สามใบไม่เถา ตอนที่ 10
อุรวสาลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่เข้าบ้านมา ได้กลิ่นกับข้าวหอมฉุย อินทุอรเดินมาจากทางครัว
“ดึกแล้ว ยังทำกับข้าวอีกเหรอจ๊ะหนูอิน”
“อินทำไปให้คุณพ่อพรุ่งนี้ค่ะ คุณวสาจะไปไหนคะ”
อินทุอรเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของอุรวสา อันตราลงมาจากข้างบน
“ได้ยินเสียงรถ นึกว่าใครมาดึก ๆ ดื่น ๆ นั่นลากกระเป๋าจะเข้าบ้านเหรอคุณวสา”
อุรวสาไม่มีอารมณ์ขำมุกน้องสาว
“พี่กับพี่แสงทะเลาะกัน พี่จะกลับมาอยู่บ้านสักพัก”
อันตราตกใจ
“จะแยกกันอยู่เหรอคะ
“ทะเลาะกันเรื่องอะไรคะ ร้ายแรงมากเหรอ”
“พี่ปวดหัว ไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้”
อุรวสายกกระเป๋าขึ้นข้างบน อันตรากับอินทุอรมองพี่สาวคนโตด้วยความเป็นห่วง
อุรวสาหน้าซึมเศร้าเข้ามาในห้อง สาวใช้ช่วยยกกระเป๋ามาให้
“ขอบใจจ๊ะ ล็อคประตูให้ด้วยนะ”
“ค่ะ คุณวสา”
สาวใช้ออกไป อุรวสาหมดแรง ทิ้งตัวลงบนที่นอน น้ำตาค่อยๆ ซึมออกมา นึกถึงเมื่อครั้งใช้ชีวิตกับแสงฉานที่เมืองนอก
อุรวสากับแสงฉานอยู่บนที่นอนใหญ่ๆ สีขาว แสงฉานกอดอุรวสาไว้ ทั้งสองรักกันและมีความสุขมาก
“อีกไม่นานเราก็จะได้กลับเมืองไทยแล้วนะคะ”
แสงฉานสีหน้าเปลี่ยนนิดหนึ่ง
“ผมไม่ค่อยมั่นใจเลย”
“แสงไม่มั่นใจเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องของเรา ผมไม่แน่ใจว่าพอกลับไปอยู่เมืองไทยแล้วเราจะเจอเรื่องอะไรบ้าง ความรักของเราจะยังคงเหมือนเดิมมั้ย คุณพ่อคุณแม่คุณจะยอมรับผมได้หรือเปล่า”
อุรวสากอดแสงฉาน
“ทำไมแสงคิดอย่างนั้นล่ะคะ เรารักกันนะคะไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำอะไรเราได้ วสารักแสงนะคะ รักมากที่สุด”
แสงฉานกอดอุรวสาไว้
“สัญญากับผมนะวสาว่าคุณจะรักผมอย่างนี้ตลอดไป”
อุรวสายื่นนิ้วก้อยให้
“แล้วแสงล่ะคะ สัญญากับวสาก่อนซีว่าแสงจะรักวสาคนเดียวแล้วก็จะรักวสาตลอดไป”
แสงฉานเอานิ้วก้อยตัวเองมาเกี่ยวนิ้ววสา
“ผมสัญญา ผมจะรักและซื่อสัตย์กับวสาคนเดียวตลอดไป”
“วสาก็สัญญาค่ะ ว่าวสาจะรักแสงแล้วก็ซื่อสัตย์กับแสงคนเดียวตลอดไป”
ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความรัก
อุรวสานึกถึงอดีต แล้วฮึดขึ้นมา
“เราต้องเข้มแข็ง”
อุรวสาพยายามเข้มแข็งแต่น้ำตายังไหลอยู่
แสงฉานเข้ามาในห้องนอน เสียใจไม่ต่างไปจากอุรวสา เขานั่งลงบนเตียงมองไปที่นอนของวสาที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าความรักของตัวเองกับอุรวสาจะเป็นอย่างไรต่อไป เขารู้สึกแย่มากๆ นึกถึงเรื่องในอดีตเหตุการณ์เดียวกับอุรวสา
“ผมจะไม่ยอมเสียคุณ ไม่ยอมเสียความรักของเราไป”
แสงฉานยืนยันกับตัวเอง
พงษ์ชัยยิ้มกริ่มสะใจ อนุวัติยืนอยู่ด้านหลัง เพิ่งรายงานเรื่องอุรวสา
“อุรวสากลับมาอยู่บ้านพ่อแม่แล้วเหรอ พอแยกกันก็ไม่ยากที่จะเข้าไปเป็นมือที่สาม สุดท้าย ก็ต้องหย่ากัน”
พงษ์ชัยหัวเราะชอบใจ
อุรวสามาเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล เล่าให้บราลีฟังเรื่องที่เธอแยกกันอยู่กับแสงฉาน บราลีตกใจมาก
“แยกกันอยู่ จะหย่ากันเหรอลูก”
“ไม่ถึงขั้นนั้นค่ะคุณแม่ วสาแค่อยากห่างแสงสักพัก ให้แสงทบทวนตัวเอง”
“คุณพ่อรู้ต้องไม่สบายใจแน่ๆ”
อันตรากับอินทุอรดูต้นทางอยู่ตรงประตูห้อง
“มาแล้วค่ะ”
อันตราร้องบอกแม่กับพี่สาว
“ฟังแม่นะทุกคน หัวใจคุณพ่อไม่ค่อยดี คุณหมอห้ามเครียด ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไร อย่าบอกให้คุณพ่อรู้เด็ดขาดให้บอกแม่คนเดียว”
“ค่ะคุณแม่”
อินทุอรรับคำแม่ พยาบาลเข็นอัษฎาเข้ามาในห้อง แม่กับลูก ๆ ยิ้มแย้มรับพ่อ
“ไปตรวจคลื่นหัวใจมาเป็นยังไงบ้างคะ” อุรวสาถาม
“หัวใจคุณอัษฎายังเต้นผิดจังหวะ ยังผ่าตัดไม่ได้ค่ะ”
บราลีช่วยพยุงอัษฎาขึ้นเตียง อัษฏาหน้าเครียด กังวลที่ผ่าตัดไม่ได้เสียที หันมาบ่นกับบราลี
“ตอนหมอเร่งให้ผ่า ผมก็ไม่ยอมผ่า พอผมอยากผ่า หมอก็ผ่าไม่ได้ซะอีก”
“ทำใจให้สบายค่ะคุณ อย่าเครียด”
“คุณพ่อทานข้าวนะคะ อินทำมาให้จากบ้าน”
ลูกสาวทั้งสามช่วยกันปรนนิบัติพ่อ จัดกับข้าว เลื่อนโต๊ะวางอาหารหาน้ำให้ เพื่อให้อัษฏา
ยิ้มอารมณ์ดีมีความสุข
“มีแต่คนเอาใจแบบนี้ พ่อชักไม่อยากหายแล้วสิ”
อัษฎาทำเหมือนร่าเริง ทั้งที่ความจริงทุกข์กับอาการป่วยของตัวเองอยู่ไม่น้อย พยาบาลเดินเข้ามากระซิบบอกบราลี โดยอัษฎาไม่ทันเห็นเพราะกำลังคุยเล่นอยู่กับบรรดาลูกๆ
“คุณหมออำพลเรียนเชิญที่ห้องด้วยค่ะ”
บราลีฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจ
เวลาต่อมา บราลีและลูกสาวทั้งสามมาพบหมออำพล
“ผมได้รับมอบหมายจากคณะแพทย์ ให้มาแจ้งเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณอัษฎาครับ”
“มีอะไรน่าหนักใจรึเปล่าคะ”
“เราตรวจสอบอาการอย่างละเอียดแล้ว การผ่าตัดครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง เพราะคุณอัษฎาเป็นเนื้องอกในต่อมหมวกไตชั้นใน ระหว่างผ่าตัดถ้าควบคุมไม่ดีความดันเลือดมีปัญหา หัวใจคุณอัษฎาที่มีปัญหาเต้นผิดจังหวะอยู่แล้ว ก็จะยิ่งมีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก มีความเสี่ยงสูงมากครับ”
“คุณหมอมีอะไรแนะนำมั้ยคะ” อุรวสาร้อนใจ
“เคสนี้จำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งทางเรากำลังประสานงานเรื่องนี้อยู่ การผ่าตัดคงต้องทิ้งช่วงไปสักระยะ”
สามสาวหันมามองหน้ากันกับบราลี สีหน้าแต่ละคนไม่สบายใจเลย
คืนนั้น อุรวสาจุดเทียนภาวนาที่อยู่ตรงกลางเต็นท์ของพ่อ สามสาวนั่งคุยกัน
“พี่จะลองหาข้อมูลหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจกับเนื้องอกที่ต่างประเทศ เพื่อช่วยทีมแพทย์ที่นี่อีกทางหนึ่ง”
“อันก็จะศึกษาเรื่องการออกกำลังที่ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น พ่อจะได้พร้อมผ่าตัด”
“อินจะดูแลเรื่องอาหารให้คุณพ่อค่ะ”
“พี่เชื่อมั่นว่าถ้าเราสามพี่น้องช่วยกัน คุณพ่อจะต้องหายเป็นปกติ เราจะทำทุกวิถีทางให้คุณพ่ออยู่กับพวกเราให้นานที่สุด”
อุรวสา อันตรา และ อินทุอร จับมือให้กำลังใจกัน
ตอนเช้า อินทุอรพาอัษฎานั่งรถเข็นเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์ในสวน เข็นรถมาหยุดแล้วประคองอัษฎาไปนั่งที่ม้านั่ง อินทุอรอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกพ่อ
“อินตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเรียนต่อแล้วนะคะ อินอยากอยู่กับคุณพ่อมากกว่า”
อินทุอรยิ้มประจบแล้วซบลงที่ไหล่อัษฎา เพื่อซ่อนความรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ไปเรียน แต่อัษฎารู้ และรู้สึกเจ็บปวดใจมาก
“พ่อกำลังทำลายความฝันของอิน พ่อไม่น่าป่วยเลย”
รอยยิ้มเลือนหายไปจากหน้าอินทุอรทันที เธอมองหน้าพ่อ
“ความฝันของอินคือการได้เป็นนักบัลเล่ต์ก็จริง แต่มันจะสมบูรณ์ไปไม่ได้ ถ้าไม่มีพ่ออยู่ในที่นั่งคนดู เสียงปรบมือของคุณพ่อดังที่สุด แล้วก็เพราะที่สุด”
อัษฎายิ้มทั้งที่น้ำตาซึม
“พ่อขอโทษนะที่ทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดี กลายเป็นคนฉุดรั้งความฝันของลูก”
“คุณพ่อเป็นพ่อดีที่สุดแล้วค่ะ ตอนนี้เป็นโอกาสที่อินจะได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีบ้าง อินจะดูแลคุณพ่อ เพื่ออนาคตของครอบครัวเราค่ะ”
อัษฎามองอินทุอรด้วยความรักสุดหัวใจ ก่อนจะรวบตัวลูกสาวมากอดไว้แนบอกด้วยความซาบซึ้งใจ
“พ่อไม่รู้ว่าจะได้ดูความสำเร็จของลูกทุกคนรึเปล่า แต่อยากให้จำไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อจับตามองอินอยู่เสมอ”
อัษฎาน้ำตาไหล ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะอยู่ได้ถึงวันนั้นหรือไม่
ภิสิตคุยกับบราลีในห้องพักของอัษฎา เขาไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน เมื่อรู้ถึงอาการของอัษฎา
“ตอนนี้เรากำลังช่วยกันทุกวิถีทาง ทำให้ร่างกายและจิตใจคุณอัษแข็งแรงที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมผ่าตัดค่ะ”
“ยิ่งเครียดก็ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ”
“นี่ล่ะค่ะที่พี่อยากขอร้อง ถ้าคุณสิตห่วงคุณอัษ รับปากได้มั้ยคะว่าจะเป็นแค่อาที่ดีของหนูอินเท่านั้น”
ภิสิตกระอักกระอ่วนใจ บราลีมองภิสิตอย่างคาดคั้น
“ผมรักพี่อัษเหมือนพี่ชาย หนูอินก็คือหลานของผม”
อินทุอรเปิดประตูพาอัษฎาเข้ามาพอดี ยกมือไหว้ภิสิต
“สวัสดีค่ะอาสิต”
อินทุอรยิ้มหวาน ภิสิตรับไหว้ ไม่ยิ้มตอบ หน้าเจื่อนๆ กระอักกระอ่วนมาก
“สิตมาก็ดีแล้ว พาหนูอินไปกินข้าวข้างนอกหน่อยสิ”
บราลีอยากจะปราม แต่ไม่กล้า
“ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะหนูอิน เห็นหนูเศร้าตลอดแบบนี้แล้วพ่อไม่สบายใจ ฝากดูแลหลานด้วยนะ นอกจากตัวพี่เองแล้วก็มีสิตนี่แหละที่พี่ไว้ใจที่สุด หมั่นพาไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ”
ภิสิตหลบตาอัษฎา แล้วหันไปเจอสายตาของบราลีก็ยิ่งไม่สบายใจ
