย ล้างจานด้วย”
ลิปดาหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข
พริบพราวเดินถึงหน้าบ้านตัวเองโดยมากับปราณนต์ ปราณนต์จับมือพริบพราวไว้อย่างอบอุ่นและมีความสุขมาก พริบพราวสุขแบบมีความกังวลในใจ
ปราณนต์เอ่ยถาม “วันนี้สนุกมั้ย”
พริบพราวหันมาแล้วคิด คำพูดเปรี้ยวแว่บเข้ามาในหัวของเธอ
“ถ้าคิดจะคบกันแล้ว ขอให้ตรงไปตรงมาแบบนี้ตลอดไป อย่ามีอะไรที่ปิดบัง หรือ หลอกลวงกันแค่นั้นก็พอ”
พริบพราวกลืนน้ำลายเอื้อกและคิดว่าจะตอบยังไงดี แล้วเธอก็ตัดสินใจยิ้มแล้วตอบว่า
“สนุกมากๆเลย ทุกคนน่ารักมาก ทั้งคุณแม่ ป้าเปรี้ยว พี่ปุ้ม พราวรู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัวในเวลาอันรวดเร็ว”
ปราณนต์ยิ้มอย่างมีความสุข
“คิดเหมือนกันเลย เนียนมาก ฮ่าๆ”
พริบพราวยิ้มรับแล้วก็ค่อยๆหุบยิ้ม “ณนต์ ...” ปราณนต์หันมา “พราว..มีเรื่องอยากจะบอก” ปราณนต์ตั้งใจฟัง “พราว .. พราว”
ปราณนต์มองหน้าพริบพราวแล้วในแว่บนั้นอะไรบางอย่างในใจก็ผลักให้เขายื่นหน้าเข้าไปหาพริบพราวและจุมพิตที่ริมฝึปากของเธอในทันที พริบพราวตะลึงอึ้งค้าง ปราณนต์จูบพริบพราวด้วยความรักและอบอุ่นก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา พริบพราวยืนอึ้งตะลึงอยู่
“นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ....ผมรักคุณพราว”
พริบพราวน้ำตาร่วง ความสับสนปะทะเข้ามาพร้อมกัน ความดีใจความรู้สึกผิดความอึดอัดสุมอยู่ในความคิดและจิตใจ
ปราณนต์ตกใจ “พราวร้องไห้ทำไม ผม...ทำอะไรผิด พูดอะไรผิดหรือเปล่า”
พริบพราวส่ายหน้า “เปล่า...ณนต์ไม่ผิด...ณนต์ไม่ผิด” พริบพราวคิดในใจต่อ “พราวผิดเอง..พราวขอโทษ”
พริบพราวร้องไห้ไม่หยุด ปราณนต์ไม่รู้จะทำยังไงจึงดึงเธอมากอดและลูบหัวเพื่อปลอบใจ
“ไม่ต้องเสียใจนะ สิ่งที่ผมทำลงไป ผมรับผิดชอบทุกอย่าง...ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แค่จูบกันไม่ทำให้ท้อง แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมยินดีรับเป็นพ่อเด็ก”
พริบพราวขำออกมาเลย “บ้า”
ปราณนต์หัวเราะดีใจที่ทำให้พริบพราวหัวเราะได้
ปราณนต์ยิ้มและกอดพริบพราวไว้อย่างมีความสุข พริบพราวถอนหายใจเบาๆ เพราะพูดไม่ออก
อ่านต่อหน้าที่ 2
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ อวัศยาเตรียมชุดไปทำงานให้ลิปดา พอเปิดประตูห้องออกมาเห็นลิปดายืนใส่ผ้าขนหนูผืนเดียวรออยู่ อวัศยาก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ เธอรีบส่งให้และปิดประตูใส่หน้า ลิปดาขำ
ปราณนต์กับพริบพราวขี่จักรยานในสวนสาธารณะเช้ามืด มีคนวิ่ง คนเดินเป็นระยะๆ ทั้งสองคนปั่นไปด้วยกันอย่างมีความสุข
อวัศยากับลิปดาไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของเข้าบ้านเหมือนคู่รักทั่วไป อวัศยามองไปรอบๆ เห็นแต่หญิง ชาย และเด็กที่มากันเป็นครอบครัว อวัศยาแอบอมยิ้มนิดๆ
พริบพราวกับปราณนต์คุยกับลูกค้ามีการรับส่งเอกสารและโยนคิวพรีเซนต์ด้วยคอมพิวเตอร์อย่าง
เข้าขา สุดท้ายลูกค้ายอมเปิดพอร์ต ทั้งสองคนมองตากันแล้วร้อง Yes!
ลิปดาเคลียร์งานในออฟฟิศแล้วดูเวลาก็เห็นว่าใกล้เที่ยง เขารีบเดินออกมาจากห้องทำงานโดยสวนกับนิดาที่ถือถาดอาหารมาให้ ลิปดาโบกมือว่าไม่กิน นิดาเหวอๆ
อวัศยากางตำราทำอาหารซึ่งเป็นข้าวห่อสาหร่ายแต่ที่เธอทำดูเละเทะมาก ลิปดาเดินเข้ามาแล้วก็อึ้งเมื่อเห็นข้าวห่อสาหร่ายหน้าตาประหลาดล้ำ อวัศยายิ้มแหยๆ
เวลาผ่านไป ลิปดากินจนหมดและชูนิ้วให้กำลังใจทั้งที่แอบทำหน้าพะอืดพะอมสุดๆ อวัศยายิ้มเจื่อนๆ ปราณนต์ทำอาหารให้ครอบครัวพริบพราวกิน พ่อกับภูมิอาการหายเป็นปกติแล้วทำให้บรรยากาศ
เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
อวัศยารอกินข้าวเย็น สามทุ่มแล้วลิปดาก็ยังไม่มา อวัศยากำลังจะเซ็งแต่ลิปดาก็กระหืดกระหอบมาพร้อมกับดอกไม้ อวัศยาใจอ่อนและยิ้มได้
อวัศยาจัดชุดให้ลิปดาโดยแมทซ์สีกับเนคไท เธอเปิดประตูมาเห็นลิปดายืนเปลือยครึ่งท่อน คราวนี้อวัศยาไม่กรี๊ดแล้ว เธอนิ่งเฉย
อวัศยาทำอาหารคล่องขึ้น สวยงาม และน่ากินขึ้น ลิปดาดูข้าวห่อสาหร่ายที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็ชูนิ้วชื่นชม อวัศยายิ้มรับ
ปราณนต์พรีเซ็นต์โครงการเกี่ยวกับการกุศล มีรูปเด็กอดอยากและเด็กในโรงเรียน เขาพูดจนพ่อพริบพราวพยักหน้าเห็นด้วยและยอมเซ็นเปิดพอร์ตกับปราณนต์ พริบพราวกับปราณนต์ดีใจ
อวัศยารอกินข้าวเย็น วันนี้เวลาใกล้จะสี่ทุ่ม อวัศยาเริ่มเครียด ทันใดนั้นลิปดาก็มา อวัศยาหน้าบึ้ง ลิปดาชูแผ่นหนังผีขึ้นมา
“วันนี้วันธรรมดา ผมหาหนังผีมาให้คุณดูนะ หาตั้งนานกว่าจะเจอ เรื่องนี้คลาสสิคสุดๆ คุณต้องชอบ”
อวัศยามองแผ่นหนังแล้วก็ใจอ่อนอีกจนได้
อวัศยากับลิปดานอนดูหนังกันในห้องโดยทำเหมือนอยู่ในโรงหนัง ลิปดาทำเนียนแกล้งหลับพิงอวัศยา อวัศยาจะหนีแต่ก็เปลี่ยนใจไม่หนีโดยยอมให้ลิปดาหนุนไหล่ต่อไป ลิปดายิ้มมีความสุข
พริบพราวตั้งใจจะพิมพ์ข้อความบอกปราณนต์ เธอพิมพ์ที่หน้าจอว่า “...พราวมีเรื่องจะสารภาพ...พราวไม่ใช่แอบรัก...พราวไม่ใช่แอบรัก .. พราวไม่ใช่แอบรัก...” ปราณนต์เดินมา พริบพราวรีบปิดมือถือ
ปราณนต์ยื่นแก้วกาแฟ “กาแฟดำของคุณ”
พริบพราวมองแล้วก็เซ็ง “ขอบใจมาก” แล้วพริบพราวก็ฝืนกินด้วยความเซ็ง
พริบพราวมองปราณนต์แล้วก็อึดอัดเพราะใจอยากบอกมากๆ
อวัศยาซักผ้า รีดผ้า จัดห้องและทำทุกอย่างให้ลิปดาราวกับเป็นภรรยา อวัศยาทำอย่างมีความสุข แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์ อวัศยาแอบคิดอะไรบางอย่าง
อวัศยาอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ เธอเข้าไปเปิดอีเมลของ “แอบรัก” Love in The mist แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีอีเมลใดๆของใครทั้งสิ้น อวัศยาแอบใจหายเบาๆ แต่ก็ปิดอีเมลและเงยหน้ามองไปรอบๆห้องที่สดใสแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง
“ทุกคนลืมแอบรักไปหมดแล้ว เธอจะไปสนใจอีกทำไม .. ศยา ต่อจากนี้ไป จะไม่มีแอบรักอีกแล้ว จำไว้”
อวัศยาพยายามจะตัดใจและไม่สนใจอดีตอีกต่อไป โดยหารู้ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
แสนดีกำลังถ่ายเอกสารอย่างระมัดระวัง พริบพราวเดินเข้ามา
“พี่แสนดีคะ”
แสนดีตกใจ “คะ ๆๆ มีอะไรคะ” แสนดีรีบเก็บเอกสารด้วยท่าทางมีพิรุธ
“เอ่อคือ..” พริบพราวสงสัย “มีเอกสารเปิดพอร์ตลูกค้าใหม่ค่ะ พี่แสนดีถ่ายเอกสารอะไรอยู่คะ มีอะไรให้พราวช่วยหรือเปล่า”
“มะไม่มี...ไม่มีค่ะ พี่ทำเองได้ น้องพราววางเอกสารไว้เลยค่ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
พริบพราววางเอกสารไว้แล้วก็เดินกลับไปแต่แอบสงสัยและค้างคาใจ
เคสคอมพิวเตอร์ทำเป็นรูปดอก Love in a mist สวยงามเก๋ไก๋
“แต้แน๊ !!! เสร็จแล้วค่า....เคสรูปดอก เลิฟ อิน อะ มิสต์ อันสวยงาม แต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับน่าค้นหา” ปุ้มบอก
ปราณนต์มองด้วยความชื่นชม
“สวยมากพี่ปุ้ม ขอบคุณครับ พราวต้องชอบแน่ๆ” ปราณนต์บอก
“นี่ถามหน่อย ทำไมต้องเป็นรูปไอ้ดอก ชื่อ ยากๆนี่ด้วย มีอะไรฝังใจกันเหรอ”
“อ๋อ...พราวเค้าชอบน่ะครับ...เค้าใช้มันเป็นชื่ออีเมลของคุณแอบรักตอนที่เราคุยกัน .... “เลิฟ อิน อะ มิสต์”
“อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง อ้อนี่..แล้วจะเอาไปให้คืนนี้เลยหรือเปล่า”
“ครับ ผมจะพาเค้าไปกินข้าวแล้วก็ให้เป็นของขวัญกะจะเซอร์ไพรซ์น่ะครับ”
“แหมๆ หวีตอ่ะ อิจฉา” ปุ้มแซว ปราณนต์ยิ้มเขิน
ปราณนต์ยิ้มรับและมองดูรูปดอกไม้ที่อยู่บนเคสแล้วก็ยิ้ม คำพูดตอนคุยกับแอบรัก ตัวหนังสือในอดีตลอยกลับเข้ามาในความทรงจำ
ข้อความของปราณนต์ “ผมเพิ่งรู้จากกูเกิ้ลว่า Love in a mist หรือ รักในสายหมอก นั้นเป็นชื่อของดอกไม้.. ผมเห็นหน้าตาของเจ้าดอกไม้ดอกเล็กๆ นั่นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือ...ผมพบว่าดอก Love in a mist ที่แสนจะโรแมนติก กลับมีชื่อเรียกอีกชื่อที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วว่า Devil in a bush หรือ...ปีศาจในพุ่มไม้ คุณแอบรักครับ...บอกผมได้ไหมว่าคุณคือ ‘รักในสายหมอก’ หรือว่า ‘ปีศาจในพุ่มไม้’ กันแน่"
ปราณนต์ยิ้มๆ อย่างมีหวังว่าพริบพราวจะต้องชอบแน่ๆ
หม้อซุป ผักสลัด น้ำสลัด เส้นพาสต้า และ น้ำซอส วางเรียงอยู่ที่เตารออุ่นอีกรอบและกิน แต่เก้าอี้ที่โต๊ะอาหารว่างเปล่า อวัศยายืนมองแล้วก็เซ็งๆ เธอหันไปหยิบกระดาษโน้ตลายมือลิปดามาอ่าน
ก่อนหน้านี้ กระดาษโน้ตแผ่นนี้อยู่ในมือพนักงาน อวัศยายืนอยู่ที่หน้าห้อง พนักงานส่งของยืนถือของอยู่ตรงหน้าเธอ
“คุณลิปให้เอาของพวกนี้มาส่ง”
“ครับ..นี่เป็นข้อความจากคุณลิปดาครับ”
อวัศยารับมาอ่าน
อวัศยาอ่านข้อความ
