เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 2
ระหว่างที่เนื้อนางกับคำฝาย เดินกลับจากโรงเรียนมาตามทางในปาง คำฝายถามขึ้น
“ตั๋วห่วงใคร อ้ายแสงคำ หรือ คุณหนานไตร”
“ทำไมเนื้อนางต้องห่วงคุณหนานไตร”
“ก็เค้าทำท่าชอบตั๋ว ทำท่าเหมือนจะจีบตั๋วไปเป็นแม่หญิงของเค้า”
“พี่คำฝาย อย่าพูดเรื่องนี้อีก มันเป็นไปไม่ได้” เนื้อนางไม่พอใจ
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ คุณหนานไตรสนใจตั๋วออกหน้าออกตา ใครก็เห็น อ้ายแสงคำก็เห็น มีแต่ตั๋วนั่นแหละที่แกล้งไม่รู้ไม่เห็นอยู่คนเดียว”
เนื้อนางส่งสายตามองดุคำฝายที่พูดตรงๆ
เหตุการณ์ในป่า หนานไตรเล็งปืนไปยังพุ่มไม้ที่คิดว่าเสือซ่อนตัวอยู่ ด้านบนกิ่งไม้สูงแสงคำเล็งปืนมาที่หนานไตรอยู่อย่างนั้น หนานไตรหันปืนไป พอเห็นเป็นคนงานก็ลดปืน
“ผมเห็นเสือมันเข้าไปในนั้น”
จู่ๆ แสงคำโดดลงมาจากกิ่งไม้ หนานไตร กับคนงานหันไปมอง
“ไอ้ยักษ์มันหนีเข้าป่าไปแล้ว”
หนานไตรฉงน “นายอยู่บนนั้นตั้งแต่แรกหรือ แสงคำ”
“ใช่ ผมดักมันอยู่ เกือบจะยิงไอ้ยักษ์ได้ พอคุณเข้ามา มันเลยรู้ตัว หนีไปจนได้”
หนานไตรรู้สึกเสียหน้า ที่แสงคำพูดเหมือนตัวเองทำให้งานจับเสือครั้งนี้พลาด
“ผมจะล่าเสือตัวนี้เอง”
“อย่าดีกว่าครับ ป่านนี้มันไปไกลแล้ว”
“ถ้าไม่ยิงตอนนี้ มันก็ต้องกลับมากินวัวควาย กินลูกช้างในปางอีก”
หนานไตรบอกด้วยท่าทางเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วหันไปสั่งคนงานชาย
“ผมจะล่ามัน ไปถามคนงานกับควาญ...ใครจะไปกับผม”
หนานไตรกระชับปืนพร้อม แสงคำมองอย่างไม่พอใจที่หนานไตรจงใจท้าทายตน
หมื่นหล้ารู้เรื่อง เดินมากับคนงานชาย 5 คน มีปืนลูกซองในมือพร้อม ทุกคนเดินเร็วรี่กันมามุ่งหน้าไปในป่า เนื้อนาง กับคำฝายวิ่งตามหมื่นหล้า
“ตาไม่ต้องไปไม่ได้หรือจ๊ะ ตายังไม่หายดี”
“ไม่ได้หรอกเนื้อนาง คุณหนานไตรเพิ่งมาอยู่ ไม่รู้จักป่า ไม่เคยล่าเสือ ปล่อยเปิ้นไปคนเดียวไม่ได้”
“แต่อ้ายแสงคำก็ไปด้วย”
คำฝายพูดลอยๆ “นั่นแหละ ยิ่งน่ากลัวกว่าเสือ”
หมื่นหล้าฉุน “นังคำฝาย อยากปากทะลุด้วยลูกซองข้านักใช่มั้ย”
“ไม่จ้ะ พ่ออุ๊ย ชั้นขอมีผัวก่อน”
คำฝายยิ้มทะเล้น หมื่นหล้ามองอ่อนใจ หันมาทางเนื้อนาง
“ตาเป็นคนเก่าคนแก่ที่นี่ รู้จักป่านี้มากกว่าทุกคน ลำพังไอ้ยักษ์ตัวเดียว จะปล่อยให้มันเพ่นพ่านเสียศักดิ์ศรีหมื่นหล้าได้ยังไง”
หมื่นหล้ารีบเดินเร็วออกไปกับคนงาน เนื้อนางมองตามด้วยความเป็นห่วงชายชราผู้เป็นตา
ในป่าตอนนี้ หนานไตรกับแสงคำถือปืนเดินสอดตาระวังมาทั้งคู่ แสงคำมองหนานไตรแล้วพูดขึ้น
“ที่จริงคุณเป็นผู้จัดการ รอฟังข่าวอยู่ที่บ้านพักก็ได้ ไม่ต้องเข้ามาลำบากในป่ากับพวกเรา”
“ปางนี้ คงไม่เคยมีผู้จัดการคนไหนมาล่าเสือด้วยตัวเอง”
“ไม่เคย ผู้จัดการคือเจ้านาย”
แสงคำมองจ้องหนานไตร ตั้งใจบอกสื่อไปถึงเรื่องเนื้อนางด้วย
“คนเป็นนายไม่ต้องลงมาใกล้ชิดคนงาน ต่างคนต่างอยู่”
หนานไตรรู้ว่าแสงคำจงใจหมายถึงเรื่องเนื้อนางด้วย ก็ยิ้มตอบกลับไป
“แต่ผมไม่เหมือนคนอื่น ผมเป็นผู้จัดการที่ถือว่าทั้งปางนี้คืออาณาจักรของผม”
แสงคำกับหนานไตรมองจ้องกัน
“ทุกชีวิตที่นี่จะต้องอยู่ในความดูแลของผม แล้วถ้าผมต้องการอะไร ไม่ว่าจากใคร ผมจะไม่ใช้อำนาจบังคับ ผมจะใช้หัวใจผมเองแลกกับหัวใจของคนที่นี่”
แสงคำทวนคำ “หัวใจ...คงหมายถึง...”
“ทุกคน แสงคำ” หนานไตรย้ำหนักแน่น “ทุกคน ไม่ว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น”
แสงคำมองจ้อง สีหน้ายิ่งไม่พอใจ หนานไตรมองกลับด้วยสายตาเข้ม ไม่สะทกสะท้าน
ด้านเนื้อนางกับคำฝายเดินตรงมาที่โรงครัว เห็นพวกรัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้า กำลังตั้งวงนินทากับกลุ่มคนงานหญิง
รัญจวนเปิดประเด็น “ที่คุณหนานไตรต้องไปลำบากลำบน ก็เพราะไอ้แสงคำมันไม่มีฝีมือ”
คำฝายยัวะ “อยากให้เสือมันมาวิ่งเล่นแถวนี้จังโว๊ย ขย้ำปากพวกช่างพูด ขบเล่นๆ ให้ปากฉีกถึงหู”
กำปุ้งไม่หวั่น “ปากแกน่ะจะโดนตบก่อน คุณพี่รัญจวนพูดจริงทุกอย่าง ถ้าแสงคำมันเก่งจริง คุณหนานไตรไม่ต้องรีบตามไปหรอก ดูสิ เป็นนายแท้ๆ ต้องเสียสละ ทำงานยังกับพวกควาญ”
เนื้อนางเอ่ยขึ้น “ตามไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนที่จะคว่ำเสือ ต้องเป็นอ้ายแสงคำ”
รัญจวนหมั่นไส้ “แกเป็นเมียแสงคำหรือไงยะ เนื้อนาง ถึงมาเถียงแทน วันก่อนยังเห็นให้ท่าชายตาให้คุณหนานไตร เลือกเอาสักคนสิยะ”
เนื้อนางหันไปมองทางพวกสร้อยฟ้า รัญจวน และกำปุ้งด้วยสายตานึกสนุก อยากจะแกล้ง
“แล้วถ้าฉันไม่ต้องเลือก แต่มีผู้ชายสองคนเดินเข้ามาหาเองล่ะ”
สร้อยฟ้าฉุนกึก “นั่นไง...นั่นไง นิสัยชอบยั่วผู้ชาย สันดานเดียวกับแม่มัน”
คำฝายโกรธแทน “อ้าว พูดงี้ก้อต้องตบกันกระจายไปข้างนึง”
เนื้อนางกำหมัดแน่น “หยุดปากพล่อยว่าแม่เนื้อนาง”
กำปุ้งลอยหน้า “หยุดไม่ได้แล้วย่ะ ก็แกพูดเองว่าเสน่ห์แรง จนผู้ชายทั้งปางคลานมาสยบแทบเท้า โธ่ กะอีแค่ฟ้อนแง้นได้ ใครก็ฟ้อนได้ยะ ดูนี่”
กำปุ้งพยายามหงายตัวลงไปในท่าฟ้อนแง้น คำฝายมองแล้วได้ที ถีบเข้ากลางตัว กำปุ้งล้มกลิ้ง รัญจวนโกรธแทนลูกน้อง
“อีคำฝาย แกอยากมีเรื่องนักใช่มั้ย”
“ก็พี่อยากเห่าอยากหอน ด่าไปถึงแม่เนื้อนางก่อนทำไมล่ะ”
“ข้าจะด่าให้ยิ่งกว่านี้อีก นังเนื้อนางมันระริก อยากมีผัวจนตัวสั่น เที่ยวชายตาให้ท่าคนโน้นคนนี้ที แต่คุณหนานไตรเค้าไม่โง่ มาเลือกผู้หญิงชาวบ้าน หลานควาญแก่ๆ มีแต่ตัวอย่างเอ็ง”
เนื้อนางย้อน “ถ้าคุณหนานไตรคิดได้แบบนั้น เค้าก็คงไม่หันมามองพวกแม่ครัวอย่างพี่เหมือนกัน พวกที่หวังนักหวังหนา ว่าผู้ชายจะพาออกไปเป็นคุณนายนอกปาง มันคงช้ำใจตายดักดาน ขึ้นคานอยู่ในปางนี้หลายคน”
เนื้อนางด่ากลับอย่างเจ็บแสบ แล้วเดินออกไป คำฝายหัวเราะสะใจ รีบตามออกไปทันที คนงานหญิงบางคนหัวเราะคิกคักชอบใจที่พวกรัญจวนถูกตอกกลับ
รัญจวน กำปุ้ง และสร้อยฟ้ามองหน้ากัน แล้วประสานเสียงกรี๊ดลั่นปาง
ทางฝั่งหนานไตรถือปืนยืนอยู่คนละด้านกับแสงคำ มองหมื่นหล้าที่ก้าวเข้ามาสมทบ หนานไตรเอ่ยห้ามขึ้นทันที
“หมื่นหล้าไม่ต้องไปหรอกครับ ผมกับแสงคำจะไปล่ามันเอง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณหนานไตร...ป่านี้ผมอยู่มาตั้งแต่คุณยังไม่เกิด” หมื่นหล้ายิ้ม พลางหันไปถามแสงคำ “แกะรอยมันได้หรือยัง”
“มันเตลิดเข้าไปในโน้น”
หมื่นหล้าหันไปบอกคนงาน “รีบตามไป”
หมื่นหล้าเดินนำ แสงคำกับคนงานตาม
หนานไตรรู้สึกตัวเองเสียหน้าที่ต้องกลายเป็นคนตาม รีบกระชับปืน ตามไปอย่างเร็ว
ม่อนดอยสะพายมีดด้ามยาว ถือพระพวงใหญ่ พนมมือ อธิษฐานเป็นการใหญ่
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไอ้ม่อนดอยจะเข้าป่าไปช่วยนายหนานไตรล่าเสือ คุ้มครองม่อนดอยให้กลับมาแขนขาครบด้วยเถอะ ม่อนดอยยังไม่มีเมีย”
ม่อนดอยเดินลงมาจากบนเรือน กำลังจะเลี้ยวไปที่ปาง
รถจากบ้านหิมวัติแล่นเร็วเข้ามาจอดหน้าเรือนพักของหนานไตร ม่อนดอยเขม้นมอง
ธรรพ์กับแขไขเปิดประตูรถลงมา แม่นายศรีวัลลาเปิดประตูลงมาพร้อมคุณหญิงมาลัย
จันตา กับบัวผุดตามลงมาจากรถคันที่สองที่ขนสัมภาระมาเต็มรถ
ม่อนดอยมองด้วยสายตาสงสัย ก่อนถามขึ้น “มาหาใครครับ”
แม่นายกับคุณหญิงมองม่อนดอยหัวจรดเท้า ม่อนดอยรู้สึกยำเกรงสายตาทรงอำนาจของแม่นาย
“ผู้จัดการปางอยู่มั้ย” ธรรพ์ถาม
“เมื่อกี้อยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วครับ” ม่อนดอยบอกตามประสา
จันตาฉุน “แกอย่ามัวเล่นลิ้น”
“ไม่ได้เล่นเลยครับ ผู้จัดการเพิ่งออกไปล่าเสือกับพวกควาญช้าง”
“ล่าเสือ”
แขไหันมามองแม่นายด้วยสีหน้าตกใจมาก
“ประทานโทษนะครับ พวกคุณเป็น...”