ภิสิตพาอินทุอรเข้ามาในบ้านอัปสร อินทุอรดูเบิกบานขึ้น แต่ภิสิตกลับเคร่งเครียดและขรึม เงียบจนอินทุอรสังเกตได้
“อาสิตเป็นอะไรรึเปล่าคะ เมื่อกี้ตอนกินข้าวก็ไม่พูดอะไรเลย”
“เปล่าจ้ะ”
“ถ้าอาสิตไม่อยากมาก็น่าจะบอกคุณพ่อแต่แรก”
“ทำไมพูดอย่างงั้น อายินดีทำทุกอย่างเพื่อหนูอิน”
อินทุอรอมยิ้ม ภิสิตเองก็ปวดร้าว เศร้าที่เห็นอุปสรรคของความรักรออยู่ตรงหน้า อัปสรเดินเข้ามาพอดี
“ตาสิต หนูอิน มาพอดี ไปช่วยห้ามศึกให้ป้าที”
ภิสิตกับอินทุอรสงสัย
ภิสิตกับอินทุอร เดินเข้ามาในบริเวณบ้านอัปสร อินทุอรดูมีความสุขขึ้น
“ขอบคุณนะคะที่อาสิตพาหนูอินมาที่นี่”
“อาบอกแล้วไง ว่าอายินดีทำทุกอย่างเพื่อหนูอิน แต่อานึกว่าหนูอินจะอยากไปเที่ยว ไปเดินช้อปปิ้งคลายเครียดซะอีก”
อินทุอรหัวเราะนิด ๆ
“ที่นี่ล่ะค่ะ คลายเครียดให้หนูอินได้ดีที่สุด”
ทั้งสองคนเดินคู่กันเข้ามาในบ้าน ยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงแต๋วกับต้อยดังออกมาก่อนแล้ว
“เงินผู้สูงอายุออกเมื่อไหร่ ไปตัดแว่นใหม่นะจ๊ะหล่อน จะได้เห็นว่าริ้วรอยบนหน้าน่ะ พัฒนาไปถึงไหนแล้ว” แต๋วต่อว่า
“ต๊าย เสียใจย่ะ หน้าฉันเด้งดึ๋งตึงเป๊ะ”
อินทุอรยิ้ม ก่อนหันไปมองหน้าภิสิต ที่ยิ้มรับ รู้แล้วว่าทำไมอินทุอรชอบมาที่นี่ ทั้งสองเดินเข้าไป พวกป้า ๆ ดีใจหยุดเถียงกัน
“อ้าว ตาสิตกับหนูอิน มาจากไหนกันลูก แล้วมาด้วยกันได้ยังไง”
“พี่อัษให้พาออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างน่ะครับ เฝ้าพ่อทั้งวันทุกวัน”
“โถหนูอิน เป็นเด็กกตัญญูแบบนี้ ขอให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญนะลูกนะ”
“ขอบคุณค่ะป้าต้อย”
“แต่ตาสิตทำไมไม่พาหนูอินไปเที่ยวล่ะ พามาหาป้าทำไม”
“อินเป็นคนขอให้อาสิตพามาที่นี่เองค่ะ”
“แต่มาก็ดีล่ะ ตาสิตกับหนูอิน ช่วยตัดสินให้ทีว่าป้าสองคน ใครสวยกว่ากัน”
ต๋อยกับแต้วส่งสายตาว่าฉันสวยกว่า
“ผมว่าสวยพอกันเลยครับ”
“ใช่ค่ะ สวยเหมือนกันเด๊ะเลย”
แต๋วกับต้อยมองหน้ากัน แล้วสะบัดหน้าใส่กัน ภิสิตกับอินทุอรเหลือบตามองกัน ก่อนอมยิ้มขำสองป้า ส่วนอัปสรนั่งส่ายหน้ารำคาญ
อินทุอรช่วยอัปสรจัดขนมใส่จานอยู่ในครัว
“ป้าล่ะปวดหูกับสองคนนั่นเหลือเกิ๊น ทะเลาะกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน”
“น่ารักดีออกค่ะ ไม่เหงา”
อินทุอรเดินถือจานขนมตามหลังอัปสร กลับมาที่ห้องเดิม สองป้ายังอยู่ แต่ภิสิตไม่อยู่แล้ว
“อ้าว แล้วตาสิตไปไหนล่ะ”
เสียงเปียโนดังแว่วมา แต่ดังกะท่อนกะแท่นทีละโน้ต เป็นเสียงเพลงที่อินทุอรกับภิสิตเคยเต้นรำกันตอนเด็ก ๆ หญิงสาวยิ้มนิด ๆ เมื่อจำได้ว่าเป็นเพลงอะไร
อัปสรชี้ให้ภิสิตกับอินทุอรดูคนสวนร่างล่ำถอดเสื้อโชว์ซิกแพคตัดหญ้าอยู่กลางสนาม แต๋วกับต้อยแอบมอง ตาเยิ้ม น้ำลายแทบหก
“นั่นแหละ ต้นเหตุทำให้สองสาวสะพรั่งเถียงกันจะเป็นจะตาย”
“คนสวนใหม่ของป้าก่อเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรหรอก แต่เอาดอกไม้มาให้”
อัปสรส่งกุหลาบผ้าที่ขายในเทศกาลวาเลนไทน์ราคาไม่แพงให้ภิสิตดู”
“แล้วดันไม่บอกว่าให้ใคร”
“เขาให้ป้า” แต๋วบอก
“ให้ป้าต่างหาก” ต้อยยืนยัน
คราวนี้ต้อยกับแต๋วหันมาเถียงกันเอง
“ให้ฉันเพราะฉันสวยกว่า”
“ให้ฉันเพราะฉันเร้าใจกว่า”
“แต่ฉันเซ็กซี่กว่า”
“แต่ฉันลีลาดีกว่า”
อินทุอรพลิกดูป้ายเล็กๆ ติดอยู่ที่ก้านกุหลาบ
“แต่ว่าตรงนี้มีบอกไว้นะคะว่าให้ใคร”
อัปสร แต๋ว ต้อย หันขวับ
“ให้ป้าใช่มั้ย” แต๋ว ต้อย ถามพร้อมกัน
“ไม่ใช่ค่ะ”
อัปสรตาเป็นประกาย เอามือทาบอก
“อย่าบอกนะว่าให้ป้า”
“ไม่ใช่อีกค่ะ”
“อ้าว แล้วให้ใคร”
“ให้หลานชายคุณอัปสร”
“หา”
สามป้าหันไปมองหน้าภิสิต
“ให้ตาสิตเนี่ยนะ”
“ค่ะ”
ภิสิตยิ้มแหยๆ คนสวนหันมาส่งสายตาหวานเชื่อมแล้วหลิ่วตาให้ภิสิต ภิสิตกลืนน้ำลายแทบไม่ลง
“โถๆๆ เป็นเก้งก็ไม่บอก”
“ปล่อยให้ป้าตีกันแทบตาย”
“โลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน ฉันจะเป็นลม”
ภิสิตกับอินทุอรขำบรรดาป้าๆ
ภิสิตกำลังต่อเพลงเล่นเปียโนเพลงประจำตัวของภิสิตและอินทุอรที่เคยเต้นรำด้วยกันตอนเด็กๆ อินทุอรเดินเข้ามาเห็นก็แปลกใจ
“อาสิตจะหัดเล่นเพลงนี้เหรอคะ”
“หนูอินสอนอาได้มั้ย”
อินทุอรยิ้มหวาน แล้วลงนั่งข้างๆ ภิสิตที่เก้าอี้เล่นเปียโน
“ได้สิคะ ทำไมอาสิตอยากเล่นเพลงนี้ล่ะคะ”
“เพราะมันเป็นเพลงที่เราเต้นรำด้วยกันครั้งแรก จำได้มั้ย”
อินทุอรอมยิ้มเมื่อนึกถึงภาพความทรงจำในอดีตระหว่างเธอกับภิสิต
“จำได้สิคะ มาค่ะ อินจะสอนอาสิตเอง”
อินทุอรเริ่มสอนเปียโนให้ภิสิต เป็นบรรยากาศความรักที่ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจ
ที่ห้องคนไข้ของอัษฎา อินทุอรใส่หูฟัง นั่งเล่นไลน์แชทกับภิสิต เป็นคลิปวีดีโอที่ภิสิตกำลังเล่นเปียโน กระท่อนกระแท่นแต่ก็จบเพลงจนได้ เธอดูคลิปแล้วยิ้ม จนคลิปจบ ข้อความจากภิสิตขึ้นมาว่า
“ใช้ได้มั้ยครับครู”
อินทุอรพิมพ์กลับไปว่า
“เพราะมากค่ะนักเรียน”
อัษฎานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ในห้องพักคนไข้ เห็นอินทุอรนั่งเล่นไอแพดยิ้มไปยิ้มมา ก็สงสัย
“ทำอะไรหนูอิน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
อินทุอรรีบเอาไอแพดมากอดไว้
“อิน เล่นเกมเศรษฐีค่ะ เนี่ย อินสร้างแลนด์มาร์คได้แล้วค่ะ”
อัษฎาลุกไปนั่งข้างอินทุอร
“กำลังฮิตนี่ สอนพ่อเล่นมั่ง”
“แต่อินว่ามันดึกแล้ว คุณพ่อน่าจะเข้านอนได้แล้วนะคะ”
“เพิ่งสามทุ่มเอง ยังไม่ดึกสักหน่อย”
บราลีออกมาจากห้องน้ำ
“ตั้งสามทุ่มแล้วต่างหากค่ะ ถ้าอยากสุขภาพดีก็ควรจะรีบเข้านอนหัวค่ำนะคะ”
“คร้าบคุณแม่”
อัษฎาประชด บราลีแอบขำ อินทุอรถอนหายใจโล่งอก
สามใบไม่เถา ตอนที่ 10 (ต่อ)
คืนนั้น ภิสิตยังหัดเล่นเปียโน ยิ้มไปพลางเมื่อนึกถึงอินทุอรที่สอนให้เล่น อัปสรเดินเข้ามาฟังภิสิตหัดเล่นเปียโน ภิสิตรู้สึกตัว หันไปเห็นอัปสรก็ยิ้มเขินๆ
“ส่งหนูอินแล้วย้อนกลับมานี่อีกเหรอ”
“กำลังเห่อหัดเล่นเปียโนครับ”
“เห่อเปียโนหรือเห่อครู”
ภิสิตยิ้มๆ ไม่ตอบอัปสร ขณะที่อัปสรอมยิ้ม
อัปสรเดินมาส่งภิสิตที่ประตูบ้าน ทั้งสองเดินคุยกันต่อ
“ชีวิตเรามันสั้น ถ้ามั่นใจว่าความสุขของเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็ทำไปเถอะ”
“เพราะไม่มั่นใจน่ะสิครับป้า ผมไม่อยากทำร้ายพี่ชายที่ผมเคารพมากที่สุด”
“แล้วสิตจะทำร้ายตัวเองกับหนูอินด้วยการห้ามใจไม่ให้รักกันอยู่อย่างงี้เหรอ”
ภิสิตอึ้งไป เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาพยายามแต่แทบเป็นไปไม่ได้
“ความรักเป็นของแปลก ยิ่งวิ่งหนีก็ยิ่งไล่ตาม ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ”
“แต่ถ้าเป็นความรักที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็ต้องหักห้ามยับยั้งชั่งใจให้ได้ ผมกับหนูอินจะเป็นแค่อาหลานเท่านั้นครับ”
อัปสรถอนหายใจ เป็นเชิงว่าตามใจ ภิสิตหนักใจ เพราะไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่
เวศม์นั่งอยู่ในห้องทำงาน เคาะหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มออก คิดบางอย่างได้ เดินออกมาสั่งลูกน้องด้านนอก
“ลูกค้าฮ่องกงเริ่มตอบรับ ซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเรา”
“งั้นเอาไงต่อครับ”
“เสนอไปที่กลุ่มลูกค้ายุโรปกับอเมริกา แนะนำให้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น เร็ว”
“ได้เลยครับ”
เวศม์ยิ้มพอใจ ต้องการไถ่โทษที่บริษัทของเขามีส่วนให้บริษัทอัษฎาเกือบล้มละลาย เวศม์เริ่มระดมทุนจากนักลงทุน ดูแลพอร์ตหุ้นให้ แนะนำให้ซื้อหุ้นบริษัทอัษฎา
บนเตียงของอัษฎา มีคนนอนคลุมโปงอยู่ พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง
“คุณอัษฎาคะ ขอวัดอุณหภูมิกับความดันหน่อยนะคะ”
พยาบาลเปิดผ้าห่มออก เจอสมศักดิ์นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง พยาบาลงง สมศักดิ์แกล้งทำตัวสั่นเทิ้ม
“หนะ หนะ หนาวจังเลย”
สมศักดิ์คว้ามือพยาบาลมากอด
“มือคุณพยาบาลนิ้มนิ่ม เอ๊ย อุ๊น อุ่น หอมด้วย”
พยาบาลจะดึงมือออก
“เอ่อ คุณไม่ใช่คนไข้นี่คะ”
“ใช่ครับ ผมเป็นไข้ใจ แล้วความดันก็สู้ง สูง แต่ไม่ต้องใช้เครื่องวัดนะครับ”
สมศักดิ์จับมือพยาบาลมาวางแปะตรงหัวใจ
“จับที่หัวใจผมก็รู้ครับว่ามันรัก รัก รัก รักคุณพยาบาล”
“ฉีดยาให้มันเลยครับ”
อัษฎาเดินออกมาจากห้องน้ำ
“เฮ้ย”
“มันเป็นความดัน ดันทุรังสูงครับ ต้องเจอฉีดยาเข็มโตๆ แบบเข็มฉีดม้าน่ะครับ”
“ไม่ต้อง หายแล้วครับ”
สมศักดิ์รีบกระโดดลงจากเตียง อัษฎาเห็นอาการทุลักทุเลของสมศักดิ์แล้วก็ขำ
สมศักดิ์พาอัษฎามานั่งคุยที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล อัษฎาแสดงความประหลาดใจ
“อยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มทุนจากต่างประเทศมาซื้อหุ้นบริษัทเราในตลาดเหรอ”
“ใช่ ถึงไม่เยอะ แต่มันก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง”
“เป็นไปได้ยังไง”
“ฉันยังงง หุ้นบริษัทเราไม่ใช่หุ้นชั้นดี มันน่าซื้อตรงไหน”
