xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 11

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 11

ฝ่ายนายแท่นนอนหน้าซีด หลวงพ่อธรรมโชติท่องคาถาแล้วโปะสมุนไพรบดละเอียดลงบนแผลกว้างตรงเข่าขวา

แท่นสะดุ้งเฮือก พึมพำ ครางไม่ได้ศัพท์ ขุนสรรค์มองด้วยความหนักใจ
"ไม่มีพ่อแท่นเป็นผู้นำสั่งการเสียคน ทัพบ้านระจันเราจะเป็นอย่างไรบ้าง"
พ่อค่ายและชาวบ้าน กลุ่มผู้หญิงพากันมองด้วยความวิตก

กลางคลองสะตือฝั่งใต้ ทัพช้อนหัวใจขึ้นมา ใจเริ่มไม่ได้สติ
"แข็งใจไว้ไอ้ใจ เอ็งโดนกระสุนเพราะช่วยข้า"
ใจอ่อนแรง แววตาเลื่อนลอย
จอกยีโบมองด้วยแววตาโมโห ทัพมองเห็นทหารอังวะยังดาหน้าเข้ามาทั้งเหนือ-ใต้ นักรบยังยันไว้สุดแรง

แท่นเริ่มจับไข้ หลวงพ่อพนมมือ ท่องคาถา แล้วกดผ้ายันต์ลงเหนือยาสมุนไพร พันเรืองกับพ่อค่ายทุกคนสีหน้าไม่ดี ขุนสรรค์กรมการหันไปมองทางหน้าต่างโบสถ์ก่อนพูดขึ้น
"พันเรือง ให้ฉันออกไปช่วยพวกเราเถอะ นี่มันก็บ่ายคล้อย ตะวันเลยหัวแล้ว พวกเรายังไม่กลับกันมา เห็นทีศึกนี้พวกเราจะหนักอยู่"
จันหนวดเขี้ยวอาสา
"ฉันไปด้วยพ่อขุนสรรค์"
"ฉันละ" ทองแก้วถาม
"ใช่ ฉันก็อยากออกไปช่วยพวกเราเหมือนกัน" ดอกไม้ว่า
จันหนวดเขี้ยวบอก
"พี่ทองแก้วกับพี่ดอกไม้อยู่รักษาค่ายกับพ่อพันเรืองเถอะ ไปกันหมดใครจะอยู่รักษาค่าย หากอังวะมันวางแผนซ้อนมาตีค่ายเราเราจะเสียที พ่อแม่พี่น้องเราในค่ายนี้ก็มากโขอยู่"
พันเรืองคิดนิดเดียว แล้วพยักหน้า
"รีบไปเถิด ขุนสรรค์ พ่อจันหนวดเขี้ยว ข้าฝากบัญชาการรบแทนพ่อแท่นด้วย"
ขุนสรรค์กระชับปืน ลุกขึ้นพร้อมจันหนวดเขี้ยว แฟงมองแล้วลุกพรวดขึ้นทันที
"ให้ฉันไปด้วย"
สังข์มองตกใจ
"เอ็งว่าอะไรออกมา นังคนนี้ ... ก็เห็นอยู่ว่าตัวเป็นผู้หญิง"
"เป็นผู้หญิง สองมือก็กำดาบฟันไอ้พวกอังวะตายได้เหมือนกัน"
แฟงแววตามุ่งมั่น เฟื่อง สไบ จวง และชาวบ้านหญิงอีก 4- 5 คนลุกขึ้นทันที
"ฉันก็จะไปด้วย ฉันจะไปล้างแค้นให้พี่ดอกรัก" สไบบอก
"ฉันจะไปกับน้อง ผัวฉันก็อยู่ที่กลางศึก" เฟื่องบอก
สังข์กับพ่อค่ายทุกคนมองแววตาของผู้หญิงทุกคน
"ข้าศึกมันเข้ามาย่ำยีพี่น้องเรามากมายเหลือจะนับ มันเผามันฆ่า พรากแม่พรากลูก ซากศพก่ายกอง ฉันเคยช่วยพ่อแท่นฆ่าพวกอังวะมาแล้ว อย่าห่วงฉันเลย" แฟงบอก
"ขอให้หญิงระจันได้รบให้หายแค้น ได้ทำหน้าที่เยี่ยงหญิงรักพ่อรักแม่ รักลูกรักผัวด้วยเถอะ" สไบว่า
เฟื่องบอก
"ฉันจะปลื้มใจนัก ถ้าจักได้ตายเคียงข้างผัวที่เป็นทหารกล้า ได้เอาชีวิตแลกเพื่อแผ่นดินเกิด "
สายตาแฟงและเฟื่อง สไบ มองตรงไปที่พ่อค่ายอย่างแน่วแน่ ขอร้อง ขาบหันมามองจวง จวงมองสังข์อย่างขอร้อง
"อย่าห้ามฉันเลยพี่สังข์ อย่าให้ฉันนั่งตัวสั่นอยู่แต่ในเรือนยามพี่ไปรบเลย ฉันขออยู่ข้างพี่ ไม่ว่าที่นั่นมันจะเป็นสวรรค์หรือนรก"

สังข์มองจวงอย่างซาบซึ้ง สไบมองจวงกับสังข์ เหมือนน้อยใจในความรักของตัวเอง พันเรืองมองไปที่ทุกคน พระอาจารย์ธรรมโชตินิ่ง เหมือนเข้าใจทุกอย่าง

กลุ่มชาวบ้านหญิงที่เปลี่ยนจากสไบห่มตัว มารัดอกเป็นตะเบงมาน กำลังรับดาบจาก ขาบ พันเรือง ขุนสรรค์ จันหนวดเขี้ยว ด้วยความแน่วแน่ แล้วเดินมารวมกับนักรบชายที่รออยู่เต็มลาน

แฟงรับดาบมาแล้วแยกออกมา เอาดาบตัดผมที่ยาวสรวยออกทันที ทุกคนหันมามองตกใจ แฟงใบหน้าเด็ดเดี่ยว
"ต่อแต่นี้ไป ผู้หญิงอย่างฉันจะขอสู้ตายเคียงข้างผู้ชายระจันทุกคน"
นักรบทุกคนมองแฟงอย่างชื่นชม เกิดความกล้ามากขึ้น ต่างชูดาบโห่ร้องอย่างหึกเหิม
แฟง เดินนำเฟื่อง สไบ จวงและหญิงชาวบ้านที่แววตาฮึกเหิม ไม่กลัวตาย มารวมกับนักรบชาย
ขุนสรรค์ / จันหนวดเขี้ยว เดินนำนักรบระจันออกประตูค่ายทันที
"บางระจัน รบ"
"รบ รบW
พันเรือง / ดอกไม้ / ทองแก้ว ยืนมองส่งอย่างตื้นตันใจ เหล่าบรรดานักรบ สังข์ แฟง เฟื่อง สไบ จวง โห่ร้องออกไป
แดดจัดดังหนึ่งผีทุ่ง จักแลบลิ้นเลียเลือดสด ตะวันยิ่งคุร้อน ท้องฟ้าดังแสงเพลิง ป่าไหม้ เพลิงป่าบ้านระจัน ยิ่งคุแรงขึ้นในหัวอก

ทัพมองนักรบบ้านระจันที่เหนื่อยล้า ล้มลงตาย ทหารอังวะกำลังบีบกระหนาบเข้ามาเรื่อยๆ
ขาบ ฟักเข้ามาใกล้ทัพ
"พวกมันมากันไม่ขาดสายเลยพี่" ขาบว่า
"ถ้าข้าศึกมันมากนัก เราก็เป็นผีเฝ้าคลองสะตือนี่แหละวะ" ทัพว่า
"ไอ้ใจ มันจะตายมั้ย"
ทัพยืนคร่อมร่างใจไว้ ขาบ ฟักมองใจ หายใจรวยริน
"อย่าตายนะ ไอ้ใจ เอ็งต้องรอด ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเอ็ง"
ทัพมองอย่างมีหวัง

ทหารอังวะกรูเข้ามาอีก ทัพ ฟัก ขาบพุ่งออกไปตะลุยฟันใจที่สภาพบาดเจ็บ อ่อนแรง หายใจรวยริน

หลวงพ่อธรรมโชติหลับตาพนมมือ ท่องคาถาเพื่อช่วยนายแท่นที่ไข้ขึ้น หน้าขาวซีด พันเรือง ดอกไม้ ทองแก้ว เดินเข้ามามองด้วยสายตากังวล
"พ่อแท่น แข็งใจไว้ "

