xs
xsm
sm
md
lg

พราว ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พราว ตอนที่ 1

พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ฝูงนกกาทยอยบินกลับรังกลางแดดอัสดง ลำคลองที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาสองฟากฝั่งขนาบด้วยดงจาก ดงกก และต้นไม้เรือกสวนของชาวบ้านที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัย

รอบบริเวณแลเห็น ซากเรือล่ม ดาบหักปักเลน กระจาด ชะลอม และข้าวของต่างๆ ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากบ้านเมืองกำลังอยู่ในยามศึกสงคราม เรือมาดประทุนลำหนึ่งล่องมาตามลำคลองนั้นอย่างเงียบเชียบ ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธยืนอยู่ในเรือ มีเสียงกลองและระนาดบรรเลงคลอมา

ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสามคนยืนอยู่บนหัวเรือ ทั้งสามเป็นนักรบซึ่งมีอาวุธประจำกาย โดย นายเรืองถือดาบ 2 มือ นายพันถือทวนด้ามหวาย ส่วนนายมาถือสามง่าม ที่ท้ายเรือมีนักรบอีกสองคนคือนายกล่ำมีแป๊ะกั๊กเป็นอาวุธ และนายฉิมมีง้าวเป็นอาวุธคู่กาย คอยทำหน้าที่คัดท้ายเรือ
ทั้ง 5 นักรบกวาดตามองอย่างระแวดระวังไปรอบๆเวิ้งน้ำที่เงียบผิดปกติ ตาของพวกเขามองไปที่ซากเรือข้าวของที่ถูกทิ้งร้าง ทั้ง 5 คนขบกราม พร้อมเผชิญหน้ากับภยันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง ความเงียบได้ถูกทำลายด้วยเสียงร้องของนกแสก ที่ร้องดังก้องเวิ้งน้ำพร้อมเสียงขยับปีก ทำเอานักรบทั้ง 5 เงยหน้ามองหาไปทั่ว
“พวกมันอยู่ที่นี่!” เสียงของแม่หญิงแก้วเจ้าจอม ดังมาจากประทุนที่อยู่กลางลำเรือ
“แม่หญิงแก้วเจ้าจอม” ธิดาของเจ้าเมืองชั้นใน เธอห่มผ้าคาดอกแบบตะเบงมานนุ่งโจงกระเบน รวบผมไว้สั้น ตรงกลางแสกคล้ายทรงมหาดไทยเหมือนผู้ชาย เดินถือดาบ หลังสะพายธนู ก้าวออกมาจากประทุน โดยมี “นังชบา” สาวรับใช้แหวกม่านมองตามด้วยความเป็นห่วงอยู่ในประทุน
“แม่หญิงแก้วเจ้าจอม ระวังตัวนะเจ้าคะ” ชบาพูด
“เงียบนะชบา! เอ็งรักตัวกลัวตายก็มุดหัวอยู่ในประทุนนั่นแล” แม่หญิงว่า
ชบาเงียบไป เธอทำหน้าแหย ก่อนดึงผ้าม่านมาปิดๆประทุน ดวงตาข้างหนึ่งที่แอบมองมามีแววตาริษยา
ขณะนั้น ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 ได้เปิดทางให้แม่หญิงเดินขึ้นไปยืนที่หัวเรือ
“นายเรือง” หันมามองแม่หญิง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“แน่ใจรึแม่หญิงว่าข้าศึกมันอยู่แถวนี้”
“ข้ารู้สึกได้นายเรือง ดวงตากระหายเลือดของพวกมัน กำลังจับจ้องเราอยู่” แม่หญิงพูด พลางตากวาดเขม็งไปยังคุ้งน้ำข้างหน้า
ทันใดนั้น ที่น้ำตรงคุ้งน้ำเบื้องหน้า ก็ปรากฏร่างข้าศึกพม่าคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม นักรบทั้ง 5 พากันมองอย่างตะลึง พวกเขากระชับอาวุธคู่กายในมือทันที
แต่แม่หญิงแก้วเจ้าจอมนั้นคาบดาบไว้แล้ว เธอคว้าธนูสะพายหลังออกมาตั้งท่า แล้วยิงออกไปทันที ลูกธนูปักเข้ากลางแสกหน้ามันอย่างแม่นยำ
“อ๊ากกกก” ข้ศึกพม่ารายนั้นร้องลั่นไปทั่วคุ้งน้ำอย่างเจ็บปวด พร้อมกับหงายหลังกระแทกน้ำสิ้นใจ
จากนั้นก็ปรากฏทหารพม่านับ10โผล่พรวดตัวขึ้นมาจากน้ำ พวกมันอยู่กันรอบเรือ พากันชูดาบส่งเสียงร้องตะโกนอย่างกระหายเลือดหมายจะบุกขึ้นเรือ
แม่หญิงกำดาบชูขึ้นตะโกนสั่งอย่างห้าวหาญ แววตากร้าว
“ฆ่ามันนนนน!”
“อ๊ากกกกก” ชายฉกรรจ์ทั้ง 5 ชูอาวุธในมืออย่างเตรียมพร้อม พลางร้องตะโกนโห่ร้องข่มขวัญข้าศึก
“คัท!” เสียงของ “เชน” ตะโกนมา

“เชน” เป็นผู้กำกับละคร ที่ขึ้นชื่อว่า อิน กับการแสดงเหลือแสน เขาสวมหมวกนั่งถือโทรโข่งตะโกนอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ พร้อมเสียงปรบมือและกรี๊ดกร๊าดของแฟนคลับกลุ่ม “Power Proud” ซึ่งนำโดยม็อดดี้ กระติ๊บ หงอย และ ตั้ม ที่ใส่เสื้อแฟนคลับถือป้ายไฟแท่งไฟพร้อมรูปถ่ายให้กำลังใจ “พราว” ซุปเปอร์สตาร์หนึ่งเดียวในหัวใจ ที่แสดงเป็นแม่หญิงแก้วเจ้าจอม

จริงๆ แล้วนี่คือกองถ่ายละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “อโยธยา” นั่นเอง
“ม็อดดี้” เกย์หนุ่มผมดัดสีทอง แต่งตัวสไตล์เกาหลีแบบนิชคุณ ผู้เป็นหัวหน้าทีมและแอดมินแฟนคลับ Power Proud ทำหน้าที่ต้นเสียงตะโกนขึ้น
“เชียร์ใคร?”
“เชียร์พราว!” กระติ๊บ หงอย ตั้มตะโกนรับ
“รักใคร?” ม็อดดี้ตะโกนต่อ
“รักพราว!” ทั้งสามประสานรับ
“พวกเรา Power Proud รักนะตะเอง จุ๊บจุ๊บ” ทุกคนประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง พร้อมทำมือท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่ม
พราวโบกมือส่งยิ้มหวานมาให้
“แอร๊ย..พราวๆๆๆ” ทุกคนร้อง
เชนยกนิ้วขึ้นเขี่ยรูหู สีหน้าเหยเก บ่นกับ “ตุ้ย” ซึ่งเป็นผู้ช่วย ตุ้ยนั้นถึงจะหน้าเหี้ยมแต่นิสัยอ่อนหวาน
“หูจะแตก! ใครอนุญาตให้ไอ้พวกนี้เข้ามาในกองวะเนี่ย”
“คุณแฟรงค์ผู้จัดการส่วนตัวคุณพราวขอมาคร้าบ จะให้ผมไปไล่ไหมครับ?” ตุ้ยถาม
“แล้วแต่นะ ฉันจะได้หาผู้ช่วยใหม่” เชนว่า
“อ้าว!” ตุ้ยยืนงง
“เชิญคุณพราวมาพักได้ครับ อ้าวทีมงานเอาเรือไปรับซี เฮ้ย!นักแสดงคนอื่นๆน่ะอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน เดี๋ยวถ่ายฉากสู้กันบนเรือต่อให้เสร็จเลย”

เชนตะโกนสั่ง

“จันทร์จรี” นักแสดงสาวดาวรุ่ง ซึ่งแสดงเป็น ชบา นั้น ยืนหน้าเม้งอยู่บนเรือ รู้สึกเซ็งที่ตัวเองไม่ได้ไปพัก เธอใช้ชายสไบพัดไปพัดมาเพราะร้อน แอบมองจิกตาหมั่นไส้ไปที่พราวที่กำลังยืนรอทีมงานพายเรือมารับ

พราวนั่งเรือกลับมาที่ฝั่งด้วยท่าทางเริ่ดๆเชิดๆ อย่างซุปเปอร์สตาร์ โดยมีเสียงเชียร์กรี๊ดกร๊าดของแฟนคลับดังมาตลอด

“แฟรงค์” กับ “เอมี่” รีบถือร่มเดินปรี่มารอรับพราวขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำริ่มตลิ่ง
“เป็นไงบ้างพราว เมาเรือป่าวจ๊ะ?” แฟรงค์ถามพลางยื่นผ้าคลุมไหล่ให้
“พี่แฟรงค์! พราวไม่ขำ เมื่อไหร่ไอ้ฉากรบในเรือนี่ มันจะหมดๆไปซะที พี่ก็รู้ว่าพราว…”
“ว่ายน้ำไม่เป็น” เอมี่พูดต่อ
“แล้วถ้าเกิดพราวตกน้ำตกท่าขึ้นมา จะทำไงหื้อ พราวแพ้น้ำคลองนะโดนนิดโดนหน่อยก็ไม่ได้ มันจะ…” พราวพูดต่อ
“จะคัน....เป็นผื่นแพ้” เอมี่แทรก
พราวหันขวับมามองหน้าเอมี่
“นี่แกคิดว่าฉันสตอเบอรี่เหรอฮะเอมี่” พราวหันมาถาม
“เปล๊า! ฉันรู้ใจแกต่างหากล่ะพราว รู้ว่าแกชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และแพ้อะไร อ่ะนี่ น้ำแร่ยี่ห้อโปรดของแก ซดซะ จะได้ใจเย็นๆนะตะเอง” เอมี่พูด
พราวค้อนเล็กๆ ตามนิสัยขี้วีนของตน แล้วคว้าขวดน้ำแร่เดินดื่มไป โดยมีเอมี่กางร่มให้ แฟรงค์เดินบีบๆไหล่พัดให้เอาใจสารพัด พลางพูดกล่อมไปด้วย
“อดทนอีกนิดน่า เดี๋ยวก็ถ่ายจบแล้ว รับรองว่าละครอโยธยาฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ เรตติ้งจะต้องพุ่งกระฉูด ทุกคนจะต้องทึ่งกับการสวมบทบาทบู๊ครั้งแรกของหนู ลบคำสบประมาทของพวกนักข่าวปากเสียที่เม้าท์กันว่า..”
“พราวดีแต่สวยกับเซ็ก พราวเก่งแต่บทไฮโซหน่อมแน้ม พราวเล่นบทบู๊ไม่ได้” เอมี่ต่อ
“หึ เบื่อพวกนักข่าวที่ดีแต่แฉ เรื่องแย่ๆน่ะชอบนัก” พราวอารมณ์เสีย เดินเชิดไป
“พราวๆๆๆ” แฟนคลับส่งเสียงเชียร์อยู่ไกลๆ
พราวเดินก้าวสวยๆ โบกมือส่งยิ้มไปราวกับนางงาม

ตกกลางคืน จากพราวในชุดแม่หญิงอโยธยา ก็กลายเป็นพราวที่ใส่รองเท้าส้นสูง เธอก้าวลงบนพรมแดงของงาน Hong Kong International Film Festival (HKIFF) ในชุดราตรีหรูหราสีทองโชว์เนินอกขาวผ่อง ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นหลวมๆ โชว์คอระหง กำลังโบกมือให้สื่อมวลชนและผู้คนที่มารอ โดยมีแฟรงค์ที่แต่งชุดสูทหรู และเอมี่ในชุดราตรีเดินตามหลังเป็นพี่เลี้ยงคอยจัดชุดยาวที่พลิ้วสยายระไปกับพรมแดง
แสงแฟลชจากนักข่าวนับร้อยแวบวับมาที่ตัวพราว ส่องประกายมาที่พราว เพิ่มรัศมีเจิดจ้าให้เธอมากขึ้นไปอีก มีเสียงกรี๊ดและตะโกนเรียกชื่อจากแฟนๆทั้งไทยและเทศดังลั่นหน้าฮอลล์
“พราว!พราว!พราว!พราว!” เสียงแฟนคลับพากันร้อง
โดยมีนักข่าวจากช่อง 7 ที่มาทำข่าวอยู่นอกเหล็กรั้วกั้น กำลังตะโกนรายงานสดแข่งกับเสียงกรี๊ดของแฟนคลับ
“ท่านผู้ชมคะ ขณะนี้คุณพราว...พิชญาดาเดินทางมาร่วมงาน Hong Kong International Film Festival แล้วนะคะ ในฐานะซุปเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของไทย ฟังเสียงดูสิคะ แฟนคลับทั้งไทยและเทศของเธอส่งเสียงเรียกชื่อพราวๆๆ กระหึ่มไปทั่วพรมแดงเลยค่ะ”
ตอนนั้นเอง มีหนุ่มฮ่องกงปีนราวเหล็กกั้นวิ่งเข้ามาพราวราวประสงค์ร้าย มีเสียงกรี๊ดร้องตกอกตกใจของแฟนคลับ
“ห่ะ!”
พราวหันไปมองอย่างตกใจ กระเป๋าถือร่วงจากมือ หนุ่มจีนเกือบจะเข้าถึงตัว แฟรงค์ตะลีตาเหลือกรีบเข้ามากันพราว แต่บอดี้การ์ดในงานตะครุบตัวหนุ่มจีนไว้ได้ทันก่อนเข้าถึงตัวพราว
พราวยกมือทาบอกอย่างตกใจ มองแฟนคลับชาวฮ่องกงถูกบอดี้การ์ดล็อคตัวไปในสภาพที่มือยังยื่นมาหาพราวพร้อมทั้งแผดเสียงตะโกนบอกรักพราวอย่างบ้าคลั่ง
“พราวๆ หว่อ-อ้าย-หนี่ หว่อ-อ้าย-หนี่ๆๆๆ”
“เป็นอะไรรึปล่าวพราว?” แฟรงค์ถาม พลางก้มเก็บกระเป๋าถือขึ้นมาให้
พราวส่ายหน้าน้อยๆ เธอรีบตั้งสติ ปรับสีหน้า ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ เดินหมุนโบกมือไปรอบๆ พลางเดินเข้าไปตามทางพรมแดง

ในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งในกางเกงยีนส์ซีดๆ สวมรองเท้าบู้ทหนัง กำลังก้าวเดินย่ำน้ำที่เฉอะแฉะไปตามทางเป็นหลุมเป็นบ่อในซอยมืดสลัวที่มีห้องแถว2ข้างทาง บรรยากาศดูอึมครึม แตกต่างจากบรรยากาศที่พราวเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิง
ชายคนนั้นมีชื่อว่า “สมชาย” นั่นเอง เขากำลังก้าวเดินเลี้ยวมุมมาตามบ้านห้องแถวเก่าๆที่ผู้คนส่วนใหญ่ปิดเข้านอนแล้ว ดวงตาใต้ปีกหมวกคมกริบ มองเห็นหลังชายคนหนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้า สมชายรีบเดินตามไป
หากมองไปที่เอวสมชาย จะเห็นว่า เขาได้เหน็บปืนเอาไว้..
สมชายเดินผ่านหน้าห้องแถวหลังหนึ่งที่ยังเปิดประตูบ้าน ทีวีเปิดอยู่ เห็นภาพข่าวในทีวี....

ในทีวีฉายภาพพราวกำลังยืนให้นักข่าวถ่ายรูป ประกบกับดาราชายของฮ่องกงและเกาหลีอยู่ที่หน้าคัทเอ้าท์ใหญ่ก่อนเข้าไปในฮอล์จัดงาน
“ว้าว! เชื่อว่าสาวๆทั่วโลกคงจะอิจฉาพราว-พิชญาดา เพราะตอนนี้พราวกำลังยืนประกบคู่กับกัวฟู่เฉินซุปเปอร์สตาร์ฮ่องกงแล้วก็เรนซุปเปอร์สตาร์ของเกาหลี ถ้าการเจรจาโปรเจคนี้สำเร็จ...พราวอาจจะโดดไปเล่นหนังประกบคู่2พระเอกดังแห่งเอเชียเร็วๆนี้” เสียงนักข่าวรายงานดังมาจากจอทีวี

ขณะนั้น “วิทย์” เดินเลี้ยวมาจากอีกซอย ตามมาสมทบเดินข้างสมชาย
“ฉันเดินตามมันมาสักพักแล้ว” วิทย์เอ่ย
“มันแอบพาใครมาด้วยไหมวะ?”สมชายถาม
“มันฉายเดี่ยวว่ะ” วิทย์ว่า
สมชายยิ้มพอใจที่มุมปากก่อนจะเดินออกไป

สมชายกับวิทย์เดินมาทะลุท้ายซอย เจอ “เป้” ชายที่เดินตามมาเมื่อครู่ยืนรออยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป้หันมามอง
“ว่ายังไง?”
สมชายยกเท้าเหยียบระเบียงหินริมตลิ่ง
“คราวนี้ฉันอยากได้ของล็อตใหญ่”
“เท่าไหร่” เป้ถาม
“5แสน!” วิทย์เอ่ย

ณ โกดังแห่งหนึ่งที่แอบใช้เป็นที่สำหรับพักยาบ้า ”โอม” กับ “เจ๋ง” 2 พี่น้อง หัวหน้าแก๊ง สองพี่น้อง แก๊งค้ายาชื่อดังที่ตำรวจขึ้นบัญชีดำ มาคุมลูกน้องเตรียมปล่อยยาให้ลูกค้าที่สั่ง
“เจ๋ง” คนน้องผู้มีท่าทางเลือดร้อนและเอาเรื่องกว่าพี่ชายกำลังรับสายเป้
“5แสนเหรอวะ” เจ๋งถาม ก่อนหันไปมองหน้าโอมที่กำลังนับเงินเป็นฟ่อนที่ได้จากการค้ายา
“ว่าไงพี่ มันจะเอา”
โอมเดินมาคว้ามือถือไปจากเจ๋ง ไปพูดสายด้วยท่าทางเหี้ยมๆ แต่นิ่ง

“ถ้ามันมีปัญญาจ่าย กูก็มีปัญญาหาของให้มันเว้ย”

ขณะนั้น แฟรงค์รับสายมือถือขณะที่พาพราวเดินมาตามทางในโรงแรมเข้ามายังห้องพักหรู หลังกลับมาจากงานเทศกาลภาพยนตร์