“ฉันว่ามันแปลกๆ ชอบกล แต่ก็ดี ถ้าลูกๆ ฉันรู้คงสบายใจขึ้นบ้าง”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปสืบมาให้ แกก็พักผ่อนนอนดูพยาบาลสาวๆ สวยๆ ไป จะได้ไม่เครียด”
“ฮึ จะได้ขึ้นเขียงเพราะมีดเมียก่อนมีดหมอสิวะ”
“เออ แล้วลูกสาวแกสามคนหายไปไหนหมดล่ะ ฉันอุตส่าห์เอาเรื่องดีๆ มาบอก”
“หนูอินออกไปหาข้าวกลางวันให้ฉันกิน คุณวสาน่าจะทำงานที่บริษัท ส่วนเจ้าอัน เห็นบอกว่าจะเข้าไปที่ฟิตเนส ไปจ่ายเงินเดือน” อัษฎาเล่า
อันตรากำลังเซ็นเอกสารอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ช่วงนี้คงไม่ได้เข้ามา ต้องไปดูพ่อที่โรงพยาบาล เอาเอกสารเงินเดือนมาให้เซ็นได้เลยนะ สิ้นเดือนจะได้มีเงินใช้กัน”
เวศม์ในชุดออกกำลังกายเดินมา อันตราจ้องหน้าเขา ไม่ค่อยสบายใจเรื่องตัวเองกับเวศม์นัก เพราะอัษฎาไม่พอใจว่าเวศม์เป็นต้นเหตุให้บริษัทเจอวิกฤติ
“พ่อคุณเป็นยังไงบ้าง”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรื่องอะไร”
อันตราไม่ตอบ แต่เดินนำเข้าไปด้านใน เผชิญหน้ากันบนเวทีมวย แววตาหญิงสาวดุดัน
“บริษัทของพ่อต้องพังเพราะเฮดฟันจ์ต่างชาติ นายต้องยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่มากก็น้อย”
“อันตรา เรื่องบริษัทพ่อคุณน่ะ ผมขอโทษเป็นสิบ ๆ ครั้งแล้วนะ แล้วผมกำลังพยายาม”
“ขอโทษอย่างเดียวคงไม่ได้ผล เรามาชำระแค้นในแบบของเรา เรื่องนี้จะได้จบซะที”
“เอา ถ้าคุณต้องการแบบนั้นก็ได้”
อันตราสาวหมัดใส่เวศม์ก่อน เวศม์เอี้ยวตัวหลบทัน กองเชียร์เฮ อันตราเอาจริง ชกจริง ต้องการให้เวศม์เจ็บจริง ไม่ชกเอาสนุกเหมือนครั้งก่อน ๆ เธอไล่ถลุงต่อยเวศม์ไม่ยั้ง โดนหน้า โดนลำตัวเวศม์ เวศม์ถอยไม่ตอบโต้
“คุณจะฆ่าผมเหรออันตรา”
อันตราไล่ต่อยเวศม์ชนิดเอาเป็นเอาตาย ขณะที่เวศม์ถอยเท้าหนี หลบหมัดอย่างเดียว
“คุณชกบ้าเลือดอย่างนี้ ยุติการชกเถอะ”
กองเชียร์ชักไม่สนุก อันตราเอาจริง เหมือนมีเรื่องกับเวศม์ เวศม์ต้องหยุดความบ้าดีเดือดของอันตรา เขาจับหมัดขวาอันตรา ต้องการให้หญิงสาวหยุดต่อย
“คุณควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว”
หมัดขวาอันตราถูกเวศม์จับ เธอเลยใช้หมัดซ้ายต่อยปากเวศม์เต็มแรง เวศม์เซถลาล้มลง ปากแตกเลือดซิบอันตราตกใจ
“ทำไมไม่หลบ”
อันตราทำใจแข็ง ไม่แสดงความเป็นห่วงเวศม์
“ผมไม่คิดว่าคุณจะต่อยทีเผลอ”
“ต่อไปนี้ ห้ามนายมาที่นี่อีก ค่าสมาชิกฉันจะโอนคืนไปให้เต็มจำนวน”
เวศม์เอานิ้วเช็ดเลือดที่ปาก เขาไม่ได้โกรธอันตราที่ทำเขาเจ็บตัว หากกลับรู้สึกปวดใจที่หญิงสาวโกรธเคืองเขามากจริง ๆ
เวศม์หน้าเคร่งเครียดเดินตามอันตรามาเหมือนต้องการปรับความเข้าใจ อันตราตาเศร้า หน้าละห้อย เสียใจที่ทำเวศม์เจ็บตัว แต่พยายามไม่แสดงออก
“ผมต้องการคำอธิบายที่ชัดกว่านี้”
“เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้”
“ทำไม”
“พ่อฉันไม่มีวันยอมรับคนที่ทำลายบริษัทที่พ่อสร้างมาทั้งชีวิต”
เวศม์ถึงกับอึ้งไป พูดไม่ออกเมื่อได้ยินอันตราพูดแบบนี้
“เราควรหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้เพียงแค่นี้ ก่อนที่จะมีใครเสียใจมากไปกว่านี้”
“ผมกำลังหาทางแก้ไข”
“การชกเมื่อกี้ การชกครั้งสุดท้ายของเราสองคน ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนายอีกแล้ว ฉันรักพ่อมากที่สุดในชีวิต ฉันจะไม่มีวันทำเรื่องที่พ่อไม่สบายใจ”
“แต่ว่า”
“ออกไปจากชีวิตฉันซะเถอะ”
เวศม์สลดลงไปทันที จ้องหน้าอันตราที่แววตาดูเศร้า เขาพูดไม่ออกจำต้องเดินจากไป
เวศม์เดินจากออกมาด้วยความเศร้าในความไม่เข้าใจกันระหว่างเขากับอันตรา โดยไม่เหลียวกลับไปมองฟิตเนสที่เดินจากออกมา อันตราเดินมาหยุดมองดูเวศม์ที่กำลังเดินจากออกไป ด้วยความสบายใจเลย
อุรวสาดูนาฬิกาบนโต๊ะเห็นบอกเวลาหกโมงเย็นแล้ว เธอเก็บข้าวของจะกลับบ้าน แล้วหันไปเห็นภาพถ่ายคู่ระหว่างเธอกับแสงฉานจนโต๊ะ
“แสง”
อุรวสาชะงักไปนิดหนึ่งด้วยความคิดถึงแสงฉาน ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์แสงฉานโทรออกไป
มือถือแสงฉานวางอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง มีสายเรียกเข้าแต่แสงฉานเปิดไว้เป็นระบบสั่น ปรากฏแต่หน้าและชื่ออุรวสาเป็นสายโทรเข้ามา แต่ก็แว่บเดียว เหมือนอุรวสาเปลี่ยนใจวางสายกระทันหัน ทำให้แสงฉานไม่รู้ว่าอุรวสาโทรมาหา แสงฉานนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองท้องฟ้าเบื้องหน้า คิดถึงอุรวสาอยู่ไม่น้อยไปกว่ากัน
อุรวสาเปลี่ยนเป็นโทรเข้าบ้านแทน
“หนูอิน วันนี้พี่เข้าไปทานข้าวเย็นด้วยที่บ้านนะจ๊ะ เจ้าอันก็อยู่เหรอ ดีเลย ค่ำนี้เราจะได้คุยกันเหมือนตอนเด็กๆ แล้วเจอกันจ้ะ”
อุรวสาเดินออกจากห้องทำงานไป
กลางคืน บุษบาบัณกำลังเดินพูดโทรศัพท์ขึ้นมากับยามที่มีคีย์การ์ดลิฟท์ เธอส่งแบงค์พันให้ยามเป็นค่าพาขึ้นลิฟท์มา
“บุษโทรมาหาแสง เพราะเข้าใจความรู้สึกคนที่ถูกทิ้งค่ะ แสงปรับทุกข์กับบุษได้นะ”
บุษบาบัณเดินไปตามทางเดิน พร้อมๆ กับพูดโทรศัพท์ แสงฉานคุยโทรศัพท์บ้านกับบุษบาบัณ
“ผมกับวสา เราไม่ได้เลิกกันครับ เราแค่ไม่เข้าใจกันนิดหน่อย”
“คู่บุษกับคุณสิตก็เริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจกันแบบนี้ล่ะค่ะ สุดท้ายก็หย่า”
“ทุกคู่มีปัญหาไม่เหมือนกัน ผมกับวสา เราแก้ปัญหาได้”
“คุยทางโทรศัพท์ไม่เห็นหน้า เรานั่งจิบไวน์คุยกันดีกว่า”
“เอ่อ คงไม่เหมาะ”
บุษบาบัณพร้อมไวน์มายืนอยู่ที่หน้าห้องแสงฉานเรียบร้อยแล้ว
“เหมาะสิคะ บุษซื้อไวน์มาขวดหนึ่ง แสงเปิดประตูรับบุษหน่อยสิคะ บุษยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องแสงแล้ว”
แสงฉานอึ้งไป เสียงเคาะประตูหน้าดังขึ้น เขาจำต้องเปิดประตูห้องให้บุษบาบัณ บุษบาบัณชูขวดไวน์ตรงหน้าแสงฉาน
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มา แต่ผมจะเข้านอนแล้ว”
“งั้นแวะเอาไวน์มาให้เฉยๆ แล้วบุษกลับก็ได้ค่ะ แต่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ แป๊บเดียว”
บุษบาบัณไม่รอคำตอบ แทรกตัวเบียดแสงฉานเข้าไปในห้องทันที แสงฉานพูดไม่ออก
แสงฉานอึดอัด บุษบาบัณออกจากห้องน้ำ เดินไปรอบๆ ห้องพลางส่งยิ้มหวานยั่วยวน
“คอนโดน่าอยู่จังนะคะ”
“คุณมาถูกได้ยังไงครับ”
“ไปถามพนักงานที่ร้านแสงค่ะ นี่วสาทิ้งแสงไปกี่วันแล้วคะ”
“รู้ได้ยังไงครับว่าวสาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
“คุณพงษ์ชัยบอกค่ะ ส่วนคุณพงษ์ชัยรู้มาจากไหน อันนี้บุษไม่ทราบ”
บุษบาบัณเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง ทำเนียน ๆ คุยไป พลางหยิบขวดไวน์ที่หิ้วมา จะให้แสงฉาน
ดื่มไวน์
“ที่เปิดขวดไวน์อยู่ในตู้ครับ”
“บุษเปิดขวดมาแล้วค่ะ”
แสงฉานไม่ได้เอะใจ ทำไมบุษบาบัณถึงเปิดขวดไวน์มาก่อน บุษบาบัณหาแก้วไวน์
“ตอนบุษโดนสิตทิ้ง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เฟล จนไม่เป็นอันทำอะไร”
บุษบาบัณเจอแก้วไวน์ รินไวน์ใส่แก้วให้แสงฉาน
“แสงคงเฟลไม่ต่างอะไรจากบุษ วันนี้ถึงไม่ไปร้าน”
แสงฉานรู้สึกล้มเหลวจริงอย่างที่บุษบาบัณพูด เขาเลยดื่มไวน์หมดแก้ว แก้เซ็ง บุษบาบัณยิ้มร้าย แสงฉานหลงกล
“บุษจะทิ้งไวน์ไว้ให้นะคะ วิวสวยมาก ขอไปดูวิวตรงนั้นหน่อยนะคะ”
“เชิญครับ”
บุษบาบัณเดินยั่วยวนออกไป แสงฉานมองตาม
ที่มุมหนึ่งของห้อง บุษบาบัณมารอเวลา ทำเป็นมองวิว แสงฉานเดินเข้ามามองบุษบาบัณทางด้านหลัง เริ่มง่วง เพราะยานอนหลับในไวน์ เขามองบุษบาบัณยืนหันหลังให้ บุษบาบัณหันหน้ากลับมาค่อย ๆ เบลอ แล้วแสงฉานก็ล้มลงหลับสนิท บุษบาบัณจัดการถอดเสื้อแสงฉานออก จัดแจงห่มผ้าให้ แสงฉานหลับลึก
“ถือว่าบุษช่วยเร่งขั้นตอนให้นะคะ แยกกันอยู่ก็แล้ว จะได้หย่ากันเร็ว ๆ”
บุษบาบัณหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
คืนนั้น อุรวสานอนไม่หลับ เปิดโทรศัพท์มือถือดูรูปตัวเองที่ถ่ายไว้กับแสงฉานสมัยที่ยังรักกันอยู่ รู้สึกไม่สบายใจเลยที่ต้องแยกกันอยู่ โทรศัพท์เรียกเข้า เป็นสายของบุษบาบัณ อุรวสาชะงักนิดหนึ่งก่อนจะรับสาย
“โทรมาหาวสาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ หวังว่าคงมีเรื่องสำคัญพอนะคะ”
“ไม่รู้วสาจะเห็นว่าสำคัญมั้ย แต่สำหรับอาสำคัญ ฮึๆ คอนโดวสาน่าอยู่มาก ตกแต่งเองรึเปล่าจ๊ะ”
อุรวสานิ่วหน้าทันที นึกรู้ความหมายที่บุษบาบัณต้องการจะสื่อให้เธอรู้
“แสงพาอาบุษไปคอนโด”
“คอนโดระดับนี้ไม่มีคีย์การ์ดคงเข้าไม่ได้ คนที่พาอาขึ้นห้องก็มีแต่เจ้าของห้องเท่านั้นล่ะจ้ะ”
“แล้วตอนนี้อาบุษอยู่ที่ไหน”
“ห้องนอนวสาน่านอนมาก สามีวสาหลับปุ๋ยเลย ไม่รู้ว่าเพราะเตียงนุ่มสบาย หรือเพราะอาทำให้เพลีย”
อุรวสาโมโหเดือด สีหน้าเอาเรื่อง เธอรีบไปที่คอนโด น้อง ๆ ตามมาด้วย
“เจอหน้าอาบุษแล้วคุยกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งรีบถล่ม” อินทุอรเตือน
“อัดให้แหลกเลยคุณวสา” อันตรายุ
อุรวสานำน้อง ๆ บุกเข้าห้องคอนโด ภาพตรงหน้าบาดตาบาดใจ แสงฉานกับบุษบาบัณนอนกอดก่ายกัน แสงฉานถอดเสื้อยังคงไม่ได้สติ ส่วนบุษบาบันกอดอยู่ข้างๆ พออินทุอรกับอันตราเดินตามเข้ามา อินทุอรถึงกับต้องหลบด้วยความอาย