ม่อนดอยถามไม่ทันจบแม่นายก็บอกสวนขึ้นมา “ฉันเป็นเจ้าของปางนี้”
จันตาวางมาด พูดสำทับ “รู้มั้ยว่าแกกำลังพูดกับใคร นี่แม่นายศรีวัลลา เจ้าของปางหิมวัต และนี่คุณหญิงจากพระนคร...เอ่อ...” แต่ดันนึกชื่อไม่ออก
“ชั้น...คุณหญิงมาลัย วิชิตภูบาล”
ม่อนดอยมองคุณหญิงแล้วหันไปมองแม่นาย อึ้ง ตะลึงงันไปในทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร
แม่นายศรีวัลลากวาดสายตาเลยมองไปรอบปางด้วยสายตาคมกริบ
เนื้อนางเดินก้าวเร็วขึ้นเรือนมา คำฝายเดินตามหลัง เนื้อนางตรงไปหยิบซองยาของหมื่นหล้า
“เนื้อนางจะเอายาไปให้ตา”
“ไปได้ยังไงตั๋ว มันอันตราย” คำฝายท้วงเต็มที่
“ตาต้องกินยา หมอสั่งแล้วว่าห้ามขาดสักมื้อ เนื้อนางมีตาอยู่คนเดียว เนื้อนางจะไม่ยอมให้ตาเป็นอะไร”
“พี่ไปด้วย”
“ไม่ต้องจ้ะ พี่คำฝายรอที่นี่แหละ เนื้อนางไปคนเดียว จะได้รีบไปรีบมา”
คำฝายมองตาม เนื้อนางเดินลิ่วออกไป
แม่นายเดินนำทุกคนมาอย่างร้อนใจ ธรรพ์กับแขไขเดินตามติด จันตาและบัวผุด เดินถือร่ม จะกางให้แม่นายกับคุณหญิง แต่ก็เดินตามไม่ค่อยทัน แขไขเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“เราน่าจะรออยู่ที่บ้านพักก่อนนะคะ ถ้าพี่ณไตรรู้ว่าเรามาเพราะเรื่องครูผู้หญิงแขกลัวพี่ณไตรจะโกรธแข”
“จริงด้วยค่ะ อย่าเพิ่งกระโตกกระตากเรื่องครูสาว ทำเป็นมาเยี่ยมชมปางดีมั้ยคะ หลานณไตรกลับมาเจอพวกเรา จะได้ไม่อึดอัด” คุณหญิงมาลัยเห็นด้วย
“พี่ไตรจะกลับมาวันไหนล่ะครับ คนงานก็บอกอยู่ ว่าเพิ่งเข้าป่าไปล่าเสือ” ธรรพ์ว่า
แม่นายหันขวับมองทุกคน แววตาดุทำให้ทุกคนต้องหยุดปาก
“ที่นี่ปางของชั้น ชั้นจะมาเมื่อไหร่ ทำอะไร มันก็คือความพอใจของชั้น”
ขณะที่คำฝายเดินลงจากเรือน มองไปเห็นม่อนดอยวิ่งกระหืดกระหอบมา
“มีอะไร วิ่งหน้าตั้งมายังกับเจอผี”
“เจอผียังไม่น่ากลัวเท่านี้” ม่อนดอยคว้าคว้ามือคำฝายหมับ “ไปเร็ว ไปก่อน เดี๋ยวค่อยถาม”
คำฝายงง ขืนตัว “ไปไหน”
ม่อนดอยไม่ตอบ กระชากแขนคำฝายไปอีกทางทันที
แม่นายศรีวัลลาเดินนำขบวนมาตามทางในปาง ขณะกำปุ้ง รัญจวน กับสร้อยฟ้าเดินคุยกันมาอีกทาง แม่นายมองเห็นก็เรียกทันที
“พวกแก...มานี่สิ”
กำปุ้ง รัญจวนมองแม่นายอย่างไม่เคยเห็นหน้า ทั้งสามเริ่มไม่พอใจที่ถูกเรียกจิกหัว
“ชั้นเรียกแกทั้งสามคน มานี่ ไม่ต้องเกี่ยงกัน”
สามดาวยั่วประจำปาง ชักมีอารมณ์เพราะเสียงสั่งวางอำนาจของแม่นาย รัญจวนเดินอาดๆ เข้ามาหา
“มีเรื่องอะไร...มาหาใคร ธุระอะไร ถึงใช้ปากหล่อนจิกหัวพวกชั้น”
จันตาจ้องหน้า “รู้มั้ยแกกำลังพูดกับใคร”
กำปุ้งสอดขึ้น “แก่แล้วเลอะเลือนเหรอป้า ไม่รู้เรอะตัวเองเป็นใคร เที่ยวมาถามคนอื่น” กำปุ้งปากดีล้อเลียน “รู้มั้ยแกพูดกับใคร”
จันตามองตาถลน โกรธมาก บัวผุดรีบเข้ามาหลังลูกพี่ จันตาหน้าเชิดมองกำปุ้ง รัญจวน สร้อยฟ้า
“ชั้นรู้ว่าชั้นเป็นใคร แต่แกสามคนน่ะสิ ไม่รู้ว่าชะตากำลังจะขาด กระเด็นออกไปจากปางนี้ นี่คือแม่นายศรีวัลลา เจ้าของปางไม้หิมวัต”
รัญจวนตกใจสุดขีด “แม่นายศรีวัลลา”
กำปุ้งสะดุ้งโหยง “แม่เจ้า”
รัญจวนทรุดลงคุกเข่าทันที กำปุ้ง มีสร้อยฟ้าคนเดียวที่ยังมองงวยงงสงสัย
“แม่นาย”
“ไม่ต้องทำหน้าเป็นอีเห็นหลงป่า นั่งลง !! ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกจากปาง”
รัญจวนกระชาก กำปุ้ง และสร้อยฟ้าลงนั่ง สามคนพนมมือแต้ พับเพียบเรียบร้อย แม่นายกราดมองสามคนด้วยสายตาดุ
รัญจวนบอก “ทั้งหมด...กราบ”
สามคนกราบลงกับพื้นในทันใด
ทางฝ่ายเนื้อนางเดินกึ่งวิ่ง ลัดเลาะมาตามทางในป่าอย่างรวดเร็วและชำนาญทาง ไม่สำเหนียกสักนิดว่าพายุร้ายระลอกแรกกำลังม้วนตัวรอท่าอยู่ในปาง
รัญจวน สร้อยฟ้า และกำปุ้ง ตลอดจนคนงานชาย หญิงนั่งพับเพียบอยู่ที่โรงครัว ทุกคนตัวเกร็งอยู่หน้ากลุ่มของแม่นาย แขไข คุณหญิง และธรรพ์ จันตา กับบัวผุดยืนเชิดอยู่ด้านข้าง
“รัญจวนเป็นแม่ครัวใหญ่ที่นี่เองค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อแม่นายศรีวัลลา โอ๊ย เป็นบุญตาวาสนานักก่อเจ้า ที่ได้เห็นแม่นายทั้งสาว ทั้งสวย งามขนาดเนอะ พวกเรา
“งามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์เลยค่ะ” กำปุ้งกราบติดพื้น “กำปุ้ง พร้อมจะรับใช้แม่นายตามคำบัญชา”
สร้อยฟ้าบรรจงไหว้ชดช้อย “สร้อยฟ้าค่ะ เป็นสาวงามบ้านป่า ช่วยงานทุกอย่างในปางนี้มาตลอด ไม่เคยเกี่ยง งานหนักๆ สร้อยฟ้าทำเองทุกอย่างเลยค่ะ”
จันตา กับบัวผุดมองสามดาวยั่วแล้วหมั่นไส้ คุณหญิงมาลัยไม่รอช้า ถามขึ้นมาทันที
“ที่นี่มีครูผู้หญิงใช่มั้ย ไหน! คนไหนที่เป็นครู”
คำฝายกับม่อนดอยที่วิ่งมาถึง คำฝายทันได้ยินคำว่า ครู ก็สังหรณ์ใจ กระชากม่อนดอยให้หลบฟังก่อน
“พวกแกที่นั่งอยู่ตรงนี้ คนไหนเป็นครู”
คนงานพากันมองตกใจ ยังไม่ทันตอบ
“พวกแม่นายมาหาเนื้อนาง มาหาทำไม” ม่อนดอยกระซิบ
“มาทำไมไม่รู้ แต่เขี้ยวงอกลากพื้นเป็นกิโลขนาดนี้ ไม่ได้มาดีแน่” คราวนี้คำฝายเป็นฝ่ายคว้ามือม่อนดอย “ไป ไอ้ม่อนดอย แกกับฉันต้องช่วยเนื้อนางก่อน”
ม่อนดอยกับคำฝายวิ่งออกไปทันที
ธรรพ์มองสังเกตเห็นคำฝาย กับ ม่อนดอยที่วิ่งออกไป จึงค่อยๆ เลี่ยงออกจากกลุ่ม ตามออกไปด้วยความสงสัย
สร้อยฟ้าได้สติรีบตอบเอาหน้า
“ตรงนี้ไม่มีครูหรอกค่ะ เพราะว่าไม่มีใครอ่านออกเขียนได้ นอกจากสร้อยฟ้า”
แขไข แม่นาย และคุณหญิงหันขวับมามอง
“เธอเหรอที่เป็นครู” แม่นายถามเสียงเย็น
กำปุ้งส่งเสียงแปร๋นขึ้นมา “นังสร้อยฟ้าเหรอคะจะเป็นครู เขียนชื่อ นามสกุลตัวเองยังผิดเลย”
พวกคนงานพากันหัวเราะครืนทันที สร้อยฟ้าค้อนกำปุ้ง กลุ่มแม่นายชักสีหน้า
“หยุดหัวเราะ”
คนงานทุกคนตกใจ รีบหยุดหัวเราะ เสียงเงียบกริบ แม่นายจ้อง
“ฉันถามอะไร ก็ตอบอย่างที่ฉันถามเท่านั้น”
“เอายังงี้นะ ตรงนี้ไม่มีใครเป็นครู แต่ที่นี่มีโรงเรียนใช่มั้ย พวกเราอยากไปที่โรงเรียน” แขไขนึกได้
“ทางโน้นค่ะ โรงเรียนอยู่ด้านล่าง” รัญจวนยิ้มหวาน “แล้วคุณจะไปที่โรงเรียนกันทำไมเหรอคะ”
แม่นายตวัดสายตามองปราดเดียว รัญจวนหุบปากสนิททันที
ที่โรงเรียนในปาง คำฝายกับม่อนดอยกำลังสอนเด็กๆ ร้องเพลงและเต้นอย่างสนุกสนาน
สองคนประสานเสียงนำ “เด็กชายคำกวัก เกิดมาจากภูเขา ภูมิลำเนาเป็นชาวดอย ตัวผอมๆน้อยๆ จ่อยๆไม่รู้จักโต โอ้โห ธัมโม สังโฆ โตแต่หัว พุงโรก้นปอด”
ธรรพ์เดินเข้ามามองเห็น คำฝาย ม่อนดอยกับเด็กๆ กำลังเต้น ธรรพ์ยิ้มกันเองขณะเดินมาที่คำฝาย
“สอนอะไรบ้างครับ”
“สอนละอ่อนน้อย สอนกอขอคอ แล้วก็ร้องเพลงเจ้า”
ธรรพ์ยิ้มอ่อนโยน มีไมตรี คำฝายมองธรรพ์แล้วยิ้มตอบ เด็กๆ ร้องเพลงและเต้นกันไป ธรรพ์เห็นรอยยิ้มเด็กๆ แล้วปรบมือ ยิ้มไปด้วย
อีกด้านแขไขปราดเข้ามามองคำฝาย แม่นาย คุณหญิงเดินมาจ้องตาม คำฝายกับม่อนดอยทำท่าค้าง มองกลุ่มแม่นาย ธรรพ์หุบยิ้มลง มองกลุ่มแม่นาย
จันตา กับบัวผุดรีบเดินมาดักอยู่อีกทาง
แม่นายปรายตามองคำฝาย แขไขก็มองจ้องคำฝาย มองแล้วมองอีก
“เธอเหรอที่เป็นครู ชื่ออะไร”
“คำฝายเจ้า” คำฝายสมอ้าง
“ก็เหมาะดี หน้าตาดูกันดาร ขาดๆเกินๆ น่าเวทนา” แม่นายหยัน
“หมายังเมินค่ะ หมายังเมิน” จันตาพยักพเยิด
แม่นายกับคุณหญิงมองคำฝาย ท่าทีโล่งอกที่ครูหน้าตาไม่สะสวย จันตา กับบัวผุดมองหยามเต็มที่
“พวกคุณมีอะไรกับคำฝายหรือเปล่าเจ้า”
คำฝายทำท่าเกรง ธรรพ์มองแล้วสงสาร ตอบแทนขึ้นเสียเองว่า
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แม่นายอยากมาตรวจดูในปาง ว่าคนงานอยู่กันสบายดีหรือเปล่า”
“พวกเราสบายดีครับ กินอิ่มนอนหลับ เข้าป่าตัดไม้ ลากไม้กันทุกวัน”
“เป็นช้างเหรอยะ ลากไม้ทุกวัน”
คุณหญิงมาลัยหัวเราะ จันตา กับบัวผุดกรีดเสียงหัวเราะเป็นลูกคู่ผสมโรง
ม่อนดอย กับคำฝายสีหน้าอดกลั้นเต็มที่
ธรรพ์หันไปทางกลุ่มแม่นาย “ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ผมว่าเรากลับไปเรือนพักกันดีมั้ยครับ”
แม่นายมองคำฝายอีกทีด้วยสายตาคมกริบ ก่อนเดินนำออกไปพร้อมกับคุณหญิง
แขไขมองคำฝายอย่างไม่วางใจนัก แต่ก็เดินตามออกไปกับธรรพ์
จันตา กะ บัวผุดมองเชิด สะบัดหน้าพรืด แล้วเดินนวยนาดตามไปเป็นคู่สุดท้าย
