xs
xsm
sm
md
lg

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรายพยากรณ์ ตอนที่ 2

อรรถพรกำลังตากผ้าตรงระเบียงห้อง พลางครุ่นคิดหาทางที่จะจับภิชาสินีให้ได้คาหนังคาเขา จู่ๆ ก็มีเสียงคนร้องไห้ดังขึ้น เขารีบหันไปมองหาที่มาของเสียง ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“หรือว่าจะเป็น....ผะ ผะ ผี”
อรรถพรหน้าซีด ตัวสั่น เพราะกลัวผี พลางรีบหยิบสร้อยพระที่สวมคอออกมา แล้วก็พนมมือ “อย่ามาหลอกมาหลอนผมเลย ผมกลัวแล้ว ผมจะทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้นะครับ ผมสัญญา
ไปที่ชอบที่ชอบเถอะครับ ผมไหว้ล่ะ”
“พี่อรรถ”
อรรถพรชะงัก พลางเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นหนึ่งยืนร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มตรงระเบียง
“เราเองเหรอที่ร้องไห้ พี่ก็นึกว่าผี ร้องไห้ทำไม ?”
หนึ่งสะอื้นฮัก พลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา

“อกหักแค่นี้ ร้องไห้ซะหยั่งกับญาติเสีย”
อรรถพรถึงส่ายหน้า เมื่อหนึ่งเล่าจบ
“ญาติเสีย ผมยังไม่เสียใจ เท่ากับเสียผู้หญิงที่ผมรัก พี่พิณเป็นรักแรก และรักเดียวของผม ผมทั้งเล่นบาส ดื่มนม เพื่อให้โตเร็วๆ จะได้ทันดูแลปกป้องผู้หญิงที่ผมรัก แต่ที่ไหน พี่พิณกลับโดนเจาะไข่แดง”
“เป็นลูกผู้ชาย ต้องห้ามร้องไห้”
หนึ่งพยายามกลั้นสะอื้น
“ผมพยายามแล้ว แต่ผมห้ามไม่ได้จริงๆ ผมเสียใจ มันเจ็บปวด เพิ่งได้รู้ว่าอกหัก มันจี๊ด พี่พิณนะพี่พิณ ถ้าพี่ไม่ท้องกับไอ้หมอนั่น ผมยังมีความหวังว่าจะแย่งพี่คืนมา แต่นี่พี่มีลูกกับเค้า แล้วผมจะทำยังไง ?” ตุ๊กแกปิ่นเพชรเกาะอยู่ที่ผนัง ได้ยินทุกอย่างที่หนึ่งคร่ำครวญ

ภูมินทร์ค่อยๆ เปิดประตู แล้วโผล่แต่หน้าออกมา พลางมองไปรอบห้อง เมื่อไม่เห็นใครก็แปลกใจ ขณะที่วิญญาณของปราชญ์กับพัณทิพาเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องหาทางให้ภูมินทร์ออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ทำเป็นแลบลิ้นปลิ้นตาเพื่อหลอกให้เขากลัว แต่ที่ไหนได้ อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็น กานต์กมลจึงเสนอความเห็นว่า
“เราต้องทำอะไรที่คนทำไม่ได้”

ปณิตาเดินไปเดินมา สีหน้ากลัดกลุ้ม ขณะที่เปรมสุดานั่งทาเล็บอย่างสบายอารมณ์
“นี่ลูกไม่เป็นเดือดเป็นร้อนบ้างเลยเหรอ”
“สุดาเอาเงินไปให้เสี่ยแล้วค่ะ”
ปณิตาหันมามองอย่างแปลกใจ เปรมสุดารีบพูดต่อ
“ถึงจะยังไม่ครบที่เรายืม แต่เสี่ยก็ดูพอใจมาก จนยอมยืดเวลาการคืนเงินให้เราสองแม่-ลูก”
ปณิตายิ้มดีใจ รีบมานั่งข้างลูก
“สุดาลูกแม่ แม่โชคดีจริงๆที่มีลูกน่ารัก กตัญญู และประเสริฐ ว่าแต่ลูกไปเอาเงินมาจากไหน”
“สุดาไม่ได้มีภูคนเดียวนะคะแม่ คนเราก็ต้องมีตัวเลือกบ้าง เพื่อชีวิตอยู่รอด”
“ฉลาดเหมือนแม่ไม่มีผิด แต่ถึงยังไงไอ้ตัวเลือกของลูกก็คงจะไม่รวยเท่าตาภูหรอกใช่มั้ย”
เปรมสุดาพยักหน้ารับ “ค่ะแต่ก็พอแก้ขัดไปได้ก่อน”
“แก้ขัดก็พอนะคะ เพราะคนที่ลูกต้องแต่งงานด้วยคือคุณภูมินทร์ ลูกเจ้าสัวซ้ง อภิมหาเศรษฐีหมื่นล้านคนเดียวเท่านั้น”
“อย่าหวังอะไรมากเลยค่ะแม่ เพราะจนป่านนี้ยังไม่ได้เบาะแสเรื่องภู บางทีอาจจะถูกอุ้มหายไปแล้วก็ได้”
ปณิตาฟังแล้วก็ครุ่นคิด แล้วก็นึกวิธีที่จะตามหาภูมินทร์ได้

พิณชนิดายังคงโวยวายไม่หยุดเรื่องที่ดวงบอกว่าจะได้ภูมินทร์เป็นเนื้อคู่ จู่ๆ ตุ๊กแกปิ่นเพชรก็โผล่มา
“มีอะไรเหรอปิ่น”
“เกิดเรื่องแล้วน่ะสิเจ๊”
2 พี่-น้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย ยังไม่ทันที่ปิ่นเพชรจะพูดต่อ ก็มีเพื่อนข้างห้องคนหนึ่งเดินมา ปิ่นเพชรรีบกลายร่างกลับเป็นตุ๊กแก
“ยินดีด้วยนะคะคุณน้อง”
พิณชนิดาทำหน้างง “ยินดีเรื่องอะไรคะ”
“คนทั้งอพาร์ทเม้นต์รู้แล้วว่าคุณน้องกำลังจะมีน้อง”
“พิณก็มีน้องนานแล้วนะคะ”
ภิชาสินีพยักหน้า เพื่อนข้างห้องหัวเราะร่วน
“พี่ไม่ได้หมายถึงน้องภิ พี่หมายถึงท้อง พี่ไปก่อนนะคะ”
พิณชนิดาตกใจ “ท้อง ฉันเนี่ยนะท้อง ?”
ปิ่นเพชรกลายร่างเป็นเด็กอีกครั้ง
“ก็เนี่ยแหละที่จะบอก คนทั้งอพาร์ตเม้นต์เค้าเม้าท์กันให้แซ่ดว่าเจ๊ท้องกับนายไข่เจียว”
พิณชนิดากำมือแน่นด้วยความโกรธสุดขีด

ที่แท้ปณิตาก็พาเปรมสุดาจะมาปรึกษากับหมอดู เมื่อมาถึงหน้าห้อง ผู้เป็นแม่ก็เคาะประตูห้องรัว ภูมินทร์ได้ยินเสียงเคาะประตูหันไปมอง จากนั้นก็เดินไปยื่นหน้าไปส่องที่ช่องตาแมว แล้วก็ชะงัก

ครู่หนึ่งประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับหมอดูผมยาวปิดหน้าปิดตาหน้าตาน่ากลัว หนวดเครารุงรังโผล่หน้าออกมา
“เข้ามา”
ปณิตารีบหันมาบอกลูกสาว “เนี่ยคือท่านหมอดูหูทิพย์”
จากนั้นก็รีบลากเปรมสุดาให้เข้าไปในห้องทันที

“มีอะไรถามมา”
หมอดูพูดเสียงเข้มใส่หน้า 2 แม่ลูก
“เอ่อ คือ แฟนลูกสาวฉันหายตัวไปค่ะ ฉันอยากรู้ว่า...”
หมอดูพูดสวนขึ้นมาทันที
“เงียบ ข้ากำลังฟังเสียแฟนของลูกสาวเจ้า แฟนของเอ็ง อยู่ไกลมาก ไกล ไกลโพ้น”
ครู่หนึ่งหมอดูก็ลืมตาโพลง ทำเอา 2 แม่ลูกตกใจ
“แฟนของเอ็งตายไปแล้ว”

พิณชนิดาทุบประตูเสียงดัง พลางตะโกนอยู่หน้าห้อง
“นายไข่เจียว นายไม่มีสิทธิ์ล็อกห้อง เพราะนี่มันเป็นห้องของฉัน เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
“ไม่เปิด”
พิณชนิดาโมโหมาก “ไม่เปิดงั้นเหรอ? “
พูดพลางหันไปมองปิ่นเพชร ที่พยักหน้าอย่างรู้ถึงความต้องการ พลันก็แปลงร่างกลายเป็นตุ๊กแก แล้วคลานเข้าไปตรงช่องใต้ประตู ครู่เดียวเสียงภูมินทร์แหกปากดังลั่น พร้อมกับประตูเปิดออก

2 พี่น้องเห็นปิ่นเพชรเกาะอยู่บนหัวภูมินทร์ที่หน้าซีด ก็หัวเราะอย่างสะใจ

“เค้าลือกันว่าคุณท้องกับผม?”