“ว้าย”
“เป็นอาประสาอะไรวะ แย่งสามีหลาน” อันตราโวย
บุษบาบัณหันมามอง ยิ้มเยาะเย้ยหยันลุกขึ้นมาจากเตียง มองมาที่สามสาว
“เราเป็นญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่สาวเธอทิ้งไปเอง ฉันก็แค่มาช้อน”
อุรวสามองแสงฉานหลับสนิท อินทุอรหันไปมองบุษบาบัณด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“อาบุษทำร้ายพวกเราทำไมคะ”
“แล้วทีแกแย่งผัวฉันล่ะ ทำไมไม่คิดบ้าง”
“ทุเรศ โดนผัวทิ้งเองแล้วโทษคนอื่น” อันตราเถียงแทน
อุรวสาไม่ด่ากับบุษบาบัณ จ้องแต่แสงฉาน ผู้หญิงด่ากันเสียงดัง แสงฉานยังไม่ตื่น รู้สึกแปลกมาก
“นังเด็กก้าวร้าว โดนเอาคืนแล้วเจ็บมั้ยล่ะ พี่สาวสุดที่รักของพวกแกกำลังจะโดนผัวทิ้ง”
อุรวสาเข้ามาหาบุษบาบัณ แล้วตบหน้าฉาด
“วสาตบให้อาบุษฉลาดขึ้น แสงนอนหลับลึกขนาดนี้ ไม่มีทางทำอะไรผู้หญิงคนไหนได้ แผนวางยานอนหลับผู้ชาย มันสิ้นคิดสิ้นดี”
บุษบาบัณหน้าแตก อุรวสารู้ทันตบอีกฉาด บุษบาบัณล้มคว่ำไป
“ส่วนตบครั้งที่สอง วสาเอาคืนให้น้อง อย่าสบประมาทหนูอินอีก ถ้าหนูอินโดนกระทำแค่ปลายเล็บแหลกกันไปข้าง”
อุรวสาลงโทษบุษบาบัณสะใจแล้วจะกลับ
“พี่แสงล่ะคะ”
“หมดฤทธิ์ยานอนหลับคงตื่นเองแหละ”
อุรวสานำทีมน้องๆ ออกไป บุษบาบัณตั้งสติหลังโดนตบไป 2 ฉาด ถลาตามสามสาวออกไป จับไหล่อินทุอรหันมา จะตบหน้าอินทุอร อันตราไวกว่า ปล่อยหมัดตรงใส่หน้าบุษบาบัณ
“โอ๊ย”
บุษบาบัณล้มลงกับพื้น กุมเจ็บดั้งจมูก เจ็บมาก
“ถ้าดั้งจมูกหัก ฉันจะให้ตำรวจมาจับแก”
อินทุอรเดินมาชี้หน้าบุษบาบัณ
“อินจะฟ้องกลับว่าเมื่อวันก่อน ที่โรงพยาบาล อาบุษตบหน้าทำร้ายร่างกายอิน อินจะให้อาสิตเป็นพยาน อาบุษต้องเจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ”
“พวกแกสามคนพี่น้องมันร้ายพอกัน”
“พี่ ๆ ปกป้องอิน อินก็ต้องปกป้องพี่ ๆ แต่คนไม่ดีอย่างอาบุษ ไม่มีใครอยากปกป้อง แม้แต่สามีเก่าตัวเอง”
บุษบาบัณเจ็บถึงแค้น จ้องหน้าทั้งสามคน อุรวสากับอันตรามองอินทุอรด้วยความทึ่ง อินทุอรหันมาบอกพี่ ๆ
“ก็อินน้องใครล่ะคะ”
สามสาวหัวเราะ พากันเดินออกไป บุษบาบัณมองตามด้วยความแค้นเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้
บุษบาบัณกลับมาบ้าน พูดเสียงกร้าวกับศศิพิมล เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
“ไม่มีทาง ฉันจะไม่มีวันรามือจากแสงฉาน”
ศศิพิมลไม่สบายใจ บุษบาบัณเผลอเอามือลูบแก้มที่โดนอุรวสาตบ
“นังอุรวสาทำให้ฉันเจ็บมากเท่าไหร่ ฉันต้องเอาคืนมากเป็นร้อยเท่า นังสามพี่น้องมันรุมฉัน ฉันก็จะทำลายมัน รวมทั้งภิสิตด้วย”
“แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา ความแค้นก็คือไฟ เธอถือเอาไว้ มือเธอก็ไหม้ ใจเธอก็ร้อน มันมีแต่พังกับพัง แม้แต่ตัวเธอ”
“ฉันไม่แคร์ ขอให้ฉันได้แก้แค้นก็พอใจแล้ว”
บุษบาบัณตาวาวเป็นประกายด้วยความแค้น
ตอนเช้า แสงฉานเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทางงัวเงียและงงๆ ที่เมื่อคืนเข้าไปนอนในห้องนอนตัวเองได้อย่างไร หันไปดูนาฬิกาแล้วยิ่งตกใจ
“เที่ยง”
แสงฉานรินน้ำดื่มแล้วเดินมาที่โต๊ะกลางโถง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เห็นมิสคอล
“วสาโทรมา เมื่อวานเย็น”
แสงฉานวางโทรศัพท์แล้วคิดๆ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด ทำอะไรบางอย่าง
บนโต๊ะทำงานของอุรวสา มีงานกองเต็ม เธอกำลังคุยโทรศัพท์มือถือ
“วสากำลังรีบเคลียร์งาน พรุ่งนี้จะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อค่ะ ลูกน้องทิ้งวสาไปกินข้าวเที่ยงกันหมดแล้วค่ะ แต่ไม่เป็นไรยังไม่หิว วสารักพ่อนะคะ สวัสดีค่ะ”
อุรวสาวางสาย เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ”
พงษ์ชัยเปิดประตูออก ชูถุงใส่กล่องอาหารหลายกล่องในมือ อุรวสาประหลาดใจ
อุรวสาแกะอาหารจากกล่องที่พงษ์ชัยซื้อมาใส่จาน
“เดาไม่ผิดว่าคุณต้องยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงแน่ๆ ผมเลยซื้อเข้ามาให้”
อุรวสานิ่งๆ ห่างเหินแบบไว้ตัว
“ขอบคุณค่ะ แต่ทีหลังไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”
“ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณเจอปัญหาหลายอย่าง ผมก็เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับคุณมาก่อน”
อุรวสาขมวดคิ้ว มองพงษ์ชัยอย่างไม่เข้าใจ
“ผมมาจากครอบครัวแตกแยก ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่ผมทะเลาะกันตลอดเวลา ญาติพี่น้องพลอยไม่มีความสุขไปด้วย”
อุรวสาฟังแล้วก็คิดถึงตัวเองกับแสงฉาน
“สุดท้ายพอพวกเขาหย่ากัน ทุกคนกลับสบายใจขึ้น ผมเองก็มีความสุข ที่ไม่ต้องเห็นความขัดแย้งในบ้าน บางทีความขัดแย้งถ้ามันจบลงที่การแตกหัก มันอาจจะดีกับทุกๆ ฝ่ายก็ได้”
อุรวสาอึ้ง พงษ์ชัยแอบยิ้มเพราะรู้ว่าอุรวสาให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวมากที่สุด
“ปัญหาในครอบครัวเลยทำให้ผมชินที่จะอยู่กับตัวเอง มีตัวเองเป็นเพื่อน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ตัวคนเดียว มันก็มีเหงาอยู่บ้าง”
“คุณเป็นนักธุรกิจใหญ่ แวดล้อมด้วยคนมากมาย ไม่น่าจะมีเวลาเหงา”
“ฮึๆ น้อยไปสิครับ กลับบ้านไปเจอแต่บ้านเปล่าๆ บางทีมันก็แย่เหมือนกัน ผมอยากมีครอบครัว แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เข้าใจว่า งาน สำคัญกับผมมากแค่ไหน”
อุรวสานิ่งไปนิด เพราะพงษ์ชัยกำลังแสดงให้เห็นว่ารักงานมาก เหมือนกันกับเธอ
อุรวสาเดินออกมากับพงษ์ชัย จะมาส่งพงษ์ชัยขึ้นรถ
“เย็นนี้อยากทานอะไร ผมจะซื้อมาให้”
อุรวสายิ้มให้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น
“คงไม่มีลูกค้าคนไหนดูแลลูกจ้างดีเท่าคุณพงษ์ชัยอีกแล้วนะคะ”
พงษ์ชัยยิ้มๆ แกล้งพูดให้บรรยากาศไม่เป็นการจีบมากไป
“ฮึๆ ผมแค่อยากให้คุณทำงานของผมเสร็จตามเวลาครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่วันนี้ฉันจะกลับไปทานข้าวที่บ้าน”
อุรวสาหันจะเดิน แล้วซวนเซ หน้ามืด จู่ๆ ก็เวียนศีรษะขึ้นมา พงษ์ชัยรีบประคอง
“เป็นอะไรครับ”
“เวียนหัวค่ะ”
“ให้ผมพาไปหาหมอมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ วสาแค่เครียดแล้วก็พักผ่อนน้อย เดี๋ยวก็หายค่ะ”
“แก”
เสียงแสงฉานดังเข้ามา พงษ์ชัยกับอุรวสาหันไป แสงฉานพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าโมโหสุดขีด ปล่อยหมัดเข้าหน้าพงษ์ชัยอย่างแรง พงษ์ชัยลงไปกองอยู่กับพื้น อุรวสาตกใจมาก
“แสง”
“เลิกหยุดยุ่งกับเมียฉันได้แล้ว”
“แสงเลิกบ้าได้แล้ว นี่มันเรื่องงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แยกไม่ออกรึไง”
“ผมแยกออก แต่มันเอางานมาบังหน้า”
“พอเถอะแสง ฉันเหนื่อย”
“เหนื่อยก็กลับบ้านเราเถอะ”
แสงฉานดึงแขนอุรวสาไป แต่อุรวสารั้งไว้
“ถ้าแสงยังเป็นแบบนี้ มันจะไม่มีคำว่าเราอีกต่อไป”
แสงฉานอึ้ง อุรวสาเดินฉับๆ ไปที่ออฟฟิศทันที แสงฉานมองตามไปอย่างหมดแรง พงษ์ชัยแอบยิ้มสะใจ
สามใบไม่เถา ตอนที่ 10 (ต่อ)
อัปสร แต๋ว ต้อย อินทุอร กำลังทำขนมช่อม่วง อินทุอรท่องกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นทำนองเสนาะ ภิสิตแอบมองอินทุอร เผลอชื่นชมโดยไม่รู้ตัว
“ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม คิดสีสไบคลุม หุ้มห่มม่วงดวงพุดตาน ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน”
“พร้อม”
อัปสรยกมือให้สัญญาณ
“สามสี่”
“เฮ้ เฮ เฮ เฮ้ เห่ เฮ เฮ้”
อินทุอรและป้าทั้งสามร้องเห่พร้อมเพรียงและไพเราะ ภิสิตนั่งแอบมองอยู่ ยิ้มๆ
อินทุอรรินน้ำชาให้ภิสิต ภิสิตยิ้มชื่นชม
“คิดไม่ถึงว่าคนสมัยใหม่อย่างหนูอินอ่านทำนองเสนาะเป็น”
“เคยเรียนที่โรงเรียนค่ะ ล้นเกล้ารัชกาลที่สองทรงพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานไว้เพราะมาก พระราชนิพนธ์บทละครอิเหนาก็เป็นสุดยอดกลอน อาสิตเคยอ่านมั้ยคะ ไพเราะละเมียดละไมมากค่ะ”
อัปสร แต๋ว ต้อยยกจานขนมช่อม่วงมาวางตรงหน้าภิสิต
“ชิมขนมช่อม่วงดูสิ ขนมไทยกับน้ำชาฝรั่ง เข้ากั๊นเข้ากัน”
ภิสิตจิ้มขนมใส่ปาก อินทุอรมองลุ้น
“พอใช้ได้มั้ยคะ อินยังปั้นไม่เก่ง บางลูกก็ปั้นนานไปหน่อย”
ภิสิตทำหน้าตาย แกล้งแหย่อินทุอร
“มิน่าล่ะคะ อาว่ามันเค็มนิดๆ”
“จริงเหรอคะ”
“อาล้อเล่น อร่อยครับ ขนมก็สวยด้วย”
“คนอะไร เสียงก็ดี เล่นดนตรีก็เพราะ งานบ้านงานเรือนก็เหมาะ ใครได้ไปเป็นขวัญเรือนก็เหมือนได้เพชรไปประดับมงกุฎ” อัปสรพูดชง
“เหมือนฉันตอนสาว ๆ ไม่มีผิดเล้ย”แต๋วพูด
ทุกคนหัวเราะ ต้อยค้อนแต๋วด้วยความหมั่นไส้
“เหรอ แล้วทำไมยังขึ้นคานล่ะ”
“ก็อยู่ด้วยกันกับหล่อนนั่นแหละ ฉันอยู่ปลายคาน หล่อนอยู่ต้นคาน”
“แต่สำหรับหนูอิน มีคนตาถึงแล้วนะ แต่ใจไม่ถึง จริงมั้ยตาสิต”
ป้าทั้งสามหันมามองภิสิตเป็นตาเดียวกัน อินทุอรก้มหน้าด้วยความเขิน ภิสิตอึดอัด เลี่ยงตอบ
“ผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างหนูอิน ต้องเจอผู้ชายดีๆ ที่เหมาะสมอย่างแน่นอน แล้วอย่าลืมพามาให้อารู้จัก จะได้ช่วยดูว่าดีจริงรึเปล่า”
