xs
xsm
sm
md
lg

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 1

ธงชาติของประเทศรายา ผูกติดกับปลายไม้ปักอยู่บนยอดเขาสูง กลางหว่างทิวทัศน์อันสวยงาม ผืนธงปลิวไสวไปตามแรงลม

รายา เป็นประเทศที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ ใกล้กับประเทศอินเดียและจีน ปกครองโดย องค์ราชาอินทรา และพระนางสาวิตรี พระมเหสี

ทุกปี ในห้วงเวลานี้จะมีการคัดตัวราชองครักษ์ ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล โดยองค์รัชทายาทจะต้องเข้าร่วมประลองในรอบสุดท้าย เพื่อวัดฝีมือกับผู้ได้รับการคัดเลือก ด้วยตัวเอง

เสียงฝีเท้าม้าหลายตัวควบแข่งกัน กระชั้นเข้ามา ตามด้วยเสียงชาวรายาส่งเสียงเฮอย่างเอาใจช่วย
เวลาเดียวกันนั้น ในหุบเขามีฝุ่นตลบ ท่ามกลางฝุ่นนั้น คามิน องค์รักษ์หนุ่ม สวมหน้ากากสีทอง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาคือ เจ้าชายมาคี องค์รัชทายาท
คามินในคราบองค์รัชทายาทเข้าแข่งขันกับ สุเทษ สินธร และทหารคนอื่นๆ ในชุดนักรบรายาสวมหน้ากากควบม้าแข่งกันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
สุเทษควบม้านำตีคู่กันมากับคามิน สินธรตามมาติดๆเร่งฝีเท้าม้ามาตีคู่อีกคน คามินเร่งฝีเท้าม้านำหนีห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวรายาที่ยืนดูอยู่บนไหล่เขานับร้อยคนเฮลั่น
“เฮ...เจ้าชายมาคี เจ้าชายมาคี”
คามินขี่ม้านำออกไป สุเทษควบแซงสินธรไปได้ ทหารอื่นควบม้าตามท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวรายา
คามินควบม้ามุ่งหน้าไปที่ธงชาติที่ปักอยู่ยอดเขาสองคัน สุเทษควบตามกระชั้นเข้ามา สินธรตามสุเทษมาติดๆ สุเทษควบม้าแซงคามินไป คามินมองแล้วเร่งฝีเท้าม้าจนแซงสุเทษได้อีกครั้ง แล้วควบม้าพุ่งเข้าไปดึงธงชาติขึ้นมาได้ สุเทษที่ตามมาติดๆดึงธงอีกผืนขึ้นมา คามินชูธงชาติขึ้นอย่างสะใจ ชาวรายาที่ดูการแข่งขันอยู่บริเวณนั้นตะโกนลั่น
“เจ้าชายมาคีชิงธงได้แล้ว...เจ้าชายมาคี เจ้าชายมาคี เจ้าชายมาคี”
สินธรและทหารอื่นๆที่ขี่ม้าตามมาเปิดหน้ากากมองคามินยิ้มดีใจไปด้วย สุเทษลอบมองคามินอย่างไม่พอใจ เขายังใส่หน้ากากอยู่ คามินชูธงชาติให้ชาวรายาดูอย่างภูมิใจ