“ผมจะรีบกลับมาหม่ำ ค่ำนี้เจอกัน ^^” อวัศยาขยำทิ้ง “ไม่ต้องมายิ้ม “รีบกลับ” เนี่ยนะ” อวัศยามองดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเกือบสามทุ่ม “รีบยังไง”
อวัศยาส่ายหน้า
“จะให้โอกาสอีก 15 นาที ถ้าไม่มาจะกินแล้วนะ”
อวัศยาประกาศก้องกับตัวเอง
พริบพราวพูดโพล่งออกมาเลย
“พราวไม่ใช่แอบรัก พราวขอโทษ...พราวทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปเพราะอารมณ์” พริบพราวน้ำตาคลอ “เพราะเข้าใจที่ศยาผิด คิดว่าจะเค้าจะมาหลอกณนต์ พราวไม่อยากให้ณนต์ต้องเสียใจถ้ารู้ว่าพี่ศยาไม่จริงใจ พราวเลยสวมรอยเป็นแอบรักแทนเค้า พราวขอโทษนะณนต์ .. พราวขอโทษ พราวผิดไปแล้ว ณนต์ยกโทษให้พราวนะ”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
พริบพราวสะดุ้ง พริบพราวยืนพูดกับกระจกในห้องน้ำ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” คนข้างนอกตะโกนถาม
“เอ่อ ไม่มีค่ะ ไม่มี..จะเสร็จแล้วค่ะ” พริบพราวบอก
พริบพราวรีบเช็ดน้ำตาและทำตัวให้เป็นปกติ
พริบพราวมองตัวเองในกระจก “ถึงเวลาที่ต้องสู้กับความจริงแล้ว พริบพราว”
พริบพราวให้กำลังใจตัวเองสุดๆ
เคสดอก LITM อยู่ในมือของพริบพราว
พริบพราวตาวาว “สวยมากก สวยมากๆเลยณนต์” พริบพราวหอมแก้มปราณนต์ “ขอบคุณมากๆเลยนะ พราวชอบมาก ฝากบอกพี่ปุ้มด้วย เดี๋ยวพราวจะเปลี่ยนใช้คืนนี้เลย”
ปราณนต์ยิ้มรับดีใจและมีความสุขสุดๆ พริบพราวและปราณนต์นั่งอยู่ในร้านอาหารบรรยากาศชิวๆ
“ผมดีใจที่คุณชอบ...รู้มั้ยว่ากว่าจะหารูปดอกเลิฟ อิน เดอะ มิสต์ ที่ถูกใจได้ ไม่ง่ายเลยนะ เพราะบางรูปก็ดูน่ากลัวเกินไป บางรูปก็ยากไป จนมาเจอรูปนี้ที่ลงตัวสื่อได้ทั้งสองความหมาย”
พริบพราวพยักหน้าฟังด้วยความสนใจ “เหรอๆ..เออ แล้วสองความหมาย คือ อะไรเหรอ”
“ก็ความหมายของดอกไม้ไง มันเป็นไปได้ทั้ง “รักในสายหมอก” และ “ปีศาจในพุ่มไม้” รูปนี้ลงตัวสุด”
“อ๋อเหรอ..เออเก๋นะ....แล้วดอกนี้ ชื่ออะไร เมื่อกี๊พราวฟังไม่ทัน”
ปราณนต์ตอบสวนไปแบบลืมคิด “ดอกเลิฟ” แล้วปราณนต์ก็ชะงักกึก
พริบพราวรอฟัง “เลิฟ ? .... แค่นี้เหรอ ? ดอกเลิฟ”
“พราว...ไม่รู้จัก...ดอกไม้นี้เหรอ”
พริบพราวดูรูปอีกที “อืมม.... คุ้นๆ แต่คิดว่าไม่ .. ตกลง “เลิฟ” อะไร”
ปราณนต์อึ้งๆ ช๊อคๆ “เลิฟ อิน เดอะ มิสต์”
พริบพราวทวน “เลิฟ อิน เดอะ มิสต์ อุ๋ย...เก๋นะ พราวเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก มีดอกไม้ชื่อนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย เท่มากเลยอ่ะ”
ปราณนต์รู้สึกเหมือนหูฝาดเหมือนเสียงพริบพราวล่องลอยไม่ใช่ความจริง เขารู้สึกเหมือนอึ้งๆ ช๊อคๆ ปราณนต์มองหน้าพริบพราวแบบช๊อคๆ
“เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”
“ใช่” พริบพราวมองหน้าปราณนต์ “ทำไม มันแปลกมากเหรอ”
“แต่คุณใช้มัน ...” แล้วปราณนต์ก็ชะงัก
“ใช้มัน...อะไร พราวใช้มันทำอะไร”
ปราณนต์ตัดสินใจไม่พูด “เปล่า...ไม่มีอะไร...ผมคงจำผิด”
พริบพราวเริ่มร้อนตัว “ณนต์..มีอะไรที่พราวควรจะรู้หรือเปล่า”
ปราณนต์มองหน้าพริบพราวด้วยแววตาสับสนสุดๆ “... มะ...ไม่มี .... ผม ...ผมต้องกลับก่อน ขอโทษด้วย”
พริบพราวตกใจแล้วรีบจับมือปราณนต์ไว้ “ณนต์...อยู่ก่อนได้มั้ย..พราวมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
ปราณนต์สติแตกไปแล้วเพราะรับไม่ได้ ปราณนต์หันมาพูด
“เอาไว้คุยกันวันหลัง...วันนี้ผมยังไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น”
ปราณนต์ค่อยๆแกะมือพริบพราวออกแล้วเดินจากไปด้วยความสับสน
พริบพราวอึ้งว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น พริบพราวสับสนสุดๆ พริบพราวมองดูเคสที่อยู่ตรงหน้าแล้วยิ่งงุนงง มันต้องมีอะไรแน่ๆ
ปราณนต์เดินออกมาที่หน้าร้านอาหารด้วยความสับสน ตัวหนังสือของชื่อเมลและอีเมลตอนที่ส่งหาแอบรักไหลมาในความคิดของเขายาวเป็นทาง ปราณนต์ชะงักเท้ามีลังเลว่าจะกลับเข้าไปถามดีมั้ย หรือจะทำยังไงดี ปราณนต์ตัดใจไม่ไป เขาหันหลังเดินกลับบ้านด้วยความสับสน
อวัศยาหลับอยู่ที่โซฟา ลิปดายืนมองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็รู้สึกผิด ลิปดาเดินมาหาอวัศยา
แล้วพูดเบาๆ
“ผมขอโทษ”
อวัศยานอนหลับสนิท ไม่กระดุกกระดิก ลิปดาถอนใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิดและค่อยๆอุ้มอวัศยาไปที่ห้องนอน
ปราณนต์นอนไม่หลับ ภาพตอนที่พริบพราวบอกว่าไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้แว่บเข้ามา ปราณนต์สับสน นอนเอามือก่ายหน้าผากด้วยความเครียด
โทรศัพท์มีสายเข้าชื่อ “คุณหนูพราว” ปราณนต์ปรายตาไปมองเห็นชื่อแต่ตัดใจไม่รับ
พริบพราวกดวางสาย
พริบพราวงง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ณนต์เป็นอะไร ไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทร.ไปก็ไม่รับ”
พริบพราวเหลือบไปเห็นเคสต์ที่วางอยู่ก็หยิบมาดูแล้วก็เครียด
“มันเกี่ยวอะไรกับไอ้ดอกไม้นี่หรือเปล่านะ”
พริบพราวเครียดและงง
อวัศยาสะลึมสะลือ แล้วก็ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง
“เฮ้ยย มานอนอยู่นี่ได้ไง” อวัศยาคิด “บอส”
อวัศยารีบกระโดดลงจากเตียง
อวัศยาวิ่งออกมาจากห้องนอนแล้วก็ชะงักเพราะทั้งห้องเต็มไปด้วยดอกไม้และกระดาษที่เขียนว่า
“ขอโทษ” Sorry / désolé / และคำขอโทษเป็นภาษาต่างๆมากมาย อวัศยาเดินอ่านมาเรื่อยๆ แล้วก็ยิ้ม
“จะขอโทษกี่ภาษาเนี่ย”
อวัศยาเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวที่มีกระดาษเขียนวางไว้
อวัศยาอ่าน “ผมรู้ว่าทำผิดกับคุณ ผมขอโทษทุกภาษาเท่าที่ผมจะหาได้ ให้อภัยผมนะ ผมเตรียมอาหารเช้าไว้บนโต๊ะ และ อาหารกลางวันไว้ในเตา”
อวัศยาหันไปมองที่อาหารบนโต๊ะและอาหารที่วางไว้ที่เตาแลดูสวยงาม
อวัศยาเหยียดๆ คิดในใจว่า เชอะ คิดว่าจะยอมเหรอ แต่ก็แอบยิ้มและหันมาอ่านต่อ “ส่วนอาหารเย็นผมจะกลับมาทำให้ทานเอง ไม่ช้า ไม่ดึก ไม่ต้องรอนาน .. สัญญาครับ”
อวัศยาวางกระดาษแล้วก็ทำท่าเชอะๆ
“จะคอยดูว่ารักษาสัญญาได้หรือเปล่า”
อวัศยาหันมามองอาหารบนโต๊ะ แล้วก็นั่งลงกินคำแรกแบบมีฟอร์ม แต่ด้วยความอร่อยทำให้อวัศยาต้องกินต่อแบบหยุดไม่ได้ เธอกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
ในออฟฟิศนารากรเต็มไปด้วยความวุ่นวายและยุ่งเหยิง
ปราณนต์กับพริบพราวนั่งทำที่ออฟฟิศ ปราณนต์นิ่งเฉย พริบพราวยิ่งกังวลและสงสัย ปราณนต์คุยโทรศัพท์ดูวุ่นวายตลอดเวลา พริบพราวทำงานไปมองปราณนต์ไปเป็นระยะๆ แต่ปราณนต์ไม่
ยอมสบตา
เที่ยงตรง พริบพราวหันมาชวนปราณนต์ไปกินข้าว
“ณนต์ไปกินข้าวกัน”
แต่ปราณนต์หายไปแล้ว พริบพราวมองหาก็เห็นปราณนต์เดินออกไปกับรุจน์ ปราณนต์ไม่สบตา แถมยังหลบตาเธอตลอด พริบพราวยิ่งงง
ช่วงบ่าย พริบพราววางกาแฟและขนมสองสามถุงไว้บนโต๊ะทำงาน ปราณนต์เงยหน้าขึ้นมอง พริบพราวยิ้มสดใส ปราณนต์ตอบขรึมๆ โดยไม่สบตา
“ขอบคุณมาก แต่ผมอิ่มแล้ว คุณเก็บไว้ทานเองเถอะ”
ปราณนต์หันมาทำงานต่อ พริบพราวงงหนักกว่าเดิมแล้วจะหันมาถาม ปราณนต์คุยโทรศัพท์กับลูกค้าทันที พริบพราวชะงักกึกและอึกอักๆ ทำตัวไม่ถูกก่อนจะหยิบกาแฟและขนมกลับไปที่โต๊ะตัวเอง
หกโมงเย็น พริบพราวหันมา
“ณนต์เย็นนี้ไปดูหนังกันนะ”
ปราณนต์หายไปแล้ว พริบพราวรีบมองหาก็เห็นปราณนต์ถือกระเป๋าเดินออกไปแล้วโดยไม่สนใจหันมามองสักนิด พริบพราวเครียดและงุนงง
ปราณนต์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยความเครียด สับสน และคิดหนัก เขาไล่ดูอีเมลที่เคยคุยกับแอบรัก ตัวหนังสือข้อความเก่าๆ ไหลขึ้นมา “เรื่องกลัวน้ำทะเล” “เรื่องกลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า” .. “ เรื่องชื่ออีเมล” ปราณนต์ยิ่งอ่านยิ่งสับสน
นาฬิกาบอกเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม อวัศยานั่งรออย่างมีความหวัง ระหว่างรออวัศยาก็จัดห้องไปด้วย นาฬิกาผ่านไปเป็นเวลาสามทุ่ม อวัศยานั่งหน้าบูดบึ้ง เธอกำลังเก็บห้องแก้เครียดไปด้วย
“อีกครึ่งชั่วโมงถ้ายังไม่กลับมา ขอโทษเป็นภาษาอะไรก็ไม่ยกโทษให้”
อวัศยากระฟัดกระเฟียดเดินไปเก็บหนังสือ เก็บห้องต่อ อวัศยายกหนังสือเข้าไปเก็บในห้องเก็บของ
อวัศยาเปิดประตูเดินเข้ามาและจัดของเข้าที่แต่ชั้นวางของเต็มแล้ว อวัศยามองหาพื้นที่ว่างเห็นกล่องหนึ่งวางไว้บนสุด อวัศยาวางหนังสือและเขย่งจะหยิบกล่องลงมาเพื่อเอาหนังสือไปวางแทน แต่ด้วยความสูง
ทำให้หยิบได้ไม่เต็มมือทำให้กล่องร่วงลงมาที่พื้น ของในกล่องหล่นกระจายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปถ่าย
อวัศยาตกใจ “ว้าย”
รูปถ่ายหล่นเกลื่อนพื้น อวัศยาก้มลงจะเก็บแต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นรูปถ่ายของแจนกับลิปดาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยดูสวีตหวานแหววกันมากมาย มีทั้งหอมแก้ม กอดกัน อุ้มกัน และให้การ์ดเขียนว่า “เลิฟยู” ดูรักกันมาก