ภิสิตฝืนยิ้มล้อๆ อินทุอรฝืนยิ้มตอบ
“ค่ะ”
สามป้าเอาไหล่ชนกัน หัวเราะคิกคัก ภิสิตกับอินทุอรสบตากัน ภิสิตรีบหลบสายตา เลี่ยงไปมองอย่างอื่นทันที
บราลีเข็นรถให้อัษฎานั่ง พาเดินเล่นในสวนหย่อม
“ตั้งแต่ตาสิตมารับหนูอินไปบ้านคุณอัปสร ลูกดูสดชื่นขึ้นมาก”
“ค่ะ ไม่ทำหน้าเศร้าอมทุกข์ตลอดเวลาเหมือนทุกที”
“ผมเห็นบางทีก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนคนมีความรักอย่างงั้นแน่ะ แล้วก็แอบไปคุยโทรศัพท์ทุกคืน หรือว่าหนูอินมีแฟน”
อัษฎาลุกขึ้นทันที ตาลุกวาว ความหวงลูกสาวพุ่งขึ้นมา
“พวกคุณอัปสรต้องพาผู้ชายมาจีบหนูอินแน่ ๆ ผมไม่ยอม กล้าดียังไงมาล้วงคอตอนงูเห่าเผลอ”
บราลี กลัวอัษฎารู้เรื่องภิสิต
“คุณป่วยอยู่ ลูกจะไปมีแก่ใจคิดเรื่องนั้นได้ยังไงคะ ที่หนูอินสบายใจก็เพราะอาการคุณดีขึ้นมากกว่า”
อัษฎาพยักหน้า เชื่อที่บราลีพูด บราลีถอนใจโล่งอก
สมศักดิ์นั่งคุยกับอัษฎาที่โซฟารับรองในห้องคนไข้วีไอพี อัษฎาอ่านเอกสารแล้วประหลาดใจ
“กลุ่มทุนต่างชาติแห่กันมาซื้อหุ้นเราทั้งที่ไม่มีข่าวการลงทุนใหญ่ ๆ มีแต่ข่าวเชิงลบเรื่องการเงินกับการป่วยของซีอีโอ”
อัษฎาดูมีความหวังขึ้น สีหน้าแช่มชื่นขึ้นมากแต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี
“มันต้องมีใครอยู่เบื้องหลัง”
“เพื่อนฉันในวงการบอกว่า มีคนไทยคอยแนะนำให้กลุ่มทุนต่างชาติซื้อหุ้นบริษัทเรา”
“ใคร”
“ภิสิตรึเปล่า เป็นทูตมาหลายประเทศ ก็ต้องรู้จักคนเยอะ”
“ไม่น่าใช่ ถ้าภิสิตแนะนำก็ต้องบอกฉันแล้วสิ”
อัษฎานิ่วหน้า สงสัย เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนมาซื้อหุ้นบริษัทที่ง่อนแง่นเต็มที
ที่ระเบียงห้องคนไข้ อินทุอรกำลังคุยโทรศัพท์
“คุณพ่ออาการดีขึ้นมากเลยค่ะ”
ภิสิตทำงานที่เอากลับมาบ้านค้างอยู่ และคุยโทรศัพท์กับอินทุอร
“อาดีใจด้วยนะครับ แต่หนูอินต้องดูแลตัวเองด้วย พักผ่อนมากๆ อย่าเครียด”
อินทุอรยิ้มดีใจ
“ขอบคุณนะคะที่ห่วงอิน”
อัษฎาเดินมาส่องดูที่กระจกระเบียงแล้วเห็นว่าอินทุอรยิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่คุยโทรศัพท์
“ฝันดีนะคะอาสิต”
ภิสิตยิ้มหวานกับโทรศัพท์
“ฝันดีครับ”
ภิสิตวางสาย คิดถึงอินทุอร ฝันหวาน แค่ได้คุยก็ทำให้มีความสุขแล้ว
อินทุอรถือโทรศัพท์มือถือ เดินกลับเข้ามาในห้อง อารมณ์ดี หน้าตาอิ่มเอิบ อัษฎายืนรออยู่ อินทุอรตกใจนิดๆ
“คุณพ่อ”
อัษฎามองอินทุอรอย่างสงสัย อินทุอรร้อนตัว รีบตั้งคำถามเพื่อกลบเกลื่อน
“คุณอาศักดิ์ล่ะคะ”
“กลับไปแล้ว เมื่อกี้ใครโทรมา”
อินทุอรไม่อยากโกหกอัษฎา แต่จำเป็นต้องโกหก เพราะกลัวอัษฎาโกรธแล้วหัวใจทำงานหนัก
“เพื่อนสมัยเรียน โทรมาเม้าท์มอยประสาผู้หญิงค่ะ”
“ทำไมต้องออกไปคุยข้างนอก”
“อินไม่อยากรบกวนคุณพ่อกับคุณอาศักดิ์ เห็นว่ากำลังคุยเรื่องงานซีเรียสกันอยู่
“ก็แล้วไป พ่อคิดว่าหนูอินแอบไปคุยกับแฟนซะอีก”
อัษฎาหันหลังขึ้นเตียงคนไข้ อินทุอรแอบถอนใจโล่งอก อัษฎาแอบชำเลืองมองลูกสาวคนเล็กด้วยแววตาสงสัยและจับผิด โดยอินทุอรไม่รู้ตัว
เวศม์คุยกับพนักงานต้อนรับอยู่ที่ฟิตเนสของอันตรา
“วันนี้คุณอันก็ไม่มาเหรอครับ”
“ช่วงนี้คุณอันยุ่งเรื่องคุณพ่อไม่สบายค่ะ”
เวศม์ผิดหวัง
“งั้นฝากนี่ไว้ให้คุณอันด้วย”
เวศม์ยื่นซองขาวให้พนักงานแล้วเดินออกมา เจอกับศศิพิมล
“เวศม์”
“พี่ศิมาทำไมที่นี่ครับ”
“มีเรื่องปรึกษา ไปหาที่บ้านไม่เจอก็เลยคิดว่ามาออกกำลังกาย”
“น่าจะโทรบอกผมก่อนจะได้ไม่ต้องมาถึงที่นี่”
“เวศม์กลัวคุณอันจะเข้าใจผิดเหรอ”
เวศม์ชะงัก
“เรื่องระหว่างเราจบแล้ว พี่อธิบายให้เขาฟังได้”
“เขาคงไม่อยากฟังหรอกครับ”
ศศิพิมลเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย แต่เวศม์ดึงแขนศศิพิมลออกจากฟิตเนส อันตราเดินมาเห็นพอดี เวศม์กับศศิพิมลชะงัก เวศม์กับอันตราสบตากัน อันตรามองมือเวศม์ที่จับแขนศศิพิมล แม้สีหน้าจะเฉยเมย แต่แววตาก็แฝงความเจ็บอยู่ เวศม์รีบปล่อยมือจากศศิพิมล อันตราสะบัดหน้าเข้าไปในฟิตเนส เวศม์มองตามอันตราหน้าละห้อย ศศิพิมลมองเวศม์แล้วสงสาร แม้หัวใจจะเจ็บปวดที่เห็นคนรักใส่ใจคนอื่นมากกว่าเธอ
“มีเรื่องอะไรกัน”
เวศม์ไม่ตอบ พาศศิพิมลเดินไป
เวศม์กับศศิพิมลเดินเข้ามาในที่จอดรถ อันตราเดินตามมา กระชากไหล่เวศม์
“เดี๋ยว”
เวศม์กับศศิพิมลตกใจ
“เอาเงินค่าสมาชิกมาคืนทำไม ฉันไม่ต้องการเงินของนาย”
อันตรายื่นซองขาวที่เวศม์ฝากไว้ ยัดใส่มือเขา เวศม์ไม่ยอมรับ เพราะที่เอาค่าสมาชิกมาคืนเพราะยังอยากมาเจอ เพื่อหาโอกาสขอโทษอันตรา
“คุณไม่มีสิทธิยกเลิกสัญญาเพราะผมไม่ได้ทำผิดกฎ ผมจะมาใช้ฟิตเนสที่นี่จนกว่าจะหมดสัญญา”
“แต่ฉันไม่ต้อนรับ แม้แต่หน้านายฉันก็ไม่อยากเห็น”
“นั่นมันเรื่องของคุณแต่ผมจะมาขอโทษคุณ จนกว่าคุณจะยอมยกโทษให้ผม”
“อย่าดื้อด้านนักเลย"
อันตราพุ่งหมัดเข้ามาหาเวศม์ แต่เวศม์ใช้มือรับหมัดอันตราไว้ได้
“ผมยินดีให้คุณต่อย ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”
อันตราดึงกำปั้นออกจากมือเวศม์
“การไม่เห็นหน้านาย เป็นเรื่องที่ฉันสบายใจที่สุด”
อันตราหันหลังกลับไป ไม่สบายใจเลย เวศม์มองอันตราไปด้วยความเศร้า ศศิพิมลสังเกตอาการของเวศม์ เธอเศร้าๆ เพราะเธอเหมือนถูกกันออกไปเป็นคนนอกอย่างสิ้นเชิง
เวศม์กลับมาที่บ้านของเขาพร้อมศศิพิมล
“เพื่อนพี่ชวนลงทุนเปิดร้านอาหารไทยที่โน่น พี่อยากยืมเงินเวศม์สักก้อน พอตั้งหลักได้ก็จะรีบคืน”
เวศม์เหม่อๆ ยังคิดถึงอันตรา
“ได้ครับ”
เวศม์ตอบสั้นๆ เพราะใจยังพะวง ศศิพิมลสัมผัสได้ก็ไม่สบายใจ
“ถ้าลำบากใจไม่ต้องก็ได้นะ เวศม์เป็นคนสุดท้ายที่พี่อยากรบกวน”
“แต่ผมอยากช่วย ผมดีใจที่พี่ศิอยากยืนด้วยขาของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพานายพงษ์ชัย”
“ขอบใจจ้ะ”
ศศิพิมลยิ้ม น้ำตาคลอ แววตาฉายความรักและขอบคุณออกมาอย่างเต็มที่จนเวศม์สัมผัสได้
“เพราะพี่เหมือนพี่สาวผมคนหนึ่ง”
คำพูดของเวศม์ตอกย้ำศศิพิมลให้รู้สึกเศร้ายิ่งขึ้น
กลางคืน แสงฉานนิ่งเหม่อมองไปที่จุดต่างๆ ภายในคอนโด ไม่ว่าจะหันไปมองที่จุดไหน ภาพในความทรงจำที่มีอุรวสาซ้อนเข้ามา เหมือนอยู่ในความทรงจำของเขาตลอด
ที่โต๊ะกินข้าว เห็นภาพตัวเองกำลังป้อนให้อุรวสา อุรวสาป้อนให้แสงฉาน ทั้งคู่ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน
ที่โซฟา แสงฉานอุ้มอุรวสาเข้าประตูห้องมา แล้วแกล้งโยนลงที่โซฟา หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
อุรวสาวิ่งไล่ตีแสงฉาน แสงฉานวิ่งหนี
ที่โต๊ะทำงาน อุรวสาฟุบหลับหน้าคอมพิวเตอร์ แสงฉานเห็นแล้วสงสาร เอาผ้ามาห่มให้
แสงฉานเศร้า คิดถึงอุรวสาอย่างสุดหัวใจ
อุรวสาเดินคุยกับพงษ์ชัยในบริเวณบ้านอัษฎา
“วันก่อนเห็นคุณวสาหน้ามืด แล้ววันนี้ที่ออฟฟิศบอกว่าคุณลาป่วย ผมก็เลยเป็นห่วง”
“ช่วงนี้เครียดบ่อย เช้ามาก็วูบเลยค่ะ”
“พักผ่อนเยอะๆ นะครับ ว่างก็ให้หมอเช็คดูบ้าง งานรีสอร์ตที่เกาะช้างเร่งก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณเครียดเกินไป”
พงษ์ชัยพูดอย่างจริงใจมาก อุรวสายิ้มขอบคุณ
“ปัญหาชอบมาพร้อมกัน ทั้งเรื่องงาน เรื่องคุณพ่อ แล้วยังเรื่องส่วนตัว”
“มนุษย์งานอย่างเราต้องรู้จักตัดเรื่องไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต โฟกัสแค่เรื่องสำคัญๆ อย่างเรื่องงานกับคุณพ่อก็พอ”
“กำลังพยายามอยู่ค่ะ”
อุรวสาเครียด พงษ์ชัยยิ่งได้ใจ
“ที่ผมไม่แต่งงานก็เพราะกลัวชีวิตคู่มาถ่วงให้งานไม่สำเร็จ เจอคนเข้าใจก็ดีไป แต่เจอคนไม่เข้าใจ ทำยังไงก็ไม่เข้าใจ เสียเวลางาน เสียเวลาชีวิต เราไม่มีความสุขพ่อแม่เราก็ทุกข์”
อุรวสาฟังก็ยิ่งเครียดหนัก จนปวดหัว ตาพร่า หน้ามืด เซจะล้มลง พงษ์ชัยรีบเข้าไปรับก่อนอุรวสาจะล้มลงพื้น
“คุณวสา”
พงษ์ชัยช้อนตัวอุรวสาขึ้น อุ้มเข้าไปในบ้าน วางบนโซฟา แล้วก้มหน้าไปใกล้อุรวสา
“คุณวสา”
พงษ์ชัยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อคิดว่าอีกไม่นานอุรวสาก็ต้องเป็นของเขา แสงฉานเดินเข้ามาเห็นภาพบาดตาบาดใจก็โมโหหึงขึ้นหน้า
“ออกไป”
แสงฉานเข้ามาผลักพงษ์ชัยออกไปห่างอุรวสา
“ผมเป็นแขกของคุณวสา มีสิทธิ์อะไรมาไล่”
“ผมเป็นสามีของวสา”
แสงฉานหันมามองอุรวสาอย่างเป็นห่วง
“รอภรรยาคุณตื่นก่อนแล้วค่อยถามมั้ย ว่าเขาอยากให้ใครอยู่ อยากให้ใครไป”
“แกทำอะไรวสา”
“ไม่ได้ทำ แค่หวังดีอยากให้คุณวสามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องอยู่กับสามีห่วยๆ”
แสงฉานโมโห ซัดหมัดใส่พงษ์ชัยโครม แต่พงษ์ชัยรู้ตัวก่อน แล้วสวนกลับ ซัดเข้าที่มุมปากแสงฉานเต็มที่ แสงฉานล้มลง แม่บ้านเดินเข้ามาก็ตกใจ
“อะไรกันคะเนี่ย”
แสงฉานกับพงษ์ชัยหยุดชะงัก สองคนมองหน้ากันโกรธ พงษ์ชัยเดินออกไป
อุรวสานอนหลับอยู่บนเตียง แสงฉานใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ แล้วบิดหมาด เช็ดให้ที่ใบหน้าและแขนของอุรวสาอย่างนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรัก
อุรวสาฟื้นได้สติ ลืมตาขึ้น แสงฉานดีใจ
“เป็นไงบ้างครับที่รัก”
อุรวสาลุกขึ้นนั่งช้าๆ
“คุณพงษ์ชัยล่ะ”
แสงฉานหน้าตึง หึงหวงขึ้นมาทันทีที่อุรวสาถามถึงพงษ์ชัย
“กลับไปแล้ว”
อุรวสาเห็นรอยแผลแตกที่มุมปากแสงฉานก็เอะใจสงสัย ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าแสงฉาน
“แสงไปทำอะไรมาถึงปากแตก”
แสงฉานไม่ตอบยกอ่างน้ำไปเทในห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถืออุรวสาดังขึ้น อุรวสาเห็นชื่อพงษ์ชัยโทรเข้ามา เธอกดรับ เห็นภาพผ่านโทรศัพท์ พงษ์ชัยกำลังเช็ดเลือดที่ปาก
“คุณพงษ์ชัย”
“เมื่อกี้ผมลืมบอกคุณว่ากำลังให้ลูกน้องเสิร์ชชื่อทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาผ่าตัดให้คุณอัษฎา”
“ขอบคุณค่ะ แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ วสาไม่รู้เรื่องเลย”
“คุณเป็นลม ผมก็เลยพามาพักในบ้าน แต่คุณแสงเข้าใจผิดก็เลยซัดผมซะน่วม แค่นี้ก่อนนะครับ ผมต้องไปหาหมอ”
อุรวสาหน้าเสีย กดวางโทรศัพท์ แสงฉานเดินออกมาจากห้องน้ำ อุรวสาโกรธมาก มองหน้าแสงฉานไม่พอใจ
“ที่รัก ลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวหน้ามืดอีกนะ”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
พงษ์ชัยเช็ดเลือดออกจากบริเวณปาก ซึ่งเป็นเลือดปลอม เขาทำเพื่อหลอกอุรวสา
“อุรวสาคงเชื่อสนิท”
“ดูในกล้องมือถือยิ่งเหมือนเลือดจริงครับ”
พงษ์ชัยส่งผ้าเช็ดเลือดให้อนุวัติ
“ต้องขอบใจความขี้หึงของแสงฉานที่ทำให้แผนของฉันสำเร็จเร็วขึ้น ฮึๆ บทพระเอกเล่นง่ายกว่าที่คิด”
พงษ์ชัยยิ้มร้าย
อุรวสาโกรธจัด คุยกับแสงฉาน
“แสงทำร้ายคุณพงษ์ชัยก็เหมือนจงใจทำให้งานวสาพัง”
แสงฉานรู้ตัวว่าทำผิด แต่ก็ไม่พอใจ
“มันมายุ่งกับเมียผม”
“ที่เขาต้องเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพราะงาน”
“งานเหรอ ผมดูตามันก็รู้แล้วมันต้องการอะไร”
“แล้ววสาล่ะ แต่งงานกันมากี่ปี แสงเข้าใจมั้ยว่าวสาต้องการอะไร”
“ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ ฐานะทางสังคม แล้วอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่ผม”
“ถ้าฉันไม่ต้องการคุณ แล้วฉันจะแต่งงานกับคุณทำไม”
“นั่นสิ เราแต่งงานกันทำไม เราจะรักกันต่อไปได้ยังไง ในเมื่อคุณผลักไสผมตลอดเวลา”
“คนรักกัน. จะอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ยังมีความไว้วางใจ เชื่อใจกัน แต่แสงไม่เคยไว้ใจวสา เราจะใช้ชีวิตด้วยกันยังไง”
“ตั้งแต่คุณออกมาจากคอนโด ผมเจอคุณทีไรก็อยู่กับไอ้พงษ์ชัยทุกที สายตาที่มันมองคุณหื่นแค่ไหนแล้วจะให้ผมไว้ใจเหรอ”
อุรวสาตบหน้าแสงฉานด้วยความเจ็บใจ แสงฉานมองอุรวสา ช็อค
“แค่เรื่องพ่อป่วยก็หนักหนาที่สุดในชีวิตฉัน ยังต้องมาเถียงกันซ้ำๆ ซากๆ กับเรื่องเดิมๆ ฉันเหนื่อย ฉันเบื่อ ฉันทนไม่ไหวแล้ว เราจบกันแค่นี้เถอะ”
“จบกันแค่นี้ แปลว่าอะไร”
“เราหย่ากันเถอะ”
แสงฉานช็อค เดินออกมาจากบ้านอัษฎามึนๆ หัวใจปวดหนึบเพราะยังช็อค รับไม่ทัน
“ฉันพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยนัดไปจดทะเบียนหย่า”
แสงฉานหันกลับไปมองหน้าต่างห้องนอนอุรวสาด้วยความเจ็บปวดใจ อุรวสายืนกอดอกพิงอยู่ข้างหน้าต่าง นึกถึงคำพูดของแสงฉานเมื่อครู่
“คุณคิดดีแล้วเหรอวสา เปลี่ยนใจเถอะนะ”
อุรวสาเชิดหน้าขึ้น สีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ไม่”
อุรวสาน้ำตาไหล
แสงฉานรู้สึกผิดหวังมาก หันหลังเดินไปที่รถอย่างรวดเร็ว ปิดประตูปัง แล้วขับออกไป ทำให้ไม่ได้เห็นอุรวสาออกมามอง ร้องไห้ที่หน้าต่างห้องนอน เพราะเธอไม่อยากจะจบแบบนี้
แสงฉานเปิดประตูกลับเข้ามาในคอนโด มองห้องอย่างอ้างว้าง เศร้าเสียใจเมื่อคิดว่าต่อไปชีวิตของเขาจะไม่มีอุรวสาอีกแล้ว เขาเดินไปที่ระเบียง มองแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับไป แล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลออกมา
“ผมจะอยู่ยังไง ถ้าไม่มีคุณ”
ตอนค่ำ อันตราเคาะประตูห้องนอนอุรวสา
“คุณวสา”
ไม่มีเสียงตอบ อันตราหันมามองหน้าบราลีอย่างเป็นกังวล บราลีเคาะประตูบ้าง
“คุณวสา นี่แม่นะ ไม่สบายรึเปล่า ออกมาคุยกันหน่อยซิลูก”
อุรวสาเปิดประตูออกมา ตาช้ำแดง ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“คุณวสาร้องไห้ ทะเลาะกับพี่แสงแน่เลย”
อุรวสามองหน้าบราลี
“คุณแม่คะ วสาจะหย่า”
บราลีกับอันตราช็อค อุรวสาร้องไห้โผเข้ากอดบราลี บราลีโอบอุรวสาไว้ บราลีให้ข้อคิดกับลูกอย่างคนที่ผ่านโลกมาก่อน
“อย่าตัดสินชีวิตคู่ด้วยอารมณ์สิจ๊ะ”
“วสาคิดดีแล้วค่ะ เราไม่เคยเหมาะสมกันเลย”
“คุณวสากำลังใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา เชื่อแม่สิ เรื่องของชีวิตคู่ต้องใช้เวลา กว่าคุณวสากับแสงฉานจะรักกัน ได้แต่งงาน ได้อยู่ด้วยกัน ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากเท่าไร เคยคิดทบทวนบ้างมั้ย”
อุรวสานิ่ง คิดตามคำพูดของบราลี สีหน้าที่แข็งกร้าวลดลงไปมาก
“ชีวิตคู่ของคุณวสาเพิ่งเริ่มต้น อุปสรรคที่ผ่านเข้ามาเป็นแค่บททดสอบความรักระหว่างคนสองคน ถ้าตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ชั่วขณะ คุณวสาอาจจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
“บอกตามตรงว่าวสาไม่มั่นใจในชีวิตแต่งงานอีกแล้วค่ะ”
“การหย่าร้างเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครอบครัว รอให้คุณพ่อหายป่วยก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที บางทีพอเวลาผ่านไป อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้”
“ไม่มีทางดีขึ้นหรอกค่ะ”
“ถือว่าแม่ขอก็แล้วกัน”
บราลีหันมาหาอันตรา
“ห้ามบอกคุณพ่อเด็ดขาดเลย เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
บราลีมองอุรวสาอย่างสงสาร
สามใบไม่เถา ตอนที่ 10 (ต่อ)
อินทุอรคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงห้อง ยิ้มแย้มสบายใจ
“ได้ค่ะ พรุ่งนี้พบกันที่เดิม อินอยากจะไปจัดตู้แผ่นเสียงในพิพิธภัณฑ์อยู่พอดีเลยค่ะอาสิต”
อัษฎาคุยกับสมศักดิ์อยู่ในห้อง แต่ตาจับอยู่ที่อินทุอรตลอดเวลา
“ใครไม่รู้โทรมาหาหนูอินทุกคืน”
“เพื่อนสมัยเรียนของหนูอินมั้ง”
“เพื่อนอะไรจะมีเรื่องคุยทุกวัน วันละเป็นชั่วโมง ถึงหนูอินบอกว่ายังไม่มีแฟน แต่ฉันมั่นใจว่าต้องมีผู้ชายโทรมาจีบ”
อินทุอรวางสาย แล้วเดินยิ้มอารมณ์ดีกลับเข้ามาในห้อง
“หนูอิน พ่อจะโทรหาแม่แต่หามือถือไม่เจอ ขอยืมของหนูอินหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ”
อินทุอรยื่นโทรศัพท์มือถือให้อัษฎา อัษฎายิ้มดีใจที่จะได้แอบดูโทรศัพท์ของอินทุอร แต่อินทุอรเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของอัษฎาที่แล่บออกมาจากใต้หมอนเสียก่อนก็เลยดึงมือถือตัวเองกลับ อัษฎารับเก้อ
“มือถือของคุณพ่ออยู่นี่ไงคะ”
อินทุอรหยิบมือถือของอัษฎาออกมา อัษฎาเจ็บใจแต่ฝืนยิ้ม ทำหน้าซื่อ
“แหม ถ้าเป็นงูก็กัดตายไปแล้ว”
อัษฎารับมือถือตัวเองมาแบบเซ็งๆ
“พ่ออยากดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ ไปซื้อให้หน่อยสิ”
“อินเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน”
อินทุอรวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปที่ตู้เย็น อัษฎามองตามอย่างเจ้าเล่ห์ พออินทุอรหันมา อัษฎาก็ทำหน้าปกติ
“หายไปไหนไม่รู้ค่ะ อินใส่ตู้เย็นไว้เอง”
อัษฎาเหลือบไปเห็นกล่องน้ำผลไม้กล่องใหญ่ยักษ์อยู่ข้างหลังสมศักดิ์ ก็บุ้ยใบ้ให้สมศักดิ์ดู สมศักดิ์รีบยกกล่องน้ำผลไม้ซดจนหมด โดยมีอัษฎาช่วยลุ้นจนตัวโก่ง อินทุอรเปิดตู้เก็บของพลางบ่น
“ไปไหนนะ เพิ่งซื้อมาแท้ๆ”
สมศักดิ์ดื่มจนหมดกล่องเรอออกมาดังลั่น
“เอ่อ น้ำผลไม้อยู่นี่ แต่มันหมดเกลี้ยงแระ เอื้อก”
“งั้นอินลงไปซื้อที่ซุปเปอร์ข้างล่างนะคะ”
“เร็วๆ เลยจ้ะ พ่อหิว”
อินทุอรรีบเดินออกไป โดยไม่หยิบโทรศัพท์มือถือไปด้วย ทันทีที่อินทุอรออกไป อัษฎากับสมศักดิ์ก็เข้ามาสุมหัว เปิดดูมือถือของอินทุอรทันที ดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามา
“อาสิต เมื่อคืนวานก็อาสิต วันก่อนก็ใช่ เฮ้ยๆ นี่ภิสิตมันโทรหาลูกฉันทุกคืน เพื่ออะไรวะ”
“คงมีธุระมั้ง หนูอินก็เป็นหลาน เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ เคยอุ้มไปเที่ยว เคยป้อนขนม ภิสิตไม่ใช่เฒ่าหัวงูหลอกเด็ก ฉันมั่นใจ”
“แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าภิสิตไม่ได้คิดอะไรกับหนูอินจริงๆ”
อัษฎาคิดแผน
คืนเดียวกัน ภิสิตกดวางหูโทรศัพท์ ยิ้ม ๆ มีความสุข เสียงมือถือดังขึ้น อัปสรโทรมา
“ครับป้า”
“หนูอินโทรมาบอกป้าว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์กับสิต”
“ใช่ครับป้า เรานัดกันแล้ว”
“แหมป้าดีใจที่สุดเลย คราวนี้ก็แฮปปี้แอนดิ้งกันแล้วสิเนอะ ป้าก็จะได้เป็นญาติผู้ใหญ่ทางสิตไปสู่ขอหนูอินมาเป็นหลานสะใภ้ งานแต่งจะเชิญคุณชรินทร์มาร้องเพลงในงานด้วย คุณอัษฏากับคุณบราลีคงไม่ว่าหรอกนะ”