“โทษทีนะครับ ตอนนี้คุณพราวไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ไว้ติดต่อมาใหม่นะ” แฟรงค์พูด
ทันทีที่เอมี่เปิดประตูให้เข้าห้องมา พราวก็ออกอาการเหวี่ยง โยนกระเป๋าทิ้ง
“ชะอุ้ย!” แฟรงค์อุทานและรับกระเป๋าไว้ทัน ส่งให้เอมี่ที่เดินตามหลังมา
พราวทิ้งตัวลงเอนบนโซฟา สลัดส้นสูงที่ขากระเด็นกระดอนไปที่พื้น แฟรงค์ตามเก็บ ส่วนพราวก็บ่นๆๆ
“โฮ่ย....เหนื่อยๆๆ ไหนจะเจอแฟนคลับโรคจิต ไหนจะพวกนักข่าว กว่าจะแหวกนักข่าวออกจากงานมาได้เกือบตาย ถามอะไรก็ไม่รู้ มีแต่เรื่องส่วนตัวงี่เง่าๆ ทำไมนักข่าวถึงได้ตามติด จ้องจับผิดฉันนักนะ”
“ก็หนูดังนี่ค้า” แฟรงค์พูด พลางเป่าๆเช็ดๆรองเท้าแบรนด์เนมที่แพงลิบลิ่ว
“ความดังมันจะฆ่าพราวอยู่แล้ว พราวเหนื่อย...ทั้งงานทั้งคน” พราวบ่นต่อ
“พี่รู้ แต่หนูก็ต้องทน เพราะทั้งงานทั้งคนนำชื่อเสียงมาให้หนู” แฟรงค์ว่า
“แต่หนูกำลังจะหมดไฟได้ยินไหมพี่แฟรงค์!” พราวพูด
แฟรงค์หยุดมองพราว ส่งรองเท้าให้เอมี่เอาไปเก็บแล้วเดินมานั่งข้างพราวอย่างใจเย็น
“หมดฟงหมดไฟอะไรกันหนู คิดอย่างงั้นไม่ได้ หนูยังสาวยังสวยยังขายได้ ดูดิ!ขนาดบริษัท N&T ยังทุ่มเงินจ้างหนูไปร่วมงานอีเว้นต์วันพรุ่งนี้เลย”
“งานอีเวนต์อีกและ! พี่รับงานอีไม่ว่างเว้นเลย พราวบอกแล้วว่าพราวเบื่อ พี่ยกเลิกไปสิ”
เอมี่ทำหน้าอ่อนใจ แต่แฟรงค์ไม่ยอมแพ้
“ตะกี้พี่เพิ่งคอนเฟิร์มเค้าไป แค่ไม่อึดใจ จะไปยกเลิกเค้าด้วยเหตุผลอะไร” แฟรงค์พูด
“ก็บอกไปสิคะ ว่าช่วงนี้พราวตาเจ็บ สู้แสงแล้วตาจะบอด”
“นี่ยัยเอมี่ เดี๋ยวไปจัดชุดใส่ไปงานให้พราวนะ เอาแบบใส่กับแว่นตาดำ แล้วดูเหมือนเลดี้ กาก้าหลุดมาจากแฟชั่นวีคเลย” แฟงค์หันไปสั่งเอมี่
“โอเค เดี๋ยวจัดให้เจ๊” เอมี่รับคำ
“พี่แฟรงค์!” พราวร้อง
“เชื่อลางสังหรณ์ของพี่เถอะ”
“พี่แฟรงค์!”
“งานนี้หนูต้องไป ไม่ไปหนูพลาด”
“พี่แฟรงค์!”
“หนูอาจจะเจอกับอะไรที่สนองความรู้สึกหนูให้กลับมามีไฟอีกก็ได้ หนูถึงต้องไป นะจ๊ะ!” แฟรงค์ตบแก้มพราวเบาๆ ได้ผล เพราะพราวเริ่มถอนหายใจ นิ่งคิดแล้วสงบลง แฟรงค์ลุกเดินไป
“พี่จะไปเตรียมน้ำอุ่นให้หนูนอนแช่ผ่อนคลายให้สบาย แล้วสั่งดินเนอร์อร่อยๆมาให้ทานพร้อมไวน์ ท่ามกลางแสงเทียน”
แฟรงค์เอมี่แอบยกหัวแม่มือทั้ง 2 ให้แฟรงค์
“ชนะเลิศอ่ะ! สมแล้วกับฉายาผู้จัดการสาลิกาลิ้นทอง” เอมี่ชม
แฟรงค์กำลังจุดเทียนขึ้นที่โต๊ะอาหาร ส่วนพราวนั่งทอดกายยาวอ่อนล้าอยู่บนโซฟา ตามองด้วยสายตาเครียดออกไปที่นอกกระจก เธอเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะมาช่วยทำให้ชีวิตเธอหายเบื่อ

วิทย์เลือกหยิบเอาตุ๊กตาผ้าเป็นผู้ชายหน้าตาตลกตัวหนึ่ง ที่แผงริมฟุตบาทซึ่งแบกะดินอยู่นอกซอยห้องแถว แล้วยื่นให้คนขาย
“เอาตัวนี้ครับ!” วิทย์เอ่ย
ขณะนั้น สมชายโผล่เข้ามา แล้วยื่นแบงค์พันยับๆส่งให้
“ทำไรวะ” วิทย์หันมามองอย่างแปลกใจ
“ฉันก็ซื้อให้ลูกไง” สมชายว่า
“เฮ้ย ฉันมีตังค์”
“เอาน่า ฉันอยากซื้อให้หลานฉัน แกอยู่เฉยๆไปเลย”
วิทย์เลยได้แต่ยิ้มอย่างรู้สึกขอบคุณสมชาย
“แล้วทำไมไม่ซื้อของเล่นอย่างอื่นวะ รถเอย ดาบ ปืน มีตั้งเยอะตั้งแยะ ดันซื้อตุ๊กตาให้ลูก ลูกแกเป็นตุ๊ดหรือไง” สมชายว่า
“ไอ้ปากเสีย! ก็เพราะไอ้นี่มันหน้าเหมือนฉันไง ฉันถึงซื้อ เห็นไหม นี่ แฮ่…” วิทย์ยกตุ๊กตาขึ้นมาเทียบกับหน้าตัวเอง แล้วทำหน้าทะเล้นเหมือนตุ๊กตา
“เวลาฉัน ไม่อยู่บ้าน ไอ้นี่มันจะได้ทำหน้าที่แทนฉัน อยู่เป็นเพื่อนลูกฉันไง” วิทย์พูดต่อ
“เออ! งั้นแกก็รีบกลับบ้าน เอาไปให้ลูกซะ เรามีงานใหญ่ต้องทำ!”

สมชายพูดพลางตบไปที่ไหล่ของเพื่อนและคู่หู วิทย์พยักหน้า

วันต่อมา ชายหนุ่มสวมหมวกกันน็อคสวมแจ๊คเก็ตหนังขี่รถมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์คันหนึ่งวนขึ้นมาบนลานจอดรถของห้าง พุ่งทะยานมายังที่สำหรับจอดมอเตอร์ไซค์

“โธ่เอ้ยไอ้สุดเขตต์ ทำไมมาช้านักวะ โทรไปก็ไม่รับสาย ไอ้บ้าเอ้ย!” เสียงของ “ส้มจี๊ด” ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายดังขึ้น
“สุดเขตต์” ถอดหมวกกันน็อคอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำด่าของเพื่อนซี้
“ตกลงแกเรียกฉันมาด่า” สุดเขตต์ถาม
“ทำงานโว้ย” ส้มจี๊ดพูด
“ก็เร็วดิ ไหนอ่ะเหยื่อของแกที่ตามฉันมาจัดการ” สุดเขตต์ว่า
“ก็ไหนล่ะ อาวุธของแก” ส้มจี๊ดเอ่ย
สุดเขตต์ต่อยไปที่อกเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองที่รูดซิบไว้อย่างมิดชิด แล้วบอกว่า
“มันอยู่ในนี้พร้อมแล้วเว้ย เจอเป้าเมื่อไหร่ก็ชักออกมาเล็งได้เลย รับรองว่าคุ้มกับเงินค่าจ้างของแกน่า”
“เออ...ให้มันได้อย่างที่โม้เหอะ ตามฉันมา” ส้มจี๊ดพูด แล้ววิ่งนำสุดเขตต์เข้าห้างไป

สมชายขับรถวนอยู่ในลานจอดรถห้างสรรพสินค้า รอเวลาที่แก๊งค้ายาจะโทร.ติดต่อมา
“เมื่อไหร่มันจะโทร.มาซะทีวะ ที่จอดรถก็ไม่มี จะให้ขับวนอยู่ทั้งวันหรือไง” สมชายว่า
วิทย์ก้มลงมองมือถือย่างรอคอย
ขณะที่สมชายมัวแต่หันมองหาวี่แววของพวกค้ายา เลยทำให้มองไม่เห็นพราวสวยสง่าในชุดเกาะอกสีขาว ที่เพิ่งลงจากรถกำลังรีบเดินข้ามทางรถวิ่งไปยังทางเข้าห้าง
วิทย์เงยหน้าขึ้นมองทางอีกทีก็เห็นพราวก้าวออกมา ขณะที่สมชายขับพุ่งเข้าหา
“เฮ้ยระวังไอ้ชาย...เบรค!” วิทย์รีบเอ่ย
สมชายตกใจเหยียบเบรก
“เฮ้ย...”
“อ๊าย...” พราวยืนกรี๊ด รถมาเบรกหยุดกึกอยู่ตรงหน้าพราวห่างแค่เส้นยาแดงผ่าแปด โดยที่แฟรงค์กับเอมี่ยืนช็อคอยู่ข้างหลัง
สมชายมองจ้องพราว พราวจ้องสมชาย ต่างคนต่างจ้อง
“เฮ้ย!นั่นๆๆ มันพราว...ดารานี่หว่า”
วิทย์บอกพลางยื่นมือไปสะกิดสมชายยิกๆ สมชายหายตะลึงก็เม้งทันที
“ดารงดาราที่ไหนไม่สนหรอกเว้ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ” สมชายรีโมตกระจกลงโผล่หน้าออกไปตะโกนด่า
“นี่คุณ! ที่บ้านมาสร้างทางไว้หรือไง ยืนเกะกะขวางทางอยู่ได้ ไม่เห็นหรือไงคนเค้าจะไป หลีกไปสิ”
แฟรงค์กับเอมี่อ้าปากค้าง ส่วนพราวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอใช้สองมือตบลงบนฝากระโปรงหน้ารถของสมชาย
“ฉันไม่หลีก!”
แฟรงค์กับเอมี่ตกใจรีบมาดึงพราว
“ไม่เอาน่าพราว รีบเข้าไปในงานกันเถอะหนู อย่ามีเรื่องเลย” แฟรงค์เอ่ย
แต่พราวเลือดขึ้นหน้าแล้ว เธอไม่ยอมถอยและปัดมือแฟรงค์ออก
“อ้าว ไม่หลีกก็ต้องเจอกันหน่อย” สมชายเปิดประตูจะลงจากรถ
วิทย์ดึงแขนไว้ “เดี๋ยวไอ้ชาย นั่นมันดารานะเว้ย”
สมชายไม่สน ปัดมือวิทย์แล้วลงจากรถมายืนเท้าเอวมองหน้าพราว
“ว่าไงคุณ” สมชายเอ่ย
“คุณน่ะว่าไง” พราวถามกลับ
“หึ ผมก็ว่าไปแล้วไง บอกให้คุณหลีกทาง รถผมจะได้ไป”
“ฉันไม่หลีกไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะขอโทษฉันซะก่อน”
“ขอโทษ ฮ่ะๆๆๆ นี่มันบทละครเรื่องไหนของคุณเนี่ย ซ้ำชากเป็นบ้า นางร้ายเดินข้ามถนนให้พระเอกขับรถชน หวังให้พระเอกสนใจงั้นเหรอฮะ” สมชายพูด
“ทุเรศ ฉันเป็นนางเอกนะ ไม่ใช่นางร้าย”
“เนี่ยน่ะเหรอนางเอก ปากคอเราะร้ายยังกับมีดเฉาะทุเรียน มองไงคุณก็นางร้ายชัดๆ”
“ไอ้บ้า!”
พราวโกรธจนลืมตัว เธอปรี่เข้ามาหาสมชาย
“พราว อย่า!” แฟรงค์กับเอมี่ร้องห้ามเสียงหลง
แต่พราวดันสะดุดส้นสูงตัวเองล้มคะมำมาหาสมชาย
“ว้าย!”
“เฮ้ย!” สมชายรับพราวไว้ หน้าของทั้งคู่มองจ้องกัน ท่ามกลางความตกใจของวิทย์ แฟรงค์ เอมี่
สมชายช้อนตัวพราวอุ้มขึ้น เหมือนว่าจะตกหลุมรัก แต่เปล่าเลย เขากลับเดินอุ้มพราวไปที่ข้างทางแล้วสั่ง
“ลงไป” สมชายว่า
“หา” พราวงง
“ลงไปจากตัวผมได้แล้ว! ต่อไปถ้าไม่อยากตายก่อนแก่ล่ะก็ อย่ามาเดินบิดเกะกะขวางทางรถใครเค้าอีก ลงไป!” สมชายปล่อยพราวลงยืน แล้วหันเดินผละไปขึ้นรถ
พราวยืนโกรธชี้มือด่า “ไอ้ทุเรศ ไอ้เถื่อน ไอ้ผู้ชายปากเหม็น ไอ้....”
แฟรงค์กับเอมี่รีบวิ่งเข้ามาห้ามพลางดึงพราวเข้าห้าง
“ว้ายๆ พอเถอะพราว อย่าไปด่า เดี๋ยวนักข่าวได้ยิน”
“ไปๆๆ รีบเข้าไปหนู ไปทำงานดีกว่า ไปมีเรื่องกับเค้าไม่ได้เงินขึ้นมาหรอก” แฟรงค์พูด
สมชายเบ้ปากใส่พราวก่อนขับรถออกไป

พราวเดินเจ็บใจเข้ามาในห้างสรรพสินค้า บ่นมาตลอดทาง
“เจ็บใจจริงๆ ไอ้บ้านั่นเป็นใคร ทำเหมือนไม่รู้จักพราวว่าเป็นดาราระดับไหน กล้ามาด่าพราวว่าเป็นนางร้าย”
“เอ่อ...หมอนั่นอาจจะเป็นคนต่างชาติ เลยไม่รู้จักดาราเบอร์ 1 ของเมืองไทยอย่างหนูก็ได้” แฟรงค์ว่า
“ต่างชาติอะไรกันพี่ ด่าพราวเป็นภาษาไทยฉอดๆๆชัดขนาดนั้น” พราวพูด
“ไอ้หมอนั่นคงไม่ใช่ผู้ชายหรอก ไอ้คนที่นั่งคู่มาด้วยต้องเป็นคู่เกย์ เจอดาราสาวสวยอย่างพราวเดินตัดหน้ารถมันถึงได้โกรธ แทนที่จะฟิน” เอมี่บอก
“อย่าให้ฉันเจอหน้าอีกทีนะ จะเอาคืนให้เจ็บแสบเลยคอยดู เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับพราว”
“อ้าว แล้วกัน! ไหนว่าหนูเป็นนางเอกไงคะ เป็นนางเอกต้องให้อภัยสิ เป็นนางร้ายถึงเอาคืน” แฟรงค์ว่า
พราวทำหน้าขัดใจ
“ไม่เอาๆ อย่าทำหน้าอย่างงั้น ไม่สวยเลย ไหนดูซี้” แฟรงค์พูด แล้วจัดเผ้าจัดผมเสื้อผ้าให้
“หน้าตาผมเผ้าฟังหมดแล้วเนี่ยะ เลิกโกรธเลิกแค้นได้แล้ว ถึงเวลาทำงานต้องยิ้ม” แฟรงค์ว่า
“รู้แล้วน่า!” พราวเอ่ย
ทีมงานที่รออยู่เดินเข้ามาเห็น
“คุณพราวมาแล้วเหรอคะ ได้เวลาเปิดตัวพอดีเลยค่ะ” ทีมงานพูด ก่อนวอร์บอกทีมงานทุกฝ่ายทันที
“ทีมงานทุกฝ่ายพร้อมนะ คุณพราวมาถึงแล้ว!” แฟรงค์ว่า

“ติณห์” นักธุรกิจหนุ่มหล่อในชุดสูทสุดเนี้ยบก้าวเดินออกมาจากข้างเวทีที่จัดงาน เขายืนขยับสูทให้เรียบร้อยก่อนก้าวเดินขึ้นไปรอบนเวที...ติณห์ตีหน้ายิ้มๆอบอุ่นหล่อเท่ แต่ในใจพร่ำบอกกับตัวเองว่า นาทีที่เขารอคอยจะได้เจอพราวมาถึงแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่จอกลางเวทีเปิดภาพนับถอยหลัง แล้วก็มีภาพสวยๆของพราวในอิริยาบทต่างๆ ตามมาด้วยวีทีอาร์ของพราว เธอช่างสวยสดราวกับนางในฝัน
ทุกคนต่างไม่รู้เลยว่า ในกลุ่มประชาชนที่มาร่วมงานนั้น มีสุดเขตต์เดินแฝงตัวมากับส้มจี๊ดที่คอแขวนป้ายสื่อมวลชน ทั้งคู่รอคอยว่าพราวจะปรากฏตัวมาจากทางไหน
“วินาทีนี้ ขอเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านพบกับคุณพราว พิชญาดา ซุปเปอร์สตาร์หมายเลย1ของเมืองไทยคร้าบ” พิธีกรพูด ตามมาด้วยเสียงปรบมือกับเสียงกรี๊ดดังก้องห้าง
เสียงดนตรีเปิดตัวดังขึ้นพร้อมไฟสปอร์ตไลท์ส่งไปที่พราว ซึ่งปรากฏตัวอยู่เหนือบันไดเลื่อนชั้น2 ที่กำลังค่อยๆเลื่อนพาเธอลงจากชั้นบนลงมาสู่งานเบื้องล่างช้าๆ พราวโบกมือส่งยิ้มมาให้ทุกคน
นักข่าวทุกสำนักพากันถ่ายรูป เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดยิ่งดังไปทั่วห้าง
“สุดเขตต์ลงมือเลย!” ส้มจี๊ดเอ่ย
สุดเขตต์จัดการรูดซิบเสื้อแจ๊คเก็ตออกทันที ควักอาวุธคู่กายออกมา ที่แท้เป็นกล้องถ่ายรูปพร้อมซูมนั่นเอง เขาตั้งหาโฟกัสกล้องอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับแหวกเบียดคนมองหามุมถ่ายอย่างมืออาชีพ ซูมไปที่พราวแล้วกดชัตเตอร์ถ่ายรูปพราวไว้เป็นชุดทุกอิริยาบท

ส่วนติณห์เองก็ยืนมอง เผลอไผลไปกับความสวยสง่าของพราวไปชั่วขณะ

อ่านต่อหน้า 2

พราว ตอนที่ 1 (ต่อ)

ขณะเดียวกัน สมชายกับวิทย์จอดรถนั่งอดทนรออยู่ในรถอย่างร้อนใจ…

“เมื่อไหร่มันจะโทรมาวะ” สมชายเอ่ย
และแล้ว...เสียงมือถือของสมชายก็ดังขึ้น สมชายรีบคว้ามือถือขึ้นมาดู เมื่อเห็นเบอร์ก็จำได้ หันพยักหน้าบอกวิทย์ว่าใช่พวกมัน แล้วรีบกดรับ
“ฮัลโหล ฉันมารอนานแล้ว!” สมชายพูดไปตามสาย

รถกระบะ 4 ประตูของ 2 พี่น้องหัวหน้าแก๊งค้ายาเข้ามาที่ลานจอดรถชั้น 4 มีเป้นั่งคู่มากับลูกน้องคนขับ ส่วนโอมกับเจ๋งนั่งคู่อยู่เบาะหลัง และมีลูกน้องอีก 3 คนขับรถเก๋งเก่าๆอีกคันขับตามหลังมา รถคันนี้เป็นรถที่มียาเสพติด 5 แสนเม็ดอยู่
“อยากได้ของดีก็ต้องรอหน่อย หึๆๆๆ” โอมกำลังพูดสายกับสมชาย

ขณะเดียวกัน ภายในงานเปิดตัวสินค้า บันไดเลื่อนพาพราวเลื่อนลงมาสู่เวทีจัดงานเบื้องล่างแล้ว ทีมงานและบอดี้การ์ดในชุดสูทเดินนำพราวมาหาติณห์ที่ยืนรออยู่ที่แท่นกดเปิดงานบนเวที
พราวก้าวขึ้นเวทีพร้อมเสียงกรี๊ด เธอโบกมือส่งยิ้ม
ส่วนส้มจี๊ดมองอยู่ด้านล่าง เธอเบ้ปาก ขณะที่สุดเขตต์ขยับเข้ามากดชัตเตอร์ใกล้ ก่อนจะหยุดถ่าย ลดกล้องลง มองไปที่ตัวจริงของพราวอย่างชื่นชมในความสวย
พราวเดินไปบนเวที ติณห์ก้าวเข้ามายืนต้อนรับ ทั้งสองได้เจอหน้ารู้จักกันอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณมากครับคุณพราว ที่ให้เกียรติมาเปิดงานให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ของผมเป็นครั้งแรก” ติณห์พูดพลางยื่นมือให้ พราวยื่นมือจับ รู้สึกประทับใจในตัวติณห์ทันที
“พราวก็ต้องขอบคุณเหมือนกันค่ะ ที่คุณให้เกียรติเชิญพราวมาร่วมงานในวันนี้”
ทั้ง 2 จับมือกันแนบแน่น ยิ้มและมองตากัน
นนลนีย์มองอยู่ที่ข้างเวที เธอพยายามอดกลั้นไว้ ด้วยยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะสำแดงเดช

ขณะนั้น ส้มจี๊ดกับสุดเขตต์ที่เบียดเสียดอยู่กับกลุ่มนักข่าวและสื่อมวลชน
“เอาล่ะเว้ย แม่นั่นมองนายติณห์นักธุรกิจหนุ่มโสดเนื้อหอมตาเป็นมัน ซูมเข้าไปไอ้สุดเขตต์ ถ่ายเอาไว้ทุกช็อตนะ ฉันมั่นใจว่าจะมีข่าวคาวระหว่างนางเอกพ.กับไฮโซต.เกิดขึ้นเร็วๆนี้” ส้มจี๊ดพูด
สุดเขตต์หยุดถ่ายหันมามองหน้าส้มจี๊ดอย่างระอา
“มองอะไร! ถ่ายไปซี ซูมตรงชุดเกาะอกน่ะ...ที่มันโป๊ๆขึ้นหน้าหนึ่งได้เลย” ส้มจี๊ดพูดต่อ
“เป็นเอามากนะแก อิจฉาเค้าล่ะซิยัยอกแฟบ” สุดเขตต์เอ่ย
ส้มจี๊ดยกมือปิดอก อ้าปากค้าง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ไอ้...ไอ้สุดเขตต์!”
สุดเขตต์ยิ้มขำๆ ก่อนหันไปถ่ายต่อ เขามองจากวิวไฟเดอร์ เห็นพราวกับติณห์ร่วมกันกดปุ่มเปิดงานพร้อมกัน มีขวดครีมอาบน้ำโผล่ขึ้นมาที่กลางเวทีพร้อมเหล่าแดนเซอร์และลูกโป่งที่พ่นออกมาทั่วงาน มีเสียงเพลงและบรรยากาศคึกคักไปทั่วเวที
พราวกับติณห์ยืนปรบมือไปตามจังหวะเพลง สายตาติณห์ที่มองมาที่พราว ทำให้พราวรู้สึกเขินอาย
ส่วนแฟรงค์กับเอมี่ตามมายืนปรบมือมองอยู่ข้างเวที แฟรงค์มองเห็นพราวยืนคู่อยู่กับติณห์และส่งยิ้มให้กันเป็นระยะ โดยไม่มีท่าทางเซ็งๆของพราวให้เห็น แฟรงค์รู้สึกพอใจ
“ฉันว่าคุณติณห์นักธุรกิจไฮโซหล่อเริ่ดคนนี้แหละ ที่จะเป็นยาดีรักษาโรคเบื่อๆเซ็งๆให้พราวได้” แฟรงค์ว่า
“แปลว่าไอ้โรคที่พราวเป็นอยู่คือโรคขาดคนรู้ใจงั้นสิ” เอมี่เอ่ย
เอมี่กับแฟรงค์ยื่นมือมาตบกัน “เอส!”

