พรายพยากรณ์ ตอนที่ 10
ภูมินทร์ พาพิณชนิดา ภิชาสินี และปิ่นเพชร เข้ามาในห้องนอน โดยมีแม่นมนวลตามมาดูความเรียบร้อย จู่ๆ ภูมินทร์ก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อได้ยินชื่อปิ่นเพชร
“เดี๋ยว ชื่อปิ่นเพชร คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน”
พิณชนิดากับภิชาสินีหันมามองหน้ากัน กลัวว่าภูมินทร์จะจำสมัยที่เคยอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ได้ ว่าเคยมีตุ๊กแกชื่อปิ่นเพชร
ภิชาสินีตั้งสติได้ก่อน ก็ด้รีบบอก
“ปิ่นเพชรเคยนั่งตักคุณไปวัด จำได้จากตอนนั้นไง”
ภูมินทร์ส่ายหน้า “แต่ฉันรู้สึกว่าเคยได้ยินก่อนหน้านั้น? เหมือนเป็นชื่อตัวอะไรสักอย่าง”
พิณชนิดารีบแย้ง “ไม่มี ปิ่นเพชรมีคนเดียวนี่แหละ นายจำสับสนแล้ว”
“ อืม เป็นไปได้ รีบๆ จัดของเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้ก้องภพพาไปจัดการเรื่องเอกสารการทำงานที่บริษัท”
จากนั้นก็เดินนำแม่นมนวลออกจากห้องไป พิณชนิดากับภิชาสินีเอากระเป๋าไปจัดเข้าที่ ส่วน
ปิ่นเพชรกระโดดขึ้นเตียงอย่างมีความสุข
พลันภิชาสินีก็นึกได้
“พี่พิณไว้ใจยัยเปรมสุดาจริงๆ เหรอ? คนที่มีเรื่องกันมาขนาดนั้นอยู่ อยู่ ๆ มาขอเป็นเพื่อน ภิว่ามันแปลก ๆ”
พิณชนิดามองโลกสวย “ไม่เห็นแปลกเลย เค้าอาจจะเพิ่งคิดได้ ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ”
“คนแบบนั้น คิดได้เร็วขนาดนี้ ภิว่ายาก”
“อย่ามองโลกในแง่ร้าย เค้าดีมา เราก็แค่ดีตอบ”
พูดจบพิณชนิดาก็เดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ภิชาสินีมองตาม สีหน้าครุ่นคิด
“กลัวจะดีไม่จริงน่ะสิ”
พอได้ยินภูมินทร์สั่งการก้องภพว่าให้ช่วยจัดการพาพิณชนิดาไปเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่สำหรับใส่ทำงาน เปรมสุดาก็รี่เข้ามาอาสาทันที
“เรื่องซื้อเสื้อผ้าให้สุดาจัดการให้ดีกว่าค่ะ ผู้หญิงด้วยกัน น่าจะช่วยเลือกได้เหมาะกว่า”
ภูมินทร์มองเปรมสุดาอย่างแปลกใจ
“แน่ใจเหรอ? ว่าอยากช่วยพิณชนิดาจริงๆ”
เปรมสุดาทำเป็นบีบน้ำตา ตีหน้าเศร้า
“ทำไมภูมองสุดาในแง่ร้ายขนาดนั้น ที่ผ่านมาสุดาอาจจะเคยผิดพลาดไปบ้าง แต่พอสุดากลับไปคิดดี ๆ ก็รู้ตัวว่าทำผิด...สุดาอยากแก้ตัว ให้โอกาสสุดาสักครั้งนะคะ”
ภูมินทร์กับก้องภพ หันมองเปรมสุดาที่แสร้งทำแววตาเว้าวอน
ก้องภพเดินนำเปรมสุดาที่ยิ้มร่าเดินจับมือพิณชนิดา เพื่อมากรอกเอกสารสมัครงานมาที่ฝ่ายบุคคล
“คุณพิณกรอกเอกสารตรงนี้นะครับ ผมขอตัวไปเคลียร์เอกสารให้คุณภูก่อน มีอะไรสงสัย โทร.หาผมได้ตลอดเลยนะครับ”
พิณชนิดาพยักหน้ายิ้มรับ พลางนั่งลงกรอกเอกสาร เปรมสุดานั่งรออยู่ข้างๆ
สัญชัยเดินเข้ามาเห็นพิณชนิดากับเปรมสุดาก็ชะงัก ทั้งคู่รีบหันไปเห้น ก็รีบยกมือ
“สุดากับหนูพิณมาทำอะไรกันที่ฝ่ายบุคคล? หรือว่าจะมาทำงานที่นี่?”
เปรมสุดารีบตอบแทน
“พิณชนิดาเค้าจะมาเป็นเลขาของภู ระหว่างที่คุณเอ๋ลางานค่ะคุณอา”
“อ๋อ ยินดีที่ได้ร่วมงานนะ”
สัญชัยพูดจบก็เดินออกไป แต่ไม่วายหันกลับมามามองแว่บหนึ่งอย่างครุ่นคิด สีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
เปรมสุดาพาพิณชนิดมาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้า พิณชนิดาเลือกชุดทำงานแบบเรียบร้อย เปรมสุดาลอบมองด้วยแววตาร้าย ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าแบบเปรี้ยว เฉี่ยวมาให้
“เรียบร้อยแบบนี้ ภูเค้าไม่ชอบหรอกจ้ะ มันต้องเปรี้ยวๆ เฉี่ยวๆ แบบนี้”
พิณชนิดามองเสื้อผ้าที่เปรมสุดาเลือกมาให้แบบอึ้งๆ
“เปรี้ยวขนาดนี้มันจะดีเหรอคะ เท่าที่พิณจำได้ คุณเอ๋ก็แต่งตัวเรียบร้อยปกตินะคะ”
“เพราะแต่งแบบนั้นถึงได้โดนภูด่าทุกวัน ภูบอกว่าเห็นแล้วอึดอัด ไม่มีสีสันน่าเบื่อ ดูแล้วหงุดหงิด เชื่อฉันเถอะ รับรองว่าที่ฉันเลือกให้ ภูต้องโอเคแน่ ๆ “
พิณชนิดาได้ฟังเหตุผล ก็จำต้องยอมรับ
จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปเลือกซื้อรองเท้า ซึ่งเปรมสุดาก็จงใจเลือกรองเท้าทรงเผรี้ยว ทันสมัยให้
พิณชนิดาตามเคย ก่อนที่จะเดินต่อมาเลือกลิปสติกสีแดงแปร๊ดให้ พร้อมด้วยน้ำหอมราคาแพงระยิบ
“โอ้โห น้ำหอมอะไร ขวดละตั้งหกพัน” พิณชนิดาเห็นราคาแล้วตกใจ
“ น้ำหอมดี ๆ ก็ราคานี้ทั้งนั้น”
“แต่พิณเกรงใจ คุณสุดาซื้อของให้พิณเยอะแล้ว น้ำหอมนี่ พิณจ่ายเองดีกว่า”
เปรมสุดาฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรจ้ะ ของแค่นี้ ขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอก”
จากนั้นก็รีบเซ็นบัตรเครดิต ด้วยมือที่สั่นระริก พิณชนิดายิ้มให้เปรมสุดาแบบรู้สึกดี
พิณชนิดาเห็นเปรมสุดาเลือกวื้อของให้เธอหลายอย่าง จึงออกปากขอเลี้ยงข้าวอีกฝ่ายเป็นการตอบแทนน้ำใจ
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วพิณสบายใจ สุดาก็โอเค.”
แต่พอพิณชนิดาก้มลงดูเมนู เปรมสุดาก็แอบมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาร้าย
พอกลับมาถึงบ้านและเล่าเรื่องให้ปริตาฟัง เธอกลับถูกมารดาตำหนิ
“ลูกซื้อของให้นังหมอดูนั่นเป็นหมื่น แม่อยากจะบ้า ลูกทำแบบนั้นทำไม? แค่จะกินทุกวันนี้ก็แทบจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะหนี้สินที่มันล้นท่วมหัวเราอีก เมื่อไหร่จะหัดคิดซะที”
เปรมสุดารีบอธิบาย
“สุดาทำตามที่คุณแม่บอกไงคะ ผูกมิตรเพื่อหลอกเชือด คุณแม่ลองนึกดูนะคะ ถ้าไม่ซื้อของให้มันเป็นหมื่นขนาดนั้น มันจะเชื่อใจเราได้ยังไง ? รับรองว่าคุ้มกับที่ลงทุนแน่ค่ะ สุดาซื้อแต่ของที่ภูไม่ชอบให้มันทั้งนั้น น้ำหอมกลิ่นฉุนๆ รองเท้าที่ใส่แล้วสูงกว่าภู เสื้อผ้าเปรี้ยวฉูดฉาด ไม่รู้กาลเทศะ ของพวกนี้ภูเกลียดที่สุด พรุ่งนี้ ถ้าภูเห็นสภาพของมัน ต้องทนไม่ไหว ด่านังหมอดูนั่นเปิงแน่ค่ะ”
เล่าพลางยิ้มอย่างสะใจ ขณะที่ปณิตายังเครียด
“แล้วถ้าบิลค่าบัตรมา แกจะเอาปัญญาที่ไหนไปจ่าย”
เปรมสุดาหันมองเห็นสร้อยเพชรที่คอปณิตาก็ยิ้มออก
“ขายสร้อยเพชรของคุณแม่สักเส้นก็ได้แล้วค่ะ เหลือเฟือด้วยซ้ำ”
ปณิตาตอบกลับเสียงเข้ม “ขายไม่ได้ เพราะสร้อยเพชรพวกนี้มันเป็นของปลอม งานก็ไม่ได้ทำ
หนี้ก็ท่วมหัว ฉันจะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนไปซื้อของแท้มาใส่”
เปรมสุดาหน้าเจื่อน “หรือว่าสุดาควรจะหางานทำ”
ปณิตารีบห้ามทันที
“ไม่ได้ ถ้าจู่ ๆ แกไปทำงาน แวดวงสังคมจะต้องรู้ทันทีว่าเราหมดตัวจริงอย่างที่เค้าลือกัน ถึงหมดตัว แต่ชื่อเสียง หน้าตา ศักดิ์ศรีของเราต้องอยู่ ถ้าคนทั้งสังคมรู้ว่าเราหมดตัว แม่ยอมตายซะดีกว่า”
“สุดาเข้าใจแล้วค่ะ สุดาจะหาทางจัดการเรื่องเงินเอง”
เปรมสุดาถอนใจครุ่นคิด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เดินเลี่ยงออกไป โทร.หาแสงโชติ
“สุดาคิดถึงคุณ คืนนี้เรามาเจอกันนะคะ”
แสงโชติถอนหายใจแบบเซ็งๆ
“ช่วงนี้คุณพ่อสั่งห้ามผมออกนอกบ้าน ผมคงไปหาคุณไม่ได้ คุณพ่อสั่งลูกน้องเฝ้าผมแจ”
เปรมสุดายิ้มร้าย แล้วแกล้งพูดท้าทาย
“เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกแหง่ กลัวพ่อจนไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าแม้กระทั่งออกจากบ้าน”
แสงโชติชักสีหน้าไม่พอใจ
“อย่าพูดแบบนี้ ผมไม่ใช่ลูกแหง่”
“พิสูจน์สิคะ เก่งจริง ก็มาเจอกันที่คอนโด”
แสงโชติถือโทรศัพท์ค้าง แววตาครุ่นคิด
ภิชาสินีมองถุงข้าวของที่พิณชนิดาหยิบออกมาดูอย่างแปลกใจ
“เปรมสุดาซื้อของพวกนี้ให้พี่?”