ภิสิตอึ้ง เมื่อคิดได้ว่าเขากับอินทุอร ไม่มีทางฝ่าด่านอัษฏาเพื่อการแต่งงานแน่ ภิสิตทิ้งตัวนั่งซึมอยู่ที่โซฟา คิดหนัก
วันรุ่งขึ้น ภิสิตยืนมองแผ่นเสียงเพลง กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขานึกถึงคำพูดของอัษฎา
“ฝากดูแลหลานด้วยนะ นอกจากตัวพี่เองแล้วก็มีสิตนี่แหละที่พี่ไว้ใจที่สุด หมั่นพาไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ”
ภิสิตหยิบแผ่นเสียงมาใส่เครื่องเล่น ตั้งใจจะตัดใจจากอินทุอร เต้นรำกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย อินทุอรเดินเข้ามา ภิสิตผายมือให้
“เต้นรำกับอามั้ย”
อินทุอรประหลาดใจ ยิ้ม แล้วส่ายหน้า
“ทำไมล่ะคะ หนูอินชอบเต้นรำไม่ใช่เหรอคะ”
“อินตั้งใจว่าจะไม่เต้นรำเพลงนี้อีกจนกว่า”
“จนกว่าอะไรคะ”
“จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน อินจะเต้นเพลงนี้กับเจ้าบ่าวของอินค่ะ”
อินทุอรมองภิสิต ความรักที่ซุกซ่อนอยู่ในใจฉายออกมาทางดวงตาอย่างชัดเจน ภิสิตรับรู้ได้ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วน บอกไม่ถูก อยากจะแสดงความรักกับอินทุอร แต่ใจก็บอกว่าผิดศีลธรรมที่จะรักลูกสาวของเพื่อน
“อาตั้งใจจะเต้นรำเพลงนี้กับหนูอิน วันนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
ภิสิตพูดเหมือนได้ตัดใจจากอินทุอร
“แต่ไม่เป็นไร อาไม่เต้นรำกับหนูอินก็ได้ เก็บไว้รอดูหนูอินเต้นรำกับเจ้าบ่าวของหนูอินในวันแต่งงาน”
ภิสิตพูดยิ้มๆ ทั้งที่ในใจแสนปวดร้าว เขาลงนั่งที่เก้าอี้ เคาะเปียโนตามเสียงเพลงจากแผ่นเสียง
“ขอให้อาเป็นคนเล่นเปียโนในวันนั้นนะคะ”
อินทุอรพยักหน้า ทั้งสองสบตากัน กล้ำกลืนความปวดร้าวที่รักเป็นไปไม่ได้ ไว้ในใจ
“งั้นอินต้องติวเข้มอาสิตแล้วล่ะค่ะ”
อินทุอรลงนั่งที่เก้าอี้เปียโนข้างภิสิต ทั้งคู่เล่นเปียโนในเพลงเดียวกัน อินทุอรกำลังจะต่อเพลงให้ภิสิต มือของภิสิตไปโดนมือของอินทุอรอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งสองหยุดชะงัก สบตากัน มือยังคงจับกันไว้ แววตาของภิสิตฉายความรักต่ออินทุอรออกมาอย่างห้ามไม่ได้ อินทุอรสบตาภิสิต ความรักก็ฉายออกมาในตาของเธอเช่นกัน ทั้งสองรักกันสุดใจ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายภิสิตก็สารภาพความในใจ
“อารู้ว่าอาผิด ที่คิดเกินเลยกับหนูอิน แต่อาห้ามใจไม่อยู่จริง ๆ อารักหนูอิน แต่อาก็รักพี่อัษไม่แพ้กัน อารู้ว่าพี่อัษต้องรับไม่ได้”
อินทุอรร้องไห้ออกมา มือข้างหนึ่งของภิสิตจับมือเธอไว้ อีกมือเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“อาขออวยพรให้หนูอินได้เจอคนที่เหมาะสมคู่ควรกับหนูอิน และอยากให้รู้ว่าอาสิตจะรักหนูอินตลอดไป ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
ภิสิตกับอินทุอรมองตากันในระยะใกล้ สายตาอาวรณ์ต่อกัน รู้ดีว่าควรตัดใจให้ได้หลังจากนี้ ภิสิตห้ามใจไม่ไหว ก้มหน้าเข้าหาเหมือนจะจูบปาก อินทุอรหลับตาพริ้ม แต่ภิสิตเปลี่ยนเป็นจูบหน้าผากเธอแทน
“ภิสิต”
อินทุอรกับภิสิตตกใจหันไปมองทางประตู อัษฎากับสมศักดิ์ยืนอยู่ อัษฎาโกรธมาก
“คุณพ่อ”
อัษฎากระชากคอเสื้อภิสิตเต็มแรง บันดาลโทสะ อินทุอรยืนตะลึงอยู่ ไม่กล้าเข้าใกล้พ่อ
“ไอ้เพื่อนเลว ไอ้เพื่อนทรยศ แกหักหลังฉัน ฉันจะฆ่าแก”
“เฮ้ย ใจเย็น ๆ ไอ้อัษ อย่าวู่วาม”
“พี่อัษฟังผมอธิบายก่อน”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบายอีกแล้ว ฉันเห็นเต็มสองตา ฉันเห็นแกเหมือนน้องชายฉัน หนูอินเป็นหลานแกนะ”
อัษฏาโกรธมากไม่ยอมรับฟังอะไร ภิสิตสำนึกผิด
“ผมก็นับถือพี่อัษเหมือนพี่ชายแท้ ๆ”
“พี่ชายงั้นเหรอ แกทำแบบนี้กับคนที่แกบอกว่านับถือเหมือนพี่ชายอย่างนั้นเหรอ”
แทนที่จะอารมณ์เย็นลง อัษฏากลับโกรธกว่าเดิม ต่อยโครมเข้าที่หน้าภิสิต อินทุอรกรีดร้อง สมศักดิ์ตกใจ อัษฏาออกอาการเจ็บหน้าอก เอามือกุมอกหน้านิ่ว
“คุณพ่อ”
สมศักดิ์ปราดเข้าประคองอัษฏาไว้
“พอเหอะ หายใจลึก ๆ รีบกลับโรงพยาบาลก่อนดีกว่า”
“พี่อัษครับ พี่จะเกลียดผมยังไงก็ได้ แต่ผมจะไม่เปลี่ยนความรู้สึกรักและเคารพที่มีต่อพี่ ถ้าผมสามารถทำอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัวได้ ผมยินดี”
“แกเป็นผู้ใหญ่แล้วคงรู้ว่าควรทำยังไง อย่าให้ต้องสอน”
“เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ผมจะไม่ติดต่อหนูอินอีกครับ”
อินทุอรหันมามองหน้าภิสิต ทั้งสองสบตากันเศร้าๆ อัษฎามองด้วยแววตาไม่พอใจ
อุรวสา อันตรา และอินทุอร ยืนซุบซิบกันอยู่ที่ระเบียงห้องคนไข้
“อาสิตรักคุณพ่อมาก คงจะเสียใจน่าดู” อุรวสาพูดขึ้น
“จริงๆ เราก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายหรือเกินเลยนะคะ แค่เล่นเปียโนด้วยกันเฉยๆ”
“หนูอินโทรไปหาอาสิตสิ” อันตรายุ
อินทุอรพยักหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ยังไม่ทันกด ประตูระเบียงเปิดออก อัษฎาพูดเสียงเข้มกับอินทุอร
“เอามือถือมา ห้ามยืมโทรศัพท์ของพี่ๆ โทรหาภิสิตเป็นอันขาด”
อินทุอรยื่นโทรศัพท์มือถือให้อัษฎาอย่างเชื่อฟัง อัษฎาปิดประตู อินทุอรจ๋อยสนิท พี่ๆ ลูบหลังตบไหล่ปลอบใจ
ภิสิตอยู่ที่บ้าน เก็บซีดีเพลง ซึ่งเป็นเพลงของเขากับอินทุอร เข้าตู้ล็อคกุญแจปิดตาย เปรียบเหมือน ปิดตายหัวใจ ภิสิตมองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง หยิบมากดเบอร์อินทุอร ที่หน้าจอขึ้นเป็นรูปและชื่อของอินทุอร แต่ตัดใจไม่โทรออกไป แล้วโทรไปหาอันตราแทน อันตราคุยโทรศัพท์ชะโงกหน้าไปดูทางห้องพักของอัษฎา
“โอเค ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วค่ะ”
อุรวสานั่งทำงานในโน้ตบุ้ค อินทุอรปอกผลไม้ใส่จาน อันตราลดเสียงลงเหมือนกระซิบ
“แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้างคะ ทางนี้ก็ดี แต่หงอยไปหน่อยค่ะ ถ้ามีข่าวทางนี้จะรายงานไปทางโน้นนะคะ”
อันตราวางสาย อุรวสาหันไปมอง
“ใคร ทางโน้น ทางนี้ ทำตัวเป็นนักสืบอีกแล้วเหรอ”
“คราวนี้สืบคดีอะไรคะ สามีมีกิ๊กหรือภรรยานอกใจ” อินทุอรถาม
อันตราหยิบผลไม้จากจานที่อินทุอรปอกไว้มาแทะ
“ไม่ได้สืบ แค่รายงานข่าวเฉยๆ”
“หือ”
อุรวสากับอินทุอรหันมามองหน้าอันตราเป็นตาเดียวกัน
“ตกลงใครโทรมาคะพี่อัน”
“อาสิตโทรมาถามอาการคุณพ่อจ้ะ”
พอได้ยินชื่อภิสิต อินทุอรก็เศร้าไปทันที พี่ทั้งสองมองน้องสาว สงสาร
แสงฉานเสิร์ฟกับข้าวต้มกุ๊ย ประเภทผักดอง ยำกุ้งแห้ง ไข่เจียว ผัดผักง่ายๆ ให้เวศม์กับภิสิต ที่คอนโดของเขา
“วันนี้ลดระดับทางด่วนลงใต้ดิน จากอาหารอิตาเลี่ยนเหลือแค่ข้าวต้มกุ๊ยเหรอ” เวศม์แซว
“ผมไม่มีอารมณ์ทำอาหารมาหลายวันแล้ว ที่ร้านก็ให้เชฟคนอื่นทำไป ขืนทำเองมีหวังเละลูกค้าหนีหมด”
“อาก็กินไม่ลงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหมือนกัน”
“เราสามคนมีปัญหาความรักพร้อมกันเลย” เวศม์เศร้า
“รักต่างวัยไม่มีวันเป็นไปได้”
“ทำบริษัทพ่อผู้หญิงที่ตัวเองรักเกือบเจ๊ง ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันให้อภัย”
“ภรรยากำลังขอหย่า คงเบาที่สุดแล้ว”
เวศม์กับภิสิตหายเหม่อ หันขวับมามองแสงฉานด้วยความตกใจ
“แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ผมรู้จักวสาดี เขาคงต้องรอให้คุณพ่อหายป่วยก่อนถึงจะเริ่มจัดการปัญหาของเรา”
“การแต่งงานที่มีความรักเป็นทุนเดิม ย่อมมีความเข้าใจกัน หาทางปรับความเข้าใจกันซะ แสงต้องได้อุรวสากลับคืนมา”
“ครับ”
“ส่วนผมก็คงต้องใช้กลยุทธตื้อเท่านั้นที่ครองโลก” เวศม์บอก
“แล้วอาสิตล่ะครับ” แสงฉานถาม
“อาคงต้องตัดใจ”
ภิสิตพูดเศร้าๆ
อินทุอรนั่งเศร้าอยู่ในเต็นท์ของพ่อเพียงคนเดียว อันตรากับอุรวสาเดินเข้ามา
“อินเป็นห่วงความรู้สึกอาสิต แต่ไม่กล้าโทรไปหา อินไม่อยากทำให้อาสิตเดือดร้อน”
“พี่เข้าใจว่าหนูอินรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ผู้ชายที่พวกเรารักที่สุดต้องมาอันดับหนึ่ง ถูกมั้ย” อุรวสาบอก
“คุณพ่อ จริงด้วยค่ะ ความรู้สึกของคุณพ่อสำคัญที่สุด ขอบคุณนะคะคุณวสาที่เตือนสติอิน”
อุรวสาโอบอินทุอร อันตรามองพี่กับน้อง พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น
“จำได้มั้ย ตอนเด็ก ๆ เวลาโดนทำโทษงดข้าวเย็น เราจะมาสุมหัวกันในนี้แล้วทำอะไร”
อินทุอรยิ้ม “กินขนม”
อันตราล้วงห่อช็อคโกแลตกับขนมออกมาจากกระเป๋าโยนลงกลางวง สามสาวหัวเราะ แล้วคว้าขนมมาแบ่งกันกินเหมือนเด็กๆ เสียงหัวเราะคิกคักของสามพี่น้องอบอุ่นรักใคร่กลมเกลียว แม้ว่าจะเป็นการหัวเราะที่ดูซึมเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
อัษฎามองออกไปนอกหน้าต่างห้องพัก สีหน้าเครียดๆ บราลีเข้ามาพูดปลอบ
“เราดูแลลูกตลอดชีวิตไม่ได้ สักวันหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยของคุณจะต้องเจอใครที่ดูแลเขาได้ดีเท่ากับเราหรือมากกว่าเรา คุณก็ต้องปล่อยหนูอินไปมีชีวิตของเขา”
“แต่คนๆ นั้นต้องไม่ใช่ภิสิต”
“ถ้าไม่คิดเรื่องอายุ คุณสิตเป็นคนดีมากนะคะ ทั้งหน้าที่การงาน นิสัยใจคอ”
“แต่มันหักหลังผม เสียแรงที่ผมไว้ใจให้ดูแลหนูอิน มันทรยศความเป็นเพื่อน”