ขณะเดียวกัน สมชายกับวิทย์เดินหิ้วกระเป๋าที่ใส่เงินคนละ 2 ใบลงจากบันไดเหล็กของลานจอดรถจากชั้นบนลงมาชั้น4...แล้วเดินมาตามทางในลานจอดรถ...ตรงไปที่มุมด้านในสุดของชั้น
ส่วนโอมและเจ๋งรออยู่ในรถ เมื่อเป้มองไปเห็นสมชายกับวิทย์เดินมาแต่ไกลก็หันมาบอก
“มันมาแล้วเพ่!” เป้ว่า
โอมกับเจ๋งเปิดประตูลงจากรถ เดินห่างจากรถเข้ามายืนเผชิญหน้ากับสมชายกับวิทย์
“ขอดูเงิน!” โอมเอ่ยขึ้น
“ขอดูของ!” สมชายพูด
“หึ!” โอมยิ้มที่มุมปาก หันไปมองหน้าเป้ พยักหน้าสั่งให้พาไป
“ของอยู่ทางนี้” เป้ว่า
สมชายส่งกระเป๋าเงินให้โอมแล้วมองสบตาวิทย์ ทิ้งให้วิทย์คอยส่งเงินให้โอมกับเจ๋งเช็ค ส่วนเขาเดินตามเป้ที่นำไปยังรถเก่าๆที่จอดอยู่ข้างรถของโอมและเจ๋ง
เป้พยักหน้าให้ลูกสมุนทั้ง3ที่นั่งอยู่ในรถ ลูกน้องส่งกุญแจรถให้เป้ เป้เดินไปไขกุญแจเปิดท้ายรถให้
“อ่ะ มาเช็คดู” เป้ว่า
สมชายเดินไปเปิดท้ายรถขึ้น...เห็นห่อมัดยาจำนวนมากกองอยู่ท้ายรถ สมชายเลือกสุ่มห่อยาขึ้นมาห่อหนึ่ง ล้วงมีดสปริงมากรีดดูในห่อยา แล้วสมชายเงยหน้ามองไปที่วิทย์ พยักหน้า เป็นสัญญาณว่าของโอเค ขณะที่โอมกับเจ๋งเช็คเงินในกระเป๋าแล้วก็พอใจ หันมาพยักหน้าให้กัน
“ค่าของโอเค ให้กุญแจรถมันไป” เจ๋งว่า
เป้โยนกุญแจรถไปให้สมชายตามคำสั่งโอม สมชายรับกุญแจกำไว้แน่น

ขณะเดียวกัน แฟรงค์และเอมี่พาพราวเดินหลบออกมาจากฝูงชนในห้างสรรพสินค้า โดยมาทางประตูออกลานจอดรถ
ตอนนั้นเอง ส้มจี๊ดลากสุดเขตต์มาดักถ่ายรูปลับๆล่อๆ อยู่หลังกระถางต้นไม้ แต่พราวดันหันมาเห็นก็เม้งแตก
“นั่นใครมาแอบถ่ายรูป!” พราวพูด
“ห่ะ!” แฟรงค์กับเอมี่ประสานเสียง อุทานพร้อมกัน
ส้มจี๊ดทำหน้าเซ็งหันไปมองหน้ากับสุดเขตต์
“ออกมานะ ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจจับ!” แฟรงค์พูด
ส้มจี๊ดโผล่ยืนพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้ากวนๆ ไม่สำนึกใดๆ เมื่อพราวเห็นเป็นส้มจี๊ด หน้าก็เอาเรื่องทันที
“จะแจ้งจับข้อหาอะไรไม่ทราบ ก็แค่นักข่าวมาตามถ่ายรูปดารา มันผิดตรงไหนคะ” ส้มจี๊ดว่า
“ผิดตรงที่เป็นนักข่าวอย่างเธอไง บอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามเธอกับนิตยสาร Hot Shot มาตามสัมภาษณ์ฉันอีก” พราวบอก
ทำเอาสุดเขตต์ยืนงง
“เพราะHot Shotเสนอข่าวแต่ความจริง ไม่หลับหูหลับตาสปอยดารารึไง คุณถึงกลัวฉันนักหนา” ส้มจี๊ดเอ่ย
“จ้องจับผิดชีวิตดารา มากกว่าสนใจผลงานของเค้าน่ะเหรอคะ หึ เสนอแต่ความจริง หากินง่ายกันจริงๆนะหนังสือคุณ” พราวตอกกลับ
“อ้าวคุณ สบประมาทกันแบบนี้ เดี๋ยวจะเอาลงหน้าหนึ่งเลย” ส้มจี๊ดว่า
“แหม...ยังกะไม่เคยทำ ก็ลองลงไปซิ” พราวพูดอย่างไม่กลัว
“แหม...เป็นดารา อย่ามาท้านักข่าวนะขอบอก”ส้มจี๊ดว่า
ทั้ง 2 มีท่าทีเอาเรื่องใส่กัน สุดเขตต์ต้องรีบดันส้มจี๊ด แฟรงค์กับเอมี่ต้องรีบดึงพราวไว้
“โฮ่ยอะไรกันหนู เรื่องเล็กน้อยน่า อย่ามีปัญหากันเลยนะพี่แฟรงค์ขอ” แฟรงค์เอ่ย
“แกจะบ้าเหรอส้มจี๊ด เป็นนักข่าว ไปหาเรื่องดาราทำไม กลับๆๆ” สุดเขตต์รีบดึงส้มจี๊ดผละไป ส้มจี๊ดไม่วายอาฆาต
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ส้มจี๊ดพูด
พราวสะบัดหน้าอย่างอารมณ์เสียหันไปเพื่อจะเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นติณห์เดินเข้ามา
“จะกลับแล้วเหรอครับ” ติณห์ถาม
“พราวมีงานต่อนะครับ เลยต้องรีบไป” แฟรงค์เอ่ย
“เหรอครับ ผมกำลังจะชวนทุกคนไปดินเน่อร์คืนนี้ เป็นการขอบคุณที่ทำให้งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของผมในวันนี้...ประทับใจมาก” ติณห์พูดพลางตามองพราวหวาน ทำเอาพราวหายใจไม่ทั่วท้อง
“เอ่อ เอาเป็นว่าคุณติณห์ติดข้าวพราวมื้อนึงก็แล้วกันนะคะ ถ้าพราวว่าง พราวจะให้พี่แฟรงค์โทรมานัดค่ะ” พราวเอ่ย
แฟรงค์กับเอมี่ตะลึง...หันมามองหน้ากัน ที่อยู่ๆพราวก็เปิดโอกาสให้ติณห์
ติณห์ยิ้มพอใจ “โอเคครับ ผมจะรอนัดจากคุณพราว”
“แล้วเจอกันค่ะ” พราวเอ่ย
“ครับ เทคแคร์นะครับ”
“ไปก่อนนะครับคุณติณห์” แฟรงค์พูด
พราวสบตาติณห์ก่อนจะหันเดินมา โดยมีติณห์ยืนมองส่งด้วยรอยยิ้มหวาน

ส่วนแฟรงค์กับเอมี่แอบดี๊ด๊ากัน 2 คน

ขณะนั้น ที่ลานจอดรถ โอมกับเจ๋งกับลูกน้องทั้ง4กำลังหิ้วกระเป๋าใส่เงินเดินไปจะขึ้นรถ

สมชายกับวิทย์ยืนมองอยู่ที่รถที่ขนยาบ้า มือค่อยๆตะปบไปที่ปืนที่เหน็บอยู่ที่เอว รอพร้อมลงมือบุกตามแผน...ตาสมชายมองไปเห็น “สหวุฒิ” ผู้กำกับหนุ่ม นำตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกระจายกำลังตีโอบล้อมเข้ามา
แต่ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะช้าไป เมื่อสมุนคนขับรถของโอมและเจ๋งที่รออยู่ในรถ ขับรถออกมาจากที่จอดพุ่งเข้ามาจอดเอี๊ยดเพื่อรอรับ กว่ากำลังตำรวจจะเข้าถึงมันคงหนีไปได้
“เว้ย! ไม่ทันแล้ว บุกเลยวิทย์” สมชายบอก เขาตัดสินใจชักปืนชิงแสดงตัวจับก่อนที่กำลังตำรวจจะล้อมเข้ามาถึง วิทย์ชักตาม
“เฮ้ยหยุดอยู่ตรงนั้น! พวกแกถูกจับแล้ว!” สมชายร้องตะโกนออกไป
โอมกับเจ๋งที่ขึ้นรถไปยังไม่ทันดีมีสีหน้าตกใจ ชักปืนโผล่ออกจากหน้าต่างยิงใส่สมชายกับวิทย์ อย่างโกรธแค้น
“ไอ้เวรเอ้ย มึงหลอกกู อ๊ากกก” โอม เจ๋ง เป้ และลูกน้องระดมยิงเข้าเข้าสมชายและวิทย์ ส่วนสมชายกับวิทย์ก็ยิงตอบโต้ไป ทำให้สมุน3คนที่ยังไม่ทันขึ้นท้ายรถกระบะดีต้องลงมาหลบยิงอยู่หลังเสา ขณะที่โอมยิงไปก็สั่งไป
“ขับออกไปซีวะ เร็วๆๆๆ” โอมว่า
ลูกสมุนคนขับเร่งเครื่องเอี๊ยด พุ่งเข้าใส่สมชายกับวิทย์ที่ยืนยิงขวางทางอยู่ ทั้งคู่ต้องกระโจนหลบไปคนละทาง วิทย์หลบเข้าข้างเสา สมชายกระโจนกลิ้งบนกระโปรงรถคันหนึ่งลงไปหลบข้างรถ
ขณะนั้นเอง สหวุฒินำกำลังตำรวจบุกเข้ามาถึงพอดี
“วางอาวุธแล้วมอบตัวซะ หนีไม่รอดหรอก ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว”
แต่สมุนทั้ง3ก็ไม่ยอม ยิงสวนออกมาเป็นชุด
สมชายลุกขึ้นมองตามรถของโอมและเจ๋งที่กำลังแล่นไป เร็วเท่าความคิด เขากระโดดขึ้นวิ่งบนหลังคารถ แล้วกระโจนลงพื้นวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วพลางตะโกน
“ไอ้โอม ไอ้เจ๋งมันกำลังหนีแล้ว!”

รถของพวกโอมและเจ๋งขับหนีลงมาที่ทางโค้งเพื่อมายังชั้น3 สมชายวิ่งกระโจนไถลลงตามราวบันไดตามมา แต่รถโอมและเจ๋งก็ขับผ่านหน้าไป สมชายสปีดวิ่งตาม
“เฮ้ย หยุดนะ!” สมชายสับขาวิ่งสปีดพร้อมยิงปืนไปด้วย
ผู้คนที่กำลังอยู่ที่รถพากันก้มหลบเงียบอยู่ที่รถเมื่อเห็นว่ากำลังมีการยิงกัน รวมทั้งสุดเขตต์ที่กำลังเดินมาจะลงบันไดไปเอารถที่ชั้นล่าง ก็นั่งหลบอยู่ข้างเสา แต่มือที่ถือกล้องก็ทำงานทันที เขาพยายามโผล่หามุมที่จะถ่ายรูปเหตุการณ์เอาไว้
กระสุนของสมชายนัดนึงทะลุกระจกหลังรถมันไปเจาะเข้าที่คอสมุนคนขับ มันชะงักมือปล่อยพวงมาลัยมาจับคอ ขาปล่อยครัชและคันเร่ง ทำให้รถสะบัดหมุนติ้ว เครื่องดับลงขวางทาง มันล้มหงายสิ้นลมตายคาเบาะ
“เสร็จฉันล่ะ!” สมชาย รีบวิ่งเข้าไปที่รถ วิทย์กับสหวุฒินำกำลังตำรวจตามมาสมทบพอดี
ในขณะที่โอม เจ๋ง เป้รีบเปิดประตูลงจากรถทันที กำลังจะยิงต่อสู้ แต่พบว่านอกจากสมชายก็มีตำรวจอีกร่วม6-7คนทั้งหมดหยุดวิ่ง ทิ้งระยะห่างราว5-6เมตร เล็งปืนมาที่มันทั้ง3คนอย่างพร้อมเพรียง
“สู้ไปแกก็ไม่มีทางรอดหรอก มอบตัวซะดีกว่า ไปต่อสู้คดีกันในชั้นศาล” สมชายว่า
“มึงแน่มากนะที่ปลอมตัวมาล่อซื้อกูได้” เจ๋งเอ่ย
“หึ ฉันแน่อยู่แล้ว แกไม่ต้องชมหรอก” สมชายยิ้มกวน ก่อนขบกรามแล้วพูดต่อ “มอบตัวซะ!”
“โอมกับเจ๋งมองมาที่สมชายอย่างโกรธแค้น แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

ตอนนั้นเองที่พราว แฟรงค์ และเอมี่เดินคุยกันออกมาที่ลานจอดรถอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงปืนที่ตำรวจยิงต่อสู้กับสมุนอีก3คนอยู่ชั้นบนดังมาเป็นระยะ
“เสียงอะไรอ่ะ ได้ยินมะ ดังมากอ่ะ ยังกับเสียงปืน เอ่อ…” พราวต้องยืนมือปิดหูหยุดชะงักเมื่อพบว่าตัวเองก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าโอม เจ๋ง เป้ที่ยืนถือปืนอยู่ข้างรถกระบะ4ประตู เป้ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือรีบคว้าตัวพราวมาล็อคคอใช้ปืนจี้ไว้
“ว้าย อะไรอ่ะ!” พราวร้องด้วยความตกใจ
“อ๊าย...ปล่อยพราวนะ” แฟรงค์ว่า
แฟรงค์กับเอมี่ตกใจจะเข้ามาช่วย เลยถูกโอมกับเจ๋งตบและถีบจนผงะออกไป
ท่ามกลางความตกใจของสมชายที่เห็นเป็นพราว จนต้องรีบยกมือห้าม
“ทุกคนอย่ายิงนะ! นั่นมันพราว”
ขณะนั้น สุดเขตต์กำลังถือกล้องย่องหลบมาตามรถที่จอดอยู่เพื่อหามุมถ่ายที่ใกล้ที่สุดต้องชะงักหยุดเมื่อได้ยินว่าเป็นพราว แอบโผล่หน้ามองออกไป
“ห่ะ พราว! ดาราน่ะเหรอ!” สหวุฒิว่า
“ใช่ครับผู้กำกับ” สมชายตอบ ก่อนจะหันมาหาพราวอย่างฉุนๆ
“ยัยบ้าเอ้ย ดันโผล่เข้ามาทำไมตอนนี้ กำลังจะต้อนมันจนมุมอยู่แล้วเชียว”
เป้จี้พราวไว้ โอมได้ทีขู่ออกไปอย่างเป็นต่อ
“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นอีดาราคนสวยนี่สิ้นชื่อ” โอมว่า
“ฮ่ะๆๆๆๆ” อยู่ๆพราวก็หัวเราะออกมา ทำเอาทั้งโจรทั้งตำรวจเป็นงงหันมามองพราวเป็นตาเดียว
“หัวเราะทำไมฮะ!” เจ๋งว่า
“นี่ อย่ามาตะคอกฉันนะ หลอกฉันไม่ได้หรอกรายการจัดฉากแบบนี้ ไหนกล้องซ่อนอยู่ที่ไหน พี่แฟรงค์!” พราวตะโกนถามแฟรงค์ที่หลบอยู่ข้างรถกับเอมี่ที่มุมไกล
“จะๆๆจ๋า” แฟรงค์ตอบรับ
“นี่มันรายการดาราหน้าเหวอใช่มั้ยเนี่ย” พราวถาม
สมชายถึงกับหน้าเหวอ ไม่อยากเชื่อว่าพราวจะคิดได้ว่าเป็นการถ่ายรายการทีวี
“พราวบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้รับงานแบบนี้ พราวไม่ชอบให้ใครมาทำหน้าแตก” พราวพูดต่อ
“ปละๆ เปล่า พี่ไม่รู้เรื่อง” แฟรงค์ตอบ
“ยังจะมาอำกันอีกเหรอ พราวไม่โง่นะ นี่ก็จับอยู่ได้ ฉันไม่เล่นด้วยย่ะ ฟังนะทีมงานทุกคน ห้ามเอาเทปนี้ออกอากาศเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะฟ้อง ปล่อยฉันนะไอ้หน้าม้า ปล่อยสิ” พราวโวยวายไม่หยุด
“อย่าดิ้นสิวะ” เป้เอ่ย
พราวดิ้นเต็มแรง ทำเอาพวกโจรป่วน ตอนนั้นเองที่สุดเขตต์แอบมาใกล้ๆ ได้โผล่ออกมาจากหลังเสาแล้วใช้กระเป๋าเป้ฟาดเข้าเต็มท้ายทอยจนมึน ก่อนกระชากแขนพราวหลุดออกมา
“เฮ้ย!” เจ๋งกับโอมร้อง ก่อนหันมาจะยิงใส่สุดเขตต์กับพราว แต่สมชาย วิทย์ และสหวุฒิรีบยิงเข้าใส่ก่อน
ทั้ง 3 รีบหลบเข้าหลังรถตัวเองที่จอดเสียอยู่ แล้วยิงตอบโต้ตำรวจพร้อมกับถอยร่นไป

ขณะนั้น พราวก็ยังไม่เลิกเข้าใจว่าเป็นการถ่ายรายการ ระดมตีสุดเขตต์ที่ลากเธอหลบเข้ามุม
“ปล่อยฉันนะ นี่นักข่าวอย่างนายก็เป็นหน้าม้าด้วยเหรอ” พราวว่า
“หน้าม้าที่ไหน ผมป่าว อุ๊บ!” สุดเขตต์ต้องหยุดพูดเจ็บจุก เมื่อพราวแทงเข่าเข้ากลางเป้า แล้วเดินออกไป
“คุณ....อย่าออกไป โอ๊ะ!” สุดเขตต์ทรุดนั่งจุก ขณะที่พราวเดินผละจากตรงนั้นไปยังรถของตัวเองอย่างหัวเสีย สมชายมองไปเห็นพราวเดินฉับๆ ไป
“เฮ้ย! ยัยบ้านั่นจะเดินไปไหนเนี่ยะ เดี๋ยวได้ถูกยิงตาย!”