ภูมินทร์ถามย้ำ สีหน้าไม่สบายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมเสียหายมากนะเนี่ย”
2 พี่น้องหน้าเหวอ
“ฉันต่างหากที่ต้องพูดประโยคนี้ ฉันเป็นผู้หญิง ยังไงก็เสียหายมากกว่า”
พิณชนิดาตะคอกใส่หน้า แต่กลับถูกภูมินทร์ปรายมองหัวจรดเท้า ด้วยสายตาดูถูก
“ผู้หญิงสารร่างอย่างคุณ ผมว่ามันไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว ผมสิทั้งหล่อ ทั้งหุ่นดี เพอร์เฟคขนาดนี้ แต่มีคนเข้าใจว่าผมกับคุณมีอะไรกันในกอไผ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหยะแหยง”
ภิชาสินีได้ฟัง ก็โกรธแทน
“พี่สาวฉันมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ พูดซะหยั่งกับว่าพี่สาวฉันเป็นก้อนอิฐก้อนอึยังไงยังงั้น”
พิณชนิดาจ้องหน้าภูมินทร์อย่างเอาเรื่อง
“นายควรจะทำตัวให้เป็นสุภาพบุรษมากกว่านี้ ให้ตายเถอะ ตั้งแต่ฉันเกิดมา ไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่ปากมอมอย่างนายมาก่อน”
“เธอต่างหากที่ปากมอม มอมไปทั้งตัว”
พิณชนิดาโกรธจนปากคอสั่น
“ไอ้คนไม่มีจิตสำนึก นายกล้าด่าผู้มีพระคุณกับนายได้ยังไง ฉันช่วยนายถึงสองครั้งสองครา ถ้านายไม่ได้ฉันช่วยไว้ นายได้ตายกลายเป็นผีไปแล้ว”
“ฉันไม่ได้ขอให้เธอช่วย เธออยากสาระแนมาช่วยเองทำไม”
พิณชนิดาทนไม่ไหว ปราดเข้าไปทุบตีภูมินทร์เป็นพัลวัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาพาดบ่า เธอถึงกับร้องลั่น
“ว้าย จะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าจะพาฉันไปขืนใจ”
“บ้า คิดบ้าๆ แต่ถ้าเธอยังไม่หยุดตีไม่หยุดด่าฉัน ฉันอาจจะทำก็ได้”
“ปล่อยฉันลง”
“รับปากก่อนว่าจะไม่ทำร้ายฉันอีก”
พิณชนิดาย้อนกลับ “นายก็รับปากก่อนว่าจะไม่ปากเสียกับฉัน”
ภูมินทร์รับคำ พร้อมกับวางพิณชนิดาลงบนพื้น
ภิชาสินีหน้าเครียด
“ภิว่าถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่าง งานนี้บานปลายใหญ่โตแน่ รู้ๆกันอยู่ว่าที่นี่เต็มไปด้วยคนขี้เม้าท์” พิณชนิดาพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงอย่างที่น้องพูด ป่านนี้คงจะเอาพี่กับนายนี่ไปพูดเสียๆ หายๆ แล้ว เวรของกรรม กรรมของเวรจริงๆ “
ภูมินทร์หันมามองอย่างรำคาญ “เลิกฟูมฟายซักที จัดแถลงข่าวซะก็หมดเรื่อง”
“ภิเห็นด้วยกับนายไข่เจียวค่ะ งานนี้เราต้องแถลงข่าว”
พิณชนิดาหันไปมองน้องสาวอย่างแปลกใจ

เมื่อออกมาจากห้องของหมอดู เปรมสุดาก็ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือ
“เนี่ยนะคะหมอดูแม่นๆ ของคุณแม่ สุดาไม่เชื่อหรอกนะคะว่าภูตายแล้ว”
“ถ้างั้นเราต้องหา SECOND OPINION”
ปณิตาพูดพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้น 2 แม่ลูกก็ตระเวนหาไปทรงเจ้า-เข้าทรง-ดูหมอกันอีกหลายสำนัก ซึ่งล้วนแต่ไม่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น

พิณชนิดา ภูมินทร์ ภิชาสินี เดินมา เห็นแพนเค้กกับขวัญทิพย์กำลังเม้าท์มอยกับบรรดาผู้เช่าอย่างสนุกปาก ขวัญทิพย์หันมาเห็นก็รีบพูดหยอก
“น้องพิณขา ค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวจะกระเทือนถึงลูกในท้อง”
แพนเค้กรีบพูดต่อ “จริงด้วยครับ คุณพ่อมือใหม่ ตื่นเต้นมั้ยครับ”
ภูมินทร์ตวาดกลับไปเสียงดัง “ไม่”
ภิชาสินีรีตัดบท
“พี่แพนเค้กคะ พี่ขวัญคะ ถ้ายังไงช่วยเรียกทุกคนมาตรงนี้หน่อยนะคะ พี่พิณมีเรื่องจะประกาศ”

อรรถพรลากแขนหนึ่งที่จำยอมต้องเดินออกมา เห็นแพนเค้กกับขวัญทิพย์ และผู้คนมากมาย กำลังยืนล้อมพิณชนิดาภิชาสินีและภูมินทร์
“ขอบคุณทุกคนที่ออกมานะคะ พิณมีเรื่องสำคัญที่ต้องให้ทุกคนรับรู้ “
พิณชนิดาพูดพลางหันไปพยักเพยิดให้ภูมินทร์พูดต่อ แต่เขากลับยืนนิ่ง จนเธอต้องเป็นฝ่ายพูดต่อเอง
“พิณไม่ได้ท้องค่ะ”
ทุกคนถึงกับอึ้ง ขณะที่หนึ่งหัวเราะร่า
“ถ้าไม่ได้ท้อง แล้วผู้ชายคนนี้คือใคร ? ทำไมถึงต้องมาอยู่ห้องเดียวกับน้องพิณด้วย”
แพนเค้กยังไม่หายคาใจ ภูมินทร์กำลังจะตอบ แต่กลับโดนพิณชนิดาหยิกที่หลัง แล้วรีบแย่งพูด
“ผู้ชายคนนี้เป็นญาติพิณกับภิค่ะ ญาติสนิท ชื่อไข่เจียว และที่พิณต้องพาเค้ามาอยู่ด้วย เพราะเค้าไม่สบาย เค้าสติไม่ดีค่ะ พิณก็เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้ ภูมินทร์ถลึงตาใส่พิณชนิดาด้วยความไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายกลับยักคิ้วกวนๆ กลับมา

“จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย ได้”

ภูมินทร์รีบโอบพิณชนิดาเข้ามากอดแน่น ทำเอา 2 พี่น้องตกใจ

“ใช่แล้วครับ ผมเป็นญาติสนิทของพิณกับภิ สนิทมากถึงขนาดที่ว่าตอนเด็กๆ แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันมาแล้ว ท่าทางทุกคนยังไม่เชื่อ ว่าเราเป็นญาติสนิทกัน งั้นผมจะแสดงให้ดู”
พุดจบก็หอมแก้มพิณชนิดาหน้าตาเฉย ฝ่ายถูกหอมอ้าปากจะด่า แต่ภิชาสินีรีบพูดตัดบท
“เห็นกันแล้วนะคะว่าญาติภิคนนี้สติไม่ดีจริงๆ พี่พิณ ภิว่าพาไข่เจียวไปพักเถอะ”
ภิชาสินีรีบจับแขนพิณชนิดาแล้วภูมินทร์ แล้วพาเดินออกไป แพนเค้ก ขวัญทิพย์ กับผู้เช่าคนอื่นส่ายหน้าเซ็งๆ อย่างหมดสนุก ตรงข้ามกับหนึ่ง ที่เดินยิ้มเริงร่าเดินออกไป

ทางด้าน 2 แม่ลูก ปณิตากับเปรมสุดา ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะต้องหาตัวภูมินทร์ให้เจอก่อนใคร
“คิดดูให้ดี ถ้าเกิดเราช่วยตาภูเป็นคนแรก เราก็จะกลายเป็นผู้มีพระคุณกับตาภู แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ลูกขออะไร เค้าก็จะต้องให้”
เปรมสุดาคิดตาม แล้วก็ยิ้มกว้าง “คุณแม่ของสุดาฉลาดที่สุด”

ภูมินทร์นอนหลับสนิทบนโซฟา พิณชนิดาเดินมาดู พลางหันไปเห็นภิชาสินียืนเหม่ออยู่ที่มุมห้อง “ภิ ยืนเหม่อคิดถึงใคร?”
ภิชาสินีชะงัก แล้วรีบแก้ตัว “เปล่า ภิคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“งั้นพี่ไปนอนก่อนนะ เหนื่อยมาทั้งวัน”
พอพี่สาวเดินออกไป ภิชาสินีก็ทำหน้าเครียด
“พ่อ แม่ ป้า หายไปไหน ?”

ทางด้านวิญญาณของปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพา ก็มาหาท่านเจ้าที่ที่ประจำอยู่ที่ตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นมีเงาดำใหญ่ปรากฎขึ้นบนพื้น วิญญาณทั้งสามตกใจ พลางขยับมาจนแนบชิดติดกัน พลันเสียงแหบใหญ่ก็ดังขึ้น
“พวกเจ้าไม่ใช่วิญญาณแถวนี้ พวกเจ้ามาทำไม?”
“วิชาแก่กล้ามาก ถึงมาแต่เสียง?”
“ข้าอยู่นี่”
วิญญาณทั้งสามก้มมอง ก็เห็นผีเจ้าที่คนแคระยืนอยู่บนถังขยะ
“ท่านเจ้าที่ที่ที่ขวัญทิพย์อพาร์ตเม้นท์ส่งพวกเจ้าให้มาหาข้า? “
วิญญาณทั้งสามตัวพยักหน้า ก่อนที่กานต์กมลจะบอกความประสงค์
“พวกเราอยากให้ท่านสอนวิชาเคลื่อนย้ายสิ่งของค่ะ “

ผีเจ้าที่ก็เริ่มต้นถ่ายทอดวิชาเคลื่อนย้ายสิ่งของโดยการเพ่งกระแสจิตให้วิญญาณทั้งสามลองทำตาม แต่ปรากฏว่าไม่มีใครทำได้ซักคน ผีเจ้าที่ถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา

พิณชนิดากับภิชาสินีนอนหลับสนิทบนเตียงเดียวกัน ทันใดนั้นหน้าต่างในห้อง ก็เปิดเข้ามา ผ้าม่านปลิวไสว ตุ๊กแกปิ่นเพชรที่เกาะบนกำแพง รู้สึกถึงความผิดปกติ เลยกระโดดลงมาบนพื้น กลายร่างเป็นเด็กผู้ชาย พลางมองไปที่หน้าต่าง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกางแขนเป็นเชิงห้าม
“พี่ห้ามเข้ามาในห้อง บอกแล้วไงว่าห้ามเข้ามา”
แต่อีกฝ่ายกลับพุ่งเข้ามาในห้องผ่านตัวเข้าไป ปิ่นเพชรหันขวับไปมองด้วยความตกใจ พลางรีบมาปลุกภิชาสินี
“ผะ ผีผี พี่ภิ ผี”
ภิชาสินีตกใจสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะค่อยๆ หันไป แล้วก็ต้องก็ตกใจสุดขีด เพราะผีผู้หญิงพุ่งเข้ามาประจันหน้าใกล้ๆ ทำเอาเธอแทบกรี๊ด แต่แล้วก็นึกมาได้ รีบเอามือปิดปากไว้ได้ทัน
“ฉันขอโทษ ฉันลืมไปเลย มัวแต่ยุ่งเรื่องที่บ้าน ฉันสัญญาพรุ่งนี้ฉันจะไปช่วยดูลูกให้พี่นะ”
ผีผู้หญิงยิ้มดีใจ ก่อนจะค่อยๆ หายตัวไป ภิชาสินีหันไปอีกทาง เห็นพิณชนิดานั่งอยู่ ก็ตกใจยิ่งกว่าเก่า
“พี่ได้ยินเสียงน้องพูด พูดกับใคร?”
ภิชาสินีหันไปทางปิ่นเพชร “ปิ่นเพชรไง”
พิณชนิดาพยักหน้า แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ภิชาสินีกับปิ่นเพชรมองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจ

ยอดนั่งหน้าเครียดอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ริมทาง ด้วยความกลัดกลุ้ม พลางหันมาออกคำสั่งกับวัตร ที่เป็นทั้งลูกพี่ลูกน้อง และลูกสมุนให้ช่วยกันหาหนทางตามหาเบาะแสของรถเต่า
“หรือว่าเราควรจะย้อนกลับไปดูที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง”

พิณชนิดาทนกับอาการนิ่งดูดาย ทำตัวเหมือนคุณชายของภูมินทร์ไม่ไหว จึงออกคำสั่งให้เขาล้างจานที่กินอิ่มแล้ว พร้อมกับซักเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย
ภูมินทร์จำใจต้องยอมทำตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง ด้วยการหิ้วตะกร้าผ้ามาวางด้านหน้าเครื่องซักผ้า พลางทำหน้างุนงง
“แล้วทำไงต่อไป ?”
ขวัญทิพย์เห็นภูมินทร์ก็ตรงรี่เข้ามาหาทันที
“จะซักผ้าเหรอคะ ถ้าไม่มีเหรียญ แลกกับพี่ได้นะคะ”
ภูมินทร์ขมวดคิ้ว “ต้องใช้เหรียญด้วยเหรอ? ไม่ได้เอาเงินลงมา”
“พี่ให้ยืมก่อนก็ได้ เห็นว่าหล่อ ไม่งั้นอย่าฝันว่าพี่จะออกให้ก่อน”
ขวัญทิพย์หยอดเหรียญลงเครื่อง พลางหันมาทางภูมินทร์
“เรียบร้อยค่ะ”
จากนั้นก็เดินออกไป ภูมินทร์มองเครื่องซักผ้า แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่นานเห็นผู้เช่าคนอื่นเดินเข้ามา เขาจึงยืนมองและทำตามทุกอย่าง เริ่มจากเปิดฝา เอาผ้าใส่ ปิดฝา ดึงที่ใส่ผงซักฟอกออกมา หยิบกล่องผงซักฟอก แล้วเทลงไปจนเกือบหมดกล่อง

จากนั้นก็กดปุ่มเริ่มทำงาน

ปณิตาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พลางระล่ำระลักบอกกับเปรมสุดาที่นั่งทาเล็บอย่างสบายอารมณ์

“แม่เจอหนทางที่เราจะพบตาภูแล้วค่ะ เพื่อนสนิทแม่ แนะนำหมอดูขั้นเทพมาให้ เค้าบอกว่าคนนี้เพิ่งดูดวงให้กับเพื่อนของเค้าจนจับกิ๊กได้สำเร็จ หมอคนนี้ชื่อ หมอพิณ พูดเลย”
จากนั้นก็โทร. ไปนัดหมายกับพิณชนิดาทันที

ภูมินทร์มองฟองที่ล้นทะลักออกมาจากเครื่องซักผ้าอย่างอึ้งๆ พลางพยายามกดปิดเครื่อง แต่เครื่องไม่ปิด สุดท้ายจึงตัดสินใจถอดปลั๊กออก พิณชนิดาเข้ามาเห็นสภาพห้องก็ถึงกับหน้าเหวอ

ขวัญทิพย์กับแพนเค้กมองภูมินทร์กับพิณชนิดา ด้วยสายตาไม่พอใจ
“พิณขอโทษค่ะพี่ขวัญ”
ขวัญทิพย์ทำเสียงดุใส่
“พี่รับคำขอโทษ แต่คำขอโทษคงไม่ได้ทำให้เครื่องซักผ้าของพี่หายเสีย หรือทำให้ห้องซักผ้าของพี่ดูดีขึ้นมาได้”
“พี่ขวัญคิดค่าเสียหายมาได้เลยค่ะ”
แพนเค้กเอาเครื่องคิดเลขมากดๆ ก่อนจะยื่นไปตรงหน้า ขวัญทิพย์พยักหน้ารับ ก่อนจะเงยหน้ามองพิณชนิดากับภูมินทร์
“ค่าซ่อมเครื่องซักผ้า บวกค่าซ่อมห้อง สามหมื่นบาท”
พิณชนิดาตกใจ ขณะที่ภูมินทร์ทำหน้านิ่ง
“สามหมื่น แพงไปเปล่าคะ”
ภูมินทร์มองอย่างรำคาญ “แค่สามหมื่นจะโวยวายทำไม จ่ายๆ ไปสิ”
“สามหมื่นนะ ไม่ใช่สามร้อย ฉันไม่มีเงินพกติดตัวมากขนาดนั้น”
ขวัญทิพย์รีบพูดตัดบท
“หยุดเถียงกันได้แล้ว พี่ให้เวลาน้องพิณถึงเย็นนี้ ต้องมีเงินมาให้พี่ ไม่มีการต่อรอง โอเค.นะคะ”
จากนั้นก็เดินนำหน้าแพนเค้กออกไป พิณชนิดาหันไปมองภูมินทร์ด้วยความโกรธจัด
“เพราะนาย ทำให้ฉันต้องเสียทรัพย์”
ภูมินทร์ยักไหล่
“อย่ามาโทษฉัน เธอบอกให้ฉันเอาผ้าไปซัก ถ้าเธอไม่ให้ฉันไปซักผ้า เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“นายมันก็ดีแต่โทษคนอื่น ไอ้เรื่องเงินสามหมื่น นายต้องรับผิดชอบ”
“ได้อยู่แล้วสบายมาก ถ้าฉันนึกว่าตัวเองเป็นใคร ฉันมีเงินมาให้เธอแน่”
พิณชนิดาถอนหายใจ
“ฉันจะออกเงินสามหมื่นให้นายก่อน แต่นายต้องทำงานชดใช้”
ภูมินทร์รีบส่ายหน้า “ไม่ทำ”
“ถ้าไม่ทำฉันจะไล่นายไม่ให้อยู่ที่นี่ อยากไปนอนข้างถนนก็เชิญ”
พูดจบก็เดินสะบัดหน้าออกไป ภูมินทร์มองตาม แล้วทำปากเบะ
“คิดว่าฉันไม่กล้าไปงั้นเหรอ ไม่ง้อหรอกเว้ย”

ภูมินทร์เดินออกมาหน้าอพาร์ตเม้นต์ ก็โดนรถที่แล่นสวนมาทำน้ำสาดใส่ เดินไปอีกหน่อยก็
ตกท่อ พอเดินต่อไปอีก ก็โดนมอเตอร์ไซค์เบรกแตกพุ่งเข้าใส่ จนตัวลอยกระเด็นไปกระแทกพื้น
“โลกข้างนอก ทำไมช่างโหดร้ายแบบนี้”

ภูมินทร์กลับเข้ามาในห้องในสภาพเละเทะ พิณชนิดาออกมาเห็นก็ตกใจ
“ทำไมเนื้อตัวมอมแมม สกปรกและเหม็นแบบนี้ แล้วดูพื้นห้องฉัน”
ภูมินทร์ได้ฟังก็ยิ่งโมโห “ห่วงพื้นมากกว่าห่วงคนเหรอไง?”
“ใช่น่ะสิ พื้นไม้พวกนี้แพงกว่าค่าตัวนายอีก รีบไปอาบน้ำ แล้วก็อย่าทำห้องน้ำสกปรกล่ะ อาบเสร็จก็ขัดต่อด้วย”

ยอดกับวัตรตามหาเบาะแสของรถเต่าจนมาถึงอู่ที่พิณชนิดาเอารถมาซ่อม พอทั้งคู่หันไปเห็น
รถเต่าที่เหมือนในรูป ก็ยิ้มดีใจ
“รถของใคร”
เจ้าของอู่ส่ายหน้า “บอกไม่ได้ ความลับลูกค้า”
“แล้วเจ้าของจะมารับรถเมื่อไหร่”
“อีกเดือนสองเดือน เพราะต้องรออะไหล่ พี่มีปัญหากับเจ้าของรถคันนี้เหรอ ?”
ยอดรีบแก้ตัว
“เปล่า คือฉันเห็นรถคันนี้ แล้วก็ชอบ ก็เลยถ่ายรูปมา เพราะอยากจะขอซื้อ เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวเอาเบอร์ฉันไป ถ้าเจอเจ้าของ ก็ให้เค้าติดต่อมาหาฉันด่วน”
เจ้าของอู่รีบพยักหน้ารับ

พอเดินออกมาจากอู่ วัตรก็หันมาถาม
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นเจ้าของรถ”
ยอดยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกออก
“ฉันคิดออกแล้ว ถ้ารถคันนั้นพัง เจ้าของอู่ต้องโทร. เรียกเจ้าของรถคันนี้มาแน่ๆ”
“แค่นี้ก็เจอเจ้าของแล้ว พี่นี่อัจฉริยะจริงๆ”
ยอดยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจในแผนการ

ยอดกับวัตรย้อนกลับเข้ามาในอู่อีกครั้ง เป็นช่วงที่ปลอดคนพอดี
“โอกาสเป็นของเราแล้ว อาวุธ”
วัตรยื่นก้อนหินอันเล็กส่งให้ยอด
“ถุย! ไอ้วัตร หินก้อนแค่นี้ จะทำอะไรได้”
ยอดพูดพลางมองหาหินก้อนใหญ่ ก่อนที่จะยกขึ้นมา แล้วย่องนำวัตรไปที่รถ

ภูมินทร์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมาเจอพิณชนิดายืนอยู่ก็ตกใจ
“มาแอบดูฉันอาบน้ำเหรอ?”
“บ้าสิ ฉันจะบอกให้นายอยู่ในห้อง ห้ามออกมาข้างนอกเด็ดขาด เพราะวันนี้ฉันมีลูกค้า”
พูดจบเสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้นมาพอดี พิณชนิดารีบหยิบออกมากดรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงนะ”
พิณชนิดาได้ฟังก็ตกใจ ภูมินทร์มองอย่างสงสัย

“รถฉันกระจกแตกได้ยังไง?”
พิณชนิดาถามเจ้าของอู่ด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ผมไม่รู้ แต่ท่าทางจะมีคนจงใจมาทุบรถคุณ”
พิณชนิดาคิดหนัก “หรือจะเป็นไอ้พวกที่ตามล่านายไข่เจียว ?”