ทัพกับนักรบบ้านระจันกำลังโดนล้อมด้วยทหารอังวะ ทุกคนหันหลังชนกัน หันหน้าเข้าหาข้าศึก แววตาพร้อมสู้ตาย จอกยีโบมองแล้วยิ้มเหยียด
"พวกระจันมันไม่มีทางรอด"
ทหารอังวะล้อมนักรบบ้านระจันเข้าไปใกล้ทุกที ทัพกับพวกกำดาบแน่น ฟันจนจะหมดแรง
เสียงปืนดังขึ้น จอกยีโบรู้สึกได้ถึงกระสุนที่ปลิวเฉียดหูไป นายกองที่อยู่ข้างจอกยีโบ กระสุนเจาะหน้าผากล้มลงตายตกหลังม้า จอกยีโบมองไปเห็นขุนสรรค์ และกองปืน ประทับปืนที่ยิงปืนมา นักรบบ้านระจันได้ที พากันกรูเข้ามาฟันทหารอังวะแตกกระเจิง
"พ่อขุนสรรค์กับพ่อจันหนวดเขี้ยวมาแล้ว"
ทัพกับพวกมีกำลังใจขึ้น ตะลุยฟันต่อ
ขุนสรรค์ยิงปืนไปที่นายกองอังวะ คนอื่นๆยิงระดมตาม นายกองยิงสู้ แต่ขุนสรรค์หลบเร็ว

ทหารอังวะคนอื่นๆระดมยิงมาอีก ขุนสรรค์หยิบปืนกระบอกใหม่ โผล่ออกมา เหนี่ยวไกยิงโดนนายกองไปอีก 2 คน

จอกยีโบนึกกลัว ดึงม้าที่กำลังตื่น ขุนสรรค์หยิบปืนกระบอกใหม่ขึ้นมาเหนี่ยวอีกทีเดียวสองกระบอก กระสุนโดนนายกองคนที่ 3 ที่4 ข้างจอกยีโบล้มลง ฟุบตายบนหลังม้า

ขุนสรรค์เอาปืนยาวขึ้นเล็งไปที่จอกยีโบแล้วเหนี่ยวไก จอกยีโบก้มหลบกระสุนเฉียดหู แล้วดึงม้าหันหลัง หนีเร็วไปจากตรงนั้น
ทหารอังวะเริ่มเสียขบวน เมื่อเห็นนายกองล้มตาย ก็พากันวิ่งหนีไปขึ้นตลิ่งฝั่งใต้ พวกนักรบระจันไล่ฟันไม่เลือก ขุนสรรค์ยิงไล่หลังทหารที่กำลังแตกกระเจิงขึ้นตลิ่ง ทัพถอยมาที่ใจ มองใจที่หายใจช้าลง
"ใจ ... ไอ้ใจ"
ขาบวิ่งมาสมทบทัพ
"ท่าทางมันจะไม่รอด"
ทัพสีหน้าเครียด

ทหารอังวะที่ถอยล่าขึ้นไปทางฝั่งใต้ พากันลงตลิ่งมา จันหนวดเขี้ยว สังข์ นำกลุ่มระจันอีกกลุ่มหนึ่ง มีผู้หญิง แฟง เฟื่อง สไบ จวง โผล่ออกมาไล่ฟัน ทหารอังวะพอเห็นเป็นหญิงถือดาบก็ย่ามใจ คิดว่าหมู พากันย่างเข้าหา แฟงกำดาบแน่น
"วันนี้พวกมึงจะไม่มีวันได้หายใจบนแผ่นดินกู"
ทหารอังวะพุ่งเข้ามา นักรบหญิงกำดาบ แฟงฟันไปไม่ยั้ง เฟื่อง สไบ ทุกคนกำดาบสู้ ไม่ถอย
สังข์กับจวง พากันพุ่งเข้าฟันอย่างผู้รู้ใจกัน นักรบบ้านระจันทั้งชายหญิ'พากันตะลุยฟันทหารอังวะด้วยใบหน้าเคียดแค้น

ทัพรีบหันมาดูใจ ทรุดลงประคองใจ
"ไอ้ใจ ไอ้ใจ"
แฟง ยืนอยู่บนตลิ่งฝั่งใต้หันกลับมาชูดาบให้พวกในคลอง
"พวกมันหนีไปหมดแล้ว"
พอรู้ว่าชนะต่าง...เฮ ด้วยความดีใจ
"เราชนะแล้ว....เราชนะแล้ว พวกมันถอยกันไปหมดแล้ว"
ทัพพยุงใจขึ้นไม่ทันเห็นว่าเป็นแฟงหันมามองหาทัพ

คลองทั้งสาย พวกระจันโห่ร้องดีใจ แต่เลือดแดงฉาน ก่ายกองไปด้วยศพทั้งนักรบ และทหารอังวะ
โชติยืนเหนื่อยอ่อน เดินมาหาพวกกลุ่มเคลิ้ม
"พวกเราตรวจตราดูพวกเราซิว่ามีคนเจ็บตายแค่ไหน"
นักรบบ้านระจันที่เหลือช่วยกันดูแลคนที่บาดเจ็บ เคลิ้มหันมาบอกพวก
"พวกเรา เก็บริบอาวุธพวกมันเอาไปใช้ต่อด้วย"
ขาบ ฟัก กับพวก ช่วยกันเก็บรวบรวมอาวุธทั้งปืน ทั้งดาบของทหารอังวะ เฟื่องวิ่งมาหาขาบ
"พี่ขาบ"
ขาบหันกลับมา เฟื่องวิ่งเข้ามากอดเต็มรัก ร้องไห้
"พี่ไม่เป็นอะไรนะ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไม๊"
สังข์หันไปมองหาจวง
"จวง"
สังข์วิ่งขึ้นไปหาจวงอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่กอดกันอย่างดีใจ
"จวง...ข้าเป็นห่วงเอ็งแทบตาย"
สไบหันไปเห็นใจที่อยู่กับทัพ ตะโกนร้องเรียกหา
"พี่ใจ..พี่ใจ"
ทัพกำลังพยุงใจอยู่หันมามองสไบ สไบ รีบวิ่งไปกอดใจด้วยความตกใจ
"พี่ใจ...พี่ใจเป็นอะไรทัพ พี่ใจเป็นอะไร"
"ไอ้ใจมันโดนยิง เราต้องรีบพาไอ้ใจกลับค่ายไปรักษา"
ทัพกับสไบช่วยกันพยุงใจขึ้นตลิ่ง
ทองเหม็นก้มลงปิดตาศพนักรบที่ถูกฟัน นอนตาย
"ไปสู่สุขคติเถอะเพื่อน ไม่ต้องห่วงพวกกู พวกกูที่อยู่ข้างหลังจะเอาเลือด เอาเนื้อ รักษาปกป้องแผ่นดินต่อจากพวกเอ็งไว้ให้ได้"

ทุกคนมองสลดใจกับศพของเพื่อนนักรบที่จากไปด้วยความเสียสละ

ทุกคนมองสลดใจกับศพของเพื่อนนักรบที่จากไปด้วยความเสียสละ

พวกฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง เห็นทัพแบกใจอยู่กับสไบรีบวิ่งมาช่วยแบกต่อ
"รีบพาไปที่ม้าเร็ว" ทัพบอก
พวกเคลิ้มรีบวิ่งนำไปที่ม้า
"พี่ทัพ"
ทัพหันตามไปเสียง เห็นแฟงยืนถือดาบอยู่บนฝั่งตรงข้าม....ด้วยสายตาไม่แน่ใจเพราะแฟงตัดผมสั้น แฟงยืนมองน้ำตาคลอ ฟักหันมาเห็นแฟงตกใจ รีบวิ่งข้ามคลองไปหาน้อง
"แฟง...แฟง"
พวกเคลิ้ม เอิบ ช่วง วิ่งกลับมาตะโกนเรียกทัพให้ตามไป
"ไอ้ทัพ เร็ว..เดี๋ยวไอ้ใจมันก็ตายก่อนหรอก"
ทัพต้องตัดสินใจวิ่งแบกใจออกไป
แฟงยืนถือดาบร้องไห้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดมองทัพอยู่
"ขอให้พี่..ปลอดภัยตลอดไปนะ"
ฟักวิ่งเข้ามาดูน้องด้วยความเป็นห่วง
"แฟง....เอ็งไม่เป็นอะไรนะ ทำไมพวกเอ็งบ้าบิ่นเกินหญิงอย่างนี้W
ฟักวิ่งเข้ามาหายึดดาบแฟงไว้
"เอ็งเป็นอะไรมั่งไม๊แฟง"
แฟงทรุดลงร้องไห้ ฟักลงกอดน้องด้วยความสงสาร
"ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วแฟง พวกเราปลอดภัยแล้ว"
ขาบพาเฟื่องเมียรักมาหามุมพักเหนื่อยด้วยความเป็นห่วง ตรวจตราเช็ดตัวให้
"เฟื่องนี่ทำกล้า ออกมาทำไมมันอันตรายมาก...ถ้าเป็นอะไรไปพี่จะทำยังไง"
"ก็แล้วถ้าพี่เป็นอะไรไป...ฉันจะทำยังไง ต่อไปฉันจะรบกับพี่ทุกศึก"
"พูดไปเรื่อย พี่ออกมาสู้กับพวกมันเพราะอยากให้เฟื่องได้อยู่ดีมีสุขนะ"
ผัวเมียคู่อื่นๆต่างวิ่งเข้าหากัน
สังข์กับจวง ยืนถือดาบเปื้อนเลือดมองนักรบชายและหญิง ที่กำลังช่วยกันพยาบาลนักรบอื่นๆที่เจ็บอยู่กลางสมรภูมิ
จวงหายใจแรง กำดาบในมือแน่น
"พี่สังข์ ฉันฆ่ามันได้ ฉันฆ่าพวกอังวะมันตายไปตั้งหลายศพ"
"จวง เอ็งเป็นยอดหญิง เอ็งเก่งเหลือเกิน"
จวงทิ้งดาบลง โผเข้ากอดสังข์ สังข์โอบกอดเมียรักไว้ สีหน้าปลื้มปิติ สังข์กอดจวงอยู่ท่านกลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความตายน่าสะเทือนใจ...เต็มคลอง