สมชายหงุดหงิดมากเอาการ

พราวเดินสะดุ้งไปปิดหูกับเสียงปืนที่ยิงต่อสู้กันระหว่าง 3 โจรกับตำรวจ แต่พราวก็ยังคิดว่าเป็นของปลอม

“ว้ายๆๆ...เลิกเล่นเสียทีได้ไหม พี่แฟรงค์!เอมี่! อยู่ไหน พราวจะกลับบ้าน” พราวพูด เธอยืนเท้าเอวมองเม้งไปข้างหน้า เมื่อเห็นเจ๋งถือปืนโผล่มายืนดักหน้า ส่วนโอมกับเป้กำลังยิงสู้กับตำรวจอยู่อีกมุม
“ยัง! ยังไม่เลิกกันอีกเหรอห่ะ หยุดถ่ายทำได้แล้ว ฉันบอกว่าไม่เล่นๆ” พราวบอก
เจ๋งยกปืนขึ้นเล็ง ปรี่จะเข้ามาจับตัวพราว แต่สมชายโผล่มาจากไหนไม่รู้พุ่งรวบตัวพราวพากลิ้งไป
พร้อมกับยิงเข้าใส่เจ๋งปังๆ
“อ๊ายยยย” พราวส่งเสียง
เจ๋งหลบเข้าที่หลังรถ บรรจุกระสุนใหม่พร้อมสู้ กัดฟันกรอดด้วยความแค้นสมชาย
“คนอย่างไอ้เจ๋งไม่ยอมถูกจับหรอกเว้ย แล้วกูต้องส่งมึงลงนรกให้ได้” เจ๋งเอ่ย
ขณะนั้น สมชายนอนหลบอยู่กับพื้นที่ข้างรถโฟรว์วิวอีกคัน ปืนเล็งไปใต้ท้องรถ พร้อมตาที่มองจ้องลอดใต้ท้องรถระวังเจ๋งไม่กระพริบ ขณะที่อีกมือโอบตัวพราวที่นอนเจ็บหลับหูหลับตาโอดครวญอยู่กับอกเขาที่พื้น
“โอ๊ยยยย” พราวส่งเสียงร้อง
“หุบปากได้แล้ว ร้องอยู่ได้!” สมชายว่า
พราวลืมตาผึงขึ้นมา เห็นเป็นสมชายก็จำได้ทันที
“นายเองเหรอไอ้เถื่อนไอ้กุ๊ย!” พราวพูด
“บอกให้หุบปาก ด่าตำรวจเดี๋ยวเถอะ จับติดคุกให้กลายเป็นดาราหน้า1ซะเลย” สมชายบอก
“อย่างนายน่ะเหรอตำรวจ ฮ่ะๆๆอยากหัวเราะให้ฟันหัก ไอ้รายการดาราหน้าเหวอหาหน้าม้ามาเล่นเป็นตำรวจไม่ได้แล้วหรือไง ถึงได้จ้างนายมาแสดง ดูยังไงก็ไม่ใช่ตำรวจ” พราวพูด
สมชายหันมายื่นหน้าถามพราว ปากแทบชน
“แล้วตำรวจต้องหน้าตาเป็นยังไงจ๊ะแม่ดาราดัง” สมชายถาม
“อี๋ ไอ้ทุเรศ เอาหน้าหื่นๆของแกไปห่างๆหน้าฉันเดี๋ยวนี้นะ” พราวโวยวาย
แต่สมชายก็ยิ่งยื่นหน้ายื่นตาเข้าใกล้อย่างหมั่นไส้
-ตัดไป-

อีกมุมหนึ่ง สหวุฒิและวิทย์กำลังยิงต่อสู้กับโอมและเป้อยู่อีกมุมหนึ่ง พยายามจะจับทั้ง 2 ให้ได้
ส่วนสุดเขตต์เมื่อหายจุกก็พยายามวิ่งหลบๆตามเก็บภาพ แต่ใจนึกห่วงพราว ชะเง้อมองหา
“คุณพราวหายไปไหนแล้วนี่!” สุดเขตต์พึมพำ
ขณะนั้น แฟรงค์กับเอมี่ที่หลบอยู่ ต่างพากันกลัวและเป็นห่วงพราว
“พราวจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย” แฟรงค์ว่า
“ป่านนี้จะรู้หรือยังว่าเค้าไม่ได้ถ่ายรายการกัน มันยิงกันของจริง” เอมี่พูด
“ก็นั่นน่ะสิ”

ส่วนเป้ยิงแล้วลุกวิ่งพลาด จึงตกเป็นเป้าถูกตำรวจยิงพรุน
“อ๊ากกกก” เป้ล้มลงตาย โอมที่อยู่มุมไกลหันมามอง
“ห่ะ ไอ้เป้!” โอมฉุนเลยลุกขึ้นกราดยิงทันที
มีประชาชนที่ไม่รู้โผล่ออกมาที่ลานจอดรถแล้วต้องตกใจอกตกใจร้องลั่น สหวุฒิจึงตะโกนออกไป
“ขอให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่าออกมานะครับอันตราย กลับเข้าไปในห้าง หรือว่าอยู่กับที่...อยู่แต่ในรถของท่าน ตอนนี้ตำรวจกำลังปฎิบัติหน้าที่ล้อมจับแก๊งค้ายาบ้าอยู่ “

เสียงประกาศบอกของผู้กำกับสหวุฒิดังมาที่พราวที่นอนหลบอยู่ข้างรถกับสมชาย
“ฮะ จับแก๊งค้ายา! ไม่จริงใช่ไหม” พราวร้องออกมา
“เลิกงมโข่งอยู่ในโลกดาราของตัวเองได้แล้วแม่คุณ นี่มันเรื่องจริงยิงกันจริงๆ...กระสุนจริง...ปืนจริง!” สมชายพูดก่อนยกปืนตัวเองใส่หน้าพราว
พราวถึงกับกรี๊ดลั่นเมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นเองที่เจ๋งโผล่มาบนหลังคารถพอดี
“มึงตาย!” เจ๋งพูด
เจ๋งยิง! แต่สมชายโอบพาตัวพราวกลิ้งหลบไปอยู่ใต้ท้องรถได้ทัน พราวร้องตกใจลั่น 2 มือตบตีสมชายพัลวัน
“ปล่อยฉันนะ แกมากอดฉันทำไม อี๋...เอาตัวสกปรกของแกออกไป” พราวโวยวาย
“โอ๊ย...เจ็บนะ มาตีทำไมเนี่ย โผล่เข้ามาทำให้เรื่องยุ่งแล้วยังไม่เจียมอีก” สมชายเอ่ย
ตอนนั้นเองที่สมชายเห็นเจ๋งห้อยหัวโผล่ลงมาใต้ท้องจ่อปืนจะยิง
“เฮ้ย!” สมชายรีบล็อคมือที่ถือปืนมันบิดอย่างเร็ว ทำให้กระสุนพลาดเป้ายิงผ่านใต้ท้องรถไป แล้วสมชายก็ต่อยหน้าจนมันร่วงจากขาที่เกี่ยวกับโรลบาร์หลังคารถโฟร์วิว เขาผละจากพราว ไถลตัวเตะมันออกมาจากใต้ท้องรถ มันพลิกตัวหลบทัน ทั้ง 2 กระเด้งตัวลุกขึ้นพร้อมกันแล้วต่อย เจ๋งถีบสมชายหลังชนรถ แล้วกระโดดต่อยเข้าซ้ำ สมชายหลบ เตะเข้าท้องมันจนจุก
แต่โอมวิ่งหลุดจากตำรวจกลุ่มสหวุฒิโผล่มามาช่วยเจ๋งทัน เขายิงมาแต่ไกล กระสุนเฉี่ยวหลังคารถไป สมชายตัดสินใจก้มไปคว้าแขนพราวลากออกมาจากใต้ท้องรถ
“หนีเร็ว!” สมชายว่า
“อ๊ายยยย” พราวกรี๊ด เธอถูกลากถูลู่ถูกังจนหมดสภาพดาราดัง กระโปรงชุดราตรีเกี่ยวกับใต้ท้องรถขาดแควก
“กระโปรงฉัน!” พราวร้อง
“ช่างหัวมัน ลุกขึ้นซี วิ่งเร็วๆๆ โธ่เว้ย! จะมาจับโจร กลับต้องมาพายัยนี่หนีแทน”

สมชายบ่น ก่อนจูงมือพราววิ่งไป

ขณะที่สมชายจูงมือพราววิ่ง ส้นสูงของพราวดันหัก เธอเสียหลัก เซจะล้มลง

“อ๊าย ส้นสูงฉัน” พราวร้อง
“ถอดทิ้งไปสิ เร็ว วิ่งหลบไปทางบันไดหนีไฟก่อน บอกให้ถอด!”
“ฉันก็กำลังถอดอยู่เนี่ย ทำไมต้องตะคอกด้วย” พราววิ่งไปถอดรองเท้าเขวี้ยงทิ้งทีละข้างอย่างทุลักทุเล
เจ๋งกับโอมวิ่งตามทั้งสองมา มันเล็งปืนมาที่สมชายอย่างโกรธแค้น
“ว้าย!” พราวสะดุดล้มลง สมชายรีบหันมาโอบประคองพราวขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ๋งลั่นไกยิงมาพอดี
“อย่าอยู่เลยมึง!” เจ๋งลั่นไกยิงไป ปัง! ทำให้กระสุนเจาะเข้าที่สีข้างพราวแทน
“โอ๊ะ!” พราวสะอึกมือจับไปที่สีข้าง ยกขึ้นมาดูเห็นเลือดติดมือแดงฉานก็ตกใจ
“ละ...เลือด”
“ห่ะ! คุณ...คุณ!” สมชายเอ่ย
เมื่อพราวเห็นเลือดก็ทรุดลงหมดสติไปในอ้อมแขนสมชายที่รับไว้ทันที
สมชายมองไปที่เจ๋งกับโอมอย่างโกรธแค้น ยกปืนที่ถืออยู่ในมือลั่นไกไป แต่ยิงได้นัดเดียวกระสุนก็หมด ทำให้โอมกับเจ๋งวิ่งหนีลงบันไดไปอีกทางได้
“โธ่เว้ย! คุณๆๆ” สมชายหันมาปลุกพราวอย่างเป็นห่วง ตาหันมองสลับไปที่พวกโอมกับเจ๋ง
สุดเขตต์วิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ
“คุณพราว!” สุดเขตต์ถลาเข้ามาดู สมชายส่งพราวให้สุดเขตต์
“รีบบอกตำรวจพาส่งโรงพยาบาลที เค้าถูกยิง” สมชายพูดจบก็ลุกวิ่งไป ขณะที่วิทย์วิ่งมาพอดี
“แกมากับฉันเร็ววิทย์ ตามมันไป มันวิ่งไปทางนั้น” สมชายว่า
สมชายเหลียวมามองพราวอีกครั้ง เมื่อเห็นสุดเขตต์กำลังช้อนร่างพราววิ่งเข้าไปหากำลังตำรวจที่วิ่งมาก็เบาใจ ตั้งหน้าวิ่งนำวิทย์ตามเจ๋งกับโอมลงบันไดไป
“เรียกรถพยาบาลทีครับคุณตำรวจ คุณพราวถูกยิง” สุดเขตต์ตะโกนลั่น
ตำรวจนายหนึ่งหันไปเรียกสหวุฒิ
“ผู้กำกับครับ ทางนี้ครับ แย่แล้วคุณพราวถูกยิง”
“ว่าไงนะ!” สหวุฒิตกใจ สีหน้าเครียด

สมชายวิ่งนำวิทย์มาพลางบรรจุแม็กกาซีนปืน กวาดตามองหาโอมและเจ๋ง
“เฮ้ย...มันอยู่นั่น!” วิทย์ชี้ลงไปที่ด้านหลังลานจอดรถ สมชายวิ่งมาดูที่ระเบียงเห็นหลังโอมกับเจ๋งกำลังวิ่งหนีไปตามที่รกร้างหลังห้าง เขาเลยตัดสินใจกระโดดข้ามระเบียงลานจอดรถชั้น1ลงไปยังชั้นล่างตามนิสัยบ้าดีเดือด
สมชายกระโดดล้มกลิ้งลงมาที่พื้น แล้วลุกวิ่งตามมันไปทันควัน วิทย์เลยต้องกระโดดตามลงไปด้วย ล้มลงเข่ากระแทก ลุกวิ่งเขยกตามสมชายไป

ส่วนทางด้านของพราว เธอถูกหามใส่เปลพาขึ้นรถพยาบาล โดยมีแฟรงค์กับเอมี่ร้องไห้ขึ้นรถตามไปด้วย
“พราว...พราว...อย่าเป็นอะไรไปนะ” แฟรงค์ร้องคร่ำครวญ ใจคอไม่ดี

พราวนอนอยู่บนเตียงรถเข็น มีหน้ากากครอบให้ออกซิเจน ใบหน้าสวยซีดขาวเป็นกระดาษ อาการเป็นตายเท่ากัน

อ่านต่อหน้า 3

พราว ตอนที่ 1 (ต่อ)

การไล่ล่าของตำรวจและแก๊งค้ายายังดำเนินต่อไป โอมกับเจ๋งถือปืนวิ่งหนีมาตามที่รกร้าง โดยมีสมชายและวิทย์วิ่งตามไล่ล่ามา

“หยุดนะ...อย่าหนี มอบตัวซะ!” สมชายตะโกนก้อง
โอมกับเจ๋งนั้น ขายังวิ่งแต่มือหันไปยิงใส่เป็นชุด
สมชายหลบฉากเข้าซากรถ ขบกรามแน่น สองมือกำปืนก่อนยิงสวนไปหลายนัด วิทย์ที่หลบอยู่กองเศษวัสดุใกล้ๆก็ยิงสวน ตอบโต้กันไปมา และแล้วกระสุนนัดหนึ่งของสมชายก็เจาะเข้าที่ขาอ่อนด้านขวาของโอม
“โอ๊ย!” โอมจับขาแล้วทรุดลงหลบ เจ๋งหันมามองพี่ชายสีหน้าตกใจ
“ห๊ะ คงไม่มีใครบอกมึงว่ากูแม่น!วางปืนแล้วมอบตัวซะ ไม่งั้นนัดต่อไปจะเจาะที่โป๊งเหน่งมึง” สมชายพูดเย้ย
“ยิงกะบาลมึงเซ่ ไอ้ระยำ” เจ๋งแค้นที่พี่ชายถูกยิง จึงยิงใส่สมชายมาเป็นชุด
สมชายกระโดดหลบที่หลังซากรถ โดยกระสุนนัดหนึ่งแฉลบเป็นรูที่กระโปรงท้ายรถตรงหว่างขาเขาพอดี สมชายเลิกคิ้วข้างหนึ่งก้มลงมอง...เสียววาบ
“ไหนมึงบอกว่าจะยิงกะบาลไง” สมชายด่า
วิทย์ถือปืนวิ่งตามเข้ามาสมทบ
“เฮ้ย!ไง ของแกยังอยู่ครบไหม” วิทย์ถาม
“ของฉันรุ่นหนังเหนียว คงกระพัน ยิงไม่เข้าเว้ย” สมชายบอก
“แต่ยัยพราวไม่เหนียวพอ ถูกยิงเข้าอย่างจัง ป่านนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้” วิทย์เอ่ย
สมชายอึ้งไปอึดใจ นึกห่วงพราว
“ปากร้ายขนาดนั้น ยัยนั่นคงไม่ตายง่ายๆหรอก” สมชายเอาใจช่วยแบบกัดๆ
สมชายเปลี่ยนแมกกาซีนปืนอีกครั้ง แล้วโผล่พรวดขึ้น2มือจับปืนทาบไปที่บนหลังคาซากรถ แต่เห็นเจ๋งประคองโอมหนีห่างไปแล้ว
“เฮ้ย...มันเผ่นแน่บแล้ว ตามเร็ว!” สมชายว่า ก่อนจะรีบวิ่งตามไป

อีกด้านหนึ่ง ร่างพราวถูกยกลงใส่เตียงเข็นเข้าโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็ว โดยมีแฟรงค์กับเอมี่รีบจูงมือกันวิ่งตามไปน้ำหูน้ำตาร่วง ส่วนสุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซด์ตามหลังมาติดๆ เขาจอดรถ รีบลงจากรถวิ่งตามเข้าไป
แฟรงค์กับเอมี่ยืนมองร่างพราวถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป ส่วนสุดเขตต์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เขามาทันเห็นหน้าพราวที่ถูกเข็นเข้าห้องไป แล้วประตูก็ปิดลง
ด้วยสัญชาตญาณนักข่าวทำให้มือเขาตะปบไปที่กล้องที่ซ่อนไว้ใต้แจ็คเก็ต อยากจะถ่ายรูป แต่ก็ไม่ได้ถ่าย เขามาในฐานะคนที่ร่วมอยู่ในสถานการณ์ร้าย และเป็นห่วงอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรเคลือบแฝง
ขณะนั้น แฟรงค์กับเอมี่ยืนจับมือสีหน้าหวาดกลัว ทั้งสองพูดปลอบกันและกัน
“พราว...จะต้องไม่เป็นอะไร ถึงจะเหวี่ยงแค่ไหน พราวก็บริจาคช่วยช้าง ทำบุญหาบ้านให้หมาจรจัด ไถ่ชีวิตโคกระบือมานับมาถ้วน” เอมี่ร่ายความดีซุปตาร์ขาเหวี่ยง
แฟรงค์ยกมือไหว้หมุนรอบทิศ “ช้างหมาวัวควาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยพราวด้วยเถิด ถ้ารอดตาย ลูกช้างจะทำบุญ 9 วัด บริจาคเงินช่วยสัตว์ทุกชนิดเลี้ยงโต๊ะจีนลิงทั้งลพบุรี เลี้ยงชะนีทั้งสมุย” แฟรงค์เอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาเจอสุดเขตต์
“อุ๊ตะ! นักข่าวหรือแมลงวันหัวเขียวเนี่ย ตอมมาเร็วจริงๆ” แฟรงค์ได้สติ รู้สึกตกใจ
“อ่า...ปล่าวนะครับ...ผมไม่ได้ตามมาทำข่าว ผมเอ่อ…”
“อย่ามาสะตอ! ไหน กล้องอยู่ไหน” แฟรงค์ไม่ฟังเสียง และเข้าไปค้นตัว
“โอ๊ะ!เย้ย! อู้ว! จะทำอะไรครับ” สุดเขตต์โวย
“ว้ายๆ เจอแล้ว” เอมี่ร้องขึ้น
“กล้อง?” แฟรงค์พูดเป็นเชิงถาม
“ซิกซ์แพค!” เอมี่ตอบหน้ายิ้มๆ
แฟรงค์เงื้อมือจะตบ “นังหอย”!
แต่พยาบาลเดินออกจากห้องฉุกเฉินมาขัดเสียก่อน
“อ้าวคุณ! ถูกยิงมาด้วยเหรอคะ แผลอยู่ไหนคะ เลือดออกขนาดนั้น” พยาบาลทัก
แฟรงค์กับเอมี่ชะงัก เพิ่งสังเกตมองที่เสื้อสุดเขตต์เห็นเลือดก็ตกใจ
“ว้าย!” แฟรงค์กับเอมี่ร้องขึ้นพร้อมกัน
“อ๋อ...นี่ไม่ใช่เลือดผมหรอกครับ เลือดคุณพราวติดเสื้อผมตอนที่อุ้มเธอมาหาตำรวจน่ะครับ” สุดเขตต์บอก
แฟรงค์กับเอมี่ถึงเข้าใจ หันมามองสุดเขตต์ด้วยสายตาระแวงน้อยลง
“ผมเลยตามมาดูอาการน่ะครับ หวังว่าคุณพราวจะปลอดภัย” สุดเขตต์พูดต่อ
“ก็ต้องปลอดภัยสิ ไม่งั้นเรื่องนี้ถึงส-ต-ช!” แฟรงค์ว่า

เหตุการณยังดำเนินต่อไป ในขณะที่พราวยังคงอยู่ในห้องผ่าตัด

อีกด้าน โอมที่ถูกยิงขาโดนเส้นเลือดใหญ่ทำให้เสียเลือดมากจนหน้าซีด เขาปีนข้ามรั้วกั้นที่รกร้างตามเจ๋ง กลิ้งอย่างหมดสภาพ แล้วลุกวิ่งตามเจ๋งออกมาถึงริมถนนแต่แล้วก็หมดแรง ทรุดพิงอยู่กับผนัง เจ๋งที่วิ่งนำหน้าไปก่อน หยุดหันมามอง
“เฮ้ยพี่! หยุดทำไม..ไอ้สายสืบนั่นตามมาแล้ว” เจ๋งเรียก
“แกหนีไปก่อนไอ้เจ๋ง ฉันไม่ไหวว่ะ” โอมบอก
“ต้องไหวซิเพ่” เจ๋งเอ่ย
“กูบอกให้มึงไป!” โอมตวาด เขารู้สึกหน้ามืดวูบ หายใจหอบ
เจ๋งยืนขยี้หัวอย่างหัวเสีย จะไปก่อนก็ไม่อยากทิ้งพี่ชาย
“เราต้องรอดไปด้วยกัน พี่เข้าใจไหม!”