คำฝายกำหมัดแน่น “อย่าห้ามข้านะ ไอ้ม่อนดอย อยากจะตบนังสองคนนั้นเหลือเกิน”
“แม่นายกับคุณนายหัวฟู”
“ไอ้บ้า...ตบแม่นายเจ้าของปาง มีหวังข้าก็โดนจับโยนออกไปน่ะสิ นังสองคนขี้ข้าตามนายนั่นต่างหาก ดูมันมองเรา ยังกะเห็นไส้เดือนกิ้งกือ”
“อย่าไปยุ่งกับพวกเค้าเลย คำฝาย อยู่ห่างไว้เป็นดีที่สุด ยิ่งถ้ารู้ว่าแกมารับสมอ้างว่าเป็นครูแทนเนื้อนาง มีหวัง..แกถูกเชือด สับ หั่น แล้วก็จุดไฟเผา”
“ไอ้บ้าม่อนดอยอย่าขู่สิวะ คนยิ่งกลัว ๆ ดีแล้วที่เนื้อนางไม่ได้อยู่ตรงนี้”
คำฝายถอนลมหายใจเฮือกใหญ่
เวลานี้ เนื้อนางยืนอยู่ท่ามกลางผู้ชายทั้งกลุ่มในแคมป์กลางป่า หนานไตร แสงคำยืนตรงข้ามกัน หมื่นหล้ามองหลานสาวหน้าตาขุ่นเคือง ไม่พอใจมาก
“ตามมาทำไม เนื้อนาง ตาบอกแล้วว่าตาไม่เป็นอะไร”
“เนื้อนางเป็นห่วงจ้ะ ตายังไม่หายไข้”
เนื้อนางกำซองยาในมือแน่น หนานไตรมองด้วยความสงสาร
“ข้าจะพาเนื้อนางกลับไปเอง พ่ออุ๊ย” แสงคำอาสา
“ผมว่าให้หมื่นหล้ากลับไปพร้อมเนื้อนางดีกว่า ที่เหลือ อยู่กับผม ล่าไอ้ยักษ์นั่นให้ได้”
“ผมจะอยู่กับคุณหนานไตรเอง” ชายชราหันไปสั่ง “แสงคำ ไปส่งเนื้อนางแล้วรีบกลับมา”
หนานไตรไม่ยอม “ผมอยากให้หมื่นหล้ากลับไปกับเนื้อนาง แสงคำต้องอยู่ที่นี่”
ยังไม่ทันเถียงกันต่อ เสียงคำรามของเสือดังขึ้น พวกผู้ชายรีบหันไปหยิบปืน
“เสียงมันดังอยู่แถวนี้” หมื่นหล้าสอดตามองหาที่มาของเสียง
หนานไตร แสงคำถือปืนเตรียมพร้อม หนานไตรหันไปทางหมื่นหล้า
“หมื่นหล้าอยู่กับเนื้อนางที่นี่ ผมกับแสงคำจะไปตามมันเอง”
หมื่นหล้าไม่ยอม “ผมต้องเป็นคนยิงมัน มันกินลูกช้างของผม”
หมื่นหล้าหันไปมองคนงานชาย 2 คน
“อยู่เป็นเพื่อนเนื้อนางด้วย”
คนงาน 2 คน พยักหน้ารับ หมื่นหล้ารีบเดินออกไป หนานไตร กับแสงคำมองห่วงเนื้อนาง
เนื้อนางบอก “รีบตามไปช่วยตาเถอะ อ้ายแสงคำ”
แสงคำมองเนื้อนางแล้วรีบวิ่งตามหมื่นหล้าไป หนานไตรมองเนื้อนางอย่างเป็นห่วง
“ระวังตัวด้วย เนื้อนาง”
หนานไตรรีบวิ่งออกไป เนื้อนางมองตามกลุ่มผู้ชายที่พากันออกไปล่าเสือด้วยสายตากังวล
เย็นลงแล้ว คำฝายยืนหารือกับม่อนดอยเรื่องเนื้อนางอยู่ที่โรงเรียน สีหน้าคำฝายไม่ดีนัก
“ห้ามพวกแม่นายรู้เด็ดขาด ว่าข้าโกหกเรื่องเป็นครูแทนเนื้อนาง”
“ปากข้าน่ะปิดสนิทแน่ แต่ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหู สามเทพีปากลำโพงป่าช้าแตกอย่างพี่รัญจวน นังกำปุ้ง นังสร้อยฟ้า 3 ปากนั่นน่ะ ไม่ต้องนึกเลย แปดดอยสิบดอย รู้หมดทุกเรื่อง” ม่อนดอยว่า
“ไม่รู้ล่ะ ให้แม่นายรู้ไม่ได้ว่าเนื้อนางเป็นครู ข้ากลัวว่าเค้าจะมาหาเรื่องไล่เนื้อนางออกไปจากปาง เพราะไม่ชอบให้มีครูที่นี่”
“แกคิดมากไปหรือเปล่า คำฝาย คนเค้าก็ไม่เคยเห็นหน้ากัน”
คำฝายยัวะ “ไอ้ม่อนดอย ไอ้จั๊ดง่าว...นี่ขนาดไม่เห็นหน้า ยังตรงดิ่งมาถามหา ถ้าเห็นหน้า มีหวัง จับโยนออกไปนอกปางเลยน่ะสิ ไม่รู้ล่ะ บอกพวกแม่นายไม่ได้เด็ดขาดว่าเนื้อนางเป็นครู”
คำฝายมองม่อนดอยท่าทีคาดคั้น
แขไขหันมาบอกแม่นายกับคุณหญิงที่กำลังนั่งพักอยู่บนเรือนพักณไตร มีธรรพ์ยืนอยู่ จันตา กับบัวผุดกำลังรินชา
“แขไม่เชื่อว่าคำฝายจะเป็นผู้หญิงที่พี่ณไตรสนใจ บางทีที่นี่อาจจะมีครูหลายคน แล้วเราก็ยังไม่เจอครูผู้หญิงที่ยั่วยวนพี่ณไตร”
“แต่เราก็เจอคนงานทั้งปางแล้วนะครับ” ธรรพ์บอก
แม่นายว่า “ฉันก็คิดแบบหนูแข
ธรรพ์มองแม่นาย เห็นแววตาคมกริบ
“บางทีเราอาจจะรอดหูรอดตาใครบางคน”
ส่วนที่แคมป์ในป่า เนื้อนางยืนมองไปรอบๆ อย่างเตรียมพร้อม เสียงเสือคำรามมาใกล้ เนื้อนางหันไป เห็นเงาเสือกระโดดผ่านพุ่งเข้าไปพุ่มไม้ใกล้ๆ
คนงาน 2 คนตกใจ ยกปืนขึ้น กันเนื้อนางไว้ทันที
“เนื้อนางไปบอกพ่ออุ๊ยหมื่นหล้า...มันอยู่ที่นี่” คนงาน 1 บอก
คนงาน 2 ผลักเนื้อนางออกวิ่ง เนื้อนางวิ่งออกไปในทันที
รัญจวนกำลังกำกับการจัดวางอาหารในขันโตกอยู่ที่โรงครัว นึกขึ้นได้ ถามขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน มีใครเห็นเนื้อนางบ้าง”
สร้อยฟ้านึกได้ “จริงด้วย ทำไมมันไม่ออกมาต้อนรับแม่นาย”
กำปุ้งคิดปราดเดียว “มันหายไปไหน! หรือว่า... มันแอบไปกับคุณหนานไตร”
“ไปล่าเสือน่ะเหรอ บ้าน่ะสิ ไปทำไม” สร้อยฟ้าไม่เชื่อ
“หรือว่ามันจงใจหลบหน้าแม่นาย แล้วนี่นังคำฝายก็หายไปด้วย”
คนงานหญิง 1 ถือถาดผักสดที่เพิ่งเก็บ เดินกลับเข้ามา ได้ยินเข้าก็บอกขึ้น
“เมื่อกี๊ข้าเห็นคำฝายมันสอนละอ่อนร้องเพลง”
“แม่นายไปโรงเรียน คำฝายอยู่ที่โรงเรียน เนื้อนางหายไป” รัญจวนปะติดปะต่อเรื่องราว
ม่อนดอยเข้ามาหลบฟัง มองด้วยท่าทีสยองที่เห็นทั้งสามคนกำลังสงสัย
สามคนมองหน้ากัน รัญจวนบอกอย่างภาคภูมิใจว่า
“ฉลาดๆ อย่างข้า พอจะนึกออกแล้ว คำฝายมันไปที่โรงเรียน อ้างว่าเป็นครู รับหน้าแม่นาย แทนเนื้อนาง”
กำปุ้งเสริม “ฉลาดเป็นที่สองรองจากคุณพี่ เห็นด้วยค่ะ กำปุ้งว่า คราวนี้โรงเรียนที่นังเนื้อนางมันดัดจริตให้ผู้ชายมาช่วยกันสร้างนี่แหละ จะเป็นตัวไล่มันให้กระเด็นออกไปจากปางนี้ซะเอง”
สามดาวยั่วประสานเสียง “เรื่องนี้! แม่นายต้องรู้”
ทั้งสามคนหัวเราะกระหยิ่มอย่างมีแผน ม่อนดอยได้ยินแล้ว ก็รีบผลุบหายไปทันที
สองคนอยู่มุมหนึ่งในปาง คำฝายมองม่อนดอยสีหน้ากังวลมาก
“อย่าให้นังผีเจาะปากสามตัวนั่นมันไปฟ้องแม่นายได้ ม่อนดอย แกต้องช่วยข้านะ”
“ช่วยยังไง เดี๋ยวเนื้อนางก็กลับมาแล้ว”
คำฝายฟังแล้วสีหน้ายิ่งเครียดหนัก
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ในราวป่ายามนี้ ฝนเริ่มตกมาสักครู่แล้ว เนื้อนางวิ่งเร็วรี่ฝ่าสายฝนมา เสียงฝีเท้าคนวิ่งมาทางด้านหลัง เนื้อนางหันขวับ
“เนื้อนาง ผมเอง”
หนานไตรมองเห็นเนื้อนางจึงเรียกไว้ เนื้อนางพอเห็นหนานไตรก็รีบบอก
“ไอ้ยักษ์มันอยู่ที่แคมป์แล้วค่ะ”
“คุณอยู่ที่นี่ หาที่หลบฝน ไม่ต้องตามกลับไป ผมยิงมันได้แล้วจะกลับมารับคุณ”
“ไม่ค่ะ ฉันไปด้วย”
“มันอันตราย เนื้อนาง”
เนื้อนางยืนยัน “ฉันไม่กลัว”
หนานไตรเข้ามาใกล้ บีบไหล่ “ผมเป็นห่วงคุณ”
เนื้อนางขอร้อง “ให้ฉันไปด้วยนะคะ”
หนานไตรมองเห็นแววตาขอร้องของเนื้อนางก็ใจอ่อน พยักหน้าแล้ววิ่งนำเนื้อนางกลับไปทางแคมป์
ค่ำนั้นแขไขยืนชะเง้อมองไปในความมืดรอคอยหนานไตร ธรรพ์เดินออกมามอง
“พี่ณไตรจะกลับมาคืนนี้ใช่มั้ยคะ”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ บางทีอาจจะพรุ่งนี้ หรือไม่ก็อาจจะต้องอยู่ในป่าหลายวัน”
“แขห่วงพี่ณไตร” แขไขมองไปรอบๆ “อยากออกไปเร็วๆ แขไม่อยากอยู่ที่นี่ มันมืด มันเงียบ”
“ในป่าก็แบบนี้แหละครับ คุณแขรีบทำธุระส่วนตัวก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเครื่องปั่นไฟปิดตอน 3 ทุ่ม จะยิ่งมืดแล้วก็เงียบกว่านี้”
แขไขมองไปเห็นฟ้าแลบแปลบปลาบไกลออกไป ธรรพ์มองตามสายตาแขไขแล้วพูดขึ้น
“ฝนกำลังตกในป่า”
ทั้งธรรพ์ ทั้งแขไขเห็นแล้ว ต่างมีสีหน้ากังวล ด้วยความเป็นห่วงณไตร
หนานไตรวิ่งฝ่าฝนมากับเนื้อนาง กำลังใกล้จะถึงแคมป์ จู่ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ต้นไม้ด้านหน้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เนื้อนางสะดุ้ง
“ว้าย”
เนื้อนางตกใจ เสียหลัก ผงะก้าวถอยหลัง ลื่นลงเนิน
“เนื้อนาง”
หนานไตรพุ่งตามไปคว้าร่างเนื้อนางไว้ มือเนื้อนางจับมือหนานไตรไว้แน่น สองคนกลิ้งลงจากเนินไปด้วยกัน
อีกด้านในป่า ท่ามกลางสายฝน แสงคำ หมื่นหล้ากับคนงานเปียกทั้งร่าง กำลังตามรอยเสือ เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทุกคนหยุดฟัง
“เสียงจากแคมป์...เนื้อนาง”
แสงคำใจหายวาบ วิ่งฝ่าฝนนำทุกคนออกไปโดยเร็ว
สายฝนยังตกไม่หยุด เนื้อนางกลิ้งตกลงมาจากเนิน ลืมตาขึ้นมอง พบว่าตัวเองเนื้อตัวเปียกปอน เบียดอยู่ในอกแกร่งของหนานไตร
หนานไตรลืมตาขึ้นมาพอดี สองคนสบสายตากันในระยะใกล้ เนื้อนางรีบขยับตัว หนานไตรลุกขึ้นเร็ว แล้วพยุงเนื้อนางขึ้น เนื้อนางมองหนานไตรถามขึ้นด้วยเสียงเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่เจ็บ”
เนื้อนางปฏิเสธทันที แต่พอขยับเดินก็เสียวแปลบที่ข้อเท้า จนร้องออกมาเบาๆ
