xs
xsm
sm
md
lg

ทางเดินแห่งรัก ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทางเดินแห่งรัก ตอนที่ 2
นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงส่งเสียงปลุกเวลา7:45 เจนงัวเงียกระเด้งลุกขึ้นมานั่ง เธอเอื้อมมือปิดเสียงนาฬิกา แล้วก็เอนหลังทิ้งตัวลงนอนต่อพร้อมกับเอาผ้าห่มคลุมหัว จู่ๆ เจนก็นึกขึ้นได้จึงกระเด้งลุกขึ้นมาอีกครั้ง
"เฮ้ย! วันนี้เข้ากะเช้า"
เจนกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน

พนักงานคอลเซ็นเตอร์กำลังทำงานอยู่ในออฟฟิศกลางเมือง บางคนเพิ่งเข้ากะกำลังเตรียมตัวทำงาน เจนที่อยู่ที่โต๊ะซึ่งมีฉากกั้นขยับกระจกที่ติดไว้ที่มุมหนึ่งให้เห็นหน้าตัวเอง แล้วฝึกยิ้มขณะพูด
"ดิฉันเจนจิรารับสายค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ"
เพื่อนโต๊ะข้างๆหันมามองเจน
"แหม วันนี้อารมณ์ดีเชียวนะเจน สงสัยเพราะได้ไปสูดไอทะเลมาแน่ๆเลยใช่ไหม"
"ที่อารมณ์ดีก็เพราะฉันเลิกกับท็อปแล้วต่างหาก" เจนบอก
เพื่อนร่วมงานที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งได้ยินแล้วถึงกับต้องหันมาเมาท์ด้วย
"เฮ้ย เลิกแล้วเหรอ เพิ่งเป็นแฟนได้ไม่ถึงเดือนไม่ใช่เหรอ"
"แหม ของแบบนี้แค่สองสามอาทิตย์ก็รู้แล้วว่าใช่ไม่ใช่ ในเมื่อมันไม่ใช่จะไปเสียเวลาทำไม กลับมาเป็นโสดแล้วมุ่งหน้าหาชายในฝันต่อไปดีกว่า" เจนบอก
"โห... ชายในฝัน พูดยังกะจะหาเจอได้ง่ายๆ ตามป้ายรถเมล์"
"มันไม่ง่าย แต่ฉันมั่นใจ ว่าต้องเจอ" เจนว่า
สีหน้าของเจนมุ่งมั่นสุดฤทธิ์

ซันกำลังตรวจงานอยู่ที่โต๊ะ เธอกุมขมับด้วยความเครียด มือของใครบางคนเคาะที่ประตูดังก๊อกๆ ซันยังหงุดหงิดอยู่จึงพูดโดยยังไม่ทันเห็นหน้าคนเข้ามา
"ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่มีอารมณ์คุยงานกับใครทัั้งนั้น"
ซันเงยหน้าขึ้นมามองที่ประตูก็เห็นวุธยืนยิ้มขำๆอยู่ ซันชะงัก
"มีเรื่องให้เครียดขนาดนั้นเลยเหรอ"
"นายอีกแล้ว นี่งานตัวเองไม่มีทำหรือไง"
"มี แต่อยากแวะมาหา จะถามว่ากลางวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหม"
"ไม่ล่ะ ยุ่งอยู่"
"กองทัพเดินด้วยท้องนะซัน จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องกินน่า เอาเป็นว่าเจอกันตอนเที่ยงนะ เดี๋ยวเรามาหา"
"วุธ.. ฉันบอกว่าไม่ไป"
"นี่เป็นอะไรอีกล่ะ เมื่อวานนี้ที่หัวหินยังคุยกันสนุกอยู่เลย" วุธงง
"นั่นมันเมื่อวาน แต่นี่มันวันนี้ เรื่องเมื่อวานมันจบไปแล้ว ส่วนวันนี้มันเป็นเวลาที่จะต้องกลับเข้าสู่โลกความจริง" ซันบอก
วุธงง "แล้วโลกความจริงของเธอมันคืออะไร"
ซันพูดไม่ออก เพราะความจริงซันคิดเรื่องที่วุธมีจ๋าเป็นแฟนอยู่แล้ว
ขณะที่สถานการณ์กำลังอึดอัด เจ้านายก็มาถึงห้องซันพอดี
"อ้าว วุธ อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ผมกำลังตามหาอยู่พอดี มีเรื่องด่วนอยากคุยกับคุณสองคน เดี๋ยวไปเจอที่ห้องผมหน่อยสิ ทั้งคู่เลยนะ"

วุธกับซันนั่งอยู่ตรงข้ามกับเจ้านายในห้องทำงาน เจ้านายทำเป็นชวนคุยไปเรื่อยๆ
"ผมจำได้ว่าคุณสองคนจบจากที่เดียวกันใช่ไหม"
ซันกับวุธพยักหน้า
"แต่สองคุณสองคนนี่ทำงานคนละสไตล์กันเลยนะ คนนึงเย็นเหมือนน้ำ อีกคนก็ร้อนเป็นไฟ จะว่าไปก็ดีคนละแบบ ทีนี้ผมถามหน่อยสิ ในมุมมองของคุณสองคน งานมาร์เก็ตติ้งนี่มันเป็นยังไง" เจ้านายถาม
"เหมือนการชกมวยค่ะ มันเหมือนกับชีวิตที่มีคู่ต่อสู้ตลอดเวลา สมองต้องตื่นตัว สายตาต้องคอยจับจ้องคู่ต่อสู้ไม่ให้พลาดเป้า ทุกหมัดที่ชกออกไปต้องหวังผล" ซันบอก
"เออ เปรียบได้ดี คุณชอบงานแบบนี้ไหม"
"งานนี้มันเป็นชีวิตซันอยู่แล้วค่ะบอส" ซันบอก
"แล้วคุณล่ะวุธ" เจ้านายถาม
"ผมว่างานมาร์เก็ตติ้งมันก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของคู่รัก หัวใจสำคัญคือการให้และรับที่เหมาะสม หน้าที่ของเราคือทำในสิ่งที่ดีที่สุด ช่วยให้ลูกค้าขายของได้มากที่สุด แต่ก็ต้องไม่ยอมเสียจุดยืนของตัวเอง"
"มุมของคุณก็น่าสนใจนะ เอาล่ะ เข้าเรื่องแล้วกันนะ บริษัทSpring ที่คุณสองคนช่วยกันขายงานเมื่อคราวก่อนน่ะ เขาโอเคกับเรามาก ตอนนี้เขาจะลอนช์สินค้าตัวใหม่เป็นน้ำหอม ลูกค้าอยากให้เราลองช่วยคิดแผนการตลาด"
"แล้วงานนี้บอสจะให้ทีมไหนทำคะ ทีมซันหรือวุธ"
"ทั้งคู่" เจ้านายตอบ
ซันกับวุธเริ่มงงมากขึ้น
"หมายถึงทำงานด้วยกัน" วุธถาม
"ไม่ใช่ ก็วันก่อนซันบอกเองว่าไม่อยากทำงานร่วมทีมกับวุธ ผมก็เลยเกิดความคิด ใหม่ ผมว่า...จะให้คุณทั้งสองคนไปทำแผนการตลาดของสินค้าตัวนี้มา แล้วแข่งกันขายงาน ลูกค้าชอบงานของใครมากกว่า คนนั้นก็ได้งานนี้ไป"
ซันกับวุธอึ้งไป
"ผมกับซันเป็นเพื่อนกัน ทำงานบริษัทเดียวกัน ผมไม่เห็นด้วยที่เราจะต้องมาแข่งกันเอง"
"แต่วันก่อนลูกค้าเขาชอบงานของคุณทั้งสองคน ผมเองก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้งานนี้กับทีมไหนดี ก็เลยต้องใช้วิธีนี้"
เจ้านายส่งแฟ้มให้ซันกับวุธคนละเล่ม
"รายละเอียดอยู่ในแฟ้มแล้ว งานนี้มันไม่ใช่แค่แชมพูนะ ถ้าลูกค้าเซ็นสัญญามัน หมายความว่าจะมีผลิตภัณฑ์บิวตี้ในเครือของเขาตามมาอีกมากมาย ความหวังของบริษัทเราขึ้นอยู่กับคุณทั้งสองคน ที่สำคัญเลยนะ" เจ้านายพูดเน้น "งานของใครทำให้ลูกค้าเซ็นสัญญาได้ ทางบอร์ดจะเลื่อนให้ขึ้นเป็นไดเร็คเตอร์คุมแผนกมาร์เก็ตติ้งทั้งหมด"
ซันตาโตเพราะสนใจกับการจะได้เลื่อนตำแหน่ง ส่วนวุธไม่พอใจมาก
"ผมขอสละสิทธิ์"
วุธลุกขึ้นออกจากห้องไปด้วยท่าทางไม่พอใจมาก เจ้านายงงว่าทำไมวุธต้องโกรธ สักพักซันก็ลุกตามวุธออกไป

วุธออกมาจากห้องทำงานเจ้านาย ก่อนจะเดินหัวเสียกลับไปทางห้องทำงาน ซันที่เดินตามมาด้านหลัง ร้องเรียก
"วุธ เดี๋ยวก่อน นี่นายอย่าทำแบบนี้ได้ไหม"
วุธหยุดเดินแล้วหันมาคุยด้วย
ซันถาม "ทำไมนายต้องสละสิทธิ์"
"เพราะเราไม่ชอบการแข่งขัน โดยเฉพาะต้องมาแข่งกับคนที่คุ้นเคยกัน ถ้าเธออยากได้งานนั้นก็เอาไปเลย เราไม่มีปัญหา"
"นี่นายอย่ามาอ่อนข้อให้ฉันได้ไหม ทำไม? หรือเพราะฉันเป็นผู้หญิง"
"นี่เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะซัน เรื่องเป็นผู้หญิงผู้ชายมันไม่เกี่ยว แต่ที่สำคัญคือเราสองคนเป็นเพื่อนกัน เราไม่ควรมาแข่งกันเองแบบนี้ เธอลองคิดดูถ้าใคร คนนึงได้งานนั้นไป อีกคนนึงจะรู้สึกยังไง"
"อ้อ งั้นนายก็กลัวว่าจะแพ้ แล้วต้องกลายมาเป็นลูกน้องฉัน"
"มันไม่ใช่แบบนั้น"
วุธพูดไม่ได้ อธิบายไม่ถูกเพราะลึกๆ แล้วเขาแคร์ซันไม่อยากให้ซันต้องแพ้ แต่เขาก็แคร์ศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ นี่ไงล่ะวุธ โลกความจริงที่ฉันบอก ความจริงที่ว่าวันนึงฉันกับนายก็ต้องเป็นคู่แข่งกัน" ซันบอก
"งั้นถ้าเราไม่แข่ง ปัญหาก็จะไม่เกิด"
"ถ้านายยังคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันก็อย่าหนีปัญหาด้วยวิธีขี้แพ้แบบนี้ ถ้านายไม่รับงานนี้ ฉันก็จะไม่ถือว่านายเป็นเพื่อน"
วุธอึ้ง

เช้าวันใหม่ อ้อมตื่นขึ้นมาในห้องสวีทของโรงแรมที่หัวหิน อ้อมหันไปมองวินซึ่งเธอจำได้ว่านอนอยู่ข้างๆกัน อ้อมเห็นว่าวินนอนมองอ้อมยิ้มๆอยู่สักพักแล้ว
"นี่วินตื่นนานแล้วเหรอ" อ้อมถาม
"สักพักแล้วจ้ะ ตื่นแล้วแต่ไม่อยากลุก มัวแต่มองอ้อมเพลิน"
อ้อมเขิน "แบบนี้อ้อมก็เขินแย่สิ"
"หลับสบายไหมจ๊ะ"
"หลับสนิทเลยล่ะ" อ้อมขยับตัวแล้วรู้สึกปวดเมื่อยจนถึงครางเบาๆ "โอย แต่ว่าตอนนี้ปวดตัวไปหมดเลย ใครว่าคืนแรกของการแต่งงานเป็นคืนแสนหวาน อ้อมว่าเป็นคืนแสนเหนื่อยมากกว่า ชีวิตจริงนี่ไม่เห็นเหมือนกับในหนังรักโรแมนติคเลยว่าไหมวิน ทำไมเช้าวันแรกของชีวิตแต่งงานของเรามันทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งปวดเมื่อยแบบนี้"
"ก็ในหนังส่วนใหญ่ เรื่องราวมักจะจบลงด้วยการแต่งงาน แต่สำหรับเราสองคนการแต่งงานมันคือการเริ่มต้นไงจ๊ะ เย็นนี้เราจะไปฮันนีมูนกันแล้วนี่ เดี๋ยวเราค่อยไปหวานกันต่อที่มัลดีฟก็ได้"
"ก็ในหนังรักโรแมนติคที่เคยดู ฉากแต่งงาน"
อ้อมฝันหวาน "เฮ้อ.... ฮันนีมูนที่มัลดีฟ มันเป็นความฝันของอ้อมเลยนะวิน ขอบคุณวินที่สุดเลย ที่ทำให้ฝันของอ้อมเป็นจริง"
"เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม"
วินพูดพลางโน้มตัวมาหาอ้อม ทำท่าเหมือนจะเริ่มภาระกิจที่ติดค้างไว้ สองคนหัวเราคิกคัก กำลังจะหวาน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นรัวๆ แรงๆ ทั้งคู่ชะงัก

วิภายืนเคาะประตูรัวๆอยู่หน้าห้อง วินเปิดประตูห้องออกมา วิภาที่มีท่าทางร้อนใจก้าวเข้ามาในห้อง
"มีอะไรหรือเปล่าครับม๊า"
"มีสิ ไม่มีจะมาหาถึงห้องหอทำไม นี่ม๊าเครียดมากเลยนะวิน คิดหนักทั้งคืนจนนอนไม่หลับ"
"เรื่องอะไรคะ"
"ก็เรื่องที่เธอสองคนบอกม๊าเมื่อคืนในงานแต่งไง ที่ว่าพอแต่งงงานแล้วจะแยกไปอยู่คอนโดอ้อมน่ะ ม๊าคิดไปคิดมาอยู่หลายตลบ ม๊าว่ายังไงๆม๊าก็รับไม่ได้"
วินกับอ้อมมองหน้ากันพลางคิดในใจว่าเริ่มยุ่งแล้ว
"ตอนยัยหวานแต่งงานม๊ายอมได้ ลูกสาวแต่งออกไปน่ะถูกแล้ว แต่อาวินเป็นลูกชายคนโตยังไงก็ต้องอยู่บ้านกับม๊า"
"ม๊าเองก็มีวศินอยู่ด้วยแล้วนี่" วินว่า
"แต่มันไม่เหมือนกัน"
"เราสองคนตัดสินใจกันแล้วนะครับม๊า เราอยากใช้ชีวิตคู่กันตามลำพัง คอนโดก็ตกแต่งใหม่เตรียมไว้แล้ว"
"แต่งไว้ก็เอาไปให้คนเช่าก็ได้ คอนโดเดี๋ยวนี้ก็เล็กเท่ารังหนู อยู่ไม่สบายเท่าบ้านเราหรอก"
"คอนโดอ้อมก็ใกล้โรงพยาบาลของวินมากกว่าด้วยค่ะ ประหยัดเวลาเดินทางไปได้เยอะ"
"จะเสียเวลาสักเท่าไหร่กัน ที่ผ่านมาตั้งลายปีก็เดินทางจากบ้านไปโรงพยาบาลได้ไม่เห็นมีปัญหา" วินเกลี้ยกล่อม "อย่าไปเลยนะ อยู่กับม๊าที่บ้านเราเถอะ เดี๋ยวม๊าแต่งห้องให้ ใหม่เอาให้สวยเลย หรือขยายให้ใหญ่กว่าเดิมก็ยังได้ เอาห้องแต่งตัวใหญ่ๆ เลยไหมอ้อม หรือจะเอาอ่างจากุชชี่แบบมีน้ำหมุนๆน่ะ อยากได้อะไรบอก มาเดี๋ยวม๊าจัดให้"
อ้อมกับวินมองหน้ากันด้วยความรู้สึกลำบากใจ
"ม๊าครับ เอาไว้เราคุยเรื่องนี้กันทีหลังได้ไหม ตอนนี้ผมกับอ้อมต้องรีบเก็บของเตรียมตัวไปฮันนีมูน ถ้าไม่รีบออกเดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องนะครับ"
"ก็ได้ งั้นพอกลับมาแล้วเราต้องคุยเรื่องนี้กันให้เด็ดขาด"
วินถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เอาตัวรอดจนได้

วิภานั่งเอาพัดกระดาษพัดใส่ตัวเองไปมาเพื่อดับร้อนในใจ สุพงษ์ยังก้มหน้าเล่มเกมมือถือ ลูกๆมองหน้ากันไปมาเพราะไม่รู้จะทำอะไรได้
"เฮีย นี่ลูกชายคนโตจะย้ายออกจากบ้านแล้วนะ จะไม่สนใจเลยหรือไง"
"มันก็เรื่องของเด็กๆเขา เขาตัดสินใจกันไปแล้ว จะให้ทำยังไง เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เขาไม่ชอบอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่หรอก" สุพงษ์บอก
"ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องให้กลับมาอยู่บ้านให้ได้" วิภาว่า
วิภาล้วงค้นหาของในกระเป๋าถือข้างตัวแล้วหยิบปฏิทินจีนเล่มหนาออกาไล่เปิดดูจนถึงวันที่ปัจจุบัน
"นี่ไง จริงๆด้วย วันนี้ไม่ใช่วันเฮง การเจรจาจะไม่เป็นผล รอไว้ให้ถึงวันธงชัยเมื่อไหร่แล้วค่อยเรียกวินมาคุยอีกที รับรองว่าต้องเกลี้ยกล่อมให้วินกลับมาอยู่บ้านได้สำเร็จแน่"