เจ๋งยืนหันรีหันขวาง คิดหนักว่าจะทำไงดี แล้วหันมองไปทางที่สมชายกับวิทย์จะตามมา

สมชายกับวิทย์ปีนรั้ววิ่งตามออกมาที่ริมถนน จุดที่โอมกับเจ๋งหยุดอยู่เมื่อครู่ แต่กลับไม่เห็นทั้งคู่แล้ว สมชายยืนหันมองหาอย่างเจ็บใจ

“หายไปไหนแล้ววะ ตามมาติดๆ มันไม่น่าโกย 4 ตีนหนีเร็วขนาดนี้” สมชายมองหา
“ไอ้โอมถูกยิงที่ขาเลือดสาด มันคงวิ่งไม่ได้ไกลหรอก อาจจะจี้รถ หรือว่าหนีเข้าซอยแถวนี้ ไปดูทางโน้น!” วิทย์ว่า
ทั้ง 2 เดินมองหาโอมและเจ๋ง วิทย์นำหน้าจะเข้าไปหาที่ซอยข้างหน้า แต่สมชายเดินผ่านหน้าร้านมินิมาร์ทแล้วสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย...วิทย์!” สมชายร้อง
วิทย์ชะงักหันมามอง เมื่อเห็นสมชายกำลังก้มลงมองที่พื้นก็แปลกใจ
“อะไรวะ?”
“ซกเล็กว่ะ” สมชายชี้ไปที่เลือดที่เขรอะไปเป็นทาง เมื่อมองตามไปก็เห็นเลือดหยอดเลอะไปถึงหน้ามินิมาร์ท
“มันคงหิว เลยแวะซื้อซาลาเปาก่อนกลับบ้าน” สมชายยักคิ้วกวนให้เพื่อน วิทย์ขำกับความกวนตีนและปากหมานของเพื่อนซี้

ขณะที่สมชายมองผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไป ก็เห็นพนักงานชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินด้วยอาการตัวเกร็ง เหลือบตามองมาที่เขาแล้วก็หลบตา สมชายแน่ใจทันที
“ชัวร์ มันกำลังเลือกไส้กรอกอยู่ในนั้น!” สมชายพูดพลางรีบเข้าไปยืนประชิดอยู่ที่หน้าตู้บัตรเติมเงินโทรศัพท์ วิทย์ตามเข้ามานั่งหลบอยู่ข้างๆ
“อย่าเพิ่งเข้าไปนะเว้ย โทร.หาผู้กำกับ เรียกกำลังเสริมมาก่อน” วิทย์ห้าม
แต่เมื่อสมชายมองผ่านกระจกเข้าไป ก็เห็นแม่กับลูกสาววัย5-6ขวบยืนนิ่งตัวสั่นอยู่ในร้าน สีหน้าของเขากลับมาเครียดจริงจังทันที
“เฮ้ย!ข้างในมีเด็กด้วยว่ะ ขืนรอจะช้าไป!”
พูดเสร็จสมชายก็แอบผลักประตูเข้าร้านไปเลย
“เดี๋ยว...ไอ้ชาย!” วิทย์ร้องห้ามแต่ไม่เป็นผล

สมชายผลักประตูมินิมาร์ทเข้ามาเงียบๆ แต่แล้วเขาต้องต้องผงะตกใจเมื่อเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่ ที่แท้เป็นพนักงานมินิมาร์ทหญิงที่ทำเป็นยืนจัดของมือสั่นสีหน้าหวาดกลัวตามคำสั่งของโอม สมชายยกนิ้วขึ้นจรดที่ปากบอกให้เงียบๆ เอาไว้ แล้วสมชายค่อยๆ เดินก้มเงียบๆ เข้าไปมองหาโอมกับเจ๋งว่าหลบอยู่มุมไหน โดยใช้ชั้นวางของแถวแรกเป็นที่กำบังตัว
เจ๋งนั่งหลบอยู่ที่มุมด้านในสุดของชั้นวางของแถวที่ 4 มันเล็งปืนไปที่พนักงานชายที่เคาน์เตอร์ ตาจ้องเขม็งบังคับให้อยู่นิ่งๆ ส่วนโอมนั่งอยู่กับพื้นพิงตู้แช่เครื่องดื่ม หน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก ท่าทางอ่อนแรงจากการเสียเลือดมาก มือที่ถือปืนเล็งไปทางแม่ลูกที่ยืนหลบกอดกันอยู่ที่มุมไกลออกไปอีกหน่อย

ที่หน้ามินิมาร์ทตอนนี้ วิทย์กำลังใช้มือถือโทร.รายงานสหวุฒิ
“มันหลบอยู่ในร้านครับ ดูเหมือนจะจี้ตัวประกันไว้4คน ในนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย 1 คน รีบนำกำลังมาสมทบด่วนเลยครับ”
“จะรีบไปเดี๋ยวนี้ อย่าเพิ่งจู่โจมบุกทำอะไรนะ ซุ่มดูมันก่อน” สหวุฒิสั่ง
“สั่งช้าไปแล้วครับ ไอ้ชายเข้าไปแล้ว!” วิทย์ว่า

อีกด้านหนึ่ง ที่โรงพยาบาล สุดเขตต์ยืนพิงผนังมองมือถือที่มีสายส้มจี๊ดโทรเข้ามา แต่ไม่คิดจะรับ รู้ว่าส่มจี๊ดต้องโทรตามเรื่องพราวถูกยิงเข้าโรงพยาบาลแน่ เขาเก็บมือถือมองไปที่แฟรงค์กับเอมี่ที่นั่งรอพราวออกจากห้องผ่าตัดอย่างเป็นห่วงจนแทบนั่งไม่ติด เมื่อโทรศัพท์ 4 เครื่องมีสายโทรเข้ามาตลอดเวลาเหมือนกัน
“นี่ก็นักข่าว...นี่ก็นักข่า” แฟรงค์หงุดหงิด
“นี่ก็นักข่าวทั้ง 2 เครื่องเลยอ่ะ” เอมี่ว่า
“อิพวกนี้มีหูทิพย์ตาทิพย์หรือไงฮะ มาเร็วยิ่งกว่าพนักงานเคลมประกันซะอีก หรือว่าแถวนี้มีสปาย!” แฟรงค์หันขวับมาที่ผู้ต้องสงสัย ร่างสุดเขตต์ถึงกับกระตุก ยก 2 มือ แล้วรีบปฏิเสธ
“ผมป่าวนะครับ”
ตอนนั้นเอง มีตำรวจสืบสวนสอบสวนของท้องที่ 2-3 คนเดินรีบรุดมา มีกลุ่มนักข่าวกรูตามมาแต่ไกล แต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกันไว้
“นักข่าวเข้าไม่ได้นะครับ เข้าไม่ได้ ที่นี่โรงพยาบาล ห้ามรบกวนคนไข้ครับ”
“พราวเป็นยังไงบ้างครับ” / “ถูกยิงที่ไหนคะ...กี่นัด” / “ตอนนี้รู้สึกตัวรึเปล่า” เสียงนักข่าวดังระงม
แฟรงค์มองไปแล้วทำหน้าเม้งใส่
“สวัสดีครับ คุณแฟรงค์ผู้จัดการคุณพราวใช่ไหมครับ ผมมาสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ” ตำรวจทำท่าตะเบ๊ะ
“แน้...มาถามอะไรฉ้าน ทำไมไม่ถามพวกคุณกันเองว่าทำงานกันยังไง ถึงทำให้ซุปเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของไทยต้องมาโดนลูกหลงแบบนี้! คอยดูนะ ถ้าพราวออกจากประตูห้องนั้นเมื่อไหร่ ฉันไม่อยากนึกภาพเลยว่าพราวพิชญาดาจะเอาเรื่องพวกคุณขนาดไหน!” แฟรงค์ใส่เป็นชุด

ส่วนภายในมินิมาร์ท สมชายแอบย่องมาถึงชั้นวางของแถว 4 ใกล้แม่ลูกที่ยืนกอดกันอยู่แค่คืบ สมชายทำมือให้2แม่ลูกนิ่งๆ ใจเย็นๆ ชี้ตัวเองบอกแบบไม่มีเสียงว่าเป็นตำรวจ แล้วเขาก็หันไปคว้าตลับแป้งที่แขวนขายตรงมุมกิ๊ฟท์ช็อปของร้าน มาแกะเปิดใช้กระจกแอบส่องมองโอมแวบหนึ่ง จนเห็นจุดที่มันหลบอยู่ แต่โอมดันเห็นกระจกโผล่แวบๆ เลยยันตัวลุกขึ้นเดินลากขามาเงียบๆ

และเป็นฝ่ายปรี่เข้ามาสมชายที่หลบอยู่

อ่านต่อตอนต่อไป

สมชายจดสายตามองอาการ 2 แม่ลูก ที่พอเห็นโอมเดินเข้ามาก็มีอาการกลัวตัวสั่นสุดขีด สมชายรู้ทันทีว่ามีอะไรผิดปรกติ เขาเตรียมพร้อมไว้ ชั่วอึดใจโอมก็เข้ามาถึง โผล่มาจ่อปืนจะยิงด้วยความแค้น

“ไอ้นรก!” โอมตวาดก้อง
แต่สมชายระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงจับล็อคแขนมันไว้ ไม่ให้ยิง
“อ๊าก...” โอมร้องอย่างเจ็บปวด ส่วน 2แม่ลูกกรีดร้องลั่น
“หนีไป...วิ่ง!” สมชายสั่งเสียงต่ำ สองแม่ลูกออกวิ่งหนีไปทันที
ฟากเจ๋งที่อยู่มุมไกลเล็งปืนจะยิงใส่สมชายแต่ไม่เห็นตัวเพราะชั้นวางของบัง เห็นแต่โอมถูกสมชายเหวี่ยงล้มลงปล้ำฟัดกันนัว ข้าวของร่วงกระจาย
เจ๋งจำต้องลุกถือปืนจะเข้าไปช่วยโอม แต่เห็นวิทย์เปิดประตูร้านเข้ามาให้ 2 แม่ลูกกับพนักงานร้านทั้ง 2 วิ่งหลบออกไปพอดี เจ๋งยืนหน้าเหี้ยมยิงเข้าใส่วิทย์ กระสุนเจาะเข้าที่ด้านหลังวิทย์ลำตัวด้านซ้ายเต็มๆ
วิทย์สะดุ้งสุดตัวหันมาตัวพิงชั้นวางหนังสือ ยกปืนจะยิงโต้ แต่ถูกเจ๋งยิงเข้าใส่ที่ท้องอีกนัด
“ฮ่ะๆๆ มึงเสร็จกู” เจ๋งสะใจ
สมชายอัดโอมลงไปนอนฟุบลงกับพื้นแล้วลุกขึ้น เห็นภาพเพื่อนรักล้มลงนอนกับพื้น ปืนร่วงจากมือ
“ไอ้วิทย์!” สมชายตะโกนลั่น หันไปจะยิงใส่เจ๋งอย่างโกรธแค้น แต่เจ๋งก้มหลบวูบ
ตอนนั้นเองโอมที่นอนอยู่พลิกตัวขึ้นนั่งเล็งปืนจะยิงสมชาย แต่สมชายเร็วกว่า ขบกรามหันไปยิงใส่โอมอย่างโกรธแค้น ที่เห็นเพื่อนถูกยิง เขากระหน่ำยิงไปก็ตะโกนไป
“กูให้โอกาสมึงมอบตัวแล้วนะ!”
เจ๋งได้ยินเสียงปืน พร้อมๆ กับเห็นร่างโอมร่วงล้มลงนั่งกับพื้นร้านสิ้นใจคาที่ โดยที่ตายังลืมโพลง ปืนในมือร่วงลงกับพื้น
“พี่!” เจ๋งถลาเข้าไป จ่อปืนยิงสมชายไป2นัด แต่สมชายทิ้งตัวไถลหลบเข้าหลังชั้นวางแถว3ทัน
เจ๋งลากศพโอมมาได้ เขย่าตัวแผดเสียงร้องเรียก “พี่! พี่! พี่…”
แต่โอมนอนลืมตานิ่งสนิท เจ๋งแค้นจนน้ำตาร่วง พลางคิดว่าต้องหนีก่อน
“กูจะกลับมาแก้แค้นมึง!” เจ๋งใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างแรง ตัดสินใจล้วงกระเป๋าตังค์โอมเอาหลักฐานทุกอย่างในตัวมายัดใส่กระเป๋าตัวเอง มองศพพี่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหันไปมองประตูหน้าร้านที่ใกล้ที่สุด รู้ว่าสมชายหลบอยู่ที่ชั้นวางของข้างๆ
เจ๋งออกวิ่งพลางยิงสะกัด เจอสมชายยิงสวน กระสุนเจาะเข้าที่แขนเจ๋ง 1 นัด แต่เจ๋งก็กัดฟันวิ่งข้ามร่างวิทย์ที่นอนหายใจรวยรินอยู่ออกจากประตูร้านไปได้
สมชายลุกขึ้นวิ่งตาม แต่ฝืนวิ่งข้ามวิทย์ไปไม่ได้ ย่อตัวจับมือบอก
“อย่าเพิ่งเป็นไรนะเว้ย เดี๋ยวฉันจะกลับมาช่วย” สมชายจะวิ่งไป แต่วิทย์ยึดมือไว้ พูดสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
“ฝาก...ลูก...เมีย...ฉันด้วย” วิทย์เอ่ยขึ้น
“ฉันไม่รับฝากเว้ย แกรอฉันก่อน!” สมชายสะบัดมือวิทย์ออก แล้ววิ่งออกไป
วิทย์ยื่นมือที่สั่นเทามองตามสมชายอย่างสิ้นหวัง…รู้ตัวว่าไม่รอดแล้วแน่ๆ

สมชายวิ่งออกจากร้าน หยุดหันรีหันขวางมองหาเจ๋งอยู่ที่ข้างถนน แล้วก็เห็นเจ๋งกำลังจี้แมสเซ็นเจอร์คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า จ่อปืนเหมือนจะยิง แมสเซ็นเจอร์รีบวิ่งหนี ทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้
“เฮ้ย! มึงหยุดนะ” สมชายวิ่งตามไป ที่ด้านหลัง สหวุฒิกับตำรวจทั้ง 4 วิ่งตามมาถึงพอดี เห็นสมชายกำลังวิ่งตามเจ๋ง แต่เจ๋งขึ้นมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องขี่เอี๊ยดออกไปแล้ว
“กูบอกให้มึงหยุด” สมชายวิ่งใส่สปีดเล็งปืนไปจะยิง แต่เห็นคนรถราพลุกพล่านขวางวิถีกระสุน เลยจำเป็นต้องยั้งมือ
“โธ่เว้ย!” สมชายลดมือที่ถือปืนลง หยุดยืนหายใจแรงมองเจ๋งซิ่งมอเตอร์ไซค์หนีไปอย่างสุดแค้น
ทางด้านสหวุฒิวิ่งตามเข้ามา แล้วปรี่เข้าไปหาแมสเซ็นเจอร์เจ้าของรถที่หลบอยู่หลังบันไดสะพานลอยพร้อมสั่งลูกน้อง
“รีบวอร์ให้สกัดจับมอเตอร์ไซด์เร็วเข้า ทะเบียนรถคุณอะไร”
ระหว่างนั้นสมชายหันวิ่งกลับไปที่มินิมาร์ท เมื่อผลักประตูเข้ามาในร้านก็ใจหล่นวูบ เมื่อมองเห็นวิทย์นอนแน่นิ่งไปแล้ว
“ไอ้วิทย์...ไอ้วิทย์!” สมชายทรุดลงโอบศพวิทย์ขึ้นมาเขย่าเรียก
“วิทย์ลุกขึ้นมาซีโว้ย...ลุกขึ้นเพื่อน...ลุก!”
แต่ร่างวิทย์ไม่ไหวติง มือร่วงตกห้อย สมชายได้แต่กอดศพวิทย์ ร่ำไห้ ตาแดงก่ำอย่างสุดแสนเสียใจ สหวุฒิกับตำรวจทั้ง 4 วิ่งตามมา พอเห็นศพของวิทย์ทุกคนต่างตกใจ อึ้ง สีหน้าเสียใจถ้วนทั่ว
สมชายเงยหน้าขึ้นมองสหวุฒิด้วยสีหน้าสำนึกผิด โทษว่าเป็นเพราะตัวเขาเองที่คู่หูต้องตาย

เหตุการณ์ที่โรงพยาบาล ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก เจ้าหน้าที่เข็นเตียงที่พราวนอนไม่ได้สติอยู่ออกมา พราวปลอดภัยดี
สุดเขตต์กำลังให้การกับตำรวจอยู่หันไปมอง แฟรงค์ กับเอมี่ปรี่เข้าไปหาที่เตียง
“พราว...พราวเป็นยังไงมั่ง?” แฟรงค์ถาม
“คุณพราวปลอดภัยครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หมอผ่าตัดที่เดินออกมาพร้อมพยาบาลตอบ
แฟรงค์และเอมี่จับมือกันดีใจ สุดเขตต์รู้สึกโล่งอก แต่เกิดความโกลาหลขึ้นจนได้ เมื่อกองทัพนักข่าวบุกผ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ด้านนอกเข้ามาได้ และ 1 ในนั้นคือส้มจี๊ด
เจ้าหน้าที่ผลักดันนักข่าวออกไป สุดเขตต์แอบเดินออกไปหวังหลบส้มจี๊ด แต่ส้มจี๊ดดันหันมาเห็นซะก่อน
“ไอ้...ไอ้สุดเขตต์ แกอยู่นี่เองเหรอ!” ส้มจี๊ดชี้นิ้วด่า
สุดเขตต์ชะงักหันมามอง เขาเดินเลี้ยวมุมมาพร้อมกับถอดแจ๊คเก็ต เอากล้องที่สะพายอยู่ในเสื้อออกมา ส้มจี๊ดรีบเดินตามมาอย่างตื่นเต้น
“แกอยู่ในเหตุการณ์ตำรวจจับยาบ้างั้นเหรอ เยสๆๆ” ส้มจี๊ดกำหมัด ดีใจสุดๆ
“เสือปืนไวอย่างแก ต้องถ่ายรูปยัยพราวถูกลูกหลงไว้ได้แน่ๆ ชิมิๆ” ส้มจี๊ดกระโดดโลดเต้น เข้าไปกระตุกแขนสุดเขตต์อย่างดีใจ สุดเขตต์สะบัดแขนทำหน้ารำคาญ
“เฮ้ย! ฉันถ่ายตอนตำรวจยิงกับคนร้ายเว้ย แต่ไม่ได้ถ่ายตอนคุณพราวถูกลูกหลง” สุดเขตต์บอก
“ว่าไงนะ! ทำงานประสาอะไรของแกห๊ะไอ้สุดเขตต์ พลาดช็อตเด็ดไปได้ยังไงห๊ะ!” ส้มจี๊ดฉุน
สุดเขตต์หยุดเดิน หันมาผลักหัวส้มจี๊ดอย่างหมั่นไส้
“ไอ้โรคจิต! แกจ้างฉันมาเป็นตากล้องปาปารัซซี่ดาราอย่างเดียวนะเว้ย อย่ามาเหมารวมถ่ายรูปอื่น แล้วฉันก็ไม่หากินกับความเป็นความตายของใครด้วย”
“แหวะ! ไอ้โลกสวย ก็เพราะแกเป็นยังงี้ไง งานมันถึงได้เลือกที่จะออกแทนที่จะเข้าแก” ส้มจี๊ดด่าอีก
“ฉันจนอย่างมีคุณค่าเว้ย เข้าใจปะ! แล้วถ้าฉันไม่จำเป็นต้องใช้ตังค์ ฉันก็ไม่มีวันมารับจ๊อบงานปาปารัซซี่แบบนี้หรอก เสียฝีมือฉัน!”
“อ๋อหรา... จนแล้วหยิ่ง เอามานี่เลย!” ส้มจี๊ดทำหน้าหมั่นไส้ แล้วแย่งกล้องไปจากมือสุดเขตต์
“เฮ้ย! เอากล้องฉันมา เดี๋ยวโดนเตะ”
“ฉันจะเอารูปในงานเปิดตัวโฟมอาบน้ำของฉัน” ส้มจี๊ดถอด SD การ์ดไปเลย แล้วยัดกล้องคืนให้สุดเขตต์
“แล้วก็...รูปที่แกถ่ายตอนตำรวจจับแก๊งยาบ้าก็ต้องอยู่ในนี้ด้วย มันต้องมีรูปยัยพราววิ่งพล่านอยู่สักรูปแหละวะ” ส้มจี๊ดทำหน้าเจ้าเล่ห์
“เฮ้ย เอาคืนมา!” สุดเขตต์จะแย่งซิมการ์ดมา แต่ส้มจี๊ดหลบได้ แล้วรีบวิ่งหนีไปชูซิมการ์ดหัวเราะยั่วไปตามทาง
“ฮ่ะๆ กลับไปอาบน้ำแต่งตัวนะเว้ย แล้วรีบกลับมาเจอกันที่นี่ เรายังต้องตามติดชีวิตยัยพราวกันต่อ”