พวกพันเรือง / ดอกไม้ / ทองแก้ว กับพวกชาวบ้านออกมารับนักรบชาย-หญิง ที่เพิ่งกลับจากรบ
คนไหนเจ็บก็พาแยกไปพยาบาลที่ศาลากลางค่าย
เมือง / ทองเหม็น / ขุนสรรค์ / ทองแสงใหญ่ / จันหนวดเขี้ยว / กำลังช่วยดูแลคนเจ็บอยู่ชุลมุน
แฟง / ฟัก / สังข์ / ขาบ / เฟื่อง / จวง / โชติ / อิน พาคนเจ็บอีกกลุ่มหนึ่งมาที่ศาลาพยาบาล
แฟงมองหาทัพ หันมาถามดอกไม้ที่กำลังพยาบาลคนเจ็บอยู่
"พี่ทัพละพ่อดอกไม้ อยู่ไหน"
"มันไปช่วยแม่สไบดูแลไอ้ใจอยู่ที่เรือนไอ้ใจนะ"
แฟงหันมาบอกฟัก
"ฉันไปดูพี่สไบก่อนนะ"

แฟง วิ่งออกไป
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

ทัพกับเคลิ้ม เอิบ ช่วง ช่วยกันแบกเปลหามร่างใจวางลง สไบตามมาร้องไห้อยู่ใกล้ๆ

เคลิ้มบอก
"ข้าจะไปขอยาหลวงพ่อมาห้ามเลือดให้มันก่อน"
เคลิ้มวิ่งลงจากเรือน สวน กับแฟงที่วิ่งมายืนมองอยู่ที่ลาน
"พี่ใจ พี่ใจพูดกับฉันซิ"
ทัพหันมาเห็นแฟง เนื้อตัวยังมีคราบเลือด มองอย่างชื่นชม
"ใจมันถูกยิงเพราะช่วยพี่"
"ฉันจะไปต้มน้ำร้อนมาให้นะ" เอิบบอก
"ข้าไปด้วย ข้าได้ยินว่าค่ายใหญ่มีว่านหยุดเลือด จะขอแบ่งมาให้"
เอิบ ช่วง รีบออกไป
ทัพลงมายืนใกล้ๆแฟง แล้วเอ่ยขึ้น
"ไอ้ใจมันช่วยรบกับพวกเรา"
"แสดงว่าพี่ใจไม่ใช่สายของพวกอังวะ"
สไบกอดใจไว้ในอก
"พี่ใจ อดทนนะ พี่ อย่าทิ้งฉันไป" สไบบอก
ทัพดึงดาบมาจากแฟง หัวใจพองโต
"แฟง เอ็งออกไปรบ เอ็งไม่กลัวเลยหรือ"
"ฉันไม่กลัวตาย .. อย่างเดียวที่ฉันกลัวคือ ถ้าไม่ตายต้องตกไปเป็นขี้ข้าพวกอังวะ"
ทัพมองแฟงด้วยสายตาปลาบปลื้มในความกล้าหาญ สองคนยิ้มให้กันแล้วหันไปมองสไบที่กอดใจไว้ด้วยสายตาเป็นห่วง

แท่นที่นอนหมดสติอยู่ พันเรืองและพ่อค่ายทั้งหมดมองอาการแท่นด้วยสายตาเป็นห่วง
พันเรืองบอก
"หลวงพ่อธรรมโชติท่านให้ยาสมานแผลแล้ว กระสุนมันเข้าที่เข่า ยังเอาออกไม่ได้ กลัวพ่อแท่นจะไม่ไหว รอให้ฟื้นตัวมากกว่านี้ ค่อยผ่าเอาออกมา"
ทุกคนสีหน้าไม่ดีเมื่อรู้อาการ
"วันนี้ถ้าขุนสรรค์กับพ่อจันหนวดเขี้ยวไม่ตามไป เห็นทีพวกเราคงได้เป็นผีเฝ้าคลองสะตือกันหมด"
"เราฆ่าพวกอังวะตายเป็นเบือเหลือกลับค่ายไม่ถึงร้อย คงทำให้พวกมันแค้นใจ ยกทัพมาตีค่ายเราอีกแน่" ขุนสรรค์บอก
ทองเหม็นบอก
"ให้มันมา ข้าจะขอย่ำลงบนหน้าไอ้นายทัพมันให้สะใจ วันนี้ไอ้นายทัพมันถูกพ่อแท่นตัดหัวขาดทีเดียว"
"แต่รบครั้งหน้า พ่อแท่นคงนำทัพออกรบไม่ได้ "
พันเรืองมองไปที่ขุนสรรค์ กับ จัน
"พวกพ่อจะเห็นประการใด ถ้าฉันจะให้ขุนสรรค์กับพ่อจันเขี้ยวเป็นคนนำรบแทนพ่อแท่นที่เจ็บอยู่"
ทองแสงใหญ่บอก
"ข้าเห็นด้วย ขุนสรรค์ยิงปืนแม่น ข้าศึกพากันล้มตายไปมาก ส่วนพ่อจันฝีมือดาบก็ดุดันดี"
พ่อค่ายคนอื่นๆพยักหน้า พันเรืองมองขุนสรรค์
"ขุนสรรค์ ศึกนี้เราได้ปืนไฟพวกอังวะเพิ่มมา ฉันขอให้เป็นธุระหัดคนของเรายิงปืนเพิ่ม จัดเป็นกองปืนไฟขึ้นมาเลยนะ"
"ได้ซิพันเรือง ฉันจะหัดให้เก่ง ไว้ยิงหัวพวกมันให้เละไปเลย"
"พ่อจัน เลือกหมู่ของพ่อที่ชอบใจฝีมือกันมาเป็นกองหน้า หัดดาบเสียให้เชี่ยวชาญ ฉันสังหรณ์ใจนัก ศึกหน้าคงใกล้เข้ามา ชะรอยจะไม่กี่วันพวกอังวะคงมาท้า ถึงหน้าค่ายเราแน่"

ทุกคนมองด้วยสายตาเคร่งเครียด เห็นจริงอย่างที่พันเรืองพูด

ในค่ายปากน้ำพระประสบ ทุกคนที่หมอบแทบติดพื้น ต่อหน้าเนเมียวสีหบดีที่มองด้วยสายตาที่โกรธ เนเมียวสีหบดีถามขึ้นด้วยเสียงกังวานดัง