วินกับอ้อมลากกระเป๋าเดินทางออกมาเตรียมจะออกจากห้อง
"ในที่สุดก็จะได้ไปมัลดีฟแล้ว โชคดีมากเลยนะที่วินลางานได้ อย่างวินน่ะได้หยุดงานกับเขาง่ายๆซะเมื่อไหร่
เสียงโทรศัพท์มือถือของวินดังขึ้น วินหยิบขึ้นมามองชั่งใจ แล้วมองอ้อม"
"จากโรงพยาบาล"
อ้อมเริ่มรู้สึกได้ว่าทุกอย่างจะไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง วินลังเลสักพักว่าจะไม่รับแต่แล้วเขาก็ตัดสินใจรับสาย
"ฮัลโหล วินพูดครับ...ครับ... ผมเข้าใจครับ....ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวยังไงผมโทรกลับไปบอกนะ"
วินกดวางสายแล้วหันมามองอ้อมก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังเพราะรู้สึกผิด
"มีเรื่องที่โรงพยาบาลน่ะ พอดีมันมีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามา" วินบอก
"แต่วินลาพักแล้วนี่"
"มันสุดวิสัยน่ะอ้อม คนไข้เป็นเนื้องอกในสมอง วินเคยผ่าตัดให้เขาแล้วเมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้เนื้องอกมันกลับมาแล้วอาจจะไปทับเส้นประสาท ก็เลยต้องผ่าตัดด่วน"
"ให้หมอคนอื่นผ่าไม่ได้เหรอ"
"รายนี้เป็นคนไข้เก่าของวิน เขาขอให้วินเป็นคนผ่าให้เท่านั้น"
"งั้นก็ไปเถอะจ้ะ ยังไงช่วยชีวิตคนก็ต้องสำคัญที่สุดอยู่แล้ว"
"แล้วเรื่องเดินทาง...”
"เดี๋ยวอ้อมโทรไปยกเลิกเองจ้ะ ไม่ต้องห่วง"
"งั้นพอถึงกรุงเทพแล้ว อ้อมไปส่งวินที่โรงพยาบาลเลยนะ"
อ้อมพยักหน้าเข้าใจ
"จ้ะ งั้นก็รีบไปกันเถอะ"
ทั้งคู่รีบเดินออกไป

ซันเดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงาน ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องมาอย่างรวดเร็ว พิสมัยตามมาติดๆ เพื่อรอรับคำสั่ง
"พี่หมัย เรียกทีมเราประชุมด่วนบ่ายนี้เลยนะ" ซันบอก
"อ้าว ไหนว่าจะประชุมพรุ่งนี้ไงคะ" พิสมัยท้วง
"ไม่ได้! ต้องเป็นวันนี้ อีกทีมนึงเขาจะประชุมพรุ่งนี้ เราต้องเริ่มก่อน คิดก่อนทำก่อนได้เปรียบไปแล้วครึ่งนึง"
"ค่ะ"
พิสมัยเดินออกจากห้องโดยอดบ่นกับตัวเองไม่ได้
"เฮ้อ... งานๆๆ นี่ผู้หญิงคนนี้มีอย่างอื่นอยู่ในหัวบ้างไหมเนี่ย นอกจากเรื่องงาน"

ซันกับกลุ่มทีมงานกำลังประชุมกันอย่างเครีงเครียดในห้องทำงานของซัน ทุกคนดูคร่ำเคร่งเอาจริงเอาจัง วุธเดินมาดูซันก็เห็นซันกำลังประชุมเครียด เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่เดินมาเห็นวุธจึงเข้ามาแซว
"แอบมาสอดแนมคู่แข่งเหรอวะวุธ"
"เปล่าครับพี่" วุธตอบ
"เห็นทีมนี้เขาประชุมกันมาสองชั่วโมงแล้วนะ ซันนี่เขาแอคทีฟจริงๆ แล้วทำไมทีมนายไม่ขยันแบบนี้บ้าง จะปล่อยให้ซันชนะง่ายๆได้ยังไง"
"ถ้าเขาจะชนะก็ไม่เป็นไรนี่ครับพี่ ผมไม่ได้อยากแข่งอยู่แล้ว แล้วทีมผมก็ยังมีงานอื่นให้ทำอีกเยอะ"
"เฮ้ย ทำไมพูดเหมือนจะยอมแพ้ซะแล้ว งานนี้มันมีตำแหน่งมาร์เก็ตติ้งไดเร็คเตอร์เป็นเดิมพันเลยนะ อ๋อ...ที่ไม่สนใจคิดเรื่องงานนี่เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่รึเปล่า"
"เรื่องอะไร?”
"ก็เรื่องแต่งงานไง ได้ข่าวมาว่าตอนไปงานแต่งที่หัวหินกันเมื่อวันก่อน แฟนนายได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาวไม่ใช่เหรอ งั้นก็คงมีข่าวดีเร็วๆนี้ล่ะสิ"
วุธยิ้มแต่ไม่ปฎิเสธ ก่อนจะแอบมองซันแบบเศร้าๆ


ณ ห้องทำงานของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่นั่งเรียงกัน ทุกคนต่างทำงานของตัวเองกันไป เจนมีหน้าตาซังกะตาย ไร้อารมณ์และเหนื่อยอ่อนเต็มทีแล้ว ในมือถือโทรศัพท์คุยกับลูกค้าแล้วพยายามฉีกยิ้มแห้งๆ กับกระจก
"ค่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้มีอะไรให้เจนจิราช่วยเหลือคะ"
"มีสิยะ ไม่มีจะโทรมาทำไม" เสียงผู้หญิงที่โทรมาตวาดกลับ
เจนหุบยิ้มทันที
"ขอตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นนะคะ สายนี้เป็นของคุณบังอร เบอร์โทรศัพท์ 081...”
เสียงหญิงที่โทรมาสวนขึ้น "โอ้ย.. ไม่ต้องมาตรวจสอบอะไรแล้ว โทรมาเป็นสิบครั้ง พวกหล่อนก็ถามแบบเดิมทุกครั้ง นี่ฉันต้องเล่าปัญหาเดิมๆไปอีกสักกี่ครั้งยะ เวลาทำงานเนี่ยไม่ประสานงานกันบ้างหรือไง ฉันอยากคุยกับคนที่ชื่อสุวรณมาลี"
"ต้องขอโทษเป็นอย่างสูงนะคะ คือ.....”
ผู้หญิงที่โทรมาสวนทันที "แล้วก็เลิกทำเสียงดัดจริตได้แล้ว ฟังแล้วรำคาญ อย่างพวกเธอเนี่ยนะถ้าฉลาดแก้ปัญหาได้จริงก็คงไม่มาเป็นคอลเซ็นเตอร์หรอก อ้อ แล้วไอ้ที่ทำเสียงออดอ้อนเก่งแบบนี้ ก็คงฝึกไว้ยั่วผู้ชายล่ะสิ"
เจนเริ่มงง เธอทำหน้าบูดแต่ฉีกยิ้ม "ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าผัวมีกิ๊กหรือไงคะ ถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้"
"ใช่! แล้วกิ๊กมันก็อาชีพเดียวกับพวกหล่อนนี่แหละ"
เจนทนไม่ไหวแล้วจึงตอกกลับไปบ้าง
"นั่นไง ว่าแล้วเชียว นี่ป้า! ถ้าผัวมีกิ๊กแล้วโทรมาด่าคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องด้วยเนี่ย มันจะมีประโยชน์อะไรไม่ทราบ"
"ไม่ต้องมาสอน นี่แกก็พวกเมียน้อยเหมือนกันล่ะสิ"
"เอ้า เอาเข้าไป อย่างหนูเนี่ยนะป้า ทั้งสาว สวย ฐานะก็รวยประมาณนึง คงไม่คิดสั้นไปเป็นกิ๊กใครหรอก งานของหนูให้บริการแต่เรื่องปัญหาการใช้โทรศัพท์ ไม่ได้ถูกจ้างมาเป็นถังขยะรองรับอารมณ์คนวัยทอง ถ้าจะให้แนะนำนะ หนูว่าป้าก็กลับไปด่าผัวป้าเถอะ"
หญิงที่โทรมาแหวขึ้น "นี่!”
ผู้จัดการแผนกยืนกอดอกหน้าตาเอาเรื่องอยู่ด้านหลังเจน เจนหันไปเห็นผู้จัดการแล้วก็ตกใจจึงหันกลับมาหน้าเสีย แต่ด้วยความไวจึงทำเนียนพูดโทรศัพท์ต่อโดยยิ้มแล้วทำเสียงหวาน
"เอ่อ...ถ้าไม่มีเรื่องสอบถามแล้ว ดิฉันขอวางสายนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ"
เจนหันไปยิ้มให้ผู้จัดการเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผู้จัดการไม่ยิ้มด้วย เจนหน้าเหวอเพราะรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว

เจนเดินขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้ามาด้วยท่าทางเซ็งๆ ในมือของเธอหอบกล่องใส่ของจากออฟฟิศมาด้วย รถไฟฟ้าแล่นมาจอด ผู้คนมากมายลงมาจากรถไฟฟ้าโดยเดินสวนทางกับเจน ใครบางคนที่กำลังรีบเดินชนเจนอย่างแรงจนกล่องหลุดจากมือตกลงพื้น
"นี่! มองไม่เห็นคนหรือไง" เจนว่า
เจนก้มลงเก็บของ
อาร์ทซึ่งเป็นคนชนเจนเดินผ่านไปแล้วแต่ได้ยินเสียงเจนบ่นก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองเจน เขาเห็นเจนกำลังเก็บของใส่กล่อง อาร์ทเดินมาช่วยเจนเก็บของใส่กล่อง
เจนบ่น "ก็ยังดี ที่ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง" เจนเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นอาร์ท "นี่นาย....”
ทั้งคู่ยืนขึ้น เจนถือกล่องอยู่ในมือ เพลงชาติดังขึ้นพอดี อาร์ทกับเจนจึงต้องยืนตรงโดยประจันหน้ากันในระยะใกล้ เพลงชาติดังต่อไป ทั้งคู่แอบมองหน้ากันไปมา เจนรู้สึกว่าอาร์ทก็หน้าตาดีเหมือนกัน อาร์ทก็รู้สึกว่าเจนก็น่ารักดี สักพักอาร์ทก็พูดเบาๆ
"โดนไล่ออกเหรอ"
บรรยากาศที่กำลังโรแมนติคสะดุดลงทันที เจนหน้าตึง
"หน้าตาฉันเหมือนคนโดนไล่ออกหรือไง"
"เหมือน" อาร์ทบอก
"เหมือนยังไง"
อาร์ทมองข้าวของในมือของเจน "ใจลอย ขนข้าวของพะรุงพะรัง" อาร์ทมองหน้าเจนที่กำลังหงุดหงิด "แล้วก็หงุดหงิด"
"เฮอะ งั้นนายก็คงโดนไล่ออกเหมือนกันล่ะสิ"
"ใครบอก"
"ก็นายบอกเอง"
เจนทำท่าพิจารณาอาร์ทตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะย้อนคำพูดอาร์ท
"ใจลอย ขนข้าวของพะรุงพะรัง แล้วก็หงุดหงิด"
อาร์ทสะพายทั้งเป้ ทั้งกระเป๋าคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าไม่สดใส เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ในวันนี้

ภาพเหตุการณ์ในอดีต เพื่อนร่วมงานทีมเดียวกับอาร์ท 4คนกำลังยืนรออาร์ทอยู่ที่หน้าบริษัทแห่งหนึ่ง อาร์ทเพิ่งมาถึง เขาแต่งตัวตามปกติไม่เรียบร้อยมาก ผู้หญิงหัวหน้ากลุ่มที่ลักษณะเหมือนเป็นAE ทำหน้าไม่พอใจ
"อาร์ท นี่เรามาหาลูกค้ากันนะ พี่บอกให้แต่งตัวเรียบร้อยไง"
"ผมก็ไม่ได้แก้ผ้ามานี่” อาร์ทย้อน
"แล้วสูทไปไหน เคยเห็นมีอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ใส่มา"
"สูทไม่อยู่แล้ว ให้คนอื่นไป"
"ไม่มีสูทแล้วแกจะเข้าห้องประชุมได้ยังไง"
"ผมมาขายงานนะพี่ ไม่ได้ขายลุค"
"แต่ลุคมันก็ส่งผลกับงาน ไปหาสูทมาใส่"
"ถ้าลุคผมมันแย่นัก ผมก็กลับ"
อาร์ทหันหลังกลับทันที
"อาร์ท! ถ้าแกไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีกนะ"
"ได้... ผมลาออก"
อาร์ทเดินจากไปหน้าตาเฉยแบบไม่แคร์

อาร์ทกับเจนยังยืนประจันหน้ากันอยู่ในระยะประชิด อาร์ทบอกเจนแบบกวนๆ
"ไม่ได้โดนไล่ออก แต่ลาออก"
เจนเบะปากเด้วยความหมั่นไส้
เพลงชาติจบลงพอดี เจนเชิดหน้าใส่ด้วยความหมั่นใส้ ทั้งคู่เดินแยกกันไป อาร์ทยังหันกลับมามองเจนยิ้มๆ สักพักเจนก็เพิ่งนึกได้เรื่องเสื้อสูท
"เฮ้ย เดี๋ยว แล้วเสื้อนาย...”
อาร์ทเดินหายไปในฝูงชนแล้ว


ซัน อ้อม ศศิ และเจนนั่งกินกาแฟกันไปเมาท์กันไป
"ตอนนี้ก็เท่ากับว่าแกกับวุธต้องแข่งกันพิทช์งาน ว่าใครจะได้เลื่อนขั้น" อ้อมสรุป
"ใช่" ซันตอบ
"แหม บอสนี่เจ้าเล่ห์เหมือนเดิมเลย เอาตำแหน่งไดเร็คเตอร์มาเป็นเดิมพัน ทั้งสองคนจะได้ทำงานให้อย่างถวายหัว งานนี้มันท้าทายสุดๆเลยนะซัน" ศศิบอก
"แต่มันไม่ดีเลยนะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานกลับต้องมาแข่งกันเพราะเรื่องงาน แล้วนี่วุธเขาว่าไง"
"ก็ดูไม่ค่อยกระตือรือล้นเท่าไหร่ ไม่รู้เป็นอะไร"
"ฉันว่าเขาคงไม่อยากชิงดีชิงเด่นกับแกนั่นแหละ"
"แล้วถ้าพี่ซันได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพี่วุธจริง พี่วุธเขาจะคิดมากไหม ต้องมาเป็นลูกน้องเพื่อนตัวเอง แถมเพื่อนคนนั้นยังเป็นผู้หญิงอีก"
"พี่ไม่สนใจหรอก สมัยนี้มันไม่ใช่ยุคที่มาตัดสินกันด้วยเรื่องเพศ คนเก่งกว่าเท่านั้นถึงจะอยู่รอด" ปากพูดไม่สนใจ แต่แววตาของซันก็กังวลอยู่ลึกๆ
"ถูก...” ศศิเห็นด้วย
"แน่ใจเหรอว่าแกอยากให้เป็นแบบนี้"
"แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันเองก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน แต่เอาน่า เรื่องฉันฉันจัดการได้ ไม่ต้องห่วงหรอก โน่น ห่วงคนโน้นดีกว่า" ซันพยักเพยิดไปที่เจน
เจนไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไร จูดี้ยกถาดเค้กมาเสิร์ฟพอดี เจนเห็นเค้กแล้วก็กรี๊ดกร๊าด
"เลิศอ่ะ เค้กดูน่ากินมาก"
เจนยกมือถือขึ้นกดถ่ายรูป แชะ! แล้วกดปุ่มที่หน้าจอเพื่อโพสต์ลงอินสตราแกรม ซันกับศศิส่ายหน้า อ้อมที่กำลังมองเจนอยู่ไม่เข้าใจ
"นี่เพิ่งตกงานนะเจน ยังมีใจโพสต์รูปอยู่ได้ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยหรือไง"
"ก็ไม่เดือดร้อนน่ะสิพี่อ้อม แค่งานคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่เห็นจะน่าเสียดายตรงไหน เจนทำแก้ขัดไปงั้นแหละ"
จูดี้นั่งลงร่วมวง สาวๆเริ่มกินเค้กกันไป เมาท์กันต่อไป
"งานทุกงานมันมีคุณค่าทั้งนั้นแหละ พูดดูถูกงานตัวเองแบบนี้ไม่ดีเลยนะยัยเจน" ศศิว่า
"แหม ก็ไม่ได้จะดูถูก แต่งานแบบนั้นน่ะนะ วันๆต้องคอยแต่ฟังปัญหาคนโน้นคนนี้ ชีวิตหดหู่จะตาย สงสัยช่วงนี้ดวงตก ตกงานแล้วยังเจอโรคจิตที่สถานีรถไฟฟ้าด้วย"
"โรคจิตเหรอคะน้องเจน แล้วมันทำอะไรมั่ง โดนมันลวนลามตรงไหนหรือเปล่า" จูดี้ถาม
"โดนลวนลามยังด่ากลับได้นะพี่จูดี้ แต่ไอ้คนที่เจนเจอนี่มัน...” เจนหงุดหงิด
"มันทำไม"
"ไม่รู้สิ มันน่าหมั่นไส้ ขี้เก๊ก กวนโมโห จนไม่รู้จะด่าอะไรเลย"
"แล้วนี่จะเอายังไงต่อ"
"ก็หางานใหม่ หรือไม่ก็หาผู้ชายรวยๆ จะได้ไม่ต้องทำงาน"
ทุกคนพูดพร้อมกัน "ไม่ได้....”
"ล้อเล่น" เจนว่า
"เรื่องผู้ชายน่ะนะ อย่าไปหวังอะไรมาก อยู่เป็นโสดแบบนี้ไปก็ดีแล้ว ไม่งั้นจะเป็นแบบพี่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นะ พี่จะไม่ยอมแต่งงานเด็ดขาด"
"นี่พี่ศิ ยังไม่ยกโทษให้พี่โจอีกเหรอ"
"ยัง เจ้าชู้แบบนี้ต้องโกรธซะให้เข็ด"
"เข็ดอะไรกัน ซันยังไม่เคยเห็นพี่ศิโกรธพี่โจเกินสามวัน พอเขาง้อเข้าหน่อยเดี๋ยวก็ใจอ่อนแล้ว"
"แต่คราวนี้พี่เอาจริง"
"พ่อแม่โกรธกันแบบนี้ สงสารต้นกล้ากับข้าวหอมนะ"
"สงสารตัวเองก่อนเถอะย่ะ แม่เจ้าสาวคืนเดียว"
"อย่าย้ำสิ คนยิ่งเศร้าๆอยู่"
"แต่งงานแล้วเป็นไงบ้างน้องอ้อม เมื่อคืน..สนุกไหม" จูดี้ทำสีหน้ามีเลศนัยปนทะลึ่งนิดๆ
อ้อมส่ายหน้า
"อ้าว ส่ายหน้า หมายความว่าไง ไม่สนุกเหรอคะ" จูดี้เซ็ง
"อ้อมมันหมายความว่า ยัง...คือยังไม่ได้ทำอย่างว่าค่ะคุณจูดี้"
"ฮ้า!!! นี่เป็นเจ้าสาว แต่ยังไม่ได้โป๊ะชึ่งๆ ส่วนเจ้าบ่าวก็ต้องรีบบึ่งไปผ่าตัดเนื้องอกทริปฮันนีมูนก็ล่มไม่เป็นท่า เฮ้อ ช่างน่าเศร้าอะไรอย่างนี้คะน้องอ้อม"
อ้อมซึ่งเป็นพวกต่อมน้ำตาตื้นอยู่แล้วยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้าใจในความโชคร้ายของตัวเอง เธอได้แต่ปิดหน้าร้องไห้โฮ
"โฮๆๆๆ ชีวิตอ้อม มันช่างเศร้าอะไรอย่างนี้ ฮือๆๆ"
เพื่อนๆพากันปลอบแล้วถลึงตาใส่จูดี้ไม่ไห้พูดมาก จูดี้ยิ้มแหยๆ
อ่านต่อหน้าที่ 2