“ใช่ หมดไปเป็นหมื่น พี่เกรงใจมาก ห้ามเท่าไหร่เค้าก็ไม่ฟัง จะซื้อของให้พี่ให้ได้ เห็นหรือยังว่าคุณสุดาจริงใจกับพี่จริง ๆ ไม่อย่างงั้นเค้าคงไม่ซื้อของให้แพงขนาดนี้”
ภิชาสินีส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อใจ “งูพิษ ยังไงก็มีพิษวันยังค่ำ ถ้าพี่จะเชื่อว่ายัยเปรมสุดาเป็นคนดี พี่พิณก็เชื่อไปคนเดียว แต่อย่าพยายามทำให้ภิเชื่อแบบนั้น เพราะเราจะเถียงกันเปล่าๆ”
“พี่แค่อยากให้ภิมองคนในแง่ดี”
ภิชาสินีเบ้ปาก
“กับเปรมสุดา ภิมองแง่นั้นไม่ได้ ในระหว่างที่พี่มองเค้าเป็นเพื่อน ก็คอยระวังหลังตัวเองด้วยแล้วกัน เพราะสักวันแม่นั่น ต้องแทงข้างหลังพี่แน่”
ภิชาสินีพูดจบก็เดินออกไป พิณชนิดามองตามด้วยความอ่อนใจในความหัวแข็งของน้องสาว
ภิชาสินีเดินเข้ามาใรห้องพัก เพื่อมารับอรรถพรออกจากโรงพยาบาล ขณะที่ฝ่ายหลังมีหนึ่งคอยช่วยดูแลอยู่
“ภิมารับหมวดอรรถกลับบ้านค่ะ”
หนึ่งแกล้งพุดแหย่ “ไม่ต้องลำบากหรอกพี่ภิ แค่ผมคนเดียวก็พาพี่อรรถกลับบ้านได้”
อรรถพรรีบแหวขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ ฉันตัวใหญ่ เกิดล้มขึ้นมา แกประคองคนเดียวไม่อยู่หรอก ขยับตัวนิดนึงก็เจ็บแล้ว โอ๊ย ๆ”
ภิชาสินีรีบเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากรึเปล่าคะ เรียกหมอมาดูมั้ย?”
ทั้งสองคนมองสบตากันแบบเก้อๆ เขินๆ จนหนึ่งอมยิ้ม
“มีอะไรที่ผมไม่รู้รึเปล่า?”
อรรถพรร้อนตัว รีบปฏิเสธ “บ้า ไม่มีอะไร”
แสงโชติลอบออกมาจากบ้าน พลางขับรถมาตามทาง โดยไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังมีรถของยอดกับฉตรขับตามมาติดๆ
ยอดรีบกดมือถือรายงาน
“คุณแสงโชติออกมาแล้วครับ”
สัญชัยที่อยู่ท่างปลายสาย สั่งการหน้านิ่ง
“ตามไป”
อรรถพรกับภิชาสินีเดินเข้ามาในห้องที่อพาร์ตเม้นต์ เห็นลูกโป่งเต็มห้องก็ถึงกับอึ้งไป หนึ่งรีบวิ่งไปหยิบพลุมือมาจุดดังปัง
“ขอต้อนรับกลับบ้านครับ”
อรรถพรมองหนึ่งอย่างเอ็นดู “โห ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย”
“ตอนนี้พี่พิณกับพี่ภิย้ายไปแล้ว ผมเหลือแต่พี่แค่คนเดียว พี่มาเจ็บแบบนี้ผมต้องดูแลเป็นพิเศษหน่อยสิ”
พูดพลางจัดแจงปัดโซฟาให้ แต่อรรถพรกลับเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ภิชาสินีเดินตามมาดูที่มุมครัว
“ไม่มีอะไรทานเลย หิวรึเปล่าคะ เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออะไรให้ทาน”
อรรถพรรีบบอก “ไม่ต้องครับ ให้หนึ่งไปดีกว่า”
“ทำไมต้องเป็นผม?”
อรรถพรหันไปขยิบตา ส่งสัญญาณ
“ก็แกมีมอเตอร์ไซค์ ขี่ไปแป๊บเดียว”
แต่หนึ่งกลับไม่รับมุก “ตาพี่เป็นอะไรอ่ะ เจ็บเหรอ?”
อรรถพรทำหน้าเซ็ง “ไม่ได้เป็นอะไร ขอร้องล่ะนะ ช่วยไปซื้อข้าวให้พี่กินหน่อย”
“โอเค ๆ อยากกินอะไร?”
อรรถพรยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าวมันไก่ประตูน้ำ”
“โห ทำไมต้องข้าวมันไก่ประตูน้ำ มันตั้งไกล ข้าวมันไก่ปากซอยไม่ได้รึไง?”
“ปากซอยไม่อร่อย สงสารคนป่วยเถอะ ฉันอยากกินข้าวมันไก่ประตูน้ำจริง ๆ”
หนึ่งจำต้องเดินออกไป อรรถพรมองตามอย่างโล่งใจ
“กว่าหนึ่งจะได้ข้าวมันไก่ คงอีกนาน ฉันปอกผลไม้ให้หมวดทานรองท้องก่อนนะคะ”
พูดพลางหันไปหยิบแอปเปิ้ลที่ซื้อมาปอกให้ อรรถพรมองด้วยแววตาเคลิ้มฝัน
ภิชาสินีถือจานแอปเปิ้ล พลางมองจ้องอรรถพรที่นั่งอมยิ้มอย่างแปลกใจ
“หมวดอรรถ หมวดอรรถ”
อรรถพรยังหลับตาเคลิ้ม “ว่าไงจ๊ะ แม่จ๋า”
ภิชาสินีงง “แม่จ๋า? แม่จ๋าอะไรหมวด”
อรรถพรสะดุ้งจากภวังค์ ลืมตามองภิชาสินี แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แอปเปิ้ลน่ากินนะครับ”
“ทานเลยค่ะ จะได้ทานยา”
จังหวะที่ภิชาสินีที่เดินไปหยิบถุงยา อรรถพรก็แกล้งร้องออกมาเสียงดัง เหมือนว่าไม่มีแรงหยิบส้อม.
ภิชาสินีรีบเข้ามาดู “ยกมือไม่ถนัดเหรอคะ?”
อรรถพรพยักหน้า พลางแสร้งทำหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร อีกฝ่ายจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วหยิบ
แอ้ปเปิ้ลป้อนให้
“แอ้ปเปิ้ลว้านหวานนะครับ”
อรรถพรกินไป ยิ้มไป อย่างมีความสุข
ทางด้านฟ้ารุ่งที่ยังระแวงเรื่องเอกจะกลับไปคืนดีกับพิณชนิดาไม่เลิก ก็เอาแต่โทร. ตามจิกยิกๆ จนฝ่ายถูกจิกรำคาญ
“ถ้าอยู่บ้านแล้วฟุ้งซ่านขนาดนี้ หางานทำเถอะฟ้า”
ฟ้ารุ่งอารมณ์ขึ้นทันที
“นี่เอกว่าฟ้าฟุ้งซ่านเหรอ? มันจะมากไปแล้วนะ”
เอกที่กำลังวุ่นวายกับการคลียร์เอกสาร ยิ่งเซ็งหนัก
“ถ้าจะโทรมาหาเรื่องกัน แค่นี้นะ ผมต้องรีบเข้าประชุม”
จากนั้นก็รีบกดวางสายทันที ฟ้ารุ่งแทบปรี๊ด
“ยังคุยไม่รู้เรื่อง วางสายหนีกันแบบนี้ได้ยังไง กลับมาเมื่อไหร่ มีเคลียร์”
ก้องภพเห็นภูมินทร์พลิกดูนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ ด้วยท่าทางกระวนกระวาย ซ้ำยังออกปากว่าจะหอบเอกสารกลับไปเซ็นต่อที่บ้าน ก็นึกแปลกใจ
“คุณภูจะกลับบ้านแล้วเหรอครับ? นี่เพิ่งบ่ายสามเอง”
ภูมินทร์แกล้งทำสีหน้าท่าทางจริงจัง
“นายลองนึกดูนะ ตอนนี้ยัยประหลาดกับไอ้เด็กแสบนั่น อยู่ที่บ้านฉัน ไม่รู้ป่านนี้ก่อวีรกรรมอะไรให้นมปวดหัวบ้าง ฉันต้องรีบกลับไปดู”
“คุณภูระแวงไปรึเปล่าครับ คุณพิณคงไม่ทำอะไรไม่ดีหรอกครับ”
“นายยังรู้จักพิณชนิดาน้อยไป ส่งเอกสารตามไปที่บ้านด้วย ฉันไปล่ะ”
ภูมินทร์พูดจบก็รีบเดินออกไป ก้องภพมองตามอย่างแปลกใจกับอาการรีบร้อนของภูมินทร์
ทางด้านเปรมสุดาก็นอนซบอยู่บนอกของแสงโชติบนเตียง หลังจากที่เสร็จกิจกรรมรักเรียบร้อยแล้ว
“สุดานึกแล้ว ว่าคุณต้องมา”
“อย่าว่าผมเป็นลูกแหง่อีก ผมไม่ชอบ”
พูดพลางลุกจากเตียงไปแต่งตัว เปรมสุดาลุกขึ้นมองตาม
“จะรีบไปไหนคะ? เพิ่งมาได้แป๊บเดียวเอง”
“ผมต้องรีบกลับ เกิดคุณพ่อกลับบ้านแล้วไม่เห็น ผมจะโดนด่ายับ”
เปรมสุดามองด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะเข้าไปกอดออดอ้อนแสงโชติ
“สุดาอยากได้สร้อยเพชร คุณซื้อให้สุดาสักเส้นนะคะ”
“เท่าไหร่?”
เปรมสุดาแอบยิ้มพอใจ “ห้าแสน”
“ผมให้ได้เต็มที่แค่แสนเดียว คุณก็เห็นว่าตอนนี้ผมโดนพ่อคุมจนขยับตัวไม่ได้”
เปรมสุดาหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ถ้าคุณไม่ไปยุ่งกับนังพริตตี้นั่นจนเกิดเรื่อง ก็คงไม่โดนพ่อคุมแบบนี้ จะกินอะไร หักเลือกบ้างสิ”
“ผมฟังพ่อด่ามาพอแล้ว อย่าให้ต้องฟังอะไรซ้ำซากเลย ผมเบื่อ”
เปรมสุดาเห็นแสงโชติหงุดหงิด ก็พยายามออเซาะ
“สุดาขอโทษ อย่าโกรธสุดาเลยนะคะ ช่วงนี้สุดาเครียดๆ ก็เลยพูดไม่คิด”
แสงโชติอ่อนยวบลง “เครียดเรื่องอะไร?”
“เรื่องที่บ้านค่ะ คุณรู้รึยัง ภูเอานังพิณชนิดามาทำงานเป็นเลขา แถมยังให้เข้าไปอยู่ในบ้าน ท่าทางภูมินทร์จะสนใจแม่นั่นจริง ๆ “
แสงโชติชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มร้ายออกมา
แสงโชติแยกกับเปรมสุดา ที่ต่างขึ้นรถของตัวเองที่หน้าคอนโด ยอดรีบโทร. กลับไปรายงานสัญชัยทันที
“คุณแสงโชติมาพบคุณเปรมสุดาครับ เพิ่งแยกจากกัน”
ภูมินทร์เดินเข้ามาในร้านดอกไม้ พลางเมียงๆ มองๆ ว่าจะเลือกดอกไหนดี เจ้าของร้านเห็น
ก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“รับดอกอะไรดีคะ? ท่าทางจะซื้อดอกไม้ให้แฟนครั้งแรกแน่ ๆ เลย ถึงได้ดูงง ๆ เลือกไม่ถูก ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเลือกให้เอง กุหลาบสีแดง ผู้หญิงชอบทุกคนค่ะ ใช้บอกความในใจก็ดีนะคะ ถ้าเป็นผู้หญิง
หวานๆ ส่วนใหญ่จะชอบลิลลี่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงห้าวๆ ดอกทิวลิปก็เหมาะค่ะ สำหรับผู้หญิงเรียบร้อย ดอกกุหลาบ
สีขาวก็เลิศ ไม่ทราบว่าแฟนคุณลูกค้าเป็นผู้หญิงประเภทไหนคะ?”
