xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 13

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 13

สไบเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าใจ ใจมองสไบที่น้ำตานองหน้า

"ที่พี่เฝ้าถามฉันว่าจะยกโทษให้ได้มั้ย..ก็เพราะเหตุนี้ พี่รู้อยู่แก่ใจ รู้ทุกครั้งที่กอดฉัน รู้ทุกครั้งที่พูดคำว่ารักออกมา"
"พี่รักสไบจริงๆ รักตั้งแต่แรกเห็น รักทั้งๆที่ไม่ควรรัก... รักไม่ได้"
สไบสะอื้น นึกถึงภาพวันแรกที่พบใจและใจช่วยไว้
"พี่อยากพาสไบไปอยู่ด้วยกัน พี่จะทำให้สไบสุขสบาย"
"พี่คิดว่าพาฉันจากบ้าน จากแผ่นดินนี้ไปอยู่อังวะ มันจะเป็นความสุขของฉันแล้วหรือ"
สไบมองใจ ใจตาแดงก่ำ
"ฉันรักพี่ รักที่ให้ได้แม้ชีวิต แต่พี่เป็นศัตรูแผ่นดิน คิดแต่จะฆ่าคนไท แย่งแผ่นดินนี้ไป แล้วยังจะให้ฉันเห็นแก่ตัว หนีไปอยู่กับศัตรูหรือ"
"สไบ"
"พี่คิดว่าฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร .. ฉันก็เหมือนพี่ทัพ หวังว่าความรัก ความดีจะเปลี่ยนใจพี่ได้ "
สไบเอื้อมมือมาแตะหน้าใจไว้ทั้งน้ำตา
"หวังให้แผ่นดินนี้เป็นบ้านที่เราจะอยู่ด้วยกัน ตายด้วยกัน"
สไบสะอื้น ใจมองรู้ว่าสไบเจ็บปวดและไม่ให้อภัย
"แต่รักของฉันที่ให้พี่ ไม่อาจทำให้ฉันทรยศแผ่นดิน หักหลังพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ฉันแลกแผ่นดินที่ฉันเกิดกับความรักของศัตรูไม่ได้"
สไบตัดใจ ลุกขึ้น ใจมองแววตาเด็ดเดี่ยวของสไบก็ใจหาย
"สไบไม่ยกโทษให้พี่"
"พี่ก็รู้ว่าฉันรักพี่แค่ไหน ชาตินี้ขอให้เราจบกันเพียงแค่นี้ แม้ชีวิตฉันจะสิ้นไปแล้ว แต่ฉันอยากบอกพี่ให้รู้ว่ารักของฉันจะยังคงอยู่ จะขอตามพี่ไปทุกชาติทุกภพ เกิดชาติหน้าฉันท์ใดขอเราอย่าได้เกิดมาเป็นศัตรูกันเหมือนชาตินี้เลย"
ใจรู้ว่าสไบกำลังคิดจะทำอะไร ลุกขึ้น พุ่งเข้าจะคว้าร่างสไบ แต่สไบหันหลังให้เดินห่าง ใจกระชากสุดแรงเชือก มือเอื้อมแต่ไม่ถึงร่างสไบ สุดแรงรั้งของเชือก ใจล้มลงกระแทกพื้น
"สไบ...สไบอย่าทำอย่างนั้นนะ พี่รักสไบ"
สไบกลั้นน้ำตา หันหลังออกไป ใจมองตามรู้สึกสูญสิ้นทุกอย่างหมดแล้วในชีวิต
" สไบสไบ พี่รักสไบ พี่รักสไบ"

สไบเดินน้ำตาอาบแก้ม ไปคลองหลังบางระจัน มองน้ำในคลองที่ไหลแรง แล้วตัดสินใจถอดรองเท้า เดินลงไป ร่างจมหายลงไปในคลองถึงหน้าอก สไบตั้งใจปลิดชีวิตตัวเอง จมลงในน้ำลึกอย่างน่าสงสาร
แฟงวิ่งมามองเห็นรองเท้า เห็นน้ำมีฟองอากาศผุดขึ้นมา ก็ตกใจ
"พี่สไบ พี่สไบ"

แฟงรีบกระโจนลงไป

แฟงว่ายควานหาสไบ จนคว้าตัวได้ แล้วรีบดึงร่างที่หมดสติของสไบขึ้นเหนือน้ำอย่างสะบักสะบอม

เฟื่องกับจวงวิ่งตามมาติดๆยืนมองงงๆ แฟงดำผุดดำว่าย แล้วทะลึ่งตัวขึ้นมา มีสไบอยู่ในแขน
จวงร้องเรียก
"อะไรกัน แฟงๆ..มาทางนี้"
เฟื่องกับจวงยื่นมือไปช่วยดึงทั้งแฟงกับสไบขึ้นมา เฟื่องเขย่าตัวสไบ จนน้ำกระฉอกออกจากปาก จวงจับสไบนั่งพิงในอก
สไบมองทั้ง 3 คน แล้วน้ำตาไหลพราก
"ช่วยฉันทำไม ปล่อยให้ฉันตายยังดีเสียกว่าอยู่สู้หน้าคน .. ผัวฉันเป็นคนทรยศ"
"ตายไม่ได้นะพี่สไบ เราต้องอยู่ อย่างน้อยก็อยู่เพื่อแผ่นดินเรา อยู่ช่วยกันไล่ไอ้พวกศัตรูให้พ้นแผ่นดินก่อน"
"พี่สไบจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะ อดทนนะ พี่สไบ"
สไบสะอื้น เฟื่องลูบผม ลูบหน้าสไบอย่างเห็นใจที่สุด
"ฉันจะอยู่ได้ยังไง ฉันถูกทรยศจากคนที่ฉันรักที่สุด"
เฟื่องบอก
"สไบ ฟังฉัน... ความรักที่แท้จริง หาใช่มีแต่สุข มันยังมีรสขมขื่นที่สุด ถ้าจะรักเราต้องยอมรับรสขมขื่นนี้ด้วย และพิษร้ายของรสขมนี้จะทำให้ชีวิตเราแข็งแกร่ง ชีวิตคนเราต้องอยู่เพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่วันนี้....เข้มแข็งไว้"
สไบสะอื้น แฟงมองให้กำลังใจสไบ
"ความรักนี่แหละจะทำให้คนอ่อนแอเป็นคนกล้าขึ้นมา อย่าให้ความรักทำให้หัวใจกล้าของเราต้องยอมแพ้กับความเจ็บปวดเลยนะพี่สไบ"
สไบมองทั้ง 3 คนที่ห่วงใยด้วยแววตาทุกข์ถึงที่สุด

ทัพแกะผ้าที่สังข์เขียนบอกเรื่องอุบายศึกมากับบังเหียนอ้ายเลา ม้าคู่ใจส่งเสียงร้องดีใจ ทัพลูบแผงคออ้ายเลา ทุกคนมองอยู่ด้านหลัง
"ไอ้สังข์เขียนแผนของจิกแก ปลัดเมืองทวาย มาให้เรา"
"โชคดีที่เอ็งจับไอ้ใจไว้ได้ก่อนที่มันจะส่งข่าวกลับไป"
ทุกคนสีหน้าเจ็บแค้น ฟักคำรามออกมา
"เสียแรง ที่ข้านับไอ้ใจมันเป็นเพื่อน" ฟักบอก
ทัพหันมามองเห็นทุกคนที่แววตาเจ็บแค้นเรื่องใจ