ทางด้านปณิตาก็พาเปรมสุดามาถึงหน้าขวัญทิพย์อพาร์ทเม้นต์ สองแม่ลูกหยุดยืนมอง
“ที่นี่เหรอคะที่หมออะไรของแม่นัดเรามา”

“ใช่แล้วลูก เราเข้าไปกันเลย”

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ภูมินทร์นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนอนของพิณชนิกา จนรู้สึกเบื่อ พลางเดินไปที่ประตู แล้วก็ชะงัก เพราะเปิดไม่ได้
 
“เฮ้ย! ปิดประตูขัง มันจะป่าเถื่อนมากเกินไปแล้ว”
ที่แท้เด็กปิ่นเพชรนั่นเอง ที่คอยดึงที่จับประตูเอาไว้ตามคำสั่งของพิณชนิดา
ภูมินทร์ยิ่งหงุดหงิด พลางหันไปมองรอบๆ ห้อง เห็นตู้หนังสือ จึงเดินไปหยิบหนังสือมาพลิกเปิดดู แล้วก็ทำหน้าเบ้
“มีแต่นิยายน้ำเน่า ไร้รสนิยม”
เขารื้อเปิดหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ไปเรื่อยเปื่อย จนเจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง จึงรีบเปิดออกอ่าน
“ยัยประหลาดนั่นเขียนไดอารี่ด้วยเหรอ คิกขุจริงนะ”
จากนั้นก็ไล่เปิดทีล่ะหน้า เห็นรูปครอบครัวพ่อ แม่ ป้าที่ถ่ายกับพิณชนิดาและภิชาสินีตอนเด็กๆ เขาหยิบรูปออกมาดู แล้วก็ก้มอ่านข้อความในสมุด
“วันนี้เป็นวันครบรอบ 2 ปี ที่พ่อแม่ฉันจากไปด้วยอุบัติทางรถยนต์”

ภาพเหตุการณ์ในอดีตวันที่พ่อและแม่ของพิณชนิดาเสียชีวิต
ขณะที่ปราชญ์ขับรถมาตามถนนในเวลากลางคืน มีกานต์กมลนั่งข้างๆ เด็กหญิงพิณชนิดาวัย 10 ขวบ กับเด็กหญิงภิชาสินีวัย 5 ขวบนั่งอยู่ข้างหลัง ทั้งหมดกำลังร้องเพลงด้วยกันอย่างมีความสุขและสนุกสนาน
ทันใดนั้นก็มีรถสิบล้อคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว เพราะคนขับหลับใน ทำให้รถแฉลบออกนอกเส้นทาง รถที่สวนทางมาบีบแตรดังลั่น โชเฟอร์สิบล้อสะดุ้งตื่น และบังคับรถกลับมาในเลนของตัวเองได้อย่างฉิวเฉียด
จังหวะนั้นปราชญ์กำลังหยอกล้อกับลูกสาวทั้งสองด้วยความเอ็นดู ทั้งคู่ยื่นหน้าให้ผู้เป็นพ่อหอม
“เข้ามาใกล้ๆ พ่อหอมไม่ถึง”
ช่วงที่ปราชญ์หันหน้าไปเพื่อหอมแก้มภิชาสินีนั่นเอง ทำให้ไม่ทันเห็นรถสิบล้อที่แล่นมาทางเลนตัวเอง กานต์กมลเห็นแสงไฟส่องเข้าหน้าก็หันไปมอง แล้วก็ตกใจ เพราะรถสิบล้ออยู่ด้านหน้า
“ระวัง”
ปราชญ์หันไปเห็นรถสิบล้อ ก็รีบหักหลบ ทำให้รถเสยขึ้นฟุตบาท ทุกคนในรถตกใจ ร้องเสียงดังลั่น
พร้อมๆ กับที่รถเหินไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว



ภูมินทร์อ่านบันทึก ด้วยสีหน้าตระหนก
“อุบัติเหตุครั้งนั้น เราสองพี่น้องรอดตายราวกับปาฎิหาริย์ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าฉันเหมือนตายทั้งเป็นมากกว่า”
เขานิ่งอึ้งไปกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ พลันเสียงกดออดดังขึ้น ภูมินทร์หันไปมองที่ประตู พลางนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ
ขณะที่หน้าประตูห้อง สองแม่-ลูก ปณิตากับเปรมสุดา ก็กดออดรัวอย่างหงุดหงิด เพราะไม่มีคนมาเปิด
ทางด้านเด็กปิ่นเพชรที่ดึงประตูขังภูมินทร์ไว้ในห้องก็เริ่มหมดแรง
“เมื่อไหร่เจ๊จะกลับมา เค้าจะไม่ไหวแล้วนะ”

“หมายความว่าไงที่ว่าจะไม่รับผิดชอบ ในเมื่อคุณดูแลรถฉันไม่ดี”
พิณชนิดายังโวยวายเสียงดังกับเจ้าของอู่
เจ้าของอู่ชี้มือไปที่ป้าย “เห็นข้อความนั่นมั้ย”
พิณชนิดารีบหันไปอ่าน
“ถ้ามีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นภายในอู่ ทางอู่จะไม่รับผิดชอบ เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ฝากรถหมายความว่าฉันต้องออกค่าใช้จ่ายเอง“
“ถูก”
พิณชนิดาทำหน้าอย่างเซ็ง พลางเดินหน้างอออกจากอู่
“ทำไมฉันถึงได้ซวยแบบนี้นะ เฮ้ย! ลืมไปเลย”

พอภิชาสินีเดินออกมาจากในบ้านเก่าๆ โทรมๆ ในชุมชนแออัด ก็เจอผีผู้หญิงนั่งรออยู่
“เจอลูกฉันมั้ย”
ภิชาสินีส่ายหน้า ผีผู้หญิงหน้าเจื่อน เป็นห่วงลูก พลันก็มีชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาที่หน้าบ้าน
“นังเก๋ นังเก๋อยู่มั้ย”

ภิชาสินีรีบเดินไปถาม “มีอะไรเหรอคะป้า ? ”

ภิชาสินีวิ่งมา ก็เห็นไทยมุงกำลังมุงบางอย่าง พอเธอแหวกกลุ่มคนเข้ามา ก็เห็นเด็กผู้หญิงวัยประมาณ 7-8 ขวบ นอนหมดสติบนพื้น ผีผู้หญิงตามมายืนข้างๆ
 
“ลูกฉัน”
ภิชาสินีรีบเข้าไปดูเด็กผู้หญิง พลางหันไปทางชาวบ้าน
“มันเกิดอะไรขึ้น ?”
“มันคงหิว ก็เลยมาคุ้ยขยะกิน จนเป็นลมไปเนี่ย นังแม่มันเหลือเกิน ไม่รู้หายหัวไปไหน สงสัยมัวแต่รับแขกจนลืมลูก”
บรรดาไทยมุงเออออเห็นด้วย ภิชาสินีสุดทน รีบหันขวับไปด้วยความโมโห
“ถ้าไม่รู้อะไร ก็ไม่ต้องพูด แทนที่จะมานั่งด่าเค้า ช่วยเด็กก่อนไม่ดีกว่าเหรอ มีน้ำใจกันรึเปล่า?”
ได้ผลชาวบ้านหุบปากสนิท ภิชาสินีอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วรีบพาเดินออกไปทันที