ภูมินทร์อึ้งไป “เอ่อ คือ ไม่เอาแล้วครับ”
พูดจบก็เดินออกจากร้านไปเลย ทิ้งให้เจ้าของร้านยืนเหวอ
ภูมินทร์ออกมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้แบบงงๆ ไม่เข้าใจตัวเอง
“เรามาที่นี่ทำไมวะ? จะซื้อดอกไม้ให้ใคร?”
จู่ๆ ใบหน้าของพิณชนิดาก็ลอยเข้ามา เขาร์รีบสะบัดหน้าไล่ความรู้สึก
“ไม่ เราไม่ได้มาซื้อดอกไม้ให้ยัยนั่น เราแค่เห็นดอกไม้มันสวยดี ก็เลยเดินเข้ามา”
คิดพลางรีบเดินออกไป เหมือนหนีความรู้สึกของตนเอง
พิณชนิดาเดินหาปิ่นเพชรรอบบ้าน จนมาเจอว่ากำลังว่ายน้ำเล่นที่สระอย่างมีความสุข ก็ตกใจ
“ปิ่นเพชร มาเล่นน้ำแบบนี้ได้ยังไง เจ๊ยังไม่ได้ขออนุญาตคุณนมเลย”
“ ไม่เป็นไรค่ะ เล่นตามสบาย สระน้ำนี่ ไม่เคยมีใครใช้นานแล้ว”
พิณชนิดาหันไป ก็เห็นแม่นมนวลกับป่านแก้วเดินถือถาดขนมเข้ามา ป่านแก้วรีบบอก
“พอมีคุณพิณ น้องปิ่นเพชร บ้านก็ดูมีชิวิตชีวาขึ้นเยอะเลยค่ะ”
แม่นมนวลยิ้มให้พิรชนิดา “ของว่างค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณนม”
ป่านแก้ววางถาดขนม แล้วเดินไปเล่นกับปิ่นเพชรที่สระ แม่นมนวลมองอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาคุยกับพิณชนิดา
“พ่อแม่ของหนูอยู่ต่างจังหวัดเหรอจ๊ะ?”
พิณชนิดาตอบยิ้มๆ “พ่อกับแม่ของพิณเสียไปตั้งนานแล้วค่ะ มีแค่พิณกับภิ”
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณนม เรื่องมันนานมากแล้ว”
แม่นมนวลหน้าเศร้าลง
“คุณหนูก็ไม่มีใคร เธอเสียคุณพ่อกับคุณแม่ ตั้งแต่ยังเด็กเหมือนกัน ถ้าคุณหนูทำอะไรไม่ดี คุณพิณอย่าถือโทษโกรธเธอเลยนะคะ”
“พิณจะพยายามเข้าใจคุณหนูของคุณนมให้ได้นะคะ”
พิณชนิดาพูดพลางยิ้มให้ผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม
ขณะที่อรรถพรนั่งดูทีวีอยู่ในห้องด้วยกัน ครู่หนึ่งเขาก็เอนศีรษะลงมาซบกับไหล่เธอ ภิชาสินีเหลือบตามองยิ้มๆ
“สงสัยจะหลับเพราะฤทธิ์ยา”
จากนั้นก็ค่อย ๆ เอนตัวอีกฝ่ายให้ล้มลงนอนหนุนหมอนที่โซฟา พร้อมกับที่หางตาเหลือบเห็นเงาวูบไหวที่หน้าต่าง เธอถึงกับชะงัก แต่พอหันไปมองเต็มๆ ก็ไม่มีอะไร
ด้วยความความสงสัย ภิชาสินีตัดสินใจ เดินไปที่หน้าต่าง พลางกวาดสายตามองกราดไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
พลันเสียงนาฬิกาในห้องดังขึ้นมา ภิชาสินีสะดุ้งเฮือกรีบหันไปมอง พอหันมาที่หน้าต่างอีกทีก็เห็นหน้าผีพ่อของหนึ่งยื่นหน้ามาใกล้ๆ เธอถึงกับถอยหลังกรุดด้วยความตกใจ ก่อนจะทรุดตัวล้มลงไป
เสียงร้องของภิชาสินีปลุกให้อรรถพรสะดุ้งตื่นพรสดขึ้นมา
“คุณภิ เป็นอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น?”
ภิชาสินีชี้ไปที่หน้าต่าง แต่อรรถพรไม่เห็นอะไร
“คุณภิเห็นอะไรครับ? คุณภิเห็นผีเหรอครับ?”
ภิชาสินีนึกในใจว่าถ้าบอกว่าเห็นผี อรรถพรต้องนอนไม่หลับแน่ จึงพูดปดไป
“เปล่าค่ะ ภิเห็นผึ้งน่ะค่ะ เมื่อกี๊เกือบโดนผึ้งต่อย เลยตกใจ”
อรรถพรถอนหายใจโล่งอก พลางถามอย่างเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ?”
“ไม่ค่ะ เย็นมากแล้ว ภิขอตัวกลับก่อนนะคะ”
พูดพลางหันไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินออกไป อรรถพรมองตามด้วยสายตาอาวรณ์
ที่หน้าต่างผีพ่อของหนึ่งมองมาด้วยแววตาเศร้า
พิณชนิดากำลังเล่นโยคะอยู่ในสวน ด้วยเสื้อผ้าที่รัดตัว เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งดูเซ็กซี่ แสงโชติเดินเข้ามาเห็น ก็ตะลึงมองรูปร่างเธอด้วยสายตาโลมเลีย
วิญญาณปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพาที่เกาะรั้วแอบดูอยู่ เพราะเข้าบ้านไม่ได้ มองสายตา
แสงโชติแล้วก็นึกเคือง
“ไอ้บ้านี่มันเป็นใคร สายตาลามก อุบาทว์ที่สุด”
“นั่นสิ โรคจิตชัดๆ น่าเข้าไปซัดสักหมัด”
พลันก็มีเสียงกระแอมลอยมา วิญญาณทั้งสามหันไปมอง ก็เห็นเจ้าที่ยืนมองจ้องอยู่ กานต์กมลรีบบีบน้ำตา
“ท่านเจ้าที่ไม่เคยมีลูก คงไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ห่วงลูกยิ่งกว่าอะไร ขอให้พวกเราได้เข้าไปดูแลลูกเถอะนะคะ”
เจ้าที่เสียงแข็ง “ยืนดูได้ แต่ห้ามเข้าไป”
ทางด้านพิณชนิดา หันมาเห็นแสงโชติก็ชะงัก
“ได้ข่าวว่าคุณพิณจะมาเป็นเลขาพี่ภู ถ้ามีอะไรให้ช่วย แวะไปหาผมที่บ้านได้เสมอนะครับ”
พิณชนิดายิ้มตอบ “ขอบคุณมากค่ะ คุณแสงโชติใจดีกับพิณเสมอเลย”
“แปลกนะครับ พี่ภูอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก ไม่ชอบอยู่คนแปลกหน้า มีเลขากี่คน ไม่เห็นให้เข้ามาอยู่ในบ้าน ทำไมคุณพิณถึงเป็นกรณีพิเศษ”
พิณชนิดานิ่งคิด ว่าจะพูดดีรึเปล่าฦ แสงโชติเห็นแววตาอีกฝ่าย ก็นึกสงสัย
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
“แสดงว่าคงมีมากกว่าแค่เรื่องงานใช่มั้ยครับ? เรื่องมันเป็นมายังไงเหรอครับ เล่าให้ผมฟังได้รึเปล่า? เผื่อผมจะช่วยอะไรได้”
พิณชนิดเห็นแววตาหวังดีของแสงโชติก็ตัดสินใจพูด
“คุณแสงโชติต้องสัญญาก่อนนะคะ ว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง”
“ผมสัญญาครับ คุณพิณไว้ใจผมได้”
พิณชนิดาขยับไปใกล้แสงโชติเพื่อจะกระซิบที่ข้างหู มองผาดๆ เหมือนกำลังจูบกัน ภูมินทร์เดินเข้ามาเห็น ก็หันไปคว้าสายยางใกล้มือขึ้นมา
“คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ค่ะ ...”
พิณชนิดายังไม่ทันได้เล่า ทันใดนั้นน้ำจากสายยาง ก็พุ่งใส่ทั้งเธอกับแสงโชติอย่างแรงจนเปียกโชก สองคนหันไปมอง เห็นภูมินทร์ถือสายยางกำลังรดน้ำต้นไม้ ทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่นายทำบ้าอะไร”
ภูมินทร์ตอบหน้าตาเฉย “รดน้ำต้นไม้ไงน้ำ กระเด็นไปโดนเหรอ โทษที ไม่ได้ตั้งใจ”
แสงโชติมองจ้องอย่างเอาเรื่อง “คนอย่างคุณภูมินทร์เนี่ยนะ รดน้ำต้นไม้”
“อือ แปลกตรงไหน?”
แสงโชติรู้ทัน แกล้งหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าให้พิณชนิดาอย่างห่วงใย ภูมินทร์สุดจะทน เดินไปลากตัวเธอออกมาทันที
“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ไป ฉันหิว นายก็กลับไปกินข้าวได้แล้วป่านนี้พ่อหิ้วท้องรอแย่”
ขาดคำก็รีบลากพิณชนิดาเข้าไป แสงโชติมองตาม พลางคิดในใจ
“พิณชนิดาเป็นจุดอ่อนของแกจริงๆ งานนี้สนุกแน่”
แม่นมนวลที่กำลังจัดโต๊ะอาหาร โดยมีปูเปรี้ยว กับป่านแก้วเป็นลูกมือ เห็นภูมินทร์ลากพิณชนิดาเข้ามาก็แปลกใจ
“ยังจัดโต๊ะไม่เสร็จเลยค่ะ ทุกทีทานข้าวเย็นหกโมง ทำไมวันนี้ทานเร็วจังคะ?”
“ภูหิวครับ”
พิณชนิดารีบสวนทันควัน “แต่ฉันยังไม่หิว ลากฉันมาทำไม”
“ใช่สิ คงอิ่มอกอิ่มใจ จนกินอะไรไม่ลง เจ้าของบ้านกิน เธอก็ต้องกิน”
“เอาแต่ใจเป็นเด็ก ๆ โตซะที”
แม่นมนวลรีบห้ามก่อนที่ศึกจะบานปลาย
“ใจเย็นๆ ค่ะ ทานของอร่อย ๆ ดีกว่านะคะ วันนี้นมทำน้ำพริกปูหลนของโปรดคุณภูด้วยนะคะ”
ภูมินทร์นั่งลงที่โต๊ะ พิณชนิดาจำต้องนั่งตาม สองคนมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง
ครู่หนึ่งภิชาสินีก็เดินเข้ามา พลางรีบไปนั่งข้างพี่สาว ก่อนจะหันไปบอกภูมินทร์
“พรุ่งนี้ภิขออนุญาตทำพิธีไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่นะคะ”
ภูมินทร์มองอย่างแปลกใจ “ไหว้ทำไม?”