สุดเขตต์ทำได้แต่ยืนถอนใจกับความแสบของส้มจี๊ด

ที่ตลาดแห่งนั้น “แม่แก้ว” อยู่ที่ร้านรับซื้อของร้านหนึ่ง นำเอาแจกันงานแฮนด์เมดที่ทำเอง มาขายให้เจ้าของร้านที่รับซื้อประจำ ในขณะที่เจ้าของร้านกำลังอ่านข่าวพราวอยู่

“พราว พิชญดา ถูกลูกหลงเข้าชายโครง เฮ้ย...มันโปรโมทละครหรือเรื่องจริงยะเนี่ย ต๊ายตาย..เรื่องจริงเหรอเนี่ย!” เจ้าของร้านวี้ดว้ายใส่อารมณ์
แม่แก้วเหลือบมองเจ้าของร้านที่ดูอินกับข่าวดารามากๆ
“สร้างข่าวเรียกเรตติ้งให้ตัวเองแน่ๆ เลยอีแบบนี้ ดาราสมัยนี้มันแน่จริงๆ ว่ะ ลงทุนทำได้ทุกอย่างจริงจริ๊ง ว่าไหม?” อยู่ๆเจ้าของร้านก็ลดหนังสือพิมพ์ลงหันมาถามแม่แก้ว ที่ได้แต่ยิ้มปูเลี่ยนๆ
“วันนี้เอามาส่งแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ”
เจ้าของร้านสังเกตมองแจกันอย่างจริงจัง
“ว้าย! วันนี้สวยจัง ฝีมือทำดอกไม้จัดแจกันของแม่แก้วนี่ชั้นครูจริงๆ ฉันอุตส่าห์วางปะปนกับแจกันฝีมือของคนอื่น แต่ลูกค้าก็เลือกซื้อแต่ของแม่แก้วไปทุกที แจกันอันอื่นเลยขายไม่ออกเลย”
“ขอบใจจ้ะที่ขายออก”
“แต่ทำไมทำมาน้อยห๊ะ ไม่ทันใจเจ๊เลย”
“ไม่ค่อยมีเวลาน่ะจ้ะ ยุ่งๆ อยู่กับเด็ก เดี๋ยวก็ป่วยไม่คนโน้นก็คนนี้ นี่ก็ต้องพาโต้ไปหาหมออีกแล้ว” แม่แก้วพูดพลางลูบหัวเด็กชายที่พามาด้วย
เจ้าของร้านเหมือนไม่อยากฟัง ควักเงินส่งให้
“เฮ่อ...มีเงินมีทองก็เอาไปเลี้ยงลูกคนอื่นจนหมด ขนาดพ่อแม่มันยังไม่เลี้ยง แล้วจะเอามาเป็นภาระทำไม ไม่ส่งให้พวกสถานสงเคราะห์เค้าเอาไปดูแลล่ะ เจ้าของร้าน อ่ะ...ค่ายาเด็ก!”
“ขอบใจนะเจ๊ ฉันไปล่ะ” แม่แก้วเดินออกจากร้านไป ส่วนเจ้าของร้านมองตามแล้วส่ายหน้า

เมื่อแม่แก้วออกมาจากร้าน ก็หันมานั่งยองๆลง ลูบหัวพูดกับโต้
“ไม่ต้องไปฟังเจ๊เค้าพูดนะลูก พ่อแม่หนูก็แม่นี่ไง” แม่แก้วเอ่ย
“ครับแม่”
แม่แก้วยิ้ม
“ไป! แม่พาไปหาหมอนะ หนูจะได้หายป่วยไวๆไงลูก” เธอพูด ก่อนจะลุกขึ้นเดินจูงลูกชายไปไป

รุ่งเช้าวันใหม่ พราวนอนอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น สีหน้าอิดโรยแต่ดูมีเลือดฝาดกว่าตอนที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล
พราวค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องของโรงพยาบาล โต๊ะข้างเตียงมีช่อดอกไม้ ของเยี่ยม ที่คนส่งมาเยี่ยมวางอยู่มากมาย
ตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งติดป้าย “รักและห่วง หายไวๆ นะพี่พราว” จากแฟนคลับ “Power Proud”
พราวกลอกตาคิด แล้วจำได้ทันที สีหน้าพราวยังตระหนกไม่หายกับการถูกยิงที่ไม่คาดฝัน ขยับมือไปที่จับสีข้าง ก็พบบาดแผลที่มีผ้าพันแผลไว้ พราวนิ่วหน้า เพราะรู้สึกปวดแผลแปล๊บ
“ฉันยังไม่ตาย!” พราวเอ่ยขึ้น
แฟรงค์เดินออกจากห้องน้ำมาพร้อมกระเป๋าเครื่องสำอาง เมื่อเห็นพราวฟื้นก็ดี๊ด๊า
“แอร๊ยย แม่เจ้า! พราวรู้สึกตัวแล้ว ไม่เสียแรงที่พี่บนบานศาลกล่าว ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่ช่วยคุ้มครองหนู” แฟรงค์ปรี่เข้ามากอด
“ก็แหงล่ะซิ ถ้าหวังให้ตำรวจช่วย ป่านนี้พราวคงไม่รอด” พราวว่า
แฟรงค์ผงะขึ้นจากตัวพราว เงยหน้ามองอย่างตกใจ
“อุ๊ตะ! นี่หนู....เพิ่งฟื้น ก็จำได้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนู” แฟรงค์ถาม
“ไม่ใช่แค่จำได้ว่าเกิดไรขึ้น พราวจำหน้าไอ้ตำรวจที่กระชากลากถูพราววิ่งจนไปถูกยิงได้แม่นเลย!” พราวบอกสีหน้าแค้น “พราวจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”
แฟรงค์เสียวไส้แทน ตอนนั้นนั่นเองที่มีเสียงดังเอะอะขึ้นที่นอกห้อง
“เข้าไปไม่ได้นะคะคุณ! เข้าไม่ได้!” เสียงพยาบาลดังเข้ามา
“โฮ่ย...สงสัยนักข่าวจะบุกมาอีกแระ” แฟรงค์เซ็ง
พราวหันไปมองที่ประตู
“เข้าไม่ได้ค่ะ คุณหมอไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมคุณพราวนะคะคุณ” พยาบาลห้ามเสียงดัง
“เอ๊ะ!ฉันเป็นแม่เลี้ยงเค้า ทำไมฉันจะเยี่ยมไม่ได้ยะ หลีก! อย่ามาขวางทางฉันนะ หูหนวกหรือไง บอกให้หลีก” เป็นเสียงของ “วารี” นั่นเอง
“หล่อนจะแหกปากโวยวายทำไมห่ะวารี พูดจากับพยาบาลเค้าดีๆซี” ป้าอรพูด
“ยังกับพูดดีแล้วจะให้เข้างั้นแหละ ทำอะไรไม่ได้ ก็หุบปากไปเลยยัยป้า”
“นังวารี! นี่แกด่าฉันเหรอห๊ะ”
“เออ! ก็อยากปากมากทำไมล่ะ”
“นังนี่!” ป้าอรเงื้อมือ พีค รีบขวางก่อนที่สองคนจะลงไม้ลงมือกัน
“โฮ่ย! แม่กับป้าเลิกเถียงกันได้ม่ะ พีค เครียด เข้าใจปะ เพื่อนมันไลน์ทวงตังค์พีคในกรุ๊ปไม่หยุดเลยเนี่ย พีคอยากตายจุงเบย” พีคบ่นใหญ่
“โอ๋ๆ หลาน ไม่เอานะอย่าพูดเรื่องตายอย่างงั้น เดี๋ยวให้พี่พราวช่วยนะ ป้าจะช่วยพูดให้เอง หลานรักของป้า ไม่ต้องห่วงนะลูก นี่หล่อน...เดินให้มันเร็วๆ สิ เห็นไหมว่าลูกหล่อนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว” ป้าอรพูด
ทั้ง 3 เดินโวยวายจนมาถึงหน้าประตูห้องพักฟื้นพราว 
“ก็ดูซี ยัยพวกนี้ขวางทางฉันอยู่ได้ หลีกไปสิ เป็นพยาบาลก็ไปผ่าไส้-โน่นไป อย่ามาทำงามไส้แถวนี้ ไปๆๆๆ
“ถ้าพวกคุณอยากจะเยี่ยม ก็รอให้เราขออนุญาตหมอก่อนสิคะ เดี๋ยวฉันจะโทรขอหมอให้”
แฟรงค์เปิดประตูห้องออกมาดู
“เสียงโวยวายป่าช้าแตกอะไรกันข้างนอกนี่ พราวจะพักผ่อน อุ้ย!” แฟรงค์ตกใจที่เห็น วารี ป้าอร และ พีค ยืนเรียงเป็นพระอันดับอยู่หน้าห้อง โดยมีพยาบาลยกมือกั้นไว้ไม่ให้เข้าถึงประตู

“คุณแฟรงค์! ฉันจะเยี่ยมลูกฉัน!” วารีบอกเสียงหวาน

พราว ตอนที่ 1 (ต่อ)

พราวนอนหน้าเซ็ง เม้งแตกอยู่บนเตียง มองวารีที่ตีหน้าห่วงปรี่เข้ามาหาที่เตียงก่อนใคร

“หนูพราว! เป็นไงบ้างหนู ดูซี หน้าซีดหน้าเซียว น่าสงสารจริงจริ๊ง” วารีกรีดนิ้ว 2 มือจับ 2 แก้มพราว แต่พราวเบือนหน้าหนี
“น้ามาสงสารหนูเรื่องอะไร” พราวหน้าตึง
“อ้าว...ก็หนูถูกยิงอ่ะ น้าบอกแล้วว่าวงการมารยา มันมีแต่คนอิจฉาริษยามันจอมปลอม ปากก็บอกว่าเลิฟกัน แต่พอดังข้ามหน้าข้ามตาหน่อยก็จ้างมือปืนมากำจัด เรื่องจริงมันยิ่งกว่านิยายซะอีก” วารีว่าเป็นตุเป็นตะ
“น้าเอาเรื่องไร้สาระไรมาพูดเนี่ย!” พราวฉงน
“เออ นั่นสิ ข่าวในทีวีก็บอกอยู่ว่าพราวถูกลูกหลง ไม่รู้จักดูคงดูข่าวซะมั่ง วันๆ เอาแต่จับกลุ่มนินทากับพวกไฮโซไฮซ้อปลอมๆ มีแต่เปลือก” ป้าอรเอ่ยขึ้น
“ทำไมฉันจะไม่ดู ข่าวมั่วน่ะซิ เค้าซุบซิบกันให้แซดว่าพราวถูกใบสั่งจากดาราคู่แข่งย่ะ หัดออกไปเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอกซะบ้างนะป้าไม่ใช่เอาแต่เฝ้าสมบัติที่เหลือแต่บ้านเก่าๆ อยู่แค่หลังเดียะ” วารีจีบปากจีบคอโต้
“บร๊ะเจ้า! เปิดศึกกันอีกแล้ว” แฟรงค์ยืนปิดหูทำตาปะหลับปะเหลือก
“หนอย! ก็ไอ้บ้านเก่าๆ หลังนั้นแหละ ที่หล่อนใช้ซุกหัวนอน ระวังตัวให้ดีฉันเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อไหร่ หล่อนจะกลายเป็นไฮโซขี้กลากอยู่ข้างถนนสมบูรณ์แบบ” ป้าอรด่า
“ไล่ฉันก็ไม่ไป บ้านหลังนั้นก็เป็นของพ่อพราวผัวฉันครึ่งนึงย่ะ” วารีย้อน
“ป้าอร! น้าวารี! หยุด ถ้าจะเถียงกันก็ออกจากห้องไป!” พราวโวยลั่น ทำหน้าเหลืออด “อู๊ย...” พราวออกแรงตะโกนมากก็เลยปวดแปล๊บที่แผล
“ว้ายตายแล้วพราว อย่าโมโหตามเค้าซี เดี๋ยวแผลก็อักเสบหรอก” แฟรงค์บอก
ป้าอรผลักวารีออกไป “หลีกไปสิยะ พราว...เป็นไงบ้างลูก ป้าใจคอไม่ดีเลยพอรู้ว่าหนูถูกยิง แต่ป้ารู้ว่าหนูต้องไม่เป็นไรหรอก หนูเป็นคนดี หนูต้องปลอดภัย พีคก็เป็นห่วงหนูมากนะ” ป้าอรหันไปดึงแขนพีค แล้วพูดว่า “เข้ามาปลอบพี่พราวซิพีค พี่พราวจะได้หายเร็วๆ”
“เอ่อ...หายเร็วๆ นะพี่” พีคพูดด้วยท่าทางเหมือนจำใจ
แต่พราวถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“คราวนี้แกไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
“แสนนึง” พีคตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อ่า…” ป้าอรจะแก้ตัวแทนหลานชาย แต่วารีสวนขึ้นซะก่อน
“แสนนึงที่ไหน 2 แสนต่างหาก น้องน่ะ ไปท้าดวลแข่งรถโกคาร์ทกับเพื่อน ถูกมันโกงจนแพ้”
“เลยต้องเสียค่าโง่ว่างั้นเหอะ” พราวเอ่ยต่อให้
“ค่าโง่อะไร ก็มันโกง” พีคเถียง
“ก็นั่นแหละ เค้าเรียกค่าโง่ยังจะเถียงอีก!” พราวด่า
พีคชักสีหน้า แววตารั้นเอาแต่ใจ ป้าอรรีบออกรับอย่างเคย
“พราว...น้องมันยังเด็ก อย่าไปว่าน้องเลย ช่วยน้องเถอะลูก ถ้าหนูไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย อีแม่มันก็ไม่ได้ความ”
“อ๊าย...เกี่ยวไรกับฉันล่ะ” วารีวี้ดที่โดนลูกหลง
“พอเถอะ ฉันไม่อยากจะฟัง! กลับไปให้หมด แล้วเดี๋ยววันนี้ พราวจะให้พี่แฟรงค์โอนเงินไปให้” พราวพลิกตัวหันหลังให้ เป็นการตัดบท พีคหันไปยิ้มดีใจกับวารี
“โอเคนะ ตามนั้นนะฮะ พราวอยากพักผ่อน!” แฟรงค์เอ่ยขึ้นเอือมๆ

ขณะนั้น เอมี่เพิ่งมาถึงโรงพยาบาล เปิดประตูเข้ามาในห้อง ในขณะที่แฟรงค์กำลังจัดข้าวต้มของป้าอรใส่ถ้วยให้พราวทาน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เอมี่ร้องขึ้น หน้าตื่นตกใจ
พราวกับแฟรงค์หันมามองอย่างเซ็งๆ
“โฮ่ย...ยังมีเรื่องไม่พออีกเหรอหล่อน อะไรอีกล่ะคราวนี้” แฟรงค์ถามเซ็งๆ
“ดูหนังสือฮอตช็อตมันลงหน้าหนึ่งฉบับวันนี้สิ” เอมี่ถือนิตยสาร Hot Shot เล่มล่าสุดเข้ามายื่นให้
“ดารา พ.กลัวตกอับ อัพเรตติ้งสร้างกระแส ลงทุนเจ็บจริง วิ่งผ่าดงกระสุนตำรวจไม่ใช้สแตนด์อิน ซูฮกจริ้ง...แม่คู้ณ!” แฟรงค์อ่านไปบ่นบ้าไป “อะไรเนี่ย มันใช้สมองส่วนไหนคิด”
“ไหนให้ฉันดู” พราวแย่งหนังสือไป แต่แฟรงค์ดึงไว้
“อย่าดูเลยพราว อย่าดู”
“เอามาสิ”
ยื้อยุดกันไปมา แต่สุดท้ายพราวก็กระชากไปจนได้
“ย๊าย!” แฟรงค์หงายหลัง เอมี่รับไว้ได้ทัน
ขณะที่พราวดูปกหนังสือ เธอเห็นเป็นรูปตัวเองเดินเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับแก๊งค้ายาที่ลานจอดรถซึ่งเป็นภาพสุดท้ายที่สุดเขตต์จับภาพถ่ายไว้ได้ ก่อนสุดเขตต์จะรีบแอบเข้าไปช่วยดึงพราวนั่นเอง พราวจำได้ทันที เธอกำจิกหนังสือแน่น
“คิดแล้ว! ว่านักข่าวคนนั้นต้องไม่หวังดี แอบตามถ่ายฉันทุกช็อตเลย ฮึ่ย!” พราวเขวี้ยงหนังสือลงกับพื้นอย่างโกรธเคือง แล้วตัวเองก็เจ็บจุกที่แผล
“เห็นไหม บอกแล้วว่าอย่าดูๆ ก็ไม่เชื่อ” แฟรงค์บ่น
“นอนพักผ่อนดีกว่านะพราว ข่าวนั่งเทียนเขียนแบบนี้ อย่าไปแคร์มันเลย” เอมี่ปลอบ
เอมี่รับเข้าไปประคองให้พราวนอนลง แต่พราวก็ยังโวยไม่เลิก
“ไม่แคร์ได้ไง ฉันหวิดตายจริงๆ ยังจะมาซ้ำเติมฉันอีก คอยดูนะฉันจะฟ้องทุกคนที่ลงข่าวดีสเครดิตฉัน ทั้งตำรวจทั้งนักข่าว ฉันจะเอาเรื่องให้หมด”
ตอนนั้นเองที่มือถือแฟรงค์ดังขึ้น แฟรงค์รีบปลีกตัวไปรับสายที่นอกระเบียงห้อง

“โฮ่ย...ใครโทรมาอีกนี่" แฟรงค์เก๊กเสียงแมน "ฮัลโหล แฟรงค์พูดฮะ นั่นใครฮะ? ผู้กำกับ!”