ใจนั่งหมดอาลัยเพราะความเสียใจเรื่องสไบ มองเห็นทัพกับพวกเดินเข้ามา ทุกคนมองใจด้วยสายตารังเกียจดูหมิ่น
"กูอยากจะตัดคอมึงเซ่นสังเวยศพไอ้ดอกรักนัก .. ไอ้คนชั่ว" ฟักบอก
"คนชั่วมันไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองชั่วหรอก" ช่วงว่า
"บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดรดหัว เอ็งไม่เคยรู้คุณเลยหรือไง" เคลิ้มบอก
"มันไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่คนไท มันมาเพื่อสอดแนมกำลังคนในค่ายเรา มาเพื่อเปิดประตูให้พวกมันเข้ามาย่ำยีเข่นฆ่าพวกเรา" ขาบบอก
ทัพบอก
"พวกเอ็งผลัดกันคอยเฝ้า คอยดูมันไว้ แต่อย่ามีพิรุธรู้ถึงหูคนอื่น ถ้าพ่อค่ายรู้มันตายแน่"
"อย่าเก็บมันไว้ให้หนักแผ่นดิน ให้ฉันฟันคอมันเอง" ฟักบอก
ทัพบอก
"ยังก่อน ข้าจะสอบสวนมัน รอจนไอ้สังข์กลับมา เราจะได้มีโอกาสทำลายค่าย พวกมันให้ย่อยยับบ้าง" ทัพว่า
ทุกคนมองใจกระเหี้ยนกระหือรือ
ใจบอก
"พวกเอ็งจะไม่มีทางรู้อะไรจากปากข้า"
"อย่ารีบตาย ไอ้ใจ .. ข้าขอให้เอ็งอยู่ดูคนไทย ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วยเลือด ด้วยชีวิต จงจำความรักที่พวกข้ามีต่อแผ่นดินเกิด เอาไปเล่าให้พวกเอ็งฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานอังวะฟัง จะได้หลาบจำไม่คิดริอ่านมาย่ำยีกันตามใจชอบอีก แผ่นดินนี้ต้องเป็นของคนไท ลูกหลานพวกกูเท่านั้น"

ทัพกับใจประสานสายตากันอย่างคนที่ยืนตรงข้ามกันอย่างชัดเจน

ทหารอังวะกำลังใส่เกราะให้จอกยีโบออกไปส่งทัพจิกแก นายทหารคนสนิทเดินเข้ามา

" เจออูทินหรือยัง" จอกยีโบถาม
" ข้าไม่เห็นท่านอูทินตั้งแต่ท่านแม่ทัพเนเมียวกลับไปจากค่ายเราเมื่อวาน"
"แล้วการสอบความไอ้เชลยระจันที่จับได้ ได้ความอะไรบ้าง"
" ไอ้เชลยมันบอกว่า ท่านอองนายยังไม่ตาย"
จอกยีโบตกใจ
"อองนายยังไม่ตาย"
" แต่เจ็บหนัก เหมือนตาย ... ท่านอูทินอาจจะหนีไปช่วยท่านอองนายก็ได้"
จอกยีโบสีหน้านิ่งคิด
"ไปเอาตัวไอ้เชลยคนนั้นมาหาข้าซิ"
เสียงกลองศึกดังขึ้น
"กลองตีให้สัญญาณจิกแกปลัดทัพยกไปตีค่ายบ้านระจันแล้ว ท่านคงต้องออกไปส่งท่านจิกแกปลัดทัพก่อน"
จอกยีโบรีบออกไป

ใจนั่งซึมอยู่เหมือนคนหมดสิ้นทุกอย่าง เสียงกลองเรียกระดมพล ดังเป็นจังหวะเร่งเร้า ใจผงะหันไปตามเสียง
"กลองเรียกระดมพล พวกบ้านระจันกำลังจะไปรบ"
ใจมองหาทางหนี พยามยามเอามือถูเชือกให้ขาด เนื้อที่ครูดเชือกแดง จนเลือดหยดออกมา ใจกัดฟัน ทนความเจ็บ เอาเชือกครูดกับเสาหวังให้เชือกขาด
สไบตาคมกริบ ก้าวเข้ามา ถือดาบของพ่อไว้ในมือ ใจหันไปมอง
"พวกระจันกำลังจะไปรบ แล้วต้องชนะกลับมา"
สไบมองใจด้วยสายตาเย็นเยียบ ห่างเหิน
"ฉันรู้ว่าพี่จะใช้เวลานี้ หลบหูหลบตาพวกเราออกไปส่งข่าวนอกค่าย เหมือนกับที่พี่หลอกฉันทุกครั้ง"
"พี่ต้องทำ"
ใจประสายสานตากับสไบ
"พี่จะไม่ขอความเห็นใจจากสไบ ถ้าสไบคิดว่าพี่สมควรจะตายก็ฆ่าพี่ด้วยมือของสไบเสียซิ"
ใจมองเห็นสไบกำดาบมือสั่น
"ให้พี่ตายด้วยคมดาบของคนที่รักที่สุด วิญญาณพี่จะได้ตายตาหลับ"

สไบชักดาบออกจากฝัก ใจมองนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน

แฟงห่มตะเบงมาน มีดาบวางไว้ เดินออกจากเรือนมา เห็นทัพแต่งตัวพร้อมจะไปรบยืนรออยู่หน้าเรือน

เบื้องหลังเห็นพวกผู้ชายกำลังร่ำลาลูกเมียอยู่อย่างน่าเห็นใจ
ทัพกุมมือแฟงขึ้นมาจูบอย่างทะนุถนอม แฟงมองเอียงอาย
"พี่จะไปเป็นกองหน้า บุกขยี้ทัพจิกแกปลัดเมืองทวายให้มันราบพินาศเป็นหน้ากลอง ให้มันสำนึกถึงหัวใจของชาวบ้านระจันที่มอบให้แผ่นดิน"
"ไปเถิดพี่ทัพ พวกฉันจะเป็นกองหนุน รอฟังคำสั่งให้ออกไปช่วยพี่"
"คราวนี้เราวางแผนกันไว้อย่างดี นักรบหญิงคงไม่ต้องไปเสี่ยง"
แฟงยิ้ม
"พวกฉันอยากออกไปช่วย ถึงจะฟันได้ไม่เท่ากับคมดาบของพวกผู้ชาย แต่หัวใจพวกฉันก็ฮึกเหิม ยินดีนัก ถ้าข้าศึกมันตายลงได้แม้สักคนด้วยดาบของผู้หญิงอย่างเรา"
ทัพโอบกอดแฟงเข้ามาไว้แนบอก สีหน้าชื่นใจ แฟงกอดตอบอย่างอบอุ่น
"ใจเจ้างามนัก ชนะครั้งนี้กลับมา พี่จะไปขอเจ้ามาเป็นแม่ศรีเรือนตามสัญญาของเรานะ แฟง"
ทัพมองแฟงที่ก้มหน้าเขินอาย แล้วเชยคางขึ้นมองสบตาหวานฉ่ำ
"พี่ขอมัดจำให้ชื่นใจ"
ทัพก้มลงจูบแก้มแฟงอย่างทะนุถนอม แฟงเขินอาย เห็นสองสายตาที่มองให้กำลังใจกันอย่างซาบซึ้ง

สไบมองใจที่มองสไบด้วยสายตารักหนักแน่น เหมือนทุกครั้ง
"ถึงยังไง พี่ทัพกับพวกก็ไม่ปล่อยให้พี่รอดไปได้ สไบเองก็ชังน้ำหน้าพี่ หมดรักพี่แล้ว จะอยู่หรือจะมีลมหายใจ ชีวิตพี่มันก็ไร้ค่า "
"หยุด"
"ไหนๆวิญญาณพี่ก็จะหลุดจากร่างด้วยมือสไบแล้ว ขอให้พี่ได้พูด"
"ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดปดมดเท็จจากปากคนปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอกอย่างพี่อีก"
ใจมองเห็นมือสไบที่กำดาบเกร็ง สั่น
"ต่อให้ต้องตาย ความรักของพี่ก็จะไม่เปลี่ยนไปจากสไบ"
สไบกำดาบแน่น ความเข้มแข็งของใจกำลังถูกคำพูดและแววตาของใจสั่นคลอน

ขาบมองเฟื่องที่ถือดาบคู่กายมายื่นให้ ขาบมองตื้นตัน รับดาบมา เฟื่องยิ้มอ่อนหวาน ขาบขยับไปใกล้ มองเฟื่องแล้วจูบลงที่แก้ม
"พี่จะเอาชัยชนะมาให้"
"เพื่อแผ่นดินที่เราใช้ปลูกข้าว เพื่อลูกหลานของเรานะจ๊ะ"

ขาบกับเฟื่องกอดกันด้วยความหวังเต็มหัวใจ
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 13 (ต่อ)