พิณชนิดารีบตอบแทนน้อง
“คนมีมารยาท มาอยู่ต่างที่ต่างถิ่นก็ต้องขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางก่อนสิ และที่สำคัญนายต้อง
ขออนุญาตให้วิญญาณครอบครัวฉันเข้ามาอยู่ด้วย”
ภูมินทร์คิดว่าอีกฝ่ายพูดเล่น “ไร้สาระ เธอน่ะไร้สาระยิ่งกว่าฉันอีกยัยประหลาด”
“ฉันพูดจริงนะ ไม่ได้ไร้สาระ”
ป่านแก้วเห็นท่าทางของภุมินทร์กับพิณชนิดาก็แอบฟันธงในใจว่าทั้งคู่ต้องแอบชอบกันแน่ๆ คิดได้ดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะไปพูดใส่หน้าปูเปรี้ยวด้วยความสะใจ แต่อีกฝ่ายกลับเถียงหัวชนฝา
“เห็นชัดขนาดนี้ยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ คุณภูเคยพูดเล่นกับคุณสุดาแบบนี้รึไง ถ้าจำไม่ผิดมีแต่ด่ากับไล่คุณสุดา หรือไม่ก็เดินหนี เรียกว่า แทบจะไม่เคยชายตาแลก็ได้”
“ไม่จริง คุณภูแค่ยังไม่รู้หัวใจตัวเองต่างหาก”
ป่านแก้วหัวเราะขำ “เรื่องนี้แกพูดก็ถูก ดูท่าทางคุณภูจะยังไม่รู้ตัวว่าชอบคุณพิณ”
“คนอย่างคุณภู มีรสนิยมชั้นเลิศ ไม่มีทางคว้าไม่เลือก”
ป่านแก้วสวนกลับ “พูดอีกก็ถูกอีก เพราะมีรสนิยมไง ถึงไม่ยอมคว้าคุณสุดามาเป็นแฟนสักที”
ปูเปรี้ยวเถียงไม่ชนะก็หันไปจะลงไม้ลงมือ แต่พอเจอป่านแก้วขู่ว่าจะฟาดหน้าด้วยกระทะ ก็จำต้องล่าถอยไปอย่างหงุดหงิด
“คุณวิทย์เรียกพวกเรามามีอะไรเหรอครับ?”
บอดี้การ์ดลูกน้องสริวิทย์ถามขึ้นมาทันทีเมื่อถูกอีกฝ่ายตามตัวเข้ามาพบในห้อง
“ฉันมีงานสำคัญให้ทำ ตามคน ๆ นึงให้ฉัน”
จากนั้นก็หยิบรุปภูมินทร์ยื่นให้บอดี้การ์ดดู
ทางด้านสัญชัยก็ออกคำสั่งกับแสงโชติว่าให้เลิกยุ่งกับเปรมสุดา
“ก็แค่สนุก ไม่ได้จริงจัง” แสงโชติบอกเสียงอ่อยๆ
“จริงจังรึเปล่า ฉันไม่สน อย่าให้เรื่องนี้หลุดออกไปเด็ดขาด ถ้าหุ้นส่วนรู้ว่าแกไปยุ่งกับผู้หญิงของภูมินทร์ ทุกคนจะมองยังไง?”
“เค้าก็มองว่าไอ้ภูมันห่วย จนผู้หญิงทิ้ง”
สัญชัยตบโต๊ะเสียงดัง จนแสงโชติสะดุ้งเฮือก
“ไม่ใช่ ทุกคนจะมองว่าฉันเป็นพ่อไม่ดี สอนลูกยังไงให้แย่งผู้หญิงของพี่ชายตัวเอง พ่อไม่ดี จะเป็นประธานที่ดีได้ยังไง? “
แสงโชติถึงกับเถียงไม่ออก
“ช่วงนี้หุ้นส่วนกำลังพิจารณาเรื่องปรับเปลี่ยนตำแหน่งประธานอีกครั้ง ถ้าแกจะทำตัวดีๆ พ่อจะขอบคุณมาก”
แสงโชตินิ่งคิด “ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ผมจะเลิกยุ่งกับสุดาแน่นอน”
พลางแอบคิดต่อในใจ
“ในเมื่อสุดาเป็นแค่ของที่ไอ้ภูไม่สนใจ ผมจะเสียเวลาด้วยอีกทำไม พิณชนิดาต่างหากที่เป็น
ตัวแปรสำคัญ”
ฟรุ่งพยายามโทร. หาเอก แต่โทร. เท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสายเธอจึงตัดสินใจโทร. ไปหาพิฯชนิดา แล้วถามอย่างเอาเรื่อง
“เอกอยู่กับแกรึเปล่า?”
ตัดรับพิณเหวอมาก
“ประสาทรึเปล่า? เอกจะมาอยู่กับฉันได้ยังไง?”
ขาดคำ ฟ้ารุ่งก็กดวางสายไปเลย ครู่หนึ่งเอกก็เปิดประตูเข้ามา ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
ฟ้ารุ่งวีนใส่ทันที
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ฟ้าโทรหาคุณเป็นร้อยรอบ”
เอกถอนหายใจเฮือก
“ผมปิดเสียง ปิดสั่นตอนเข้าประชุมแล้วลืมเปิด เลยไม่รู้ว่าคุณโทร. มา ขอร้องนะ
วันนี้ผมเหนื่อยมาก ปล่อยให้ผมอยู่สงบ ๆ สักวันนะ อย่าหาเรื่องกันเลย”
“ฟ้าไม่ได้หาเรื่อง ฟ้าแค่อยากรู้ความจริง”
“ผมพูดความจริงไปแล้ว คุณจะเอาอะไรอีก”
เอกรีบเดินหนี แต่ฟ้ารุ่งกลับเดินตาม
“เอกยังรักพิณอยู่รึเปล่า?”
เอกสุดจะทน
“ถ้าผมรักพิณ ผมจะอยู่กับคุณที่นี่ทำไม? เลิกวอแว โวยวาย ตามจิก ตามวุ่นวายกับผมสักที
ผมเหนื่อย”
“ฟ้าทำไปเพราะฟ้ารักเอกนะ”
“คนเราอยู่ด้วยกัน ความรักอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะฟ้า สิ่งสำคัญคือความเชื่อใจ”
ฟ้ารุ่งจิกตาร้าย
“ฟ้าเชื่อใจเอก แต่ไม่เชื่อใจผู้หญิงคนอื่น โดยเฉพาะนังพิณ”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าฟ้าไม่เคยเชื่อใจผมเลย”
ฟ้ารุ่งแว้ดกลับทันที
“ก็ตอนที่คุณยังคบกับนังพิณ ยังเคยเปลี่ยนใจมาคบกับฟ้าได้ ทำไมต่อไปคุณจะ
เปลี่ยนใจอีกไม่ได้”
เอกได้ทีก็ย้อนกลับ “นั่นสินะ อันที่จริง ผมไม่น่าเปลี่ยนใจตั้งแต่แรก”
ฟ้ารุ่งได้ฟัง ก็ทุบตีเอกด้วยความโมโห
“พูดแบบนี้หมายความยังไง ? เอกยังรักมันอยู่ใช่มั้ย ? ฟ้าไม่ยอมๆ”
เอกยืนนิ่งให้ฟ้ารุ่งทุบ เพราะเหนื่อยจนไม่อยากสู้
“รู้มั้ย ฟ้ากับพิณ ต่างกันตรงไหน?”
ฟ้ารุ่งเชิดหน้า
“ฟ้าสวย รวย เลิศกว่านังพิณ สูงส่งกว่า จนเอกไม่ควรเอาฟ้าไปเปรียบเทียบกับมัน ที่สำคัญฟ้าทุ่มเทให้เอกทุกอย่างทั้งคอนโด รถ นังพิณไม่มีทางให้เอกได้แบบนี้แน่”
“แต่สิ่งที่พิณเคยให้ผม ฟ้าก็ไม่มีวันให้ผมได้เหมือนกัน ความเชื่อใจกับความเข้าใจไงฟ้า พิณมีให้ผมมาตลอด ในขณะที่ฟ้าไม่เคยมีให้ผมเลย”
พูดพลางก็เดินเข้าห้องน้ำ แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงดัง ฟ้ารุ่งกรี๊ดลั่น
“เพราะนังพิณมันเชื่อใจคุณ สุดท้ายถึงได้เจ็บไง ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ ออกมา”
เอกที่อยู่ในห้องน้ำ ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เหนื่อยกาย เหนื่อยใจสุด ๆ
ภูมินทร์นั่งอ่านเอกในห้องรับแขก อ่านไปหาวไป จนรู้สึกแปลกใจตัวเอง
“ปกติมืดปุ๊บตาสว่างปั๊บ เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ง่วงนอน?”
ครู่หนึ่งพิณชนิดาก็เดินเข้ามา ภูมินทร์หันมาเห็นพิณชนิดาก็รีบไล่
“ไปไกล ๆ เลย ไป คนกำลังใช้สมาธิ”
แต่อีกฝ่ายกลับต่อล้อต่อเถียงอย่างกวนประสาทสุด ๆ ภูมินทร์ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นอุ้มตัวเธอขึ้นมา ทันที พิณชนิดาร้องลั่น
“จะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย”
พิณชนิดาทั้งดิ้นทั้งจิกหัว ทำให้ภูมินทร์เซล้มลงไปบนโซฟาทับร่างของเธอ จนใบหน้าแนบชิดกัน พิณชนิดาหัวใจเต้นรัว
ภูมินทร์มองจ้องพิณชนิดา พลางค่อยๆ ยื่นหน้าไปใกล้ๆ ใกล้เข้าไป ๆ
พิณชนิดาแอบหวั่นไหว ค่อยๆ หลับตาพริ้ม พร้อมรับการจูบ ครู่หนึ่งก็ลืมตามอง เห็นภูมินทร์หลับคาอกตัวเองอยู่ตรงนั้น
“นายภูมินทร์”
ภูมินทร์หลับสนิท ซ้ำเริ่มกรนออกมาเบา ๆ พิณชนิดาแทบจะกรี๊ด
“ไอ้บ้า มาหลับใส่กันเวลาแบบนี้ได้ยังไง ? ตื่นเดี๋ยวนี้ นี่เราขาดเสน่ห์ ถึงขั้นผู้ชายหลับใส่ตอนเข้าได้เข้าเข็มเลยเหรอ? “
พิณชนิดาแบกภูมินทร์เข้ามาในห้องนอน แล้วพาไปนอนที่เตียง พลางยืนเหนื่อยหอบ
“ตัวหนักยังกับช้าง เพิ่งทุ่มกว่า หลับไวไปมั้ย?”
พอเหลือบไปมอง เห็นภูมินทร์ยังคงหลับสนิทก็นึกเอ็นดู
“เวลาหลับเหมือนเด็กไร้เดียงสา เวลาตื่นเหมือนตัวร้ายในหนัง”
พิณชนิดาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนึกไปถึงตอนที่ภูมินทร์ยื่นหน้ามาใกล้ เหมือนจะจูบ เธอก็หน้าแดงซ่าน
“พิณชนิดาคิดบ้าอะไรเนี่ย ?”
จากนั้นก็ตบแก้มตัวเองเบา ๆ แล้วก็สะบัดหน้าแรง ๆ ไล่ความคิด แต่ในใจยังหวั่นไหว
หัวใจวูบวาบ พลันรีบลุกพรวดทันที เพราะกลัวความรู้สึกของตัวเอง
แต่เมื่อหันมามองอีกที เห็นภูมินทร์นอนไม่ห่มผ้า ก็ค่อยๆ เดินมาห่มผ้าให้ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ
“ฝันดีนะ”
ภูมินทร์นอนหลับอย่างเต็มตา และเปี่ยมสุข
ปูเปรี้ยวหลบมาโทร. รายงานเปรมสุดาว่า 2 พี่-น้องจะทำพิธีไหว้เจ้าที่ พลางตั้งสมมติฐาน“คนปกติที่ไหน จะมาทำพิธีแบบนี้ในบ้านคนอื่น นอกจากพวกทำของ”
เปรมสุดาลุกพรวดทันที “พวกทำของ?”