“อุ๊ย”
หนานไตรก้มลงมอง แล้วจับข้อเท้าเนื้อนางดูอาการ
“อย่าค่ะ คุณหนานไตร”
เนื้อนางจะชักขากลับ แต่หนานไตรจับขาเนื้อนางไว้
“ถ้าฝืนเดิน คุณจะยิ่งปวด”
เนื้อนางก้มลงแกะมือหนานไตรออก แล้วขยับถอยห่างอย่างเกรงใจ หนานไตรลุกขึ้นมองฝ่าสายฝน
“ฝนตกหนัก มองไม่เห็นอะไรเลย ยิ่งเดินจะยิ่งหลง เราต้องหาที่หลบฝนก่อน”
เนื้อนางขยับเดิน หนานไตรมองแล้วเข้าไปช้อนอุ้มเนื้อนางขึ้น
“คุณหนานไตร ปล่อยเนื้อนางลงเถอะค่ะ”
หนานไตรไม่สน อุ้มร่างเนื้อนางที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมอก เดินตัวตรงออกไปโดยเร็ว
แสงคำ หมื่นหล้ากับคนงานตัวเปียกวิ่งฝ่าฝนหนักมาถึงแคมป์ คนงานชายที่รออยู่รีบบอก
“ไอ้ยักษ์มันหนีไปได้”
แสงคำมองหา “เนื้อนางล่ะ”
คนงาน 2 บอก “ก็วิ่งไปตามพ่ออุ๊ยนั่นแหละ”
หมื่นหล้าฉุน “อ้าว ไอ้เวร แล้วปล่อยให้ไปคนเดียวได้ยังไงวะ”
“ข้าจะออกตามเดี๋ยวนี้ เนื้อนางต้องไม่เป็นอะไร”
ทุกคนมอง เห็นแสงคำวิ่งออกไปรวดเร็วราวกับจะบิน
หนานไตร สะพายปืน อุ้มเนื้อนางในอกก้าวเดินเร็วรี่มาในสายฝน สอดตามองไปรอบๆ หนานไตรมองขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เห็นมีห้างส่องสัตว์บนต้นไม้
“ขึ้นไปอยู่บนนั้นก่อน”
“ปล่อยฉันลงสิคะ”
เนื้อนางบอก หนานไตรอมยิ้มบางๆ วางร่างเนื้อนางลงยืน
“ปีนไหวมั้ยครับ”
เนื้อนางมองต้นไม้แล้วแข็งใจ ปีนป่ายขึ้นไป หนานไตรคอยมองอยู่ด้านล่าง เนื้อนางพยายามปีนขึ้นไป แต่เกิดเจ็บขาแปลบ เสียจังหวะเหมือนจะหล่นลงมา
หนานไตรที่ตามหลังมา รีบจับเอวยึดไว้ไม่ให้เนื้อนางร่วง
เนื้อนางชะงัก หนานไตรปีนขึ้นมาซ้อนหลัง เอาร่างบังไว้ไม่ให้เนื้อนางตก แผ่นอกหนานไตรแนบอยู่
กับแผ่นหลังเนื้อนาง
เนื้อนางมองหนานไตรที่อยู่ใกล้ระยะประชิดแล้วรีบขยับตัวปีนขึ้นไปอีก หนานไตรคอยระวังหลังให้ ก่อนจะปีนตามขึ้นไป
ธรรพ์ แขไข แม่นาย คุณหญิงนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำแล้ว
จันตา บัวผุดชะเง้อมองไปทางเรือนคนงาน แม่นายสั่งขึ้น
“ป่านนี้ทำไมรัญจวนยังไม่ยกอาหารมาตั้งโต๊ะ จันตา บัวผุด ไปตามสิ”
รัญจวน สร้อยฟ้า และกำปุ้งเดินถือขันโตกมาพร้อมกับคนงานหญิงเป็นขบวนอีก 2 คน
“พอแม่นายกินขันโตกเสร็จ เราก็ต้องรีบเล่าเรื่องนังเนื้อนาง” รัญจวนวาดแผนจัดการเนื้อนาง
สร้อยฟ้าเสริม “ชั้นจะบอกว่ามันชอบให้ท่าผู้ชาย โดยเฉพาะคุณหนานไตร ผู้จัดการปาง”
กำปุ้งท้วง “แต่แม่นายท่านเป็นคนประเสริฐ อาจจะไม่ว่านังเนื้อนางมันก็ได้นะคะ คุณพี่”
รัญจวนเปลี่ยนแผนทันที “งั้นเราก็ต้องด่านังเนื้อนางเยอะๆ ใส่ไฟด่ามันทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่มันกล้าสร้างโรงเรียนในปางของแม่นาย เพราะมันดัดจริตอยากจะเป็นครู”
สามคนมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง เดินเร็วรี่จะไปที่เรือนพักหนานไตร
พลันมีเสียงหัวเราะ ฮึ ฮึ ดังขึ้น
กำปุ้งเข้าใจว่าเป็นเสียงรัญจวน “วันนี้คุณพี่หัวเราะเสียงแปลกๆ นะคะ”
รัญจวนบอก “ฉันยังไม่ได้หัวเราะ”
สามคนมองหน้ากัน แล้วหันกลับไป เห็นร่างสูงเหมือนผี ในเงามืดยืนตระหง่าน
สามดาวยั่วกรี๊ดดังทันควัน คนงานหญิงที่ตามมาพลอยตกใจ กรี๊ดตาม
กำปุ้งร้องออกมาปากคอสั่น “เปรต”
ขบวนขันโตกมองไป เห็นร่างสูงในเงามืดโยกเยกตัวไปมา พร้อมๆ กับมีเสียงกรี๊ดดังมาจากอีกทาง
กำปุ้งหันไปเห็น จันตา กับบัวผุดยืนตัวสั่น ตาค้าง อยู่
จันตาปากคอสั่น “ผะ...ผี”
เสียงกรี๊ดยิ่งดังลั่น ร่างสูงโยกเยกตัวอีก แล้วกรีดร้องขึ้นกลางอากาศเสียงโหนหวนบาดทรวง
พวกรัญจวนตกใจ วิ่งชนกัน ขันโตกที่ถือมาหกกระเด็นเซ็นซ่านลงพื้น คนงานหญิงทิ้งขันโตกพากันวิ่งหนี
รัญจวนยกมือท่วมหัว “พุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่ามาหลอกมาหลอนเลย พรุ่งนี้จะกรวดน้ำไปให้”
จันตายืนตาค้าง บัวผุดกระชากแขนพาวิ่งหนี
“ไปเร็วป้า เดี๋ยวผีก๊ะ ผีเปรตหักคอ”
สองบ่าววิ่งหนีไปทางเรือนพักหนานไตรอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกรัญจวนกลัวจนก้าวขาไม่ออก
สร้อยฟ้าวิ่งหน้าตั้งไปก่อน รัญจวนวิ่งตาม
“รอข้าด้วย นังสร้อยฟ้า”
เหลือกำปุ้งที่พยายามจะก้าวขาวิ่ง แต่ได้ยินเสียงต่ำๆ ของร่างสูงที่พูดขึ้นว่า
“เก็บขันโตกของเอ็งไปด้วย”
กำปุ้งบ้าจี้ ยื่นมือไปเก็บขันโตก มือของร่างสูงแตะลงมาบนมือกำปุ้งหมับ กำปุ้งกรี๊ดสนั่นลั่นปาง ทิ้งขันโตกวิ่งหนีไปโดยไว
“ขันอะไร ก็ไม่เอาแล้ว”
ร่างสูงยืนมองจนไม่เหลือใครแล้ว ผ้าขาวคลุมถูกเปิดออก
เผยให้เห็นว่าที่แท้เป็นคำฝายที่ขี่คอม่อนดอย ถอดหน้ากากผี สองคนแกล้งทำผีหลอกขบวนขันโตก ต่างหัวเราะชอบอกชอบใจ ที่สามารถสกัด สามดาวยั่วไม่ให้ไปฟ้องพวกแม่นายศรีวัลลาเรื่องเนื้อนางได้
สองบ่าวกลับมารายงานเรื่องผีเปรต แม่นายลุกขึ้น โมโหสุดขีด มองจันตา กับบัวผุดที่พนมมือ หลับตาปี๋
“พวกแกมันบ้า ไม่มีผีอะไรทั้งนั้น”
คุณหญิงมาลัยเริ่มกลัว “ก็ไม่แน่นะคะ นี่มันกลางป่ากลางดอย”
คุณหญิงเบียดมาใกล้แขไข ธรรพ์มองแม่นายที่สีหน้าโมโหมาก
“ผมไปดูเองครับ”
“ไม่ต้อง ธรรพ์ อยู่ที่นี่ ตรงนี้มีแต่ผู้หญิง จันตา บัวผุด ไปทำกับข้าวมาใหม่”
จันตา กะบัวผุดมองหน้ากันอย่างหวาดกลัวไม่หาย แม่นายสั่งย้ำ
“ไปสิ แกจะกลัวผี หรือ กลัวชั้น”
“แม่นาย ค่ะ กลัวแม่นายคนเดียว”
จันตากับบัวผุดรีบวิ่งลงจากเรือนด้วยความกลัวแม่นายมากกว่าผี
แขไขหันไปบอกแม่นาย
“พี่ณไตรกลับมาเมื่อไหร่ เรารีบพาพี่ณไตรกลับบ้านเลยนะคะ”
ส่วนบนห้างส่องสัตว์กลางป่าตอนนี้ หนานไตรนั่งอยู่ใกล้ชิดเนื้อนาง สองคนตัวเปียก ฝนยังตกไม่ขาดเม็ด
หนานไตรหันมามองเนื้อนาง ถอดเสื้อออกห่มคลุมกายให้ เนื้อนางหันมองสบตาเขาในระยะประชิด หนานไตรมองแล้วเลื่อนมือมาปัดหยดน้ำฝนที่ปลายผมอย่างเบามือ
“ฝนหยุด แล้วเราค่อยกลับนะครับ”
เนื้อนางกังวล “ตาคงกำลังเป็นห่วงฉัน”
“นึกว่าจะคุณพูดว่า แสงคำเป็นห่วง”
หนานไตรประชดขึ้น มองจ้องเนื้อนางว่าจะมีท่าทียังไง เนื้อนางมองสายตาคมกริบคู่นั้น แล้วตอบด้วยเสียงมั่นใจ
“อ้ายแสงคำต้องเป็นห่วงเนื้อนางอยู่แล้ว”
“รู้หรือเปล่า เนื้อนาง มีคนเป็นห่วงคุณมากกว่าแสงคำ”
หนานไตรทอดเสียงนุ่ม จดสายตามองเนื้อนางที่ตอนนี้ใบหน้าเนื้อตัวเปียกฝน หยาดน้ำเกาะพราว ด้วยแววตาหลงใหล เนื้อนางรีบหลบสายตาด้วยความอาย
ฝ่ายแสงคำวิ่งฝ่าฝน ร้องเรียกหาเนื้อนางลั่นป่า
“เนื้อนาง...เนื้อนาง”
แววตา และสีหน้าแสงคำมีแต่ความเป็นห่วง กังวลจนแทบบ้า
เนื้อนางมองสายฝนที่ยังโปรยปราย แล้วเหลือบมองหนานไตร
หนานไตรยิ้มสบายๆ ทอดสายตามองมาที่เนื้อนาง นั่นยิ่งทำให้เนื้อนางสะท้านไปทั้งตัวจนต้องกอดตัวเอง
“คุณหนาว”
“ไม่ค่ะ”
“ไม่หนาวแล้วคุณจะกอดตัวเองทำไม”
เนื้อนางรีบปล่อยมือที่กอดตัวเอง หนานไตรไม่สนใจ ดึงเนื้อนางมาใกล้ เนื้อนางขืนตัวเต็มแรง
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก เนื้อนาง”
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ”
“คุณกำลังหนาว เดี๋ยวจะเป็นไข้ ไม่รู้เหรอว่า ไอตัวจะช่วยให้อุ่นได้”
หนานไตรเสียงดุ ใช้แรงดึงเนื้อนางมากอดไว้จนได้
“อุ่นขึ้นหรือยัง”
เนื้อนางช้อนตาขึ้นมอง หนานไตรก้มมองอยู่แล้ว สองสายตามองกันใกล้แค่คืบ อ้อมแขนหนานไตรแกร่งแข็งและแบอุ่น แต่ทว่าเนื้อนางกลับยิ่งหนาวเหน็บ กายสาวสะท้าน
“ตัวคุณสั่น”
“ปล่อยเนื้อนางเถอะค่ะ”
หนานไตรมองเนื้อนางที่มองมา ขอร้องดวยสายตาจริงจัง จนต้องยอมปล่อย
“ไม่ต้องหนีไปนั่งไกลๆ อีกนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก บนนี้มันนอนไม่ค่อยสบาย”
เนื้อนางหันขวับมองหนานไตรด้วยความระแวง หนานไตรเห็นสายตาเนื้อนางก็หัวเราะ
“ผมล้อเล่น”
เนื้อนางนั่งตัวเกร็งตลอดเวลา หนานไตรยิ้มให้ สุขใจอยู่คนเดียว
ทางด้านแม่นายศรีวัลลาเดินลงมานั่งที่โต๊ะอาหาร จันตา กับบัวผุด กำลังเอาอาหารจัดวางบนโต๊ะ แขไข คุณหญิงมาลัย นั่งใกล้กัน ธรรพ์มองไปที่ฟ้าด้านนอก
“ในป่าฝนคงตกทั้งคืน ไอเย็นหนาวมาถึงที่นี่”
“ถ้าพรุ่งนี้ณไตรยังไม่มา เอาคนออกตามได้แล้วนะ ธรรพ์” แม่นายบอก