"สุรินทจอข่องถูกพวกบางระจันตัดหัวกลางสนามรบ ทหารของข้านับพันถูกพวกชาวบ้านไล่ฆ่ายิ่งกว่าผักปลา... ทหารของข้ามันไร้ฝีมือหมดสิ้น หากมังมหานรา แม่ทัพค่ายสีกุกรู้ มันคงเยาะเย้ยหยามหยันข้าไปถึงพระเจ้ามังระอังวะเป็นแน่ ไอ้พวกบางระจันมันแค่ชาวบ้านแค่นั้นไม่ใช่หรือจอกยีโบ"
ทุกคนยิ่งหมอบลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงโกรธของแม่ทัพ
เนเมียวสีหบดีจ้องหน้าจอกยีโบ แววตากระด้าง คิดแต่เรื่องชัยชนะ
"แค่ชาวบ้านเรายังสู้ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ข้าจะพาทหารบุกเข้ากรุงโยเดียได้อย่างไร... แสงเพลิงที่จะเผากรุงโยเดียให้เหลือแต่เถ้าถ่าน มันต้องถูกจุดขึ้นจากมือของข้า ไม่ใช่มังมหานราแม่ทัพใต้"
เนเมียวสีหบดีคำราม ประกาศชัดเจนว่าต้องการอยู่เหนือมังมหานรธา
จอกยีโบตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"คนของข้าพเจ้าที่แฝงตัวอยู่ในหมู่ชาวบางระจัน เคยบอกว่าที่พวกมันกล้าบ้าบิ่นได้เพราะเจ็บแค้นที่ถูกพวกเราบุกปล้น ยึดสะเบียง เผาหมู่บ้านพวกมัน"
"หมายความว่าเราไม่ต้องไปเผาบ้านบังคับเอาเสบียง เพราะกลัวมันจะสู้เราอย่างนั้นใช่ไม๊"
"ข้าพเจ้าเพียงแต่อยากจะแจ้งท่านแม่ทัพว่าแผนของพวกมันไม่ได้ลึกซึ้งอันใด แต่เป็นเพราะสายสืบข้าพเจ้ามันทรยศ"
ทุกคนเหลือบมองจอกยีโบ เนเมียวมองจ้องจอกยีโบด้วยความโกรธ
"จอกยีโบ สุดท้ายท่านก็สารภาพเอง"
"ข้าได้สำเร็จโทษมันไปแล้ว"
จอกยีโบพูดออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไร้ความไยดี

"ข้ายิงมันกับมือข้าเอง ไม่พ้นคืนนี้ มันต้องตาย"

ใจรู้สึกตัว ค่อยๆลืมตาขึ้น สไบนั่งอยู่ใกล้เป็นคนแรก เรียกขึ้น

"พี่ใจ"
ทัพ เฟื่อง ขาบ สังข์ มองอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง
"ฟื้นแล้ว"
ใจแววตาย้อนนึก
"ฉันถูกยิง"
ใจหลับตาลง ตัวสั่นสะท้าน นึกได้ว่าจอกยีโบ ผู้เป็นครูเล็งปืนยิงใส่ตัวเอง
"พี่ใจ พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว กระสุนทะลุออกไป ไม่ถูกที่สำคัญ"
"สไบ"
ใจเอื้อมมือไปข้างหน้า ทุกคนมอง
"สไบ .. สไบอยู่ไหน"
"พี่ใจ"
"ใจ .. สไบก็อยู่ข้างเอ็ง"
มือใจคว้าในอากาศ เปะปะหาร่างสไบ
"สไบ อยู่ไหน"
ทุกคนมองกันตกใจที่ใจเหมือนมองไม่เห็นสไบ สไบรวบมือใจมากุมไว้
"พี่ใจ ฉันอยู่นี่"
ใจพยายามลุกขึ้น สไบโอบไว้ สายตาใจมองไปข้างหน้า ทุกคนมองใจ
"พี่ใจมองไม่เห็นสไบ ..ไม่เห็นพวกเราเหรอจ๊ะ" เฟื่องถาม
ใจหน้าถอดสี ภาพตรงหน้าดับมืด ดำสนิท
ทัพย้อนนึก ถึงตอนที่เห็นใจล้มลง ขมับกระแทกหิน
ทัพ หัวไอ้ใจ มันกระแทกหิน
ทุกคนหน้าตาเครียดลงทันที ใจกอดสไบไว้
"สไบ .. พี่มองไม่เห็นอะไรเลย"
สไบใจหายวาบ กอดใจไว้
"ไม่เป็นไรนะ พี่ใจ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ก็มองเห็น ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่กับพี่แล้วจ้ะ"
"ไม่จริง ... ฉันต้องมองเห็น ทำไม ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไร มันมืด มันมืดไปหมด"
ใจกุมขมับ สไบสะอื้นกอดใจไว้แน่น
"พี่ใจ ฉันไม่ทิ้งพี่ไปไหน ฉันจะอยู่กับพี่"
สไบประคองหน้าใจไว้ ทุกคนมองสงสาร
"พี่ใจ ... พี่ต้องมองเห็นฉัน"

ใจกดดันกับสภาพพลิกผันของตัวเองแค่ชั่ววูบ ทัพมองใจนิ่ง เหมือนกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่

วันใหม่ ทุกคนยืนสีหน้ากังวล

ทัพบอก
“ไอ้ใจมันตาบอดเพราะช่วยข้า”
“เอ็งอย่าลงโทษตัวเองอย่างนั้น มันเป็นเวรกรรมของไอ้ใจเอง” ขาบบอก
เฟื่องถาม
“เวรกรรมอะไรของพี่ใจ”
“มันเคยสาบาน กินน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติไง” สังข์บอก
“แต่พี่ใจไม่ใช่สายลับอังวะ” แฟงบอก
“มันอาจจะทำเป็นช่วยเรา หลอกเราอีกก็ได้” สังข์ว่า
“พอเถอะ ไอ้สังข์ ไอ้ใจมันไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเอง เพื่อหลอกใครอีก วันนี้ข้าเห็นกับตา มันช่วยข้า”
“ไอ้ทัพ ทำไมมึงไม่เชื่อกู ไอ้ใจมันมีพิรุธมาตั้งแต่ต้น หัวนอนปลายตีนมันก็ไม่มี พวกมันเข้ามาฆ่าไอ้ดอกรักถึงในค่าย นี่แหละกรรมสนองมัน มันอยากสาบานท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ คนดีอย่างมึง เที่ยวให้โอกาสคนอื่น ระวังภัยจะมาถึงไม่รู้ตัว”
“ถ้ากูไม่ให้โอกาสคน มึงคงไม่ได้มายืนที่นี่เหมือนวันนี้”
ทุกคนตกใจที่ทัพกับสังข์ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
“เออ กูมันเพื่อนเลว แต่คนเลวอย่างกูขอเตือนมึงครั้งสุดท้าย ไอ้ใจมันคือไส้ศึกอังวะ มันกำลังตลบแตลง หลอกพวกเรา ครั้งนี้มันยอมเจ็บตัว แต่ครั้งหน้ามันจะเปิดประตูให้พวกมันมาฆ่าเราทั้งค่าย เพราะความไว้ใจมึง”
ทัพชกตูมเข้าหน้าสังข์จนกระเด็นลงไปกอง ขาบรีบเข้าไปดึงทัพ ฟักกับเคลิ้มพากันกันทัพออกจากสังข์
“อย่าพูดว่าไอ้ใจมันเป็นคนทรยศให้กูได้ยินอีก”
สังข์สะบัดตัวออกจากฟักกับเคลิ้ม จวงละล้าละลังมองพี่ชายกับคนรัก
“เชิญมึงเทิดทูนไอ้ใจ วันนึงที่มึงกำลังจะตายด้วยคมดาบมันเมื่อไหร่ อย่ามานึกถึงคำพูดกูวันนี้”
สังข์ถุยเลือดแล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาทุกคน จวงมองอย่างอึดอัด แล้ววิ่งตามสังข์ไป
ทุกคนค่อยหลบออกจากวงไป เหลือแค่แฟง เฟื่อง ขาบ
“อย่าถือโทษไอ้สังข์มันเลยว่ะ ไอ้สังข์มันไม่ชอบหน้าไอ้ใจ”
“ข้าบอกแล้วว่าที่นี่ต้องมีแต่น้ำหนึ่งใจเดียว อย่าให้ข้าได้ยินว่ามีคนสงสัยคนที่ยอมตายเพื่อช่วยข้าอย่างไอ้ใจอีก”

ทัพเอ่ยขึ้น ทุกคนฟังแล้วสีหน้าไม่สบายใจที่ทัพกับสังข์ทะเลาะกันเพราะเรื่องใจ
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