“ใช่ค่ะ ปูเปรี้ยวเคยเห็นพวกหมอผีแถวบ้าน เวลาไปนอนต่างที่ต่างถิ่นต้องทำพิธีไหว้เจ้าที่ เพื่อให้วิญญาณที่เลี้ยงไว้เข้าบ้านได้ นัง 2 พี่-น้องนี่ต้องเล่นของแน่ ๆ ค่ะ”
หลังจากวางสายไป เปรมสุดาก็หันมาปรึกษาปณิตา
“ก็เป็นไปได้นะลูก พวกหมอดูน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกไสยศาสตร์ มันต้องทำของใส่ตาภูแน่ ๆ ไม่งั้นตาภูจะหลงมันถึงขั้นพาเข้าบ้านได้ยังไง?”
“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ๆ เราก็แย่สิคะแม่”
ปณิตาส่ายหน้า “ไม่แย่หรอก เรื่องนี้พอมีวิธีแก้”
“เอาหมอผีมาแก้เหรอคะ?”
ปณิตายิ้มเหี้ยม
“ไม่ยากขนาดนั้น แค่หาหลักฐานว่ามันทำของใส่ตาภู เรื่องสกปรก ๆ แบบนี้ใครจะรับได้ รับรองว่าตาภูต้องไล่นังหมอดูนั่นออกจากบ้านแน่”
ฟ้ารุ่งที่เริ่มเย็นลงแล้ว เห้นเอกออกมาจากห้องน้ำ ก็รีบถลาไปขอโทษ
“ฟ้าขอโทษที่ใช้อารมณ์ ที่ฟ้าหวงเอกแบบนี้ เพราะฟ้ารักเอกมาก ฟ้าคงอยู่ไม่ได้ถ้าเอกทิ้งฟ้าไป ฟ้ากลัวคำที่หมอดูบอก ว่าเราจะเลิกกัน”
เอกจำต้องโอบแขนกอดปลอบอีกฝ่ายเอาไว้
“ถ้าเราจะเลิกกันคงไม่ใช่เพราะหมอดู แต่เป็นเพราะฟ้าไม่เชื่อใจผม ฟ้า ผมไม่อยากทะเลาะกับฟ้าเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องนะฟ้า ต่อไปนี้ เลิกตามเช็ค ตามจิกผมสักที ผมทำงานก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว กลับมาแทนที่จะได้พักกลับต้องมาทะเลาะกับคุณอีก มันไม่ไหว เชื่อใจผม ลืมคำพูดของหมอดูนั่นไปซะ”
ฟ้ารุ่งรีบพยักหน้ารับ
“โอเค. ๆ ฟ้าสัญญา ต่อไปนี้ ฟ้าจะเชื่อใจเอก เข้าใจเอก ฟ้าจะไม่โวยวาย ไม่ตามจิก แต่เอกต้องสัญญาจะรับโทรศัพท์ฟ้า จะกลับบ้านตรงเวลา จะไม่มองผู้หญิงอื่นนอกจากฟ้า เอกต้องรักฟ้าคนเดียว”
“เอกสัญญา”
ฟ้ารุ่งยิ้มดีใจ พลางซุกตัวลงไปอ้อมกอดของเอก ที่ยิ้มอย่างอ่อนระโหย
ภูมินทร์ตื่นมาตอนเช้า เห็นนาฬิกาเจ็ดโมงก็ตกใจ สะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ นี่เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ตั้งแต่พ่อตาย เราไม่เคยหลับยาวขนาดนี้เลย เกิดอะไรขึ้น
เรานอนหลับ ไม่ฝันร้ายแล้ว”
ภูมินทร์กระโดดโลดเต้น ด้วยความดีใจ จากนั้นก็รีบเข้าไปอาบน้ำ พลางร้องเพลงไปด้วย อย่างอารมณ์ดี
ปิ่นเพชรเห็นพิณชนิดาในชุดเซ็กซี่ ทาปากแดงแปร๊ด ก็อ้าปากค้าง
“เจ๊จะไปทำงานชุดนี้จริงๆ เหรอ?”
“จริงสิ ก็คุณสุดาบอกว่า นายภูมินทร์ชอบแบบนี้ ปิ่นเพชรก็รู้ว่านายนั่นเรื่องมาก ถ้าเจ๊แต่งตัวไม่ถูกใจ เดี๋ยวก็ด่าเจ๊อีก เจ๊ขี้เกียจมีปัญหา”
“แต่เค้าว่ามันจะมีปัญหาเพราะชุดเจ๊”
พิณชนิดาพูดอย่างมั่นใจมาก
“ไม่มีหรอก คุณสุดาเลือกให้เองกับมือ เค้ารู้จักกันมานาน ต้องรู้ใจกันดี”
ภิชาสินีแต่งตัวออกมาจากห้องน้ำเห็นสภาพพี่สาวที่เปรี้ยวเข็ดฟัน ก็พลอยชะงักไปกเวย แต่ยังไม่ทันพูดอะไร พิณชนิดาก็คว้ากระเป๋า รีบออกไป
“ พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวนายภูมินทร์ลงไปไม่เจอพี่ จะหาเรื่องด่าว่าพี่ตื่นสาย ไปล่ะ”
ก้องภพเดินเข้ามาใน เห้นภูมินทร์ยังไม่ลงมา ก็กำลังจะเดินขึ้นไปตาม ขณะที่พิรชนิด่เดินลงบันไดสวนมาพอดี เขามองชุดเซ็กซี่ของเธออย่างตกตะลึง แม่นมนวลกับป่านแก้วก็พลอยชะงักไปด้วย
พิณชนิดายิ้มให้ก้องภพ
“เจ้านายคุณยังไม่ลงมาอีกเหรอคะ? หลับตั้งแต่ทุ่มนึง ไม่น่าตื่นสาย”
ทุกคนได้ฟังก็นึกแปลกใจ
“คุณภูน่ะเหรอคะ? หลับตั้งแต่ทุ่มนึง”
“ใช่คะ หลับคาอก เอ่อ หลับคาโซฟาค่ะ พูดผิด ทำไมทุกคนดูแปลกใจที่คุณภูหลับเร็วคะ?”
แม่นมนวลรีบอธิบาย
“คุณหนูเป็นคนนอกยาก นอนไม่ค่อยหลับ หลับทีไรก็ฝันร้าย วันนึงนอนน้อยมาก”
พิณชนิดาพยักหน้าหงึก “มิน่า อารมณ์แปรปรวนสุด ๆ”
ก้องภพมองชุดพิณชนิดา แล้วนึกเป็นห่วง
“ผมว่าคุณพิณกลับขึ้นไปเปลี่ยน ...”
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ภูมินทร์ก็เดินเข้ามา ด้วยสีหน้ายิ้มสดใส อารมณ์ดี
“มอนิ่งทุกคน วันนี้อากาศดีเนอะ”
ทุกคนอึ้งกับอาการของภูมินทร์ ที่ดูสดใสผิดปกติ พลางแอบลุ้นจนแทบลืมหายใจ เมื่อเขาหันมาเห็นพิณชนิดาเต็ม ๆ มั่นใจว่างานนี้เธต้องโดนด่าเละแน่นอน
ทว่าสิ่งที่ภูมินทร์ทำกลับตรงกันข้าม
“วันนี้แต่งตัวมีสีสันดี ดูสดใส เห็นแล้วสบายตา”
ทุกคนทำหน้าเหวอ ปูเปรี้ยวอ้าปากค้าง
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ระหว่างที่ทุกคนทานอาหาร ป่านแก้วก็ไปกระซิบคุยกับแม่นมนวล
“ท่าทางคุณภูจะชอบคุณพิณจริง ๆ นะคะคุณนม ปกติถ้าเป็นคุณสุดาแต่งแบบนี้ น้ำหอมกลิ่นนี้ คุณภูไล่กระเจิงไปแล้ว”
แม่นมนวลพยักหน้ารับ
“ถ้าเรารักใคร ไม่ว่าเค้าจะเป็นยังไง เราก็จะยังรัก แต่กับคนที่เราไม่ได้รัก ต่อให้เค้าทำสิ่งที่เราชอบทุกอย่าง เราก็ไม่รักอยู่ดี”
“ทำไมคุณภูถึงไม่รักคุณสุดาล่ะคะคุณนม” ป่านแก้วย้อนถาม
“คุณสุดาเธอมีคลื่นความอยากได้ คลื่นแบบนั้นมันร้อน ในขณะที่คุณพิณ เธอมีคลื่นความอบอุ่น เป็นความเย็น คนขาดความรักอย่างคุณภู ต้องการความเย็นและความอบอุ่นมากกว่าความร้อน”
ป่านแก้วถามอีก “แล้วเมื่อไหร่คุณภูกับคุณพิณจะรู้หัวใจตัวเองคะ?”
แม่นมไม่ตอบ แต่ส่งยิ้มอ่อนโยน พลางมองภูมินทร์ที่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ และหันมองพิณชนิดาเป็นระยะ ด้วยสายตาที่มีความหมาย
อรรถพรในชุดตำรวจเปิดประตูออกมาจากในห้อง แล้วก็ตกใจเพราะเจอหนึ่งยืนยิ้มแฉ่งอยู่พร้อมกับหมวกกันน็อก 2ใบ
“กู๊ดมอนิ่ง จะไปทำงานใช่มั้ยครับ?”
พูดพลางยื่นหมวกกันน็อกไปให้ “ผมไปส่งนะพี่”
อรรถพรมองแบบงงๆ พลางทำตาปริบๆ
พอทั้งคู่เดินลงมาด้านล่าง ก็เจอกับ 2 ผัว-เมียแพนเค้กกับขวัญทิพย์ ที่ทักทายหนึ่งด้วยน้ำเสียงหวานหู ซ้ำยังเรียกหนึ่งว่า “น้องหนึ่ง” ทำเอาเด็กหนุ่มแปลกใจ
“เอ่อ พี่ขวัญไม่บายเปล่าครับ ปกติเห็นเรียกผม หนึ่ง ไอ้หนึ่ง แล้วไหงวันนี้ถึงเรียกน้องหนึ่งจ๋า”
“ก็ตอนนั้นพี่ไม่รู้นี่...”
ฝ่ายเมียยังพูดไม่จบ ฝ่ายผัวก็รีบพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่รู้ว่าน้องหนึ่งมีพ่อเป็นถึงมหาเศรษฐี”
หนึ่งทำหน้าเหวอ “ พวกพี่เข้าใจผิดแล้ว พ่อผมตายไปนานแล้ว”
ขวัญทิพย์หัวเราะร่วน
“อย่ามาโกหก ก็พ่อน้องหนึ่งขับรถหรูคันโตมาจอดรอน้องหนึ่งอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นต์”
หนึ่งกับอรรถพรหันไปมองที่ด้านหน้า เห็นพ่อเลี้ยงยืนรออยู่ หนึ่ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
อรรถพรกับหนึ่งเดินออกมาด้วยกัน อรรถพรยกมือไหว้พ่อเลี้ยง พลางหันไปทางหนึ่ง ก่อนจะคืนหมวกกันน็อกให้
“พี่ไปทำงานเอง ใจเย็นล่ะ”
พออรรถพรเดินออกไป พ่อเลี้ยงเดินมาหยุดตรงหน้าหนึ่ง
“มาทำไม?”
“ฉันมาเรื่องเดียวกับแม่ของเธอ”
หนึ่งแค่นยิ้ม
“ผมบอกแม่ไปแล้วว่าไม่ไปอยู่ด้วย ยังจะมาเซ้าซี้อีกทำไม?”