“ครับ แม่นาย”
ขณะที่คุณหญิงมาลัยกำลังจะตักข้าวกิน ไฟดับพรึ่บ เสียงคุณหญิงกรี๊ดดังขึ้นมาก่อน ตามด้วยเสียงจันตา บัวผุดที่ตกใจ ทำจาน ช้อนหล่นบนพื้นดังเกรียว
คุณหญิงตกใจมาก รีบกอดแขไข ตรงข้ามกับแม่นายที่นั่งนิ่งอย่างคุมสติ
“ไม่มีอะไรนะครับ เค้าดับไฟแล้ว เครื่องปั่นไฟปิดตามเวลา”
“ก็ให้มันเปิดทั้งคืนไม่ได้หรือไง นี่แม่นายเป็นเจ้าของปางนะ จะให้อยู่มืดๆ น่ากลัวจะตาย” คุณหญิงมาลัยบ่น
ธรรพ์เอาตะเกียงมาวางลงที่บนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ผมจะไปบอกคนงานให้ครับ”
ธรรพ์หันไปมองแม่นายอย่างอ่อนใจกับความขี้ตื่น ขี้โวยวายของคุณหญิง
ระหว่างนี้ คำฝาย กะ ม่อนดอย แอบมองอยู่หลังพุ่มไม้ข้างเรือน มองไปยังกลุ่มของแม่นายบนเรือนในแสงตะเกียง
คำฝายยิ้มย่อง “คนเมือง! จะมาทนลำบากกลางป่ากลางดอยได้กี่วัน”
ม่อนดอยผสมโรง “เดี๋ยวก็เปิดแน่บ หนีกลับบ้าน”
สองทะโมนไพรมองหน้ากัน ยิ้มให้กันอย่างมั่นอกมั่นใจ
หนานไตรมองจากห้างส่องสัตว์ลงมา พบว่าฝนหยดลงพรำๆ และกำลังจะขาดเม็ดในไม่ช้า เนื้อนางกำลังกอดเข่า นั่งสัปหงกนิดๆ หนานไตรหันมามอง เนื้อนางพยายามจะฝืนตัวเอง แต่ก็สัปหงกลงอีกจนได้ หนานไตรมองแล้วยิ้มขัน
เนื้อนางที่โงกหลับไป รู้สึกตัวตื่น รีบยืดตัว พอหันมาเห็นหนานไตรอมยิ้มมองอยู่ ก็ยิ่งอาย
หนานไตรตบลงบนบ่าตัวเอง “นุ่มนะ พิงได้ ซบได้ หลับได้ แล้วก้อน้ำลายย้อยใส่ได้ ไม่คิดตังค์”
เนื้อนางอายมาก พยายามยืดตัวตรง
“ฉันยังไม่ง่วง”
หนานไตรหัวเราะ เนื้อนางหันขวับมาค้อนกิริยาน่ารัก หนานไตรมองตาหวานฉ่ำ
เนื้อนางทำเป็นกอดอกนั่งตัวตรง เพื่อฝืนความง่วงของตัวเอง
หนานไตรมองใบหน้านวล แง่งอน ที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยรอยยิ้ม
ในแสงตะเกียงบนระเบียงเรือนพักหนานไตร แขไขที่ยืนชะเง้อมองฝ่าไปในความมืด
“พี่ณไตรจะเป็นยังไงบ้าง ในป่าคงทั้งมืดทั้งหนาว”
ธรรพ์ยืนอยู่ด้านหลัง มองแขไขที่ไม่ยอมนอน
“พี่ไตรคงไม่กลับมาคืนนี้ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย ผมว่าคุณแขเข้านอนดีกว่านะครับ”
“แต่แขอยากให้พี่ณไตรเห็นแขเป็นคนแรก”
แขไขยังดื้อ เอาแต่มองไปในความมืด
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นไกลๆ แขไขตกใจ ร้อง “ว้าย”
ธรรพ์รีบเดินเข้ามา ฟ้าผ่าอีกครั้ง แขไขหันหลังมาชนเข้ากับธรรพ์
เสียงฟ้าผ่าแรงลงมาอีกที แขไขปิดหู หลับตาปี๋ ซุกลงในอกของธรรพ์
ธรรพ์กอดปลอบแขไขอย่างสุภาพบุรุษ
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณแข”
เสียงปลอบขวัญของธรรพ์อ่อนโยน นุ่มนวล จนแขไขเงยขึ้นมอง
ธรรพ์กับแขไขมองกันในระยะใกล้ ธรรพ์ยิ้มให้ ค่อยๆ ปล่อยแขไขออกห่าง
“ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้หน้าตาจะได้สดใส รอรับพี่ไตร”
แขไขยิ้มออก “ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่พี่ธรรพ์ แขคงไม่รู้จะทำตัวยังไงให้ถูกใจพี่ณไตร”
แขไขยิ้มแววตาเป็นประกาย เดินผ่านธรรพ์เข้าไปด้านใน
ธรรพ์ยิ้มให้หันหลังมองตาม แววตาเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าลง ตระหนักชัดว่าทุกลมหายใจแขไขมีแต่ณไตร
ที่แคมป์กลางป่า ฝนยังลงเม็ด แสงคำเดินกลับมาอย่างเหนื่อยล้า อิดโรย หมื่นหล้ามองสีหน้าแสงคำก็รู้
“ไม่เจอ”
แสงคำบอกสีหน้าผิดหวัง หมื่นหล้าคำรามออกมาด้วยเสียงไม่พอใจ
“คุณหนานไตรก็หายไปด้วย”
แสงคำฟังแล้วยิ่งโมโห กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
หยดฝนกลิ้งหล่นจากใบไม้ เนื้อนางหลับซบอยู่บนไหล่ของหนานไตรนั่นเอง
หนานไตรพิงหัวอยู่กับต้นไม้ด้านหลัง ตัวเกร็ง กลัวเนื้อนางจะตื่น ทั้งๆ ที่เมื่อยขบไปหมดทั้งตัว แต่หนานไตรก็ยิ้มสุขล้น
หนานไตรค่อยๆ ขยับตัวด้วยความเมื่อย เนื้อนางขยับตาม หนานไตรแทบไม่กระดุกกระดิก เนื้อนางขยับอีกที หนานไตรค่อยๆ เอามือประคองหัวเนื้อนางเบาๆ ให้เอียงซบลงมาในท่าสบายมากขึ้น
เนื้อนางหลับสนิท ลมหายใจสะท้อนเบาๆ หนานไตรเหลือบมองใบหน้างามที่อยู่ใกล้แค่ลมหายใจรดด้วยรอยยิ้มมีความสุขเหลือล้น
ละอองฝนที่กำลังโปรยปรายในอากาศรายรอบ คล้ายม่านกำบังให้สองร่างอิงแอบแนบชิดกัน ออกจากโลกภายนอก
น้ำค้างหยดลงจากใบไม้ยามรุ่งเช้า หนานไตรลืมตาตื่น มองเห็นตะวันกำลังขึ้นเบื้องหน้า เนื้อนางตื่นขึ้น ตามความคุ้นชิน พอรู้สึกตัวเห็นว่าตัวเองพิงไหล่หนานไตรอยู่ ก็รีบขยับออก สีหน้าเกรงใจ
“เมื่อคืนฉันหลับไปแบบนี้ คุณคงเมื่อย”
“เมื่อยครับ แต่ไม่กล้าขยับ กลัวคุณตื่น”
“ขอบคุณนะคะ”
“ผมไม่อยากได้คำขอบคุณ”
หนานไตรมองจ้อง จนเนื้อนางใจเต้นตึกตัก หนานไตรยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่ม
“ผมขอเป็นรอยยิ้มได้มั้ย”
เนื้อนางมองสบตาหนานไตร แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มระบายจนเต็มใบหน้างาม หนานไตรมองชื่นใจ
“เนื้อนาง คุณรู้มั้ย ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อรอยยิ้มของคุณ”
เนื้อนาง กับหนานไตรมองสบตากันด้วยความรู้สึกหวาบหวามในใจโดยประหลาด
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ได้ยินเสียงหม้อไหถูกปัดตกลงพื้นดังกราวใหญ่มาจากในโรงครัว ปางหิมวัต เป็นฝีมือของ จันตา กับบัวผุดที่หันไปเหวี่ยงหม้อข้าวปลิวออกไปทางหน้าต่าง
รัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้า กับเหล่าคนงานหญิงนั่งพับเพียบ พากันมองอย่างตกใจ
แม่นายศรีวัลลากวาดตามองทุกคนด้วยสายตาอันทรงอำนาจ
“เมื่อวานพวกแกกลัวผีบ้าผีบอ มากกว่าเชื่อฟังคำสั่งฉัน”
“ผีเปรต ผีก๊ะมันมาหลอกพวกเราจริงๆ นะคะ แม่นาย” รัญจวนว่า
แม่นายสวนขึ้น “มันไม่ใช่ผี มันเป็นคนที่ไม่ต้องการให้ฉันอยู่ที่นี่”
จันตา กับบัวผุดหันไปหยิบผ้าขาวผืนยาวกับหน้ากากผี ปาลงตรงหน้าพวกรัญจวน
“ชั้นเจอในพุ่มไม้ พวกแกแกล้งทำผีหลอก” จันตาบอก
แม่นายกราดมองสายตาคมกริบ “พวกแกปิดบังอะไรชั้นอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่เลยนะคะ พวกเราไม่เกี่ยว พวกเราไม่เคยคิดจะปิดแม่นายเลยค่ะ” สร้อยฟ้าบอก
กำปุ้งโพล่งขึ้น “นังคำฝายต่างหากค่ะ ที่มันโกหกแม่นาย”
แม่นายตาวาววับขึ้นมาทันที
“คำฝายมันโกหกอะไรฉัน”
ทุกคนถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นแม่นายแผดเสียงถามด้วยความโมโหถึงขีดสุด
ฟากคำฝายยังไม่รู้ชะตา เดินยิ้มกริ่มมากับม่อนดอย ตรงมาที่โรงเรียน
“ป่านนี้พวกแม่นายคงกลับลงไปในเวียงกันหมดแล้ว”
คำฝายหัวเราะ แต่พอเดินเข้ามาในโรงเรียนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นแขไขยืนจ้องอยู่ข้างโต๊ะนักเรียน ที่มีเด็กๆ นั่งกันอยู่แล้ว
“ครูอีกคนอยู่ที่ไหน เด็กพวกนี้บอกฉันว่า มีครูอีกคน ชื่อเนื้อนาง”
คำฝายกับม่อนดอยถึงกับพูดไม่ออก
หนานไตรยืนอยู่บนพื้นแล้ว เงยหน้ามองเห็นเนื้อนางที่กำลังปีนต้นไม้ลงมา หนานไตรเข้าไปช่วยยกร่างเนื้อนางให้ลงมาโดยง่าย เนื้อนางเอี้ยวมองหนานไตรที่จับเอวยกร่างตัวเองไว้สูง
หนานไตรค่อยๆ ปล่อยร่างเนื้อนางลงพื้น
“ตัวคุณเบาเหมือนนุ่น”
เนื้อนางอาย พยายามถอยห่างออกมา หนานไตรมองเป็นห่วง
“เดินไหวมั้ย เนื้อนาง ยังเจ็บข้อเท้าอยู่หรือเปล่า”
“ไหวค่ะ ฉันเดินไหว”
หนานไตรยิ้มเย้า รู้ทัน “กลัวผมอุ้มกลับไปล่ะสิ”
“ฉันเดินไหวจริงๆ ค่ะ”
เนื้อนางถอดเสื้อเชิร์ตคืนหนานไตร
“ที่จริงคุณน่าจะเก็บเสื้อผมไว้ หนาวเมื่อไหร่ เอามาใส่ เหมือนผมกำลังกอดคุณ”
เนื้อนางรีบยัดเสื้อใส่มือหนานไตร แล้วหันหน้าหนีซ่อนแววตาอายทันที
หนานไตรหัวเราะชอบใจที่ได้แหย่
“ขาคุณยังเจ็บ เราเดินกลับไปช้าๆ แล้วกันนะครับ ไม่ต้องรีบ”
เนื้อนางรีบก้าวนำออกไป หนานไตรมองร่างบางตรงหน้า ขยับไปเดินเคียงข้างอย่างมีความสุข
คำฝายมองคุณหญิงมาลัยที่เดินเข้ามาใกล้พลางถาม
“ผู้หญิงชื่อเนื้อนางอยู่ที่ไหน”
คำฝายถดตัวถอย ม่อนดอยถอยด้วย
“ไม่มี ไม่มีคนชื่อเนื้อนาง”
รัญจวนเข้ามาทางด้านหลัง จิกผมคำฝายไว้ ส่วนม่อนดอยถูกกำปุ้งกับสร้อยฟ้ากันไว้ ไม่ให้หนี
“เอ็งกล้าโกหกแม่นายเหรอ อีคำฝาย” รัญจวนตะคอก