ใจนั่งนิ่งเหมือนถูกสาป สไบอยู่ใกล้ มองทั้งรักทั้งเป็นห่วง สไบเลื่อนมือไปกุมมือใจ

ใจนึกถึงตอนที่กินน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ แม้จะลุกพรวดทำใจไม่ได้ ลุกขึ้นเปะปะชนเข้ากับเสา สไบรีบรวบตัวใจไว้ ใจไม่ยอม ดิ้นรน
“ปล่อยพี่ สไบ”
“พี่ใจจะไปไหน”
ใจสะบัดแรง สไบล้มลง ร้องดัง
“โอ๊ย”
ใจหันมองเปะปะตามเสียง
“สไบ พี่ขอโทษ”
ใจพยายามจะควานหาร่างสไบ แต่ก็ชนเข้ากับเสา จนล้มลงไป สไบรีบคลานมากอดร่างใจไว้
“ฉันไม่ให้พี่ไปไหน พี่ต้องอยู่กับฉัน”
“พี่ตาบอด สไบ พี่มองไม่เห็นอะไรเลย .. ชีวิตพี่จะเหลืออะไร”
“พี่มีฉันไงจ๊ะ พี่ใจ ฉันจะเป็นตาให้พี่”
“อย่าอยู่กับพี่อีก ไป .... ไปให้พ้น”
ใจพยายามผลักไล่ แต่สไบกอดไว้แน่น
“ไม่ ฉันไม่ไป ไม่ว่าพี่จะตาบอด จะเป็นอะไร ฉันก็ยังรักพี่”
สไบกอดแน่น ใจน้ำตาคลอเมื่อได้ยินสไบ
“พี่ใจ ฉันรักพี่ ฉันไม่มีวันทิ้งพี่ ความรักของฉันไม่มีวันยกให้คนอื่น ชีวิตฉัน หัวใจฉันเป็นของพี่ ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข เราจะไม่ทิ้งกัน”
ใจสะอื้นออกมา เจ็บเพราะความรักความเชื่อมั่นที่สไบมีให้
“สไบ พี่ไม่ใช่คนดี”
“ไม่ว่าพี่จะเป็นใคร พี่คือพี่ใจคนดีของสไบ “
สไบจูบลงที่แก้มใจที่น้ำตานองหน้า โอบกระชับให้ความรักและกำลังใจ ใจสะอื้นน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน
“สไบ ... ยกโทษให้พี่ด้วย อย่าทิ้งพี่ไปเลย”
ใจครางออกมา สไบยิ่งกอดใจไว้แน่น เห็นใจที่สะอื้นอยู่ในอกอันอบอุ่นเป็นที่พักพิงให้ของสไบ
ทัพมองไปไกลไปในทุ่ง แฟงอยู่ด้านหลัง
“สงสารสไบ .. สงสารพี่ใจเหลือเกิน”
ทัพหันมามองแฟง
“พี่จะหาทางช่วยไอ้ใจ มันต้องกลับมามองเห็น”
ทัพกำมือเกร็ง แฟงเดินเข้ามาใกล้
“เราจะช่วยกันนะจ๊ะ .. ช่วยให้พี่ใจกลับมาเหมือนเดิม”
ทัพมองแฟงที่ยิ้มให้กำลังใจแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล
“แฟง .. พี่เคยบอกแฟงใช่ไม๊ว่ากลับจากศึกครานี้ ... พี่มีเรื่องจะถาม”
แฟงกลั้นใจมองด้วยความตื่นเต้น
“แฟงยังชังน้ำหน้าพี่อยู่ไม๊”
แฟงสายตาวิบวับ ก็ไม่กล้าตอบ ทัพถามต่อ
“แฟงเห็นพี่พอเป็นที่พึ่งพิงให้แก่ชีวิตของแฟงได้ไม๊”
“ฉัน”
ทัพดึงมือแฟงมากุมไว้อย่างแผ่วเบา
“ถ้าแฟงยังข้องใจเรื่องเฟื่อง พี่ขอบอกตรงนี้ด้วยคำสัตย์ พี่กับเฟื่องเหลือเยื่อใยกัน แค่ความเป็นพี่เป็นน้อง”
แฟงแววตาวาบขึ้นด้วยความยินดีที่ทัพพูดออกมาให้หายข้องใจ

“บัดนี้ใจของพี่มีผู้หญิงคนนึงเป็นเจ้าของอยู่ ผู้หญิงคนนั้นหัวใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวเกินผู้หญิงอื่น"

ทัพดึงแฟงเข้ามาใกล้ช้าๆ

“แต่ไม่ใช่ความกล้าหาญนั้นหรอกที่ทำให้พี่เฝ้าคิดถึงหน้านั้นทุกวันทุกคืน”
ทัพมองจ้องลงไปในดวงตาของแฟงที่ระยิบระยับเหมือนลูกกวางน้อย
“ปากคำมันช่างยอกย้อน กับรอยยิ้มจริงใจของมันต่างหาก ที่ทำให้พี่ไม่อยากห่างไปไหน”
แฟงหลบตาด้วยความอาย ทัพมองยิ้มชื่นใจ
“แฟงเอย ตอบพี่ให้ชื่นใจเถิด เอ็งคิดอย่างไรกับพี่”
แฟงยังไม่ตอบ ทัพก้มลงถามใกล้นวลแก้ม
“บอกพี่เถิด คนดี”
แฟงมองสบตาทัพที่อยู่แค่คืบตรงหน้า
“ฉันจะมีคำใดตอบได้ พี่ทัพ.. นอกเสียจากว่า ..ฉันก็ไม่ได้ชังน้ำหน้าพี่”
“ไม่ชังแล้วรักไม๊”
“พี่ทัพ”
ทัพรวบตัวแฟงมากอดไว้
“หากไม่ตอบว่ารักพี่คนนี้ พี่จะกอดไว้อย่างนี้จนเช้า”
“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวคนมาเห็น””
“พี่ก็จะยิ่งกอดให้แน่น”
แฟงอาย จนแทบจะม้วน ทัพก้มลงถามใกล้หู
“”บอกให้ชื่นใจทีเถิด .. รักพี่ทัพคนนี้มากแค่ไหน”
แฟงมองสบตาทัพอายๆ
“อยากเห็น อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล อยากมีแต่รอยยิ้มให้พี่หายเหนื่อย อย่างนี้เรียกว่ารัก..ไม๊”
ทัพดึงแฟงมากอดไว้ในอ้อมอกกว้าง แล้วบรรจงจูบลงที่หน้าผาก
“ชื่นใจของพี่ แฟงเอ๋ย คำรักของเอ็งมันหวานนัก พี่จะจำมันไว้ในชีวิต ในวิญญาณจวบลมหายใจสุดท้าย”
ทัพเชยคางแฟงขึ้นอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงประทับความรักไว้เนิ่นนาน

สังข์ที่นั่งนิ่งทที่ชานเรือน มือกำดาบแน่น มองออกไปอย่างหนักใจ จวงนั่งมองอยู่ห่างๆ น้ำตานองหน้า เสียใจที่ผัวกับพี่ชายทะเลาะกัน

เฟื่องกอดอกมองไปไกล กังวลเรื่องสังข์ทะเลาะกับทัพ ขาบที่มองอยู่เอ่ยถามขึ้น
“ถ้าเฟื่องคิดเรื่องไอ้ทัพผิดใจกับไอ้สังข์ พี่ว่ามันคงไม่มีอะไรแล้ว”
เฟื่องหันมามองขาบ สีหน้าไม่แน่ใจ
“พี่ทัพกับพี่สังข์มาเคืองกันด้วยเรื่องพี่ใจ ฉันไม่สบายใจเลย”
ขาบเดินมาใกล้ โอบกอดเฟื่องจากด้านหลัง
“ไม่รู้ว่าเฟื่องไปหัดดาบตอนไหน”
เฟื่องอมยิ้ม ขาบกอดแน่น
“เกิดเคืองพี่ขึ้นมา ดาบเฟื่องเห็นจะฟันพี่ขาดเป็นริ้วๆ”
“พี่ก็อย่าทำให้ฉันโกรธแค้นอะไรขึ้นมา “
เฟื่องยิ้ม ขาบจูงมือมานั่งเอาฝ่ามือเฟื่องมาดู
“แต่เมื่อต้องฟันข้าศึก เรี่ยวแรงมาจากไหนก็ไม่รู้”
“พี่นับถือน้ำใจ นับถือความกล้าของเฟื่องและผู้หญิงทุกคน แต่พี่ก็ไม่อยากให้ผู้หญิงออกรบ”
“พี่อย่าห้ามเลยนะ เวลานี้นักรบบางระจันเราผู้ชายเหลือน้อยลงทุกวัน ข้าศึกมันก็ยกมามากขึ้นทุกครั้ง ถ้าพี่กลัวว่าฉันจะเป็นอะไร พี่ก็สอนให้ฉันฟันดาบให้เก่งๆซิ ฉันจะได้สู้กับพวกอังวะได้"

ขาบลูบหัวเฟื่องเบาๆ กอดเฟื่องแน่นด้วยความรัก หวังว่าสักวันจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข

บริเวณลานซ้อมดาบ แฟง เฟื่อง จวง กับผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังฝึกดาบ มีทัพ และผู้ชายคนอื่นๆคอยสอน แฟงกับเฟื่องถือดาบเป็นคู่ซ้อมกัน สไบกับจวงเป็นคู่ซ้อมอีกคู่ เห็นผู้หญิงที่กำลังฝึกดาบ โดยมีผู้ชายคอยช่วยดู

นักรบชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากในเรือนพ่อค่าย ตรงมาทางทัพ นักรบเอ่ยขึ้น
“พันเรืองพ่อค่ายให้มาตามพี่ทัพไปที่เรือน”
“ข้าคนเดียวหรือ”
“พี่ทัพคนเดียว”
ทัพหันไปทางสังข์กับขาบ
“”ข้าฝากทางนี้ก่อน”
ทัพเดินออกไปกับนักรบที่มาตาม สังข์ยังโกรธทัพอยู่มองตามอย่างอยากรู้

ใจตามองไกล คิดถึงอดีต ตั้งแต่รู้จักและรักสไบครั้งแรก, ตอนเด็กที่ชกมวยกับเจิด มีจอกยีโบมองอยู่ท่ามกลางทุกคน , ทัพที่ช่วยชีวิตไว้ครั้งแรก ,จอกยีโบพูดใส่หน้า, กินน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ นึกแล้วก็น้ำตาไหล
“ข้ามันคนทรยศ ข้าต้องฆ่าพวกระจัน แต่ข้าทำไม่ได้ .. พวกเค้าดีกับข้า สไบ .. คือคนรักของข้า ..ยกโทษให้ข้าด้วย สยา .. ข้ากำลังรับกรรมที่ข้าก่อไว้ทั้งหมดแล้ว”
ใจกำหมัดแน่น เจ็บช้ำกับชะตากรรมที่ต้องมากลายเป็นคนตาบอด

ทัพอยู่ตรงหน้า พันเรือง จันหนวดเขี้ยว ทองแสงใหญ่
พันเรืองบอก
“พ่อแท่นเคยเล่าว่าเอ็งมีฝีมือ เป็นคนซื่อ จิตใจเข้มแข็ง”
ทัพมองพ่อค่ายด้วยทุกคนด้วยสายตาดีใจ
“เสียดายพ่อแท่นยังเจ็บ คงออกรบคราวหน้าไม่ได้ ข้าไม่อยากให้เราขาดกองหน้าฝีมือดี”
ทองแสงใหญ่บอก
“ข้าเห็นฝีมือ เห็นความกล้าของมันเมื่อรบคราที่ผ่านมา”
“มาอยู่เป็นกองหน้ากับข้า ข้าจะตั้งให้เอ็งเป็นหัวหมู่” จันหนวดเขี้ยวว่า
ทัพตื่นเต้น

“กองม้าบ้านคำหยาดดีใจเหลือเกินที่ได้ช่วยงานสำคัญ”

เวลาต่อมา สไบถือดาบซ้อมวิ่งเข้ามาในเรือน เห็นใจที่กำลังเดินเปะปะ พยายามจะออกไปด้านนอก

“พี่ใจ”
สไบประคองใจไว้
“พี่กำลังจะไปหาสไบที่ลานซ้อมดาบ”
“ฉันซ้อมเสร็จแล้ว กลับบ้านเราเถอะจ๊ะ”
“ถ้าพี่มองเห็น .. พี่คงได้ช่วยเป็นคู่ซ้อมให้สไบ”
ใจเหยียดยิ้มเศร้า ทองเหม็นเดินเข้ามา
“ไอ้ใจ”
ทองเหม็นเห็นสภาพใจก็ตรงเข้ามากอดด้วยความสงสาร
“คนดีอย่างเอ็ง .. ไม่น่า ..ไม่น่าเลย แล้วนี่เอ็งกินอยู่ยังไง มองไม่เห็น ลำบาก ไปๆ ไปอยู่กับข้าที่เรือน”
“ไม่จ้ะ อย่าเอาตัวพี่ใจไป ฉันดูแลพี่ใจได้”
“แล้วเอ็งเป็นใคร จะไปอยู่ดูแลมันที่บ้าน ยังสาวยังแซ่ เดี๋ยวได้ลือกันทั้งบาง”
“สไบเป็นคู่ชิ้นฉันเอง เราอยู่เป็นผัวเมียกันแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้แต่ง”
“บ๊ะ จะเอาลูกสาวเค้ามารับใช้ แล้วไม่สู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ยังไงวะ”
“พ่อสไบตายระหว่างอพยพมาบางระจัน ฉันเลยไม่รู้จะไปสู่ขอกับใคร”
“แล้วเอ็งจะอยู่กับคนตาบอดได้ไม๊นังหนู”
“ไม่ว่าพี่ใจจะตาบอดแขนขาด ฉันก็จะไม่มีวันทิ้งพี่ใจจ๊ะ”
“เออ..นังหนูนี่มันรักเอ็งแท้ ถ้ารักกันขนาดนี้ไม่ต้องกลัว เอ็งช่วยข้ารบมาถึงป่านนี้ เป็นตายยังไงเอ็งสองคนก็คือลูกหลานคนระจัน ข้าจะเป็นผู้ใหญ่จัดพิธีให้เอง เอ็งสองคนจะได้ดูแลกันออกหน้าออกตากันได้เต็มที่”
ทองเหม็นพูดสั้นๆอย่างนักเลง สไบฟังแล้วยิ้มอาย ขณะที่ใจยังยืนอึ้ง นึกไม่ถึง

แล้วพิธีแต่งงานของใจกับสไบก็ถูกจัดขึ้น สไบกับใจนั่งตรงหน้าทองเหม็น และนางเฟี้ยม นางจันทร์ที่เป็นผู้ใหญ่ให้ฝ่ายหญิง พ่อค่ายทั้งหมดนั่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชาย ด้านหลังคือชาวค่ายที่นำโดยทัพ แฟง เฟื่อง ขาบ สังข์ จวง กับทุกคนที่หน้าตาแช่มชื่น ยินดี
อินผูกข้อไม้ข้อมือใจกับสไบ แล้วรดน้ำให้
พันเรืองอวยพร
"รักกันให้งอกงาม ให้ยั่งยืน ให้เป็นร่มเงาของกันและกันนะ เอ็งสองคนมาแต่งงานในค่ายระจันนี้ ข้าก็ถือว่าเอ็งเป็นคนระจันโดยสมบูรณ์แล้ว"
ใจ สไบก้มลงกราบอิน ทุกคนสีหน้ายินดี
ใจกับสไบหันมาทางทองเหม็นที่เข้ามาผูกข้อมือ แล้วรดน้ำให้
"ให้รักกัน ดูแลกัน อย่าทิ้งกัน แก่เฒ่าไปด้วยกัน .. อย่ารินอกใจเมียนะไอ้ใจ เมียเอ็งน่ะ เค้าลือว่าฟันพวกข้าศึกฉับเดียว ดิ้นพราด ขาดสองท่อนเชียวนะ"

ทุกคนหัวเราะ ใจยิ้ม สไบยิ้มอาย บรรยากาศสดชื่น ใจกับสไบนั่งอยู่ท่ามกลางทุกคนที่เลี้ยงฉลองให้
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 11 (ต่อ)

เนเมียวสีหบดีนั่งวางแผนการรบที่ค่ายปากน้ำพระประสบ สีหน้าเคร่งเครียด

"เราเคยปรามาสว่าชาวบ้านพวกมันสู้อย่างกองโจร แต่ครั้งนี้ มันฆ่านายทัพนายกองของเรามาถึง ๔ ทัพแล้ว ความสามัคคีของมัน แข็งแกร่งมากกว่าอาวุธทั้งหมดที่เรามีนัก"
ทุกคนมองเนเมียวสีหบดีที่สายตาใช้ความคิด
"ถ้าปล่อยให้พวกมันรวมตัวกันได้มากไปกว่านี้ มันจะเป็นเสี้ยนตำตีนให้พะวงหลัง และเป็นเยี่ยงอย่างแก่พวกชาวบ้านไทอื่นๆ เราจะปล่อยมันให้เป็นเยี่ยงนี้ต่อไปมิได้ ... เจ้าจงไปหานายทัพของพวกเรา ที่ชำนาญพื้นที่แขวงสิงห์บุรีเป็นพิเศษมาให้ข้า ข้าจะให้มันไปทลายค่ายบ้านระจันลงให้ราบโดยเร็วที่สุด"