พ่อเลี้ยงพยายามพูดอย่างใจเย็น
“พูดจาให้มันดีๆ หน่อย แม่เธอเป็นห่วงเธอมาก เค้าอยากให้เธอกลับมาอยู่กับครอบครัว”
“คุณไม่ใช่ครอบครัวผม ครอบครัวของผมมีพ่อคนเดียวเท่านั้น ฝากไปบอกผู้หญิงคนนั้นว่าผมไม่มีวันกลับไปอยู่ด้วยแน่นอน อย่ามารู้สึกผิดตอนนี้ เพราะมันสายไปแล้ว”
พูดจบหนึ่งก็หันหลังจ้ำเดินเข้าไป ผ่านหน้าวิญญาณพ่อที่ยืนมองด้วยสีหน้าเป็นกังวลใจ
อรรถพรมาถึงโรงพัก ขระกำลังจะเดินเข้าไป ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนลับๆล่อๆ อยู่ตรงมุมหนึ่งเขาเพ่งมองด้วยความสงสัย
“นั่นใคร? มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้”
คิดพลางย่องเข้าไปใกล้ๆ เห็นชายคนนั้นก้มหน้า เหมือนกำลังจะสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง
อรรถพรก็ฉุนขึ้นมาทันที
“หน้าโรงพักแท้ๆ ยังกล้า แบบนี้ต้องจัดหนัก”
จากนั้นก็ชักปืนออกมา “ยกมือขึ้น”
ชายคนนั้นหันมามองอรรถพรด้วยความตกใจ
“บอกให้ยกมือขึ้นไงไอ้โรคจิต”
จ่าเหยินหันไปมองหา “ไหนๆ ไอ้โรคจิตอยู่ไหน?”
“นายนั่นแหละ”
จ่าเหยินชี้หน้าตัวเอง
“ผม ? ผมไม่ใช่ ผมเป็น...”
พูดพลางเอามือล้วงกระเป๋า
อรรถพรรีบสั่ง “หยุดหยุด เอามือออกจากกระเป๋า”
แต่จ่าเหยินกลับดึงมือไม่ออก “มันติด”
“ไม่ต้องโกหก ถ้าฉันนับหนึ่งถึงสาม ยังไม่เอามือออกมา ฉันยิง หนึ่ง สอง สาม”
สิ้นคำว่าสาม อรรถพรยิงปืนขึ้นฟ้าดังปัง จ่าเหยินตกใจ รีบดึงมือออกมาพร้อมกับบัตร
แล้วก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้น อรรถพรรีบเข้ามาจับใส่กุญแจมือ
“ใส่กุญแจมือผมทำไม?”
อรรถพรเห็นบัตรในมือจ่าเหยิน ก็รีบดึงออกมาดู
“อ้าว? เป็นตำรวจ”
“ใช่ดิหมวด ไม่ฟังกันเล้ย พับผ่าสิเอ้า”
อรรถพรยิ้มแหยๆ
ที่แท้จ่าเหยินคือตำรวจที่จะต้องมาเป็นคู่หูของอรรถพร
หัวหมู ไข่ต้ม ผลไม้ 5 อย่าง พวงมาลัยพวงใหญ่ น้ำแดง น้ำเปล่า วางเต็มโต๊ะตรงหน้าศาลพระภูมิ
ภิชาสินีกำลังจุดธูป 5 ดอกกับเทียน พอจุดเสร็จก็หันไปทางภูมินทร์ ที่ยืนอยู่ด้วยกับพิณชนิดา พลางยื่นธูปให้ 5 ดอก
“ นี่ของคุณ ขออนุญาตท่านเจ้าที่ให้ดวงวิญญาณ พ่อ แม่ แล้วก็ป้าของฉันกับพี่พิณเข้ามาอยู่ในบ้านนะคะ”
ภูมินทร์ตกใจ
“ตกลงนี่เธอพูดจริงเรื่องที่จะให้ฉันเชิญวิญญาณครอบครัวเธอเข้ามาอยู่ในบ้าน”
พิณชนิดหันมาจ้องหน้าภูมินทร์ “หน้าฉันมันล้อเล่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ภูมินทร์ตวาดกลับ
“ฉันไม่ทำ บ้านฉัน ไม่ใช่สุสาน จะได้ให้เป็นที่อยู่ของผี”
ปูเปรี้ยวที่ยืนอยู่กับป่านแก้ว รีบหันมากระซิบเย้ยๆ
“ไงคนดีของแก ฟังชัดแล้วเหรอยัง?”
ป่านแก้วพูดไม่ออก
วิญญาณปราชญ์ที่ยินอยู่นอกรั้วฉุนกึกขึ้นมาทันที
“ ไอ้หมอนี่ พูดจาสามหาวเกินไปแล้ว แบบนี้มันต้องสั่งสอน”
แต่พอจะทะลุรั้วเข้าไป ก็กลับโดนเจ้าที่ผลักออกมา
พิณชนิดาได้ฟังที่ภูมินทร์พูด ก็ไม่พอใจ
“ผีที่นายพูด คือพ่อ แม่และป้าของฉัน”
พลางยื่นหน้ามากระซิบ
“นายคิดว่าการที่เราจะจับคนลอบฆ่านาย มันทำได้ง่ายๆ งั้นเหรอ เราต้องใช้สิ่งที่คนมองไม่เห็น เราถึงจะรู้ว่าใครต้องการที่จะกำจัดนาย แต่ถ้านายไม่อยากรู้และอยากตายเร็วขึ้น ก็ตามใจ ภิ เก็บของ เราจะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
ภิชาสินีเหวอมาก พลันเสีนยงของภูมินทร์ก็แทรกมา
“ฉันต้องทำยังไง? บอกด้วย”
2 พี่-น้องยิ้มโล่งอก
ภูมินทร์ยืนไหว้เจ้าที่ด้วยธูป 5 ดอก เอ่ยขออนุญาตเจ้าที่ในใจ
“ผมนายภูมินทร์ อัครมโหฬาร เจ้าของบ้านหลังนี้ ขออนุญาตท่านพระภูมิเจ้าที่ให้วิญญาณของครอบครัวนางสาวพิณชนิดาและนางสาวภิชาสินีเข้ามาภายในบ้านของผม”
พิณชนิดาที่ยืนด้านหลังกับภิชาสินี ถือธูปกันคนละ 1 ดอก รีบกล่าวเชื้อเชิญในใจ
“พิณขอเชิญวิญญาณของพ่อ แม่และป้าเข้ามาได้ค่ะ”
เจ้าที่สองตนปรากฎร่างตรงหน้า ปราชญ์ กานต์กมล และพัณทิพา
“ไม่นึกว่าเด็กผู้หญิงสองคนนั้นจะเป็นลูกของเจ้า ช่างแตกต่างกับพ่อ ราวฟ้ากับเหว”
ปราชญ์ไม่พอใจ “ทำไมท่านว่าลูกผมเป็นเหว”
“ข้าว่าเจ้าต่างหาก”
จากนั้นเจ้าที่ก็ผายมือเชิญให้วิญญาณทั้งสามเข้าในบ้านได้
เปรมสุดาได้รับรายงานจากปูเปรี้ยวว่าภูมินทร์ไม่โกรธพิณชนิดาสักแอะที่แต่งตัวฉูดฉาด ก็กำมือแน่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธถึงขีดสุด ขณะกำลังจะอ้าปากกรี๊ด ปณิตาก็รีบปิดปากห้ามไว้
“เราจะมามัวเสียเวลากรี๊ดไม่ได้อีกแล้วนะลูก”
พลางคว้ามือถือจากเปรมสุดามาสั่งการปูเปรี้ยว
“ฉันมีงานให้แกทำนังปูเปรี้ยว ถ้าแกทำงานนี้สำเร็จ ฉันจะตบรางวัลให้แกอย่างงาม”
ปูเปรี้ยวตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
ภูมินทร์หันไปมองรอบๆ บ้าน พลางหันมาถามภิชาสินี
“นี่ พ่อ แม่ ป้า ของคุณ เข้ามาอยู่ในนี้แล้วเหรอยัง?”
ภิชาสินีมองไปที่ปราชญ์ที่ยืนเอาแขนวางบนไหล่ภูมินทร์ พลางพยักหน้ารับ
ภูมินทร์กลืนน้ำลายเอื๊อก “พวกเค้าอยู่ตรงไหน?”
“แม่กับป้าอยู่ข้างฉัน ส่วนพ่อ ยืนอยู่ข้างๆ คุณ”
ภูมินทร์หันขวับ สีหน้าตกใจม ปราชญ์หัวเราะก๊าก
“ถ้างั้นก็ เชิญตามสบายนะครับ ไปทำงานได้แล้ว”
ภูมินทร์เดินออกไป พิณชนิดาหันไปทางภิชาสินี
“พี่ไปทำงานก่อน พิณไปก่อนนะคะพ่อ แม่ ป้า”
พิณชนิดาเดินออกมาพร้อมกับภูมินทร์เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง มือเย็นเฉียบก็ตกใจ
“คุณภู ทำไมมือเย็นแบบนี้ อย่าบอกนะว่านายกลัวผีจริงๆ”
“ผีนะคุณ เป็นใคร ใครก็กลัวรึเปล่า?”
พิณชนิดายิ้มขำ “เพิ่งเห็นคนเก่งอย่างคุณภูมินทร์ อัครมโหฬารกลัวก็วันนี้แหละ”
“ไม่ต้องพูดมาก แล้วก็ห้ามบอกใครว่าเราให้ผีมาช่วยเรื่องนี้ แม้กระทั่งก้อง”
“รู้แล้ว”
พิณชนิดาพูดพลางจะเดินต่อ แต่กลับสะดุดส้นสูง ทำให้หงายหลังจะล้ม ภูมินทร์รีบประคองรับเอาไว้ได้ทัน ระหว่างนั้นก้องภพเดินมาเห็นภาพ ก็แอบใจแป้ว
“รถพร้อมแล้วครับ”
แสงโชติออกมาจากที่ซ่อน พลางทำหน้านิ่วสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน
คนของสิรวิทย์ที่ซุ่มรออยู่ในรถ พอเห็นรถภูมินทร์แล่นออกไป ก็รีบขับตามไปทันที
ประตูห้องนอนอขงพิณชนิดาถูกเปิดเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมกับปูเปรี้ยว ที่แอบเข้ามาด้านใน พลางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็นึกถึงคำสั่งการของปณิตา
“ถ้ายัยสองพี่น้องนั่นทำของอย่างที่แกบอกจริง มันก็ต้องมีของเก็บไว้ในห้อง อาจจะเป็นตุ๊กตา เส้นผมหรืออะไรก็ตามที่ดูแปลกๆ แกต้องหามันให้เจอ จะได้ใช้เป็นหลักฐานเล่นงานพวกมัน”
ปูเปรี้ยวยิ้มมุมปากมั่นใจ “พวกแกเสร็จแน่”
ตุ๊กแกปิ่นเพชรเกาะอยู่บนเพดานลืมตาขึ้นมามอง พร้อมกับวิญญาณของพ่อ แม่ ป้า ที่มองอย่างสงสัย
สัญชัยเดินมาตามทางเดินในบริษัท สีหน้าเคร่งเครียด แล้วก็ย้อนนึกถึงตอนที่แสงโชติเข้ามาบอกเรื่องพิณชนิดา
“ที่คุณพิณมาเป็นเลขาพี่ภู และเข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน คุณพิณพยายามจะบอกผม แต่พี่ภูดันมาขัดจังหวะซะก่อน ผมก็เลยไม่รู้ แล้วเมื่อเช้า ผมก็ได้ยินพี่ภูพูดกับคุณพิณว่า “อย่าบอกใครว่าเราเอาผีมาช่วยเรื่องนี้” มันน่าแปลกมั้ยล่ะครับ?”
สัญชัยครุ่นคิดหนัก
“ตาภูคิดจะทำอะไร? ถ้าอย่างนั้นแกพยายามถามหนูพิณมาให้ได้ ว่าหนูพิณมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร?”