ทางเดินแห่งรัก ตอนที่ 2  (ต่อ)
ตกเย็น ศศิเพิ่งกลับถึงบ้าน เธอขับรถเข้ามาจอด ณ ที่จอดรถแล้วลงมาจากรถ ป้าสุขเดินเข้ามาหา
"เด็กๆล่ะคะป้าสุข" ศศิถาม
"โจเขาไปรับกลับมาจากโรงเรียนตั้งแต่บ่ายแล้ว ตอนนี้อยู่ในบ้านน่ะ" ป้าสุขบอก
ศศิพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

ศศิเข้ามาในบ้านแล้วก็เจอเซอไพรส์เข้ากับช่อกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ใส่แจกันที่ตั้งอยู่ริมทางเดินเข้าบ้าน ศศิเข้าไปดูที่ช่อกุหลาบก็เห็นว่ามีการ์ดเสียบอยู่ ศศิหยิบขึ้นมาอ่าน
"คุณคือรักแรก.... ร้อนแรง น่าหลงใหล"
ศศิวางการ์ดกลับไปที่เดิมแบบไม่อยากสนใจนักเพราะก็แค่มุขเดิมๆ พอเดินต่อมาเธอก็เจอกับช่อกุหลาบใหญ่พอๆ กับช่อแรกแต่เป็นสีส้มโดยมีการ์ดเสียบอยู่เหมือนเดิม ศศิเข้าไปอ่านการ์ดอีก
"เมื่อความรักของเราเดินทาง คุณคือแสงสว่างกลางใจ"
พอเงยหน้าขึ้นมาศศิก็เห็นกุหลาบอีกช่อเป็นกุหลาบสีขาว ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน เข้าไปหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
"คุณคือความรักครั้งสุดท้าย บริสุทธิ์ มั่นคงและยืนยาว ชั่วนิรันดร์"
ศศิไม่ตื่นเต้นนักกับมุขหยอดคำหวานของโจ แต่เธอก็อดใจอ่อนขึ้นมานิดๆไม่ได้ ศศิวางการ์ดกลับที่เดิมแล้วเดินไปทางห้องกินข้าวด้านใน
ภาพที่ศศิเห็นคือต้นกล้ากับข้าวหอมในชุดหล่อสวย ทั้งคู่ถือช่อดอกไม้คนละช่อเตรียมยื่นให้ศศิ ศศิอึ้ง สักพักโจก็โผล่ออกมา
"ศิเป็นรักแรก รักเดียว รักครั้งสุดท้าย แล้วนี่ก็เป็นพยานรักของเราสองคน"
"โจ นี่มันไม่ใช่เรื่องของเด็กๆนะ อย่าใช้ลูกเป็นเครื่องมือได้ไหม" ศศิว่า
"คุณแม่หายโกรธคุณพ่อเถอะนะคะ" ข้าวหอมบอก
"ใช่ครับ อย่าโกรธคุณพ่อเลย คุณครูบอกว่าโกรธกันเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ"
ข้าวหอมเริ่มใช้เทคนิคบีบน้ำตาพร้อมทำหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้
"ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน ลูกๆอย่างพวกเราก็จะไม่มีความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขเราก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะคะ"
ต้นกล้าเห็นน้องร้องไห้ก็เริ่มอินตามจึงมีน้ำตาคลอบ้าง
"ป้าสุขบอกว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงก็ต้องรักกัน คุณแม่ดีกับคุณพ่อเถอะนะครับ"
"โถ ลูก"
ศศิใจอ่อนจึงทรุดตัวลงกอดลูกทั้งสองคนน้ำตาคลอ โจได้โอกาสเหมาะจึงลงนั่งจับมือศศิ
"โจขอโทษนะศิ ยกโทษให้โจเถอะนะ"
ศศิพยักหน้าอย่างใจอ่อนแล้วก็กอดลูก โจเอื้อมมือกอดลูกและเมียไว้อย่างซาบซึ้ง

ศศิรินนมเย็นสีชมพูจากเหยือกใส่แก้วด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นมากขึ้น

สามพ่อลูกตีมือกันที่ประสบความสำเร็จ ข้าวหอมถอนหายใจโล่งอกแบบผู้ใหญ่ ไม่เหลือร่องรอยดราม่าเมื่อครู่นี้อยู่เลย
"เอาล่ะ เป็นอันว่าคุณพ่อกับคุณแม่คืนดีกันได้ซะทีคะ" ข้าวหอมบอก
"จ้ะ ลูกสองคนทำดีมาก" โจชม
"นี่ถ้าข้าวหอมไม่ช่วย จะสำเร็จไหมเนี่ย"
"เอาเถอะน่า พ่อไม่ลืมที่รับปากไว้หรอกนะ ของต้นกล้า ตุ๊กตามินเนียน"
"มินเนียน ตัวเหลืองจอมป่วน" ต้นกล้าบอก
"โอเค ตัวเหลืองจอมป่วน" โจรับคำ
"เอาแบบที่ร้องเพลงได้ด้วยนะครับ" ต้นกล้าเสริม
"ได้เลยลูก แล้วของข้าวหอม อะไรนะ คิตตี้ใช่ไหม"
ข้าวหอมทำท่าเซ็งแบบผู้ใหญ่ประมาณว่าพ่อนี่ไม่รู้อะไรซะเลย "ไม่ใช่คิตตี้เฉยๆค่ะ รองเท้ารูปคิตตี้สีชมพู"
"ได้รองเท้าคิตตี้นะ ตกลงตามนั้น แต่ตอนนี้ถึงเวลาขึ้นห้องเตรียมนอนได้แล้ว ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของพ่อที่จะต้องปรับความเข้าใจกับแม่เอง"
ต้นกล้ากับข้าวหอมพากันวิ่งตึกๆขึ้นชั้นบน พอลูกคล้อยหลังไป ศศิก็ถือแก้วนมเย็นออกมาวางให้โจ
"ที่ลงทุนมาง้อขนาดนี้ เพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินนมเย็นใช่ไหม" ศศิถาม
"แหม ใครจะรู้ใจเท่าศินี่ไม่มีอีกแล้ว เมื่อเช้าน่ะพอไม่ได้กินนมที่ศิทำให้ โจไม่มีใจ ทำงานเลยรู้ไหม"
โจจับมือศศิมากุมไว้แบบอ้อนๆ สักพักเขาก็นึกได้จึงหยิบกล่องเครื่องประดับมาจากมุมหนึ่ง
"โจมีของขวัญมาให้ศิด้วยนะ" โจยื่นให้ศศิ "ลองเปิดดูสิ"
ศศิเปิดกล่องออกก็เห็นว่าเป็นสร้อยไข่มุกเรียบหรู
"สวยมากเลย ไข่มุกแท้นี่ มันแพงมากเลยนะโจ"
"ราคาแค่นี้ มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ศิเสียสละให้โจกับครอบครัวหรอก" โจบอก
"ขอบคุณมากนะโจ"
"โจซะอีกที่ต้องขอบคุณศิ ฟังนะศิ ไม่ว่าโจจะทำอะไรผิดพลาดไปแค่ไหนก็ตาม ขอให้ศิรู้ไว้ว่าโจรักศิคนเดียว แล้วโจก็แคร์ศิมากที่สุด"
ศศิยิ้มปลื้ม
"ปะ ตอนนี้ไม่อยากกินนมเย็นแล้ว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า"
โจทำท่าจะเข้ามาช้อนอุ้มศศิ
"นี่จะทำอะไรเนี่ย"
"ก็อุ้มขึ้นห้องไง ถึงเวลาปรับความเข้าใจกันแล้ว"
"นี่ไม่ใช่หนุ่มๆแล้วนะ ยังจะอุ้มไหวอีกเหรอ ไม่ต้องอุ้มหรอก แค่บอกคำเดียวก็พร้อมไปแล้ว"
ทั้งคู่จูงมือกันขึ้นไปชั้นบนแล้วเข้าห้องนอนปิดประตู ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ๆๆ อย่างมีความสุขของศศิ

เจนนั่งเสิร์ชข้อมูลอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่เน้นเป็นเพจช้อปปิ้งเสื้อผ้า เจนปิดเพจช้อปปิ้งกลับมาที่หน้าหลักก็เห็นเพื่อนคนหนึ่งเพิ่งโพสต์ภาพถ่ายโชว์กระเป๋าแบรนด์เนมพร้อมกับข้อความ "ทำงานทั้งวันได้พันห้า คุยโทรศัพท์ไปมาได้ห้าพัน อิอิ" อีกภาพหนึ่งเป็นภาพโฆษณาประกาศรับสมัครงานพร้อมข้อความในประกาศ "หน้าตาไม่เกี่ยว เสียงสวยอย่างเดียวก็ทำงานได้ งานสนุก ลุกนั่งสบาย รายได้มากกว่า30,000 ต่อเดือน ถ้าคุณมีใจรักงานขาย ติดต่อเราได้ทันที ”
เจนอ่าน "งานสนุก ลุกนั่งสบาย รายได้มากกว่า30,000 ต่อเดือน”
เจนแทบจะกดโทรศัพท์โทรออกไปทันที สักพักก็มีคนรับสาย
"ฮัลโหล เปิ้ล"
"ว่าไงเจน"
"ฉันเพิ่งเห็นรูปที่แกโพสต์ในเฟซบุค...... เออก็สวยดี แต่เห็นแกลงประกาศรับสมัครงานด้วย นี่แกทำงานอะไร ทำไมดูอู้ฟู่ขนาดนั้น...... งานเทเลเซลล์...... ขายของทางโทรศัพท์ ขายอะไรวะแก...”
"ก็ขายของ แต่ไม่ใช่งานไม่ดีนะ นี่งานสุจริต งานไม่หนัก แต่ได้เงินง่ายมากเลยนะแก"
เจนตาโตและหูผึ่ง "เหรอ"
"ตอนนี้บริษัทฉันกำลังขยายตัว ต้องการพนักงานเยอะเลย แกลองมาสมัครดูสิ"
เจนยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองที่ตกงานไม่นาน

ดึกสงัด ซันยังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อ้อมมานั่งเล่นที่ห้องซันโดยเปิดทีวีพลางมองนาฬิกาไปด้วย
"นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะซัน พักบ้างเถอะ ตั้งแต่มานั่งที่ห้องแกนี่ ฉันยังไม่เห็นแกหยุดงานเลยนะ"
"สี่ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย แล้วนี่หมอวินยังไม่กลับอีกหรือ" ซันถาม
"ยัง ถ้ากลับคงส่งข้อความมาบอก" อ้อมบอก
"งั้นแกนั่งเล่นไปเรื่อยๆจนกว่าหมอวินจะกลับก็ได้นะ เดี๋ยวฉันทำงานต่อ"
"ฉันถามจริงๆนะ ตำแหน่งไดเรคเตอร์นี่มันสำคัญกับแกมากเลยเหรอซัน"
"สำคัญสิ ที่ฉันทำงานหนักมาตลอดก็เพื่อความก้าวหน้านะอ้อม เมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ต้องฉวยมันเอาไว้"
"แล้วแกอยากเอาชนะวุธจริงๆเหรอ"
"มันจำเป็น"
"วุธเป็นเพื่อนที่ดีมากนะซัน เพื่อนแบบนี้ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ"
"ฉันรู้"
"งั้นฉันขอถามอีกข้อ แกคิดยังไงกับวุธกันแน่"
ซันสะดุ้งเฮือก "คิดอะไร หมายความว่าไง"
"แกชอบวุธใช่ไหม" อ้อมถาม
"เฮ่ย ไม่ได้ชอบ"
"แล้วเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกแกไปเที่ยวทะเลกัน ตอนนั้นวุธเขาชอบแกใช่ไหม แต่แกกลับหักอกเขาซะยับเยินไปเลย"
"ตอนนั้นวุธเขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะกลับมาจากทริปนั้นได้แป๊บเดียว วุธเขาก็เป็นแฟนกับจ๋าไปแล้ว"
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนเคยมีใจให้กัน มาทำงานอยู่บริษัทเดียวกันตั้งหลายปี ไม่หวั่นไหวกันบ้างเลยเหรอ"
"จะไปหวั่นไหวได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่เคยคิดอะไรกับเขา แล้วเขาก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วด้วย"
"แล้วถ้าเขายังไม่มีแฟนล่ะ แกจะหวั่นไหวไหม"
"นี่แกจะมาพูดเรื่อนี้ตอนนี้ทำไมเนี่ย"
"ก็แค่เสียดายน่ะ จริงๆวุธเขาก็ดูเหมาะสมกับแกดีนะ เหมาะมากกว่าจ๋าซะอีก"
ซันได้ฟังก็จ๋อยนิดๆ แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ เสียงข้อความไลน์ในมือถืออ้อมดังขึ้น อ้อมกดดู
"วินออกจากโรงพยาบาลแล้ว" อ้อมอ่าน
"งั้นแกก็เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว กลับห้องไปรอสามีที่ห้องเลยไป" ซันว่า
"ไปก็ได้ แต่เรื่องนี้เรายังต้องเคลียร์กันนะ"
"ไปเถอะไป"
ซันดันอ้อมให้ออกไปจากห้อง พออ้อมคล้อยหลัง ซันก็ปิดประตูกลับมาทิ้งตัวลงนั่งเศร้าเพราะคิดถึงอดีตอีกครั้ง

ซันคิดถึงเมื่อห้าปีก่อน ซันนั่งอยู่ริมน้ำตามลำพัง ในมือของเธอมีกล่องเล็กๆ พอเปิดกล่องออกด้านในก็เป็นภาพถ่ายของวุธที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซันหยิบชิ้นส่วนภาพถ่ายชิ้นหนึ่งขึ้นมามองแล้วรำพึงรำพัน
“เรานี่มันบ้าจริงๆเลย ทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง ไม่ได้..จะปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องขอโทษเขา ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ”

ซันเดินมาถึงหน้าร้านกาแฟ เธอสอดส่ายสายตามองหาวุธจากด้านนอก เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นวุธนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ซันยิ้มกับตัวเองที่วุธอยู่ที่นี่จริงๆ ซันหยุดอยู่หน้าร้านแล้วรวบรวมกำลังใจ เธอตัดสินใจจะคุยกับวุธให้หมดเปลือก แต่ยังไม่ทันจะก้าวต่อจ๋าก็เปิดประตูร้านออกมา
“ซัน!”
“อ้าว จ๋า ทำไมอยู่ที่นี่”
จ๋าไม่ได้ตอบแต่กลับกระโดดเข้าไปกอดซันด้วยความดีใจทันที
“วุธเขาเพิ่งขอจ๋าเป็นแฟนเมื่อกี๊นี้เอง วันนี้เป็นวันที่จ๋ามีความสุขที่สุดเลย จ๋าแอบชอบเขามาตั้งสองปีแล้วนะซัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้ กรี๊ด” จ๋ากอดซัน
ซันอึ้ง

เหตุการณ์ปัจจุบัน อ้อมยืนอยู่หน้ากระจกในชุดเซ็กซี่กว่าปกติ อ้อมสำรวจตัวเองว่าสวยแล้ว เธอปะพรมน้ำหอมทั่่วร่าง อ้อมเดินออกมาที่ห้องนอน จุดเทียนหอม เปิดเพลงสร้างบรรยากาศโรแมนติค สักพักเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น อ้อมรีบขยับชุดให้เข้าที่อีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดประตู วินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจนลืมสังเกตชุดของอ้อมและบรรยากาศรอบตัว
"ขอโทษที่กลับดึกนะจ๊ะ นี่อ้อมเข้านอนไปแล้วหรือยัง"
"ยังจ้ะ อ้อมรอวินอยู่ เหนื่อยไหม"
วินพยักหน้าพลางไปนั่งที่โซฟา อ้อมเบียดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วพยายามโชว์ชุด แต่วินก็ไม่ได้สนใจ
"ผ่าตัดเป็นไงบ้าง" อ้อมถาม
"ผ่านไปด้วยดี แต่ทำเอาเครียดอยู่เหมือนกัน" วินบอก
อ้อมบีบนวดตัวของวินอย่างเอาใจ
"งั้นดื่่มอะไรร้อนๆหน่อยไหมวิน จะได้สดชื่น มีแรง"
"ก็ดีจ้ะ"
"งั้้นรอแป๊บนะ อ้อมชงโกโก้ให้"
อ้อมลุกขึ้นไปที่เคาน์เตอร์ห้องครัว ขณะที่มือเตรียมของไป สีหน้าก็วาดหวังว่าคืนนี้ต้องถึงทีแน่ๆ

อ้อมยกถ้วยโกโก้ร้อนกรุ่นกลับมาที่โซฟาพลางยิ้มหวาน
"มาแล้วจ้ะวิน โกโก้ร้อนๆ" อ้อมพูดแต่ภาพตรงหน้าทำให้อ้อมชะงัก
วินหลับสนิทอยู่ที่โซฟา อ้อมมองอย่างเซ็งๆ