คำฝายกับม่อนดอยหันไปมองเห็นแม่นาย คุณหญิงที่มากับพวกรัญจวน
แม่นายหันไปพยักหน้าให้จันตา จันตาแถเข้าไปทันที
“ไอ้อีคนไหน บังอาจมุสาต่อหน้าแม่นาย มันต้องโดน”
จันตาตบคำฝายเต็บแรง คำฝายหน้าสะบัด จันตายังตบซ้ำอีกสองทีติดๆ คำฝายถึงกับเลือดกบปาก ม่อนดอยมองด้วยความสงสาร แต่เข้าไปช่วยไม่ได้ แขไขรีบมายืนข้างแม่นายกับคุณหญิง
รัญจวนบอก “เนื้อนางต่างหากที่มันเป็นครู”
“เอาตัวเนื้อนางมาเดี๋ยวนี้” แม่นายสั่ง
“มันหายหัวไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ” กำปุ้งบอก
“ชั้นสั่งว่าไปเอาตัวมา ตอนนี้!! ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไปลากตัวมา”
คำฝายเอ่ยขึ้น “อย่านะ เนื้อนางไม่เกี่ยว”
คำฝายดิ้น แม่นายเหลียวขวับมองคำฝาย
“ฉันโกหกแม่นายเอง เนื้อนางไม่เกี่ยว อย่าทำอะไรเนื้อนาง”
“ไล่เนื้อนางมันออกไปเลยค่ะ” รัญจวนสาระแน
แม่นายตวาด “หุบปาก ฉันไม่ถาม ใครห้ามพูด”
พวกรัญจวนตกใจ เงียบกริบ
“บอกมาเดี๋ยวนี้ แกเอาเนื้อนางไปซ่อนไว้ที่ไหน” แขไขถามคำฝาย
ม่อนดอยสงสาร “คำฝายบอกแม่นายไป”
คำฝายไม่ยอมพูด แม่นายเข้ามาบีบปากคาดคั้น
“ชั้นถาม พูดออกมา”
ธรรพ์วิ่งเข้ามาถึง มองเห็นก็รีบห้าม
“แม่นายครับ อย่าทำแบบนี้”
ทุกคนหันไปมองธรรพ์ แขไขตาวาวด้วยความโกรธ
“พี่ธรรพ์ อย่ามาห้าม”
“พี่ต้องห้ามครับ คุณแข ยังไงพวกเค้าก็ทำงานให้เรา มีอะไรก็พูดจากันดีๆ อย่าให้ใครมาว่าเราป่าเถื่อน ทำร้ายคนงาน บ้านเมืองมีกฎหมายนะครับ”
แม่นายมองลูกชายที่เอ่ยเตือนสติขึ้น ด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟากหนานไตรเดินนำเข้ามาในบริเวณแคมป์ แสงคำที่เดินวุ่นวายใจ หันไปเห็นคนแรก พุ่งเข้าไปหา
“คุณเอาเนื้อนางไปไว้ที่ไหน”
แสงคำตะคอกถาม หนานไตรด้วยสีหน้าโมโห
“ถ้าฉันจะเอาตัวเนื้อนางไปจริงๆ รับรองว่าฉันพาไปได้ไกลกว่าป่านี้แน่” หนานไตรยั่ว
แสงคำกำหมัดแน่น
“อ้ายแสงคำ”
แสงคำหันไปมองเห็นเนื้อนางเดินตามมาทีหลัง สีหน้าแสงคำโล่งใจมากที่เห็นยอดดวงใจ
“หายไปไหนมา เนื้อนาง”
“ตาจ๋า”
เนื้อนางมองไปยังหมื่นหล้า ก้าวขาจะวิ่งเข้าไปหาตา แต่รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า เซแล้วล้มลง
หนานไตรกับแสงคำอุทานพร้อมกัน “เนื้อนาง”
หมื่นหล้ารีบเข้าประคองเนื้อนางไว้ เนื้อนางรีบบอก
“เมื่อวานเนื้อนางตกเขา”
“ทำไมตกเขา...ตกได้ยังไง” ชายชราถาม
แสงคำเหลียวขวับไปมองหนานไตร อีกฝ่ายจ้องกลับ
“ไม่มีอะไรจ้ะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางวิ่งฝ่าฝนกลับมาที่นี่ เลยลื่นตกเขา”
“หมื่นหล้ากับเนื้อนางรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะกลับไปเอารถมารับ เนื้อนางจะได้ไม่ต้องเดิน”
“อย่าลำบากเลยครับ คุณหนานไตร” หนานไตรมองแสงคำที่ขัดขึ้น “เราดูแลกันได้” แสงคำยิ้มๆ “ผมดูแลเนื้อนางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
หนานไตรมองเห็นรอยยิ้มเยาะขณะแสงคำย่อตัวลง เนื้อนางเกาะหลังแสงคำ จากนั้นแสงคำแบกเนื้อนางขึ้นหลังอย่างชำนาญ หนานไตรตาลุกวาว พอเห็นเนื้อนางเอาแขนคล้องคอแสงคำ ก็ยิ่งใจร้อนเป็นไฟ
แสงคำหันไปถามเนื้อนางยิ้มๆ “ทำไมตัวเบากว่าแต่ก่อน”
แสงคำแบกร่างเนื้อนางเดินผ่านหน้าหนานไตรไป
เนื้อนางมองสบตาหนานไตรแวบหนึ่ง หนานไตรกำปืนในมือ ได้แต่มองตามอย่างขุ่นเคืองใจ
บนเรือนพักหนานไตรตอนนี้ ธรรพ์ยืนอยู่ท่ามกลางทุกคนที่สีหน้าโกรธจัด จันตา กับ บัวผุด อยู่ห่างออกไป
“ทำไมพี่ธรรพ์ต้องห้าม หรือพี่ธรรพ์เห็นพวกคนงานดีกว่าเรา” แขไขโกรธมาก
“อย่าเอาแต่อารมณ์นะครับ คุณแข ถ้าเราทำร้ายคำฝาย แล้วคนงานอื่นๆ เค้าจะมองเรายังไง”
“ก็ช่างมันสิ หลานธรรพ์ พวกมันก็แค่คนงาน” คุณหญิงมาลัยว่า
“ไม่ใช่คนงานพวกนี้หรือครับ ที่ทำให้ปางไม้หิมวัติยิ่งใหญ่มาได้”
ทุกคนชะงัก มองธรรพ์ที่ใช้เหตุผลอธิบาย
“เรามาที่นี่เพราะอยากรู้เรื่องผู้หญิงคนเดียว อย่าทำให้ทุกอย่างบานปลาย ถ้าพี่ไตรกลับมารู้เรื่องนี้เข้า คิดหรือครับว่าพี่ไตรจะยอมกลับไปที่บ้านอีก”
แม่นายประชดประชัน “ท่าทางแกจะรักที่นี่เหมือนพี่ชายแกอีกคนแล้วนะ ธรรพ์”
“ผมยังไม่รักที่นี่หรอกครับ แต่ผมเห็นแล้วว่าทำไมพี่ไตรถึงชอบอยู่ที่นี่ พี่ไตรต้องการพิสูจน์ตัวเอง ถึงออกไปล่าเสือกับพวกควาญช้าง”
“ฉันว่ามันกำลังหลงผู้หญิงที่ชื่อเนื้อนางนั่นต่างหาก ฉันอยากเห็นหน้าเนื้อนาง”
“ถ้าแม่นายอยากเห็นเนื้อนาง แล้วก็ไม่ต้องเสียพี่ไตรไปด้วย แม่นายเชื่อผมสักครั้งนะครับ”
ทุกคนมองธรรพ์ด้วยสายตาสงสัยว่าธรรพ์คิดจะทำอะไร
หนานไตรเดินตามหลังแสงคำที่มีเนื้อนางอยู่บนหลัง สายตาหนานไตรไม่พอใจเต็มที่ พอเข้าเขตปางหิมวัต เนื้อนางเอ่ยขึ้น
“ปล่อยเนื้อนางลงเถอะ อ้ายแสงคำ”
แสงคำไม่ยอม “อ้ายจะไปส่งที่เรือน”
“เนื้อนางเดินเองไหวจ้ะ”
แสงคำปล่อยเนื้อนางลงทันทีอย่างว่าง่าย เนื้อนางลองยืน แสงคำยังยื่นแขนให้เนื้อนางเกาะพยุงตัวไว้ หนานไตรมองอย่างไม่สบอารมณ์
หมื่นหล้ามองภาพแสงคำ เนื้อนาง และหนานไตรอย่างหนักใจ
เสียงธรรพ์ดังขึ้น “กลับมาแล้วเหรอครับ”
หนานไตรหันไปมองทางเสียง เห็นธรรพ์เดินมาหยุดตรงหน้าก็ตกใจ คิดไม่ถึง
ขณะเดียวกัน รัญจวนเหวี่ยงคำฝายกลิ้งล้มลงกับพื้นโรงครัว กำปุ้ง และสร้อยฟ้าช่วยกันเหยียบมือคำฝายไว้คนละข้าง
รัญจวนกระโดดขึ้นคร่อมคำฝาย แล้วบีบคอ
“แม่นายเปิดทางสะดวกให้อีรัญจวนบรรเลงเพลงตบได้ตามอัธยาศัย”
รัญจวนขย้ำคอแรงขึ้น คำฝายดิ้นรนสุดชีวิต
ส่วนหนานไตรมองธรรพ์ที่ยืนตรงข้ามอย่างนึกไม่ถึง ทุกคนมองธรรพ์อย่างคนแปลกหน้า ธรรพ์ยิ้มกับทุกคนอย่างมีไมตรี และมองตรงไปที่เนื้อนาง หนานไตรมองแล้วรีบพูดขึ้น
“คุณธรรพ์มาตรวจปางหรือครับ”
ธรรพ์มองงง ย้อนถามน้ำเสียงสงสัย ที่พี่ชายเรียกเขาว่าคุณธรรพ์
“คุณธรรพ์”
หนานไตรย้ำ “ครับ คุณธรรพ์ ลูกชายแม่นายศรีวัลลา เจ้าของปางนี้ ผม หนานไตร ไงครับ”
ธรรพ์ยิ่งงงหนัก “หนานไตร”
หนานไตรฉีกยิ้ม “ครับ” เน้นคำอีกว่า “หนานไตร ผู้จัดการปาง”
ธรรพ์มองพี่ชายที่ฝืนฉีกยิ้มเต็มที่
“ผมว่าเชิญคุณธรรพ์ที่เรือนพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องล่าเสือให้ฟัง”
หนานไตรมองน้องด้วยสายตาเป็นเชิงบังคับ ธรรพ์มองสีหน้าอึดอัดของพี่ชาย
“เชิญเลยครับ”
ธรรพ์หันไปหาทุกคนแล้วหยุดสายตาที่เนื้อนาง อดชื่นชมความงามของเธอไม่ได้ เนื้อนางมองธรรพ์อย่างไม่เคยเห็นหน้า
“คุณคงชื่อ...เนื้อนาง”
หนานไตรรีบพูด “ไปกันเลยมั้ยครับ คุณธรรพ์”
ธรรพ์เห็นท้ายเสียงพี่ชายเริ่มแข็ง จึงขยับ
“ไปสิ นำฉันไป” เขาหันไปมองพี่ชายเรียกชื่อออกมาว่า “หนานไตร”
หนานไตรรีบเดินนำธรรพ์ ธรรพ์ยิ้มให้เนื้อนางอีกครั้งแล้วเดินตามไป แสงคำมองฉงนท่าทีนั้น
“ทำไมลูกชายแม่นายเค้าถึงจ้องแต่เนื้อนาง”
“ก็เค้าไม่เคยเห็นเนื้อนางนี่จ๊ะ”
ทุกคนมองตามธรรพ์ที่เดินห่างไปกับหนานไตร
ม่อนดอยวิ่งเข้ามาจากอีกทาง แสงคำหันไปเห็นก็ถามทันที
“ลูกชายแม่นายเค้ามาทำไมวะ ม่อนดอย
“ก็จะมาเล่านี่แหละ รู้หรือเปล่าตอนที่ไปล่าเสือกันน่ะ ในปางนี่ก็มีเสือตัวเมียอาละวาดมันจะฆ่ากันตายแล้ว” ม่อนดอยเล่นลิ้นตามประสา
เนื้อนาง กับแสงคำหันไปมองม่อนดอยที่ทำท่าสยอง ด้วยความสงสัย
รัญจวนบีบคอคำฝาย มีสร้อยฟ้า กับกำปุ้งบดขยี้ลงบนมือคำฝายที่เจ็บจนหน้าเขียว
“แม่นายเป็นใหญ่ที่นี่ เค้าจะไล่เนื้อนางออกไป หน้าไหนก็ห้ามขวาง”
คำฝายฟังแล้วสุดทน เอาหัวโขกหัวรัญจวน รัญจวนผงะร้องลั่น
“คุณพี่”
คำฝายอาศัยแรงฮึด บ้าดีเดือด กระชากมือออกแล้วลุกขึ้น กำปุ้ง กับสร้อยฟ้าพุ่งเข้าหา คำฝายถีบกำปุ้งเต็มแรง หงายหลัง แล้วคว้าเก้าอี้ไม้ขว้างใส่สร้อยฟ้า
“เนื้อนางไม่ได้ทำผิดอะไร หน้าไหนจะมาไล่ ข้ามศพอีคำฝายไปก่อน”
รัญจวนลุกได้ ตบคำฝายดังฉาด คำฝายหน้าสะบัด
รัญจวนจะตามมาซ้ำ คำฝายสวนหมัดเข้าหน้าจังๆ จนรัญจวนเซ
กำปุ้ง สร้อยฟ้าจะเข้าหา แต่คำฝายบ้าเลือด คว้าเก้าอี้ไม้ปาใส่ สองสาวกรี๊ด วิ่งถอย
“ใครอยากตาย เข้ามา”
สามคนถอยกรูด คำฝายหันไปคว้าเก้าอี้อีกตัว
“รักษาชีวิตเราไว้ก่อนดีกว่าค่ะ คุณพี่ อีคำฝายมันยิ่งกว่าหมาบ้าแล้ว” กำปุ้งบอก