ใจลุกขึ้น พยายามเดินเข้ามาหาสไบ

"ฟันลงที่คอตรงนี้"
สไบยกดาบขึ้น
"มองพี่ว่าเป็นข้าศึกคนหนึ่ง เหมือนที่สไบออกรบ แล้วฟันทหารอังวะตาย"
"ใจคอพี่ เลือดเนื้อพี่ มันเหี้ยมนัก"
"พี่ต้องทำสไบ พี่เป็นทหารอังวะ หน้าที่พี่คือทำทุกทางเพื่อเข้าไปยึดกรุงศรีอยุธยา"
สไบเงื้อดาบขึ้นสูงทันที
"ทุกคนรักแผ่นดินเกิด ทุกคนต้องสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง พี่ก็เหมือนกัน ชีวิตพี่มีเพื่ออังวะ หลายครั้งที่สไบทำให้พี่รู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ ใช้แผ่นดินอยุธยาเป็นเรือนตาย แต่เลือดในตัวพี่คืออังวะ มันเตือนพี่ว่าพี่ต้องสละได้แม้ชีวิต เพื่อ..อังวะ"
ใจมองสไบที่เงื้อดาบพร้อมจะฟัน
"ฟันให้พี่ตายเถิด สไบ ให้ความรักของเราจบสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจพี่" ใจขยับเข้ามาใกล้ สายตามองจดจำแต่ใบหน้าสไบ
"สไบไม่ได้ทำผิดอะไรเลย พี่ต่างหากที่ทำให้สไบเจ็บช้ำเพราะความรักของพี่ ฆ่าพี่เสีย ... สไบ ฆ่าพี่"
สไบเงื้อ ใจมอง สไบกำดาบสั่น ตัดใจทำไม่ลง หันหลังวิ่งออกไป ใจแววตาสลดวูบ มองด้วยความเศร้าไม่ต่างกัน

สไบวิ่งมาทรุดตัวลง ทิ้งดาบลงข้างตัว น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย แววตามีแต่ความทุกข์เมื่อความจริงประจักษ์แก่ใจว่าคนรักคือศัตรู และตัวเองก็ฆ่าใจไม่ได้

จิกแกคุมกองทหารอังวะเดินลัดเลาะมาในป่าละเมาะอย่างใจเย็น ขุนสรรค์ยืนอยู่บนคาคบไม้ กับพวกแม่นปืนระดมยิงปืนลงมา ทหารจิกแกโดนยิง ล้มตายลงเป็นใบไม่ร่วง ทองเหม็นขี่ควายซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ พุ่งนำชาวบ้านระจันออกมา

"บางระจันรบ"
จันหนวดเขี้ยว / โชติ / อิน / เมือง นำชาวบ้านระจันวิ่งออกมาจากป่าอีกด้านหนึ่ง ทหารอังวะถูกไล่ฟันแตกตื่น พยายามหาทางหนี ทหารอังวะบางคนหาทางกลับทางเดิม ทองแก้ว ทัพ และดอกไม้ พาพวกชาวบ้านระจันที่แอบซุ่มอยู่ข้างหลังกรูกันออกมาดักไว้ เข้าไล่ฟันทหารอังวะอย่างไม่ปรานี
ทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด จิกแกตกใจนึกไม่ถึง
"มันมาซุ่มล้อมเรา ตีฝ่าออกไป...แหวกทางออกไปให้ได้"
ทัพที่รบอยู่ไม่มีอ้ายเลา ฟันฉับลงที่คอทหารอังวะคนหนึ่งล้มลง
"สู้ตาย....ชาวระจัน ฆ่ามันให้หมด"
ขาบรบอยู่อย่างดุเดือด
จิกแกปลัดทัพ ควบม้าสั่งการอยู่ มีทหารกางร่มให้ และทหารถือปืนยาวยืนล้อมเป็นตับ
"ฆ่ามันให้หมด พวกมันมีแค่กระหยิบมือเดียว บุกฝ่าออกไปให้ได้"
กองทหารอังวะกับชาวบ้านระจันรบกันอย่างดุเดือด ทองเหม็น / ขุนสรรค์ / จันหนวดเขี้ยว / โชติ / อิน / เมือง / ทองแก้ว / ดอกไม้ ต่อสู้อยู่ ฟักที่รบอยู่บนหลังม้า
"พี่ทัพ...บุกเข้าไปฟันคอไอ้นายทัพมันให้ได้"
ทัพหันไปทางจิกแก แล้วพยายามตะลุยไป
ขุนสรรค์กับกองปืนวิ่งลงมาจากต้นไม้ ยืนเล็งยิงอยู่ห่างๆ หันไปเห็นทัพตะลุยไปหาจิกแกก็ตกใจ
"ไอ้ทัพอย่าเข้าไปพวกมันมีปืน"
ขุนสรรค์รีบวิ่งไปทางทัพ ทัพพยายามฟันตะลุยไปที่จิกแก
"ยิงไอ้คนที่มันกำลังตะลุยมา...เร็ว"
กองปืนอังวะวิ่งออกมาระดมยิงปืนไปที่ทัพทันที
ทัพเอาทหารอังวะบังกระสุนไว้ได้...แล้วบุกต่อ ขุนสรรค์วิ่งมาถึงยิงพวกกองปืนอังวะทันที...กองปืนอังวะล้มระเนระนาด จิกแกตกใจขยับม้าหนี ขุนสรรค์ใส่ดินปืนเสร็จพอดี ยิงไปทันที จิกแกโดนกระสุนเข้าเต็มหลัง ตกม้า...ม้าล้ม ทัพวิ่งมา จิกแกชักดาบออกมาสู้

ขาบรบอยู่อย่างดุเดือด ชาวบ้านระจันที่รบอยู่อย่างดุเดือด ทัพรบอยู่กับจิกแกอย่างดุเดือด ก่อนจะฟันจิกแกตายเป็นหลายแผล

สังข์ซุ่มดูอยู่กับเชลยไทยที่แต่งเป็นทหารอังวะ เห็นทหารอังวะยืนประจำการอยู่เต็มไปหมด

เสียงกลองดังเป็นจังหวะช้าหนักแน่น ทหารอังวะขยับตัว พากันมองไปด้านนอก สังข์มองตาม ทหารอังวะพูดจากัน สีหน้าเครียด
สังข์กระซิบถามเชลยที่อยู่ข้างๆด้วยความสงสัย
"เฮ้ย ... ทัพพวกมันที่ไปรบ กลับกันมาแล้วใช่มั้ย"
เชลยที่หมอบอยู่ด้วยกันไม่ตอบ มัวแต่มอง
สังข์ทนไม่ไหว เอาดาบเคาะหัวเชลย
"ตอบกูสักคนสิวะ พวกมันไปรบกลับมากันแล้วใช่ไม๊ เสียงกลองแบบนี้มันชนะหรือว่าแพ้"
"กูก็เหมือนมึงจะรู้ได้ไง"
เชลยคลำหัว เจ็บ สังข์พนมมือไหว้เหนือหัว
"เจ้าประคูณ..ขอให้ไอ้ทัพมันทำได้ตามแผน ให้ชาวระจันชนะด้วยเถิด"

จอกยีโบ กับนายทหารอังวะอื่นๆ ยืนมองศพจิกแกที่นอนคลุมผ้าอยู่กลางสนามค่าย เนเมียวสีหบดีควบม้ามากับกองทหารอย่างเร็วรีบตรงมาดู เหล่าทหารบาดเจ็บ ร่างโชกเลือด ที่นั่งรออยู่อย่างเจ็บแค้น หลายคนแขนขาขาดเพราะถูกฟัน หลายศพถูกหามกลับมาบนแคร่ไม้ไผ่กองทัพถมกัน
เนเมียวสีหบดีกระโดดลงจากม้า เดินมากระชากผ้าที่คลุมศพๆหนึ่งที่อยู่กลางลาน เป็นศพจิกแกถูกฟันคอเกือบขาด ตามร่างกายเลือดไหลทะลัก เพราะกระสุนเจาะร่างหลายนัด
เนเมียวสีหบดีรีบปิดผ้าไว้....เราจึงได้เห็นจิกแกเพียงนิดเดียว ทหารทุกคนเงียบกริบ
เนเมียวสีหบดีจ้องมองจอกยีโบด้วยความคั่งแค้นที่เป็นฝ่ายแพ้ยับเยิน
"จิกแกนี้เป็นนายทหารฝีมือดีที่ข้าไว้ใจที่สุด แต่กลับมาแพ้ ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ ไอ้พวกชาวบ้านโยเดียโง่ๆ มันหมายความว่ายังไง จะให้ข้าไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเซงพยูเชงว่า ไอ้พวกชาวบ้านโยเดียมันเก่งกว่านายทหารอังวะอย่างงั้นหรือ"
จอกยีโบเงียบ เนเมียวสีหบดียิ่งโมโห
นายทหารคนสนิทของจอกยีโบ นำกองลาดตระเวนอังวะแบกแคร่หามศพอูทินเข้ามา
จอกยีโบรีบรุดไปดู เห็นศพอูทิน ชาวซีด มีบาดแผลเต็มตัว
"เราพบศพท่านอูทินที่ริมน้ำ ห่างจากค่ายเราไปสักร้อยเส้น"
จอกยีโบเงียบ พยายามระงับความโกรธ
"ศพใคร" เนเมียวสีหบดีถาม
"อูทิน นายทหารฝีมือดีของข้า เขารู้เรื่องค่ายบางระจันดี แต่ถูกลอบฆ่าเสียแล้ว"