ณ บริษัท "TT Marketing" เจนนั่งอยู่ตรงข้ามหัวหน้าเซลล์ที่โต๊ะ
"ตามใบสมัครคุณ บอกว่าเป็นคอลเซ็นเตอร์มาก่อน"
"ค่ะ"
"แสดงว่าคุณมีทักษะการสื่อสารกับลูกค้าทางโทรศัพท์อยู่แล้ว"
"ค่ะ"
"เคยเป็นเซลล์มาก่อนไหม"
"ไม่เคยค่ะ แต่เคยช่วยที่บ้านขายของมาตั้งแต่เด็กๆ เรื่องการขายมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วค่ะ"
"งานนี้ เป็นงานขายประกันทางโทรศัพท์ คุณคิดว่าจะทำได้ไหม"
"ได้ค่ะ แต่ว่า..... แล้วเงินเดือน...?”
"บอกตรงๆนะว่า เงินเดือนเราไม่มีนะ"
"อ้าว...”
"แต่มีเบี้ยขยัน มีค่าคอมมิสชั่น ผมจะบอกให้นะคุณ ค่าคอมม์ที่นี่น่ะเยอะกว่าเงินเดือนเก่าที่คุณเคยได้ประมาณสามเท่า ยิ่งคุณขายได้มากเท่าไหร่ ก็ได้เปอร์เซ็นต์เยอะเท่านั้น คิดง่ายๆ วันนึงคุณโทรหาลูกค้าให้ได้ยี่สิบคน ขอแค่มีคนสมัครทำประกันสองคน คนละห้าพันต่อเดือน คุณก็ได้ไปแล้วสิบเปอร์เซ็นต์"

เจนพยายามนับนิ้วคำนวณโดยคิดให้เร็วที่สุด
"ห้าพัน สองคนหนึ่งหมื่น สิบเปอร์เซ็นต์ พันนึง"
"แล้วถ้าคุณขายได้ทุกวันล่ะ คิดรายได้เอาเองแล้วกัน"
"พันนึง เดือนนึงมีสามสิบวัน สามหมื่น!”
"นั่นยังไม่พอ ยังมีเบี้ยขยันอีก แล้วถ้าคุณขายได้มากกว่าวันละสองราย นั่นก็เป็นเงินที่คุณจะได้ทั้งนั้น"
"งั้นดิฉันทำได้แน่นอนค่ะ ดิฉันมั่นใจ"
"คุณรับได้ไหมกับเงื่อนไขแบบนี้ ถ้ารับได้ ผมก็ยินดีรับคุณเข้าร่วมงาน"
เจนวาดฝันถึงรายได้ที่จะเข้ามาในอนาคตแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
"รับได้ค่ะ"
"โอเค งั้นที.ที มาร์เก็ตติ้งยินดีต้อนรับ"
เจนยิ้มหน้าบานที่ได้งาน

เจนรู้สึกอิ่มเอมใจ เธอมองเห็นหนทางสว่างไสวในอนาคตจึงเดินอย่างอารมณ์ดีอยู่ในห้างสรรพสินค้า
"สามหมื่น โฮะๆๆ" เจนคิดอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นสายตาของเจนก็เหลือบไปเห็นร้านรองเท้ากับป้าย SALE เจนตรงไปที่ร้านทันที
ทันทีที่เข้าไปในร้าน บรรยากาศของรองเท้าหลากรูปแบบหลายสีสันก็ทำเอาเจนถึงกับเคลิ้มราวโดนมนต์สะกด เจนเดินเลือกหารองเท้าอย่างมีความสุข เจนลองรองเท้าหลายคู่ เวลาผ่านไป เจนก็สวมรองเท้าคู่ใหม่แล้ว ถือถุงใส่รองเท้าออกมาจากร้านสองถุง

ณ มุมหนึ่งในห้างที่ตั้งถังขยะ เจนทิ้งรองเท้าคู่เดิมลงในถังขยะ เจนยืนยิ้ม
"พอกันที 199”
เจนมองรองเท้าคู่ใหม่ด้วยความชอบใจ แต่ยิ้มได้ไม่นานเธอก็ชะงัก
"แย่แล้ว ยังไม่มีกระเป๋าที่เข้าชุดกับรองเท้าคู่นี้เลย เสื้อผ้าด้วย"

เจนเดินเข้าไปในร้านขายกระเป๋าแล้วเลือกกระเป๋า ลองสะพายหลายใบด้วยความเพลิดเพลินใจ เจนเดินออกจากร้านกระเป๋าก่อนจะเข้าร้านเสื้อผ้าอีกหลายร้าน

เจนเพิ่งช้อปปิ้งเสร็จ เธอหอบหิ้วถุงช้อปปิ้งหลายใบเดินตัวเอียงเข้ามาในร้านกาแฟในห้างฯ เดิม
อาร์ทนั่งอ่านหนังสืออยู่ในร้านกาแฟร้านเดียวกัน เขามองเห็นเจนตั้งแต่เข้ามานั่งแล้ว
เจนนั่งลงตรงที่ว่างที่หนึ่ง โดยไม่ทันเห็นว่าอาร์ทนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะติดกัน
พอเจนลงนั่งอาร์ทก็พูดให้เจนได้ยิน
"ที่บ้านปั๊มเงินเองได้หรือไง ถึงได้ซื้อของขนาดนั้น"
เจนชะงักเพราะเสียงคุ้นๆ เธอชะโงกหน้าไปมองที่มาของเสียงก็พบว่าเป็นอาร์ทจริงๆ
"โอ๊ย นายอีกแล้วเหรอเนี่ย นี่มันจะอะไรกันนักกันหนา จะตามฉันไปถึงไหน"
"ใครตามคุณ ผมนั่งของผมอยู่ก่อนตั้งนานแล้ว คุณต่างหากที่เพิ่งเข้ามา"
เจนเถียงไม่ออกจึงสะบัดหน้ากลับอย่างไม่อยากสนใจ
"นี่คุณเพิ่งตกงานไม่ใช่หรือ" อาร์ทถาม
"แล้วทำไม"
"ก็ช้อปซะขนาดนี้ มันน่าสงสัย ว่าเอาเงินมาจากไหน"
"ฉันจะบอกให้ก็ได้ นายจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดๆ ฉันไปสมัครงานมาแล้วย่ะ แล้วก็ได้งานแล้วด้วย แถมเงินดีอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นฉันจะซื้ออะไรก็เป็นรื่องของฉันเงินของฉัน โอเค๊?”
"ใครว่านั่นเป็นเงินของคุณ นั่นน่ะเป็นเงินของแบงค์ ถ้าคุณรูดบัตร ก็เท่ากับว่าเอาเงินในอนาคตมาซื้อของ"
"ก็ยังดีกว่านายที่ตกงานแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร วันๆก็ได้แต่ลอยไปลอยมา นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือฆ่าเวลาให้หมดไปวันๆ"
"ผมไม่ได้ลอยมาลอยมา ผมก็ไปสมัครงานมาเหมือนกัน"
"แล้วได้ไหม"
"ไม่ได้"
เจนสะใจ "โฮะๆๆ นายยังไม่มีงานไม่มีเงินแล้วจะมาสอนฉันเรื่องใช้เงินเนี่ยนะ"
"ผมไม่ได้สอน แต่ที่ผมต้องพูดเพราะผมรำคาญ
เจนเดือดปุดๆ
"จะบอกให้นะ ฉันก็รำคาญนายเหมือนกัน"
เจนหอบข้าวของลุกออกจากที่นั่งไปอย่างหัวเสีย

ซันประชุมทีมอย่างเคร่งเครียด
"นี่มันหลายวันแล้วนะ ยังคิดงานไม่ออกกันอีกเหรอ"
"ผมก็เสนอคอนเซ็ปไปตั้งหลายอันแล้ว ทั้งความหอม ความรัก ความทรงจำ การจากลา พี่ไม่เห็นจะโอเคกับผมสักอัน"
"ก็มันไอเดียเดิมๆ น้ำหอมเขาเล่นเรื่องพวกนี้กันมาหมดแล้ว หาอะไรใหม่ๆหน่อยไม่ได้หรือไง"
"นี่มันน้ำหอมนะซัน มันจะมีอะไรมากกว่านี้ได้อีก" สุธีร์แอบทำหน้าเซ็ง
"ก็ถ้าไม่ช่วยกันคิดมา จะรู้ได้ยังไงว่ามันไม่มีไอเดียอื่น ถ้าเป็นวุธ เขาก็คงไม่เล่นไอเดียพวกนี้เหมือนกัน แล้วนี่ทีมโน้นเขาเป็นยังไง ใครรู้บ้าง"
ทุกคนส่ายหน้า
"ซุนวูบอกไว้ว่า ก่อนจะลงมือทำสงคราม ต้องศึกษาสถานการณ์ให้รอบด้านโดยเฉพาะต้องประเมินกำลังของข้าศึก"
"แต่วุธเขาไม่ใช่ข้าศึกนะซัน เขาเป็นเพื่อนเธอ เป็นรุ่นน้องพี่ แถมเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทเราด้วย"
"ใช่ แต่ก็อย่าลืมว่า ตอนนี้เขาเป็นคู่แข่งพวกเรา ถ้ารู้ความลับของคู่แข่งได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง"
"หมายความว่าจะไปสอดแนมเขา"
"ใช่ แล้วก็เป็นหน้าที่ของพี่ธีร์" ซันบอก
"เฮ้ย จะดีเหรอ"
"พี่ธีร์นี่แหละเหมาะที่สุด พี่ธีร์เป็นรุ่นพี่ แถมยังสนิทกับทุกคนในทีมนั้น พี่ต้องไปสืบข่าวมาว่าทีมนั้นเขาเล่นคอนเซ็ปอะไร จะขายแผนการตลาดแบบไหน ที่เราสอดแนมเขา ไม่ใช่เพราะอยากก๊อปปี้ไอเดีย แต่เราต้องรู้เพื่อที่จะเลี่ยง ไม่ทำอะไรให้เหมือนเขาต่างหาก"
"ก็จะทำเท่าพี่พอทำได้แล้วกันนะ"
สุธีร์เซ็งแต่ก็ปฏิเสธไม่ออก

ประตูห้องทำงานของซันเปิดออก ลูกน้องในทีมทยอยกันออกมาจากห้อง ซันเดินตามหลังมาเป็นคนสุดท้าย ก็เห็นจ๋านั่งรออยู่ที่หน้าห้อง
"อ้าว จ๋า มาได้ไง"
"ก็ตั้งใจมาหาซันนี่แหละ เห็นประชุมยุ่งอยู่ ก็เลยรออยู่แถวนี้"
"แล้วนี่เจอวุธหรือยัง"
จ๋าพยักหน้า วุธเดินตรงมาจากทางห้องทำงานของตัวเองพอดี
"จ๋าว่าจะชวนซันไปกินข้าวกลางวัน"
"เอ่อ ไปกันเถอะ คือพอดีเรา....." ซันคิดหาข้ออ้าง
"นี่มันพักกลางวันนะ ไม่มีใครเขาทำงานกันตอนนี้หรอก ไปด้วยกันเถอะ ช่วงนี้เราแทบไม่ได้เจอกันเลยนะซัน แล้วเราสามคนก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วด้วย "
จ๋ายิ้มให้อย่างเป็นมิตรและจริงใจ ซันพยักหน้ารับแต่โดยดี
สุธีร์ที่เพิ่งเดินจากไปกับทีมหันมาเหล่มองอย่างไม่พอใจแล้วบ่นกับคนอื่น
"เชอะ ใช้ให้คนอื่นทำงานหนัก เพื่อที่ตัวเองจะได้เลื่อนตำแหน่งอยู่คนเดียว"

ซัน วุธ และจ๋านั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง จ๋ายื่นการ์ดไปให้ตรงหน้าซัน
"นี่จ้ะ การ์ด"
ซันมองการ์ดแล้วก็ใจหายเพราะในใจแอบคิดว่าอาจเป็นการ์ดเชิญงานแต่ง "กะ การ์ด การ์ดอะไร"
"การ์ดงานเลี้ยงรุ่นจ้ะ จริงๆไม่ต้องมีการ์ดก็ได้ แต่จ๋าทำมาเอง จะได้ดูเป็นงานเป็นการนิดนึง" จ๋าบอก
"อ๋อ ค่อยยังชั่ว นึกว่า...”
"นึกว่าอะไรจ๊ะ"
"เปล่า นึกว่าปีนี้จะไม่มีงานเลี้ยงรุ่นซะอีก"
"ปีนี้เราเป็นแม่งานเองเลยนะ เชิญเพื่อนรุ่นเรามาทั้งคณะ ทุกเอก ทุกสาขา มาได้หมด ซันต้องไปให้ได้นะ" จ๋าบอก
"เดี๋ยวต้องดูก่อนนะ ไม่รู้จะว่างหรือเปล่า"
"ต้องว่างสิ งานนี่จัดวันอาทิตย์ พวกเราไม่ได้จัดงานแบบนี้กันบ่อยๆนะซัน" จ๋าหันไปหาวุธ "ไม่รู้ล่ะยังไงวุธก็ต้องพาตัวซันไปงานให้ได้ เข้าใจไหม"
"จ้า แล้วไหนบอกจะพามากินข้าว เมื่อไหร่จะได้กินเนี่ย" วุธว่า
"จริงด้วย สั่งกันเถอะ วุธอยากกินอะไร" จ๋าถาม
วุธกับจ๋าดูเมนูด้วยกันแล้วช่วยกันคิดว่าจะสั่งอะไรด้วยท่าทางสวีทใกล้ชิดบาดตาบาดใจซัน
"ซัน จะสั่งอะไรดี" วุธถาม
"อะไรก็ได้ สั่งเถอะ" ซันเริ่มทนไม่ไหว "เดี๋ยวเราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"

ซันเข้ามาในห้องน้ำแล้วหยุดมองหน้าตัวเองที่กระจก
"นี่หน้าฉันออกอาการขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย จะให้สองคนนั้นผิดสังเกตไม่ได้ ยิ้มไว้ซัน ยิ้มไว้"
ซันพยายามยิ้มกับตัวเองที่กระจกแต่ก็เป็นยิ้มที่ฝืดมาก
"โฮ้ย ไม่ได้"
ซันนึกถึงเจนขึ้นมาจึงรีบกดโทรศัพท์หาเจน

เจนยังอยู่ในห้างสรรพสินค้า เธอเติมลิปสติกอยู่ในห้องน้ำพอดี เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจนกดรับ
"จ้า พี่ซัน"
"เจน พี่ขอวิธียิ้มหน่อย เดี๋ยวนี้เลย" ซันบอก
"ว่าไงนะ วิธียิ้ม"
"ใช่ ตอนนี้พี่ต้องยิ้มเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพี่กำลังรู้สึกแย่ แต่มันยิ้มไม่ออกเธอมีเทคนิคอะไรบ้าง ตอนเป็นคอลเซ็นเตอร์เขาสอนว่าไง"
"เอางี้นะ ก่อนอื่นพี่ต้องวอร์มหน้าก่อน เริ่มด้วยการทำตาให้เป็นรูปสระอิ" เจนหยีตาให้โค้งลงเป็นรูปสระอิ
ซันทำบ้าง เธอหยีตาลงให้โค้งพลางพูดสาย "แล้วไงต่อ"
เจนทำท่าประกอบอยู่หน้ากระจก "ปิดตาทีละข้าง ยกคิ้วขึ้นแล้วลง ซ้ายขวา วิ้ง วิ้ง วิ้ง วิ้ง"
ซันกระพริบตาซ้ายขวา สลับไปมา วิ้ง วิ้ง วิ้ง วิ้ง
"แล้วก็บริหารแก้ม แก้มขวา แก้มซ้าย แก้มบน แก้มล่าง"
ซันทำแก้มป่่องทีละส่วนประกอบเสียงเจนอธิบาย
เจนทำแก้มป่องไปมา "จากนั้นขยับปากพูดซิ ด.เด็ก ช่างแสนดี...” เจนลากเสียงดียาวๆ
ซันพูดตาม "ด.เด็ก แสนดี...”
เสียงเจนดังลอดเข้ามาจากโทรศัพท์ "ตาด้วยนะ อย่าลืม"
ซันทำตาหยีโค้ง พร้อมกับฉีกยิ้ม "ด.เด็ก แสนดี.... เออ ได้ผล"
"ถ้ายังยิ้มไม่ออกอีก ก็คิดแต่เรื่องดีๆไว้"
"คิดเรื่องดีๆ ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ"
"หมายถึงจะพูดอะไร ก็พยายามให้ลงท้ายด้วยดี....ไว้ แล้วจะดีเอง"

ซันออกมาจากห้องน้ำโดยยังพยายามยิ้มอยู่ เธอทำแก้มป่องไปมาแล้วท่อง
"สบ๊ายสบาย สบายดี..." ซันยิ้มโดยอัตโนมัติตอนพูดว่าดี
แต่แล้วสายตาซันก็หันไปเจอเข้ากับใครบางคนทำให้รอยยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นอย่างงงๆ ซันเห็นโจกับหนูนา นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่โต๊ะหนึ่ง หนูนากำลังจับมือโจอ้อนๆ หนูนาแต่งตัวเซ็กซี่และมีท่าทางที่ดูยังไงก็ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือลูกน้อง
ซันหุบยิ้มทันที เธอยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพไว้

ศศิกำลังชมนมเย็นอยู่ในครัว เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือดัง ศศิหยิบมือถือมากดดูก็เห็นภาพถ่ายของโจกับสาวที่ซันเพิ่งส่งมาให้ ศศิเดือดปุดๆ ศศิกดข้อความตอบซัน "ขอบใจมากที่ส่งข่าว เดี๋ยวพี่จัดการต่อเอง"
ศศิโมโหมาก เธอเทนมเย็นในเหยือกทิ้งลงอ่างล้างจานแต่ก็ยังไม่สาแก่ใจจึงเอาน้ำแดงในขวดทั้งหมดมาเททิ้งด้วย

อ่านต่อหน้าที่ 3


ทางเดินแห่งรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
ซันกำลังจะกลับมาที่โต๊ะอาหาร เธอเห็นภาพวุธกับจ๋ากำลังคุยกันหนุงหนิง ซันพูดกับตัวเอง

"ฉันสบายดี" แล้วซันก็ฉีกยิ้ม
ซันยิ้มขณะเดินเข้ามาที่โต๊ะ
"เออ วุธ จ๋า เราต้องไปก่อนแล้วล่ะ"
"อ้าว ทำไมล่ะ" จ๋าถาม
"พอดีลูกน้องโทรมาตามว่ามีเรื่องจะคุยด่วน" ซันอ้าง
"แต่ซันยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ" จ๋าเป็นห่วง
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวหาซื้ออะไรง่ายๆไปกินที่ออฟฟิศ"
วุธเห็นซันยิ้มแปลกๆแล้วก็สงสัย
"นี่เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย"
"ไม่เป็นไร สบายดี ดีๆ งั้นเราไปก่อนนะ"
"เดี๋ยวก่อนสิซัน"
ซันหันมาพยายามยิ้มอีกครั้ง ยิ่งซันยิ้มหลอกๆ แบบนั้นก็ยิ่งทำให้วุธรู้สึกว่าซันแปลกๆ เหมือนมีอะไรในใจแน่ๆ วุธมองตามซันไปด้วยความเป็นห่วง