พิณชนิดารีบกลับมาที่อพาร์ตเม้นท์ พลางเข้าไปถามแพนเค้กและขวัญทิพย์ที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่ 2 ผัว-เมียบอกว่า แขกที่มาหาเธอกลับไปนานแล้ว
หมอดูสาวรีบจ้ำเดินออกไป ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พอเดินเข้ามาในห้อง เธอก็บ่นกับตัวเอง
“เสียเครดิตสุดๆ หมอพิณ แบบนี้ต้องโทร. ไปขอโทษซักหน่อยแล้ว “
พลันเสียงแหบพร่าของปิ่นเพชรก็ดังขึ้น
“เจ๊พิณ”
พิณชนิดาหันไปเห็นปิ่นเพชรนั่งหมดสภาพพิงประตูห้องนอน ก็ตกใจ รีบถลาเข้าไปหา
“ปิ่นเพชร พี่ขอโทษ พี่ลืมไปเลย ว่าแต่นายนั่นยังอยู่ในห้องใช่มั้ย ขอบใจมาก”
“เดี๋ยว ขนมเค้าล่ะ อย่าบอกนะว่าลืม”
พิณชนิดายิ้มแห้งๆ
“อุ๊ย ลืมจริงด้วย อย่าโกรธพี่เลยนะครับ ถ้าไงเย็นนี้พี่จะสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงนะ”
“อ้อนขนาดนี้ ถ้าเค้าโกรธ เค้าก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว”
พิณชนิดาลูบหัวปิ่นเพชรด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็เดินเข้าในห้องนอน แล้วก็ต้องผงะ เมื่อเห็นภูมินทร์นั่งอยู่บนเตียง บนโต๊ะข้างๆ เตียงมีอัลบั้มวางกางอยู่หลายเล่ม พร้อมกับสมุดบันทึกของเธอ
ภูมินทร์กำลังดูรูปพิณชนิดาตอนเด็กๆ แล้วก็หัวเราะลั่น
“หน้าเธอตอนเด็กๆ นี่ตลกชะมัด เหมือนเด็กผู้ชาย แต่ฉันชอบรูปนี้ที่สุด เหมือนเล่นละครลิง”
ในรูปเป็นเด็กหญิงพิณชนิดาตอนเด็กๆ ทาแป้งขาวไปทั้งหน้า ภูมินทร์หัวเราะไม่หยุด พิณชนิดากระชากรูปคืน ทำเอาเขาหยุดขำแทบไม่ทัน
“ไม่มีมารยาท มาแอบดูของของคนอื่น โดยไม่ขออนุญาตได้ไง”
ภูมินทร์ยักไหล่ “มันช่วยไม่ได้ เธออยากขังฉันเอาไว้ในห้องทำไม ฉันไม่มีอะไรทำ”
“ไม่มีไรทำ ก็นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำมือซน มาจุ้นจ้านกับของของฉัน”
พูดพลางรีบเก็บรูปฃึ้นมา
“แล้วอีกอย่าง นายไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์รูปของฉันด้วย”
พอหันไปเห็นสมุดบันทึก ก็ยิ่งโกรธหนัก
“นอกจากรื้อห้อง แล้วยังอ่านบันทึกของฉันอีก”
ภูมินทร์ยิ้มขำ
“ใช่ มันทำให้ฉันรู้ว่า ไม่ใช่แค่ฉันที่เห็นเธอเป็นตัวประหลาด แต่เพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็เรียกเธอกับน้องสาวว่ายัยประหลาดด้วยเหมือนกัน”
พิณชนิดาฟาดสมุดใส่ภูมินทร์อย่างแรง ด้วยความโมโห
“ท่าทางพ่อแม่นายจะไม่เคยสั่งสอนมารยาททางสังคม ฉันก็เลยจะสั่งสอนนายแทนพ่อแม่ยังไงล่ะ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระหน่ำฟาดไม่ยั้ง ภูมินทร์จึงดันตัวเธอจนทั้งคู่ล้มไปบนเตียง แล้วกดแขนเธอไว้ จากนั้นก็ขึ้นคร่อม พิณชนิดาโวยลั่น
“ปล่อยฉัน”
“หยุด เพราะเธอเป็นแบบนี้ ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งป้าของเธอ ถึงทิ้งเธอกันไปหมด”
พิณชนิดาหน้าเสีย ภูมินทร์เองก็อึ้งที่เผลอพูดออกไปแบบนั้น พลางรีบปล่อยมือออกจากแขนแล้วลงมายืนข้างเตียง
พิณชนิดาลุกขึ้นตบหน้าภูมินทร์อย่างแรง จนอีกฝ่ายหน้าหัน
“ออกไป”

ภูมินทร์เดินหันหลังเดินออกไปอย่างรู้สึกผิด พิณชนิดาน้ำตาไหลพราก

ภิชาสินีนั่งอยู่ข้างเตียงเด็กหญิงที่ยังนอนไม่ได้สติ ด้วยความสงสารจับใจ ครู่หนึ่งเด็กหญิงก็ละเมอออกมา
 
“แม่ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน”
พอลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นภิชาสินีก็ทำหน้าแปลกใจ
“พี่เป็นใคร?”
ภิชาสินีฝืนยิ้ม “พี่เป็นเพื่อนกับแม่ของหนูจ้ะ”
“แล้วแม่หนูอยู่ไหน ? หนูคิดถึงแม่”
ประโยคซื่อๆ ของเด็กหญิง เอาภิชาสินีแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“แม่ของหนู แม่ของหนูไปสวรรค์แล้ว”
ผีผู้หญิงเดินมายืนข้างเตียงอีกด้าน มองลูกน้อยด้วยความเสียใจ
“แม่ตาย ?”
ภิชาสินีพยักหน้าทั้งน้ำตา
“แม่ของหนู เค้าเป็นห่วงหนูมาก เค้าเสียใจที่เค้าอยู่ดูแลหนูต่อไปอีกไม่ได้ เค้าฝากพี่บอกว่าเค้ารักหนูที่สุด”
“พี่เห็นแม่หนูเหรอ แม่หนูอยู่ไหน?”
“ข้างๆ หนูนั่นแหละ”
เด็กหญิงรีบหันไปด้านข้าง
“แม่จ๋า หนูรักแม่นะจ๊ะ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูโตแล้ว หนูดูแลตัวเองได้”
ภิชาสินีเดินเข้ามากอดเด็กหญิงเอาไว้แน่นด้วยความสงสาร

ในโรงพยาบาลเดียวกัน อรรถพรกำลังเล่นกีตาร์ ร้องเพลงให้เด็กๆที่นอนป่วยฟัง พอร้องจบ ทั้งเด็กๆ ทั้งพยาบาลก็ปรบมือลั่น อรรถพรยิ้มดีใจที่เห็นเด็กๆ มีความสุข
“วันนี้พี่เตรียมเพลงมาสามเพลง ถ้ายังไงคราวหน้าพี่จะเตรียมมาห้าเพลงเลยดีมั้ยครับ”
เด็กๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ดีค่ะ/ดีครับ”
“ทุกคนต้องสัญญากับพี่นะครับ ว่าอาทิตย์เราจะมาเจอกัน เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องทำอะไร?”
“ทานข้าวให้หมด นอนแต่หัวค่ำ กินยาให้ตรงเวลา”
อรรถพรยิ้ม “ถูกต้อง เก่งมาก ปรบมือให้ตัวเอง”

พยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาส่งอรรถพรที่หน้าตึก พลางหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ขอบคุณมากนะคะหมวด เพราะคุณแท้ๆ ทำให้เด็กๆ ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ”
อรรถพรพยักหน้าเศร้าๆ
“ผมก็ทำได้เท่านี้ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้เสียงเพลงของผม ทำให้พวกเค้ากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ยล่ะครับ”
พอเดินแยกจากพยาบาลมาตามทาง เขาก็เห็นผู้หญิงก้มหน้านั่งบนพื้นถนน จึงหยิบเศษตังค์ออกมา พลางวางเหรียญตรงหน้าเพราะนึกว่าเป็นขอทาน
“ฉันไม่ใช่ขอทาน”
ผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น อรรถพรชะงัก พอผู้หญิงเงยคนนั้นหน้าขึ้นมา เขาจึงเห็นว่าเป็น
ภิชาสินีที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จนตาบวมตุ่ย
“คุณนั่นเอง”
ภิชาสินีลุกขึ้นเดินหนี อรรถพรรีบเดินตาม พลางคว้าแขนอีกฝ่ายให้หันมา แล้วยื่นหน้าไปดมใกล้ๆ
ภิชาสินีตกใจ รีบดันหน้าอรรถพรออก “ดมฉันทำไม?”
“ดูว่ามีกลิ่นเหล้ารึเปล่า หรือว่าจะเล่นยามากจนเบลอ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คุณพูด ปล่อยฉันได้แล้ว”
อรรถพรจ้องหน้าอย่างจับผิด “ถ้างั้นก็ตอบมาว่ามานั่งทำอะไรตรงนี้”
ภิชาสินีอ้าปากจะตอบ แต่แล้วก็ชะงัก เพราะเห็นชายแก่ที่ยืนข้างหลังอรรถพร มองจ้องเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“เงียบทำไม แสดงว่าที่ผมพูดเป็นความจริงใช่มั้ย ? ”
พอภิชาสินีมองไปด้านหลังอรรถพรอีกครั้ง ชายแก่ก็หายไปแล้ว เธอรีบหันมาถามเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“คุณเคยฆ่าใครมั้ย?”
“บ้าสิคุณ ผมเป็นตำรวจนะ”
ภิชาสินีพึมพำกับตัวเองเบาๆ “แล้วลุงคนนั้นเป็นใคร?”
อรรถพรไม่คลายสงสัย พลางคว้ามือภิชาสินีข้างหนึ่งมาจับใส่กุญแจมือ แล้วสวมกุญแจมืออีกข้างไว้ที่มือตัวเอง จากนั้นก็พาไปตรวจหาสารเสพติด แต่ปรากฏว่าผลตรวจออกมา กลับไม่พบสารเสพติดใดๆ ทั้งสิ้นในตัวของเธอ อรรถพรทำหน้าเหวอ ขณะที่ภิชาสินีหันมามองอย่างเอาเรื่อง

“ปล่อยฉันได้แล้วนะ พรุ่งนี้ผู้กำกับสน.ของคุณ เข้างานกี่โมง ? ฉันจะทำเรื่องฟ้องคุณข้อหากระทำชำเรา”

อรรถพรถึงกับสะอึก “เฮ้ย! ผมไม่ได้ทำอะไรคุณแบบนั้นซักหน่อย”
 
“ฉันพูดผิด ฉันจะฟ้องคุณที่ยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ฉัน โดยที่ไม่มีหลักฐาน เตรียมถูกลดตำแหน่งได้เลย “
พูดจบภิชาสินีพูดจบก็จ้ำเดินออกไปทันที อรรถพรรีบสาวเท้าก้าวตามไปติด ๆ

ยอดกับฉัตรย้อนกลับมาที่อู่ เพื่อถามหาเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของรถเต่า แต่เจ้าของอุ๋ส่ายหน้ายิก
“ไม่ได้ให้ รถถูกทุบกระจกแตก เค้าด่าฉันเช็ดเม็ด บอกว่าพรุ่งนี้จะให้รถมาลากไปซ่อมที่อื่น ไม่รู้ใครเป็นคนทำ ถ้าเจอจะขับรถชนเอาให้เดี้ยง”
ยอดกับฉัตรพูดไม่ออก ได้แต่หันมามองหน้ากัน

พอทั้งคู่เดินผละออกมาจากอุ่ เสียงมือถือของยอดก็ดังขึ้นมาพอดี เขารีบกดรับสาย
“ผมยังไม่รู้เลยครับว่าใครเป็นเจ้าของรถ”
ยอดสะดุ้ง ก่อนจะวางสาย พลางหันมาบอกกับฉัตร
“เจ้านายให้เวลาเราอีกสามวัน เมื่อกี๊ไอ้เจ้าของอู่บอกว่าเจ้าของรถเต่าจะเข้ามาเอารถวันพรุ่งนี้ใช่มั้ย ถ้างั้นเราก็เฝ้ามันที่นี่แหละ”