"นี่มันลอบมาสังหารทหารท่านถึงในค่ายเชียวหรือ จะมัวรีรออะไรอีก..รีบหานายทหารคุมทัพไปปราบมัน อย่าปล่อยให้พวกมันผยองอยู่ได้นาน จะเอาทหารไปอีกกี่ร้อยกี่พันก็เอาไป ข้าต้องได้เหยียบซากศพไอ้พวกบ้านระจัน ก่อนที่จะตีกรุงโยเดียแตก...เข้าใจมั้ย"

ชาวค่ายร้องรำทำเพลงอยู่ที่ลานหน้าโบสถ์อย่างสนุกสนาน รอทัพกับแฟงขอพรพิธีแต่งงานอยู่ในโบสถ์

ภายในโบสถ์ หลวงพ่อธรรมโชติรดน้ำมนต์ให้ทัพกับแฟงที่พนมมือ ก้มหัวรับน้ำมนต์ มีเอิบกับช่วงช่วย
ด้านหลังคือนางเฟี้ยม นางจันทร์ เฟื่องนั่งใกล้ขาบ ฟักกับจวงนั่งใกล้แม่ และพันเรือง / ทองเหม็น / ขุนสรรค์ / จันหนวดเขี้ยว /
ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข พนมมือรับน้ำมนต์จากหลวงพ่อ
"ขอให้เอ็งทั้งสองจงซื่อสัตย์ ครองรักมั่นคงจนแก่จนเฒ่า"
ทัพกับแฟงมองสบตากันด้วยความยินดี
"ขอให้ความรักของเอ็ง จงเป็นพลังให้สร้างแต่กรรมดีที่ไม่มีวันสูญสิ้น มีลูกสืบหลาน เป็นกำลังของแผ่นดินตลอดไป"
ทัพกับแฟงยิ้มให้กันแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อที่มองอย่างเมตตา
คนรักทั้งสองหัวใจ สีหน้าชื่นบาน เหมือนกับทุกๆคนที่มาร่วมยินดี

ยามค่ำคืน บรรยากาศเรือนหอถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ป่า สวยงาม รอบๆลาน ทัพกับแฟงนั่งอยู่กันคนละด้าน ทัพนั่งอยู่กับฝ่ายชาย แฟงนั่งอยู่กับพวกผู้หญิง เอิบ ช่วงยืนอยู่ตรงกลาง หันมองรอบๆ
"วันนี้วันดีของพวกเรา พี่ทัพแต่งงาน" เอิบบอก
"กับไอ้ฟัก" ช่วงบอก
ทุกคนหัวเราะ
"เฮ้ย .. เฮ้ย พูดดีดี ไอ้เอิบ ไอ้ช่วง เดี๋ยวข้าปัดถีบ"
ทัพทำท่าสะบัดขา เอิบ ช่วงพากันถอยห่าง
"ไม่เดี๋ยวแล้ว พี่" เอิบบอก
"มาเต็มหน้าเลย"ช่วงว่า
ฟักบอก
"เดี๋ยวจะเจอของข้าด้วย"
"เอาล่ะ เอาล่ะ วันนี้วันแต่งงานของพี่ทัพ กับ น้องแฟงคนสวย"
ทัพยิ้มกว้าง กลุ่มผู้ชายเป่าปากแซว แฟงเขิน ลุกพรวด เอิบ ช่วงพากันถอยกรูด เฟื่องจับแฟงไว้
"พูดให้มันดีๆนะ ไอ้เอิบ ไอ้ช่วง" แฟงบอก
"ก็สวยไงจ๊ะ สวยที่สุดเลย เจ้าสาวพี่ทัพ" เอิบบอก
"ยังไม่ได้ว่าสักคำ" ช่วงว่า
"ใครมันว่าเจ้าสาวข้าไม่สวยพูดบอกมา ข้าจะชกให้คว่ำ ฟันให้ขาดสองท่อน"
เสียงโห่แซวดังขึ้นรอบวง แฟงยิ่งเขิน เฟื่องดึงแฟงลงนั่ง ทัพส่งสายตาหวานให้แฟงจนวางมือวางไม้ไม่ถูก
"แล้วนี่จะนั่งมองกันเป็นปลากัดหรือไง พี่ทัพ" เอิบถาม
"มองกันไปมองกันมา อุบะ..นังแฟงท้องโย้"
"ปากเสียแล้วนะ พี่ช่วง"
"อุ๊ย !!! เจ้าสาวเคือง"
เอิบสนุกปาก
"ก้อเจ้าบ่าวมันเอาแต่มอง แล้วจะท้องได้ไง"
เอิบ ช่วงรับส่ง ชาวบ้านโห่ฮา แฟงอายจนทำอะไรไม่ถูก
"งั้นก็อย่ามามัวเสียเวลา ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้ว มา..ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวดีกว่า"
เคลิ้มกับผู้ชายคนอื่นๆพากันแบกทัพขึ้น ทัพรีบร้องห้าม
"อย่า อย่าแตะตัวเจ้าสาวข้านะเว้ย ใครก็ห้ามแตะ"
แฟงตกใจ ฟักเข้ามาอุ้มน้องสาวขึ้นบ่า
"พี่ฟัก"
ทุกคนพากันมองตื่นเต้น พวกผู้ใหญ่หัวเราะ
จันทร์บอก
"เออ...ไอ้พวกนี้มันแผลงกันดีจริงๆ"
"ข้าว่าก็สนุกดี ไม่ต้องเหมือนคู่อื่นๆ" เฟี้ยมว่า
ทัพถูกพวกผู้ชายแบก ฟักแบกแฟง เฟื่องกับขาบมองด้วยรอยยิ้ม ขาบโอบเฟื่องไว้ชิด
เจ้าบ่าว เจ้าสาวถูกแบกพาออกท่ามกลางรอยยิ้มและดอกไม้ที่จวงกับสไบนำชาวบ้านหญิงพากันโปรยให้
"ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรเลยนะ พี่ทัพ"
"ปราบพยศนังแฟงมันให้ราบเลยนะพ่อทัพ"

เสียงผู้ชายที่แบกทัพแซว ทัพมองไปที่แฟง สองสายตามองกันด้วยความรัก
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 13 (ต่อ)

ฝ่ายเมียวสีหบดีที่ยืนอยู่กลางลาน หน้าโถงบัญชาการ อากาปันยี นายกองคนใหม่ยืนอยู่ในที่ประชุมเรื่องปราบบ้านระจัน ทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด

"พวกบ้านระจัน ฝีมือมันเก่งกล้า ใจมันห้าว ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย"
เนเมียวสีหบดีมองอากาปันยีที่เอ่ยอย่างไม่ประมาท
"คราวนี้ข้าขอสร้างค่ายขึ้นใกล้ๆค่ายพวกมัน การตั้งค่ายสู้ ก็เพื่อยึดพื้นที่มั่นไว้ให้นานที่สุด หากไม่ชนะข้าพเจ้าจะไม่ยอมถอย"
"ข้ายอมให้เจ้าทำทุกอย่าง ขอให้ปราบไอ้พวกบ้านระจันนี้ลงให้ได้ หากพวกมันแข็งแกร่งมากกว่านี้ มันจะเป็นกำลังสำคัญช่วยทัพกรุงโยเดียตีกระหนาบหลังค่ายใหญ่ของข้าที่ปากน้ำประสบ จงรีบไปรื้อทลายค่ายมัน ล้างอายให้ข้าโดยเร็วที่สุด"
ทุกคนในกระโจมออกมา สังข์ปลอมเป็นทหารยืนเวรยามฟังอยู่อย่างจดจำ