ศศิเดินไปเดินมารออยู่ในห้องนอน โจเพิ่งกลับมาถึงบ้านก็เดินเข้ามาในห้องนอน เขาเห็นศศิหน้าบึ้งตึง
"ทำไมกลับดึก" ศศิถาม
"ติดประชุมกับลูกค้าอ่ะจ้ะ"
"ลูกค้าเหรอ"
ศศิชูโทรศัพท์ไปตรงหน้าโจ "นี่เหรอลูกค้า"
โจสะดุ้งเฮือกที่เห็นหลักฐานมัดแน่นหนา เสียงข้อความจากโทรศัพท์โจดังขึ้น ศศิแบบมือขอโทรศัพท์
"ใครส่งข้อความมา ขอดูหน่อยสิ"
โจอึกอักลังเล
"เอามาดูเดี๋ยวนี้"
โจจำต้องส่งให้ ศศิรับมาอ่าน
ข้อความในโทรศัพท์ส่งมาว่า "ถึงบ้านแล้วนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วง....” “รักนะ จุ๊บๆ"
"รักนะ จุ๊บๆ" ศศิอ่าน
"เอ่อ... ส่งผิดมั้ง" โจแก้ตัว
"นังนี่มันเป็นใคร"
โจไม่กล้าตอบ
"ไปมีอะไรกับมันมาแล้วหรือยัง" ศศิถาม
โจอ้ำอึ้งไม่ตอบ ศศิถามย้ำ
"มีหรือยัง"
โจอ้อมแอ้มตอบ "คือ...ยัง"
"โกหก!”
"คือ...มันก็มีบ้าง สนุกๆตามประสาผู้ชายน่ะศิ ไม่ได้จริงจังอะไร"
ศศิพยายามระงับอารมณ์สุดๆ เธอเริ่มไม่โวยวายแต่พูดด้วยเสียงดุเข้ม
"ไปเจอกันได้ยังไง"
"น้องเขาทำงานอยู่ร้านอาหารแถวออฟฟิศ เจอกันตอนที่ลูกน้องมันพาไปฉลองวันเกิด"
"เด็กเสิร์ฟเนี่ยนะ จะมีทั้งทีเลือกที่มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง"
โจสารภาพเสียงอ่อย "ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟ น้องเขาเป็นโคโยตี้"
"โคโยตี้ มิน่า ถึงได้สวย เซ็กซี่ขนาดนั้น ทุเรศ สกปรก นี่โจทำไปได้ยังไง นี่ไม่กลัวเอาโรคมาติดกันบ้างเลยหรือไง"
"โจป้องกันน่า แล้วน้องเขาก็ไม่ได้มั่วขนาดนั้น"
"ไม่มั่วขนาดนั้นเหรอ ไอ้ที่มาแอบกินผัวชาวบ้านนี่ มันก็ถือว่ามั่วมากแล้ว"
"ศิ โจเป็นผู้ชายนะ เรื่องเซ็กส์มันก็ต้องมีความต้องการกันบ้างเป็นธรรมชาติ"
"ไม่ต้องเอาธรรมชาติมาอ้าง งั้นเอาเลย ถ้ากินของเน่านอกบ้านมันอร่อยนัก ก็ไปเลย ไปกินให้อิ่มไปเน่าซะให้พอแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก"
"ศิ ฟังก่อนได้ไหม คนอื่นโจก็แค่เล่นๆ ยังไงศิก็เป็นที่หนึ่ง"
ศศิตวาด "ฉันไม่อยากเป็นที่หนึ่ง!! ถ้าจะมีศิก็ต้องมีแค่คนเดียว ถ้ามีคนเดียวไม่ได้ก็ออกไป ไม่ต้องกลับมาอีก"
โจยืนนิ่งแล้วพยายามหาทางง้อ
"ถ้าไม่ไป ฉันไปเอง" ศศิบอก
ศศิเดินออกไปจากห้องอย่างโกรธจัด

ศศิเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่แล้วขับรถออกไปทันที โจวิ่งตามมาแต่ไม่ทันเพราะรถศศิแล่นออกไปแล้ว เขาได้แต่ตะโกนเรียก "ศิ!”

ศศินั่งเศร้าน้ำตาคลออยู่ในห้องซัน เพื่อนๆกำลังรุมล้อมปลอบใจ
"ที่จริงมันก็มีเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะ ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยจับได้คาหนังคาเขา ว่าเขาไปมีอะไรกับคนอื่น แต่คราวนี้...โจเขาก็สารภาพออกมาจากปากเลย พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำกับพี่ได้ ตอนนี้บอกตรงๆว่าพี่เจ็บ... เจ็บมาก"
อ้อมเพิ่งโทรศัพท์คุยกับป้าสุขเสร็จเดินเข้ามาร่วมวง
"อ้อมโทรบอกป้าสุขให้แล้วนะ ว่าคืนนี้พี่ศิอยู่ที่คอนโด ป้าสุขบอกว่าไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เช้าจะดูแลเด็กๆให้ แล้วให้พี่โจไปส่งโรงเรียน"
"ขอบใจมากอ้อม" ศศิบอก
"พี่โจนะพี่โจ ไม่น่าเลย"
"เลิกเลยไหมพี่ศิ ถ้าเขาไม่รักเราแล้วจะไปยื้อเขาไว้ทำไม" ซันบอก
"มันก็ไม่ใช่ว่าไม่รักนะ" ศศิพูด
"ถ้ารักเขาก็ไม่ควรไปมีผู้หญิงคนอื่น" ซันบอก
"เขาบอกว่ามันเป็นความต้องการทางธรรมชาติของผู้ชาย" ศศิบอก
"พูดแบบนี้มันเห็นแก่ตัวชัดๆ ถ้ารักกันจริงๆก็ไม่ควรจะทำร้ายจิตใจพี่แบบนี้ ถ้าเป็นซันนะ เลิกสถานเดียว"
"ไม่ได้หรอก ถ้าเลิกกันแล้วลูกจะทำยังไง" อ้อมว่า
"เด็กสมัยนี้ ที่มีแต่แม่คนเดียว ก็เห็นโตขึ้นมาเป็นคนดีกันเยอะแยะ" ซันบอก
"แต่ที่กลายเป็นเด็กมีปัญหาก็มีไม่น้อยนะ"
"คิดในแง่ดีนะพี่ศิ ตอนนี้พี่ศิรู้เรื่องแล้ว พี่โจเขาคงเลิกกับยัยนั่นแน่ๆ"
"ใช่ แล้วนี่ลูกตั้งสองคน ยังไงพี่ก็เป็นที่หนึ่ง"
"แต่พี่ไม่อยากเป็นที่หนึ่ง พี่อยากเป็นเมียแค่คนเดียว ถ้าเป็นไม่ได้ก็ไม่ต้องเป็น"
"เอาน่า ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดมาก"
"ถ้าไม่สบายใจ คืนนี้ค้างที่นี่แล้วกันพี่ศิ พรุ่งนี้ค่อยมาคิดกันใหม่ว่าจะเอายังไงต่อไป"
สี่สาวนั่งปรับทุกข์กันต่อไป

ศศินอนอยู่กับซันที่ห้อง โดยที่ทั้งคู่แบ่งเตียงกันนอน ศศินอนหันหลังให้ซัน ศศินอนครุ่นคิดเสียใจจนน้ำตาไหลออกมาช้าๆ ส่วนซันได้แต่ถอนหายใจเพราะเห็นใจเพื่อนรุ่นพี่

ศศิเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยชุดเดิมที่ออกไปเมื่อคืน ศศิมีท่าทางเศร้าซึมและอิดโรย ภายในบ้านเงียบเพราะไม่มีใคร สักพักป้าสุขก็เดินออกมา
"เด็กๆอยู่ไหนล่ะ ป้าสุข" ศศิถาม
"ดูการ์ตูนอยู่ในห้องค่ะ"
ศศิมองไปข้างบนบ้านเหมือนจะมองหาใครบางคน ป้าสุขรู้จึงพูดบอก
"ส่วนคุณโจออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ"
"ดีแล้ว"
ศศิเดินซึมๆ ขึ้นบันไดบ้าน

ศศิหยิบภาพถ่ายในกรอบซึ่งเป็นภาพคู่ของเธอกับโจขึ้นมาดู เธอนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาช้าๆ ด้วยความเสียใจ เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น ศศิหยิบขึ้นมาดูก็เห็นภาพหน้าจอเป็นข้อความจากเบอร์คนที่เธอไม่รู้จัก "ได้ข่าวว่าว่ารู้เรื่องแล้วหรือคะ งั้นก็รู้ไว้อีกอย่างนึงนะว่าตอนนี้ผัวพี่อยู่กับหนู เขาบอกว่าเขาเบื่อพี่จนทนไม่ไหวแล้ว"
ศศิกำโทรศัพท์แน่นด้วยความแค้นใจ เธอปาดน้ำตาแล้วเดินเข้าในห้องน้ำ ศศิยืนดูหน้าโทรมๆของตัวเองอยู่ในห้องน้ำ เธอเหลือบตาลงมองเห็นน้ำยาล้างห้องน้ำวางอยู่มุมหนึ่ง ศศิเปิดฝาน้ำยาล้างห้องน้ำแล้วถือไว้ในมือ เธอมองอย่างตัดสินใจ

ป้าสุขเดินนำอ้อมกับเจนขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน
"เมื่อเช้าพี่ศิรีบกลับมาก่อน ท่าทางแปลกๆยังไงไม่รู้ อ้อมไม่สบายใจเลย" อ้อมบอก
"นี่ก็หายขึ้นข้างบนไปสักพักแล้วนะคะ" ป้าสุขบอก
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องนอนก็เห็นว่าประตูห้องน้ำเปิดอยู่ ศศิล้มลงนอนกับพื้น ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำกลิ้งไปตามพื้น ทุกคนช็อค
"พี่ศิ!”

ศศิที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นเห็นโจคอยอยู่ข้างเตียงด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าศศิฟื้นแล้วโจก็ดีใจมาก
"ศิ เป็นไงบ้าง"
ศศิไม่พูด เธอยังมีท่าทางโกรธและมึนตึงอยู่
"ทำไมต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย" โจถาม
"ถ้าไม่มีศิสักคน โจคงมีความสุขมากกว่านี้" ศศิตัดพ้อ
"อย่าพูดอย่างนั้นน่ะศิ ไม่มีศิแล้วโจจะอยู่ได้ยังไง"
"ก็ไปอยู่กับคนอื่นสิ มีคนรอโจอยู่อีกตั้งเยอะ ศิมันก็แค่ของใช้เก่าๆ ที่รอวันหมดอายุ จะมาเป็นห่วงทำไม น่าจะปล่อยให้ศิตายไปซะ"
"โธ่ ศิ อย่าพูดแบบนั้นสิ โจรักศิมากนะ โจเสียใจที่ทำให้ศิต้องเจ็บ" โจกุมมือศศิด้วยความเสียใจจริงๆ "โจขอโทษ โจจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว"
ศศิเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา
"นี่ศิอยากเจอลูกหรือเปล่า" โจถาม
"อย่าให้ลูกเห็นศิในสภาพนี้เลย" ศศิบอก
"งั้นคืนนี้โจมาค้างเป็นพื่อนศินะ"
"ไม่ต้องหรอก โจกลับบ้านเถอะ ตอนกลางคืนต้องมีคนอยู่กับลูก"
"แต่ว่า...”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อ้อมกับเจนเปิดประตูเข้ามาพอดี ทั้งสองคนมีท่าทางปั้นปึ่งกับโจไปด้วย
"อ้อมกับเจนมาแล้ว โจจะไปไหนก็ไปเถอะ" ศศิบอก
"ไม่ล่ะ โจจะอยู่กับศิ" โจพูด
"นี่พี่โจไม่ต้องไปทำงานเหรอคะ" เจนทำเป็นถาม
"มีนัดกับลูกค้าบ่ายนี้น่ะ แต่ช่างมันเถอะ"
"โจรีบไปทำงานเถอะ อย่าให้เสียลูกค้า พอเสร็จงานก็ช่วยกลับไปดูลูกที่บ้านด้วยป่านนี้คงใจเสียกันหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาหาศิก็ได้ อ้อมกับเจนก็อยู่กับศิด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"
โจมองอ้อมกับเจนแล้วก็พยักหน้าให้ศิ
“ได้ งั้นโจจะอยู่กับลูกเอง พี่ฝากศิด้วยนะอ้อม เจน"
สองสาวพยักหน้ารับ

ซันอย่างวิตกกังวลเดินมาตามทางในโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว เมื่อถึงหน้าห้องศศิ ซันก็เปิดประตูผางออกทันทีพร้อมกับโวยวาย
"พี่ศิ! ทำไมทำอะไรโง่ๆแบบนี้"
ศศินั่งอยู่บนเตียง อ้อมกับเจนรวมทั้งวินยืนอยู่ข้างเตียง ซันก้าวเข้ามา
"ทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมา ต้นกล้ากับข้าวหอมจะอยู่ยังไง คิดบ้างหรือเปล่า"
ทุกคนในห้องชะงักมองซัน เพราะภาพตรงหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่ซันคิด ศศิดูสดชื่นแข็งแรง อ้อม วิน กับเจนคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครป่วย ไม่มีคนเศร้า
ซันงง "นี่มันอะไรกัน ไหนว่าพี่ศิกินยาล้างห้องน้ำ"
ศศิลุกขึ้นนั่งแล้วถอดสายน้ำเกลือออกด้วยท่าทางสบายๆ
"พี่ไม่โง่หรอกน่า เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ทำให้พี่ตายได้หรอก ลูกพี่สองคนยังเล็กยังต้องดูแล ผัวพี่ก็ยังหนุ่ม ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันตั้งมากมาย จะให้ทิ้งทุกอย่างไปง่ายๆได้ยังไง" ศศิบอก
"นี่หมายความว่า วางแผนหลอกพี่โจกันงั้นเหรอ" ซันถาม
ทุกคนพยักหน้า
"โธ่เอ๊ย นี่พอซันรับโทรศัพท์จากเจนปุ๊บก็รีบทิ้งงานออกมาเลย วางแผนอะไรทำไมไม่บอกกันก่อน ปล่อยให้เป็นห่วงแทบแย่"
"ขอโทษที พอดีคิดได้กระทันหัน แล้วเมื่อเช้าซันก็ออกไปทำงานก่อน" ศศิบอก
"ถ้าไม่ทำแบบนี้ รู้ใจพี่โจเหรอว่า ยังรักพี่ศิอยู่หรือเปล่า" เจนว่า
"ผู้ชายเนี่ยนะครับ ต่อให้เหลวไหลยังไง ครอบครัวก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว" วินบอก
"นี่หมอวินก็สมรู้ร่วมคิดด้วยกับเขาด้วยเหรอ"
"เปล่า..ผมไม่ได้สมรู้ร่วมคิดนะ ก็แค่ช่วยจัดการเรื่องโรงพยาบาล ขอความร่วมมือกับพยาบาลให้นิดหน่อย เอาล่ะ ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว ผมไปทำงานต่อดีกว่า"
"ขอบคุณมากนะวิน เจอกันที่บ้านจ้ะ"
"จ้า"
วินเปิดประตูห้องออกไปยืนพึมพำกับตัวเอง
"ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ"
เสียงข้อความโทรศัพท์ของศศิดังขึ้น ศศิหยิบมากดอ่าน
"มาอีกแล้ว" ศศิบอก
"อะไร" ซันถาม
เจนตอบแทน "กิ๊กพี่โจส่งข้อความมาป่วนพี่ศิ วันนี้ส่งมาเป็นสิบรอบแล้วมั้ง"
ศศิอ่าน "ขนาดกินยาตายแล้วยังรอด ที่เขาว่ายิ่งแก่ยิ่งหนังเหนียวก็คงจะจริง คราวหน้าใช้ยาแรงกว่านี้หน่อยนะป้า"
เจนโมโหแทน "ไปตบเลยไหม"
"นี่มันไม่ใช่ละครน้ำเน่านะยัยเจน" อ้อมปราม
"น้ำเน่ามันก็เอามาจากชีวิตจริงทั้งนั้นแหละ พี่อ้อม เจนอ่านในอินเตอร์เน็ตมา เขาบอกว่านี่เป็นกลยุทธ์รุกก้าวแรกของเมียน้อย คือทำให้เมียหลวงสติแตก ยุให้ครอบครัวก็ทะเลาะกัน จากนั้นมันก็จะค่อยๆแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยๆ" เจนบอก
"เขากำลังเล่นสงครามประสาทกับพี่ศิน่ะ พี่อย่าไปสนใจเลย" ซันบอก
ศศิพูดนิ่งๆ "พี่รู้ เกมแบบนี้พี่เคยผ่านมาแล้ว แต่คนอย่างพี่ไม่ชอบสงครามประสาทพี่ชอบสงครามจริง ให้มันเห็นเลือดเห็นเนื้อกันไปเลย"
ศศิมีแผนในใจ เธอคิดเตรียมการอะไรบางอย่าง