สัญชัยหันไปเห็นภูมินทร์ พิณชนิดา ก้องภพ เดินเข้ามาด้วยกัน ก็รีบเดินมาทักทาย แต่ภูมินทร์รีบตัดบท
“ขอโทษนะครับคุณอา ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปทำ”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป พร้อมกับก้องภพ สัญชัยหน้าเสีย พิณชนิดายกมือไหว้ลาพร้อมกับยิ้มแหยๆ
“ทำไมถึงเสียมารยาทกับคุณสัญชัยแบบนี้”
พอเข้ามาในห้องพิณชนิดาก็โวยวายใส่หน้าทันที
“ไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องพูด”
พิณชนิดาย้อนกลับ “งั้นก็เล่ามาให้ฉันรู้สิ ฉันจะได้ไม่ต้องพูด”
“ได้ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง จะได้เลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวซักที”
จากนั้นก็เริ่มต้รนเล่าย้อนถึงตอนที่เขาเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ ขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอน
สัญชัยก็เดินถือถาดวางขนมกับนมเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินมานั่งบนเตียง พลางขยับผ้าห่มให้
“น่าสงสาร ต้องมาเสียพ่อ ตั้งแต่ยังเล็ก แต่จะว่าไป มันก็สมน้ำหน้าแล้ว แกชอบมาแย่งของเล่นของลูกฉัน และฉันก็ต้องยอม เพราะเกรงใจพ่อของแก ต่อไปนี้ลูกฉันจะได้มีความสุขซักที”
สัญชัยดึงผ้าห่มออกอย่างแรง แล้วก็หันหลังเดินออกไป เด็กชายภูมินทร์ลืมตาขึ้นมา อึ้งกับสิ่งที่
ได้ยิน
ก้องภพกับพิณชนิดาได้ยินสิ่งที่ภูมินทร์เล่าก็ชะงักไปเหมือนกัน
“ถ้าฉันเป็นคุณสัณชัย แล้วเจอนายแกล้งลูกฉัน ฉันก็คงจะพูดแบบเค้าเหมือนกัน ก็นายมันอยากนิสัยเสียเอง”
ภูมินทร์ฉุนกึกขึ้นมาทันที “นี่เธอเป็นพวกเดียวกับฉันรึเปล่า?”
ก้องภพรีบห้าม
“พอเถอะครับ อย่าทะเลาะกันอีกเลย ผมขอล่ะ ตอนนี้สิ่งที่เราต้องรีบทำก็คือหาตัวคนทำร้ายคุณภูนะครับ”
ภูมินทร์รีบเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ถ้างั้นก็เข้าเรื่อง ฉันคิดว่าฉันจะทำพินัยกรรม”
ก้องภพกับพิณชนิดาอ้าปากค้าง
พรายพยากรณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
พัณทิพาแกล้งดึงผ้าม่านให้เปิดกว้างออก จนแสงสว่างลอดเข้ามา ปูเปรี้ยวที่กำลังก้มหน้าก้มตาหาของในห้องพิณชนิดา หันขวับไปมองอย่างแปลกใจ
“ตอนเข้ามาในห้อง มันปิดอยู่ไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเราตาฝาด”
คิดพลางเดินไปปิดผ้าม่าน ก่อนจะหันหลังกลับ แต่พัณทิพากลับแกล้งเปิดผ้าม่านอีกครั้ง
ปูเปรี้ยวหันขวับไปมองอย่างตกใจ
“มันเปิดได้ไง ก็เราปิดเองกับมือ”
ผ้าม่านถูกกระชากเปิดจนหมด กานต์กมลเปิดหน้าต่างลมพัดเข้ามา ปูเปรี้ยวตาเหลือก อ้าปากค้าง พอหันขวับไปเห็นหมอนบนเตียงลอยได้ เพราะปราชญ์ยกขึ้นมา แล้วปาใส่หน้า
“ผะผะ ผะ ผีผี”
ปูเปรี้ยวตะดกนร้องลั่นห้อง พลางวิ่งไปจะเปิดประตู แต่เปิดไม่ได้ เพราะปราชญ์ยืนพิงเอาไว้
“เปิดสิ เปิด ทำไมไม่เปิด พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย ลูกกลัวแล้ว ลูกกลัวแล้วจริงๆ”
ปราชญ์ผลักปูเปรี้ยวอย่างแรง ทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้น เข่าอ่อนจนลุกไม่ขึ้น รีบยกมือขึ้นมาไหว้
ประหลกๆ
“ปล่อยลูกไปเถอะ อย่าทำอะไรลูกเลย ลูกขอร้อง”
ปราชญ์เปิดประตู ปูเปรี้ยวเห็นประตูเปิดจะรีบออกไป แต่ทันใดนั้นปิ่นเพชรตกลงมาบนเพดานมาเกาะที่จมูกพอดี
ปูเปรี้ยวถึงกับเป็นลมล้มตึง
ปิ่นเพชรกลายร่างเป็นเด็กไปยืนกอดอกข้างวิญญาณพ่อ แม่ ป้า แล้วก็พร้อมใจกันหัวเราะด้วยความสะใจ
จากนั้นก็ช่วยกันลากร่างที่นอนไม่ได้สติของปูเปรี้ยวมากองไว้ตามทางเดิน ป่านแก้วเดินมาเห็นก็นึกฉุน
“ที่แท้ก็มาแอบนอนกลางวันอยู่นี่เอง กินแรงตลอด”
พลางจ้ำเดินเข้ามาหาปูเปรี้ยวด้วยสีหน้าที่เอาเรื่อง แล้วย่อตัวลงไปข้างๆ จับแขนเขย่า
“นังปูเปรี้ยว ตื่น ตื่นเดี๋ยวนี้”
ปูเปรี้ยวสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่ง ในสภาพหัวหูกระเซิง
“กลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย ช่วยฉันด้วย ฉันโดนผีหลอก”
ป่านแก้วตกใจ “ผี?”
เมื่อลงมาเล่าให้แม่นมนวลฟัง ปี้ยวกลับโดนหญิงสูงวัยเอ็ด
“พูดจาเหลวไหล ผีเผอมีที่ไหน?”
“จริงๆ นะคะคุณนม ในห้องพักยัย 2 พี่-น้อง เออ หมายถึงห้องคุณพิณกับคุณภิ”
“ แล้วแกเข้าไปทำอะไรในห้องคุณพิณกับคุณภิ?”ป่านแก้วย้อนถาม
ปูเปรี้ยวหน้าถอดสี “ฉัน ฉันก็เข้าไปทำความสะอาดน่ะสิ”
ป่านแก้วไม่เชื่อคำพูด รีบถามคาดคั้น ปูเปี้ยวไปไม่ถูก ก็แกล้งทำหน้าเหมือนจะเป็นลม แล้วรีบเดินแยกตัวไปทันที
ป่านแก้วมองอย่างสงสัย พลางหันไปทางแม่นมนวล
“ป่านแก้วว่าไม่มีผงมีผีอะไรหรอกค่ะ คงกลัวเราจับได้มากกว่าว่ามันคิดไม่ซื่อกับคุณพิณคุณภิ”
เปรมสุดาสีหน้าประหลาดใจมาก ขณะคุยโทรศัพท์กับปูเปรี้ยว
“ไม่เจอของ แต่เจอผี แกจะขอถอนตัวไม่ทำแล้ว ? ฮัลโหลนังปูเปรี้ยว ฉันยังพูดไม่จบ แกวางสายทำไม? เอาไงต่อคะแม่?”
ปณิตานิ่งคิด “แสดงว่านังหมอดูมันเล่นของจริงๆ มันถึงเลี้ยงผีเอาไว้”
“แล้วเราจะจับผีได้ไงล่ะคะ?”
ปณิตาจิกตาร้าย
“ได้สิลูก ไม่งั้นหมอผีจะมีไว้ทำไม? แต่งานนี้เราต้องให้คุณแสงโชติช่วยอีกแรง”
“ที่ฉันทำพินัยกรรม เพราะถ้าหากฉันเป็นอะไรขึ้นมา สมบัติทั้งหมด ฉันจะยกให้กับการกุศล”
ภูมินทร์หันมาบอกเหตุผลกับก้องภพและพิณชนิดา
“ถ้าหากคนที่คิดฆ่านายรู้ว่านายทำพินัยกรรม เค้าก็จะเลิกคิดฆ่านาย เพราะกลัวสมบัติจะตกเป็นของคนอื่น”
ภูมินทร์เดินมาขยี้ผมพิณด้วยความสนิทสนม “ฉลาดมากยัยประหลาด”
ก้องภพมองพิณชนิดากับภูมินทร์ที่สนิทกันก็ยิ่งใจแป้ว
“เงียบทำไมก้อง ไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้หน่อยเหรอ?”
“เอ่อ ผมเห็นด้วยกับคุณภูทุกอย่างครับ ถ้าอย่างนั้นเราต้องประกาศเรื่องที่คุณภูจะทำพินัยกรรมออกไป เพื่อให้รู้ถึงหูคนร้าย”
พิณชนิดานึกขึ้นมาได้
“ตอนนี้เรามาลิสต์รายชื่อคนที่อยู่ใกล้ตัวนายกันก่อนดีมั้ยว่ามีใครบ้าง?”
ภูมินทร์พยักหน้า พิณชนิดาดึงกระดาษกับปากกาออกมา แล้วก็เริ่มเขียน
“แม่นมนวล ป่านแก้ว ปูเปรี้ยว คุณสัญชัย คุณแสงโชติ คุณก้อง คุณเปรมสุดา คุณปณิตา คุณ
สิรวิทย์ คุณเอ๋ น่าจะมีแค่นี้”
“นมนวล ป่านแก้ว ปูเปรี้ยว เอ๋ ไม่ใช่แน่นอน ฉันมั่นใจ”
พิณชนิดขีดชื่อสามคนทิ้ง
“คุณสัญชัยล่ะครับ?”
“คุณอาคงไม่ทำแบบนั้น เพราะตอนที่พ่อฉันตาย เค้าก็ได้ไปเยอะมาก แต่แสงโชติน่าสงสัย ไอ้นี่มันเป็นคนขี้อิจฉา”
พิณชนิดารีบเถียง “แต่ฉันว่าไม่ใช่ เค้าก็ออกจะดูเป็นคนดี”
“แค่ดูเป็นคนดี ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดี หลงเสน่ห์หมอนั่นแล้วสิ ถึงปกป้องมันนัก”
พิณชนิดาลุกขึ้นยืน “ปากเสียอีกแล้วนะ”
ก้องภพที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองคนเห็นท่าไม่ดีเลยลุกขึ้นยืนห้าม
“เห็นแก่คุณก้องนะคะ ฉันยอมก่อนก็ได้”
ภูมินทร์เบ้หน้า แล้วก็ดึงกระดาษตรงหน้าพิณชนิดาไป
“เปรมสุดากับแม่ แล้วก็ไอ้วิทย์ ตัดสามชื่อทิ้งไปได้เลย”
จากนั้นก็เอาปากกาสีแดงวงชื่อแสงโชติเอาไว้
“คนนี้แหละ ผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1”
แสงโชติเดินมาตามทาง เห็นปูเปรี้ยวกำลังจุดธูปไหว้กลางแจ้งก็นึกสงสัย รีบเดินเข้าไปจับไหล่จะถามแต่อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งโหยง
“เว้ย ผีผีผี คุณแสงโชติ? เฮ้อ”
“เจอผีมาเหรอไง?”