ภิชาสินีเดินลิ่วๆ กลับเข้ามาที่อพาร์ตเม้นท์ โดยมีอรรถพรตามมาติดๆ ขวัญทิพย์กับแพนเค้กเห็นท่าทีของทั้งคู่ก็ป้องปากกระซิบกัน
“สงสัยเราจะได้คู่จิ้นคู่ใหม่แล้วล่ะผัวจ๊ะผัวจ๋า”

ภิชาสินีเดินมาจนถึงหน้าห้อง อรรถพรยังคงตามมาติดๆ พอเธอจะเปิดประตู เขาก็รีบเอามือยันประตูไม่ให้เปิด
“หลีก”
“ไม่หลีกจนกว่าคุณจะเปลี่ยนใจไม่ฟ้องเจ้านายผม”
ภิชาสินีแบะปาก “กลัว?”
อรรถพรชะงักเพราะกลัวจริงๆ แต่ทำเป็นปากเข็ง
“ผมไม่ได้กลัว แต่ผมเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง ยังมีอนาคตอีกไกล ผมไม่อยากต้องมาหมดอนาคตเพราะคุณ”
“ถ้าพูดแบบนี้ งั้นฉันจะโทร. ไปที่โรงพักของคุณให้ต่อสายตรงไปถึงท่านผู้กำกับตอนนี้เลยดีมั้ย?”
อรรถพรตาเหลือก
“ไม่ดี เอาเป็นว่า ผมขอโทษ ขอโทษที่เข้าใจคุณผิด พอใจยัง?”
“ยัง” ภิชาสินีตวาดใส่หน้า
“แล้วผมต้องทำยังไง คุณถึงจะยอมยกโทษ และเปลี่ยนใจไม่ฟ้องเจ้านายผม”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ถ้านึกออกแล้วจะบอก”
พูดพลางดันอีกฝ่ายให้ออกไป แล้วก็รีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเต็มแรง อรรถพรได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง

ภูมินทร์นั่งทำหน้าบูดอยู่ที่โซฟา ขณะที่เสียงท้องร้องโครกครากๆ พอหันไปเห็นภิชาสินีเดินเข้ามาก็ยิ้มดีใจ
“กลับมาก็ดีแล้ว ทำอะไรให้ฉันกินที”
ภิชาสินีมองหน้าภูมินทร์นิ่งๆ พลางเดินต่อเข้าห้องนอนไปอย่างไม่ไยดี เพราะรู้จากปิ่นเพชรว่า ภูมินทร์ก่อเรื่องทำให้พิณชนิดาไม่พอใจ
ภูมินทร์หงุดหงิด “ประหลาดพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง”

พอภิชาสินีเดินเข้ามาในห้องนอน ก็เห็นพิณชนิดานั่งพิงเตียงอยู่บนพื้น บนเตียงยังมีรูปวางเกลื่อน เธอมองอย่างแปลกใจ พลางเดินมานั่งข้างๆ พี่สาว
“ไอ้ไข่เน่านั่นมันทำอะไรพี่ ?”
“เค้าไม่ได้ทำ แต่คำพูดของเค้า ทำให้พี่นึกถึงเรื่องเก่าๆ”
พิณชนิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่

พิณชนิดาย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ขณะที่เธออยู่ในวัย 10 ขวบ และภิชาสินีวัย 5 ขวบ นั่งร้องไห้อยู่ในงานศพ มีรูปปราชญ์กับกานต์กมลตั้งอยู่หน้าโลงศพสองโลงที่ตั้งไว้เคียงกัน พัณทิพาเดินมามองหลานสาวสองคนด้วยความสงสาร
“อย่าเสียใจไปเลยนะลูก พ่อแม่เราเค้าไปสบายแล้ว ต่อไปนี้ป้าจะดูแลลูกสองคนเอง มาอยู่กับป้านะลูกนะ”
เด็กหญิงทั้งคู่โผเข้ากอดพัณทิพาแล้วร้องไห้โฮ

จากนั้นก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ขณะที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธมปลาย เช้าวันหนึ่งพัณทิพาไม่ลงมากินข้าวตามปกติ พิณชนิดารีบเดินขึ้นไปดุบนห้อง แล้วก็ตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นร่างของป้านอนหมดสติอยู่บนพื้น

“ทำไมป้าทิ้งพวกเราไปแบบนี้ล่ะคะ แล้วต่อไปนี้ พิณกับภิจะไปอยู่กับใคร”

พิณชนิดากอดศพพัณทิพาแล้วร้องไห้ไฮอยู่ในโรงพยาบาล ภิชาสินีก็อยู่ในอาการไม่ต่างกัน

ในงานศพของพัณทิพา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็ซุบซิบนินทากัน
“ฉันว่าเด็กสองคนนี้เป็นมารมาเกิดแท้ๆ พ่อกับแม่เด็กสองคนนี้ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ เด็กสองคนนี้อยู่ในรถด้วย แต่กลับไม่ตาย พอย้ายมาอยู่กับป้า ไม่นานป้าก็ตายไปอีกคน”
พิณชนิดากับภิชาสินีได้ยินชัดทุกถ้อยคำ 2 คนพี่-น้องหันมามองหน้ากันด้วยความเศร้าเสียใจ

“หลังจากนั้น คนรอบข้างก็มองเราสองคนเป็นตัวประหลาดบ้าง เป็นตัวซวยบ้าง แล้วมันใช่ความผิดของเราเหรอที่ทำให้พ่อ แม่ แล้วก็ป้าต้องตาย”
พิณชนิดายังคงนั่งหน้าเครียดอยู่ในท่าเดิม ภิชาสินีนิ่งไปซักพัก ก่อนจะตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอมาให้พี่สาวฟัง
“วันนี้ฉันไปเจอเด็กคนหนึ่ง แม่เค้าตายมาสองวันแล้ว แต่เด็กคนนั้นไม่รู้ พอเค้ารู้ว่าแม่เค้าตาย เค้าพูดอะไรกับภิพี่รู้มั้ย เค้าบอกให้แม่ไม่ต้องห่วงเค้า เค้าจะดูแลตัวเอง เด็กตัวนิดเดียวยังเข้มแข็ง เราตัวโตกว่าตั้งเยอะ เราก็ต้องเข้มแข็งนะพี่”
พิณชนิดาคิดตาม แล้วก็พยักหน้า
“นั่นสินะ เราต้องห้ามอ่อนแอเด็ดขาด ขอบใจมากนะน้องรัก ที่ทำให้พี่คิดได้”
“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปกับนายไข่เจียว ?”
“มันก็ต้องมีบทลงโทษนิดหน่อย สำหรับความปากเสียของนายนั่น”
พิณชนิดาหรี่ตา และยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์

พอพิณชนิดากับภิชาสินีเดินออกมาจากห้องนอน ภูมินทร์ก็หันไปมองอย่างมีความหวัง
“กว่าจะออกมาได้ นี่มันกี่โมงแล้วเห็นมั้ย ฉันหิวจนไส้จะขาด”
พิณชนิดาทำทีเป็นหันมาทางน้องสาว “น้องภิ น้องได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า ?”
“ไม่ได้ยินเลยจ๊ะ”
2 พี่-น้องหันมายิ้มให้กัน
“เราไปกินจุ่มแซบที่หน้าปากซอยดีกว่า”
ภิชาสินีพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือออกไปด้วยกัน ภูมินทร์ทั้งเหวอ ทั้งหงุดหงิด
“แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเรา นึกว่าฉันจะง้อเหรอ หากินเองก็ได้”

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ปราชญ์กำลังเพ่งมองกระป๋องบนพื้น มีกานต์กมลกับพัณทิพาลุ้น เจ้าที่คนแคระยืนอยู่ด้วย ไม่นานกระป๋องก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ทุกคนร้องตะโกนลั่นด้วยความดีใจ
 
ผีเจ้าที่รีบบอก
“อย่าเพิ่งดีใจ นี่แค่บทเรียนที่หนึ่ง ยังเหลืออีกสองบทเรียน นั่นก็คือ การทำของให้ลอย และการสิงร่าง พร้อมจะฝึกกันต่อเหรอยัง”
วิญญาณทั้งสามตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน “พร้อมค่ะ / พร้อมครับ”

ถุงขนมวางเกลื่อนเต็มโต๊ะ ภูมินทร์ดื่มน้ำอักๆ แล้วก็เรอเสียงดังอ ก่อนจะหันไปดูนาฬิกา เห็นเป็นเวลาสี่ทุ่ม
“ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ไม่คิดจะห่วงเราบ้างเหรอไง?”
ทันใดนั้นปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพา ก็ปรากฎตัวขึ้นมากลางห้อง พอเห็นสภาพบนโต๊ะแล้วก็ตกใจ
กานต์กมลมองไปรอบแล้วก็นึกสงสัย “ทำไมบ้านเงียบๆ ยัยพิณกับยัยภิไม่อยู่เหรอ?”
“ไม่อยู่ก็ดี เราจะได้ใช้วิชาที่เรียนมาเล่นงานมันซะเลย”
ปราชญ์ยิ้มมุมปาก กานต์กมล พัณทิพาพยักหน้าเห็นด้วย

ขณะที่ภูมินทร์กำลังเทน้ำจากขวดใส่แก้ว ปราชญ์ก็เพ่งมองไปที่ห่อขนมบนโต๊ะ แต่ทุกอย่างกลับแน่นิ่ง พอรวบรวมสมาธิเพ่งมองไปอีกรอบ ห่อขนมก็หล่นจากโต๊ะ ภูมินทร์หันมามองๆ แล้วก็หยิบถุงขนมบนพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะตามเดิม
ปราชญ์ถึงกับหน้าเหวอ “นี่มันไม่กลัวเลยเหรอ”
พัณทิพาส่ายหน้า “เค้าไม่เห็นตอนมันเคลื่อนที่ เค้าจะกลัวได้ไง แกนี่มันไม่ได้เรื่อง”
จากนั้นกานต์กมลก็ขอลองบ้าง โดยการเพ่งสมาธิไปที่รีโมททีวี จนมันลอยขึ้นมา ปราชญ์กับกานต์กมลดีใจ แต่ภูมินทร์กลับก้มหน้ามองอย่างอื่น จึงไม่ทันเห็น

กานต์กมลเพิ่งสมาธิจนหมดแรง ทำให้รีโมทร่วงหล่นที่พื้น ภูมินทร์หันมองอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไร

วิญญาณทั้งสาม ส่ายหน้าผิดหวัง ก่อนที่ปราชญ์จะบอกว่าต้องจัดการขั้นเด็ดขาด นั่นคือ

สิงร่าง !!!