ศศิแต่งตัวสวยเลิศไม่มีีวี่แววคนป่วยแม้แต่น้อย เธอเดินนำกลุ่มน้องๆมาถึงร้านอาหาร ทุกคนพร้อมลุย ยกเว้นอ้อมที่ยังมีท่าทางเป็นกังวล
"จะดีเหรอพี่ศิ" อ้อมถาม
"ทุกคนเป็นกองหนุนพี่อย่างเดียวพอ เดี๋ยวพี่จัดการเอง" ศศิบอก
สี่สาวก้าวเข้าไปในร้าน
ภายในร้านเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์แบบมีสาวเต้นโคโยตี้ แขกส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แขกหลายคนหันมามองกลุ่มสี่สาวด้วยความสงสัย ทั้งสี่คนไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง เด็กเสิร์ฟเข้ามาวางเมนูให้ สี่สาวมองไปที่เวทีที่สาวๆโคโยตี้กำลังเต้นอยู่ ทุกคนสอดส่ายสายตาช่วยกันหาเป้าหมายแล้วทั้งศศิก็เห็นหนูนากำลังเต้นส่ายเอวเซ็กซี่ ศศิจำได้ทันที
"นั่นไง คนนั้น"
"แน่ใจหรือพี่ศิ" เจนถาม
"แน่ใจ คนเดียวกับที่ซันถ่ายรูปส่งมาให้พี่" ศศิบอก
ซันพยักหน้าคอนเฟิร์ม
"แล้วพี่ศิจะทำอะไร" อ้อมถาม
ศศิกวักมือเรียกผู้จัดการที่คอยดูแลลูกค้าอยู่ ผู้จัดการรีบเข้ามาหา
"มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณผู้หญิง"
"ที่นี่เรียกเด็กมานั่งได้ใช่ไหม" ศศิถาม
"ครับ เอ่อ...แต่ว่าปกติ น้องเขานั่งดริงค์กับแขกผู้ชายเท่านั้น"
"แล้วถ้าเป็นผู้หญิง แต่มีเงินจ่ายล่ะ" ศศิถาม
"แหม...ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีให้บริการครับ สนใจสไตล์ไหนครับ น้องโอ๋ไหม หน้าหวานสุดๆ" ผู้จัดการเชียร์ ผู้จัดการชี้ชวนให้ดูสาวๆบนเวที แต่ศศิชี้ไปที่หนูนาแล้วบอก
"คนนั้นน่ะ"
"อ๋อ หนูนา ได้เลยครับ เดี๋ยวจัดให้"
ผู้จัดการเดินไปที่ข้างเวที เพลงจบลงพอดี ผู้จัดการกระซิบกับหนูนาพลางชี้มือมาที่กลุ่มสี่สาว

บริกรเทไวน์ใส่แก้วครบทั้ง4 แล้วเดินออกไป สวนกับหนูนาที่เดินนวยนาดมาที่โต๊ะพร้อมทั้งยิ้มสวัสดี
"พี่ๆอยากนั่งกับหนูนาหรือคะ" หนูนาถาม
"เธอเหรอที่ชื่อหนูนา" ศศิถาม
"ใช่"
"สวยดีนี่ อายุเท่าไหร่แล้ว" ศศิถามต่อ
"ยี่สิบสองค่ะ" หนูนาตอบ
"พี่ชื่อศศิ เป็นเมียของโจ"
หนูนาหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่แป๊บเดียวก็ทำเชิด
"ไหนว่ากินยาตายล้างท้องอยู่โรงพยาบาลไง" หนูนาว่า
"เปล่า พี่สบายดี ถ้ากินยาตาย ก็คงมาดูหน้าเธอไม่ได้ เธอเป็นคนส่งข้อความไปท้าทายให้พี่มาเองไม่ใช่เหรอ"
"อยากให้พี่ได้มาดูหน้าคนที่ใช้สามีร่วมกับพี่ไง"
ศศิเก็บอารมณ์ได้ดี เธอทำตัวเป็นต่อตลอด
"ใช่จ้ะ ก็ได้เห็นแล้ว แล้วตอนนี้ก็รู้แล้วด้วยว่าไม่เท่าไหร่" ศศิทำสีหน้าเหยียดหยามสุดๆ "กระจอก"
"กระจอกหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ ขนาดตอนพี่ทำเป็นกินยาตายเรียกร้องความสนใจจากผัว ผัวพี่เขายังไม่สนใจเลย วันนี้พี่โจเขายังมาหาหนูอยู่เลย เขาบอกว่าเขาเบื่อพี่จะตายอยู่แล้ว"
"เหรอ"
"ใช่ พี่โจเขารักหนู" หนูนาบอก
"รักเหรอ? นี่น้อง ผู้ชายเวลามันอยากได้เซ็กส์มันก็บอกว่ารักกับทุกคนนั่นแหละ"
"แต่พี่โจเขาไม่เหมือนคนอื่น เขารักหนูจริงๆ"
"เหรอ... แล้วเขาให้เงินเธอด้วยหรือเปล่าล่ะ" ศศิถาม
"ก็บางครั้ง"
"ยิ่งถ้าเขาให้เงิน มันไม่ใช่ความรัก มันเรียกว่าการซื้อบริการ"
"หนูไม่ได้ขายตัว"
"จ้า พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เปรียบเทียบให้ฟัง ว่ารัก...กับซื้อบริการมันต่างกันยังไงทำงานที่แบบนี้อย่าทำเป็นไร้เดียงสาไปหน่อยเลย"
"ถ้าพี่สูงส่งนัก แล้วพี่โจเขาจะมาหาหนูทำไม"
"คนเราเนี่ยนะ ถ้าได้กินอาหารดีๆในภัตตาคารอยู่ทุกวันชีวิตมันก็ไม่ตื่นเต้น บางทีก็อยากลองกินของสกปรกข้างทางดูบ้าง"
หนูนาโกรธ "นี่!”
หนูนายกมือขึ้นจะตบ แต่ศศิมือไวกว่าจึงเอาไวน์ในแก้วสาดไปที่หน้าหนูนา เพื่อนหนูนาที่มุมหนึ่งพากันกรูเข้ามาจะเอาเรื่อง อ้อม ซัน และเจนลุกขึ้นยืนพร้อมปกป้องศศิ
"อย่าเข้ามา เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉันกับผู้หญิงคนนี้ คนอื่นไม่เกี่ยว ถ้าใครเข้ามาโดนน้ำกรดสาดหน้าเละแน่"
ศศิไม่พูดเปล่าแต่ยังเอาขวดแก้วเล็กๆ ขึ้นมาชูตรงหน้าทุกคนเป็นการขู่ หนูนาและเพื่อนๆเริ่มกลัว แม้แต่ซัน อ้อม และเจนยังพลอยตกใจไปด้วยเพราะไม่คิดว่าศศิจะกล้าเล่นแรงแบบนี้
"เห็นเพื่อนฉันไหม" ศศิชี้ที่อ้อม "คนนั้นทำงานหนังสือพิมพ์ ส่วนอีกคนเป็นนักข่าวทีวี" ซันจ้องหน้าทุกคนแบบพร้อมเอาจริง
ศศิพูดต่อ "ส่วนอีกคนเป็นลูกนายตำรวจใหญ่" เจนยืดตัวกร่างๆให้ดูสมจริง "ถ้าอยากให้ร้านนี้ถูกแฉเรื่องมีผู้หญิงบริการโดยไม่มีใบอนุญาติก็ลองมีเรื่องดูสิ รับรองว่าร้านนี้จะต้องถูกปิด พวกเธอหมดทางทำมาหากินแน่"
ทุกคนหยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าศศิพูดจริงไหม แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง
ศศิหันไปพูดกับหนูนา "ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่นิยมเรื่องรุนแรง แต่ถ้าใครรุนแรงมาก่อน ฉันก็ไม่มัวนั่งเป็นนางเอกร้องไห้อยู่กับบ้าน วันนี้ฉันแค่มาเตือนเธอว่าให้เลิกยุ่งกับสามีฉัน ไม่อย่างนั้นคราวหน้ามันจะไม่ใช่แค่ไวน์ แต่เป็นน้ำกรด"
ศศิยกขวดน้ำกรดขึ้นขู่อีกครั้ง

ศศิ อ้อม ซัน และเจนเดินออกมาจากร้านคาราโอเกะพร้อมกับชัยชนะ
"นี่พี่ศิเอาน้ำกรดมาด้วยจริงๆเหรอ" อ้อมถาม
"เปล่า จะไปหามาจากไหนล่ะน้ำกรดน่ะ นี่มันขวดยาแก้ไข้ยัยข้าวหอม" ศศิบอก
ศศิโยนขวดแก้วนั้นทิ้งลงถังขยะข้างทาง
"อ้าว แล้วเมื่อกี๊แอ๊คติ้งซะเหมือนเชียว เล่นเอายายหนูนานั่นหน้าซีดเลย" ซันบอก
ทั้งสี่คนหัวเราะให้กันก่อนจะเดินตรงไปที่รถ

โจเปิดประตูเข้ามาในห้องที่ศศินอนพักอยู่ ศศินอนหลับโดยมีเจนเฝ้าอยู่ข้างๆเตียง
"ศิเป็นไงบ้างเจน" โจถาม
"หมอบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว บ่ายนี้ก็กลับบ้านได้" เจนบอก
"ค่อยโล่งอกหน่อย"
"ร่างกายพี่ศิไม่เป็นไรแล้วก็จริงนะพี่โจ แต่สภาพจิตใจนี่สิ" เจนเป็นห่วง
"ศิเขายังโกรธพี่อยู่อีกหรือ” โจถาม
"ไม่ใช่พี่โจหรอก กิ๊กพี่โจต่างหาก ส่งข้อความมาป่วนพี่ศิตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"
"จริงเหรอ" โจถาม
โจหยิบโทรศัพท์มือถือศศิที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดอ่านข้อความก็เห็นข้อความที่หนูนาส่งมาเมื่อวันก่อน โจรู้สึกโกรธขึ้นมา เสียงโทรศัพท์โจดังขึ้นพอดี โจมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วบอกเจน
"เดี๋ยวพี่มานะ"
โจออกจากห้องไปรับโทรศัพท์ ศศิลืมตาตื่น เจนกับศศิมองหน้ากันแล้วก็รู้สึกว่าเหตุการณ์เริ่มเข้าแผน

โจเปิดประตูออกมาที่หน้าห้องพักแล้วคุยโทรศัพท์
"โทรมาก็ดีแล้วหนูนา พี่กำลังจะโทรหาอยู่พอดี หนูนาทำแบบนั้นทำไม" โจหยุดฟัง "ก็ที่ส่งข้อความมาท้าทายศิเค๊า พี่เห็นเบอร์แล้ว เป็นเบอร์หนูหนาแน่ๆ"
โจเดินไปตามทางเดิน แล้วไปหยุดคุยโทรศัพท์ที่มุมหนึ่ง เจนย่องออกมาจากห้องแล้วแอบฟังอยู่ไม่ไกล โจพูดโทรศัพท์ "ศิเนี่ยนะ ไปหาเรื่องหนูนาที่ร้าน เป็นไปไม่ได้ นี่ศิเขาอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าจะโกหกก็ให้มันสมเหตุสมผลหน่อย …." โจถอนหายใจเซ็งๆ "เฮ้อ นี่อย่าเพิ่งมาพูดอะไรไร้สาระตอนนี้ได้ไหม เราเคยตกลงกันแล้วใช่ไหม ว่าเรื่องของเราก็คือเรื่องของเราสองคน หนูนาไม่มีสิทธิมายุ่งกับครอบครัวของพี่ ถ้าหนูนาทำไม่ได้เราก็ไม่ต้องเจอกันอีก.... พี่คงไปเจอหนูนาไม่ได้สักพักนะ แล้วก็ไม่ต้องโทรหาพี่ด้วย"
เจนที่แอบฟังโจคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งหัวเราะคิกคักชอบใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4


ทางเดินแห่งรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
เจนกลับเข้ามาในห้อง ศศิคอยฟังข่าวอยู่แล้ว เจนยกมือทำท่าโอเคที่เข้าแผน

"ชัวร์ เลิกชัวร์ๆ คอนเฟิร์ม" เจนบอก
ศศิถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"แผนพี่ศินี่สุดยอด เจนจะจำเอาไว้ใช้บ้าง"
"ถ้าอยากจะจำ ก็จำไว้อย่างเดียวเลยยัยเจน ถ้าจะเลือกผู้ชายสักคน ให้เลือกคนที่จะไม่นอกใจเรา ไม่อย่างนั้นชีวิตจะวุ่นวายเหมือนพี่"
"แหม แต่ตอนนี้สงครามก็สงบแล้วนะพี่ศิ"
"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก"
"อ้าว"
"มันก็แค่พักรบเท่านั้นแหละ สงครามมันจะมาอีกแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่า จะช้าหรือเร็ว" ศศิบอก

หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ โจก็เดินกลับมาที่ห้องที่ศศิพักอยู่ ระหว่างทาง ลัดดา พยาบาลสาวหน้าตาสวยโดดเด่นกำลังเดินสวนมา ตอนแรกโจไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อเดินสวนกันลัดดาก็ทำปากกาตกพื้นพอดี โจจึงก้มเก็บให้
"ปากกาครับ"
ลัดดาหยุดรับปากกาจากโจด้วยท่าทางเขินๆ
"ขอบคุณค่ะ มาเยี่ยมคนป่วยหรือคะ" ลัดดาถาม
"ครับ"
โจเหลือบมองป้ายชื่อก็เห็นว่าชื่อลัดดา ลัดดายิ้มเขินๆเดินผ่านไป โจเหลียวมองตาม ลัดดาหันกลับมายิ้มหวานให้โจอีกครั้ง

ภายในร้านขายดอกไม้ของจ๋า จ๋ากำลังจัดดอกไม้อยู่ วุธขับรถมาจอดที่หน้าร้านแล้วเดินเข้ามาหา
"มาแล้วเหรอวุธ รอแป๊บนะ ขอจัดช่อนี้แป๊บนึง พอดีพรุ่งนี้ลูกค้าจะมารับแต่เช้าก็เลยต้องรีบทำให้เสร็จ" จ๋าบอก
"นี่วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า ถึงต้องให้วุธมารับถึงที่ร้าน " วุธถาม
"พ่อจ๋าให้ชวนไปกินข้าวที่บ้านน่ะ บอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย"
"อยากคุยด้วย กับวุธเนี่ยนะ เรื่องอะไร"
"ไม่รู้เหมือนกันน่ะ แต่เห็นบ่นว่าอยากเจอวุธมาหลายวันแล้ว"
วุธได้แต่สงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร
"เสร็จละ ไปกันได้แล้วจ้ะ"
จ๋าจัดแจกันดอกไม้ให้เข้าที่ก่อนจะคว้ากระเป๋าและควงแขนวุธออกจากร้านไป

บ้านจ๋าใหญ่โตและไฮโซ วุธนั่งอยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่ของจ๋าด้วยท่าทางเกร็งๆ
"นี่เธอกับจ๋าคบกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ" พ่อจ๋าถาม
"ห้าปีแล้วครับ" วุธบอก
"ก็นานพอดูแล้วนะ คิดเรื่องแต่งงานกันไว้บ้างหรือยัง"
วุธกับจ๋ามองหน้ากันโดยต่างยังไม่เคยพูดกันเรื่องนี้
"ยังครับ" วุธตอบ
"งั้นก็น่าจะเริ่มคิดกันได้แล้ว" พ่อจ๋าบอก
"คุณพ่อครับ คือ ที่จริง เรื่องแต่งงาน.. ผมคิดว่าผมสองคนยังไม่พร้อม"
"ไม่พร้อมได้ยังไงตาวุธ จะรอไปจนถึงเมื่อไหร่กัน นี่ยัยจ๋าก็อายุมากขึ้นทุกวันผู้หญิงน่ะถ้าจะให้ดีก็ต้องได้แต่งงานก่อนอายุสามสิบ เป็นวัยที่พร้อมที่สุด"
"แต่ผม...”
"เธอสองคนควงกันไปไหนมาไหนมาตั้งหลายปี ใครๆเขาก็รู้ไปทั่วแล้วว่าเป็นแฟนกัน ถ้าไม่แต่งซะที คนเขาจะมองยัยจ๋าไม่ดี คิดบ้างหรือเปล่า"
"ครับ"
"ครับนี่คือยังไง" พ่อจ๋าถามต่อ
"ยังไงก็ได้ครับ ถ้าจ๋าอยากแต่ง ผมก็ไม่ขัดข้อง" วุธบอก
ทุกคนหันไปมองจ๋าเพื่อรอคำตอบ จ๋ายิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดๆ จึงพยักหน้ารับ
"จ๋าอยากแต่งค่ะ"
"เป็นอันว่าตกลง ไปหาฤกษ์แต่งกันซะ แล้วก็ไปเตรียมผู้ใหญ่มาสู่ขอ ทางพ่อไม่ขออะไรมาก เงินสินสอดสักสองล้านก็พอ"
"สองล้าน!” วุธสะดุ้ง
"สองล้านนี่ถือว่ายังไม่มากนะ สำหรับลูกสาวคนเดียวของครอบครัวที่พ่อกับแม่เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี" แม่จ๋าเสริม
"อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันได้ว่า เธอมีความสามารถพอที่จะเลี้ยงดูยัยจ๋าให้มีชีวิตที่ดีได้ หลังจากแต่งงานแล้วยังไงพ่อก็จะคืนให้จ๋าเก็บไว้เป็นหลักประกันสำหรับอนาคต"
วุธพูดไม่ออกจึงได้แต่นิ่งอึ้ง
พ่อจ๋าพูดต่อ "ส่วนเรื่องงานแต่งงาน ทางวุธก็เตรียมการกันไปได้เลย พ่อไม่ยุ่ง ขออย่างเดียว งานแต่งงานของลูกสาวพ่อต้องยิ่งใหญ่ สมฐานะ สมเกียรติตระกูลเก่าแก่ของเรา"
วุธรู้สึกอึดอัดลำบากใจมากๆ

วุธกับจ๋าออกมานั่งคุยกันนอกบ้าน จ๋ายังคงดีใจอยู่
"ในที่สุดคุณพ่อก็ยอมให้จ๋าแต่งงานกับวุธเสียที จ๋าดีใจมากเลยนะวุธ"
วุธยิ้มฝืนๆ จนจ๋าสังเกตได้
"วุธเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ดีใจเหรอที่เรากำลังจะแต่งงานกัน" จ๋าถาม
วุธพูดปลอบใจจ๋าและตัวเอง "ดีใจสิ"
"แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น"
"แค่ตกใจนิดหน่อย จู่ๆพ่อจ๋าก็พูดเรื่องแต่งงาน วุธไม่ทันได้ตั้งตัว ที่จริงวุธเคยคิดไว้ว่าถ้าจะแต่งงานอยากได้แค่งานเล็กๆ เรียบๆง่ายๆ เชิญแต่คนสนิท"
"นี่คุณพ่อกับคุณแม่เรียกร้องเยอะเกินไปใช่ไหม"
"แล้วจ๋าล่ะ อยากได้งานแบบไหน"
"ถ้าเลือกได้ จ๋าก็อยากได้งานใหญ่ๆ มีคนที่จ๋ารักมากันพร้อมหน้า อยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆเหมือนเจ้าหญิง จ๋าคงมีความสุขมาก"
วุธหน้าเสียไป เพราะมันช่างตรงข้ามกับความคิดของเขาสิ้นเชิง
"แต่นั่นมันก็แค่ภาพในฝันน่ะจ่ะ" จ๋าพูด "ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงซะหน่อย วุธไม่ต้องจัดงานใหญ่เว่อร์แบบที่คุณพ่อขอหรอก เราจัดงานกันแบบเรียบๆเล็กๆก็ได้ เอาตามที่วุธสบายใจดีกว่านะ"
"แต่ว่า...ถ้านั่นมันเป็นความฝันของจ๋า....”
"นี่วุธ รู้ไหมอะไรที่จะทำให้จ๋ามีความสุขที่สุด"
"อะไร"
"คือการได้เป็นเจ้าสาวของวุธไงล่ะ เพราะฉะนั้นเราจะจัดงานแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก ถ้าได้อยู่กับวุธ จ๋าเชื่อว่ายังไงจ๋าก็ต้องเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุด"
ทั้งคู่กุมมือกันอย่างเข้าใจ วุธซาบซึ้งใจที่จ๋าพยายามเข้าใจเขามาโดยตลอด