ดำน้ำมาโผล่ข้างๆแพร้าง แล้วรีบไปค้นชุดที่ซ่อนไว้มาใส่อย่างรวดเร็ว

ภายในเรือน ทัพกับแฟงนั่งอยู่คนละด้านของที่นอน รอบห้องตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้ แสงไต้วับแวมในห้อง ทัพค่อยๆดึงดอกไม้ที่ผมแฟงออก แฟงมอง ทัพดมดอกไม้ แฟงเขิน ทัพขยับมาใกล้
"บอกพี่สักคำได้มั้ย แฟงคนดี"
แฟงสบตาทัพด้วยความอาย
"รักพี่ทัพคนนี้บ้างมั้ย"
"จะถามทำไมอีก"
"ก็พี่อยากได้ยิน"
ทัพขยับมาชิดแฟง แฟงจะถอย แต่ทัพโอบไว้ ดึงแฟงมาใกล้
"ว่าอย่างไร "
ทัพซุกไซร้จมูก คลอเคลียไปที่นวลแก้ม
"รักพี่ทัพบ้างหรือไม่"
"ไม่รัก"
ทัพชะงักมองแฟง
"แฟงปดพี่"
" รู้ว่าจะปด แล้วถามทำไม"
"อยากได้ยินให้ชื่นใจ"
"ไม่รัก ไม่ชอบ แล้วจะมาแต่งด้วยหรือ"
"ไม่เอา บอกว่ารัก ไม่ได้หรือ แฟง"
ทัพโอบแฟงไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
"พี่ทัพนี่ โยเยเป็นเด็ก"
"อยู่กับแฟง พี่เป็นอะไรก็ได้"
"ไม่เอา ฉันง่วงแล้ว"
แฟงทำท่าจะนอน ทัพได้โอกาสดันร่างแฟงลงบนที่นอน
"พี่ก็ง่วงเหมือนกัน"
แฟงไม่ทันดิ้นหนี ทัพรวบร่างแฟงไว้ ก้มลงจูบแก้ม แฟงสะท้านอาย ทัพกระซิบข้างหู
"แม่ยอดหญิงของพี่ทัพ พี่จะรักแฟงให้มากกว่าที่แฟงรักพี่ จะทะนุถนอมดอกไม้ไพรดอกนี้ ให้มีแต่ความหอมหวาน จะไม่ทอดทิ้งให้แฟงช้ำใจแม้เพียงน้ำตาหยดเดียว"
"พี่สัญญากับฉันแล้วนะ"
"สัญญา"
"ฉันก็จะรักพี่ให้มากกว่าชีวิตฉัน รักพี่ทุกลมหายใจ"
ทัพมองด้วยความปลาบปลื้ม ก้มลงจูบคนรัก

ทัพวางดอกไม้ลงข้างๆแสงไต้ที่หรี่....แล้วเป่าดับลง

เช้าวันใหม่ ดอกไม้ในทุ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น เสียงนกร้องเป็นคู่ๆ ชาวบ้านพากันต้อนควายออกทุ่ง เด็กๆวิ่งตามเกวียนสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะของเด็กๆที่ให้ข้าวไก่

ชาวนากำลังทำงานในทุ่งอย่างมีความสุข

ทัพจับมือแฟงป้อนข้าวให้ถึงปาก แฟงอาย ทัพมองสายตาหวานหยด ต่างหยอกล้อกันประสาผัวหนุ่มเมียสาว น่ารักน่าใคร่

ใจนอนทรุดอยู่กับพื้น หน้าตาร่างกายทรุดโทรม จานข้าวยังเหลือเต็ม ไม่ได้แตะ สไบเข้ามายกชามข้าวออก ใจเงยหน้าขึ้นมอง
"สไบ"
ใจยิ้มดีใจ แต่เป็นยิ้มที่อ่อนแรง สไบไม่พูดอะไร ขาบกับเฟื่องอยู่ด้านหลังมองใจ เฟื่องพูดขึ้น
"กินข้าวเสียบ้างเถอะ อดข้าวอดน้ำไป จะตายเสียเปล่า"
"ฉันไม่กิน "
"กูไม่เชื่อขี้ปากมึงนักหรอก อยากจะให้ตายไปเสีย ติดว่าทัพมันคิดว่าเอ็งอาจจะเห็นแก่สไบคนรัก" ขาบบอก
สไบยืนนิ่ง ใจมองเห็นแววตาห่างเหินของสไบก็ใจหาย
"กลับตัว กลับใจเสียตอนนี้ ซื่อสัตย์กับคนที่รัก พวกเราก็ไม่คิดรังเกียจหรอกนะ ว่าเคยเป็นใคร ทำอะไรมา" เฟื่องบอก
สไบมอง ใจเอ่ยขึ้น...แววตานิ่ง น้ำเสียงเครียด
"จะฆ่าก็ฆ่า"
ขาบกำดาบ เฟื่องมองห้าม ขาบหยุด สไบมองจ้องใจ
"ไม่ต้องร้องขอหรอก คนคด จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานW
สไบเสียงแข็ง ใจฟังแล้วยิ่งหมดหวังที่จะกลับมารักกับสไบเหมือนเดิม

ทัพกอดจูบอ้ายเลาด้วยสำนึกในคุณ ฟักมองอยู่ใกล้
"ข้าขอให้เอ็งช่วยครั้งนี้อีกครั้งเดียวจริงๆ จงทำให้สำเร็จ...พาไอ้สังข์มันกลับมาค่ายเราให้ได้นะ...ไป อ้ายเลา ไปทำหน้าที่ของเอ็ง...อีกครั้งเดียว"
อ้ายเลายกขาหน้า ร้องดัง ทัพยิ้ม อ้ายเลาห้อออกไป ทัพกับฟักมองตามด้วยความหวัง
"ขอให้มันช่วยพี่สังข์กลับมาได้ด้วยเถอะ ข้าเป็นห่วงพี่สังข์จริงๆ แอบสืบข่าวอยู่ในค่ายมันนานขนาดนั้น มันอันตรายเหลือเกิน"

ฟักไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้ฟ้าดิน พึงพรำไปตามต้องการ ทัพเองก็เป็นห่วงสังข์มาก

สังข์ในชุดผ้าเตี่ยวค่อยๆโผล่ขึ้นจากซากเรือริมน้ำมองทางท่าเรือค่ายอังวะ อ้ายเลายืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ริมน้ำ

สังข์ยิ้มรีบวิ่งลงไปหา
"เอ็งนี่ฉลาด สมเป็นม้าแสนรู้ ที่ไอ้ทัพมันรักนักรักหนา จริงๆนะอ้ายเลา"
สังข์เอาลูกผลไม้ป่ามาเขียนสีติดกับหลังอ้ายเลา เอาโคลนทาทับเหมือนคราวก่อน...แล้วลูบหัวอ้ายเลาเบาๆ"ขอบน้ำใจเอ็งจริงๆนะอ้ายเลา...กลับไปบอกไอ้ทัพว่าข้ายังกลับไม่ได้ ข้าขออยู่ช่วยเชลยไทที่นี่ก่อน ข้าทิ้งพ่อแม่พี่น้องไทของข้าไว้ในค่ายมันไม่ได้ดอก"
อ้ายเลาหายใจแรง สังข์ยื่นหญ้าที่เตรียมมาให้ อ้ายเลารีบกิน สังข์มองแล้วลูบหัวอ้ายเลา
"กินแล้วรีบห้อกลับไปนะอ้ายเลา ข้าต้องรีบกลับเข้าไปในค่ายมันเหมือนกัน พวกมันวางยามแข็งขันเหลือเกิน"
อ้ายเลารีบสะบัดหัว วิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว สังข์มองตามอย่างชื่นชม
"อ้ายเลา เอ็งสมเป็นม้าของกองทัพพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีจริงๆ"
อ้ายเลาวิ่งห้อหลบไปตามป่าอย่างรวดเร็ว

ทัพนั่งอยู่กลางวง บนเรือนพ่อค่าย ถือเศษผ้าที่สังข์ส่งมาพร้อมกับอธิบายแผนที่กะบะทรายตรงหน้า
ทุกคนที่สีหน้าเคร่งเครียดมองแผนที่
"ไอ้สังข์มันว่า แผนของอังวะคือสร้างค่ายขึ้นที่บ้านขุนโลก ประชิดบ้านระจันเราไว้ พวกมันเตรียมเสบียง อาวุธสู้ศึกเต็มที่ พวกมันจะไม่ถอยกลับค่ายที่วิเศษไชยชาญ จนกว่าจะปราบค่ายบ้านระจันของเราลงได้"
พันเรืองบอก
"ถ้ามันคิดตั้งค่าย ศึกนี้ยืดเยื้อแน่"
"กำลังคนของเราไม่พอที่จะยื้อศึกกับมันดอก คนเฒ่าคนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงเดือด ร้อนกันไปทั้งค่ายแน่"
"เราเคยแต่ซุ่มโจมตีมัน ถ้าปะทะซึ่งๆหน้า เรา...แพ้แน่" โชติบอก
"ถ้างั้นเราก็ชิงลงมือก่อนซิ" จันว่า
คนอื่นๆต่างบอก
"ใช่..ใช่ บุกเลย บุกไปเลย"
ทองเหม็นถาม
"ท่านว่าไง ขุนสรรค์"
"ข้าก็คิดอย่างนั้น ลงมือเสียคืนพรุ่งนี้อย่าให้มันตั้งตัว อย่าให้มันตั้งค่ายได้สำเร็จ"