อวัศยาตัวชาแล้วก็นึกถึงคำพูดของแจน ตอนที่แจนพูดว่าเธอกับลิปดาเป็นเพื่อนกัน และเป็นได้แค่เพื่อน
อวัศยาอึ้งและรู้สึกเหมือนโดนตบจนหน้าชา
อวัศยารื้อๆเอกสารที่ร่วงหล่นกระจายเต็มพื้น แล้วก็ชะงักกับกระดาษที่อยู่ในแฟ้มอย่างดี อวัศยาหยิบมาอ่าน
“ทะเบียนรับรองบุตร”
ทะเบียนรับรองบุตรเป็นชื่อของลิปดารับรองความเป็นพ่อให้กับ ดช. จิรายุ ออร์มสตรอง
“ลิปดา...เป็นพ่อของลูกคุณแจน”
อวัศยาช๊อคและอึ้งรอบสอง เธอใจสั่น มือสั่น จนทำอะไรไม่ถูก
ภาพลิปดาหัวเราะสนุกสนานดูแสนดี แว่บเข้ามาในสมอง
อวัศยาเริ่มสับสนว่าลิปดาเป็นคนยังไงกันแน่ อวัศยานั่งหมดแรงอยู่ท่ามกลางรูปถ่ายและเอกสารของลิปดากับความลับที่ถูกเปิดเผย
ปราณนต์นั่งเครียดอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ ปุ้มเดินเข้ามา
“ณนต์..พี่รบกวนหน่อยสิ”
ปราณนต์ปิดคอมพิวเตอร์แล้วหันมา “ครับ”
ปุ้มส่งเคสต์ให้ “เอาของไปส่งให้คุณรันหน่อย เค้าสั่งพี่ทำไว้นานแล้ว เค้าจะใช้งานวันนี้”
ปุ้มวางของไว้บนโต๊ะข้างปราณนต์
ลิปดาเปิดประตูเข้ามาในร้านด้วยความร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้าง ติดต่อแมทได้มั้ย”
แจนนั่งอยู่กลางร้านโดยกำลังกดมือถือโทรออกมือเป็นระวิง แจนส่ายหน้าแล้วตอบ
“ติดต่อไม่ได้ ปิดมือถือ ที่บ้านไม่มีคนรับ บ้าจริงๆ แจนไม่น่าปล่อยให้น้องเจมส์อยู่กับพี่เลี้ยงเลย ไอ้บ้า กล้าดียังไงมาขโมยลูกไปแบบนี้”
แจนกดโทรศัพท์แต่ก็โทรไม่ติด แจนระเบิดอารมณ์จนปาโทรศัพท์ลงพื้นจนโทรศัพท์แตกกระจาย
ลิปดามองด้วยความเห็นใจ
“แจนใจเย็นๆ”
“ลูกหายไปทั้งคน จะให้แจนใจเย็นได้ยังไง” แจนร้องไห้ “ทำไมมันไม่ออกไปจากชีวิตสักที ตอนอยู่ด้วยกันก็มีทั้งกิ๊ก ทั้งเมียน้อย แล้วตอนนี้กลับมาบอกว่ารักแจน ไม่มีใครดีเท่าแจน แล้วก็มาขโมยลูกไป ไอ้ผู้ชายเลว” แจนร้องไห้โฮ “มันจะกลับมาอีกทำไม”
แจนร้องไห้ระบายอารมณ์ออกมา
อวัศยาเดินมาที่หน้าร้าน อวัศยาลังเลแต่แล้วก็ตัดสินใจเดินมุ่งไปที่ร้านทันที
ลิปดาสงสารจับใจจึงเดินเข้ามาหา และกอดแจนไว้เพื่อปลอบใจ
“ผมว่า..แมทเค้าไม่ทำอันตรายลูกหรอก .. เค้าคงแค่อยากเอาไปดูแล แจนทำใจเย็นๆไว้นะ..เดี๋ยวเราก็หาเค้าเจอ”
แจนกอดลิปดาตอบ “แจนเป็นแม่ที่ไม่ดีใช่มั้ย แจนทิ้งลูกป่วยไว้กับคนอื่น ไอ้บ้านั่นมันจะเอาเหตุผลนี้มาเล่นงานแจน แล้วเอาลูกไปรึเปล่า” แจนเริ่มฟุ้งซ่านและคิดมาก
อวัศยาเดินมาและเห็นแจนกอดกับลิปดาพอดี อวัศยายืนตัวแข็งทื่อ
ลิปดากอดปลอบแจนแน่นขึ้น
“คิดมากน่า..มันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ถ้ามันเป็น ผมก็ไม่ยอม .. เจมส์ก็เป็นลูกผมเหมือนกัน”
แจนปล่อยโฮ ลิปดากอดแจนแน่นด้วยความสงสาร
อวัศยายืนชอคที่เห็นลิปดากอดกับแจนแต่ไม่เห็นว่าแจนร้องไห้ อวัศยาปรี๊ดแตก ตาดุ เข้ม และตัดสินใจเปิดพรวดเข้าไปในร้านทันที อวัศยาเปิดประตูผัวะเข้าไป
ลิปดากับแจนหันมาที่ประตู ลิปดาตกใจ
“ศยา”
อวัศยาไม่พูดอะไรทั้งนั้น เธอเดินดุ่มๆๆเข้ามาและฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของลิปดาอย่างแรง เพี้ยะจนลิปดาหน้าหัน
แจนตกใจ “ว้าย !”
“คุณสองคนรักกันทำไมไม่บอกฉัน”
“คุณศยาคะ...คุณกำลังใจผิด” แจนพยายามอธิบาย
“พอเถอะค่ะ ฉันไม่เชื่อคำพูดของคุณทั้งสองคนอีกต่อไป” อวัศยาพูดกับลิปดา “โดยเฉพาะคุณ” อวัศยาน้ำตาจะไหลแต่ก็พยายามกลั้นไว้ “ฉันเคยคิดว่าคุณเป็นคนที่ดึงให้ฉันลุกขึ้นยืน แต่สุดท้าย คุณคือคนที่เข้ามาซ้ำเติมฉัน ต่อจากนี้ไปอย่าเข้ามาใกล้ฉันอีก อยู่ให้ห่างได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี”
อวัศยาพูดจบแล้วก็ตัดใจเดินออกไปด้วยความโกรธ
ลิปดาพยายามเรียก “ศยา...ศยา ฟังผมก่อน ศยา”
อวัศยาไม่หยุดเดินออกไปเลย
“ศยา”
ลิปดารีบวิ่งตามออกไป
อวัศยาวิ่งร้องไห้ออกมาหน้าถนน น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลพรั่งพรูออกมา ลิปดาวิ่งตามมาข้างหลังห่างๆ
“ศยา คุณเข้าใจผิดนะศยา ศยา”
อวัศยาส่ายหน้าว่ายังไงก็ไม่เชื่อ เธอวิ่งมาแล้วก็โบกเรียกแท็กซี่แล้ววิ่งขึ้นไปเลย
ลิปดาวิ่งมาไม่ทัน ลิปดาสบถออกมาด้วยความเซ็ง
“โธ่เว๊ย”
ลิปดายืนเครียดว่าจะเอาไงดีวะ
อวัศยานั่งร้องไห้อยู่ในแท็กซี่ คนขับซึ่งเป็นผู้หญิงหันมาถาม
“จะให้ไปส่งที่ไหนคะ”
อวัศยาคิดหนัก
รันคุยโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วง นอกหน้าต่างฟ้าแล่บ ฟ้าร้อง เพราะฝนกำลังจะตก
“ได้ๆ แกรีบมาแล้วกัน ฝนทำท่าจะตกหนัก ถนนหน้าคอนโดฉันก็ทำ รถเข้าไปได้ แกต้องเดินเข้ามาหน่อยนะ จะให้ลงไปรับก็บอก เออๆ แล้วเจอกัน”
รันวางสาย
“เฮ่อ.นึกว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งกับบอสแล้วซะอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
รันงงงวย
ท้องฟ้าตอนกลางคืนฟ้าร้องน่ากลัว แท๊กซี่มาจอดที่ด้านหนึ่งของถนน
“ซอยเข้าไม่ได้ค่ะคุณ .. ส่งได้ตรงนี้”
“ขอบคุณค่ะ” อวัศยาบอก
อวัศยาลงจากรถด้วยอาการเหม่อลอย พอรถแท็กซี่เคลื่อนออกไป ฝนก็เทลงมาซู่ อวัศยาอยากจะร้องไห้ เธอรีบวิ่งข้ามถนนเพื่อเข้าซอย เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอวัศยาร้องกรี๊ดแล้วก็เสียหลักล้ม
ลงที่กลางถนน ทันใดนั้นก็มีรถพุ่งเข้ามา ปราณนต์พุ่งเข้ามาช่วยไว้เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก อวัศยา
ตกใจ ปราณนต์ลากอวัศยาเข้ามาหลบที่ข้างถนนอีกด้านหนึ่งท่ามกลางสายฝนและแสงไฟมัวๆของข้าง
ทาง ทั้งอวัศยากับปราณนต์หันมาเจอกันแล้วต่างคนก็ต่างอึ้ง
“พี่ศยา....”
“ปราณนต์”
ปราณนต์เขม่นมองอวัศยาอีกครั้งแล้วภาพความหลังก็ซ้อนกลับมา
ภาพตอนที่ปราณนต์ช่วยอวัศยาในครั้งแรกที่เจอกันย้อนกลับมา
ปราณนต์มองหน้าอวัศยาแล้วก็เริ่มจะจำได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“ผู้หญิงคนนั้นคือพี่”
ปราณนต์ช๊อคเล็กๆ
อวัศยาไม่รู้จะตอบยังไง ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังโครม อวัศยากรี๊ดแล้วก็โผเข้ากอดปราณนต์
ปราณนต์กอดตอบ ปราณนต์กอดอวัศยาท่ามกลางสายฝนและความสับสนที่ไม่มีคำตอบ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ลิปดายืนอยู่มุมหนึ่งของร้าน เขาพยายามโทร.เข้ามือถืออวัศยาแต่เธอปิดเครื่อง ลิปดากดวางด้วยความไม่สบายใจ แจนมองมาด้วยความไม่สบายใจและเสียใจมากๆ ลิปดาคิดเครียดๆ ด้วยความเป็นห่วง และอยากเคลียร์กับอวัศยา
พริบพราวเดินไปเดินมาในห้องนอน
ภาพความเย็นชาของปราณนต์ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาย้อนกลับมาในหัวของเธอ
พริบพราวคิดแล้วตัดสินใจโทรหาปราณนต์อีกทีแต่ก็ไม่มีคนรับ พริบพราวกดวางด้วยความไม่สบายใจ
“ณนต์ต้องเป็นอะไรแน่ๆ”
พริบพราวยิ่งคิดยิ่งเครียด
หยาดน้ำหยดลงพื้นที่เปียกชื้นแต่ฝนซาแล้ว อวัศยาและปราณนต์ยืนอยู่ที่หน้าคอนโดมีเนียมเพราะรอรันลงมารับ ทั้งสองคนต่างสับสนและมีหลายสิ่งอย่างอัดแน่นอยู่ในใจ ปราณนต์ตัดสินใจ
“พี่ศยาครับ..” ปราณนต์เรียก อวัศยาชะงักนิดๆ แล้วตั้งหลัก “ผมมีสองสามคำถาม ที่อยากได้คำตอบ”
อวัศยาพูดโดยไม่มองหน้า “ถ้าฉันไม่อยากตอบ”
ปราณนต์จี๊ดเบาๆ “ก็ไม่ต้องตอบ..ผมขอแค่ให้พี่...พยักหน้าถ้ามัน “ใช่” และแค่ส่ายหน้า ถ้ามัน “ไม่ใช่”
อวัศยาหันมามองปราณนต์ด้วยแววตาสับสนว่าจะเอาไงดีิ ปราณนต์ไม่ปล่อยโอกาสเริ่มถามเลย
“พี่ศยากลัวเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าใช่มั้ยครับ”
อวัศยาสับสนว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี ปราณนต์รอด้วยแววตาเว้าวอน อวัศยาตัดสินใจในแว่บนั้น แล้วก็พยักหน้า
ปราณนต์เริ่มใจเต้นแรง “พี่ศยารู้ว่าผมกลัวน้ำทะเลใช่มั้ยครับ”
อวัศยาใจเต้นแรงและตัดสินใจทำตามความรู้สึกตัวเอง อวัศยาพยักหน้า
“พี่ศยารู้จักดอก “Love in a mist” ใช่มั้ยครับ”
อวัศยาอึ้งแล้วคิดว่าจะทำยังไงดี ตอบไม่ตอบ ปราณนต์เห็นอวัศยานิ่งไป
“มันเป็นดอกไม้ชื่อแปลกที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก .... พริบพราวก็ไม่รู้จัก”
อวัศยาชะงักแล้วก็ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง ปราณนต์พูดต่อ
“ผมเพิ่งรู้ว่าเค้าไม่รู้จักดอก Love in a mist เมื่อวานนี้เอง .. ผมเลยรู้ว่าพี่ศยารู้จักดอกไม้ชนิดนี้หรือเปล่า” ปราณนต์ถาม อวัศยาอึ้งและสับสนอย่างหนัก “พี่ศยารู้จักใช่มั้ยครับ”
ปราณนต์ถามคำถามนี้โดยเหมือนจะถามว่าพี่คือแอบรักใช่หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ถามตรงๆ เพราะลึกๆแอบกลัวว่าถ้าอวัศยาไม่ได้เป็นแอบรักเรื่องจะไปกันใหญ่
อวัศยาคิดและตัดสินใจ
อวัศยาพยักหน้าและพูด “ใช่ ... ฉันรู้จักดอก Love in a Mist”
อวัศยาตอบเป็นนัยๆ เหมือนจะบอกว่า “ฉันคือแอบรัก” ปราณนต์ถึงกับอึ้ง เพราะทั้งช๊อค ทั้งคิดไม่ถึง ทั้งรู้สึกผิด เขารู้สึกว่าตัวเองโง่ที่ไม่รู้และแปลกใจว่าใช่จริงๆ