ใจเดินออกมาจากในห้อง สไบนั่งชุนผ้าให้ใจอยู่หน้าเรือนอย่างมีความสุขไม่ได้ระแวงใดใด ใจหยุดมองสไบ
"จ้องสไบเหมือนมองเห็น"
ใจนิ่งคิดก่อนตัดสินใจพูด
"ถ้าพี่มองเห็นแล้วต้องจากสไบ พี่ขอตาบอดเพื่อได้อยู่ใกล้สไบ"
ใจดึงสไบเข้ามาแนบไหล่ สไบซบแนบอย่างอบอุ่น ใจเดินเข้ามานั่งลงข้างๆสไบ สไบยิ้มให้อย่างมีความสุข
"นึกว่าพี่หลับแล้ว"
"หิวน้ำ...ทำไมยังไม่นอน"
"เสื้อกางเกงพี่มีแต่รอยขาดเกือบทุกตัว"
"ออกลาดตระเวนตามป่ากับพ่อทองเหม็นบ่อยๆ เลยโดนหนามเกี่ยวนะซิ....พี่เป็นหนี้ชีวิตพ่อทองเหม็นมากจนชดใช้ไม่หมด ถ้าไม่ได้แกพี่คงไม่มีปัญญายกย่องสไบให้สมหน้าอย่างนี้"
"แกรักพี่เหมือนลูก เป็นบุญของเราที่มีผู้ใหญ่เอ็นดู"
"ตั้งแต่เกิดมา...ไม่มีใครเอ็นดูพี่เท่าแกจริงๆ"
"ทำไมพูดอย่างนั้นละจ๊ะ พ่อจาดกับพี่เจิดก็รักพี่มากเหมือนกันนะW
ใจรู้สึกพลั้งปากไปจึงขยับลุกขึ้นจะไปหาน้ำกิน สไบรีบลุกช่วย
"เดี๋ยวสไบจะหาน้ำให้พี่...โอ้ย"
สไบโดนเข็มแทงนิ้วเพราะรีบลุก ใจรีบหันมาจับนิ้วสไบ เห็นเลือด รีบใช้ปากดูดห้ามเลือด
"เป็นอย่างไรบ้าง...หายเจ็บหรือยัง"
สไบนั่งนิ่งหน้าเสีย ตกใจ
"เข็มทิ่มนิดเดียว หายเจ็บแล้ว"
"วันนี้เป็นวันแต่งงานของเราพ่อเคยบอกว่า....เจ้าบ่าวเจ้าสาวเลือดตกยางออกจะไม่เป็นมงคล"
ใจหน้าเสียไปด้วย
"คนเฒ่าคนแก่เขาขู่เรา ไม่อยากให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทำอะไรไม่ดี เดี๋ยวจะไม่มีความสุขต่างหาก พี่หิวน้ำขอน้ำพี่กินหน่อยซิ"
สไบรีบลุกขึ้นไปรินน้ำให้ใจ ใจนั่งซึม อดใจหายไม่ได้
สไบเอาน้ำมาให้ใจดื่ม ลงนั่งกอดใจ เอาหน้าซบไหล่ใจอย่างมีความสุข
"ต่อไปนี้สไบไม่ต้องกลัวอยู่ตัวคนเดียวแล้ว สไบมีพี่ใจที่จะอยู่ใกล้ๆสไบไปจนแก่ สไบจะอยู่ข้างๆพี่ เป็นตาและไม้เท้าให้พี่ตลอดไป"

ใจโอบสไบไว้อย่างมีความสุข...แต่ก็ยังอดอ้างว้างไม่ได้

เสียงเพลงรำโทน เสียงกลองโทนดัง ป๊ะ ป๊ะ โท่นโท่น มาจากวงของหนุ่มสาว ใจ สไบนั่งเคียงกัน สไบคอยกระซิบบอกใจว่าใครรำ ใครร้องเพลง

ทัพมองไปที่ใจด้วยรอยยิ้ม ขาบที่นั่งใกล้ ถามขึ้น
"พ่อค่ายเรียกเอ็งไปคุยเรื่องวางแผนรบคราหน้าว่ายังไงบ้าง " ขาบถาม
สังข์กับกลุ่มผู้ชายหันมามองทัพ
"ยังไม่ได้วางแผนการรบอะไร แต่พ่อจันหนวดเขี้ยวบอกให้ข้าเป็นหัวหมู่ของท่าน" ทัพบอก
ฟักบอก
"นี่ก็เท่ากับพี่ทัพมีตำแหน่งเป็นหัวหมู่ เป็นใหญ่ คอยสั่งการรบ"
ทัพยิ้ม หันมามอง เห็นสังข์ที่จ้องอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่ง
"ฉันดีใจด้วยนะพี่ทัพ ต่อไปพี่ก็ได้อยู่ใกล้พ่อค่าย" เคลิ้มว่า
"เผลอๆจะได้ย้ายไปอยู่บนเรือนพ่อค่ายที่หน้าลานละมั้งเนี่ยะ"
ทุกคนชื่นชม ยกเว้นสังข์ที่นั่งนิ่ง
"เอ็งนั่งเงียบทำไมวะ ไอ้สังข์ เอ้า .. รินเหล้า กินดีใจกับไอ้ทัพสิวะ"
"รบมาด้วยกัน เหนื่อยมาด้วยกัน แต่มีแค่คนเดียวที่ได้เป็นหัวหมู่"
เสียงสังข์ทำลายบรรยากาศดีใจ ทุกคนเงียบกริบ ทัพมอง สังข์มองสบตาทัพ
สังข์บอก
"เอ็งนี่มันดวงดีจริงๆไอ้ทัพ อยู่ที่ไหนก็ได้เข้าใกล้นาย"
"ไอ้สังข์ มึงพูดอะไร เมาแล้วก็กลับเรือนไปซะ " ขาบบอก
"ฉันพามันออกไปเอง"
ฟักทำท่าจะเข้ามาจับ สังข์เอะอะขึ้นทันที
"ไม่ต้องมาไล่กู"
ทุกคนพากันหันมองสังข์เป็นตาเดียว จวงหน้าเสีย สไบกระซิบบอกใจที่มองไม่เห็น
"พี่สังข์อาละวาดอะไรก็ไม่รู้จ้ะ"
"กูพูดเรื่องจริง ใครทนฟังไมได้ ก็ไม่ต้องฟัง"
ใจขยับลุกขึ้น สไบคอยประคอง เดินมาทางสังข์
"สังข์ วันนี้วันมงคลของฉัน อย่ามีเรื่องบาดหมางอะไรกันเลย ฉันขอล่ะ"
"มึงจะขออะไร ไอ้ใจ ... ขอตีนกูเหรอ ไอ้ไส้ศึก"
สังข์ถีบใจ หงายลงไปกับพื้น ทุกคนตกใจ ทัพกระชากสังข์มาชกคว่ำลงไปกองทันที
ใจพยายามลุกขึ้นเปะปะ สไบรีบเข้าไปประคอง ทุกคนตกใจ บรรยากาศแตกตื่น สังข์ลุกขึ้นเผชิญหน้าทัพ
"กูบอกแล้วว่าอย่าพูดถึงไอ้ใจแบบนี้อีก"
"ไอ้ทัพ มึงจะเชื่อคนนอกอย่างไอ้ใจมากกว่าเพื่อนอย่างกูใช่มั้ย เอาสิวะ มึงมันคนดี อยู่ที่ไหน ก็ได้ดีเกินหน้าทุกคน กูก็รบเท่าๆกับมึง แต่มึงดันได้เป็นหัวหมู่ มึงกำลังจะได้ดิบได้ดี มีลูกน้องอีกเป็นร้อย ไม่ต้องมีเพื่อนอย่างกูมาช่วยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับมึงแล้ว โน่นไง..เพื่อนรักคนใหม่ของมึง แตะต้องไม่ได้ ไอ้ใจนั่นใช่มั้ย ... ไอ้ใจหน้าซื่อใจคด ไอ้ไส้ศึก"
ทัพชกสังข์คว่ำไปอีกหมัด จวงตกใจตัวสั่น เมื่อเห็นพี่ชายทะเลาะกับผัว
แฟง เฟื่องยืนตะลึงเหมือนกับทุกคน สังข์หันมา เห็นเลือดเลอะจากมุมปาก ทัพจ้องเขม็ง แววตาโกรธ ลุกเป็นไฟ
"กูไม่เคยอยากได้ดีเกินหน้าเพื่อน ถ้ามึงอยากเป็นหัวหมู่ มึงก็เป็นไปเลย"
"มึงเห็นไอ้ใจดีกว่ากู"
"กูเห็นเพื่อนทุกคนดีเสมอกัน"
"กูไม่ใช่เพื่อนไอ้ใจ กูไม่มีเพื่อนเป็นคนทรยศ"
"ไอ้สังข์"
"ในเมื่อที่นี่ไม่มีคนเห็นค่ากู ในเมื่อมึงนับคนที่กูเกลียดเป็นเพื่อน กูกับมึงก็รบด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว ไอ้ทัพ"

สังข์หันหลังเดินออกไป ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

จอกยีโบมองอูทินที่ร่างกายฟื้นตัวขึ้น เดินตรงเข้ามา แววตากร้าว เจ็บแค้น

"ให้ข้าไป สยา ข้าจะฆ่าพวกบ้านระจันนั้นด้วยมือข้าเอง"