ปูเปรี้ยวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ค่ะ 2 พี่-น้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ เลี้ยงผีค่ะคุณแสงโชติ”
แสงโชติชะงัก พลันเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบกดรับสาย แล้วก็ตั้งใจฟัง
“ฉันจะส่งคนประกบแสงโชติ จับตาดูตลอด 24 ชั่วโมง”
ภูมินทร์เริ่มวางแผน
ก้องภพรีบเสนอ “เรื่องนี้คงต้องให้คุณสิรวิทย์ช่วย”
“ ฉันว่าจะไปคุยกับมันที่ออฟฟิศ เธอไปกับฉันด้วย”
พิณชนิดาพูดประชด “ค่ะบอส”
“ส่วนนายติดต่อทนายสมยศ บอกให้ทำพินัยกรรมให้เร็วที่สุด”
ภูมินทร์ขับจะพาพิณชนิดาออกไปหาสิรวิทย์ ส่วนคนของสิรวิทย์ที่ยืนซุ่มอยู่ ก็รีบขึ้นรถขับตามรถภูมินทร์ไปติดๆ
ก้องภพมหันไปเห็น ก็เพ่งมองอย่างนึกสงสัย จากนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปทะเบียนรถคันนั้นไว้ แล้วก็รีบโทร. ไปบอกให้ภูมินทร์ระวังตัว
ภูมินทร์วางสาย พลางรีบเหนียบคันเร่ง รถพุ่งไปข้างหน้า พิณชนิดาเซไปตามแรงกระชาก
มือจิกเบาะแน่น หน้าตาตื่นเต้นสุดๆ
ลูกน้องสิรวิทย์สองคนมองรถภูมินทร์ที่แล่นไปไกลก็ผงะ
“ท่าทางแบบนี้ รู้ตัวแล้วแน่ๆ รีบโทรบอกเจ้านายเถอะ”
อีกคนพยักหน้า รีบกดมือถือโทร. ออก
ก้องภพยื่นมือถือที่มีรูปทะเบียนรถไปให้อรรถพรดู
“เห็นทะเบียนชัดแบบนี้ แป๊บเดียวก็ตามเจอครับว่าใครเป็นเจ้าของรถ”
จ่าเหยินที่เดินเข้ามา รีบอาสา
“ผมเอาไปจัดการให้เองครับหมวด”
ภูมินทร์เอารถจอดข้างทาง ก่อนจะหันไปมองข้างหลัง พิณชนิดาหันมองตาม
“มันตามไม่ทันแล้ว”
“นายนี่มันสุดยอด”
2 คนตีมือกันอย่างดีใจ ภูมินทร์หันมาตีมือแล้วก็ยิ้มให้พิณชนิดาอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ แล้วก็วางมาดเหมือนเดิม
“ฉันมันสุดยอดมาตั้งนานแล้ว เพิ่งรู้เหรอไง?”
พิณชนิดาหมั่นไส้ “ไม่น่าชมให้เสียปากเลยจริงๆ”
สิรวิทย์กดวางสาย หน้าตาเคร่งเครียด ไม่นานภูมินทร์กับพิณชนิดาก็เดินเข้ามา เขาเงยหน้ามอง อย่างแปลกใจ
“สวัสดีครับคุณพิณ คุณพิณมาทำงานกับภูแล้วเหรอครับ?”
“ค่ะ เพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรก”
ภูมินทร์รีบตัดบท
“อย่าเพิ่งสัมภาษณ์กัน ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับแก”
ยังไม่ทันจะเริ่มคุย เสียงมือถือภูมินทร์ดังขึ้น
“ว่าไงก้อง?”
ก้องภพคุยโทรศัพท์หน้าเครียด มีอรรถพรยืนข้างๆ
“รถที่ขับตามคุณภู เจ้าของรถคือ บริษัทรักษาความปลอดภัยของคุณสิรวิทย์ครับ”
ภูมินทร์ได้ฟังก็ชะงัก แต่พยายามไม่แสดงความรู้สึกออกมา
“ขอบใจ ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ มีงานด่วน ถ้าไงฉันจะโทร.มาคุยกับแก”
พิณชนิดาอ้าป่ากหวอ “อ้าว?”
ภูมินทร์จับแขนพิณชนิดาให้ลุกขึ้น แล้วพาเดินออกไป สิรวิทย์มองตามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
ภูมินทร์ลากพิณชนิดาออกมา อีกฝ่ายสะบัดแขนออก
“ความจริงมันไม่มีงานด่วนอะไรใช่มั้ย?”
“เจ้าของรถที่ขับตามพวกเราคือไอ้วิทย์”
พิณชนิดาอึ้ง “งั้นก็หมายความว่า คุณสิรวิทย์คือคนที่คิดจะฆ่านาย?”
“ฉันไม่รู้ กลับไปตั้งหลักก่อน”
ทั้งคู่รีบเดินออกไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นสิรวิทย์ ที่แอบมองอยู่ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ฟ้ารุ่งแต่งตัวสวนย เตรียมจะออกไปสปากับเพื่อน พลันก็เหลือบตามองเห็นแฟ้มเอกสารที่เอกลืมวางไว้ในห้อง
“เอกลืมเอกสารสำคัญสำหรับประชุม”
ฟ้ารุ่คว้าเอกสาร แล้วรีบออกไปหาเอกที่บริษัททันที
เอกยืนชงกาแฟอยู่ในห้องแพนทรีของบริษัท พอชงเสร็จหันไป ก็ชนกับพนักงานหญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจนกาแฟหกใส่เสื้อ
“พี่ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอก”
เอกรีบบอก “ไม่เป็นไรได้ไง พี่ว่ารีบถอดเสื้อนอกออกก่อนเถอะ พี่จะเอาไปซักแห้งให้ที่ใต้ตึกแป๊บเดียวก็เสร็จ”
พนักงานหญิงถอดเสื้อออกส่งให้ จังหวะนั้นฟ้ารุ่งที่เปิดประตูเข้ามาเห็น เข้าใจผิด คิดว่าทั้งคู่กำลังพลอดรักกันอยู่ ก็กรีดร้องเสียงดัง
เอกหันไปเห็นฟ้ารุ่งก็ถึงกับชะงัก
ฟ้ารุ่งปาเอกสารทิ้งบนพื้น มองไปที่พนักงานหญิง หน้าตาเกรี้ยวกราดเอาเรื่อง
“นังแพศยา”
ขาดคำก็พุ่งเข้าไปกระชากผม เอกกับพนักงานหญิงตกใจ
“คุณจะทำอะไร?”
“สั่งสอนไอ้คนที่มันแย่งผัวคนอื่นไง ฉันจะตบให้แกตาสว่างเลยคอยดู”
“ฟ้า มันไม่ใช่”
เอกยังไม่ทันได้อธิบาย ฟ้ารุ่งก็ตบหน้าพนักงานหญิงจนกระเด็นไปกระแทกโต๊ะ ก่อนจะตามไปตบซ้ำไม่หยุด
“นังหน้าด้านหน้าทน นังงูพิษ นังสารเลว”
พนักงานคนอื่นมามุงดูกันใหญ่ เอกสุดทนเข้าไปรวบตัวฟ้ารุ่ง
“หยุดฟ้า หยุด”
“ฟ้าไม่หยุด ปล่อย ฟ้าจะฆ่ามัน”
เอกอุ้มฟ้ารุ่พาดบ่าแล้วพาเดินออกไป พนักงานหญิงถึงกับมึนเซลงไปกองบนพื้น
ฟ้ารุ่งที่ถูกเอกลากเข้ามาในห้องคอนโด โวยวายเสียงดัง
“เอกทำแบบนี้ได้ยังไง ไหนเพิ่งสัญญาว่าจะรักฟ้าคนเดียว ยังไม่ทันไร ก็นอกลู่นอกทาง เลี้ยง
ไม่เชื่อง”
“มันจะมากไปแล้วนะฟ้า”
ฟ้ารุ่งจิกตาใส่อย่างโกรธจัด
“เทียบกับสิ่งที่คุณทำกับฟ้า แค่นี้ยังน้อยไป”
“ผมกับน้องพนักงานคนนั้นไม่ได้มีอะไรกันทั้งสิ้น ทุกอย่างมันแค่เรื่องเข้าใจผิด คุณจะเชื่อหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ความจริงเป็นแบบนี้ แต่คุณไม่ฟังอะไรเลย รู้รึเปล่าว่าสิ่งที่คุณทำที่บริษัท มันทำให้ผมอับอายแค่ไหน?”
ฟ้ารุ่งไม่ฟังเสียง กลับด่าซ้ำ
“คนโกหก ปลิ้นปล้อน มักมาก ไม่รู้จักพออย่างเอก รู้จักอายด้วยเหรอ?”
“อย่าพูดแบบนี้ อย่าทำแบบนี้ เพราะมันจะทำให้ผมหมดความอดทนกับฟ้า”
ฟ้ารุ่งย้อนถามเสียงสั่นด้วยความโกรธ
“หมดความอดทนแล้วจะทำไม? จะกลับไปหานังพิณรึไง?”
“ตอนแรก ผมก็ไม่คิด ขอบคุณมากนะฟ้า ที่ทำให้ผมคิดได้ ว่าควรกลับไปหาพิณ”
ฟ้ารุ่งกรี๊ดลั่นทันที
“ไม่นะ คุณจะทำแบบนี้กับฟ้าไม่ได้ คิดถึงสิ่งที่ฟ้าให้คุณบ้างสิ ทั้งคอนโด ทั้งรถ ทุกอย่าง นังพิณมันไม่มีทางให้คุณได้เท่ากับฟ้า ไม่มีทาง”
เอกตอกหน้ากลับ
“พิณไม่มีให้ผม ก็ไม่เป็นไร ผมจะสร้างเนื้อสร้างตัว และเป็นฝ่ายให้พิณเอง พอกันทีกับความสุขสบายจอมปลอม แต่หาความสุขใจไม่ได้ พอกันที กับผู้หญิงอย่างคุณ”
เอกรีบเดินไปเก็บเสื้อผ้า ฟ้ารุ่งรีบเข้าไปห้าม แต่ก็ไม่อาจยื้อเอกไว้ได้
เอกเดินมาตามทางด้วยสีหน้าเหนื่อยใจมาก พลางหยิบมือถือออกมากดชื่อ “พิณ” สีหน้าลังเลว่าจะโทรดีหรือไม่ แล้วก็ตัดสินใจเก็บมือถือใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินไปเรียกรถแท็กซี่
เอกเดินเข้ามาข้างในขวัญทิพย์อพาร์ตเม้นต์ ด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจ แพนเค้กกับขวัญทิพย์ที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์รีบสะกิดกันดู
“ผู้ชายคนนั้นหน้าคุ้นๆ”
“แฟนเก่าน้องพิณไง”
แพนเค้กกับขวัญทิพย์ตรงปรี่เข้ามาหาเอกทันที
“เพื่อนน้องพิณใช่ป่ะคะ”
เอกอึกอัก “เอ่อ ครับ”
“มาหาน้องพิณเหรอ?”
เอกพบักหน้ารับ ขวัญทิพย์รีบบอก
“น้องพิณไปอยู่ที่อื่นซักระยะจ้ะ”
“ ไปอยู่ที่ไหนครับ?”
แพนเค้กกับขวัญทิพย์ส่ายหน้ายอิก “ไม่รู้”
เอกขมวดคิ้วครุ่นคิด สงสัยว่าพิณชนิดาไปที่ไหน?
“แสดงว่าที่ผมได้ยินมา ผมได้ยินไม่ผิด พี่ภูกับคุณพิณกำลังทำบางอย่างที่มีผีมาเกี่ยวข้อง”
แสงโชติสรุป หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากเปรมสุดาและปณิตา
“คุณพูดผิดแล้วค่ะ นังหมอดูนั่นคนเดียวที่เอาผีมาเกี่ยวข้อง สุดาเป็นห่วงภู กลัวภูจะโดนนังนั่นทำของใส่ จนทำให้เสียผู้เสียคน”
ปณิตารีบเสริม
“น้าให้คนช่วยติดต่อหมอผีคนหนึ่งอยู่ ถ้าเค้าตอบตกลง ก็เริ่มงานได้เลย”
“แล้วคุณน้ากับสุดาจะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ?”
“การที่น้าจะพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านตาภู ตาภูคงจะสงสัย และอาจจะไม่ยอมให้เข้าไปแต่ถ้าเป็นคุณแสงโชติ ตาภูงจะไม่ติดใจอะไร”
“ได้ครับ อะไรที่ผมช่วยพี่ภูได้ ผมเต็มใจทำ”
แสงโชติแสร้งยิ้มอย่างจริงใจ 2 แม่-ลูกหันมายิ้มให้กันอย่างพอใจ
จบตอนที่ 10