วิญญาณทั้งสามมายืนออกันตรงเคาน์เตอร์หน้าอพาร์ตเม้นต์ตั้งใจจะสิงร่างขวัญทิพย์ แต่บังเอิญแพนเค้กเดินมาตัดหน้า เลยถูกพัณทิพาสิงเข้าร่าง แพนเค้กสะดุ้งเฮือก ตาโต ปราชญ์กับกานต์กมลตกใจ“พี่พาสิงผิดคน”
แพนเค้กก้มมองร่างตัวเอง สีหน้าตื่นตระหนก ขวัญทิพย์หันไปมองอย่างสงสัย
“ผัวเป็นอะไร ทำหน้าหยั่งกับเห็นผี”
แพนเค้กเงยหน้ามองขวัญทิพย์ แล้วพูดออกมาเป็นเสียงพัณทิพา
“เปล่า แฮ่ม เอ่อ คือ รู้สึกปวดหัว ขอตัวไปนอนก่อนนะ”
แพนเค้กรีบเดินออกไป ขวัญทิพย์หันไปมองตาม พลางนึกประหลาดใจ

พัณทิพาในร่างของแพนเค้กกล้ำกลืนฝืนทนเพราะรับร่างที่ตัวเองสิงอยู่ไม่ได้ พลางหันมาพูดกับปราชญ์ และกานต์กมล
“ฉันรับสารร่างของฉันไม่ได้ ฉันจะออก และหาร่างใหม่”
แต่ปราชญ์รีบท้วงไว้
“ไม่ได้นะพี่พา จำที่เจ้าที่บอกไม่ได้เหรอว่าเราสิงร่างได้แค่วันล่ะครั้งเท่านั้น เราไม่มีเวลาแล้ว”

พิณชนิดากำลังร้องคาราโอเกะกับตู้คาราโอเกะเก่าๆ ในร้านจุ่มแซ่บ แต่ก็ร้องเพี้ยนมากจนภิชาสินีและปิ่นเพชรส่ายหน้าอย่างระอา ทางด้านภูมินทร์ก็นั่งรออยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตู ก็ยิ้มดีใจ รีบเดินไปเปิดประตูทันที แต่กลับเห็นแพนเค้กยืนอยู่หน้าห้อง
“มีอะไร?”
แพนเค้กตะคอกกลับด้วยเเสียงพัณทิพา “ออกไป”
ภูมินทร์ชะงักมองอย่างแปลกใจในน้ำเสียง “ว่าไงนะ?”
แพนเค้กลืมตาเห็นแต่ตาขาว แล้วตะคอกซ้ำ “ออก-ไป”
ปราชญ์กับกานต์กมลปรากฏตัวมายืนมองอย่างชอบอกชอบใจ ภูมินทร์ที่เหมือนจะกลัว แต่กลับยื่นหน้าออกไปมองหน้าห้อง
“มีกล้องซ่อนอยู่แถวนี้เหรอ ?”
“กล้องอะไร?” พัณทิพาในร่างแพนเค้กย้อนถามแบบงงๆ
“ก็แบบว่ารายการล้อกันเล่นขำๆ ไง คิดว่าแค่นี้จะทำให้ผมกลัวเหรอ ไอ้ตาขาวๆ ใส่คอนแทคเลนส์ แล้วก็ดัดเสียงใช่ป่ะ”
แพนเค้กหันไปมองปราชญ์กับกานต์กมล แล้วหันกลับมามองภูมินทร์อีกครั้ง
“นี่ไม่กลัวเลยเหรอ ?”
ภูมินทร์ส่ายหน้าเซ็งๆ “มุกเด็กๆ”
“ เด็กเหรอ? งั้นฉันจะโชว์ของจริงให้ดู”
พูดพลางแกล้งทำตาเหลือก แล้วก็กระโดดเกาะกำแพง จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเพดานด้วยความรวดเร็ว ภูมินทร์อ้าปากค้าง แล้วก็เป็นลมล้มพับไปตรงนั้นเอง

พัณทิพาในร่างแพนเค้ก พร้อมกับปราชญ์ และกานต์กมล หัวเราะชอบใจ

ภูมินทร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นพิณชนิดากับภิชาสินียืนก้มหน้ามองอยู่ ก็ตกใจ สะดุ้งเฮือก รีบลุกขึ้นมานั่ง
2 พี่-น้องมองเขาอย่างแปลกใจ
“นายไข่เจียว ถ้านายง่วงมาก ก็มานอนที่โซฟาสิ ไปนอนหน้าห้องทำไม รู้มั้ยฉันกับภิเรียกนายเท่าไหร่ นายก็ไม่ตื่น เราก็เลยต้องแบกนายเข้ามา“
ภูมินทร์ทำหน้าเหรอ “สงสัยจะฝัน”
พิณชนิดารีบถามต่อทันที “ฝันอะไร ไหนเล่ามาสิ ฉันทำนายความฝันได้ เผื่อฝันของนายอาจจะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง”
ภูมินทร์ส่ายหน้า
“ฝันก็คือฝัน อย่าโยงกับการดูดวงของเธอหน่อยเลย เธอสองคนจะไปไหนก็ไป ฉันจะนอน”
พุดพลางล้มตัวหลับตา สองพี่-น้องมองหน้ากันเหวอๆ วิญาณของปราชญ์ กานต์กมล พัณทิพา ส่ายหน้าเซ็ง
“มันคิดว่าสิ่งที่เห็นคือความฝัน? โอ้มายก๊อด”

สิรวิทย์ซื้อโจ๊กมาฝากเปรมสุดากับปณิตาที่บ้าน พลางรีบบอกว่าจะออกไปตามเบาะแสของภูมินทร์ต่อ
“วันนี้จะไปคุยกับตำรวจว่าได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้าง “
ปณิตาขมวดคิ้ว “เอ เท่าที่น้าจำได้ คุณสัญชัยไม่ให้แจ้งความไม่ใช่เหรอ? “
“พอดีผมมีเพื่อนเป็นตำรวจที่สนิทกัน เค้าช่วยปิดข่าวเรื่องภูให้ได้น่ะครับ ถ้างั้น ผมลานะครับ”
เปรมสุดาเดินออกไปส่งสิรวิทย์ ปณิตามองโจ๊กแล้วก็เบ้หน้าอย่างดูถูก

“ก็แค่โจ๊ก นังน้อย เอาโจ๊กไปกิน”

พรายพยากรณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)

เปรมสุดาที่เดินออกมาส่งสิรวิทย์ คว้ามือเขามาเกาะกุมไว้ ฝ่ายถูกกุมมือมองอย่างแปลกใจ
 
“สุดาขอบคุณวิทย์มากนะคะ ที่วิทย์อยู่เคียงข้างสุดามาตลอด โดยเฉพาะในวันที่สุดาเป็นทุกข์อย่างในวันนี้”
สิรวิทย์ยิ้มให้ พลางบีบมือเปรมสุดาแน่น
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมเต็มใจที่จะทำเพื่อคุณ เอ่อ เพราะว่าคุณเป็นแฟนกับนายภู เพื่อนสนิทผม ผมก็ต้องดูแลคุณด้วย”
เปรมสุดาทำทีเป็นถอนใจ
“น่าเสียดายนะคะที่เราเจอกันช้าไป ถ้าสุดาเจอคุณก่อนหน้าที่จะเจอภู บางทีเราสองคน เฮ้อ ช่างมันเถอะ อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย”
สิรวิทย์ค่อยๆ ดึงมือออกมา “ผมไปนะครับ มีอะไรก็โทร. หาได้”
เปรมสุดาพยักหน้ายิ้มๆ แต่พอคล้อยหลังสิรวิทย์ ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร้าย

พอเปรมสุดกาเดินกลับเข้ามา ปณิตาก็ติงว่าถ้าจะบริหารเสน่ห์ ก็ให้เลือกคนบ้าง
“สุดาก็แค่เก็บไว้เป็นตัวสำรอง แล้วอีกอย่างวิทย์เค้าก็ไม่ใช่ไก่กา เป็นถึงเจ้าของบริษัท”
ปณิตาแบะปาก
“เป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยเนี่ยนะ? จะมีเงินถุงเงินถังซักกี่มากน้อยเชียว แม่ว่าคุณแสงโชติยังดีซะกว่า”
“สุดาก็แค่ขำๆ ไม่ได้คิดจะจริงจัง เพราะยังไงคนที่สุดาจะแต่งงานด้วยก็คือภูคนเดียวเท่านั้น”
เปรมสุดพาพูดจบ พร้อมๆ กับเสียงมือถือของปณิตาดังขึ้น
“ฉันหมอพิณนะคะ เมื่อวานนี้ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ผิดนัดคุณ พอดีฉันมีธุระด่วนที่เลี่ยงไม่ได้น่ะค่ะ”
พิณชนิดายืนคุยโทรศัพท์ โดยมีภูมินทร์ยืนฟังอยู่ข้างๆ
“คุณว่างวันไหน ฉันจะไปดูให้ที่บ้าน วันนี้ ? เออ ไม่ใช่ไม่ว่างค่ะ ได้ค่ะได้ ถ้าไงรบกวนคุณไลน์แผนที่บ้านมาให้พิณด้วยนะคะ”
พิณชนิดาวางสาย พลางทำหน้าครุ่นคิด
“ต้องให้ใครไปที่อู่แทน ยัยภิก็ไปเรียนซะด้วยสิ”