วุธเพิ่งมาถึงบริษัท เขาเดินเข้าประตูมาจนเห็นซันอยู่ตรงหน้า วุธรู้สึกดีใจแวบขึ้นมา
"ซัน"
ซันหันมาตามเสียงเรียก
"อ้าววุธ เพิ่งมาเหรอ" ซันทัก
"กำลังอยากเจออยู่พอดี วันนี้มีเวลาว่างหรือเปล่า มีเรื่องอยากคุยด้วย"
"อยากคุย เรื่องอะไร" ซันสงสัย

วุธกับซันนั่งกินข้าวด้วยกันในร้านอาหารประจำซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงาน ซันที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลัก เพราะไม่ทันตั้งตัว
"ว่า ว่าไงนะ"
"เรากำลังจะแต่งงานกับจ๋า ตอนแรกเราก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ครอบครัวจ๋าเขาเริ่มเร่งให้แต่ง แม่จ๋าเขาบอกว่าไม่อยากให้จ๋าแต่งานตอนอายุมากกว่านี้ ซันคิดว่าไง"
"ก็..ก็ดีนี่"
"แต่เรากลับไม่มั่นใจเลยว่ามันถึงเวลาต้องแต่งงาน เราคิดวนไปวนมาหลายรอบแล้ว เราไม่รู้ว่าเราตัดสินใจถูกหรือเปล่า"
"นี่มันเรื่องส่วนตัวของนายกับจ๋า จะมาปรึกษาฉันทำไม"
"นี่เธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ" วุธถาม
ซันรู้สึกเหมือนโดนสตั๊นไป 8 วินาที
ซันที่แอบเศร้าพูดออกมา "รู้สึกสิ" ซันเปลี่ยนหน้าเป็นฝืนยิ้มแบบที่เจนสอน "รู้สึกดีใจกับนายไง จ๋าก็เพื่อนฉัน นายก็เพื่อนฉัน ถ้านายกับจ๋ากำลังจะมีอนาคตด้วยกัน ฉันก็ควรจะแสดงความยินดีด้วย"
วุธหยั่งเชิง "เธออยากให้เราแต่งงานใช่ไหม"
ซันลองใจ "นายอยากแต่งหรือเปล่าล่ะ"
"ถ้าเราบอกว่าอยาก...”
ซันรู้สึกเจ็บแต่ฝืนใจ "งั้นก็แต่ง เรื่องของนายนายตัดสินใจเองได้นี่ จ๋าเขาก็เป็นคนดี นายจะได้มีคนคอยดูแลไง"
ทั้งคู่เงียบไปสักพัก วุธเริ่มลังเลใจว่าควรพูดความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ไหม เขามองมือซันที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็อยากจะเอื้อมมือไปจับเดี๋ยวนั้น แต่ซันพูดตัดบทขึ้นเสียก่อน
"ฉันยินดีด้วยนะวุธ"
"ซัน คือ เรา"
"ฉันมีงานรออยู่ ต้องรีบไปแล้วล่ะ เอาไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกัน"
ซันลุกขึ้นเพราะอยากจะหนีไปเพื่อปิดบังความรู้สึกผิดหวังของตัวเอง วุธเอื้อมมือไปจับมือซันไว้
"เดี๋ยวก่อนซัน"
ซันนิ่งแล้วหวังว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในชั่ววินาทีนั้น วุธยื่นถุงขนมใส่มือซัน
"เราไปร้านเค้กร้านประจำมา เลยซื้อมาฝาก" วุธบอก
"ขอบใจ"
ซันรับไว้ก่อนจะวิ่งออกไป วุธมองตามเศร้าๆ แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปเขาจึงตัดสินใจว่าแต่งก็แต่ง

ซันเดินเข้ามาในห้องทำงานก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อย่างคนหมดแรง เธอรู้สึกเหมือนอกหัก ซันมองกล่องใส่คัพเค้กที่วุธให้มาพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต

ภาพในอดีตย้อนกลับมา ซันนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ตามลำพังที่โต๊ะใต้ร่มไม้ มือของวุธยื่นกล่องคัพเค้กมาตรงหน้า ซันเงยหน้ามอง
"อะไร" ซันถาม
"ของโปรดเธอไง" วุธบอก
ซันรับกล่องขนมไปเปิดดู
ซันตื่นเต้น "คัพเค้ก"
"รู้ว่าเธอชอบ เมื่อกี๊เราเลยแวะซื้อที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ"
"นายนี่รู้ใจจริงๆเลย"
"อยู่แล้ว"
ซันหยิบขึ้นมาใส่ปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย วุธเอนตัวไปมองหนังสือซันแล้วชวนคุย
"นี่อ่านอะไรอยู่" วุธอ่านชื่อหนังสือ "เตรียมสอบวิชาการสื่อสารเชิงธุรกิจ เฮ้อ เป็นวิชาที่เบื่อสุดๆ อ่านเสร็จแล้วทำโน้ตย่อให้หน่อยสิ"
"ได้ ถือว่าเป็นค่าเค้กที่นายซื้อมาให้แล้วกัน"
ซันหันหน้ามาตอบ วุธเห็นครีมที่ติดอยู่ตรงจมูกของซัน
"นี่ เค้กนี่เขากินทางปาก ไม่ใช่ทางจมูก"
วุธเอานิ้วป้ายครีมจากจมูกซันมาใส่ปากตัวเองหน้าตาเฉยด้วยความเป็นกันเองและสนิทสนม ซันเขินจัดจึงแอบก้มหน้าก้มตาดูหนังสือต่อไป

ยิ่งคิดถึงอดีตซันก็ยิ่งรู้สึกเศร้าและเสียใจจนไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีกแล้ว

ศศิ ซัน อ้อม เจน และจูดี้นั่งคุยกันเหมือนเคย
"แหม...ฟังแล้วก็สะใจ๊ สะใจ ผู้ชายเจ้าชู้อย่างคุณโจน่ะต้องเจอกับผู้หญิงฉลาดอย่างคุณศิ มันถึงจะทันกัน " จูดี้ว่า
"แล้วนี่ถ้าพี่โจเขาจับได้ทีหลังว่าพี่ศิหลอก เขาจะโกรธไหม" อ้อมสงสัย
"อย่างโจน่ะเหรอจะกล้่าโกรธ ไม่มีทาง"
"แล้วถ้าพี่โจรู้ เขาจะกลับไปหายัยหนูนานั่นป่ะ"
"นิสัยอย่างโจน่ะนะ ไม่กลับไปกินของเก่าหรอก พี่คิดว่าช่วงนี้โจคงจะยังไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง จะได้มีเวลาหายใจหายคออีกสักพัก" เจนว่า
"แล้วนี่งานใหม่เธอเป็นไงบ้างเจน" อ้อมถาม
"งานใหม่เจนน่ะเหรอ มันสุดยอดแห่งงานในฝันเลยล่ะจะบอกให้ เจ้านายบอกว่าไม่ต้องทำอะไรมาก วันๆก็แค่คุยโทรศัพท์ ถ้ามีคนซื้อประกันก็รับค่่าคอมมิสชั่น"
"แล้วที่ว่าเป็นเซลล์เนี่ย ขายอะไร" ศศิถาม
"ขายประกันโรคร้ายแรง เออ..จริงๆตัวที่เจนจะขายเนี่ย เหมาะกับพวกพี่ๆที่สุด หักผ่านบัตรเครดิตแต่เดือนละสองพันห้า แต่ได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิต เป็นมะเร็ง พิการ อัมพาต หรือตาย ก็รับเลยสามแสน ซื้อเลยไหม" เจนเปลี่ยนเสียงเป็นแบบเทเลเซลล์ "ถ้าสนใจซื้อประกันกับเรา กรุณาตอบตกลงได้เลยนะคะ" เจนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมอัดเสียง "ขึ้นมาขออนุญาติอัดเสียงด้วยค่ะ"
ทุกคนพร้อมใจกันพูดใส่โทรศัพท์เจน "ไม่ !”
"โอเคๆ"
"ชักจะคุยกันไม่สนุกซะแล้วนะน้องเจน คุยเรื่องสนุกๆกับกับน้องอ้อมดีกว่า" จูดี้ทำหน้าทะเล้น
อ้อมเสียงอ่อย "ตั้งแต่แต่งงานมา ยังไม่ได้เข้าหอเลยค่ะ วินเขาต้องไปทำงานทุกวัน กลับบ้านมาก็เหนื่อยหลับไปก่อนตลอด"
"เฮ้ย ไม่ได้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะอ้อม" ศศิว่า
"อ้อมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน"
"จะมัดกายสามีมันต้องมีเทคนิคกันนิดนึง" จูดี้บอก
ทุกคนช่วยกันคิด ยกเว้นซันที่ดูเนือยๆ เพราะสติไม่อยู่กับตัว
"มอมเหล้าเลยไหม เห็นในละครชอบทำ" เจนว่า
"ขืนกินเหล้าเข้าไปก็คงจะหลับไปซะก่อนที่จะได้มีอะไรกันน่ะสิ" อ้อมบอก
"เปิดหนังโป๊ไหม แบบว่าหมอวินกลับเข้าห้องมา จะได้มีอารมณ์เซ็กซี่เลย" ศศิเสนอ
"ถ้าเตรียมตัวขนาดนั้น มันจะเหมือนเราจัดจ้านไปนะพี่ศิ" อ้อมบอก
"จัดท่ายากเลยไหมคะ แบบว่า..เทียนไข โซ่ แส้ กุญแจมือ มายืมของพี่จูดี้ก็ได้ มีครบเซ็ตเลย" จูดี้ว่า
ทุกคนเซ็ง
ศศิพูด "ปล่อยมันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะอ้อม เรื่องแบบนี้มันก็เหมือนการขับรถนั่นแหละ ใหม่ๆก็ขับสะเปะสะปะ เดี๋ยวออกซ้ายเดี๋ยวออกขวา พอนานๆไป ได้ขับกันเป็นประจำก็จะช่ำชองขึ้นมาเอง"
"พอช่ำชองแล้วล่ะก็ รับรองคิดท่าขับใหม่ได้ทุกวัน" จูดี้เสริม
"ว้าย พี่จูดี้ ทะลึ่งอ่ะ" เจนว่า
ทุกคนกรี๊ดกร๊าดหัวเราะชอบใจ ซันกลับนั่งนิ่งไม่ยินดียินร้ายและมีหน้าเศร้าผิดปกติ
"เดี๋ยวซันกลับห้องก่อนนะ"
"เป็นอะไรไปน่ะซัน" ศศิถาม
"เปล่า ไม่ได้เป็นไร สบายดี" ซันฝืนยิ้ม
ซันเดินออกไปทันที ทุกคนได้แต่มองตามไปอย่างงงๆ
"ซันมันต้องเป็นอะไรแน่ๆ"
"ใช่ อ้อมก็ว่ามันไม่ปกติ เดี๋ยวอ้อมไปสืบเอง"
"ไม่ต้อง แกไปมีวันชื่นคืนสุขกับสามีให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมายุ่งเรื่องชาวบ้าน" ศศิว่า
"ใช่ ไม่ต้องถึงมือพี่อ้อมหรอก เดี๋ยวเรื่องนี้เจนจัดการเอง" เจนบอก

ซันกำลังเลือกชุดจากตู้เสื้อผ้าเพราะเธอหาชุดเตรียมไปงานเลี้ยง เจนทำมาเป็นช่วยอยู่ด้วย แต่เจนเลือกชุดไปก็คอยเหล่มองสังเกตสีหน้าและกิริยาของซันไป ซันหยิบชุดเรียบๆ ขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วลองทาบตัว
"ธรรมดาไปไหมพี่ซัน นี่งานเลี้ยงรุ่นนะ เจอเพื่อนเก่าตั้งเยอะ ต้องดูดีนิดนึงนะเจนว่า" เจนท้วง
ซันเลือกชุดต่อ เจนพยายามหาจังหวะถาม
"พี่ซัน งานเลี้ยงรุ่นเนี่ย จัดที่ไหนเหรอ"
"ร้านอาหารอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้"
"แล้วมีใครไปบ้าง นี่พี่ซันกำลังจะไปเจอแฟนเก่าหรือเปล่า"
"แฟนเก่าอะไร สมัยเรียนฉันไม่มีแฟน"
"อ้อ..." เจนพยักหน้าเข้าใจ "แล้วช่วงนี้งานที่บริษัทเป็นไงบ้าง เครียดงานหรือเปล่า"
"เปล่านี่ ก็เหมือนเดิม"
"แล้วพี่วุธเป็นไง"
ซันชะงักเล็กน้อย "ถามถึงเขาทำไม"
"อ้าว ก็เขาเป็นคู่แข่งพี่ซันอยู่ อยากรู้ว่าเขาเป็นคนทำให้พี่ซันเครียดหรือเปล่า"
"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก" ซันบอก
"หรือพี่ซันแอบมีผู้ชายแล้วไม่บอกพวกเราหรือเปล่า ใครกันน้า"
ซันเริ่มจับได้ "เจน...”
เจนยิ้มแหยๆ "จ๋า...”
"นี่โดนใช้ให้มาสืบเรื่องพี่ใช่ไหม"
"ไม่ได้โดนใช้ อาสามาเอง ก็..ก็ช่วงนี้ดูเหมือนพี่ซันมีเรื่องไม่สบายใจ ชอบทำหน้าอมทุกข์เหมือนคนอกหัก พี่ศิกับพี่อ้อมเขาเป็นห่วงว่าพี่ซันเป็นอะไร"
"กลับไปบอกทุกคนเลยนะว่าพี่ไม่ได้เป็นอะไร"
"จริงอ่ะ?”
ซันพยายามพูดหนักแน่น "จริง! เธอกลับห้องไปได้แล้วไป"

เจนเดินจ๋อยๆ ออกมาจากห้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่ง line หาทุกคนว่า “Mission fail !!”

วิภาเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้านด้วยสีหน้ากังวลใจ สุพงษ์ที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาหยุดมองวิภาเป็นระยะๆ แล้วก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาตะหงิดๆ
"นี่เธอ... หยุดเดินซะทีเถอะ นี่ฉันเห็นเธอเดินวนอยู่แบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้วนะ เดี๋ยวเข้าหน้าบ้านออกหลังบ้าน ผลุบนั่งผลุบยืนอยู่นั่นแหละ มองแล้วเวียนหัว"
วิภาหยุดกึกแล้วมองสามี
"ก็บอกแล้วไงเฮีย ว่าเมื่อคืนฉันฝันไม่ดี ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อนเลย สบายใจเลยน่ะเฮีย" วิภาบอก
"ก็ไหนว่าฝันเห็นไก่"
"ใช่ ก็ฝันเห็นไก่น่ะสิ ฝันว่าฉันกำลังนั่งอยู่ในบ้าน แล้วจู่ๆไก่ตัวนึงมันก็บินเข้ามาทางหน้าต่างๆ"
"โบราณว่า ฝันเห็นไก่ จะได้ลาภ" สุพงษ์บอก
"มันก็ใช่"
วิภาคว้าเอาตำราทำนายฝันที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วมานั่งข้างๆ สุพงษ์ก่อนจะเปิดตำราให้ดู
"นี่ไง เฮีย ตำราทำนายฝันเขาก็เขียนไว้ "ฝันเห็นไก่ ท่านอาจประสบโชคลาภทางการเงิน หรือวัสดุสิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิต"
วิภายังมีสีหน้าไม่สบายใจอยู่ดี
"ก็ดีนี่ แล้วทำไมยังทำหน้าแบบนั้น" สุพงษ์ถาม
"ก็มันไม่จบแค่เรื่องไก่น่ะสิ ในฝันน่ะนะ ฉันพยายามจับไก่ตัวนั้น แต่มันก็บินก็หนีออกไปนอกบ้าน ฉันก็เลยวิ่งตามมันไป แล้วก็พลัดตกลงไปในบ่อน้ำ"
"อืม..." สุพงษ์ช่วยคิด
วิภาเล่าต่อ "พอขึ้นมาจากบ่อแล้วฉันก็เลยจับมันมาต้มกินซะ แต่ตอนที่กินไก่ กระดูกไก่มันก็ติดคอจนฉันหายใจไม่ออก เกือบตาย"
"แล้วตายไหม"
"ไม่! ฉันตกใจมากแล้วก็เลยสะดุ้งตื่น ในตำราก็ไม่มีบอกไว้ซะด้วยว่ากระดูกไก่ติดคอมันหมายถึงอะไร"
"เฮ่ย...ไร้สาระ ก็แค่ฝันน่า” สุพงษ์ว่า
วิภาผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดอย่างกังวล
"ไม่ได้ๆ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง"

เสียงโทรศัพท์มือถือของวินดังขึ้น วินมองชื่อคนโทรมาแล้วกดรับ
"ครับม๊า"

วิภากำลังโทรศัพท์หาวินอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
"วิน...ยุ่งอยู่หรือเปล่าลูก"
"ไม่มีคนไข้ครับม๊า มีแต่งานเอกสาร พอคุยได้ ม๊ามีอะไร" วินถาม
"ก็มีเรื่องไม่สบายนิดหน่อย"
"เรื่องอะไรครับ"
"เอาไว้เจอกันแล้วม๊าจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่พรุ่งนี้วินกับอ้อมว่างไหม"
"ว่างสิครับ ก็เรานัดกันไว้ไงว่าผมกับอ้อมจะไปกินข้าวเย็นกับม๊าที่บ้าน"
"เออใช่ งั้นเดี๋ยวตอนเช้า วินไปธุระกับหม่าม๊าก่อนนะ"
"ไปธุระ? ม๊าจะไปไหนหรือครับ" วินถาม