ทัพมอง ทุกคนแววตาเตรียมพร้อมทำตามแผนของทัพ

เย็นวันใหม่ ทัพยกมือขั้นพนมไหว้ ประเจียดมงคลของหลวงพ่อธรรมโชติที่อยู่บนหิ้งดาบ แฟงมองอยู่ด้านหลัง

"ขอประเจียดมงคลของหลวงพ่อธรรมโชติ จงช่วยคุ้มภัยให้ลูกชนะศึกใหญ่ครานี้ด้วยเถิด พวกศัตรูคิดตั้งค่ายปักหลักหมายเข้าทำลายค่ายบ้านระจันให้แหลกเป็นแน่แล้ว"
แฟงที่ถือดาบคู่ของทัพอยู่ด้านหลัง ฟังด้วยสีหน้ากังวล
"การใหญ่ของมันจะต้องล่มลงด้วยสองมือ ด้วยหัวใจนักสู้ของพี่ทัพ และเหล่านักรบบ้านระจันของเรา"
ทัพตั้งจิตอธิษฐาน แล้วยกมือท่วมหัว แฟงมอง ทัพหันมา แฟงยืนดาบคู่ให้ทัพด้วยสายตาให้กำลังใจ
ทัพรับดาบคู่มาสะพายหลัง มองแฟงด้วยสายตาหาญกล้า ทัพโอบกอดแฟง
"ไปเถิดพี่ทัพ คนกล้าของแฟง ไปรบ หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินของเรา พวกเราจะต้องมีแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ได้กิน"
ทัพกอดกระชับแฟงไว้ แฟงยิ้ม เอ่ยให้กำลังใจ
"เมียจะคอยฟังเสียงโห่ร้อง จะหุงหาข้าวปลา จะรอซับเหงื่อให้ผัวรักอยู่ที่ค่ายนี้"
ทัพฟังแล้วมีกำลังใจ กอดเมียไว้แน่นในอก
"แฟง จงปลื้มใจเถิด ผัวเจ้าไปศึกเยี่ยงแม่ทัพ ไปล้างศึกเอาชนะมาให้เมีย ค่ายบ้านระจันจะโห่รับพี่เมื่อเสร็จศึก แฟงจะต้องมีหน้าเพราะผัวรักได้ชัยชนะกลับมา"
ทัพและแฟงยิ้มให้กันอย่างเปี่ยมไปด้วยหวัง

ขาบดึงหัวใจที่ไม่ยอมกินข้าว กินน้ำ สภาพหน้าตาทรุดโทรมขึ้นมา
"คืนนี้กูอยากพามึงออกไปรบด้วย ให้มึงได้เห็นว่า วันนี้พวกกูจะทำลายค่ายของมึงให้ราบได้ยังไง"
ใจสายตาวาบกร้าว เมื่อได้ยินคำของขาบ

- ทหารยามบนป้อมแนวค่ายมุงจากที่กำลังเร่งสร้างด้วยแรงงานเชลยไทยกว่า 30 คน ตลอดแนว
ทหารมองไกลๆ เห็นฟักควบม้าวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หน้าค่าย ทหารบนป้อมรีบส่งเสียงบอกด้านล่าง
ฟักควบม้าวิ่งกลับไปกลับมา ทหารอังวะ และเชลยต่างยืนมองงงๆ

อากาปันยีที่อยู่ด้านใน กำลังสั่งทหาร
"เอาทหารไปลากตัวไอ้ระจันคนนั้นมา กูจะบั่นคอส่งหัวมันกลับไปให้พวกมันดู มันกำแหงมาก..ที่ออกมาดูลาดเลาถึงหน้าค่ายเราคนเดียว"
ทหารรีบหันหลัง กรูกันออกไปอีก
นายทหารคุมเชลยไทยสร้างค่ายที่ยังไม่เสร็จดี เห็นกองทหารม้าอังวะควบออกมาอย่างรวดเร็ว
ฟักห้อม้าหนีอย่างรวดเร็ว ด้านหลังคือทหารอังวะ 10 คนที่ควบม้าตามหลังมา ทหารที่เหลือรีบสั่งเชลยไทยสร้างค่ายต่อ

ฟักควบม้าหนีไปอย่างรวดเร็ว ทหารม้าอังวะควบไล่ตาม
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 13 (ต่อ)

บริเวณที่เนินพุ่มไม้ ทัพ จัน ขุนสรรค์ที่นำทัพ และพวกของทัพซุ่มอยู่ ทัพมอง พยักหน้าให้สัญญาณ เอิบ ช่วง คุมนักรบบ้านระจันเข็นล้อเกวียนที่ต่อขึ้นหยาบๆ สุมด้วยฟาง ราดน้ำมันตรงเข้าหาค่ายนับ 10 คัน

เกวียนถูกสุมเพลิงโหมขึ้น พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อากาปันยีควบม้าออกมาดูสถานการณ์กับนายทหารคนสนิท เห็นเกวียนพุ่งเข้ามา แปลกใจ
"มันล่อให้เราเปิดค่ายให้มัน สกัดเกวียนเพลิงพวกนั้นไว้..เร็ว"
ทหารอังวะวิ่งเข้าหาหมายจะสกัดเกวียนน้ำมันไว้
ทัพกับทุกคนมองเตรียมพร้อม ขุนสรรค์หันไปสั่งกองปืนไฟที่เตรียมอยู่ใกล้ๆ
"กองปืนพร้อม"
กองปืนไฟประทับปืนเล็งไปที่ทหารอังวะที่ออกมาสกัดกองเกวียนไฟทันที

ทหารอังวะที่ออกมาสกัดกองเกวียนเพลิงถูกยิงล้มลงระเนระนาด ทหารอังวะที่เหลือตกใจ ไม่ทันตั้งตัว
รีบถอยกลับ เชลยไทยพากันหันมาสู้ตาย หยิบฉวยของใกล้ตัวมาเป็นอาวุธ ทหารอังวะแตกตื่น
เอิบ ช่วง นักรบบ้านระจัน เข็นเกวียนที่สุมไฟพุ่งเข้าชนรั้วค่ายที่เป็นไม้ไผ่มุงด้วยจาก เพลิงลุกโหมอย่าง
รวดเร็ว
อากาปันยี ตกใจนึกไม่ถึงว่าชาวบ้านระจันจะหาญกล้าบุกออกมาถึงค่าย จึงไม่ได้หาทางป้องกัน
"ดับไฟ...ช่วยกันดับไฟ อย่าให้ไหม้ค่ายได้"
ทหารอังวะวิ่งออกมาอีกจะลากเกวียนเพลิงชุ่มน้ำมันออก แต่เพลิงได้ลุกขึ้นสูงมากแล้ว
ขุนสรรค์กับกองปืนระจันช่วยกันยิงสกัด ไม่ให้ทหารอังวะดับไฟ
ทหารอังวะถูกยิงล้มลงตายเกลื่อนหน้าค่าย ขณะที่ไฟโหมไหม้ขึ้นเรื่อยๆ อากาปันยีตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
จันหนวดเขี้ยว กับกองธนูที่จ้องอยู่รีบสั่งการ
"ยิงธนูไฟ"
กองธนูไฟระดมยิงธนูไฟออกไปทันที
ธนูไฟพุ่งมาปักเกวียนชุ่มน้ำมันลุกพรึบขึ้นทันที ไฟลุกวาบติดกำแพง และกระท่อมค่ายที่กำลังสร้าง แสงเพลิงโหมไปทั้งค่าย

จันหนวดเขี้ยวหันมาสั่งทัพ
"พวกมันระส่ำระสายกันแล้ว....บุกเลยพวกเรา"
จันเขี้ยวควงดาบวิ่งนำชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งออกไป
ทัพยิ้ม พอใจในแผน ตะโกนบอกทุกคน
"พวกระจัน...รบ"