ผู้จัดการดาราชื่อดังงุนงงอยู่ตรงนั้น

ไม่นานต่อมา มีมือใครคนหนึ่งมาเคาะประตูที่ห้องพักฟื้นของพราว เคาะอยู่ 2 ครั้ง เป็นสหวุฒินั่นเอง แฟรงค์เปิดประตูออกมามอง เห็นผู้กำกับสหวุฒิที่โทร.มาก่อนหน้านี้ ยืนฉีกยิ้มหวานถือช่อดอกไม้พร้อมตำรวจอีก 2 นาย ขณะที่กองทัพนักข่าวที่อยู่ด้านหลังกดชัตเตอร์รัวทันที

“สวัสดีครับ ผมเป็นตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาขอเยี่ยมคุณพราวครับ” สหวุฒิยิ้มบอก
“เชิญครับ” แฟรงค์ผายมือแล้วหลีกทางให้ สหวุฒิกับตำรวจทั้ง 2 คนเดินเข้าไปในห้อง
พราวนอนเม้ง เมินหน้าหนีมองออกไปที่นอกระเบียง ไม่ยอมมองมาทางตำรวจ โดยมีเอมี่ยืนอยู่ข้างๆ เตียง
กองทัพนักข่าวกรูตามกันเข้าไป มีส้มจี๊ดแอบอยู่หลังสุดเขตต์ และคอยดันสุดเขตต์ให้เบียดคนอื่นออก เพื่อหามุมถ่ายรูปชัดๆ
“สวัสดีครับคุณพราว” สหวุฒิทักทาย
พราวยังนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนเอมี่ต้องฉีกยิ้ม สะกิดแขนบอกพราว
“เอ่อ...พราวยังเมายาสลบอยู่น่ะค่ะ พราวๆๆ คุณตำรวจเค้ามาเยี่ยมแน่ะ” เอมี่ว่า
พราวจำต้องข่มความโกรธ เธอคว้าแว่นกันแดดมาใส่ หันไปยิ้มแอ็คติ้งเฟคใส่
“สวัสดีค่ะ” พราวทักตอบ
เหล่านักข่าวกดชัตเตอร์ระรัวทันทีที่พราวหันมา
ส้มจี๊ดสะกิดแขนให้สุดเขตต์รีบถ่าย สุดเขตต์สะบัดอย่างรำคาญ ก่อนหันไปถ่ายรูป
“ผมพันตำรวจเอก สหวุฒิ ศรีบัญชา ในฐานะหัวหน่วยปฏิบัติการเข้าจับกุมแก๊งยาบ้าในวันนั้น ขอแสดงความเสียใจและขอโทษด้วยครับที่ทำให้คุณพราวได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานของตำรวจในครั้งนั้น”
“ผู้กำกับยืนยันใช่ไหมคะ ว่าการทำงานของตำรวจในวันนั้นเป็นความลับ?”
“ออ...ยืนยันครับ”
“เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะที่พราวจะรู้ล่วงหน้า แล้วเตรียมการอัพเรตติ้งตัวเองด้วยการเดินเว่อร์ๆเข้าไปให้โจรยิง?”
“เป็นไปไม่ได้ครับ คนที่มีชื่อเสียงอย่างคุณพราว จะเอาตัวเองเข้าเสี่ยงทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง กระสุนปืนไม่เข้าใครออกใครนะครับ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา นั่นหมายถึงชีวิต”
พราวยิ้มพอใจ แต่ส้มจี๊ดแอบเบ้ปากเจ็บใจ
“เอ่อ ซึ่งในการปฏิบัติการครั้งนี้ เราก็ได้สูญเสียตำรวจไป1นาย”
“เหรอคะ! พราวเสียใจด้วยค่ะ แล้วก็ขอบคุณผู้กำกับมากค่ะที่ตอบคำถาม”
แฟรงค์หันไปพูดกับกลุ่มนักข่าว
“ที่นี้เคลียร์แล้วนะครับ ว่าพราวไม่ได้จงใจเดินเข้าไปรับกระสุนเพื่ออัพเรตติ้งตัวเอง อย่างที่หนังสือHot Shot ฉบับนี้ใส่สีตีข่าวไปเมื่อเช้า!!” แฟรงค์พูดพลางชูหนังสือขึ้น
เป็นเรื่อง! บรรดานักข่าวทั้งหมดหันขวับไปมองที่ส้มจี๊ดที่หลบอยู่หลังสุดเขตต์เป็นตาเดียว
พราว เอมี่ และแฟรงค์มองตามสายตาไปทันที สุดเขตต์อึ้ง ค่อยๆ ลดกล้องในมือลง หน้าเหวอ ขณะที่ส้มจี๊ดกวักมือไล่นักข่าวคนอื่นๆ
“มองฉันทำไม หันไปสิ”
พราวลุกขึ้นนั่งทันที ถอดแว่นดำออก โกรธจัด ชี้ไปที่สุดเขตต์
“นายจิ๊กโก๋!”
“ผมชื่อสุดเขตต์ครับ ผมเป็นคนอุ้ม…”
“ฉันไม่สนว่านายชื่ออะไร คนนี้แหละค่ะผู้กำกับที่แอบถ่ายรูปฉันแล้วไปเขียนข่าวใส่ร้ายป้ายสีฉัน”
“ผมไม่ใช่นักข่าว เค้าจ้างผมมาเป็นตากล้อง ผมทำตามหน้าที่ เรื่องเขียนข่าวคุณถามคนนี้ดีกว่า”
สุดเขตต์หลบฉากออก ทำให้ส้มจี๊ดที่หลบอยู่ด้านหลัง ยืนเด่นเป็นสง่า
“เธอเข้ามาทำไม ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้เธอมาทำข่าวฉันอีก ออกไปๆๆๆ” พราวโกรธจนสติแตก ตะโกนไล่ลั่น
“ว้าย...แม่เจ้า...พราวใจเย็นๆ อย่าอาละวาดสิหนู” แฟรงค์ปราม
“ฉันบอกให้ออกไป ออกไปให้หมด ฉันอยากอยู่คนเดียว!” พราวเหวี่ยง ตะเพิดไล่
ส้มจี๊ดยังมีแก่ใจสั่งสุดเขตต์ถ่ายช็อตนี้
“ถ่ายรูปไว้สิ...ถ่ายเลย...ถ่าย”
“ถ่ายไม่ได้นะ อย่าถ่าย เชิญทุกคนออกไปค่ะ คุณนักข่าวออกไปสิ” แฟรงค์ว่า
“เชิญผู้กำกับด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม” เอมี่เอ่ย
แฟรงค์กับเอมี่ช่วยกันต้อนทั้งตำรวจทั้งนักข่าวหน้าหงายออกจากห้องไปแล้วปิดประตู จนทุกอย่างเงียบลง เหลือพราวคนเดียวที่นั่งกุมขมับอย่างเครียดๆ

ตำรวจ 2 นายเดินหิ้วปีกสุดเขตต์ออกมา ตามคำสั่งของสหวุฒิที่เดินตาม ในขณะที่ส้มจี๊ดแอบด้อมๆ มองๆ ตามหลังมา
“จะหิ้วผมไปไหนคุณตำรวจ ผมทำอะไรผิด?” สุดเขตต์ถามเซ็งๆ
“ปล่อยได้แล้ว! เอากล้องมา” สหวุฒิบอก
ตำรวจทั้ง 2 นายปล่อย แล้วแย่งกล้องจากมือสุดเขตต์ส่งให้นาย
“เฮ้ย! นั่นเครื่องมือทำมาหากินของผม ผมทำมาหากินสุจริตนะคุณ” สุดเขตต์จะเข้าไปแย่งคืนจากสหวุฒิ แต่ถูก 2 ตำรวจยืนขวางไว้ ขณะที่สหวุฒิเปิดกล้องดึง SD การ์ด ออกมาจากกล้องพลางพูด
“คุณหากินสุจริต แต่เที่ยวเขียนข่าวโคมลอยไม่เป็นความจริง ทำลายชื่อเสียงคนอื่นเค้า มันไม่ถูกนะครับ ถ้าคุณพราวจะเอาเรื่องจริงๆ เธอแจ้งความจับคุณข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ เอาของคุณคืนไป”
สหวุฒิคืนกล้องให้สุดเขตต์
“ผมเห็นแก่ความดีของคุณ ที่ช่วยคุณพราวตอนเธอถูกโจรล็อคตัวเอาไว้ ครั้งนี้ผมจะแค่ริบMemory Card ไป เป็นการตักเตือน ยังไงก็อย่าเล่นข่าวกับคราวเคราะห์ของคุณพราวให้มาก คนกำลังเจ็บ เห็นใจเธอหน่อย” สหวุฒิกล่าวเป็นเชิงตำหนิ
“เอ่อผม…” สุดเขตต์อยากบอกว่าเขาไม่ได้อยากทำ
แต่สหวุฒิกับตำรวจทั้ง 2 นายก็เดินผละไปลิบแล้ว
สุดเขตต์ได้แต่ยืนเซ็ง ล้วง SD การ์ด อันที่เขาแอบสับเปลี่ยนกับในกล้องออกมาดู แล้วหันกลับเดินผละไป
ขณะที่ตำรวจทั้ง 3 เดินผ่านตรงที่ส้มจี๊ดแอบมองอยู่ ส้มจี๊ดฉากหลบ หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ข้างเก้าอี้กางทำเป็นนั่งอ่าน รอจนตำรวจเดินผ่านไป หันกลับไปมองสุดเขตต์ แต่เขาหายไปแล้ว
“อ้าวเฮ้ย ไอ้สุดเขตต์!” ส้มจี๊ดรีบลุกออกตามหา

พราวนอนตะแคงอยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วย มีเสียงสะอื้นเบาๆ พราวทั้งเจ็บและว้าเหว่ รู้สึกทุกสิ่งรอบตัวและผู้คนกำลังรุมเล่นงานเธอ
“เวรกรรมอะไรของ พราว พิชญาดา เนี่ย เดินอยู่ดีๆ ก็ไปตกอยู่ในวงล้อมโจรกับตำรวจกำลังดวลปืนกัน แล้วทำไมแกต้องมายิงฉัน ฉันไปทำอะไรให้แกห๊ะไอ้บ้า ฉันถ่ายแบบเล่นละคร ไม่เคยไปค้ายากับพวกแกด้วยนะ”
ระหว่างที่พราวนอนหันหลังให้ประตูพร่ำพรรณนาโศกาอยู่คนเดียว ประตูค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
ใครคนหนึ่งเดินเข้าห้องมาอย่างเงียบกริบ มือคว้าดอกกุหลาบดอกหนึ่งจากแจกันดอกไม้ข้างๆ แล้วเดินตรงไปที่เตียง
“ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว ยังมาถูกนักข่าวซ้ำเติม ว่าหาเรื่องไปกินลูกปืนสร้างกระแสอีก ไอ้คนที่บ้านมาเยี่ยมก็ขอแต่เงินๆๆๆ มีใครสักคนถามฉันบ้าง...ว่าฉันเจ็บไหม...ฮือๆๆ”
“เจ็บไหม?” เป็นเสียงสมชายที่ถามขึ้นมา
“ห๊ะ!” พราวตกใจหันมามอง เห็นเป็นสมชายยืนหล่ออยู่
“คุณ!” พราวมองอย่างจำได้ แต่สมชายยื่นดอกกุหลาบให้ดอกหนึ่งด้วยสีหน้าเห็นใจจริงๆ
“หายเร็วๆ นะคุณ”
“คิดว่าเอาดอกไม้มาล่อ แล้วฉันจะ...โอ๊ย!”
พราวยันตัวลุกขึ้นนั่งจะเอาเรื่องสมชาย แต่ดันเจ็บแผลแปลบจี๊ดขึ้นสมอง ทรุดจะล้มลงไปอีก สมชายรีบเข้าไปประคองไว้
“โอ๊ะ! ระวังคุณ ลุกขึ้นมาทำไมแผลปริรึปล่าวเนี่ย คุณคงจะเจ็บมากล่ะสิ” คำถามของสมชาย ทำให้บ่อน้ำตาพราวแตกโพละ
“เจ็บสิ เกิดมา ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาถูกยิงแบบนี้ ตอนที่เห็นเลือดแดงสดๆ ฉันคิดเลยนะ ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ฮือๆ” พราวสะอื้นฮักเหมือนเด็กๆ ทำให้สมชายคิดไปถึงภาพวิทย์ทันที
สมชายรู้สึกสะเทือนใจ เผลอกอดพราวปลอบ น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเป็นครั้งแรก
“ผมขอโทษ …ผมขอโทษ”
การสะอื้นของสมชายทำเอาพราวแปลกใจจนหยุดสะอื้นและได้สติ
“เอ่อ...นี่คุณ...คุณร้องไห้เพราะสงสารฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ปล่าว ผมร้องไห้ให้เพื่อนผม เพื่อนผมตาย”
“ไอ้บ้า! เพื่อนคุณตายแล้วเกี่ยวไรกับฉัน ปล่อยนะ! เอาตัวสกปรกของคุณออกไปจากฉัน”

พราวเม้งใส่ทันที และดันอกสมชายผงะออก

สมชายได้สติ รีบกรีดน้ำตาทิ้ง รู้สึกเสียฟอร์มที่มาร้องไห้ให้ให้พราวเห็น กลับมาสูดจมูกเก๊กมาดเข้มเหมือนเดิม

“ใช่สิ เพื่อนผมตายไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ แต่ผมกลับต้องมาขอโทษคุณทั้งๆ ที่คุณก็มีส่วนเกี่ยวทำให้เพื่อนผมต้องตาย”
“พูดวกไปเวียนมาอะไรของคุณเนี่ย ฉันไปเกี่ยวไรกับเพื่อนคุณตายห๊ะ” พราวพูดงงๆ
สมชายจะตอบสวน แต่รูจมูกตัน เลยยกมือชี้ไปที่พราวประมาณว่า...เดี๋ยวก่อนๆ...พลางหันไปคว้าทิชชู่มาสั่งขี้มูกปู้ด
“อี๋ย!” พราวทำหน้าขยะแขยง

สุดเขตต์เดินมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล คว้าหมวกกันน็อคจะใส่ แต่ส้มจี๊ดวิ่งตามมา
“เดี๋ยวไอ้สุดเขตต์ แกจะไปไหน”
“ไปติดคุกมั้ง ข้อหาเขียนข่าวมั่ว”
“นี่แกจะประชดฉันเพื่อ”
“แล้วไมแกเขียนข่าวอย่างงั้นวะ”
“แฉเบื้องลึกเบื้องหลังดารามันเป็นงานของฉันเว้ย”
“อ๋อเหรอ ฉันก็เลยซวย พลอยสมรู้ร่วมคิดไปกับแกด้วย”
สุดเขตต์ชี้นิ้วจิ้มหน้าผากส้มจี๊ด ส้มจี๊ดปัดมือ
“แกมีหน้าที่ถ่ายรูปชัดๆให้ฉันก็ถ่ายไปเซ อย่าลืมว่าแกรับค่าจ้างจากสำนักพิมพ์ฉันไปแล้วทั้งก้อน หรือว่า...แกไม่มืออาชีพพอ เจอแค่นี้ก็จะถอย อ่อนว่ะ!”
“ไอ้ส้มจี๊ด!” สุดเขตต์ใช้หมวกดันส้มจี๊ดเบาๆอย่างหมั่นไส้
“โอ๊ย...เจ็บนะเว้ย”
“เอารูปตอนที่ตำรวจมาขอโทษของแกไป ฉันล่ะสงสารคุณพราวจริงๆที่มาเจอนักข่าวอย่างแก” สุดเขตต์ยื่นการ์ดให้ แล้วใส่หมวกซิ่งมอเตอร์ไซค์ออกไป ส้มจี๊ดยืนโวยตามหลัง
“เห็นสวยเซ็กซ์ล่ะซิ ถึงไปสงสาร โธ่เอ๊ย...ผู้ชายก็เป็นเงี้ยะทุกคน ยัยนั่นน่ะนางร้ายชัดๆ ไม่ใช่นางเอกอย่างที่สร้างภาพหรอกจะบอกให้”

อีกด้านหนึ่งที่ห้องพักผู้ป่วย สมชายถือวิสาสะเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมากระดกดื่มอย่างเจ็บใจ
“ปฏิบัติการของผมเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว ผมวิ่งไล่ยิงรถมันจนรถมันมาจนมุม แต่แล้ว…” สมชายเริ่มเล่า
“แต่แล้วอะไร” พราวถาม
สมชายวางกระแทกขวดน้ำหันขวับมาสวนพราว
“แต่แล้วก็มีดาราอย่างคุณโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาไง! สถานการณ์ก็เลยพลิก โจรมันกลับมาเป็นต่อตำรวจก็เพราะคุณ”
“แล้วฉันจะไปตรัสรู้ไหมล่ะว่าพวกคุณเล่นอะไรกันอยู่”
“เล่นรายการดาราหน้าเหวอไง แบร่ๆๆๆๆๆๆ แม่ดาราใหญ่ แม่ซุปเปอร์สตาร์! คิดได้ยังไง ว่าเค้าถ่ายรายการกันอยู่”
“ก็ฉันไม่ใช่ตำรวจฉลาดๆอย่างนายนี่ เที่ยวมาไล่ยิงกับโจรที่ห้าง ถ้าฉันฉลาดกว่านี้อีกนี้ด ฉันคงไปสอบเป็นตำรวจหญิงแล้วล่ะ”
สมชายฉุน เดินเข้าไปตะปบ 2 แขนที่เตียงจนเกือบเป็นคร่อมตัวพราว
“คุณอย่ามาดูถูกตำรวจนะ!”
พราวจ้องหน้า สู้ไม่มีถอย
“คุณก็อย่ามาดูถูกดารา!”
“รู้ไหม เรื่องนี้จบยังไง!”
“ฉันก็ถูกยิงนี่ไง!”
“เพื่อนคู่หูผมตาย! โจรมันหนีลอยนวลไปได้คนนึง แล้ว...แม่ลูกคู่นึงก็ต้องขาดเสาหลักของครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ”
พราวอึ้ง อ้าปากค้าง เถียงไม่ออก มองจ้องตาของสมชาย ราวกับเห็นภาพเสียใจในดวงตาคู่นั้น

ภาพเหตุการณ์ในความทรงจำเมื่อวานของสมชายผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด ตอนนั้นเขาเดินไปที่บ้านของวิทย์แล้วต้องหยุดยืนมองอย่างเสียใจ เมื่อเห็นดารกาสวมชุดดำเดินร้องไห้จูงน้องป๊อบออกมาจากบ้าน ในมือของน้องป๊อบกอดตุ๊กตาผ้าที่วิทย์เลือกและสมชายซื้อให้ในคืนก่อนนั้น
ดารกาหยุดยืนมองสมชายอย่างโกรธเคือง ขณะที่น้องป๊อบเห็นสมชายก็ดีใจไม่รู้ประสีประสา
“อาชายครับ!” น้องป๊อบจะวิ่งเข้ามาหาสมชาย แต่ดารกาดึงมือลูกไว้ ทำให้สมชายนั่งยองลงอ้าแขนรอเก้อ
“ไม่ต้องไปลูก อยู่กับแม่!”
“แล้วพ่ออยู่ไหนครับ”
“พ่อเหรอ…”
ดารการ้องไห้ออกมา น้องป๊อบมองงง
“แม่ร้องไห้ทำไมครับ”
“ไปเถอะลูก แม่จะพาไปหาพ่อ”
ดารกาเดินจูงน้องป๊อบผ่านสมชาย เขายื่นมือขวางหยุดเธอไว้
“เดี๋ยวครับคุณดา วิทย์ฝากผมให้ช่วยดูแลคุณกับน้องป๊อบ ให้โอกาสผมได้ทำตามคำสั่งเสีย…”
ดารกาสวนขึ้น “ฉันไม่ต้องการอะไรจากคุณ ที่ฉันต้องการคือให้คุณเอาชีวิตพี่วิทย์กลับคืนมา คุณทำได้ไหม”
“ผม...ผมเสียใจ…”
“คุณทำไม่ได้ ก็อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรา 2 แม่ลูกอีก!” ดารกาจูงน้องป๊อบเดินไป สมชายได้แต่หันมองตาม ตาแดงก่ำ

สมชายดังตัวเองกลับมา ตายังจ้องพราวอยู่ แววตาสมชายจมดิ่งอยู่กับความเสียใจ
“ผมอยากรับผิดชอบครอบครัวนั้น…”
“มันเรื่องของคุณ...นายม๋าต๋า! มาบอกฉันทำไม เอาหน้าเน่าๆ ของนายไปให้พ้น!”
พราวใช้ฝ่ามือดันหน้าสมชาย แต่สมชายคว้ามือพราวมาจับไว้
“อ๊าย! คุณจะทำอะไรฉัน อย่านะ”
“ผมไม่พิศวาสคุณหรอกยัยซุปเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่ง แต่ผมต้องการหาคนรับผิดชอบเรื่องนี้!”
“หึ คุณก็เจอแล้วไง ทำไมต้องหาให้เหนื่อยอีกห่ะ”
“คุณใช่ไหม”
“คุณต่างหากที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งที่ทำให้ฉันถูกยิงแล้วพาเพื่อนตัวเองไปตาย คุณคนเดียวที่ทำพลาดทั้งหมดได้ยินไหม ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่มีหน้าเป็นตำรวจต่อหรอก ฉันจะลาออกไปบวชเดี๋ยวนี้!”
“ว่าไงนะ!”
สมชายโกรธมาก จับ2มือพราวบีบอย่างลืมตัว พราวตกใจร้องลั่น
“ปล่อยฉันนะ!”
ทันใดนั้น ติณห์เปิดประตูผัวะเข้ามา โดยมีแฟรงค์กับเอมี่ตามหลังมาด้วย
“นี่หยุดนะ!” ติณห์ห้าม
“ว้ายตายแล้ว ใครอ่ะ!” เอมี่ร้อง
“ช่วยด้วยค่ะตำรวจ มีคนบุกรุก” แฟรงค์โวยวาย
“ไม่ต้องเรียกหรอก ผมนี่แหละตำรวจ” สมชายปล่อยมือพราวแล้วหันมาบอก แฟรงค์กับเอมี่มองหน้าสมชายค้าง เพราะจำได้ พราวคว้าหมอนปาใส่สมชาย
“ไอ้ทุเรศ...ออกไปให้พ้นนะ...ออกไป๊” สมชายรับหมอนไว้ได้ ปัดๆ แล้วยัดใส่ติณห์
“ฮู้ว!เจ้าชายขี่ม้าขาว หน้าตาเป็นอย่างงี้เองเหรอ เหอะ! นึกว่าจะมีแต่ในนิยายซะอีก”
ติณห์คว้าหมอน มองจ้องหน้าสู้ตากับสมชาย
“ถ้ายังไม่ออกไปนะ ฉันนี่แหละจะร้องเรียนกับหน่วยงานของคุณให้ไล่คุณออก!”
“นี่ไง! ผมถึงบอกว่าคุณเป็นนางร้าย ไม่ใช่นางเอก!” สมชายพูดแล้วสมชายก็เดินหน้าเยาะๆ ออกจากห้องไป พราวจะกรี๊ดออกมา แต่เห็นติณห์เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงก็เลยยั้งตัวเองไว้
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครครับ เค้าทำอะไรคุณรึปล่าวครับคุณพราว”