“พี่ศยาคือ....” ปราณนต์จะถามว่าเป็น “แอบรัก” แต่ยังถามไม่จบ
อวัศยาตื่นเต้นกับคำถาม เสียงรันดังแทรกเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“ศยา! เป็นไงบ้าง”
ปราณนต์หยุดพูด อวัศยาสะดุ้งนิดๆ ว่ามาทำไมตอนนี้เนี่ย ทั้งสองคนหันมา
รันเดินพรวดออกมาในชุดเสื้อคลุมชมพู ม่วง รองเท้าแตะกุ๊กกิ๊ก รันชะงักกึกที่เห็นปราณนต์ยืนอยู่ “เอ่อ...ฉัน เอ่อ ผม” รันทำแมนนิดนึง “มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า จะคุยอะไรกันต่อมั้ย เดี๋ยวลงมารับใหม่”
รันจะหันหลังเดินไป อวัศยารีบเรียกไว้
“ไม่ต้อง!! ฉันกับปราณนต์เราคุยกันจบแล้ว”
อวัศยาหันหลังให้ปราณนต์ ปราณนต์ยังมองตามด้วยความสับสน รันเห็นถุงใส่เคสต์ที่สั่งไว้
รันพูดกับปราณนต์ “เอาของมาส่งใช่มั้ย” รันดึงมา “ขอบใจมากนะ”
อวัศยาตัดใจเดินนำไป รันรีบเดินตามไป ปราณนต์มองตามอวัศยาด้วยความสับสนและยังค้างคาใจ แต่อวัศยาไม่ยอมหันมาสบตา รันเดินมาถึงประตูแล้วเอาคีย์การ์ดมาแตะเปิดประตูให้
อวัศยาเดินเข้าไปในคอนโดโดยไม่หันมามองปราณนต์โดยในใจยังสับสนกับหลายสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ปราณนต์มองตามอวัศยาโดยในใจที่ยังสับสนไม่น้อยไปกว่ากัน ปราณนต์เห็นว่าอวัศยาไม่หันมามองก็ค่อยๆหันหลังกลับ ปราณนต์หันหลังไป อวัศยาค่อยๆหันมามองแต่เห็นว่าปราณนต์หันหลังไปแล้ว อวัศยายิ่งสับสนไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไงกันแน่
รันถามด้วยความแปลกใจ งง และช๊อคๆ อวัศยาเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนของรันและนั่งเช็ดผมอยู่ที่โซฟาแล้ว
“แกเจอว่าบอสเคยเป็นแฟนกับคุณแจน”
“และอาจจะยังเป็นอยู่ เพราะฉันเห็นเค้ากอดกัน” อวัศยาบอก
“โอเค .. แล้วแกก็เจอว่าบอสมีลูกกับคุณแจน”
“ใช่ ฉันเห็นเอกสารรับรองการเป็นบุตรและบอสก็เป็นพ่อของเด็ก”
“โอเค .. แล้วแกก็มาเจอปราณนต์โดยบังเอิญ และแกก็รู้ปราณนต์อาจจะรู้แล้วว่าพริบพราวไม่ใช่ แอบรัก”
“ณนต์บอกว่าพริบพราวไม่รู้จักดอก Love in a mist ซึ่งเป็นชื่ออีเมลที่ฉันใช้คุยกับเค้าตอนเป็นแอบรัก ... ถ้าพราวบอกว่าไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้ ก็แปลว่า...เค้าไม่ใช่แอบรัก”
รันถึงกับอึ้งและเหวอ
“แย่แล้ว” รันว่า
“ใช่..มันแย่มาก.. เมื่อกี๊ณนต์ถามคำถามที่เป็นเรื่องที่เราคุยกันตอนฉันเป็นแอบรัก .. แล้วฉันก็ตอบไป ด้วยความงงๆ แต่ฉันรู้สึกว่าฉันต้องตอบ ฉันไม่อยากปิดบัง ฉันไม่อยากหลอกปราณนต์อีกแล้ว ฉันไม่อยากหลอกเค้าเหมือนที่บอสหลอกฉัน” อวัศยาจะร้องไห้ น้ำตาของเธอปริ่มจวนไหล
อวัศยาระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“เค้าโกหกฉัน ปิดบัง เล่นละครตบหน้ามาตลอด เค้าเห็นฉันเป็นอะไร เค้าทำให้ฉันคิดว่า..ฉันเป็นคนพิเศษ ไม่ใช่ของเล่นเหมือนผู้หญิงคนอื่น เหมือนเค้าจะจริงจัง .. เหมือนเค้า...รักฉัน .. แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ .. มันไม่ใช่เลย”
อวัศยาร้องไห้ออกมาด้วยความผิดหวังและสับสนสุดๆ รันจับมืออวัศยา
“ศยา....แกรักบอสใช่มั้ย”
คำถามของรันแทงเข้าตรงกลางใจของอวัศยา อวัศยาถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างหมดฟอร์ม น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาแทนคำตอบได้มากมายว่าเธอรักเขามากแค่ไหน รันค่อยๆดึงอวัศยามากอดไว้ปลอบใจด้วยความสงสาร
อวัศยากอดรันร้องไห้ ความเสียใจ ผิดหวัง ทั้งหมดทะลักทะลายออกมาจนสิ้น
ภาพตอนที่อวัศยาอยู่กับลิปดา มีความสุข ภาพรอยยิ้ม ตอนหัวเราะย้อนกลับมาสลับกับภาพถ่ายตอนที่ลิปดาเป็นแฟนกับแจน ตอนเห็นเอกสาร ตอนเห็นแจนกอดกับลิปดา ภาพสองเหตุการณ์แว่บตัดสลับกันไปมาด้วยความสับสน
อวัศยาร้องไห้ไม่หยุด รันกอดอวัศยาเพื่อปลอบใจ ทั้งสงสาร เศร้าใจ และงุนงงสงสัย รันคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ
ลิปดายืนโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของร้านกาแฟ
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมาย...” ลิปดากดวาง
ลิปดาเห็นแจนกำลังคุยกับตำรวจ เขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหาย ลิปดาหน้าเครียด
อวัศยานั่งอยู่ที่ห้องรับแขก รันจัดที่นอนให้ที่โซฟา อวัศยานั่งอยู่ในความมืด ครุ่นคิด และหยิบโทรศัพท์มากดข้อความบางอย่าง
ปราณนต์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาอ่านอีเมลและอ่านแชตเก่าๆที่เคยคุยกับแอบรัก พอปิดหน้าจอก็เห็นวอลเปเปอร์ที่ desktop เป็นรูปตัวเองคู่กับพริบพราวในสภาพฮาๆ น่ารักๆ ปราณนต์คิดและตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ปราณนต์ตัดสินใจดึงข้อความทุกอย่างที่อยู่ในอีเมลและแชตออกมาและสั่งพิมพ์ เครื่องพิมพ์มีข้อความที่คุยกันถูกพิมพ์ออกมาเป็นแผ่นๆ มากมาย มือถือที่อยู่ข้างเครื่องพิมพ์มีสายโทรเข้าแต่ปราณนต์ปิดเสียง หน้าจอขึ้นชื่อ “คุณหนูพราว”
พริบพราวนั่งเครียดอยู่บนเตียง เพราะโทรไปปราณนต์ก็ไม่รับ พราวกดส่งข้อความ
“ณนต์...เป็นอะไรหรือเปล่า ส่งข่าวด้วยนะ เป็นห่วง” พริบพราวส่งสติ๊กเกอร์ตบท้าย
เสียงข้อความเข้า พริบพราวรีบหยิบมาอ่านเพราะคิดว่าเป็นปราณนต์ แต่พอเปิดมาเห็นชื่อคนส่งเธอก็แปลกใจ
“พี่ศยาส่งข้อความมา” พริบพราวรีบเปิดอ่าน “ดอก Love in A mist หรือ ความรักในสายหมอก เป็นไม้เมืองหนาวมีชื่อสากลว่า Nigella Damascena และมีอีกชื่อหนึ่งว่า Devil in a bush ปีศาจในพุ่มไม้ .... Love in A mist เป็นชื่ออีเมล ...” พริบพราวอ่านช้าลง “ที่ “แอบรัก” ใช้คุยกับปราณนต์”
พริบพราวหน้าซีด ใจเต้นแรง และมือสั่น
“ขอโทษด้วยที่บอกช้าเกินไป”
พริบพราวอึ้งๆ ใจเต้นแรง และโทรศัพท์ก็หล่นจากมือ
เหตุการณ์ตอนที่ปราณนต์ให้เคสต์เธอย้อนกลับมา
“ผมดีใจที่คุณชอบ...รู้มั้ยว่ากว่าจะหารูปดอกเลิฟ อิน เดอะ มิสต์ ที่ถูกใจได้ ไม่ง่ายเลยนะ เพราะบางรูปก็ดูน่ากลัวเกินไป บางรูปก็ยากไป จนมาเจอรูปนี้ที่ลงตัวสื่อได้ทั้งสองความหมาย”
“เหรอๆ..เออ แล้วสองความหมาย คือ อะไรเหรอ”
“ก็ความหมายของดอกไม้ไง มันเป็นไปได้ทั้ง “รักในสายหมอก” และ “ปีศาจในพุ่มไม้” รูปนี้ลงตัวสุด”
“อ๋อเหรอ..เออเก๋นะ....แล้วดอกนี้ ชื่ออะไร เมื่อกี๊พราวฟังไม่ทัน”
“ดอกเลิฟ”
“เลิฟ .... แค่นี้เหรอ ? ดอกเลิฟ”
“พราว...ไม่รู้จัก...ดอกไม้นี้เหรอ” ปราณนต์ถาม
“อืม .... คุ้นๆ แต่คิดว่าไม่ .. ตกลง “เลิฟ” อะไร”
“เลิฟ อิน เดอะ มิสต์”
พริบพราวทวน “เลิฟ อิน เดอะ มิสต์ อุ๋ย...เก๋นะ พราวเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก มีดอกไม้ชื่อนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย เท่มากเลยอ่ะ”
พริบพราวอึ้ง
เสียงอวัศยาแทรกเข้ามา “Love in A mist เป็นชื่ออีเมล ... ที่ “แอบรัก” ใช้คุยกับปราณนต์”
ภาพความเย็นชาของปราณนต์ในช่วงหลังมานี้ย้อนกลับมา
พริบพราวอึ้งและช๊อค
“หรือว่าณนต์จะรู้ว่าเราไม่ใช่แอบรัก”
พริบพราวสับสนสุดๆ
ทันใดนั้นเสียงข้อความก็ดังขึ้น พริบพราวหยิบโทรศัพท์มาดูเห็นเป็นชื่อปราณนต์
“ณนต์”
พริบพราวรีบกดอ่านด้วยความร้อนใจ
“พรุ่งนี้เย็นทานข้าวกันนะครับ ... ปราณนต์”
พริบพราวขมวดคิ้วคิดแล้วก็ตัดสินใจ
“มันคงถึงเวลาแล้วสินะ”
พริบพราวน้ำตาปริ่มๆ แต่ภายใต้ประกายน้ำตานั้นกลับเห็นความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ข้างใน พริบพราวพร้อมแล้วที่จะรับและก้าวไปข้างหน้า
ลิปดานั่งหน้าเครียดอยู่ในร้านกาแฟของแจน แจนยังวุ่นวายกับการให้การกับตำรวจ ลิปดาเป็นห่วงทั้งอวัศยาและ สถานการณ์ตรงหน้า ลิปดาส่งข้อความหาอวัศยา
“โทร.กลับผมด้วย....เราต้องคุยกัน”
ลิปดากดส่งข้อความแล้วก็ยังเครียด
อวัศยานั่งเศร้าอยู่ในห้อง เสียงข้อความเข้าดังขึ้น อวัศยากดอ่านแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากคุย แล้วก็โยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ อย่างไม่ใยดี อวัศยาเศร้า
พริบพราวกดข้อความส่งไปหาปราณนต์
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
พริบพราวส่งแล้วก็เครียด
ปราณนต์รับข้อความ กดอ่าน แล้วก็กลุ้มใจ ปราณนต์สับสนและเสียใจอยู่ลึกๆ
ปราณนต์ พริบพราว อวัศยา และลิปดาต่างก็กลุ้มใจ สับสน เสียใจ และ ผิดหวัง
เช้าวันต่อมา รถของแมทมาจอดเทียบที่หน้าร้านของแจน แมทรีบลงจากรถเดินมาที่คนนั่ง
แจนรีบวิ่งพรวดพราดออกมา ลิปดารีบวิ่งเข้ามาตามประกบ
“ลูกอยู่ไหน ลูกฉันอยู่ไหน” แจนเข้ามาทั้งผลัก ทั้งทุบแมท “เอาลูกฉันคืนมานะ เอาลูกฉันคือมา”
ลิปดาปราม “แจน..ใจเย็นๆ”
ประตูคนนั่งด้านข้างเปิดออก เจมส์ตะโกนขึ้น
“แม่ครับ”
แจนหันขวับไปที่เจมส์
“เจมส์”
เจมส์กระโดดลงมาจากรถด้วยอาการที่ดีขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติ แจนรีบวิ่งเข้ามากอดลูกด้วยความเป็นห่วง