ทัพกับพวกอีกกลุ่มหนึ่ง วิ่งกรูออกจากที่ซ่อนตามไปทันที

ไฟที่กำลังโหมเผาค่าย ทหารอังวะกำลังช่วยกันดับ จันหนวดขึ้ยวพานักรบบางระจันวิ่งเข้ามา

ทั้ง 2 ฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางไฟที่ไหม้ค่าย ทหารม้าอังวะ 10 คนควบม้ากลับมาช่วย ทัพและพวกวิ่งมาถึงเข้าขวางไว้ เกิดการต่อสู้กัน
อากาปันยีเห็นไม่รอดก็ควบม้าหนีเข้าค่ายไป
ฟัก - เคลิ้ม ควบนำกองทหารม้าเข้ามาช่วย ตามอากาปันยีไป จันหนวดเขี้ยวนำชาวบ้านบุกตะลุยเข้าไปในค่าย ขุนสรรค์นำกองปืนไล่ยิง แล้วตามจันหนวดเขี้ยวเข้าค่ายไป

อากาปันยีควบม้าเข้ามาในค่าย ตกใจไม่รู้จะหนีไปทางไหน ค่ายกำลังลุกติดไฟไปหมดทั้งค่าย ทหารพากันตกใจ ถอยร่นเข้ามาจนเต็มค่าย
"ดับไฟ ดับไฟซิโว้ย"
ทหารอังวะวิ่งหาน้ำกันโกลาหล อากาปันยีหันไป จันหนวดวิ่งนำนักรบบ้านระจันฝ่าเปลวไฟเข้ามา อากาปันยีตกใจนึกไม่ถึงว่าจะโดนกลศึกจู่โจมเผาค่าย
ทัพกับพวกระจันพุ่งเข้าปะทะกองทหารอังวะ จันหนวดเขี้ยวเข้าฟันอากาปันยี เห็นสองคน ฟันด้วยฝีมือดาบท่ามกลางเปลวไฟ
ขาบ กับพวก และนักรบบ้านระจันเด็ดหัวทหารอังวะล้มตายได้หลายคน
ขุนสรรค์กับกองปืนไฟระจัน ไล่ยิงพวกที่จะเข้าดับไฟล้มตายลงจนไม่มีใครกล้าเข้าดับ ลูกไฟลุกว่อนไปรอบๆ ติดจาก ติดไม้ที่สร้างค่าย เปลวไฟกำลังเผาค่ายอังวะลงในพริบตา
จันหนวดเขี้ยวฟันใส่อากาปันยีไม่ยั้งจนอากาปันยีล้มลง จันหนวดเงื้อดาบสุดแขน ฟันลงฉับ
ทัพฟันทหารอังวะหยดเลือดกระเด็นเลอะหน้า เปลวไฟด้านหลังทัพลุกโชนเสมือนไฟแค้นของ
ชาวบ้านระจัน

วันรุ่งขึ้น นายทหารอังวะถือถาดใส่ห่อหัวอากาปันยีเข้ามา ทรุดลงวางตรงหน้า เนเมียวสีหบดีมองห่อผ้าที่มีเลือดหยดชุ่ม ข้างในคือหัวอากาปันยีที่ถูกจันหนวดเขี้ยวตัด จอกยีโบกับทหารทุกคนมองเห็นความโกรธแค้นของแม่ทัพ
"พวกระจันมันแค่ชาวบ้าน ทำไมส่งนายทัพมีฝีมือไปกี่คนๆก็ตายหมด ซ้ำครั้งนี้ มันยังชิงบุกมาเผาค่ายเราได้ก่อน เหมือนมันรู้ล่วงหน้าว่าเรากำลังวางแผนจะทำอะไร "
จอกยีโบคิดนิดเดียว
"แสดงว่าในค่ายเกียกกายที่วิเศษไชยชาญของข้า ไอ้สายลับระจันมันยังอยู่ที่นั่น"
"ท่านเป็นถึงหัวหน้าหน่วยอุปนิกขิต ปล่อยให้ไอ้พวกระจันมันมาหยามถึงในค่ายได้อย่างไร ไปลากตัวมันมาตัดหัวให้ได้ หาไม่ท่านนั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับโทษเอง"
จอกยีโบรู้สึกแค้นและเสียใจ
"ข้าพเจ้าขอรับผิด หากวางแผนรบครั้งนี้ไม่สำเร็จ ข้าพเจ้ายินดีให้ท่านตัดหัว"
"ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้พวกระจันมันหยามข้าได้อีก รบคราวนี้ข้าอนุญาตให้นำกองปืนใหญ่ไปยิงถล่มมันได้เลย พังค่ายมันให้พินาศ เนื้อคนกับดาบมันจะต้านลูกระเบิดปืนใหญ่ได้ก็ให้มันรู้ไป แต่ถ้ายังไม่ชนะก็จงตัดหัวของท่านมาให้ข้าตามที่พูดได้เลย"

จอกยีโบก้มกราบ เหมือนรับคำสัญญาด้วยชีวิต

สังข์พาเชลยที่หลบหนีอยู่ด้วยกันดำน้ำมาขึ้นที่แพเปลี่ยวในชุดเชลย แล้วย่องตรงไปที่ท่าเรือหลังค่ายอังวะอย่างเงียบกริบ

สังข์แทงไม้ไผ่แหลมเข้ากลางหลังทหารยามอังวะ ทหารจะร้อง เชลยชายไทยอีกคนจับทหารหักคอ
สังข์พุ่งเข้าแทงอีกคน เชลยชายอีกคน ช่วยแทงซ้ำ
ทหารอังวะอีก 3 วิ่งเข้ามา สังข์คว้าดาบจากศพเข้าฟัน 3 คนตายอย่างเร็ว เงียบกริบ
ด้านหลังเชลยชายหญิงที่เตรียมพร้อมหนี โผล่ออกจากที่ซ่อน
"ไป ... เร็ว ... วิ่ง"
ทหารอังวะอีกคนหนึ่งโผล่มาเห็น ตกใจ วิ่งกลับไปทันที
สังข์กับเชลยไทยหยิบดาบจากศพทหารอังวะมาเป็นอาวุธติดตัว ช่วยกันคุ้มกันเชลยไทยพากันหนีออกไป

จอกยีโบควบม้ากลับมาจากค่ายปากน้ำประสบกับทหารติดตาม 2-3 คน ทหาร หน้าตาตื่นวิ่งมารายงาน
"เชลยหนี....เชลยหนี ท่านจอกยีโบเชลยมันแหกคุกหนีไปแล้ว"
"ไปจับตัวมันมา ข้าจะตัดหัวมันด้วยมือของข้าเอง"
จอกยีโบโกรธจัด ชักปืนจากอานม้าออกมา กระโดดลงจากหลังม้าไปตามที่ทหารชี้ทันที

สังข์และเชลยไทยพากันดำน้ำหนี เห็นกระสุนเฉียดไปมา บางคนก็โดนกระสุนตาย เลือดแดงฉาน
ทหารที่กราดยิง สีหน้าโมโหสุดขีดที่สังข์พาเชลยหนีไปได้
ในคืนเดือนมืดสนิท สังข์วิ่งนำเชลยไทยมาที่แพเปลี่ยวหลังค่าย ให้เชลยลอยคอข้ามน้ำ สังข์ลอยคอลงน้ำไปเป็นคนสุดท้าย ทหารอังวะถือปืนวิ่งตามมาถึง มองเห็นเงาคนไหวๆในน้ำ ก็ยกปืนขึ้นกราดยิงไปกลางคลอง
สังข์กับเชลยก้มหัวลง ดำน้ำทันที ทหารกราดยิงลงน้ำไม่เลือก แต่เชลยไทยพากันดำน้ำหายไปในความมืด