ลานประลองล้อมรอบด้วยต้นไม้ขุนเขา มีโต๊ะตั้งรางวัลเป็นหอกคู่ทองคำวางอยู่บนแท่นเด่นเป็นสง่า ราชา ราชินี นั่งบนพลับพลานายพลวิฑูร นังอยู่กับเทวี ภรรยาของเขา หฤทัย ลูกสาวนั่งเยื้องไปด้านหลัง ด้านล่างสองข้างเป็นบรรดาข้าราชบริพาร ชายหญิงนั่งชมการประลอง คามินเดินเข้ามาปักธงที่ชิงมาได้ไว้ที่มุมหนึ่ง ผู้คนรอบๆตบมือ พระนางสาวิตรีตบมือดังมาก เทวีกับหฤทัยพลอบตบเสียงดังตามอย่างเอาใจ
“มาคีเก่งมาก ในที่สุดลูกเราก็ทำได้เพคะ เสด็จพี่ ลูกเราทำได้”
ราชาอินทราขัดขึ้น
“ยังไม่ผ่านด่านสุดท้าย ยังไม่ถือว่าชนะ”
พระนางสาวิตรีอึ้งไป สุเทษเดินเข้ามาปักธง ผู้คนฮือฮาสุเทษยืนมองคามินจากอีกมุมอย่างไม่กลัวเกรง โภคินราชเลขาราชาอินทราเป็นกรรมการยืนอยู่กลางลานประลอง
“นี่เป็นการแข่งขันด่านสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่าใครคือ สุดยอดนักรบแห่งรายา...ทั้งคู่จะต่อสู้กันด้วยหอกคู่อาวุธที่เป็นสัญญลักษณ์ของนักรบรายาต่อหน้าพระพักตร์องค์ราชาและราชินี ผู้ใดเอาหอกจ่อหัวใจอีกฝ่ายหนึ่งได้ผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะ...เริ่มการประลองได้”
โภคินเดินมาที่พลับพลา ทำความเคารพราชาอินทราแล้วไปยืนคุมเชิงดูการประลอง สินธรถอดหน้ากากแล้วถือหอกสองคู่เดินเข้ามาทำความเคารพทุกคนแล้วเอาหอกไปยื่นให้คามินกับสุเทษ พระนางสาวิตรีหันไปพูดกับนายพลวิฑูรอย่างกังวล
“คนที่มาประลองกับมาคีนั่นใคร”
“ทหารคนสนิทของกระหม่อมเองพะยะค่ะ...สุเทษ”
“สุเทษ!” พระนางสาวิตรีตกใจ กระซิบนายพลวิฑูร “เราบอกแล้วไงว่าไม่ให้ส่งสุเทษลงแข่ง”
“นักรบรายาทุกคนต้องลงแข่งขันในประเพณีนี้เพื่อรักษาเกียรติของนักรบ...ถ้าสุเทษไม่ลงแข่งเกล้ากระหม่อมเกรงว่าองค์ราชาจะทรงสงสัยได้”