“เจมส์เป็นยังไงบ้างลูก” แจนร้องไห้ด้วยความดีใจ “แม่เป็นห่วงลูกมากๆเลยรู้มั้ย”
แจนทั้งกอดทั้งหอมลูกชายด้วยความรัก ลิปดามองด้วยความเข้าใจ โล่งใจ แล้วก็หันมาทางแมท แมทยืนรอพร้อมตอบคำถาม
เจมส์นั่งเล่นของเล่นอยู่ในห้องโดยไม่ได้รับรู้ปัญหาใดๆ ลิปดายืนอยู่หน้าประตูแล้วมองผ่านประตูที่แง้มไว้เข้ามา เสียงแจนกับแมททะเลาะกันดังมาจากอีกห้อง
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะบอกว่าฉันเลี้ยงลูกไม่ดีหรือไง” แจนโวยวาย
ลิปดารีบปิดประตูห้องเจมส์เพราะไม่อยากให้เจมส์ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกัน ลิปดาปิดประตูแล้วรีบเดินมาสมทบ
แจนกับแมทกำลังทะเลาะกันจนสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
“ผมแค่บอกว่าตอนผมเข้ามาในบ้านไม่มีใครอยู่ คนเลี้ยงลูกคุณก็เอาแต่คุยโทรศัพท์ เจมส์นอนตัวร้อนมากๆ ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมต้องพาลูกไปหาหมอให้เร็วที่สุด ผมไม่ได้คิดจะลักพาตัวลูก และไม่ได้ต่อว่าคุณ”
“แล้วทำไมไม่โทรศัพท์บอก หรือเขียนโน้ตไว้ก็ได้ ฉันโทร.ไปก็ไม่ติด”
ลิปดาเดินเข้ามาและยืนพิงกำแพงแบบแอบฟังสองคนคุยกันเหมือนคนสังเกตการณ์
“ผมรีบ โทรศัพท์ก็แบตหมด ผมนอนเฝ้าเจมส์ที่โรงพยาบาลทั้งคืน ไม่ได้กลับบ้านไปเอาที่ชาร์ต ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงลูก .. แต่ผมก็เป็นห่วงเค้าเหมือนกัน และไม่ใช่แค่ลูกที่ผมเป็นห่วง ผมเป็นห่วงคุณนะแจน” แมทมองแจนด้วยความจริงใจ
แจนชะงักเพราะมองเห็นความรัก ความห่วงใย ในสายตาของแมท แจนสะท้านแต่ยังไม่กล้ารับ
แจนเบือนหน้าหนี “กลับไปซะ”
แมทหน้าเสีย แจนไม่ยอมสบตา
“และอย่ามาที่นี่อีก ฉันดูแลลูกเองได้” แจนโกหกตัวเอง
“แจน...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ออกไป”
แมทเศร้าแต่ก็จำใจต้องเดินออกไปด้วยความเศร้า ลับหลังแมทแจนก็ทรุดลงนั่งร้องไห้ ลิปดาเดินเข้ามาหาแล้วพูดเสียงอบอุ่น
“ถ้ายังรักเค้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเกลียดกันขนาดนี้ก็ได้”
แจนสะอึกเพราะรู้สึกจี้ใจดำจังๆ แจนหันหน้ามามองลิปดา แววตาที่แข็งกระด้างของเธออ่อนลง เผยให้เห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ข้างใน
แจนสารภาพทั้งน้ำตา “แจนกลัว..กลัวว่าถ้าใจอ่อน แจนจะต้องเจ็บอีก” แจนร้องไห้
ลิปดาจับไหล่แจนด้วยความเข้าใจ
“ร้องออกมาให้พอ หมดน้ำตาแล้วสติจะกลับมา ตอนนั้นค่อยดูว่าอะไรที่เหลืออยู่ .. ความกลัว หรือ ความรัก”
แจนชะงักแล้วก็คิดว่า เออจริง ลิปดาจับไหล่ให้กำลังเพื่อนทั้งที่ในใจก็แสนจะกลุ้มเรื่องตัวเอง
“ลิป...ขอบคุณมาก..แล้วเรื่องของลิปกับคุณศยา..ลิปจะทำยังไง”
ลิปดามีแววตากลุ้มใจขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดี
“ศยาเค้าเป็นคนมีเหตุผล..ถ้าฟังคำอธิบายเค้าคงเข้าใจ”
ลิปดาพยายามมองโลกในแง่ดี
ลิปดายืนอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง บนโต๊ะมีรูปของแจนและลิปดาดูสวีทวางอยู่เต็มโต๊ะ กลางโต๊ะเป็นใบรับรองความเป็นบุตร ลิปดายืนอึ้ง ในมือของเขาถือช่อดอกไม้อยู่ ลิปดาวางดอกไม้และหยิบเอกสารมาดู พร้อมกับกระดาษที่เขียนข้อความโดยลายมือของอวัศยา
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า...ฉันไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด”
ลิปดาอ่านพร้อมกับส่ายหน้า
“ศยา !! คุณกำลังเข้าใจผิดนะศยา” ลิปดาพูดพลางเดินไปที่ห้องนอนอวัศยา “ผมไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆของเจมส์” ลิปดาเดินมาหยุดที่หน้าห้องนอนของอวัศยา “ตอนนั้นแจนกับสามีเค้าแยกทางกัน แจนขอชื่อผมใส่เป็นพ่อเด็ก มันก็แค่นั้น...ผมไม่ได้เป็นพ่อจริงๆ”
ไม่มีเสียงตอบ ลิปดาเคาะประตู
“ศยา ออกมาคุยดีๆ คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว” ลิปดาพูดไปเคาะไป “ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรือปิดบังคุณ ศยา คุณไม่ออกมา ผมจะเปิดเข้าไปแล้วนะ”
ลิปดาเปิดประตูผัวะเข้าไปในห้องนอนแล้วก็ชะงักเพราะห้องทั้งห้องว่างเปล่า ลิปดารีบเดินไปดูที่ตู้เสื้อผ้าก็เห็นว่าตู้ว่างเปล่า กระเป๋าเดินทางก็หายไป ลิปดาหน้าเสีย
รันคุยโทรศัพท์ในคอนโดมีเนียม อวัศยานั่งซึมๆ อยู่ริมหน้าต่างทางด้านหลัง
รันพูดเบาๆ กับลิปดาทางโทรศัพท์ “ศยาขนของมาอยู่ที่คอนโดรันเองครับ..บอสไม่ต้องห่วงนะครับ”
ลิปดาถอนหายใจ
“ผมพยายามโทร.หาเค้าตั้งแต่เมื่อคืน แต่เค้าไม่รับเลย”
“ตอนนี้อย่าคุยเลยครับ คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง จะยิ่งแย่ไปใหญ่”
อวัศยาลุกเดินมาหารัน รันรีบตัดบท
“แค่นี้ก่อนนะครับบอส”
ลิปดาฟังรันแล้วก็หน้าเครียดๆ
รันพูดจากโทรศัพท์ “แล้วค่อยคุยกันครับ”
รันวางสายไป ลิปดาวางสายตามแล้วมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา ลิปดากลุ้มใจ
อวัศยาเดินมาถึงรัน
“คุยกับใคร”
รันโกหก “คุยกับ..นิดา..โทร.มาถามเรื่องงานนิดหน่อย นี่...ตกลงแก ไม่คิดจะเคลียร์กับบอสจริงๆเหรอ ? บางที..อาจจะมีอะไรเข้าใจผิดกันก็ได้”
อวัศยาส่ายหน้า “ไม่...ทุกอย่างมันชัดอยู่แล้ว ฉันไม่อยากเสียเวลา เค้าหลอกให้ฉันตายใจมาได้ตั้งนาน เค้าก็คงจะมีวิธีพูดให้ฉันเชื่อเค้าได้อีก ทางที่ดี อย่าคุยเรื่องนี้กันอีกเลยจะดีกว่า...นับจากนี้ต่อไป...ฉันจะอยู่ของฉัน ในที่ที่ฉันเคยอยู่ ฉันจะไม่ข้ามเส้นไปอีก”
“แล้วเส้นระหว่างแกกับปราณนต์หล่ะ .. แกจะข้ามไปหรือเปล่า”
อวัศยานิ่งคิด
ปราณนต์นั่งรอพริบพราวอยู่ที่ร้านอาหารแนวอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ตรงหน้า ปราณนต์นั่งหน้าตานิ่ง ขรึม ครุ่นคิด อย่างมีสติและไม่ใช่อารมณ์
พริบพราวยืนอยู่หน้าร้านแล้วตั้งสติสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้พร้อมแล้วก็เดินเข้ามาในร้าน
ปราณนต์นั่งรอ พริบพราวเดินเข้ามาในชุดสวย พริบพราวยิ้ม ปราณนต์นั่งนิ่งๆ ไม่ยิ้มตอบ พริบพราวหุบยิ้มใจคอเริ่มไม่ดี แต่เธอก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปหา
“ไหนบอกว่าเราจะไปกินข้าวกัน ทำไมณนต์นัดมาที่นี่” พริบพราวยังพยายามยิ้มให้
“ก็แค่..อยากรู้อะไรนิดหน่อยก่อนไปกินข้าว”
รอยยิ้มพริบพราวหายไปทันที “ณนต์ ..” พริบพราวเสียงเครียดและก็หลบตา “พราวก็มีอะไรอยากจะบอกณนต์เหมือนกัน พราว...”
ปราณนต์แทรกขึ้นมา “เข้าอีเมลที่เราใช้คุยกันตอนคุณเป็นแอบรักให้ผมดูหน่อย”
“อีเมล” พริบพราวงง
“ใช่..ตอนแรกที่คุณแชตคุยกับผม..เราคุยกันทางไลน์ คุณทักเข้ามาก่อน แล้วคุณก็หายไปสักพักคุณก็กลับมาทางอีเมล...และเราก็คุยกันผ่านทางอีเมล...ผมอยากให้คุณเข้าไปในอีเมลนั้น คุณจำได้หรือเปล่า”
พริบพราวอึ้งแล้วก็อึกๆอักๆ
“จำได้หรือเปล่าว่าคุณชื่ออีเมลว่าอะไร”
พริบพราวพูดเหมือนชื่อเพิ่งลอยออกมา “Love in a Mist “
ปราณนต์แปลกใจ “ทำไมเพิ่งจำได้ .. ทำไมวันก่อนถึงจำไม่ได้” พริบพราวอึกอักไม่กล้าบอก เธอใจสั่น เสียงปราณนต์ถามเริ่มดังขึ้น “ถ้าคุณเริ่มจำชื่ออีเมลได้แล้ว .. คุณคงจำได้ว่าเราคุยอะไรกันบ้าง”
พริบพราวหน้าเสีย ปราณนต์หยิบกระดาษที่พริ้นท์ข้อความที่คุยกันออกมาแล้ววางไว้ตรงหน้า
“คุณส่งข้อความมาครั้งแรก...ตอนที่ผมไปหาเอกสารของลูกค้าที่พี่รุจน์ทำหาย”
พริบพราวใจเสีย ปราณนต์เปิดอ่าน
“คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณส่งข้อความบอกผมว่าอะไรบ้าง คุณช่วยให้ผมหาเอกสารเจอได้ยังไง คุณจำได้มั้ย”
ภาพตอนที่ปราณนต์ไปหาเอกสารและมีข้อความเข้ามาบอกย้อนกลับมา
ปราณนต์มองหน้าพริบพราวด้วยความคาดคั้นและมีแววตาผิดหวังอย่างที่สุด พริบพราวรู้สึกผิด จนคิดอะไรไม่ออก เธอมองปราณนต์แล้วอยากจะร้องไห้เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ปราณนต์ถามด้วยน้ำเสียงเจ็บลึก “คุณจำได้หรือเปล่า..ว่าผมกลัวอะไร แล้วคุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณบอกผมว่าคุณกลัวอะไร คุณจำได้บ้างมั้ย”
พริบพราวพูดไม่ออกเหมือนผู้ร้ายที่โดนจับได้คาหนังคาเขา เธอน้ำตาเริ่มคลอเบ้า ปราณนต์เริ่มเห็นชัดแล้วว่าพริบพราวตอบไม่ได้จริงๆ ปราณนต์เจ็บในใจแต่ยังฝืนพูดต่อ
ปราณนต์พลิกกระดาษในมือ แล้วหยุดพลิกก่อนถาม “คุณจำได้มั้ยว่าคุณเคยพิมพ์ข้อความนี้ส่งมาให้ผม” ปราณนต์อ่าน “อย่าให้ความกังวลทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเอง บางทีการพูดความจริง มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด” ปราณนต์เงยหน้า น้ำตาคลอ “คุณจำได้หรือเปล่าพราว..คุณจำได้มั้ยว่าคุณเคยส่งข้อความนี้มาให้ผม”
พริบพราวเสียงสั่น “พราว...” พริบพราวพูดไม่ออก
ปราณนต์พูดต่อ “คุณจำไม่ได้...เพราะคุณไม่รู้ ... คุณไม่รู้เพราะคุณไม่ใช่แอบรัก”
พริบพราวปล่อยโฮทันที “ณนต์....” พริบพราวจะเข้ามาจับมือปราณนต์