จากนั้น สามคนพากันวิ่งหนี คำฝายโยนเก้าอี้ไล่หลัง มองตามแค้นๆ
“ยังบ้าได้มากกว่านี้อีกโว๊ย”
ขณะที่หมื่นหล้าประคองเนื้อนางจะขึ้นเรือน แสงคำมองอยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นห่วง คำฝายเดินกลับมา หัวยุ่งฟูหน้าตาโมโหจัด ทุกคนหันไปมองสภาพคำฝายก็ตกใจ โดยเฉพาะเนื้อนาง
“พี่คำฝาย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ใครทำอะไรพี่”
แสงคำถาม “ไปกัดกับหมาที่ไหนมา”
คำฝายกระแทกเสียงหมั่นไส้ “ก็พวกหมาหมู่ อีคุณพี่รัญจวนน่ะสิ”
หมื่นหล้างง “มีอะไรกัน”
“มีเยอะเลยล่ะ พ่ออุ๊ย ก็เรื่องเนื้อนางเป็นครูนี่แหละ”
เนื้อนางมองคำฝาย ด้วยสีหน้าสงสัย
ทางฝ่ายหนานไตรเดินเข้าหาธรรพ์ สีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรกัน แค่เนื้อนางเป็นครูสอนเด็กชาวบ้าน แม่นาย แขไขกับคุณหญิงถึงกับมาอาละวาดเลยเหรอ แล้วนี่อยู่ไหน”
“ผมขอร้องให้กลับเข้าเวียงไปก่อน แต่รับรองว่าแม่นายกลับมาอีกแน่ๆ”
หนานไตรมองธรรพ์ แววตาเป็นกังวล
“แม่นายอยากเห็นหน้าเนื้อนางให้ได้ ผู้หญิงคนเมื่อกี้ใช่มั้ยครับ เนื้อนาง ...สวยมาก”
“ถ้าแกคิดว่าฉันหลงความสวย ฉันยอมรับว่าใช่ ครั้งแรกที่ฉันเห็นเนื้อนางฟ้อนแง้น ฉันแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะมีผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ แต่นอกจากความสวย ถ้าแกได้รู้จักเนื้อนาง แกจะชื่นชมความคิดกับจิตใจที่รักศักดิ์ศรีตัวเอง” หนานไตรยิ้มชื่น “แล้วฉันก็อยากเป็นคนทะนุถนอมหัวใจดวงนั้น”
ธรรพ์มองเห็นแววตาหนานไตรมีความสุขเหลือแสนเมื่อได้พูดถึงเนื้อนาง
เนื้อนางเดินเร็วเป็นพายุมาตามทางในปาง มีคำฝายวิ่งตามด้านหลัง
“ทำไมแม่นายถึงไม่อยากให้มีโรงเรียนที่นี่ เนื้อนางต้องพูดกับคุณหนานไตร”
สองหนุ่มยังคุยกันอยู่บนเรือนพักหนานไตร
หนานไตรมองธรรพ์ที่สีหน้าเครียดไปด้วยเมื่อรู้เรื่องพี่ชายรักเนื้อนาง
“แม่นายไม่มีวันยอมให้พี่รักเนื้อนาง แทนที่จะรักสะใภ้ที่แม่นายเลือกให้อย่างคุณแขไข”
“ฉันมั่นใจว่าถ้าแม่นายรู้จักเนื้อนาง แม่นายจะยอมรับเนื้อนางได้”
“ไม่มีใครเปลี่ยนสิ่งที่แม่นายตัดสินใจไปแล้ว พี่เองก็รู้ใช่มั้ย ถึงไม่ยอมบอกเรื่องเนื้อนางกับพวกเรา”
“วันนึงทุกคนก็ต้องรู้ ตอนที่ฉันพาเนื้อนางไปในฐานะคนรัก แต่ตอนนี้ฉันขอเวลาให้จัดการเรื่องสำคัญก่อน” น้ำเสียงของหนานไตรเศร้าลง “เนื้อนางเค้ายังไม่รักฉัน”
ธรรพ์ไม่อยากเชื่อ “มีด้วยหรือครับ ผู้หญิงที่ไม่รักพ่อเลี้ยงณไตร”
“ที่ปางนี่ ฉันเป็นแค่หนานไตรผู้จัดการ ไม่ใช่ณไตร เจ้าของปาง”
“แสดงว่าที่พี่ยอมเป็นหนานไตร ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็พิสูจน์หัวใจผู้หญิงอย่างเนื้อนางด้วย”
“มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ ถ้าจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคน ที่รักตัวเราจริงๆ ไม่ใช่รักทรัพย์สมบัติ ฐานะที่ห่อหุ้มเราอยู่”
หนานไตรหันไปมองขอความช่วยเหลือจากน้องชาย
“ธรรพ์ แกช่วยฉันหน่อยนะ อย่าเพิ่งบอกความจริงเรื่องฉันเป็นใคร อย่าบอกคนในปาง โดยเฉพาะเนื้อนาง”
เนื้อนางเดินขึ้นเรือนมาทันได้ยินตอนท้ายพอดี ด้านหลังที่ตามมาคือคำฝาย
“ไม่บอกอะไรฉันหรือคะ”
หนานไตรกับธรรพ์หันไปมองเนื้อนางทันที หนานไตรตกใจกลัวว่าเนื้อนางจะได้ยินสิ่งที่คุยกับธรรพ์
“คุณมีความจริงอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่าคะ คุณหนานไตร”
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน แม่นายศรีวัลลาเดินนำทุกคนกลับเข้าบ้านหิมวัตมา ตามคำขอของธรรพ์
แขไข คุณหญิงมาลัยเดินตามมาหน้าตาบึ้งตึง จันตา บัวผุดถือกระเป๋า ตามหลัง
“ความจริงก็คือที่นี่ บ้านหิมวัติไม่รู้คุณค่าลูกแขไขของดิฉันเลย”
แม่นายหันมามองคุณหญิงนิ่งๆ คุณหญิงหน้าบอกบุญไม่รับ บ่นบ้าต่อ
“หลานณไตรทอดทิ้งลูกแข เห็นกรวดดีกว่าเพชรเม็ดงาม”
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้นักเลยค่ะ คุณหญิง ธรรพ์กำลังจัดการเรื่องครูคนนั้นให้เราอยู่”
“จัดการหรือว่าคอยช่วยพี่ชายกันแน่คะ เห็นทีดั๊นจะรอไม่ไหวค่ะ หลานณไตรต้องให้เกียรติเรามากกว่านี้ ไป!! ลูกแข กลับพระนคร”
แขไขกลับบอกว่า “คุณแม่กลับบ้านไปกับคุณพ่อ กับดาวเด่นก่อนเลยนะคะ แขอยากอยู่ที่นี่”
คุณหญิงอึ้ง แขไขหันไปมองแม่นาย แม่นายยิ้มบางๆ ให้
“หนูแขคงนึกชอบที่นี่แล้ว”
“ค่ะ แม่นาย สิ่งไหนที่พี่ณไตรรัก แขก็จะรักด้วย”
แขไขหันมองไปไกลด้วยสายตาไม่ยอมแพ้
“แขจะกลับไปที่ปางไม้ ไปช่วยงานพี่ณไตร ถ้าพี่ณไตรต้องการครู แขก็จะเป็นคนที่พี่ณไตรต้องการให้เอง”
ทางฝั่งหนานไตรมองเนื้อนางที่ก้าวมายืนตรงหน้า ธรรพ์กับคำฝายมองคนทั้งคู่
“คุณปิดบังฉันเรื่องโรงเรียน พี่คำฝายเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วเรื่องแม่นายมาที่นี่”
หนานไตรลอบยิ้ม สีหน้าเบาใจ “เรื่องโรงเรียนนี่เอง”
“คุณไม่เคยบอกฉันว่าแม่นายไม่อยากให้สร้างโรงเรียน”
หนานไตรกำลังคิดหาคำตอบ ธรรพ์มองแล้วเอ่ยขึ้นช่วยพี่
“แม่นายไม่ได้ห้ามเรื่องโรงเรียนหรอกครับ ท่านแค่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เลยอยากรู้จักคนที่เป็นครู ไม่ได้มีเรื่องอะไรร้ายแรงอย่างที่คิดกัน” ธรรพ์ยิ้ม “ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับ ผมธรรพ์ครับ ลูกชายแม่นาย”
เนื้อนางหันไปไหว้ ธรรพ์มอง รับไหว้ยิ้มๆ
“เนื้อนางค่ะ ฉันเองที่เป็นครู ฝากคุณธรรพ์ ขอบคุณแม่นายด้วยนะคะ เรื่องที่อนุญาตให้เด็กๆได้เรียนหนังสือ ถ้ามีโอกาส ฉันก็อยากจะขอบคุณแม่นายด้วยตัวเอง”
“ครับ...อีกไม่เท่าไหร่ คุณคงได้เจอแม่นาย”
ธรรพ์หันไปมองทางหนานไตรที่หน้าเจื่อนลง
“เอาเป็นว่า จบเรื่องโรงเรียนแล้ว ผมไปส่งนะ เนื้อนาง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันมากับพี่คำฝาย”
หนานไตรถามเสียงอาทร “ขาที่เจ็บ คุณหายดีแล้วเหรอ”
“นั่นสิ เมื่อกี้เห็นวิ่งมากะเผลกๆ ให้คุณหนานไตรเดินไปส่งตั๋วเถอะ เผื่อจะเจ็บกลางทาง” คำฝายว่า
เนื้อนางเสียงดุ “ไม่ต้อง พี่คำฝาย คุณหนานไตรต้องคุยงานกับคุณธรรพ์”
“เราคุยกันเสร็จแล้วครับ” ธรรพ์เรียกขึ้น “หนานไตร”
หนานไตรมองน้องชาย ธรรพ์ทำเป็นสั่งเสียงเข้ม
“ไปส่งคุณเนื้อนางสิ วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะถามแล้ว คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ นายไปนอนเรือนคนงานได้มั้ย”
หนานไตรอมยิ้ม “ได้สิครับ คุณธรรพ์”
หนานไตรทำเล่นละครด้วย เนื้อนางยิ้มให้ธรรพ์แล้วลงจากเรือน หนานไตรรีบตามเนื้อนางลงไป คำฝายยิ้มให้ธรรพ์แล้วเดินตามลงไปอีกคน
ธรรพ์มองตามพี่ชายด้วยสายตาหนักใจ
เนื้อนางเดินเร็วก้าวยาวๆ นำมา ทั้งที่ขายังเจ็บอยู่ หนานไตรเดินตามมาเร็วรี่
“เนื้อนาง คุณจะวิ่งหนีผมไปถึงไหน”
หนานไตรดึงแขนเนื้อนางไว้ เนื้อนางสะบัดแขนแต่หนานไตรไม่ยอมปล่อย
ด้านหลังคำฝายมองแล้วอมยิ้ม รีบฉากหลบออกไปอีกทาง
“ถ้าอยากคุยกันดีๆ ก็ปล่อยฉันก่อนค่ะ”
“ปล่อย คุณก็เอาแต่วิ่งหนี ไม่ยอมเข้าใกล้ผม”
เสียงแสงคำดังขึ้น “เนื้อนางทำถูกแล้วที่วิ่งหนีคุณ”
หนานไตรเหลียวไปมอง แสงคำเดินเข้ามา ดึงแขนเนื้อนางออกจากมือหนานไตร
“เนื้อนางไม่ต้องอยู่ใกล้คุณ...เราอยู่ในที่ของเรา ที่ของคนงาน”
“ผมไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นความเป็นคน ด้วยฐานะเจ้านาย ลูกน้อง”
“คุณจะคิดยังไง มันก็เรื่องของคุณ แต่อย่าให้เรื่องที่คุณทำ เดือดร้อนมาถึงเนื้อนาง”
เนื้อนางเห็นหนานไตรกับแสงคำทะเลาะกัน ก็ดึงแขนแสงคำออกห่าง
“ไปเถอะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางได้คุยกับคุณธรรพ์ ลูกชายแม่นายแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอกจ้ะ”
เนื้อนางรีบดึงแสงคำออกไป
หนานไตรมองตาม นัยน์ตาแข็งกร้าวคู่นั้น แต่ค่อยๆ หม่นหมองลง ที่เห็นเนื้อนางสนิทกับแสงคำมาก
เนื้อนางเดินมากับแสงคำท่ามกลางแสงแดดยามเย็น แสงคำมองเนื้อนางแล้วพูดขึ้น
“ตอนที่ติดฝนในป่า...คุณหนานไตรเค้า...”