คามินกับสุเทษ ถือหอกสั้นคู่ร่ายรำมวยรายัน ทุกคนนั่งดูการประลองอย่างตื่นเต้น โภคินกับสินธร นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย คามินกับสุเทษกระโจนเข้าหากันอย่างไม่มีใครกลัวใครเกิดประกายไฟจากหอกคู่ที่ใช้ฟาดฟันใส่กัน สุเทษไล่ต้อนคามินถอยร่นจนเกือบตกจากลานประลอง ทุกคนมองคามินอย่างเป็นห่วง ยกเว้นนายพลวิฑูรที่ยิ้มเยาะสะใจ พระนางสาวิตรีมองคามินอย่างร้อนใจ ราชาอินทรามองการต่อสู้อย่างกังวล คามินเสียทีล้มลง หฤทัยร้องกรี๊ด เอาผ้าคลุมไหล่ขึ้นบังไม่กล้ามอง ทุกคนหันมามองอย่างเซ็งๆ นายพลวิฑูรมองปราม เทวีหัวเราะเจื่อนๆ สะกิดให้ลูกเอาผ้าลง
“หฤทัยไม่กล้ามองนี่คะ หฤทัยกลัวเลือด”
“นี่มันแค่การประลอง ไม่ถึงกับเลือดตกยางออกหรอกน่า”
“แต่เห็นๆอยู่นี่คะว่า เจ้าชายสู้ไม่ได้”
เทวีแอบหยิก สุเทษเอาหอกพุ่งเข้าใส่จะจ่อหัวใจแต่คามินหมุนตัวหลบออกมาได้ นายพลวิฑูรมองอย่างเสียดาย คามินลุกพรวดขึ้นควงหอกคู่วิ่งเข้าใส่สุเทษ ไล่ต้อนจนสุเทษถอยร่นไป สุเทษจะจ่อหัวใจอีกครั้ง คามินตีลังกาข้ามหัวหลบหอกสุเทษอย่างสวยงาม ทุกคนฮือฮา พระนางสาวิตรีตะลึง
“มาคีลูกแม่ มหัศจรรย์จริงๆ”
เทวีเอ่ยชม
“แสดงว่าเมื่อกี๊ เจ้าชายทรงออมพระหัตถ์ให้ คราวนี้คงทรงเอาจริงแล้ว ยอดเยี่ยมมากเพคะ”
สุเทษมองอึ้งไปนิดนึงแล้ววิ่งเข้าจู่โจมคามินต่อ คามินรับได้ทุกกระบวนท่า นายพลวิฑูรมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาแล้วพูดกับราชาอินทราอย่างสงสัย
“ไม่น่าเชื่อว่า ภายในเวลาไม่กี่วัน ฝีมือเจ้าชายพัฒนาขึ้นมาก”
ราชาอินทราพยักหน้านิ่งๆไม่ตอบ แล้วดูการต่อสู้ด้วยสีหน้าพอใจ คามินเอาหอกพุ่งไปที่หัวใจ สุเทษหมุนตัวหลบ คามินยิ้มอย่างรู้ทันหมุนตัวไปอีกด้านแล้วเอาหอกจ่อที่หัวใจสุเทษทุกคนปรบมืออย่างดีใจยกเว้นนายพลวิฑูรที่มองอย่างสงสัยแล้วปรบมือตามอย่างไม่เต็มใจ ข้าราชบริพารเฮลั่น โภคินยืนขึ้นทำความเคารพราชาอินทรากับพระนางสาวิตรีแล้วประกาศ
“เจ้าชายมาคีเป็นผู้ชนะ...เจ้าชายมาคีคือสุดยอด”
นักรบแห่งรายา ทุกคนปรบมือโห่ร้องให้เจ้าชายมาคีอย่างชื่นชม ยกเว้นนายพลวิฑูรที่มองคามินอย่างสงสัย
“ขอทูลเชิญเจ้าชายมาคีรับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์องค์ราชาพะยะค่ะ”
คามินเดินออกมาจากลานประลอง สุเทษเปิดหน้ากากลอบมองคามินอย่างสงสัยแล้วเดินไปพูดกับนายพลวิฑูร
“ขออภัยครับท่าน แต่วันนี้ฝีมือเจ้าชายทรงก้าวหน้าไปมาก เหมือนคนละคน”
นายพลวิฑูรมอง
“คนละคนเหรอ”
คามินเดินไปทำความเคารพราชาอินทรา พระนางสาวิตรียิ้มอย่างภูมิใจ นายพลวิฑูรเดินกลับมายืนข้างพระนางสาวิตรีที่ปลื้ม สะใจ
“เจ้าคามินมันคงรู้ว่าวันนี้ มาคีต้องชนะการประลองถึงได้ทนดูไม่ได้ หาเรื่องอ้างว่าต้องไปราชการด่วน”
นายพลวิฑูรฉุกคิดมองคามินอย่างสงสัย ราชาอินทราหยิบหอกทองคำแล้วพูดกับคามิน
“ลูกทำให้พ่อแปลกใจมาก มาคี”
คามินแสดงความเคารพราชาอินทราแล้วเข้าไปรับหอกทองคำ ราชาอินทราสบตา ชะงัก ยื้อไว้ครู่หนึ่ง คามินหลบตาลงต่ำ พระนางสาวิตรีเข้ามาจะกอด แต่คามิน รีบคุกเข่า ก้มหน้า พระนางสาวิตรีเลยได้แต่ จับบ่า
“แม่ภูมิใจในตัวลูกมากๆ มาคี”
คามินรีบทำความเคารพ ถอยออกไป สินธรโล่งใจรีบทำความเคารพราชาแล้วตามออกไป นายพลวิฑูรมองตาม แล้วเข้ามาหาราชาอินทรา
“ขอเดชะ”
ราชาอินทรายกมือห้าม