ปราณนต์ผงะถอยแล้วดึงมือหลบ ปราณนต์พรั่งพรูความสับสนออกมา ในใจของเขาอยากได้ยินคำอธิบายและบอกว่าตัวเองคิดผิด
“ทำไมคุณถึงไม่ปฎิเสธ ทำไมคุณเงียบและยอมรับว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง คุณบอกผมมาสิว่าผมพูดผิด” พริบพราวร้องไห้ ปราณนต์จะร้องตามแต่กลั้นไว้ เขาถามย้ำด้วยความเจ็บปวด “ผมขอถามคุณอีกครั้ง .. คุณคือ “แอบรัก” ใช่หรือไม่”
พริบพราวมองหน้าปราณนต์ทั้งน้ำตาและตัดสินใจกัดฟันส่ายหน้า
ปราณนต์เจ็บจี๊ด “คุณทำแบบนี้ทำไม คุณโกหกผมทำไม”
พริบพราวพูดไม่ออก เธอได้แต่นั่งร้องไห้ ลูกค้าที่นั่งอยู่ห่างๆเริ่มหันมามอง ปราณนต์ยิ่งสับสน เขามองพริบพราวด้วยแววตาไม่เข้าใจ ผิดหวัง และห่างเหิน
“ถ้าคุณไม่ใช่แอบรัก แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมนัดกับแอบรัก แล้วคุณคิดอะไรถึงได้มาสวมรอยเป็นเค้า..สรุปตลอดเวลาที่เราคบกัน มันมีอะไรจริงบ้าง หรือมันไม่มีความจริงเลยแม้แต่อย่างเดียว”
“ไม่ใช่นะ ณนต์ฟังพราวก่อน”
ปราณนต์ยกมือห้าม “คุณจะให้ผมฟังอะไร คุณจะโกหกอะไรอีก ที่ผ่านมาผมคงเป็นคนโง่มากในสายตาคุณ พูดอะไรก็เชื่อ ไม่คิดระแวง สงสัย คุณจะปั่นหัว สั่งให้ทำอะไรก็ทำ”
“ไม่จริง พราวไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แต่คุณทำให้ผมเป็นแบบนั้น .. ถ้าผมไม่เอะใจแล้วจับได้เอง ผมคงโดนคุณหลอกต่อไปเรื่อยๆ” พริบพราวส่ายหน้าบอกว่าไม่จริง ปราณนต์ไม่รับฟัง “ต่อจากนี้ไปเราต่างคนต่างอยู่ ผมจะหาคำตอบที่เหลือด้วยตัวผมเอง”
ปราณนต์ลุกขึ้นทันที
“ณนต์อย่าเพิ่งไป..ณนต์”
“วันที่คุณเดินเข้ามาแล้วบอกว่าคุณเป็นแอบรัก ผมดีใจมาก ดีใจที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นคุณ!! ผมดีใจที่ความสวยงามในตัวหนังสือที่เราคุยกันมันเป็นความจริง แต่วันนี้คุณทำลายความรัก ความไว้ใจของผมไปหมดแล้ว” ปราณนต์เลื่อนกระดาษที่พิมพ์ข้อความให้พริบพราว “ผมอยากให้อ่าน คุณจะได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับแอบรักสวยงามเกินกว่าที่คุณจะมาล้อเล่น”
ปราณนต์เดินออกไปเลย พริบพราวพยายามเรียก
“ณนต์ ณนต์ ณนต์กลับมาคุยกันก่อน”
ปราณนต์เดินออกไปโดยไม่สนใจเลย
พริบพราวนั่งร้องไห้ คนที่นั่งอยู่ห่างๆหันมามอง พริบพราวต้องรีบปาดน้ำตาทั้งที่ในใจเจ็บปวด เธอมองกระดาษปึกโตที่วางอยู่ด้วยความเศร้า
ปราณนต์เดินอยู่ข้างถนนในบรรยากาศสุดเศร้า
ภาพพริบพราวดูน่ารักเวลาที่คบกันย้อนกลับมา
ปราณนต์ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ
พริบพราวก็ขับรถไปร้องไห้ไป
ภาพปราณนต์น่ารักและแสนดีแวบขึ้นในหัวของเธอ
พริบพราวคิดแล้วก็ยิ่งเศร้าจึงปล่อยโฮออกมา
ปราณนต์กับพริบพราวต่างก็รู้สึกเจ็บ
ปราณนต์นั่งเปิดคอมพิวเตอร์ เครื่องติดและขึ้นวอลเปเปอร์เป็นรูปเขาคู่กับพริบพราว ปราณนต์เจ็บจี๊ด เขาตัดใจเปลี่ยนรูปจากรูปคู่ ปราณนต์คิดแล้วเลือกคลิ๊กมาที่รูปดอก Love in a mist ปราณนต์นั่งดูรูปดอกไม้แล้วคิดถึงอวัศยาในคืนวันฝนตก
เขานึกถึงตอนที่อวัศยาอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทั้งในครั้งแรกและครั้งที่สอง
ข้อความตอนแอบรักบอกว่าเรื่องกลัวฟ้าร้องและความกลัวหายไปเพราะผู้ชายคนหนึ่งย้อนกลับมา
ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาถามอวัศยาเรื่องฟ้าร้องย้อนกลับมา
“พี่ศยากลัวเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าใช่มั้ยครับ”
อวัศยาพยักหน้า ข้อความที่ปราณนต์บอกว่าตัวเองกลัวน้ำทะเล
ภาพตอนที่เขาคุยกับอวัศยาย้อนมา
ปราณนต์เริ่มใจเต้นแรง “พี่ศยารู้ว่าผมกลัวน้ำทะเลใช่มั้ยครับ”
อวัศยาพยักหน้า
ข้อความที่แอบรักพูดเรื่องดอก Love in a mist ย้อนกลับมา
ปราณนต์ถาม
“พี่ศยารู้จักดอก “Love in a mist” ใช่มั้ยครับ”
อวัศยาพยักหน้า “ใช่ ... ฉันรู้จักดอก Love in a Mist”
เหตุการณ์ตอนที่อวัศยาแอบมองปราณนต์ และทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ทั้งมุมเขินอายที่ปราณนต์
ไม่เคยสนใจมองเลยแวบขึ้นมา
ปราณนต์คิดหนักและตัดสินใจเปิดอีเมล เขาเข้าไปที่อีเมลของแอบรัก “Love in a mist”
ปราณนต์คิดและตัดสินใจพิมพ์ข้อความลงไป “ถึงคุณแอบรัก” ปราณนต์คิดแล้วตัดสินใจกดลบก่อนจะพิมพ์ใหม่ “พี่ศยาครับ ... ไม่ว่าพี่จะเป็นความรักที่ซ่อนอยู่ในสายหมอก หรือ ปีศาจที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ .. ผมขอให้พี่ออกมาได้มั้ยครับ ออกมาเพื่อเจอกันในโลกความเป็นจริง ... ปราณนต์”
ปราณนต์คิดหนึ่งอึดใจแล้วกดส่งอีเมลไปทันที ปราณนต์รออีเมลตอบด้วยใจจดจ่อ
อวัศยากำลังจัดของจากกระเป๋าเดินทางเข้าชั้นวางของที่รันแบ่งไว้ให้ อวัศยารู้สึกเศร้าและเจ็บ เสียงอีเมลเข้าดังขึ้น อวัศยาหันไปมองเบื่อๆ แล้วก็หยิบมากดดู พอเห็นว่าเป็นอีเมลของแอบรักก็ตาโตด้วยความแปลกใจ
“ปราณนต์ส่งอีเมลมาหาแอบรัก”
รันเดินมาได้ยินพอดี
“เฮ้ย ถามจริง” อวัศยาหันมาพยักหน้า รันรีบวิ่งมานั่งประกบ “เปิดอ่านเลย เค้าเขียนมาว่ายังไง”
อวัศยาตื่นเต้น เธอทั้งกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็กดอ่าน รันรีบถาม
“อะไร ยังไง เค้าว่าไงบ้าง”
อวัศยาหันมาบอกอึ้งๆ “เค้าเขียนชื่อฉันในอีเมลของแอบรัก แล้วเค้าก็ขอนัดเจอกับฉัน”
“หะ ใส่ชื่อเธอเลยเหรอ นี่ต้องมั่นใจมากๆว่าเธอคือแอบรัก .. แบบนี้ก็แสดงว่าพริบพราวต้องถูกจับได้ว่าโกหก”
อวัศยาคิดตาม รันรีบหันมาถาม
“ถ้าไปเจอนี่เท่ากับยอมรับว่าเป็นแอบรักเลยนะ .. แล้วเธอจะไปเจอเค้าหรือเปล่า” รันถาม
อวัศยาอึ้งคิดด้วยความรู้สึกที่ยังหวาด ๆ กลัวๆ
อ่านต่อหน้าที่ 4
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ปราณนต์รอลุ้น
อวัศยาลังเล
ปราณนต์ยังรอ
อวัศยาคิดและปิดอีเมล
“อ้าว..ตกลงไม่ตอบ” รันถาม
อวัศยาส่ายหน้า “เรื่องแอบรัก..มันไม่ใช่แค่เรื่องของฉันกับปราณนต์อีกต่อไป”
“อย่าบอกนะว่าเธอไม่ไปหาณนต์ เพราะแคร์พริบพราว”
อวัศยาพยักหน้า “แอบรัก” ทำร้ายเราสามคนมามากพอแล้ว ฉันไม่อยากใช้ “แอบรัก” ทำร้ายพริบพราวมากไปกว่านี้”
รันพยักหน้าเห็นด้วย อวัศยามองอีเมลแล้วก็พยายามใช้สติมากกว่าอารมณ์
ปราณนต์รอและรอ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ
พริบพราวนั่งอ่านกระดาษที่พิมพ์ข้อความของแอบรักและปราณนต์จึงถึงหน้าสุดท้าย แล้วเธอก็ปิดลงเบาๆ ก่อนจะนั่งอึ้งซึมอยู่ในบ้าน แม่ของเธอเดินมาเพราะกำลังจะไปทำงาน
“อ้าวพราววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอลูก”
พริบพราวหันมาตอบ “เอ่อ...ไม่ค่ะ พราวรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“เป็นไรลูก แม่กำลังจะไปเข้าตรวจที่โรงพยาบาลพอดี จะไปพร้อมกันมั้ย” แม่ถาม
“ไม่หรอกค่ะ พราวพักอยู่บ้านสักวันสองวันก็คงหาย”
แม่พยักหน้า “ได้ๆ งั้นก็พักผ่อนนะลูก” แม่จะไปแต่ก็นึกได้ “เออ นี่ ! อาทิตย์หน้าพ่อกับแม่ว่างสองวัน ชวนณนต์มากินข้าวที่บ้านนะ แม่ชอบขนมจีนซาวน้ำที่เค้าทำครั้งที่แล้ว บอกเค้าว่าแม่ติดใจ อยากทานอีก” แม่ยิ้มปลื้ม “อย่าลืมบอกนะ”
พริบพราวจ๋อย “ค่ะ”
“แม่ไปทำงานก่อนนะ เย็นๆเจอกันจ้ะ”
พริบพราวยกมือไหว้ แม่จับหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดูแล้วก็เดินออกไป พริบพราวเศร้าหนักเพราะคำพูดของแม่ตอกย้ำให้ช้ำใจ คนรับใช้เดินเข้ามา
“คุณพริบพราวคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
พริบพราวชะงักขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่าหรือจะเป็นปราณนต์
องศายืนยิ้มอยู่หน้าบ้าน พราวยืนกอดอกมองเขาด้วยแววตาโคตรไม่เป็นมิตร
“มาที่นี่อีกทำไม”
“ผมมายื่นข้อเสนอเรื่องงาน...งานที่คุณไม่ควรจะปฎิเสธ”
องศายิ้มเหนือและมั่นใจมาก พริบพราวหลิ่วตาว่าเขามาแนวไหน
แสนดีร้องไห้โฮ โดยมีลิลลี่คอยปลอบใจ
“คุณองศาโทรศัพท์มาปฎิเสธงานฉัน เค้าไม่ให้ฉันไปเป็นมาร์แล้ว...ฉัน...ฉันไม่ได้เป็นมาร์แล้วลิลลี่...ทำมาย..ทำมาย ฉันอยากเป็นมาร์” แสนดีทำเสียงน่ากลัวนิดๆ
ลิลลี่เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากไปด้วยเพราะจะอ้วก “แสนดีใจเย็นๆ ใจเย็นๆนะ มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า โทร.ไปคุย” ลิลลี่จะอ้วก “กับเค้าอีกทีมั้ย”
“ฉันพยายามโทร.กลับไปหาตั้งหลายที แต่หลังจากที่เค้าปฎิเสธฉัน .. เค้าก็ไม่รับสายฉันอีกเลย .. ฉัน..ฉันเสียใจ” แสนดีว่า
ลิลลี่กอดปลอบ “ลิลลี่ก็เสียใจ”
รุจน์มาจากไหนไม่รู้ตรงเข้ามากอดลิลลี่ต่อ “พี่รุจน์ก็เสียใจ”
ลิลลี่หันขวับมาว่า “อีพี่รุจน์มาจากไหนเนี่ย อย่ามาเนียน” พอได้กลิ่นตัวรุจน์ลิลลี่ก็จะอ้วก “อ้วก อีพี่รุจน์ไปไกลๆ เลย ตัวเหม็นมาก ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก” ลิลลี่ผลัก “ไป ออกไปไกลๆ”
“กลิ่นอะไร พี่ไม่ได้ไปทำอะไรมาเลยนะ” รุจน์ดมจักกะแร้ตัวเอง “หอมจะ....ตาย”