ขณะเดียวกัน เจ๋งกำลังหยิบเงินเป็นฟ่อนจากการค้ายาที่ซ่อนไว้ในโกดังยัดใส่กระเป๋าเป้อย่างเร่งรีบ เขาเปิดลังไม้หยิบปืนพร้อมกระสุนมาใส่กระเป๋า กวาดเอกสารโพยหลักฐานต่างๆลงถังน้ำมันขนาดใหญ่ เจ๋งหยุดยืนมองแผลถูกยิงที่แขนฝีมือของสมชาย ขบกรามอย่างแค้น
“กูจะกลับมาล้างแค้นมึงให้พี่ชายกู ไอ้สมชาย!” เจ๋งเอ่ยขึ้นอย่างอาฆาตแค้น ก่อนจะจุดไฟแช็คโยนใส่ถังน้ำมัน

ไฟลุกพรึบเผาผลาญหลักฐานทั้งหมด จากนั้นเจ๋งก็สะพายเป้วิ่งออกไปทางหลังโกดัง

ที่ห้องพักผู้ป่วยตอนนี้ ติณห์กำลังคุยหวานอยู่กับพราว

“นั่งๆนอนๆอยู่บนเตียง คุณพราวอาจจะเบื่อ ลงมาเดินสักนิดไหมครับ ผมจะช่วยพยุงเอง” ติณห์ว่า
“เอ่อ...ก็ดีค่ะ นอนอยู่อย่างงี้ พราวกลัวจะเป็นง่อยเหมือนกัน” พราวลุกขึ้น โดยมีติณห์จับมือโอบหลังคอยประคอง
“ค่อยๆนะครับ...ช้าๆ…”
แฟรงค์กับเอมี่หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม
“อุ้ย!” พราวเซตอนหยั่งขาลงจากเตียง
“โอ๊ะ...ระวังครับ!” ติณห์รับโอบพราวไว้ในอ้อมแขน
ทั้ง 2 อึ้งมองหน้ากันชั่วครู่ ส่วนแฟรงค์กับเอมี่สะกิดตีกันเบาๆ
“ฟินอ่ะ” แฟรงค์พูดเบาๆ
“ลองดูนะครับ เดินไหวไหม” ติณห์ถาม
“ค่ะ” พราวค่อยๆเดินไปที่ประตูระเบียง โดยมีติณห์จับมือคอยประคองให้
“เฮ่อ อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆจัง” พราวบ่น
“ห่วงงานใช่มั้ย พี่ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว ทั้งกองละคร ทั้งโฆษณา ทั้งงานโชว์ตัวโทรมาจิกๆๆทั้งวัน นั่นไง พูดถึงก็โทรมาเชียว อุ้ย!จะโทรอะไรกันนักกันหนา ก็บอกไปแล้วว่าพราวยังป่วยอยู่…ยังป่วยอยู่” แฟรงค์พูด
พราวฟังแล้วเซ็ง เสียอารมณ์ทันที
“แหม...แต่ถ้าคุณติณห์มาเยี่ยมบ่อยๆ พราวก็คงจะหายเร็วขึ้นเนอะ” เอมี่แซง
“นั่นน่ะสิ ฮิๆๆ” แฟรงค์เสริม
“พี่แฟรงค์! เอมี่! 2คนนี่ เดี๋ยวเหอะ! คุณติณห์กับพราวเอ่อ...เพิ่งจะรู้จักในฐานะคนร่วมงานกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ทำไมพูดอย่างงั้น”
ติณห์หันมายิ้มให้พราว เขารู้ดีว่าพราวยังไว้ฟอร์มกับเขา ไม่ยอมเซย์เยสกับเขาง่ายๆถ้าไม่ทุ่ม
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณพราว ผมสัญญาว่าจะมาเยี่ยมทุกวัน จนกว่าคุณพราวจะกลับบ้านได้นะครับ”
พราวหันมายิ้ม ผละตัวออกจากมือของติณห์อย่างเนียนๆ
“อุ้ย ท่าทางคุณติณห์จะงานยุ่ง ไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“ใช่ครับผมงานยุ่ง แต่สำหรับคุณพราว ยุ่งแค่ไหน ผมคงมีเวลาให้ได้”
พราวอึ้ง เธอยิ้มเขินๆ
“เอ้...ทำไมยังไม่มาอีก” ติณห์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ใครจะมาเหรอคะ” พราวสงสัย
“นั่นน่ะสิ คุณติณห์รอใครเหรอ” แฟรงค์ถามขึ้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นั่นไงครับ คงจะมากันแล้ว”
เอมี่เดินไปเปิดประตู เห็นพนักงานส่งดอกไม้ยืนถือช่อกุหลาบสีชมพูขนาดใหญ่ 3 ช่อเข้ามา
“มาส่งดอกไม้คร้าบ”
พราวปิดปากดีใจ
“ว้าว! กุหลาบสีชมพู สีโปรดของพราว คุณติณห์สั่งมาให้พราวเหรอคะ”
ติณห์รับช่อดอกไม้ช่อหนึ่งมายื่นให้ แล้วเอ่ยว่า
“ขอให้คุณพราวหายเร็วๆ นะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณติณห์” พราวรับดอกไม้มาอย่างปลื้มสุดๆ ก้มลงดมดอกกุหลาบ
ติณห์ยืนมองอย่างพอใจ ที่สามารถขยับเข้าใกล้หัวใจพราวได้อีกคืบหนึ่งแล้ว

หลายวันต่อมา
“อร๊ายยย...คุณพราวกลับมาแล้ว!”
เสียงต้อยติ่ง สาวใช้ประจำคฤหาสน์ พราวแสง ซึ่งเป็นบ้านปั้นดาวสำหรับเด็กในสังกัดของแฟรงค์ กรีดร้องขึ้นอย่างดีใจ
พร้อมกันนั้น ต้อยติ่งกางป้ายผ้าออก...เห็นตัวหนังสือตัดแปะมีรูปถ่ายต้อยติ่งคู่กับพราวเขียนว่า
“ขอต้อนรับพราวกลับบ้าน จากต้อยติ่งแฟนคลับหมายเลข 1”
รถตู้แล่นเข้ามาจอด แฟรงค์เปิดประตูลงจากรถมาโวยก่อน
“มัวแต่ถือป้ายอยู่นั่นแหละแม่ต้อยติ่ง เว่อร์ขั้นเทพธิดาจริงๆหล่อนเนี่ยะมาช่วยกันเร็วๆ”
“ไปแล้วค่า” ต้อยติ่งวางป้ายรีบเข้าไปช่วยแฟรงค์ถือข้าวของเครื่องใช้ แล้วพราวก็ก้าวลงจากรถ
“หวัดดีค่าคุณพราว คิดถึงจุงเบย คุณพราวหายแล้ว กลับมาซะทีขอต้อนรับกลับบ้านพราวแสงเด้อ”
“ตกลงเราจะเป็นเกาหลี หรืออีสานกันแน่” พราวยิ้มขำ
“เป็นทั้ง2อย่างค่ะ แบบว่าหน้าเหมือนลูกครึ่งมาก” ต้อยติ่งว่า
แฟรงค์ผลักหัวต้อยติ่ง
“เดี๋ยวจะโดนครึ่งมือครึ่งเท้า เว้าวอนอยู่นั่นแหละ เอาเข้าบ้านเร็วๆสิ ฉันร้อน”
แล้วทั้งสามก็เข้าบ้านไป

เมื่อพราว แฟรงค์ และต้อยติ่งเดินเข้ามาในบ้าน ก็ได้ยินเสียงทะเลาะตบตีกันลั่นดังมาจากห้องๆหนึ่ง
“ว้าย...เปิดศึกกันอีกแล้ว” ต้อยติ่งพูด
ทั้ง 3 รีบเดินมาดู พบว่าจันทร์จรีกำลังทะเลาะตบตีกับ “มิกิ” ซึ่งเป็นเด็กปั้นหน้าใหม่ของแฟรงค์ โดยมีเอมี่และ “มาร์ค” เด็กหนุ่มจากที่ราบสูง ที่แฟรงค์เตรียมปั้นเป็นพระเอกใหม่ ช่วยกันห้ามอยู่
“โนเนมไม่เจียม สะเออะมาแข่งกับฉัน นี่แน่ะๆ” จันทร์จรีตบตีไม่ยั้ง
“ยังกับตัวเองดังนักหนา ชอบดูถูกคนอื่น ฉันไม่ยอมแล้ว” มิกิโต้ปัดป้องพัลวัน
“อะไรกันๆ...หยุดเดี๋ยวนี้นะจรี มิกิ ฉันบอกให้หยุด!” แฟรงค์ตวาดลั่น
มาร์คกับเอมี่ดึงจันทร์กับมิกิผละออกจากกันได้
“กินข้าวหม้อเดียวกัน กัดกันยังกับหมา มันเรื่องอะไรกันฮะเอมี่” แฟรงค์ถาม
“โฮ่ย...ถามเอาจากเจ้าตัวเองก็แล้วกัน ฉันเหนื่อย!” เอมี่ว่า ก่อนเดินไปนั่งพัก
“มิกิ! ไหนบอกซิ ทะเลาะอะไรกัน” พราวเอ่ยถาม
มิกิร้องไห้เข้ามาเกาะแขนพราว
“จรีน่ะสิ พอรู้ว่าพี่แฟรงค์จะให้มิกิไปเทสต์หน้ากล้องละครเรื่องใหม่ของพรดีคำ ก็มากระแนะกระแหนว่ามิกิโง่ แอคติ้งไม่ได้เรื่อง สวยก็ไม่สวย ไล่ให้กลับไปไถนา” มิกิบอก
“อ้าวจรี ทำไมปากอย่างงั้น ไปด่ามิกิทำไม” แฟรงค์ถาม
“ก็มันอยากมาด่าว่าจรีว่าไม่ดังแล้วจองหองทำไมล่ะ”
“ไม่จริง ผมเป็นพยานได้ มิกิยังไม่ทันว่าอะไรเลย อยู่ๆจรีก็เข้ามาเริ่มก่อน มาด่าฉอดๆ” มาร์คว่า
“หุบปากเลยนะไอ้ทึ่มมาร์ค อย่างแกเป็นได้แก่แค่นายแบบถ่ายกางเกงในเท่านั้นแหละ” จันทร์จรีว่า
“เธอนั่นแหละหุบปากจรี! ยังไม่ทันดังก็ลืมตัวซะแล้ว” พราวด่า
“อ๊าย...เรื่องอะไรมาด่าจรีอ่ะ” จันทร์จรีพูด
“ไม่ด่าแล้วจะรู้ตัวเหรอ นึกว่าตัวเองเก่งมาจากไหน เที่ยวดูถูกคนอื่นเค้า บอกไว้เลยนะ ต่อให้สวยแค่ไหน แต่ถ้านิสัยห่วย เธอก็ไม่มีที่ยืนในวงการนี้หรอก” พราวเดินผละขึ้นห้องไป
“เริดค่า” ต้อยติ่งเผลอตัวตบมือ
จันทร์จรีหันมามองต้อยติ่งตาเขียว ต้อยติ่งรีบเดินตามพราวไป
“ยังกับตัวเองนิสัยดีนักนี่ เที่ยวมาสอนคนอื่นเค้า ถูกนักข่าวเขียนด่าไม่เว้นแต่ละวัน” จันทร์จรีเอ่ย
“อ้าว ก็คนมันดังแล้วนี่ นักข่าวถึงได้หาเรื่องมาเขียนด่า แต่อย่างหล่อน ยังไม่ทันดังก็อาจจะดับเพราะฉันนี่แหละ ระวังตัวให้ดีนะจรี ฉันจะเขี่ยเธอออกจากเด็กปั้น ถ้ายังไม่รู้จักปรับปรุงนิสัยเสียซะที” แฟรงค์เดินออกไป มิกิกับมาร์คตาม
“ชัดมะ” เอมี่พูดใส่หน้า แล้วเดินออกไปอีกคน จันทร์จรียืนแค้นอยู่ลำพัง

ที่กองถ่ายละครเรื่อง “อโยธยา”
“แอร๊ยย...แม่หญิงแก้วเจ้าจอมหนีเร็ว ข้าศึกบุกมาถึงเรือนแล้ว!” จันทร์จรีในบทบาทของชบากรีดร้อง
ฉากรอบๆ เป็นในวัง มีทหารพม่าบุกเข้ามาตำหนักหัวเมืองชั้นใน กำลังสู้กับเหล่าทหารไทย มีนายเรือง นายพัน นายมา นายกล่ำ นายฉิม 5 ขุนพลนักรบประจำเมืองกำลังต่อสู้กับทหารพม่าอย่างห้าวหาญ
“แม่หญิง! แม่หญิงอยู่ไหน” นายเรืองร้องตามหา
ที่ประตู มีแสตนด์อินหญิงแสดงบทบู๊แทนพราว กำลังถอยหลังฟันดาบสู้กับทหารพม่าออกมา
ชบาที่หลบอยู่ข้างตู้มองไปเห็น
“แม่หญิงอยู่นั่น ว้ายๆ...แม่หญิง...ระวัง!” ชบาร้อง
แสตนด์อินพราวฟันดาบสู้กับทหารพม่าได้อย่างคล่องแคล่วเกินหญิง จนฆ่าทหารพม่าตายไปหลายคน และคนสุดท้าย แม่หญิงแทงมัน แล้วใช้เท้าถีบร่างมันกระเด็นไป
“ทุกคน! เข้าคุ้มกันแม่หญิง!”
สิ้นเสียงสั่งนายเรือง นายพัน นายมา นายกล่ำ นายฉิมรีบเข้ายืนถืออาวุธล้อมแม่หญิงเป็นวงกลมทันที
“คัท!”
“เอ๊า...แสตนด์อินคุณพราวไปพักได้” เชนซึ่งเป็นผู้กำกับตะโกนสั่ง พลางหันไปกระซิบสั่งตุ้ยผู้ช่วย “ไอ้ตุ้ย! ไปตามคุณพราวออกมาซิ บอกว่าคิวบู๊สแตนด์อินแสดงแทนให้หมดแล้ว ขอเชิญมายืนทำหน้าสวยๆสบายๆ ได้แล้ว”
“ครับ ผู้กำกับ” ตุ้ยรับคำ
“เฮ่อ ทำไมถึงแสดงเองไม่ได้นะ คิวบู๊ง่ายๆแค่นี้ ทำให้งานช้าไปหมด” เชนบ่น
ขณะที่ตุ้ยหันไปคว้าโทรโข่งขึ้นพูด
“ฮัลโหลๆเทส คุณพราวครับ ถึงคิวคุณแล้วครับ ขอเชิญที่ฉากได้เลยครับ”
พราวเดินออกมาในชุดแม่หญิง ห่มสไบผมยาวเหมือนแสตนด์อินใส่เดินออกมาที่ฉาก พร้อมกับคุยมือถือไปด้วย โดยมีแฟรงค์กับเอมี่เดินตาม ส่วนจันทร์จรีที่นั่งเซ็งอยู่ในฉาก มองมาที่พราวอย่างหมั่นไส้
“ค่าคุณติณห์ ตอนนี้พราวกำลังจะเข้าฉากแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะเลิกกองแล้วจะโทรกลับ ค่า” พราววางสายส่งมือถือให้แฟรงค์ หันมองมาที่เชน
“ยังไงคะ ผู้กำกับ ให้เริ่มตรงไหน”
“เดี๋ยวคุณพราวแสดงต่อเนื่องจากที่แสตนอินแสดงคาไว้นะครับ แทงดาบแล้วถีบไอ้หมอนี่ออกไป จากนั้นขุนพลทั้ง 5 คนก็เข้ามายืนล้อม แล้วคุณพราวก็เริ่มพูดบทจากอย่างตรงนี้ได้เลยนะ” เชนเดินถือบทเข้ามาให้พราวดู

ที่ด้านหลังฉาก ไอ้โม่งชายคนหนึ่งปีนลงมาจากราวบันไดสำหรับขึ้นไปติดตั้งไฟเหนือฉาก มีทีมงานเดินผ่านมา ไอ้โม่งรีบแอบเดินหลบผ่านด้านหลังฉากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครเห็น

“Are you ready? พร้อมนะครับทุกคน 5-4-3-2-แอ็คชั่น!” เชนสั่งเสียงดัง
สิ้นเสียงเชน...พราวที่อยู่ในท่าถือดาบเสียบนักแสดงทหารพม่าก็ใช้เท้าถีบ ดึงดาบออกมา ขณะนั้นเองหลอดไฟที่แขวนอยู่บนราวเหนือฉากเกิดหลุดออกช้าๆ โดยที่ไม่มีใครเห็น
“ทุกคน! เข้าคุ้มกันแม่หญิง!” สิ้นเสียงสั่งนายเรือง นายพัน นายมา นายกล่ำ นายฉิม กำลังจะวิ่งไปยืนถืออาวุธล้อมพราวตามคิว แต่ทุกคนต้องชะงักเมื่อหลอดไฟหลุดร่วงมาใกล้ที่พราวยืนอยู่ เพล้ง!
“เฮ้ย!” นักรบทั้งห้าร้องประสานเสียงออกมา
“ว้าย!” พราวตกใจผงะถอยหลัง มองไฟที่แตกกระจายเฉี่ยวตัวเองไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
“เฮ้ย...คัทๆๆ ไฟร่วงลงมาได้ไงเนี่ย” เชนตะโกน
แฟรงค์กับเอมี่รีบวิ่งเข้ามาหาพราว
“พราว...พราว...โดนตรงไหนบ้างหรือปล่าวหนู” แฟรงค์ถาม
พราวส่ายหน้า “โชคดีที่ไม่โดน นี่...จัดไฟกันยังไงห๊ะ ทำไมไม่ดูให้ดี เกือบตกใส่ฉันแล้วเห็นไหม”
ทีมงานพากันหน้าสลดหัวหดทั้งแถบ
“เอ่อ...เชิญคุณพราวไปพักที่ห้องแต่งตัวก่อนดีกว่าครับ” เชนพูดกับพราว ก่อนหันไปพูดกับทีมงานต่อ “เฮ้ย...ขึ้นไปเช็คไฟดิ ร่วงลงมาได้ยังไง”
แฟรงค์กับเอมี่พาพราวเดินออกไป
“สมน้ำหน้า! ทำไมไม่โดนกะบาลยะ” จันทร์จรีสะใจเป็นที่สุด

ขณะเดียวกัน สมชายกำลังยื่นซองขาวลงบนโต๊ะต่อหน้าสหวุฒิ ผู้กำกับมีสีหน้าตกใจ
“คุณทำอะไรสารวัตร”
“ผมขอลาออก!” สมชายตอบ
“ผมไม่รับใบลาออกของคุณ!” สหวุฒิว่า
“ผมทำงานพลาด ต้องรับผิดชอบการตายของผู้กองวิทย์ และการบาดเจ็บของคุณพราวนะครับผู้กำกับ”

ทางด้านแฟรงค์และเอมี่พาพราวเดินกลับเข้ามาห้องแต่งตัวด้วยอาการใจหายใจคว่ำ
“นั่งก่อนหนู...นั่ง... ดูซิหน้าซีดไปหมด คงตกใจมากสินี่” แฟรงค์พูดแล้วหยิบพัดมาพัดให้ ขณะที่เอมี่เดินไปหยิบขวดน้ำแร่ที่พราวดื่มประจำมาจากบริเวณที่วางกระเป๋าข้าวของส่วนตัวของพราวอยู่
“ไม่ตกใจได้ยังไง ไฟมันตกเฉี่ยวหัวพราวไปนิดเดียวเอง นี่ถ้าโดนเต็มๆ พราวไม่ตายก็ต้องเสียโฉม” พราวหงุดหงิด
“ใจเย็นๆ หนู คุณพระ คุณเจ้า เจ้าที่เจ้าทางคุ้มครอง หนูไม่เป็นไรหรอก” แฟรงค์ปลอบปะโลม
“อ่ะ จิบน้ำแร่ซะหน่อยพราว จะได้ดีขึ้น” เอมี่ว่า
แต่พราวกำลังเครียด อารมณ์เสียเลยปัดขวดน้ำทิ้งไป
“โฮ่ย...ฉันกินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ”
“ว้าย!” ขวดน้ำแร่ร่วงจากมือเอมี่แล้วตกพื้นแตก น้ำในขวดหกเรี่ยราดที่พื้น เป็นฟองฟูขึ้นมาทันที
ทั้ง 3 แทบช็อค
แฟรงค์กรี๊ดแตก “ว้าย! อะไรอ่ะ”
“นี่มันน้ำกรด...น้ำกรดชัดๆ” พราวพูด
“แล้วน้ำกรดมันมาจากไหนอ่ะ มาอยู่ในขวดได้ไง” เอมี่ตั้งข้อสังเกต
“ยังจะถามอีก ก็มีคนเอามาใส่ไว้น่ะซิ มีคนอยากให้พราวตาย!!”

พราวกระแทกเสียงพูดอย่างมีอารมณ์ แฟรงค์กับเอมี่อ้าปากค้าง

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น