“เรารู้ว่าท่านคิดอะไร”

คามินเดินถือหอกทองคำลิ่วจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว สินธรตามมา

“โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
“ไม่มีใครสงสัยเลยครับ”
คามินส่งหอกให้สินธรถือ
“ได้ข่าวรึยัง”
สินธรส่งกระดาษให้
“ครับ”
“เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกลับมาไม่ทันงานฉลองแน่ ส่วนนายคอยอยู่รับหน้าที่นี่”
ทันใดนั้นเสียงสุเทษดังขึ้น
“ช้าก่อน ฝ่าบาท”
ทั้งคู่ชะงัก สุเทษเดินเข้ามามือถือหอก สินธรหันไปหา
“มีอะไรอีก สุเทษ เจ้าชายจะเสด็จไปพักผ่อน”
“กระหม่อมยังข้องใจในผลการประลอง เลยอยากจะมาขอพิสูจน์อีกครั้ง”
“บังอาจเกินไปแล้ว” สินธรตวาด
สุเทษไม่พูดพล่ามทำเพลง พุ่งเข้าโจมตีคามิน แต่สินธรเข้าขวางเลยถูกเตะกระเด็นไป คามินไม่มีอาวุธ ได้แต่หลบเลี่ยงอย่างว่องไว แต่สุดท้าย สุเทษก็สามารถเอาหอกเกี่ยวหน้ากากของคามินกระเด็นหลุดไปได้ คามินกับสินธรตกใจ
“ที่แท้ก็เป็นท่าน ราชองครักษ์คามิน”
นายพลวิฑูรเดินเข้ามา ตบมือ
“ฝีมือเฉียบขาด แต่เสียดายที่แสดงผิดกาลเทศะ ทหาร คุมตัวราชองครักษ์คามินไว้”
ทหารกรูเข้ามา พร้อมปืน สินธรชักปืน เข้าขวาง
“ถอยไป ไม่มีใครมีสิทธิ์ คุมตัวราชองครักษ์ทั้งนั้น”
ราชาอินทราเข้ามา
“แล้วถ้าเป็นเราล่ะ”
“องค์ราชา” คามินอึ้ง
คามิน สินธร ทหาร คุกเข่า ยกเว้นนายพลวิฑูรที่ถอยออกห่างและก้มหัวเพราะตำแหน่งใหญ่ ราชาอินทราไม่พอใจ
“ไม่นึกเลย ว่าเจ้าจะกล้าทำแบบนี้ คามิน”