เนื้อนางหันมามองเห็นสายตาเศร้าของแสงคำ ก็นึกสงสาร
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางระวังตัวเองอยู่แล้ว”
แววตาเนื้อนางแจ่มใสจริงใจ ไม่มีความลับ แสงคำมองตรงมาที่เนื้อนาง
“อ้ายเชื่อใจเนื้อนาง เพราะถ้าคุณหนานไตรมันคิดชั่ว...แตะต้องให้เนื้อนางเจ็บแม้แต่ปลายก้อย...อ้ายจะฆ่ามันกับมือ”
เนื้อนางตกใจ “อ้ายแสงคำ”
แสงคำย้ำคำ “จริงๆ นะ เนื้อนาง อ้ายจะฆ่าคนที่มันทำให้เนื้อนางเสียใจ”
เนื้อนางจับแขนแสงคำไว้ ด้วยสายตาปลอบประโลม เสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณที่อ้ายแสงคำหวังดีกับเนื้อนางมาตลอด” เนื้อนางยิ้ม “ชีวิตนี้เนื้อนางโชคดี ที่มีอ้ายแสงคำ พี่คำฝาย แล้วก็ตาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต”
แสงคำกุมมือเนื้อนางไว้ ยิ้มด้วยความดีใจ
ที่หลังพุ่มไม้ไม่ไกลนัก หนานไตรหลบมองอยู่ สายตาเศร้ามากที่ได้เห็น ได้ยินทุกคำพูดของเนื้อนาง
หมื่นหล้าอยู่บนเรือน เอื้อมมือจะแขวนปืนไว้ที่ข้างฝา แต่เกิดไอออกมาอย่างรุนแรง มือสั่นจนปืนหล่นลงพื้น
“ตาจ๋า”
หมื่นหล้าพอได้ยินเสียงหลานสาว ก็รีบนั่งลง ทำเป็นแกล้งเช็ดปืน ปกปิดอาการเจ็บป่วย เนื้อนางเดินเข้ามากอดหมื่นหล้า แสงคำตามเข้ามา
“ลูกชายแม่นายท่านว่ายังไง”
“คุณธรรพ์ใจดีจ้ะ ตา คุณธรรพ์บอกว่าแม่นายไม่ได้ว่าอะไร เรื่องที่เนื้อนางเป็นครู”
“คำฝายมันคิดเองเออเอง” แสงคำบอก
“ดีแล้ว แม่นายเป็นเจ้าของปาง ทำอะไรให้ท่านขัดใจ เราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
“เนื้อนางอยากเจอแม่นายสักครั้งจ้ะ ตา เนื้อนางจะขอบคุณแม่นายที่เมตตาพวกเรา”
เนื้อนางกอดตาไว้ด้วยรอยยิ้มสดชื่น โดยไม่สำเหนียกจะต้องพบเจอกับความเลวร้ายมากที่สุดในชีวิต
ฝ่ายแขไขยืนอยู่บนระเบียงบ้านหิมวัต กอดอกมองไปไกล แม่นายศรีวัลลามองอยู่ด้านหลังแขไข จันตาหมอบอยู่หลังสุดพูดขึ้น
“แม่นายเมตตาพวกมันมากเกินไปหรือเปล่าคะ”
“พวกคนงาน” แม่นายยิ้มหยัน “ก็สมควรได้รับเศษความปรานีเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน เราต้องการมือเท้าไว้คอยรับใช้ หนูแข”
“แขควรจะทำตัวให้เหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่ในปางใช่มั้ยคะ แม่นาย” แขไขหันมาถาม
“ณไตรจะดีใจมาก ถ้าหนูแขทำได้”
“แขทำได้ค่ะ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน แขจะทำให้พี่ณไตรเห็นว่าผู้หญิงที่คู่ควรกับพี่ณไตร คือแขคนเดียว”
แม่นายยิ้มพอใจ ที่เห็นแววตาแขไขมีแผนการอยากเอาชนะ
หนานไตรเดินฉุนเฉียวมาหยุดมองไปรอบๆ น้ำตกในปาง พยายามระงับสติอารมณ์ หลายเหตุการณ์ผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิดของพ่อเลี้ยงหนุ่ม
ภาพเนื้อนางฟ้อนแง้นสวยงาม ภาพที่ใกล้ชิดกับเนื้อนางคืนที่ฝนตกและติดอยู่ในป่า
จิตใจหนานไตรพลุ่งพล่านจนเกินระงับ ถอดเสื้อ ปาลงพื้น แล้วพุ่งตัวกระโดดตูมลงไปในน้ำตก
หนานไตรผุดพรวดขึ้นจากน้ำ เอนลงนอนพิงโขดหินใหญ่ แววตาหมองเต็มไปด้วยความเศร้า ที่เห็นเนื้อนางมีแสงคำอยู่ข้างกายตลอดเวลา
ตกตอนกลางคืน ม่อนดอยถือผ้าห่มมาวางบนที่นอน โดยมีหนานไตรกำลังเช็ดผมแล้วโยนผ้าขนหนูพาดราว หันไปหยิบเสื้อมาใส่
“นายหนานไตรแน่ใจเหรอครับว่าจะนอนที่เรือนผม”
“แล้วแกจะให้ฉันไปนอนที่ไหน เรือนหมื่นหล้าเรอะ” หนานไตรประชด
“ใจจริงก็อยากไปนอนใช่มั้ยล่ะ” ม่อนดอยยิ้มกริ่ม
หนานไตรแหย่เท้าเตะ ม่อนดอยหัวเราะชอบใจ
“แสนรู้นักนะ”
“นายหนานไตรจะจีบเนื้อนางแข่งกับแสงคำใช่มั้ยครับ”
“ถามทำไม”
“ผมก้อจะได้เป็นพวกนายไงครับ”
“ทำไมแกไม่เป็นพวกแสงคำ”
“แสงคำน่ะ มีพวกควาญกับคนงานทั้งปางเอาใจช่วยเยอะอยู่แล้วล่ะครับ แต่นายสิ น่าสงสาร ไม่เห็นมีใครเป็นพวกนายสักกะคน ถ้าไม่ได้ผม...งานนี้ นายจีบไม่ติดหรอก ม่อนดอยพนันได้เลย”
หนานไตรฟังแล้วเตะเข้าใส่ม่อนดอยอีกป๊าบ
“คำขอบใจของฉัน ที่แกอุตส่าห์เป็นพวก”
ม่อนดอยมอง เห็นหนานไตรเดินออกประตู
“อ้าว นาย นั่นจะไปไหนอีก”
หนานไตรไม่ตอบเดินออกไป ม่อนดอยมองตามยิ้มกริ่ม หน้าทะเล่น
“ค่ำลง คงเริ่มหนาวล่ะซีท่า ต้องไปหาผีป่าผีไพรสาวๆ สวยๆ ไว้กอดให้อุ่นเน้อ”
ฟากเนื้อนางห่มผ้าให้หมื่นหล้าที่กำลังหลับ แล้วคลานออกจากมุ้ง มองไปเห็นคำฝายหลับอยู่อีกมุ้งหนึ่ง เนื้อนางเดินมานั่งข้างหน้าต่าง หยิบหวีขึ้นมาหวีผมยาวสลวย
ขณะเดียวกันหนานไตรหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างเรือนเนื้อนางออกมาหน่อย เขายืนมองภาพผ่านกรอบหน้าต่าง เห็นเนื้อนางในแสงตะเกียงหวีผมยาวสลวย กิริยางดงามจับตา
หนานไตรทอดสายตามองภาพเนื้อนาง อย่างเคลิบเคลิ้ม สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
เช้าวันนี้ จานข้าวจากมือกำปุ้งกระแทกลงตรงหน้าเนื้อนางที่เข้าคิวมารับกับข้าวที่โรงครัว
เนื้อนางมอง กำปุ้ง รัญจวน สร้อยฟ้ายืนหน้าตาหมั่นไส้อยู่
“จะกินหรือไม่กินยะ แม่ครูสาวแสนดี” รัญจวนแขวะ
สร้อยฟ้าเหน็บ “สงสัยว่ามันจะอิ่มทิพย์”
กำปุ้งด่า “เพราะฟาดผู้ชายเข้าไปทั้งปาง”
เนื้อนางมองอึ้งที่ถูกรุม สามดาวยั่วหัวเราะชอบใจ
คำฝายพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง คว้าชามข้าวตรงหน้า กระโดดพรวดละเลงชามข้าวในมือลงที่หน้ากำปุ้ง
“อีกำปุ้ง อีปากโสโครก เหม็นเน่ากว่าขี้ช้าง”
กำปุ้งร้องกรี๊ด รัญจวนเงื้อมือ พุ่งเข้าหาคำฝาย แต่เนื้อนางรีบดึงคำฝายหลบ
รัญจวนตบลงมาโดนหน้าเนื้อนางเต็มแรง
คำฝายตกใจ “เนื้อนาง”
เนื้อนางหน้าสะบัด ทุกคนพากันตกใจ
สร้อยฟ้าทำเป็นตกใจ “ตายแล้ว เดี๋ยวมันต้องไปฟ้องคุณหนานไตรว่าถูกเราตบ”
“พวกแกหาเรื่องชั้นก่อน” รัญจวนไม่สน
คำฝายประกาศกร้าว “ทุกคนที่นี่เป็นพยานนะ ใครมันหาเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน”
“เพราะแกนั่นแหละ เนื้อนาง เที่ยวทำตัวออดอ้อนออเซาะ ที่หายไปในป่า พวกคนงานผู้ชายมันเล่าให้ฟังหมดแล้ว แกหายไปกับคุณหนานไตรทั้งคืน”
รัญจวนแผดเสียงให้ได้ยินกันทั่ว คำฝายมองสงสารเนื้อนางเหลือเกิน
กำปุ้งทำเสียงดัดจริต ออกท่าทางประกอบ
“กลางฝนกระหน่ำ เนื้อตัวเปียกปอน เสื้อผ้าแนบชิดกระชับร่าง หนานไตรขา เนื้อนางหนาว...” กำปุ้งกรีดเสียงสูงปรี๊ด
คำฝายด่า “โดนน้ำมนต์เหรอ อีกำปุ้ง”
เนื้อนางสีหน้าไม่ดี เห็นทุกสายตามองตรงมาที่ตัวเอง
“แกวิ่งตามคุณหนานไตรเข้าไปในป่า แล้วก็ให้ท่าเค้าสารพัด” สร้อยฟ้าด่าอีก
คำฝายตวาด “หุบปาก ไม่รู้เรื่องจริง อย่าเอาขี้ปากคนอื่นมาใส่ร้ายเนื้อนาง”
“ใส่ร้ายอะไร เถียงมาซี้ ไม่จริงก็เถียงมา หรือว่าหมื่นหล้าก็รู้เห็นด้วย” กำปุ้งลามปาม
เนื้อนางโกรธ “อย่าด่าตาฉัน”
“ไม่ด่าหมื่นหล้า ก็ต้องด่าแม่แกที่เชื้อไม่ทิ้งแถว”
เนื้อนางหันขวับมาทางรัญจวน กำหมัดแน่น
รัญจวนทั้งเยาะทั้งหยัน “หรือแกจะเถียงว่าแม่แกไม่ได้ปั่นหัวนายฝรั่ง เพราะอยากมีผัวดีๆ สุดท้ายตะกายแค่ไหนก็ต้องร่วงลงดิน ถูกเค้าขยี้ แล้วก็เขี่ยทิ้ง ตรอมใจตาย”
เนื้อนางข่มความโกรธพยายามอดทนถึงที่สุด คำฝายจะพุ่งไป เนื้อนางเสียงเข้ม
“หยุด พี่คำฝาย เราก็เห็นอยู่แล้วว่าคนริษยา ความคิดมันต่ำได้ขนาดไหน เราไม่เคยคิดร้าย เหยียบย่ำใคร ถือว่าจิตใจสูงกว่า ก็อย่าเอาตัวไปเกลือกกลั้วพวกชั้นต่ำ”
เนื้อนางพูดแล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาคนงานบางคนที่สงสาร บางคนก็ซุบซิบกัน
คำฝายมองรัญจวน สร้อยฟ้า และกำปุ้งที่กำลังเต้นเพราะถูกด่า แล้วสะบัดหน้าวิ่งตามเนื้อนางออกไป
รัญจวน สร้อยฟ้า และกำปุ้งหันไปมอง ชาวบ้านหลายคนเบือนหน้า เดินหนี ด้วยความรังเกียจ
“ทำไม ฉันพูดความจริง เนื้อนางมันดัดจริต ใฝ่สูง อยากมีผัวรวย อีกหน่อยมันก็ต้องถูกทิ้งเหมือนแม่มัน คนอย่างคุณหนานไตรเค้าไม่มาเอาแกเป็นเมียหรอก”
รัญจวนบ่นบ้าออกมาอย่างหงุดหงิด
ที่ริมน้ำตกเช้าวันเดียวกัน สองหนุ่มกำลังถอดเสื้อ โยนเสื้อไว้ด้านหลัง แล้วพุ่งกระโจนลงน้ำ
หนานไตรกับธรรพ์แหวกว่ายน้ำเย็นกันอย่างมีความสุข ธรรพ์พุ่งตัวขึ้นมา
“ที่นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ”
หนานไตรกับธรรพ์ว่ายน้ำพุ่งไปด้วยสีหน้ามีความสุข
ฟากเนื้อนางวิ่งเร็วมา มีคำฝายวิ่งตาม
“ตั๋วอย่าไปสนใจ อย่าไปเก็บขี้ปากพวกมันมาคิด”
“ไม่ต้องตามมา พี่คำฝาย ขอเนื้อนางอยู่คนเดียว”
เนื้อนางวิ่งลิ่วๆออกไป คำฝายหยุดเท้าเลิกตาม ได้แต่มองตามด้วยความสงสาร
หนานไตรว่ายน้ำมา ยืนขึ้น ลูบผม ธรรพ์ขึ้นตามมา หยิบผ้าที่เตรียมมา เช็ดเนื้อเช็ดตัว
“พี่จะทำตัวเป็นผู้จัดการปางที่ชื่อหนานไตรไปอีกนานแค่ไหนครับ”
“ทำไม ธรรพ์ แกจะเอาความลับฉันไปบอกคนงานเหรอ”
“ผมรู้ว่าพี่อยากซื้อใจคนงาน ด้วยความเป็นหนานไตร แต่กับผู้หญิง ถ้าเกิดเนื้อนางเค้าอยากเป็นเมียเจ้าของปาง มากกว่าเมียผู้จัดการ”
“เนื้อนางไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่เงิน เค้าไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าฉันเป็นผู้จัดการ”
ธรรพ์เย้าหยอก “มีใครกล้าปฏิเสธพี่ชายคนเก่งของผมด้วยเหรอเนี่ย”
“มี! ฉันถึงต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ผู้หญิงอย่างเนื้อนางมาอยู่กับฉัน เป็นของฉันคนเดียว”
“ไม่ต้องบอกก็เห็นแล้วว่าข้างหน้าพี่มีแต่ปัญหา ทั้งแม่นาย ทั้งความเป็นณไตร เจ้าของปางหิมวัตตัวจริง...งานนี้ ผมเอาใจช่วยนะครับพี่ชาย”
ธรรพ์ยิ้มแล้วเดินออกไป หนานไตรยิ้มนิดๆ สีหน้าเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เกรงอุปสรรคที่น้องชายพูด
เนื้อนางเดินเร็วมาหยุดลงหน้าเรือน แสงคำที่มาจากอีกด้านมองเห็นก็ตรงเข้ามาหา
“เนื้อนาง”
เนื้อนางรีบปาดน้ำตาทิ้ง ขณะแสงคำเดินมาใกล้
“ใครทำเนื้อนางร้องไห้”
“เปล่านี่จ๊ะ”
แสงคำจับไหล่เนื้อนางหันมา “อย่าโกหกอ้าย ใครทำอะไร หรือว่า คุณหนานไตร”
“ไม่เกี่ยวกับเค้าหรอก อ้ายแสงคำ”
“แล้วใคร”
แสงคำเขย่าตัวเนื้อนางอยากรู้ เนื้อนางหงุดหงิดปัดมือออกด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย”
“เนื้อนางโกรธอ้าย”
“ใช่ เนื้อนางโกรธอ้ายแสงคำ โกรธทุกอย่าง โกรธตัวเอง เนื้อนางอยากอยู่คนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ยุ่งกับใครอีกแล้ว”
เนื้อนางวิ่งออกไป แสงคำจะวิ่งตาม คำฝายเดินเข้ามาดึงแขนแสงคำไว้
แสงคำหันมามอง คำฝายส่ายหน้าว่าอย่าตาม แสงคำมองตามเนื้อนางอย่างพะวักพะวง
หนานไตรมองสายน้ำแล้วกระโดดพุ่งลงไปอีก ดำผุดดำว่าย แล้วดำดิ่งลึกลงไป หายร่างไปในสายน้ำนั้น
เนื้อนางกลั้นความเสียใจ วิ่งเร็ว มุ่งหน้าไปที่น้ำตก
เนื้อนางวิ่งมาหยุดลงที่น้ำตก มองเหม่อหน้าหมองจัด
โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังหนานไตรผุดขึ้นจากน้ำ พอเห็นเนื้อนางยืนมองเหม่อ หนานไตรลอยคอกำลังจะว่ายเข้าไปหา
“แม่จ๋า ทำไมพวกเค้าถึงใจร้าย ต้องคอยว่าแม่เนื้อนาง”
หนานไตรหยุด หลบมอง เนื้อนางสีหน้าเศร้า ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา
“จะด่าว่าเนื้อนางแค่ไหน เนื้อนางทนได้...แต่พวกเค้าว่าแม่ทำไม แม่เลี้ยงเนื้อนางมาอย่างดีที่สุด หัวใจแม่ซื่อตรง รอคอย ไม่เคยมอบให้ผู้ชายคนไหน นอกจากพ่อเพียงคนเดียว...จนสิ้นลมหายใจ”
เนื้อนางน้ำตาร่วงพรู หนานไตรยิ่งมองก็ยิ่งสงสารเหลือเกิน
อ่านต่อตอนที่ 3