อัษฎาพูดอย่างเจ็บใจ บราลีเหนื่อยใจเพราะรู้จักสามีของตัวเองดี
อุรวสาออกมาจากบ้าน เตรียมขึ้นรถไปทำงาน แสงฉานเดินเข้ามาในบ้าน ยิ้มสู้สุดชีวิต อุรวสาเห็นหน้าแสงฉาน เธอส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด
“มาทำไมคะ”
“ผมมารับวสาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์”
“ซื้อเฟอร์นิเจอร์”
“ผมว่าจะจัดมุมทำงานของวสาในคอนโดใหม่ จะกั้นห้องให้เป็นสัดเป็นส่วน ไม่มีใครเข้าไปรบกวนคุณได้”
“คุณยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมฉันถึงขอหย่ากับคุณ”
“เข้าใจสิ คุณรักงานมาก ต่อไปวสาทำงานที่บ้านได้เลยเต็มที่ ผมสัญญาว่าจะไม่กวนเวลาทำงานของวสา ขอแค่คุณให้เกียรติผมในฐานะสามีบ้าง”
“แล้วคุณล่ะให้เกียรติฉันบ้างรึเปล่า เคยไว้ใจเชื่อใจฉันบ้างมั้ย”
“ผมไว้ใจคุณแต่ไม่ไว้ใจไอ้นายพงษ์ชัย”
“กลับไปเถอะ ฉันไม่อยากเสียเวลาพูดเรื่องเดิมๆ”
อุรวสาทำท่าจะขึ้นรถ แสงฉานคว้ามือเธอไว้
“ถ้าอยู่ที่นี่แล้วเราไม่มีความสุข รอให้พ่อคุณหายแล้วย้ายกลับไปอยู่ที่อเมริกามั้ย คุณทำงานของคุณ ผมเปิดร้านเล็กๆ จะได้มีเวลาดูแลคุณ”
แสงฉานพูดด้วยความพยายามรักษาชีวิตครอบครัว แต่อุรวสาแทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่แสงฉานเสนอ
“คุณพ่อถึงขนาดลงไปสอนคุณด้วยตัวเอง หวังจะให้คุณมีร้านที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากทุกคน ทำไมคุณถึงไม่มีความทะเยอทะยานเอาซะเลย”
“ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วนะ แต่คุณเคยฟังบ้างมั้ยว่าผมต้องการอะไร เราต้องปรับความเข้าใจกันนะวสา ยังไงผมก็ไม่หย่ากับคุณ”
“ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ฉันคงต้องฟ้องหย่า ถ้าเรื่องถึงศาล คุณไม่มีวันชนะ”
แสงฉานช็อค แล้วเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด
“ผมไม่อยากชนะวสา เพราะความขัดแย้งในความรักไม่มีคนแพ้ชนะ มีแต่คนเจ็บมากกับเจ็บน้อย ถ้าเลือกได้ผมขอเป็นคนเจ็บเอง ผมจะไม่ยอมให้คุณเจ็บ”
แสงฉานเดินออกไปเศร้าๆ อุรวสามองตามไปอย่างหนักใจ สับสน เพราะยังรักแสงฉานอยู่ อุรวสารู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อย จนต้องพิงกับรถ เริ่มงงว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
อุรวสาเดินตามหลังอันตราและอินทุอรมาตารมทางเดินในโรงพยาบาล ท่าทางหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี
“คุณวสาอยากกินอะไรคะ ก๋วยเตี๋ยว อาหารไทย อาหารจีน อาหารฝรั่ง” อันตราหันมาถาม
“อยากกินอะไรก็กินไป ไม่ต้องถามพี่”
อันตรากับอินทุอรตกใจเล็กๆ มองหน้ากันอึ้งๆ ที่พี่สาวหงุดหงิดใส่ อุรวสารู้สึกตัว
“พี่ขอโทษ พี่หงุดหงิด ไม่รู้เป็นอะไร”
“พักนี้คุณวสาเครียดบ่อย ไม่สบายบ่อยนะคะ”
“พักผ่อนก็น้อย ทำแต่งานแล้วยังมาเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาลอีก”
“ให้หมอเช็คหน่อยมั้ย” อันตราบอก
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก อยู่ที่อเมริกาทำงานหนักกว่านี้ นอนน้อยกว่านี้ พี่ยังไม่เป็นอะไรเลย”
“แต่ตอนนั้นคุณวสามีพี่แสงคอยดูแลนะคะ” อันตราแย้ง
อุรวสาหน้าตึง
“อย่าพูดถึงคนๆ นั้นอีก”
อุรวสาเดินไปเลย ทิ้งให้น้องสองคนเหวอกับความเปลี่ยนไปของอุรวสา
“พี่วสาไม่เคยเจ้าอารมณ์แบบนี้เลย”
อินทุอรตั้งข้องสังเกต อันตราสงสัย
ในร้านแสงฉาน ลูกค้าคึกคัก แสงฉานนั่งอยู่มุมหนึ่ง เครียด ครุ่นคิดเรื่องปัญหากับอุรวสา พนักงานในร้านเดินมาหา
“คุณแสงฉาน มีคนมาขอพบครับ”
แสงฉานมองตามที่พนักงานชี้ให้ พบว่าคนที่มาขอพบเป็นสาวสวยที่ส่งยิ้มหวานมาให้ แสงฉานไปนั่งตรงกันข้ามกับผู้หญิงคนนั้น
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อกัล ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ค่ะ คุณแสงฉานคงรู้จักหนังสือของเรานะคะ”
“ครับ”
“ดิฉันมาติดต่อเรื่องจะขอสัมภาษณ์คุณแสงฉานในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ แล้วก็จะทำคอลัมน์แนะนำร้านกับอาหารจานเด่นในร้านของคุณ คุณแสงฉานคง โอเคนะคะ”
แสงฉานยิ้มดีใจ
“ครับ ๆ ได้เลยครับ”
“แหมดีจัง งั้นเดี๋ยวเรานัดวันสะดวกกันอีกที แต่วันนี้ดิฉันขอถ่ายรูปเอาไปให้ บก.ดูก่อนได้ไหมคะ”
แสงฉานตื่นเต้น
“ด้วยความยินดีครับ”
กัลเดินถ่ายภาพมุมต่าง ๆ ภายในร้าน แสงฉานคอยเดินประกบ จากนั้นทั้งคู่กลับมานั่งคุยกันที่เดิม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วเจอกันวันนัดนะคะ ช่างแต่งหน้าทางเราจะเตรียมมาให้ แต่เสื้อผ้าอยากให้คุณแสงฉานแต่งชุดเชฟค่ะ จะได้เป็นคาแรคเตอร์ว่าเจ้าของร้านทำอาหารเอง”
“ขอบคุณนะครับ”
กัลมองไปรอบ ๆ ร้านด้วยสายตาชื่นชม
“อาหารอร่อย ลูกค้าก็เยอะ คุณแสงฉานคิดจะขยายสาขาบ้างไหมคะ”
“ขยายสาขา”
“ใช่ค่ะ ขยายสาขา คนเราจะหยุดอยู่กับที่ได้ยังไงคะ เราต้องก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ สิคะ จะได้เป็นที่ยอมรับว่าเรามีความสามารถ”
“นั่นสินะครับ การขยายสาขาก็แปลว่าเราก้าวหน้าขึ้น”
แสงฉานคิดออกว่าจะก้าวหน้าขยายสาขา ทำให้อุรวสาหายโกรธ เขาจะพิสูจน์ตัวเองว่าจะทำเพื่อเธอ
กัลเดินออกมาจากร้านแสงฉาน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ร้านที่คุณบุษแนะนำมาโอเคเลยค่ะ ตรงตามคอนเซ็ปหนังสือเราเป๊ะ ร้านสวยเชียวแถมเจ้าของร้านยังหน้าตาดีอีก แต่ทำไมถึงไม่ให้บอกว่าคุณบุษแนะมาล่ะคะ”
“คือ บุษกะจะไว้เซอร์ไพรส์เขาวันถ่ายทำน่ะค่ะ คุณกัลป์คงไม่ว่านะคะถ้าบุษจะไปด้วย แล้วทีมงานจะเข้าไปถ่ายทำวันไหนคะ อ๋อค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
บุษบาบัณกดวางสาย ยิ้มร้ายออกมา
คืนนั้น พงษ์ชัยนอนกอดกับบุษบาบัณบนเตียง เขาประหลาดใจหันไปมอง
“คุณจะดันให้แสงฉานเป็นเชฟมีชื่อเสียง จะทำไปทำไม”
“เคยได้ยินมั้ยคะ ดังแล้วแยกวง งานนี้แสงฉานดังแล้วก็จะต้องแยกทางกับอุรวสาแน่นอน”
“ดี ถ้าอย่างงั้นผมเอาด้วย”
บุษบาบัณยิ้มอย่างมั่นใจ พงษ์ชัยยิ้มกอดบุษบาบัณ
แสงฉานร่างแบบร้านอาหารใหม่คร่าวๆ แล้วหันไปมองรูปแต่งงานของเขาและอุรวสา
“รอผมหน่อยนะวสา”
แสงฉานยิ้มอย่างมีความหวัง
วันต่อมา ที่ร้านแสงฉานขึ้นป้ายว่า ปิด ภายในร้านกำลังวุ่นวายไปด้วยทีมงานของนิตยสารที่ถ่ายกำลังจัดสถานที่ แสงฉานอยู่ในชุดเชฟที่ดูดี ยกเอาอาหารจากในครัวมาวางบนโต๊ะที่กลางร้าน
“จานนี้ สปาเก็ตตี้กุ้งแม่น้ำครับ”
“น่ากินจังเลยนะคะ”
แสงฉานที่หันขวับ คิ้วขมวดทันทีที่เห็นบุษบาบัณมายืนยิ้มหวานให้
“คุณบุษมาได้ยังไงครับ”
“บุษรู้จักกับเจ้าของนิตยสารนี้ค่ะ เขาบังเอิญเล่าให้ฟังว่าจะมาสกู๊ปร้านคุณ บุษเลยอยากมาให้กำลังใจ”
แสงฉานอึดอัด บุษบาบัณเห็น แต่ทำเป็นไม่สนใจ กัลเดินเข้ามาหาทั้งคู่
“คุณบุษ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ ถ่ายภาพออกมาให้สวย ๆ นะคะคุณกัล ร้านคุณแสงจะได้มีลูกค้าเยอะ ๆ”
บุษบาบันหันมายิ้มให้แสงฉานเหมือนมีความจริงใจ แสงฉานยิ้มตอบแบบฝืด ๆ ฝืน ๆ
ช่างภาพถ่ายภาพแสงฉานในช็อตต่าง ๆ บอกให้แสงฉานยกจานขึ้นมาถือไว้ แสงฉานท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ โพสต์ท่าไม่ถูก บุษบาบัณเดินเข้ามาหา เข้ามาจัดท่าจัดทางให้แบบถึงเนื้อถึงตัว แสงฉานอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้
ทีมงานยกกองเข้าไปถ่ายทำในครัว แสงฉานยืนอยู่ เหมือนกำลังทำอาหารเพื่อให้นิตยสารถ่ายรูป
“คุณแสงฉานทำอาหารไปเลยค่ะ ช่างภาพจะเก็บภาพไปเรื่อย ๆ เอง ไม่ต้องเกร็งนะคะ” กัลนัดแนะ
แสงฉานทำอาหารโชว์ เหงื่อเริ่มไหลออกมา
“ช่างหน้า ๆ อยู่ไหน มาซับเหงื่อให้คุณแสงฉานหน่อย”
บุษบาบัณรีบเดินเข้ามาทันที ในมือมีทิชชู่เตรียมไว้แล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ บุษช่วย”
“ขอบคุณนะคะคุณบุษ”
บุษบาบัณตรงเข้าไปซับเหงื่อให้แสงฉาน ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ไปพลาง แสงฉานอึดอัดแต่พูดไม่ออก ระหว่างนั้น มีโทรศัพท์มือถือกำลังถ่ายคลิปที่บุษบาบัณเช็ดเหงื่อเช็ดหน้าให้แสงฉาน
หลังทีมงานนิตยสารกลับไปแล้ว แสงฉานนั่งฟังบุษบาบัณพูดด้วยความแปลกใจ
“คุณอยากช่วยผมขยายสาขาร้าน คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะขยายสาขา”
“แหม ก็เมื่อกี้คุณเพิ่งให้สัมภาษณ์ไปว่ามีโปรเจ็คจะขยายสาขา บุษได้ยินค่ะ บุษรู้นะคะว่าคุณกำลังมีปัญหาครอบครัว บางทีการทำให้วสายอมรับในความสามารถ อาจทำให้เธอกลับมาดีกับคุณก็ได้”
“คุณจะทำไปเพื่ออะไร”
“บุษเพิ่งหย่า ต้องสูญเสียครอบครัวเพราะความไม่เข้าใจกัน ความทุกข์จากการสูญเสียคนรักไปมันน่าเศร้ามากนะคะ”
บุษบาบัณแสร้งน้ำตาคลอเหมือนกำลังพูดเรื่องที่กดดันความรู้สึกของตัวเองมากในเวลานี้
“บุษไม่อยากให้แสงเป็นเหมือนบุษ”
“ขอบคุณครับ”
แสงฉานมองบุษบาบัณด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นมาก
“ถ้าผมต้องขยายสาขาอีกสักแห่งหนึ่ง ควรจะทำยังไง”
แสงฉานนิ่งฟังบุษบาบัณ
จบตอนที่ 10