ทัพเดินไปหาไอ้เลาที่คอก ลูบมันด้วยความเอ็นดู เพื่อนๆ ทุกคนเงียบไปหมด ไม่มีใครกล้าแหย่ทัพ ต่างแยกนั่งตามมุมตัวเอง จวงวิ่งเข้ามาเกาะแขนพี่ชาย ขอร้องน้ำตาคลอ
"พี่ทัพ อย่าถือพี่สังข์เลยนะ พี่ .. พี่สังข์เค้าเมา เค้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่"
แฟง เฟื่องมองทัพ ขาบเองก็ลำบากใจ
"เดี๋ยวฉันไปพูดให้พี่สังข์มาขอสมาพี่กับพี่ใจ พี่ทัพอย่าเคืองพี่สังข์เลยนะจ๊ะ" จวงบอก
"ข้ารู้สันดานผัวเอ็งดี จวง .. เพราะไอ้สังข์ มันเคยเป็นเกลอรักของข้า"
ทัพดึงมือจวงออก จวงหน้าเสีย แฟง เฟื่อง ขาบ ตกใจ
"พี่สังข์เค้าพูดไปเพราะความโมโห"
"มันคิดแต่เรื่องของตัวจนขาดสติไม่ฟังเหตุฟังผลใคร อย่างนี้หรือที่คิดจะนำคนออกไปรบ" ทัพบอก
"ให้ฉันไปพูดกับสังข์เอง" ใจว่า
"ไม่ต้องไอ้ใจ ไม่ใช่เรื่องเอ็งเรื่องเดียวดอก ไอ้สังข์มันบ้ายศบ้าศักดิ์ ไม่คิดถึงส่วนรวม ไม่คิดถึงความสามัคคีที่จะพาเรารอด"
จวงบอก
"ไม่จริง พี่สังข์เป็นคนดี ฉันจะพาพี่สังข์กลับมาอยู่กับพวกเรา"
จวงวิ่งออกไป ทุกคนมองอย่างสงสาร ทัพหน้าเครียดมองตามน้องสาว ก่อนจะหันกลับมาเห็นแววตาขอร้องของทุกคน ทัพไม่สนใจ เดินออกไปอีกทางอย่างเร็ว แฟงมองแล้วเดินตามไป
เฟื่องกับขาบมองตามอย่างหนักใจ

จวงวิ่งขึ้นเรือนมา สวนกับสังข์ที่สะพายห่อผ้า จวงมองตกใจ
"พี่สังข์ พี่จะไปไหน"
"พี่อยู่ที่นี่ไมได้แล้ว"
สังข์ทอดสายตามองจวงที่ยิ่งใจเสีย คว้าข้อมือผัวไว้แน่น
"พี่ต้องอยู่ที่นี่ พี่ไปไหนไม่ได้ ที่นี่เป็นบ้าน เป็นเรือนของเรา"
สังข์มองเมียที่น้ำตารินไหล อ้อนวอน
"พี่ต้องไป จวง"
จวงทรุดลง
"พี่สังข์ ให้ฉันไหว้พี่ก็ได้ อย่าโกรธอย่าเกลียดพี่ทัพ พี่ชายฉันเลย พี่เป็นเพื่อนกันมา พี่ทัพไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่นกับพี่เลยสักครั้ง"
สังข์มองจวงที่สะอื้นพรากแล้วก้มลงกอดจวงไว้
"จวง .. วันนึงเอ็งจะเข้าใจพี่"
สังข์กอดจวงแน่น จวงสะอื้นถาม
"พี่จะทิ้งฉัน ... พี่ไม่รักฉันแล้วหรือ พี่สังข์"
สังข์กอดแน่นขึ้น
"รักสิ จวง พี่รักเอ็งมากเหลือเกิน ไม่ว่าตัวพี่จะอยู่ที่ไหน"
"ขอให้รู้ว่าใจพี่อยู่กับเอ็ง"
สังข์กอดกระชับจวงแน่น แล้วประคองจวงลุกขึ้น
"รักษาตัวให้ดีนะ จวง"
สังข์มองทอดสายตาไปที่เมียรัก แล้วหันหลังเดินเร็วออกไปอย่างคนหักใจ
"พี่สังข์"
สังข์เดินเร็วออกไป จวงวิ่งตามทันที

"พี่สังข์ อย่าทิ้งฉันไป"

ทัพยืนสีหน้ากดดัน แฟงเดินเร็วเข้ามาดักหน้า

"พี่สองคนเป็นเกลอกัน รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากี่ครั้ง พี่ทัพ พี่เองเป็นคนพูดว่า คนไทต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวถึงจะชนะข้าศึกได้ ทำไมพี่ถึงให้เรื่องขี้ผง มาทำลายน้ำใจของเกลอที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา"
แฟงย้อนถาม ทัพมองแฟงด้วยสายตาอึดอัดใจ

สังข์เดินเร็วมา จวงวิ่งตามหลัง สังข์กำลังจะถึงประตูทางออกค่าย ขาบกับเฟื่องก้าวมาขวางสังข์ไว้ สังข์หันไป สไบจับมือใจเดินตามมาขวางไว้อีกทาง
"พี่สังข์" จวงเรียก
สังข์หันมามองทุกคน ขาบพูดขึ้น
"ไอ้สังข์คิดให้ดี ข้างนอกนั่น ไม่มีใครรักแล้วก็หวังดีให้โอกาสเอ็งเท่าเพื่อนอย่างไอ้ทัพอีกแล้ว"
"มึงเลิกพูดชื่อไอ้ทัพสักที"
ทัพกับแฟง ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง เดินมาอีกด้าน ได้ยินสังข์ที่พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ
"ถ้าคนอย่างไอ้ทัพ มันเป็นเทวดา ก็เชิญกราบไหว้กันไป .. แต่สำหรับข้า ไอ้ทัพมันคือเกลอที่เอาดีเข้าตัวคนเดียว"
ทัพได้ยินทั้งหมด สีหน้าผิดหวังกับคำพูดของสังข์
"สักวันนึงไอ้ขาบ .. มึงก็ต้องเป็นแบบกู ถูกไอ้ทัพมันเหยียบย่ำ ขึ้นไปยืนเหนือทุกคน"
ทัพกำหมัดแน่น สังข์หันมามองเห็นทัพ แต่สีหน้าไม่ยี่หระ สังข์หันหลังเดินตรงไปที่ประตูระเนียด ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูเปิดออก
เฟื่องมองขอร้อง
"พี่ทัพ"
"พี่ทัพ ห้ามพี่สังข์สิพี่"
ใจขยับออกมาทรุดเข่าลง พนมมือ
"ให้ข้ากราบเอ็งก็ได้ อย่าไปเลย สังข์"
ใจไม่มอง เดินเร็วตรงไปที่ประตู
จวงวิ่งตาม
"พี่สังข์ อย่าไป"
แฟงกับเฟื่องรีบเข้าไปคว้าตัวจวงที่ดิ้นรนไว้
"พี่สังข์ พี่บอกว่ารักฉัน พี่อย่าไป พี่สังข์ กลับมา .. ที่นี่เป็นบ้าน เป็นครอบครัวของพี่ ... กลับมา"
จวงสะอื้น เสียงน่าเวทนา
ใจได้ยินทุกอย่าง พนมมือค้าง สไบทรุดลงกอดใจ ซบหน้าลงที่ไหล่ใจด้วยความเศร้า ขาบมองไปที่ทัพ แววตาทัพนิ่ง มองสังข์เดินออกไป แล้วหันหลัง เดินกลับไป
ทุกคนมองเห็นเพื่อนที่แยกกันเดินคนละทาง ด้วยสายตาเศร้าใจ

ทัพยืนมองไปไกลอยู่ที่เรือน แฟงเดินมาด้านหลัง สีหน้าแฟงผิดหวัง เสียใจ
"ข้างนอกค่ายมีแต่ข้าศึก พี่ไม่สนใจเลยหรือพี่ทัพว่าเกลอพี่จะเป็นหรือตาย"
"ไอ้สังข์มันเลือกเอง"
"พี่สังข์ไปอย่างคนตามืดตามัว พี่เป็นเกลอกัน ทำไมไม่ห้าม"
ทัพหันมองแฟงแววตาผิดหวัง
"พี่ทัพที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ทิ้งเกลอให้ไปตายเอาดาบหน้าอย่างนี้"
"แฟง"

ทัพเรียกได้แค่นั้น แฟงก็สะบัดหน้า วิ่งออกไป ทัพได้แต่มองตามเสียใจ
 
อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น