ชายชราหน้าจีนแต่งองค์ทรงเครื่องชุดเทพเจ้าสีฉูดฉาด สวมหมวกที่ห้อยผ้ากรุยกราย มือถือแส้และดาบ นั่งตัวสั่นแบบคนที่เจ้าลงร่าง คนช่วยส่งสารนั่งอยู่ข้างๆ วิภานั่งอยู่เบื้องหน้าแป๊ะกง โดยมีอ้อมกับวินนั่งอยู่ด้วย วิภาพนมมือไหว้ขณะถาม
"แป๊ะกง ตกลงว่าฝันนั้นมันยังไงกัน"
แป๊ะกงชี้แส้ไปที่วิภาแล้วทำหน้าตาน่าเกรงขาม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดุดันสำเนียงจีน
"ลื้อจะมีเคราะห์หนัก"
"หา... เคราะห์แบบไหนคะ ร้ายแรงหรือเปล่า"
แป๊ะกงตัวสั่นทำท่าเหมือนกำลังมองภาพนิมิตบางอย่าง แล้วก็หันไปพูดกับผู้ช่วย
ผู้ช่วยแป๊ะกงช่วยแปลความหมายให้
"เคราะห์ร้าย ร้ายมาก ลื้อจะเจ็บไข้ได้ป่วย บ้านจะร้อนเป็นไฟ กิจการค้าไม่ดี ครอบครัวแตกแยก"
"ตายแล้ว...”
แป๊ะกงส่ายหน้าไปมา "เฮ้อ ไม่ดีๆ"
วิภาหน้าเสีย เธอหันไปมองอ้อมกับวิน อ้อมกับวินยิ้มให้กำลังใจแม่แม้จะไม่ค่อยเชื่อภาพที่เห็นนัก
ผู้ช่วยแป๊ะกงพูดต่อ "แต่ก็จะมีลาภด้วย แป๊งกงบอกว่า จะได้ลาภเป็นสัตว์สองเท้า"
"มีลาภด้วย?” วิภาทวน
วิภาพูดด้วยอาการดีใจ "จริงเหรอคะ สงสัยจะได้หลานคนแรกของตระกูล ใช่ไหมคะ เพราะว่าลูกชายเพิ่งแต่งงานน่ะค่ะ"
วิภาเอามืออ้อมมากุมด้วยความภูมิใจ แต่แป๊ะกงส่ายหน้า
"ไม่ใช่คนนี้ แต่จะได้หลานจากคนอื่น" ผู้ช่วยแป๊ะกงพูด
ทั้งอ้อมและวิภาหน้าเหวอเพราะแปลกใจมากขึ้นไปอีก
"คนอื่นหรือคะ ?” วิภาถาม
ผู้ช่วยแป๊ะกงย้ำ "ใช่ คนอื่น"
"ถ้าได้ลาภสัตว์สองเท้าแล้ว จะหมดเคราะห์ไหมคะ" วิภาถาม
"ยัง คนที่กำลังจะมาน่ะบารมีไม่พอ"
"แล้วมีวิธีแก้ไหม"
ผู้ช่วยแป๊ะกงหันไปซุบซิบถามคนทรง คนทรงซุบซิบตอบ จากนั้นผู้ช่วยก็หันมาบอกวิภา
"แป๊ะกงบอกว่าก็พอมี" ผู็ช่วยแป๊ะกงชี้ไปที่วิน "นี่ลูกชายใช่ไหม"
"ค่ะ คนโต" วิภาบอก
"นี่แหละวิธีแก้เคล็ด ลื้อต้องได้ลาภก้อนที่ใหญ่กว่ามาช่วย ต้องเป็นสัตว์สองเท้าจากลูกชายคนโต"
"หมายถึง อาวินต้องมีลูก" วิภาสรุป
"ใช่ หลานที่ได้จากลูกชายจะช่วยดับเคราะห์ของลื้อ หลานคนนี้เป็นหน้าเป็นตากับวงศ์ตระกูล แล้วยังช่วยเสริมบารมีอากงอาม่าด้วย"
ทุกคนหันไปมองวิน วินกับอ้อมมองตากันปริบๆ

รถของวินเลี้ยวเข้ามาจอดบริเวณบ้าน แล้วตรงเข้าไปที่จอดรถ วิน อ้อม และวิภาลงมาจากรถพร้อมๆกับที่นิค หวาน และวศินเดินเข้ามาหา ทุกคนไหว้ทักทายกัน
"มากันนานหรือยังลูก หวาน วศิน นิค" วิภาถาม
"ก็สักพักน่ะค่ะ พี่วินพาม๊าไปหาแป๊ะกงมาหรือ" หวานถาม
"ใช่ลูก"
"เป็นไงบ้างม๊า มีเรื่องดีๆไหม" วศินถาม
วิภาถอนหายใจอย่างไม่ค่อยสบายใจนักก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ทุกคนมองหน้าวินเป็นเชิงถาม
"ไปๆ เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง" วินบอก
ทุกคนพากันเข้าไปในบ้าน

รถของซันเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้านอาหาร ซันจอดรถแล้วก้าวลงมา ซันเดินมาใกล้ประตูหน้าร้าน เธอมองผ่านประตูกระจกเข้าไปเห็นจ๋า สุธีร์ และเพื่อนๆคนอื่นกำลังพูดคุยกันด้วยท่าทางสนุกสนาน ซันยืนมองนิ่งเพราะรู้สึกไม่อยากเข้าไป สักพัก วุธก็เข้ามายืนใกล้ๆ ทางด้านหลังก่อนจะส่งเสียงทักขึ้น
"เป็นอะไร ทำไมไม่เข้าไป"
ซันหันไปมองตามเสียงก็เห็นวุธยืนยิ้มอยู่
"นายนี่เอง ฉันก็กำลังจะเข้าไปอยู่นี่ไงล่ะ"
"งั้นก็ไป"
ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในร้าน จ๋าหันมาเห็นซันก็ดีใจ
"ซัน... ดีใจจังเลยที่ซันมาได้"
ซันเดินมาถึงโต๊ะก็ยิ้มทักทายเพื่อนๆ โดยเฉพาะกับสุธีร์ซึ่งทำงานที่เดียวกัน
"หวัดดีธีร์"
สุธีร์โบกมือตอบแบบไม่จริงใจนัก ซันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง วุธไปนั่งข้างจ๋า ทั้งคู่ยิ้มให้กัน จ๋าจับมือวุธไว้อย่างรักใคร่ ซันมองด้วยความรู้สึกบาดหัวใจ


บรรยากาศงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ซันคอยเหลือบมองวุธกับจ๋าเป็นระยะๆ
วุธกับจ๋าดูแลกันอย่างหวานชื่น ซันรู้สึกว่าเห็นภาพบาดตาบาดใจ บางครั้งเธอจึงลอบถอนหายใจ สักพักจ๋าก็เอาช้อนเคาะโต๊ะให้ทุกคนหันมาฟัง
"เอาล่ะจ้ะ ทุกคนหันมาทางนี้หน่อย จ๋ามีเรื่องตื่นเต้นจะประกาศ"
ทุกคนหยุดคุยแล้วหันไปฟังจ๋า
"คือ... จ๋ากับวุธจะแต่งงานกันเร็วๆนี้จ้า" จ๋าบอก
จ๋ากับวุธเอื้อมมือมาจับกัน เพื่อนๆปรบมือแสดงความยินดี ซันยิ้มและปรบมือไปด้วยแม้ในใจจะเจ็บจี๊ด
"ต๊าย แสดงความยินดีด้วยนะจ๋า พวกฉันก็รอคิวของเธอสองคนมาตั้งหลายปีละ ถึงเวลาซะที "
"แล้วงานแต่งจะมีเมื่อไหร่จ๊ะ"
"พอดีเราสองคนเพิ่งตัดสินใจ ยังไม่ได้ไปดูฤกษ์เลย ถ้าได้กำหนดวันที่แน่นอน แล้วจ๋าจะแจ้งทุกคนอีกทีนะ ส่วนตอนนี้จ๋าอยากบอกว่า เราสองคนคงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนรักคนหนึ่งของเราสองคน...นั่นก็คือซัน ต้องขอบคุณซันมากที่ทำให้เราสองคนได้เจอกันและช่วยสนับสนุนความรักของเราสองคนมาโดยตลอด"
จ๋ายืนแก้วไวน์มาชนกับซัน ซันจำต้องทำท่าว่ายินดีกับเพื่อนสุดๆ
"เราขอแสดงความยินดีกับจ๋าและวุธด้วย สำหรับแก้วนี้ ขอดื่มเพื่อความสุขของเพื่อนรักทั้งสองคน" ซันพูด
แล้วซันก็ยกดื่มพรวดเดียวหมดแก้วเหมือนคนเจ็บช้ำใจ สุธีร์ดื่มไวน์ท่าสวยก่อนจะประกาศบ้าง
"เอาล่ะทุกคน ข่าวดีเรื่องแรกจบไปแล้ว ทีนี้ก็มาถึงข่าวดีอีกเรื่องนึง... เพื่อนร่วมรุ่นของเราอีกคนนึง เพิ่งเรียนจบโทกลับมาจากอเมริกาสดๆร้อนๆ วันนี้เขามาร่วมงานเลี้ยงรุ่นกับพวกเราด้วย ขอต้อนรับ... แพท....”
แพทเดินออกมาจากมุมหนึ่งด้วยท่าทางสวยเฉี่ยว เปรี้ยว มั่นใจ แพทยิ้มให้เพื่อนๆ
ซันบ่นกับตัวเองแบบประชด "แพท... วันนี้ช่างมีข่าวดีหลายข่าวซะจริงๆ"
แพทเข้ามาทักทายเพื่อนๆทุกคน เธอจูบแก้มซ้ายขวาของสุธีร์ พอเห็นหน้าซันแพทก็หยุดส่งประกายตาท้าทายก่อนจะทำหน้ายิ้มๆ
"สวัสดีซัน เห็นแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเธอ นี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ จืดยังไงก็ยังจืดอยู่อย่างนั้้น" แพทว่า
ซันยิ้มตอบ
"ก็คงงั้น แต่เธอดูเปลี่ยนไปเยอะนะแพท" ซันบอก
"ก็แน่อยู่แล้ว คนเรามันต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย"
"แต่ถ้าพัฒนาแล้วยังไม่สวย ก็หยุดเถอะ" ซันแขวะ
แพทหุบยิ้มทันทีเพราะรู้ว่าโดนซันแขวะเข้าแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเอาเรื่องเพราะไม่ถูกกันสุดๆ

ทุกคนกำลังกินข้าวร่วมกันในครอบครัวของวิน
วิภาพูด "นี่เป็นโอกาสดีจริงๆนะเนี่ย นานๆบ้านเราจะได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ตามตำราเขาว่าวันนี้เป็นวันธงชัยซะด้วย เออ วิน เรื่องย้ายไปอยู่คอนโดน่ะ ม๊าว่า....”
สุพงษ์หาทางขัดจังหวะ "เออ เธอ ลองกินนี่ดูหรือยัง อร่อยน้า"
สุพงษ์รีบเอาใจวิภาด้วยการตักอาหารใส่จานให้ วิภาหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ
"รู้แล้วว่าอร่อย เรื่องกินเอาไว้ก่อนเถอะเฮีย ม๊ามาคิดดูแล้วนะวิน ยังไงม๊าก็ปล่อยให้วินกับอ้อมไปอยู่คอนโดไม่ได้"
วศินมองหน้ากับวินแบบรู้กันจึงรีบขัดจังหวะบ้าง
วศินขัดจัหวะวิภาด้วยการพูด "เออ พี่วิน! ตกลงฮันนีมูนเป็นยังไงบ้าง"
"พอดีพี่ติดงานที่โรงพยาบาล เลยต้องยกเลิกแผนเดินทางกระทันหัน" วินบอก

"วศิน จะมาถามอะไรตอนนี้ เขารู้กันหมดแล้วว่าสองคนนี้ไม่ได้ไปฮันนีมูน นี่ไปอยู่ที่ไหนมา วินกับอ้อมนี่ก็จริงๆเลย เอาแต่ทำงานกันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีหลานมาให้ม๊าอุ้มกันล่ะ เอ้า มาเข้าเรื่องดีกว่า ถึงไหนแล้ว อ้อ เรื่องย้ายออกจากบ้านน่ะ บอกตรงๆนะว่าม๊าไม่....”
หวานกับนิคมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าส่งสัญญาณบางอย่าง หวานกระแอมก่อนจะเรียก
"หม่าม๊าจ๋า"
"โอย... อะไรอีกล่ะ"
"ก่อนที่จะคุยเรื่องอื่น หนูขอบอกข่าวดีก่อนได้ไหม หนูกับนิคกำลังจะมีน้องแล้วค่ะ" หวานบอก
ทุกคนฟังข่าวอย่างตื่นเต้นยินดี
วิภาดีใจ "จริงเหรอยัยหวาน ตายแล้ว ไม่อยากเชื่อเลย นี่แป๊ะกงดูแม่นจริงๆนะเนี่ย เขาบอกว่าม๊าจะได้ลาภเป็นสัตว์สองเท้า"
"เออ ท่าทางจะแม่นจริงๆด้วย" วศินบอก
"ตอนแรกม๊าก็นึกว่า จะได้หลานจากทางอ้อมกับวินซะอีก แต่แป๊ะกงบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่น ที่แท้ก็เป็นหวานนี่เองที่กำลังจะมีหลานให้ม๊า" วิภาพูด
"ข่าวดีแบบนี้ อุบไว้ทำไมตั้งนาน ไม่ยอมบอกป๊ากับม๊า"
"หวานเพิ่งรู้เมื่อสองวันก่อนเองค่ะ ตอนแรกว่าจะโทรมาบอก แต่เห็นว่าวันนี้เรานัดกันทั้งครอบครัวอยู่แล้ว ก็เลยเก็บไว้ก่อนตั้งใจมาบอกให้ทุกคนรู้พร้อมกัน"
"นี่เป็นเพราะม๊าไหว้เจ้าขอพรให้แกทุกวันแน่ๆเลยยัยหวาน หลานถึงได้มาเกิด" วิภาบอก
"ดีใจด้วยนะคะ น้องหวาน" อ้อมแสดงความยินดี
"นี่พี่ยังไม่แก่เลยนะ จะทำให้พี่กลายเป็นลุงแล้วนะเนี่ย" วินแซว
"นี่ อ้อม วิน ดูสิเห็นไหม หวานแต่งงานก่อนหน้าเธอสองคนไม่เท่าไหร่เองนะ พวกเธอก็ต้องพยายามให้มากๆหน่อย เข้าใจไหม"
"นี่ผมเพิ่งแต่งงานนะม๊า จะให้เปิดปุ๊บติดปั๊บเลยหรือไง" วินบอก
"ก็ใช่น่ะสิ เปิดปุ๊บติดปั๊บ ดีกว่าเปิดแล้วไม่ติดล่ะน่า" วิภาว่า
"จะไปกดดันลูกมันทำไม เดี๋ยวอีกหน่อยมันก็มี ถึงวินมันยังไม่อยากมีก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้มีลูกชายคนเดียวซะหน่อย" สุพงษ์บอก
ทุกคนที่โต๊ะอาหารรู้ว่าป๊าหมายถึงใครจึงหันไปมองวศิน วศินกำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมนิ้วก้อยกรีดออกมาโดยธรรมชาติ เมื่อเห็นทุกคนมองเขาก็รีบเก็บนิ้วเข้าที่แล้วกระแอม เก๊กทำหน้าเข้มเสียงเข้มทันที
"ป๊า ว่าอะไรนะครับ"


วิภาจูงมืออ้อมเข้าในห้องนอนแล้วคุยกันตามลำพัง
"อ้อมต้องมีหลานให้ม๊าให้ได้นะ"
"เอ่อ...ม๊าคะ แต่เราสองคนยังไม่ได้คิดจะมีลูกเร็วๆนี้น่ะค่ะ"
"ยังไม่คิด! ไม่คิดได้ยังไง แต่งงานช้าแล้วยังมีลูกช้าอีกมันไม่ดีรู้ไหม สมัยม๊าเนี่ย ยี่สิบห้าก็ถือว่าแก่แล้ว"
"แต่ตอนนี้น้องหวานก็กำลังจะมีหลานให้ม๊าแล้วไงคะ"
"ม๊าก็ดีใจมากนะที่หวานเขาจะมีลูก แต่พูดก็พูดเถอะ ยังไงซะหวานเขาก็แต่งงาน ออกไปใช้นามสกุลอื่นแล้ว ลูกที่เกิดมาก็ใช้นามสกุลของบ้านนิคเขา ไม่ได้สืบสกุลบ้านเราโดยตรง ส่วนตาวศิน เฮ้อ...ม๊ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ม๊าไม่หวังแล้ว อ้อมก็ได้ยินใช่ไหมว่าแป๊ะกงท่านว่ายังไง"
"ค่ะ" อ้อมรับคำ
"เพราะฉะนั้น อ้อมคนเดียวนี่แหละที่เป็นความหวังของครอบครัวเรา"
อ้อมอึกอักเพราะลำบากใจ "แต่ว่า...”
"เอาอย่างนี้แล้วกัน เรื่องไปอยู่คอนโด ม๊าจะยอมให้ก็ได้" วิภาบอก
"จริงหรือคะม๊า"
"ใช่ ไปอยู่คอนโดกันสองคนก็ได้ จะได้มีเวลาทำลูกกันสะดวกขึ้น แต่มีข้อแม้ว่า เธอต้องมีหลานให้ม๊าให้ได้ภายในหนึ่งปี"
อ้อมตกใจเพราะไม่คิดว่าจะโดนไม้นี้
"ถ้าภายในหนึ่งปียังไม่มีลูก เธอกับวินต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านเรา" วิภามัดมือชก "ตกลงตามนั้นนะ"
อ้อมรับคำแบบไม่มั่นใจ "อ้อมจะพยายามแล้วกันค่ะ"
วิภายิ้มพอใจทันที
"ต้องอย่างนี้สิ ดีมากลูก"
อ้อมลำบากใจเพราะไม่แน่ใจว่าจะทำได้อย่างที่รับปากหรือเปล่า
อ่านต่อตอนที่ 3

กำลังโหลดความคิดเห็น