วันใหม่ หมู่บ้านชานกรุงศรีอยุธยา เกวียนโจรที่ปล้นทรัพย์สินคนไทยกำลังวิ่งมา...เจอกองทหารม้าลาดตระเวนอังวะขวางทางอยู่ หัวหน้าโจรตกใจ รีบดึงเกวียนให้หยุด
นายกองอังวะบอก
"กะเยลไล่ (ฆ่ามัน)"
นายกองพุ่งม้านำทหารอังวะเข้าสู้กับพวกโจรทันที พวกโจรต่อสู้ป้องกันสมบัติเต็มที่...โจรคนหนึ่งพลาดล้มลง นายกองอังวะตรงเข้าฟัน
ชินอ่อง ภายใต้ผ้าคลุมหน้า โผนข้ามเกวียนมาขวางไว้...
นายกองถาม
"มึงเป็นใครมาขวางกู"
นายกองอังวะเข้าฟันชินอ่อง ชินอ่องสู้ป้องกันตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
ทหารอังวะทั้งหมดหันมารุมชินอ่อง แต่สู้ไม่ได้....ล้มระเนระนาด ชินอ่องยืนอย่างทระนง
"พวกนี้เป็นโจรปล้นคนไทย เราไม่ควรฆ่าเขา"
"มึงเป็นพวกใคร"
"เราต้องการกำลังสร้างความระส่ำระสายให้ชาวบ้านไทย โจรพวกนี้สมควรคบหาไว้เป็นพวก...ปล่อยเขาไป"
"ไม่อยากตายถอยไป"
นายกองอังวะบุกตะลุยจะสังหารชินอ่อนให้ได้...จนชินอ่องเกือบจะฆ่านายกองอังวะได้
เสียงมยิหวุ่นดังเข้ามา
"ช้าก่อนท่านชินอ่อง"
ชินอ่องชะงักไม่ฟัน มะยิหวุ่นควบม้าเข้ามากับทหารติดตาม
"พวกโง่ รู้ไม๊ มึงสู้กับใคร"
นายกองอังวะมองชินอ่องงงๆ
"ท่านชินอ่อง แม่กองสอดแนมของแม่ทัพเนเมียว พวกมึงจะหัวขาด"
นายกองทั้งหมดก้มลงไหว้
ชินอ่องเก็บดาบไม่สนใจหันมามองพวกโจรที่นั่งตัวสั่นอยู่
"แขวงวิเศษชัยชาญนี้ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าปล้นได้เต็มที่ ทรัพย์สินใดใด ข้าไม่ต้องการ ค่ายวิเศษชัยชาญของข้าต้องการเพียงข้าวอย่างเดียว..ไป"
พวกโจรกลัวตาย รีบวิ่งออกไป
ชินอ่องหันมามองมยิหวุ่น...อย่างต้องการคำตอบ
"ชินอ่อง...ท่านแม่ทัพเนเมียวให้มาตามท่านไปพบ"

ชินอ่องแปลกใจ ตามีประกายขึ้นมาเพียงนิดเดียว ถึงเวลานี้... ชินอ่องภายใต้ผ้าคลุมหน้ามากที่สุด...เพียงครึ่งเดียว

สังข์พาเชลยไทยเดินมาถึงลานหน้าค่ายด้วยอาการสะบักสะบอม

ยามบนหอค่ายมองตรงไปข้างหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะหันมาตะโกน
"พ่อสังข์กลับมาแล้ว พ่อสังข์กลับมาแล้ว เปิดประตูค่าย"
ยามประตู 2 คน วิ่งไปเปิดประตูค่าย ทัพกับเพื่อนๆกำลังดูแลม้าอยู่ที่คอกดีใจรีบวิ่งไปที่ประตู
จวง แฟง เฟื่อง สไบ กำลังให้น้ำพวกซ้อมอาวุธอยู่ที่ลานรีบวางของวิ่งไปที่ประตู
ประตูค่ายเปิดออก สังข์พาเชลยเข้ามา จวงร้องไห้ วิ่งเข้ากอดสังข์แน่น
"พี่สังข์"
แฟง เฟื่อง สไบ ยิ้มดีใจ รีบไปรับเชลยออกไปดูแล ทัพวิ่งมากับเพื่อนๆ มามองสังข์ด้วยความชื่นชม น้ำตาคลอ พูดไม่ออก
"ไอ้สังข์...มึงทำได้"
สังข์มองทัพน้ำตาคลอเช่นกัน
"กูเชื่อใจมึงไง"
พวกเคลิ้ม และคนอื่นๆ ตรงเข้าไปอุ้มสังข์ขึ้นแห่ โยนไปมา
เคลิ้มบอก
"ไอ้สังข์ กูรักมึง...กูรักมึงจริงๆ"
"ไอ้สังข์" ทัพเรียก
จวง แฟง เฟื่อง สไบ ดีใจ จวงปาดน้ำตา ยิ้ม พวกผู้ชายแบกสังข์วิ่งไปมารอบๆค่ายอย่างสนุกสนาน

สังข์และกลุ่มบ้านคำหยาดก้มลงไหว้พระประธาน
"พวกเรา บ้านระจันยอมพลีเลือดเนื้อทุกหยด ยินดีกอดคอกันตาย เพื่อปกป้องแผ่นดินที่เราใช้ปลูกข้าวเลี้ยงชีวิต จะไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแกพ่อแม่ที่เรากราบไหว้อย่างเด็ดขาด"
"ขอคุณพระปกป้องคุ้มพวกเราชาวระจันให้พ้นทุกข์ มีแผ่นดินกินอยู่ อย่ามีภัยใดๆ ให้เดือดร้อน " จวงบอก
"อย่าให้ศัตรูผู้ใดมากล้ำกรายให้ทิ้งบ้านทิ้งเรือน ขอให้พ่อแม่พี่น้องเราอยู่ดีมีสุขตลอดไปด้วยเถิด" ทัพว่าแววตาของทัพกับเพื่อนๆที่มุ่งมั่น กล้าหาญ
เสียงฟ้าร้องดังมาไกลๆ เสียงฝนตก ทุกคนมองออกไปนอกโบสถ์ ยิ้มดีใจ รีบพากันออกไปดู
"ฝนแรกมาแล้ว.....ฝนมาแล้ว"

ทุกคนต่างออกมายืนมองสายฝนอย่างมีความสุข เด็กๆ 2-3 คนวิ่งออกมาเล่นน้ำฝนด้วยความร่าเริง
แฟงดึงทัพวิ่งออกไปเล่นน้ำฝนกับเด็กๆ ทุกคนต่างชื่นชมกับสายฝน
สังข์บอก
"ศึกสงบแล้ว ถ้าฝนตกอย่างนี้ อีก 2-3 วันเราก็จะได้ทำนากัน"
"เป็นเพราะพี่สังข์แท้ๆ ศึกถึงได้สงบเร็ว"
"เพราะความกล้าของชาวบ้านระจันทุกคนต่างหาก อย่ายกให้พี่คนเดียวเดี๋ยวเขาจะน้อยใจ"
"แต่ถ้าเอ็งไม่เสี่ยงตายเข้าไปล้วงความลับมันถึงในค่ายเราก็อาจจะพลาดได้" เคลิ้มบอก
"ใช่ๆ ต่อไปนี้พี่สังข์อยากกินอะไรบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะหามาให้พี่ทุกอย่าง" ช่วงว่า
"ฉันด้วยจ๊ะ พี่สังข์สั่งมาเลยนะ ฉันทำกับแกล้มเก่งกว่าไอ้ช่วงมันอีก" เอิบบอก
เคลิ้มบอก
"เอ็งไม่ต้องประจบไอ้สังข์มันนักดอก มันมีแม่จวงดูแลอยู่แล้ว"
สังข์กับจวงมองหน้ากันอย่างมีความสุข ทัพกับแฟงยังคงเล่นน้ำฝนกับเด็กๆอย่างสนุกสนาน

บรรยากาศยามเช้า กลุ่มชาวค่ายกำลังดำนา ปลูกข้าวเพื่อเป็นเสบียง เสียงเพลงร้องดังมา แสดงถึงความสุขในการทำนา สีหน้าทุกคนมีรอยยิ้ม สดชื่น หลายคนช่วยกันเกี่ยวเป็นคู่ๆ
แต่ทันใด...เห็นลูกปืนใหญ่ลอยแหวกอากาศมาตกลงกลางท้องนา เสียงระเบิดดังตูม ดังสนั่น
ร่างชายหญิงที่กำลังเกี่ยวข้าวกระดอนขึ้นตามแรงระเบิด เสียงหวีดร้องดังขึ้น
ลูกระเบิดอีกลูกลอยมาตกลงกลางนาข้าวน้ำกระจาย พวกผู้ชายต่างพาชาวบ้านหลบกันวุ่นวาย

ชาวบ้านบางคนถูกระเบิดเข้าเต็มๆ ลูกไฟแดงวาบเหมือนสีเลือดแดงฉานระบายบนท้องฟ้า
 
อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น