ลิลลี่จะอ้วก “หอมยังกะส้วมหล่ะสิ ออกไปห่างๆเลยนะ ไป อ้วกก ไม่ไหวแล้ว ขอไปอ้วกก่อนนะ”
ลิลลี่รีบวิ่งพรวดออกไปทันทีโดยสวนกับพีระที่กำลังเดินเข้ามา รุจน์กับพีระมองตามแปลกๆ
“อาการแบบนี้คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” พีระนึกไม่ออก
“นั่นสิ..ผมก็ว่ามันคุ้นๆ” รุจน์บอก
พีระหันมาเห็นแสนดีร้องไห้ “อ้าว แสนดี มานั่งร้องไห้อะไรอยู่แถวนี้ มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
แสนดีพูดไม่ออกจึงได้แต่แบะปากจะร้องไห้
“สะ...แสนดี...” แสนดียังพูดไม่จบนิดาก็เดินเข้ามาทันที
“แสนดีคะ บอสเรียกพบด่วนค่ะ”
จากที่แบะหน้าจะร้องไห้ แสนดีหน้าตึงทันทีเพราะช๊อค “บอสเรียกแสนดี ... เรียกทำไมคะ”
แสนดีโคตรสงสัย
ลิปดาตอบนิ่งๆ
“ผมจะเลื่อนให้คุณเป็นมาร์เก็ตติ้ง ลองฝึกทดลองงานสัก ๓ เดือนถ้าทำได้ก็เป็นมาร์ฯประจำ”
แสนดีอึ้งจนช๊อค
“จริงเหรอคะบอส”
“ผมเคยพูดไม่จริงเหรอ”
แสนดีละล่ำละลักและรีบบอก “ไม่ค่ะ ไม่เคยค่ะ บอสพูดแต่ความจริงตลอดเลยค่ะ งั้นแสนดีรับงานนี้เลยนะคะ บอสไม่เปลี่ยนใจแน่นะคะ”
“ผมไม่ใช่คนโลเล คุณทำงานให้ดีๆก็แล้วกัน จะได้อยู่เป็นมาร์เก็ตติ้งตลอดไป ไม่ต้องกลับไปทำงานเอกสาร”
“ค่ะๆ แสนดีจะทำงานอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ จะไม่ทำให้บอสและนารากรผิดหวังค่ะ” แสนดีนึกได้ “ว่าแต่ทำไมบอสถึงรับมาร์เพิ่มได้คะ ปกติตำแหน่งนี้มันเต็มอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“พอดีเมื่อเช้านี้ เพิ่งมีคนลาออกไปคนนึง”
แสนดีตาโต “ใครลาออกเหรอคะ”
แสนดีโคตรจะอยากรู้
ลิลลี่ พีระ นิดา และรุจน์โพล่งออกมาพร้อมกัน
“พริบพราวลาออก”
ลิลลี่ พีระ นิดา และรุจน์ยืนคุยกันอยู่ในแคนทีน แสนดีนั่งอยู่ตรงกลางเหมือนเป็นศูนย์กระจายข่าว ปราณนต์ยืนฟังอย่างอึ้งๆ อยู่ไม่ห่างแต่แยกออกมาเล็กน้อย
แสนดีย้ำ “ใช่ บอสพูดออกมาเองเลย เพิ่งจะลาออกไปเมื่อเช้านี้เอง และฉันก็ได้เลื่อนมาเป็นมาร์แทน” แสนดียืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ลิลลี่ไม่ได้สนใจแสนดีแต่คิดพริบพราว “พริบพราวลาออกเนี่ยนะ ทำไมไม่เห็นได้ข่าวมาก่อนเลย คุณณนต์รู้ก่อนมั้ยคะ” ลิลลี่ถาม ทุกคนหันขวับมาทางปราณนต์
ปราณนต์อึกอักๆ รุจน์รีบแทรกเข้ามาจะมาถามแต่ดันมาอยู่ใกล้ลิลลี่ทำให้ลิลลี่จะอ้วก ลิลลี่รีบเดินชิ่งไปอีกมุม
“อ้วก!!” ลิลลี่พะอืดพะอมเลยยืนห่างออกไป
“ว่าไงไอ้ณนต์ ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้เรื่องพริบพราวลาออก” รุจน์ถาม
“ไม่รู้ครับ..เอ่อ..” ปราณนต์คิดในใจแล้วพูดด้วยความลำบากใจ “ผมกับพราว..เราเลิกกันแล้วครับ”
“หะ ? เลิกกันแล้ว” ทุกคนตกใจ
ปราณนต์พยักหน้ารับด้วยความเศร้าและเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
ลิลลี่ รุจน์ พีระ นิดา และแสนดีมองหน้ากันอย่างงงๆ
ปราณนต์นิ่งๆ เงียบๆ เจ็บลึกๆ แต่ไม่พูด ไม่เม้าท์อะไรต่อ เพราะลึกๆ ปราณนต์ก็เป็นห่วงพริบพราวเรื่องลาออก
ปราณนต์เดินแยกออกมาที่มุมหนึ่งของบริษัท เขาหยิบโทรศัพท์มากดหาชื่อ “คุณหนูพราว” ปราณนต์ชั่งใจเพราะอยากจะโทรไปหา โทรไปถามด้วยความเป็นห่วง แต่เขาก็ยังมีทิฐิและความโกรธอยู่ ระหว่างที่ปราณนต์กำลังตัดสินใจ ก็มีอีเมลเด้งขึ้นมา ปราณนต์แปลกใจจึงกดเปิดดูก็เห็นว่าเป็นอีเมลของแอบรัก
“คุณแอบรัก”
ปราณนต์รีบเปิดเข้าไปอ่าน
“ปราณนต์ ... ถ้าเธอพร้อมจะเจอกับฉันในโลกความเป็นจริง..ฉันก็พร้อมที่จะเจอกับเธอ ... อวัศยา”
ปราณนต์อ่านด้วยแววตานิ่ง เขาคิดในใจ
“พี่ศยา....เป็นคุณแอบรักจริงๆด้วย”
ปราณนต์ครุ่นคิดเหมือนคนที่ไขปริศนาแสนยากสำเร็จ แต่เมื่อได้คำตอบแล้วเขากลับไม่ดีใจเท่ากับที่คิดไว้ ปราณนต์พิมพ์ข้อความตอบกลับและส่งไปก่อนจะปิดหน้าจออีเมลก็เห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองกำลังจะโทรออก เป็นชื่อ “คุณหนูพราว” ค้างอยู่ ปราณนต์ชะงักมองรูปพริบพราวแล้วก็คิดว่าจะเอายังไงดี ปราณนต์สับสน สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจปิดหน้าจอและไม่โทรหาพริบพราว ปราณนต์หันหน้าจากโทรศัพท์และมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อบอกกับตัวเองว่าเราต้องหันหลังให้อดีตและเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้
อวัศยานั่งอยู่กลางห้องรันที่แสนจะเงียบเหงา เสียงอีเมลเข้าที่เครื่องดังขึ้น อวัศยาหยิบมาเปิดอ่าน
“ผมพร้อมเสมอ...เจอกันครับ .. ปราณนต์”
อวัศยากดปิดแล้วก็ถอนหายใจ
“ฉันคิดถูกแล้ว...ฉันคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้”
อวัศยาพยายามย้ำเตือนตัวเองเพิ่มความมั่นใจ เธอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา
อวัศยาเดินออกมาจากคอนโดฯ ที่รันอยู่ พริบพราวยืนใส่แว่นดำรออยู่ อวัศยาเดินมาหา
“เสียใจด้วยนะ กับเรื่องที่เกิดขึ้น” อวัศยาพูดกับพริบพราว
พริบพราวหันมามองอวัศยาด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ..พราวขอโทษ .. ขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับพี่ศยา”
“ช่างมันเถอะ..ฉันลืมมันไปหมดแล้ว..อีกอย่างฉันก็ทำไม่ดีกับเธอไว้หลายอย่งเหมือนกัน ถือซะว่า....เราหายกัน”
พริบพราวมองอวัศยาด้วยความซาบซึ้งแล้วก็พุ่งเข้ามากอด อวัศยาตัวแข็งเพราะงง พริบพราวปล่อยโฮออกมา
“ณนต์เค้าเกลียดพราวแล้วค่ะ ณนต์เค้าเกลียดพราว .. เค้ารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว พราวเป็นผู้หญิงที่แย่มากในสายตาณนต์ฎ พริบพราวร้องไห้เหมือนเด็กๆ “ฮืออ...แต่มันก็สมควรแล้วที่เค้าจะโกรธ เกลียดพราว พราวผิดเอง พราวแย่เอง พราวรับผิดทุกอย่าง ฮืออ...พราวผิดเอง”
อวัศยาค่อยๆคลายความตกใจและกอดพริบพราวแล้วปลอบใจเหมือนพี่สาวปลอบน้องสาว “รอสักพักแล้วค่อยพูดกับณนต์ .. บางทีเค้าอาจจะเข้าใจ”
พริบพราวสะอื้น แล้วสติของเธอก็ค่อยๆกลับมา พริบพราวคลายกอดอวัศยาแล้วมาเผชิญหน้า ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วพูดอย่างกล้าหาญ
“พราวคงไม่พูดอะไรกับณนต์อีกแล้ว...มันหมดเวลาของพราวแล้วค่ะ..คนที่จะต้องพูด บอกความจริงกับณนต์ .. คือพี่ศยาค่ะ”
อวัศยางง พริบพราวจับมืออวัศยาแล้วพูดอย่างจริงใจ
“พราวได้อ่านทุกข้อความที่แอบรักคุยกับณนต์...มันเป็นข้อความที่น่ารักมากๆ” พริบพราวน้ำตาร่วง “พราวไม่แปลกใจเลย ทำไมณนต์ถึงตกหลุมรัก “แอบรัก” พราวผิดเองที่เข้ามาทำลายมัน”
อวัศยาฟังก็ทั้งสงสาร ทั้งสงสัย พริบพราวพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“พราวขโมยณนต์จากพี่ศยามานานเกินไปแล้ว พราวขอคืนเค้าให้พี่ .. คืนให้กับ “แอบรัก” ตัวจริง .. ที่พราวเคยพูดว่าณนต์จะผิดหวังถ้ารู้ว่าพี่ศยาเป็นแอบรัก มันไม่เป็นความจริง พราวโกหกเพื่อให้พี่เลิกยุ่งกับณนต์” พริบพราวน้ำตาร่วง “พราวขอโทษ .. ไม่ว่าพี่จะเป็นความรักที่อยู่ในสายหมอก หรือเป็นปีศาจหลังพุ่มไม้..ออกมาหาณนต์นะคะ .. เขารอเจอพี่อยู่ .. พราวรู้ว่าพี่จะดูแลเค้าได้ดีกว่าพราว”
พริบพราวร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม อวัศยาเห็นแล้วต้องดึงเธอเข้ามากอดด้วยความสงสาร...การสวมกอดครั้งนี้อวัศยาเป็นฝ่ายเข้ามาและกอดพริบพราวไว้ด้วยความอ่อนโยน ผู้หญิงสองคนยืนปลอบโยนกันและกันใต้ท้องฟ้ากว้างเป็นความเข้าใจที่แสนเศร้าและสวยงาม
หลังจากนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต อวัศยานั่งอยู่ที่เดิม ในมือของเธอถือโทรศัพท์ อวัศยาวางโทรศัพท์ลงและมองไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกว่าชีวิตต้องเดินต่อไป
ปราณนต์รีบเดินออกมาหน้าบริษัทและกำลังมุ่งไปที่จักรยาน เสียงลิปดาเรียกดังขึ้น
“ปราณนต์” ปราณนต์หันมาหา ลิปดาพูดต่อ “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ผู้ชายทั้งสองเผชิญหน้ากัน
“คุณรู้เรื่องพริบพราวแล้วใช่มั้ย” ลิปดาถาม
“ครับ..ผมรู้พร้อมๆกับคนอื่น”
ลิปดาถามแบบหยั่งเชิง “พราวบอกหรือเปล่าว่าทำไมถึงลาออก”
“ไม่ได้บอกครับ ... เอ่อ ..” ปราณนต์อึกอักว่าจะบอกดีไหมแล้วเขาก็ตัดสินใจพูด “คือ ที่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ผมควรจะบอก ให้บอสรับทราบ .. คือ ผมกับพริบพราวเราไม่ได้คบกันแล้วครับ”
“เลิกกันแล้ว ทำไม” ลิปดาถาม ปราณนต์ชะงักนิดๆ เพราะไม่อยากบอก ลิปดารู้ตัวจึงรีบพูดแก้ “คือ .. ผมก็ตกใจ เลยถามไปฐานะรุ่นพี่พราว แต่ไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว”
“ครับ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีนัด สวัสดีครับบอส” ปราณนต์จะเดินไป
ลิปดาอยากรู้ “เดี๋ยว..นัดอะไร สำคัญหรือเปล่า” ปราณนต์งง “คือ .. พอดีผมมีงานจะให้ช่วยนิดหน่อย”
ปราณนต์ลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “เอ่อ..”