ในที่สุดพิณชนิดาก็มาไหว้วานให้หนึ่งช่วยไปดูรถที่อู่ให้ เด็กหนุ่มขันอาสาอย่างเต็มใจ
“ได้เลยครับพี่พิณ ต่อให้ต้องไปคว้าเดือนเก็บดาว หนึ่งก็จะไปครับ”
“ขอบใจนะ”
หนึ่งยิ้มเขินๆ “เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นคำว่าไอเลิฟยูได้ป่ะครับ อุ๊ย ผมล้อเล่น”
พิณชนิดาพยักหน้า พลางคิดในใจ
“เราไม่ควรปล่อยให้นายไข่เจียวอยู่ตามลำพังในห้อง”
จากนั้นก็หันมาบอกหนึ่ง
“พี่มีเรื่องอยากให้ช่วยอีกเรื่อง”

หนึ่งมองพิณชนิดาอย่างสงสัย

ภูมินทร์ไม่พอใจที่โดนพิณชนิดาบังคับให้ต้องออกไปข้างนอกกับหนึ่ง
 
“ทำไมฉันต้องไปกับไอ้เด็กข้างห้องนั่นด้วย ?”
“เพราะฉันไม่ต้องการให้นายอยู่ในบ้านฉันคนเดียวน่ะสิ”
ภูมินทร์ยักไหล่ “ฉันจะอยู่ เธอจะทำอะไรฉันได้”
พิณชนิดาหรี่ตามอง พลางหันไปสั่งปิ่นเพชรให้สำแดงฤทธิ์เปลี่ยนเป็นเด็กสลับกับเป็นตุ๊กแกหลอกให้ภูมินทร์กลัว แต่กลับไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายนึกว่าพิณชนิดากับเด็กปิ่นเพชรรวมหัวกันเล่นกลแหกตา จนพิณชนิดาทนไม่ไหว
“เชื่อหรือไม่เชื่อ นายก็ต้องออกไปกับหนึ่ง”
ภูมินทร์ยืนยัน “ฉันไม่ไป”
“ถ้าไม่ไป ก็เตรียมอดข้าว อดน้ำ นอนข้างถนนได้เลย”
พิณชนิดาพูดด้วยน้ำเสียง และท่าทีเอาจริง จนภูมินทร์อึ้ง


สิรวิทย์ยืนคุยกับก้องภพในห้องทำงานของภูมินทร์ ด้วยสีหน้าหนักใจทั้งคู่
“ผมให้เพื่อนสนิทที่เป็นตำรวจ ลองตรวจสอบแถวที่ภูหายตัวไป ก็เจอว่าแถวนั้นมีโรงพยาบาลสามสี่แห่ง แต่เช็คดูแล้ว ไม่มีคนเจ็บที่ชื่อภูมินทร์เข้ามารักษาตัวที่ไหนเลย”
ก้องภพหน้าเครียด “เหมือนคุณภูหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย น่าแปลก แปลกมาก”
“ผมก็คิดเหมือนคุณ แล้วผมก็กังวลใจอีกเรื่อง ผมกลัวภูจะถูกอุ้ม”
“ผมว่าเราต้องลงประกาศตามหาตัวคุณภู”
สิรวิทย์รีบท้วง “แต่คุณสัญชัยสั่งห้ามไม่ใช่เหรอ ? ”
“ผมไม่สน ถ้าผมจะโดนตำหนิที่ขัดคำสั่งผมก็ยอม ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณภูมากกว่า “
สิรวิทย์พยักหน้าเห็นด้วย แสงโชติแอบฟังอยู่ พลางทำหน้าเครียด

ขณะที่สัญชัยกำลังประชุมอยู่กับทีมงานระดับผู้บริหาร ทุกคนออกปากชม ว่าเขาพูดตรงประเด็นเข้าใจง่าย ไม่เหมือนกับภูมินทร์ที่ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร ก่อนที่ผู้บริหารคนหนึ่งจะออกออกมาว่า
“คุณสัญชัยน่าจะเป็นประธานบริหารแทนนะครับ”
สัญชัยรีบโบกมือห้าม
“อย่าพูดแบบนี้เลยครับ ตาภูยังเด็ก ประสบการณ์ยังน้อย ก็เลยทำให้บางที ทำอะไรลงไปโดยไม่คิด ยังไงผมก็เป็นประธานไม่ได้หรอกครับ เพราะว่านี่เป็นบริษัทของพ่อเค้า ถ้ายังไง ผมจะไปเตือนตาภูให้ก็แล้วกัน”
ผู้บริหารพยักหน้าแล้วก็พากันเดินออกไป ทิ้งให้สัญชัยนั่งอยู่ในห้องอย่างสบายใจคนเดียว
“จะว่าไปเก้าอี้ท่านประธาน มันก็นั่งสบายจริงๆ”
จังหวะนั้นเอง แสงโชติก็พรวดพราดเข้ามา

“พ่อ ไอ้ก้องภพ มันจะลงประกาศตามหาตัวไอ้ภู”

สัญชัยรีบเดินนำแสงโชติเดินมาดักหน้าก้องภพ
 
“ได้ข่าวว่าคุณจะลงประกาศตามหาตาภู”
ก้องภพถึงกับผงะ
“ครับ ผมเห็นว่านี่มันก็สามสี่วันแล้วที่คุณภูหายตัวไป และเราไม่มีความคืบหน้า ผมคิดว่าเราจำเป็น...”
สัญชัยรีบยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ แสงโชติยิ้มมุมปาก แต่...
“ผมก็ว่าจะบอกคุณเรื่องนี้เหมือนกัน”
ก้องภพอึ้ง แสงโชติหันไปมองพ่ออย่างไม่พอใจ
“ประกาศลงหนังสือพิมพ์ให้ทันกรอบบ่ายวันนี้ ให้เบอร์โทรศัพท์ผมได้เลย ฝากด้วยนะก้อง”
ก้องภพรับคำ พลางหันไปมองแสงโชติยิ้มๆ

“ทำไมพ่อยอมให้มันลงประกาศตามหาไอ้ภู ปล่อยให้มันหายสาบสูญไปน่ะดีแล้ว”
แสงโชติรีบคาดคั้นถามพ่อ เมื่ออยู่กันตามลำพัง สัญชัยหันขวับไปมองหน้าลุกชายเป็นเชิงตำหนิ “หยุดนะแสงโชติ พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าตาภูเป็นพี่ชาย เราควรพูดถึงเค้าดีดี ถ้าเกิดใครได้ยิน เค้าจะนินทาแก”
แสงโชติยักไหล่ “ผมไม่แคร์ ก็ผมเกลียดมัน สิ่งที่มันทำกับเราสองคนพ่อลูก มันไม่น่าให้อภัย มันไล่เราสองคนจากบ้านใหญ่ ให้ไปอยู่บ้านหลังเล็ก มันไม่เคยให้ความเคารพพ่อ และมันก็ไม่เคยเห็นผมเป็นน้องชาย แล้วทำไมเราต้องทำดีกับมันด้วย”
“เพราะเราเป็นสายเลือดเดียวกัน แล้วเราก็เหลือกันอยู่แค่สามคน พ่ออยากให้ลูกสงสารคนอย่างตาภูมากๆ เค้าเป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ทำให้มีแต่คนเกลียดเค้า ถ้าคนในครอบครัวไม่ให้กำลังใจ พ่อเป็นห่วง กลัวตาภูจะเสียอนาคต “

พูดจบสัญชัยก็หันหลังเดินไปนั่ง แสงโชติส่ายหน้าอย่างหัวเสีย

ภูมินทร์นั่งมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายหนึ่งมาตามถนน พลางโอบเอวไว้แน่น ดูราวกับเป็นคู่รักกัน
 
“พี่จะกอดผมไมเนี่ย คนมองกันทั้งถนนแล้วเห็นมั้ย ? เค้านึกว่าพี่กับผมเป็นแฟนกัน ”
ภูมินทร์หันไปเห็นคนที่มองมา ต่างก็ยิ้มกรุ่มกริ่ม
“เฮ่ย ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ ก็ไม่ต้องกอด นั่งเฉยๆ ไม่หล่นหรอกพี่”
“ไม่ เพื่อความปลอดภัย”
พูดพลางยิ่งกอดหนึ่งแน่นเข้า

ยอดที่หลบอยู่ในรถกะบะ เห็นหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ มีภูมินทร์ซ้อนท้ายเข้ามาที่อู่ ก็รีบหันไปสะกิดปลุกฉัตรที่กำลังหลับ
“ไอ้ฉัตรตื่น ไอ้สองคนนั้นท่าทางน่าสงสัย”
จากนั้นทั้งคู่ก็รีบโผล่หน้าไปมอง ขณะที่หนึ่งกับภูมินทร์ยืนคุยอยู่กับเจ้าของอู่
“รถลากกำลังมานะพี่”
เจ้าของอู่พยักหน้า ยอดกับฉัตรมองหน้ากัน
“เจ้าของรถ?”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น ยอดกดรับสายแล้วก็ต้องชะงัก
“ครับ คุณแสงโชติ”
“พ่อฝากให้ฉันมาบอกพวกแกว่าถ้าเจอเจ้าของรถ ให้บอกฉันได้เลย”
แสงโชติรีบบอกมาทางปลายสาย
“ผมเจอแล้วครับ”
“ ที่ไหน ?”

ทางด้านพิณชนิดาก็มาถึงบ้านของปณิตากับเปรมสุดาเพื่อดูดวงให้ตามที่นัดหมายกันไว้
“เพื่อเป็นการขอโทษที่เมื่อวานฉันดูดวงให้คุณไม่ได้ วันนี้ฉันจะให้คุณถามได้ห้าข้อ จากปกติถามได้สามข้อค่ะ ตั้งจิตอธิษฐานและสับไพ่เลยค่ะ”
ปณิตาสะกิดลูกสาว เปรมสุดาหยิบไพ่ขึ้นมา พลางหลับตาอธิษฐาน

ขระที่ภิชาสินีเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองอยู่ พอเธอหันขวับไปมอง ก็เห็นชายแก่ คนเดียวกับที่มองอรรถพรในโรงพยาบาลยืนหน้าเศร้าอยู่
“คุณปู่”

ชายแก่มองหน้าภิชาสินี ด้วยแววตาเศร้าหมอง


จบตอนที่ 2 
กำลังโหลดความคิดเห็น