“ท่าทางจะเป็นนัดสำคัญ”
“ครับ แล้วก็เป็นคนสำคัญมากๆ”
ลิปดารู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาจึงรีบตัดบท
“งั้นก็รีบไปเถอะ เรื่องงานเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยเรียกมาคุย”
ปราณนต์ยิ้มโล่งอก “ขอบคุณครับบอส ผมไปก่อนนะครับ”
ลิปดาพยักหน้า ปราณนต์รีบวิ่งไปที่จักรยานและขี่ไปอย่างเท่ ลับหลังปราณนต์ลิปดาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“คุณรัน .. ตอนนี้ศยาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
ลิปดาถามด้วยความอยากรู้ สังหรณ์ใจ และรู้สึกหวงสุดๆ
น้ำพุพวงพุ่งสวยงามเหมือนภาพฝัน อวัศยายืนอยู่ริมน้ำพุในชุดสวยเหมือนสาวนัดหนุ่มออกเดท
ปราณนต์เดินเข้ามาจากอีกมุมแล้วมองหาผ่านม่านน้ำ เขาเดินผ่านเข้ามาจนเจออวัศยายืนหันหลังให้อยู่ ปราณนต์เดินมายืนข้างหลังและเรียกเธอ
“คุณแอบรัก”
อวัศยาชะงักกึกก่อนจะหันมาหาปราณนต์ ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันโดยมีม่านน้ำพุบางๆ กั้นอยู่ ปราณนต์เดินผ่านเข้ามายืนกับอวัศยาในระยะประชิด ต่างคนต่างมองตากันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน
“ผิดหวังมั้ย ...” อวัศยายังพูดไม่จบ
ปราณนต์พูดสวนออกมา “ผมไม่รู้สึกผิดหวังแม้แต่นิดเดียวที่รู้ว่าแอบรักคือพี่ศยา ..” ปราณนต์ถามบ้าง “แล้วพี่โกรธ ..” ปราณนต์ยังถามไม่จบ
อวัศยาก็พูดสวนขึ้นมาบ้าง “ฉันไม่เคยโกรธเธอเลย ที่เธอคิดว่าพริบพราวคือแอบรัก และฉันก็ไม่โกรธพริบพราวด้วย”
ปราณนต์กับอวัศยาพูดพร้อมกัน “พี่เข้าใจ”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน บรรยากาศดีขึ้น ความเกร็งเริ่มลดลง
“ผมมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม ผมอยากรู้ว่าทำไมพราวถึงรู้เรื่องการนัดของเรา ทำไมตอนพราวเป็นแอบรักแล้วพี่ไม่บอกผม ทำไม....ทำไมพี่ไม่ปกป้องตัวเอง ทำไมไม่ปกป้องแอบรัก ทำไมหละครับพี่”
ปราณนต์พยายามจะสร้างโลกสวยงามขึ้น อวัศยาจึงเล่นตามบท
“เราข้ามตรงนั้นกันมาแล้ว อย่าถามถามเหตุผลอีกเลยว่าทำไม.. ไหนๆ เราก็เริ่มต้นมาเจอกันใหม่ เราก็เริ่มอะไรใหม่ๆดีกว่า ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา”
ปราณนต์ชะงักกึกกับคำพูดคุ้นๆ
เขานึกถึงตอนที่พริบพราวพูดว่า..ให้ลืมเรื่องเก่าๆ และอยู่กับปัจจุบัน
ปราณนต์หน้าเสียนิดๆ ที่ตัวเองสลัดพริบพราวไม่หลุด อวัศยาแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” อวัศยาถาม
“เปล่าครับ เปล่าไม่เป็นอะไร ครับ..ดีครับ..เรามาเริ่มต้นกันใหม่ แล้วเราจะเริ่มต้นกันในสถานะอะไรครับ”
“ก็.... เป็นอะไรก็ได้ ... เป็น”
ปราณนต์กับอวัศยาโพล่งออกมาพร้อมกัน “เป็นแฟนกันมั้ย”
อวัศยาอึ้ง ช๊อคที่มีเด็กมาขอเป็นแฟน “เป็น...แฟน”
ปราณนต์ถาม “เร็วไปมั้ยครับ”
“ไม่รู้สิ ไม่มั๊ง เธอว่าไงอ่ะ”
“ไม่นะครับ ไม่เลย..ไม่เร็วไปหรอก พี่ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ จะมีแฟนก็ไม่เห็นจะแปลก”
“เออใช่..เราก็คุยกันทางแชต ทางอีเมล มาตั้งนานก็เรียนรู้กันไปตั้งเยอะแล้วเนอะ..เจอกันก็..เป็นแฟนกันเลย..ก็ได้ มั้ง เนอะ”
“ครับ..ผมก็ว่าอย่างนั้น...งั้นเราก็...เป็นแฟนกันเลยนะครับ”
อวัศยายังช๊อคนิดๆ แต่แล้วก็พยักหน้า “อือๆ”
ปราณนต์ยิ้ม “ผมดีใจมากเลยครับ”
ปราณนต์อยากจะเข้าไปกอดอวัศยาแต่ก็ไม่รู้จะกอดยังไง เขาอึกๆอักๆ อวัศยาก็เข้าใจแต่ก็ไม่รู้จะให้เขาเข้ามากอดยังไง ทั้งสองเงอะงะกันอยู่สักพักก็หาทางเข้ามากอดกันจนได้ ปราณนต์กับอวัศยากอดกันท่ามกลางน้ำพุที่สวยงาม
สีหน้าอวัศยากับปราณนต์พยายามจะยิ้มและมีความสุข ทั้งที่ในใจของทั้งคู่ ทั้งสับสน งุนงง และมีอะไรบางอย่างเคลือบแฝงอยู่
บริษัทนารากรตอนกลางคืนแสนจะเงียบเหงา มีเพียงแสงไฟบางจุดจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
พริบพราวเดินเข้ามามองไปรอบๆแล้วก็ใจหาย เธอเดินมาพร้อมกับกล่องเปล่าและเก็บของที่โต๊ะของตัวเอง
พริบพราวกำลังยกกล่องของจะกลับ แต่ตอนเดินผ่านโต๊ะปราณนต์ เธอก็ชะงักเท้าหยุดแล้วหันมามอง
พริบพราวเดินมาที่โต๊ะปราณนต์ก่อนจะวางของแล้วลูบเบาๆที่โต๊ะเพราะคิดถึงปราณนต์
ภาพตอนที่ปราณนต์นั่งทำงานและแซวเธอ แกล้งเธอ รักกับเธอ หลากหลายอารมณ์ย้อนกลับมา
พริบพราวน้ำตาคลอ ลิปดาเดินเข้ามาเห็นก็ถาม
“แน่ใจว่าจะไปจริงๆ”
พริบพราวรีบเช็ดน้ำตา ทำปกติ แล้วหันมาตอบ
“แน่ใจค่ะ”
ลิปดาเดินเข้ามาถาม “แต่สิ่งที่พราวกำลังจะทำ มันอันตรายมากนะ”
“แต่ถ้าพราวไม่ทำ ก็อาจจะมีลูกค้าของนารากรอีกหลายคนต้องเป็นอันตราย ... พราวทำในสิ่งที่ผิดพลาดมามากแล้ว พราวขอทำสิ่งที่ถูกต้องบ้าง เผื่อมันจะลบล้างความผิดที่เคยทำไว้”
“แล้วเรื่องระหว่างพราวกับปราณนต์”
“มันจบแล้วค่ะ...ณนต์รู้ความจริงหมดแล้ว..ณนต์รู้ว่าพราวไม่ใช่แอบรัก และตอนนี้ก็คงจะรู้แล้วว่า...แอบรักที่แท้จริง..เป็นใคร”
พริบพราวพูดน้ำเสียงเศร้าๆ เพราะต้องทำใจ
ลิปดาฟังแล้วก็สะเทือนใจ เมื่อมองจากมุมของตัวเองต่างคนก็ต่างเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน
เสียงออดประตูห้อวรันดังกระหน่ำ รันรีบวิ่งไป
“จ้าๆๆๆ มาแล้วจ้า โอ้ย จะรีบร้อนอะไรนักหนา”
รันเปิดประตูผัวะออกมาก็เห็นอวัศยายืนยิ้มหน้าใสพยายามจะมีความสุข
“รัน! ฉันค้นพบแล้ว”
รันงง “ค้นพบอะไรของแก
อวัศยาพรั่งพรูโดยเดินไปพูดไป เธอวางกระเป๋า ถอดรองเท้า และก็เม้าไปไม่หยุดปาก
“ฉันค้นพบแล้วว่า..ฉันกับปราณนต์คืออะไรที่เข้ากันได้ดีมากๆเมื่อกี๊ที่เราเจอกัน มันแทบจะไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเราก็รู้แล้วว่าเราคิดอะไรกัน .. แค่เค้าพูดคำแรกฉันก็ต่อคำต่อไปได้เลย .. มันใช่ มันใช่ มันใช่มากๆ”
“เอ่อ..ศยา..แกฟังฉันก่อน”
“ไม่ๆ แกต้องฟังฉัน...เข้าสู่ตอนสำคัญที่สุดแล้ว ให้ฉันเล่าให้จบก่อน ... ตอนนี้ฉันกับปราณนต์เราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว”
อวัศยาเดินไปพูดไป โดยไม่รู้เลยว่าลิปดายืนฟังอยู่ข้างหลัง รันหน้าเสีย อวัศยาเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“แกจะพูดอะไร” อวัศยาถาม
“ฉันจะบอกว่า....บอสมารอแกตั้งนานแล้ว...บอส..อยู่” รันชี้ไปข้างหลัง “ข้างหลังแก”
อวัศยาอึ้ง เธอหันขวับไปเห็นลิปดายืนอยู่ ลิปดาทำหน้าไม่ถูก ในมือของเขายังถือช่อดอกไม้เตรียมขอโทษมาด้วย
อวัศยาอึ้ง “บอส ..”
ลิปดาอึ้งกว่า “ผม .. ได้ยินหมดแล้ว ... ก็ ... ยินดีด้วย”
ลิปดาพยายามฝืนยิ้ม แต่ในใจโคตรเจ็บ
ลิปดาเดินเข้ามาและจับมืออวัศยามารับช่อดอกไม้ไปจากเขา “ถือว่าผมเอาดอกไม้มาแสดงความยินดีก็แล้วกัน” ลิปดามองอวัศยาด้วยแววตารักมาก แต่ไม่ได้พูด เขาพูดได้แค่ “วันนี้คุณสวยมาก .. ที่เค้าพูดว่า ผู้หญิงเวลามีความรักจะสวยขึ้น .. มันคงจะจริง .. ขอให้มีความสุขนะศยา”
ลิปดาหันหน้าหนีแล้วก็เดินออกไปเลย อวัศยาอึ้งช๊อค ความรู้สึกที่สับสนอยู่แล้วยิ่งสับสนหนักขึ้นไปอีก ลิปดาเดินออกไปจากห้อง รันรีบเรียกไว้
“บอส..บอส...เดี๋ยวก่อนครับบอส” รันพูดกับอวัศยา “เดี๋ยวฉันมานะ”
รันรีบวิ่งตามลิปดาไป
อวัศยายืนอยู่กลางห้องด้วยความงุนงง เธอมองดูดอกไม้แล้วก็ยิ่งสับสน อวัศยาทรุดลงนั่งพื้นแล้วย้ำกับตัวเองในใจ
“ฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง...ฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ลิปดาเดินออกมาจากห้องของรันด้วยสีหน้าเศร้าๆ รันรีบวิ่งตามออกมา
“บอส ! เดี๋ยวก่อนบอส”
ลิปดาหยุดเดิน รันตามมาทัน
“บอสไม่คุยอะไรกับศยาหน่อยเหรอครับ อธิบายเรื่องที่มันเกิดขึ้น ตกลงแล้วมันยังไงกันแน่ ศยาเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า บอสเข้าไปเคลียร์ก่อนดีมั้ยครับ”
ลิปดาคิด และตัดสินใจโกหก “ผมไม่มีอะไรจะเคลียร์ สิ่งที่ศยาคิด มันก็..ถูกต้องแล้ว ทั้งเรื่องลูก เรื่องแจน..ผมไม่มีคำอธิบาย”
รันงง “อ้าว”
ลิปดาฝืนยิ้ม “ขอบคุณมากที่พยายามช่วย แต่ผมให้เกียรติ์การตัดสินใจของศยา ในเมื่อเค้าตัดสินใจเลือกที่จะคบกับปราณนต์ ผมคงต้องถอย”
ลิปดาพูดเศร้าๆ แม้จะพยายามทำเป็นเข้าใจแต่ก็เศร้าอยู่ดี ลิปดาเดินออกไป รันได้แต่มองตามด้วยความเห็นใจ
อวัศยานั่งอึ้งนิ่งอยู่ที่โซฟา เธอมองดอกไม้ในมือด้วยใจที่สับสนและไม่แน่ใจ รันเปิดประตูเดินเข้ามา
“ศยา...” รันยังไม่ได้พูดต่อ
อวัศยาลุกขึ้นทันทีแล้วตัดบทการสนทนา
“ฉันไปอาบน้ำนะ”
รันชะงัก.. “อ้าว” ..
อวัศยาเดินเข้าห้องน้ำไปทันที
อวัศยาเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง งง สับสน เพราะไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี
ลิปดาขี่มอเตอร์ดไซด์ฝ่าความมืดไปแบบเหงาๆ
ทั้งอวัศยาและลิปดาต่างก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เปรี้ยวถามด้วยความตกใจ
“ณนต์เลิกกับหนูพราว...ทำไม อะไร ยังไง ทำไมเลิก เฮ้ย ป้าไม่ยอมนะ”
เปรี้ยวโวยวาย ปุ้มเหล่ๆ ปริมนั่งฟังอย่างมีสติ ปราณนต์เล่าให้ฟังด้วยสีหน้าเศร้า
“นั่นสิ..ทะเลาะกันหรือเปล่า พี่ว่าค่อยๆคุย ค่อยๆเคลียร์กันมั้ย คบกันมาได้ตั้งหลายเดือนดูแฮปปี้ดีออก พี่ไม่เคยเห็นณนต์มีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
ปราณนต์ชะงัก เขารู้สึกเศร้าแต่ก็ต้องตัดใจ
“มีความสุขอยู่บนความหลอกลวง มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง”
ทุกคนงง ปราณนต์รีบพูดต่อ
“ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากบอก..ตอนนี้ผมมีแฟนใหม่แล้วนะครับ”
ทุกคนงงหนักกว่าเดิม ปริมลุกพรวดทันที “หะ ? แฟนใหม่”
“ครับ”
“ใคร” ปริมถามต่อ
ปราณนต์หนักใจนิดๆ แต่ก็ตัดสินใจบอก “พี่ศยาครับ”
ปราณนต์พูดจบก็เดินออกไปเลย
ทุกคนตกใจมาก “หะ ศยาเนี่ยนะ”
ทุกคนอึ้งเหวอกันไปและมองหน้ากันด้วยความงงเป็นไก่ตาแตก
พริบพราวเดินมาตามทางโดยมุ่งมาที่บริษัทขององศา เธอเดินไปคุยโทรศัพท์ไป
พริบพราวเศร้าแต่พยายามทำเข้มแข็ง “ณนต์เลือกถูกแล้วค่ะพี่ปุ้ม พี่ศยาเป็นคนดีจริงๆนะคะ เมื่อก่อนพราวก็ไม่ค่อยชอบเค้า แต่พอรู้จักมากขึ้น เค้าเป็นเหมือนพี่สาวพราวเลยค่ะ .. พี่ศยาดูแลณนต์ได้ดีกว่าพราวแน่นอนค่ะ”
ปุ้มพูดจากโทรศัพท์ “แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เลิกกันแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยแบบนี้”
พริบพราวลำบากใจเลยตัดบท “พราวว่า พี่ปุ้มถามณนต์ดีกว่านะคะ พราวอยากให้ณนต์เป็นคนเล่ามากกว่า..เอ่อ พราวมาถึงที่ทำงานแล้ว..ขออนุญาตวางสายก่อนนะคะ ขอบคุณพี่ปุ้มมากๆนะคะที่โทร.มาด้วยความเป็นห่วงพราว พราว” พริบพราวโกหก “โอเคค่ะ แล้วคุยกันใหม่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
พริบพราววางสายไปพร้อมกับถอนหายใจ
“เฮ่อ....” พริบพราวหนักใจ
พริบพราวพยายามตัดเรื่องส่วนตัวแล้วหันมาที่หน้าบริษัทขององศาที่มีป้ายชื่อ “บริษัทหลักทรัพย์ ONG ” ติดตระหง่าน พริบพราวมีแววตาแข็งขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 13