ในวังรายา...ราชาอินทราจ้องหน้าคามินอย่างโมโห
“ทำไมเจ้าถึงลงแข่งขันแทนมาคี บอกมา”
“เป็นความผิดของเกล้ากระหม่อมที่ปล่อยให้เจ้าชายหายไปจากวัง จนถึงเวลาแข่งขัน ก็ยังตามหาเจ้าชายไม่พบ เกล้ากระหม่อมจึงต้องลงแข่งขันเอง เพื่อไม่ให้พิธีต้องล้มเลิก”
พระนางสาวิตรีสวนทันที
“เราไม่เชื่อ เจ้าอยากให้ชาวรายา ยกย่องสรรเสริญว่าเก่งกว่าเจ้าชายรัชทายาทเลยยุให้เจ้าชายมาคีหนีออกจากวังเพื่อจะประลองแทน”
คามินเงียบไม่ตอบ พระนางสาวิตรีมองไม่พอใจ
“หรือไม่เจ้าก็จับตัวมาคีไปซ่อนเพื่อที่จะได้ลงแข่งเอง...บอกมาว่าเจ้าเอามาคีไปซ่อนไว้ที่ไหน”
คามินมองพระนางสาวิตรีอย่างหนักใจไม่ตอบ สินธรตอบแทน
“เจ้าชายทรงหนีออกไปจากวังจริงๆ เกล้ากระหม่อมเป็นพยานได้ แล้วที่ท่านคามินลงแข่งแทนก็เพื่อรักษาพระเกียรติไม่อยากให้ใครนินทาว่าเจ้าชายรัชทายาทหนีประเพณีสำคัญของรายาพะย่ะค่ะ”
คามินหันไปมองสินธรต้องเงียบ นายพลวิฑูรตวาด
“บังอาจ เรื่องเจ้าชายทรงหายตัวไปเป็นเรื่องใหญ่ ท่านกลับไม่แจ้งกรมวัง หากเจ้าชายทรงเป็นอันตรายใครจะรับผิดชอบ”
“เกล้ากระหม่อมรับรองด้วยชีวิตว่าเจ้าชายจะไม่ทรงเป็นอันตราย” คามินยืนยัน
พระนางสาวิตรีโวยวาย
“เห็นมั้ยเพคะ มันจับตัวลูกเราเอาไว้จริงๆ พระองค์ต้องทรงลงโทษมันนะเพคะ”
ราชาอินทราจ้องคามิน
“เจ้ารู้ใช่มั้ยว่ามาคีอยู่ที่ไหน”
คามินเงียบอึดอัด
“พูด...อย่าให้เราผิดหวังในตัวเจ้ามากไปกว่านี้”
“เกล้ากระหม่อมขออนุญาตออกไปนำเจ้าชายกลับวังเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีแทรกขึ้น
“อยู่ในวังยังปล่อยให้มาคีหนีไปได้ แล้วไปตามเอง จะพามาคีกลับมาได้ยังไง เจ้าคิดหนีมากกว่า”
ราชาอินทราปราม
“สาวิตรี!” ราชาอินทราจ้องหน้าคามิน “เราขอถามเป็นครั้งสุดท้าย มาคีอยู่ที่ไหน”
“เกล้ากระหม่อมยอมรับโทษทุกอย่าง แต่อยากทูลขอพระเมตตา หากรับเจ้าชายกลับมาแล้วโปรดทรงอภัยโทษเจ้าชายด้วย”
นายพลวิฑูรตวาด
“เหิมเกริมมาก เจ้ากล้าต่อรององค์ราชาเหรอ”
“ได้ ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้น ทหาร เอาตัวคามินไปที่ลานสอบสวน” ราชาอินทราโมโห
นายพลวิฑูรยิ้มกระหยิ่ม พระนางสาวิตรีแค้น
“เกล้ากระหม่อมรู้ว่าเจ้าชายประทับอยู่ที่ไหนพะยะค่ะ” สินธรทนไม่ไหวจำต้องบอก
“สินธร!” คามินปราม

เจ้าชายมาคีอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนไล่จับกรรณิการ์ นักร้องสาวสวย เซ็กซี่ หัวเราะกันสนุกสนาน พอจับได้กระชากมากอด เต็มไปด้วยอารมณ์รัก หลงใหล
“เราจับเธอได้แล้ว กรรณิการ์ เธอแพ้ เธอต้องถูกลงโทษ”
กรรณิการ์เสียงแผ่ว ยั่วยวน
“จะทรงลงโทษหม่อมฉันแบบไหนเพคะ ตัดหัว หรือว่ายิงเป้า”
“ฉันมีวิธีทรมานเธอมากกว่านั้น”
เจ้าชายมาคีจูบกรรณิการ์ ชวาลคนรับใช้ของเจ้าชาย ที่แอบดูทำตาโต เอามือปิดตา หันออกมา
“ไอ้ชวาลเอ๊ย เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ตาต้องเป็นกุ้งยิงแน่ๆ”
ชวาลเอามือปิดตาไป คลำทางไปแล้วไปจับเจอ โภคินยืนอยู่
“ทำไมต้นไม้ต้นนี้มันนิ่มๆ”
ชวาลเปิดตาแล้วตะลึง
“ทะ...ท่านโภคิน”
ราชาอินทราเดินเข้ามาด้วย ชวาลเข่าอ่อน...

กรรณิการ์ผละออกมาจากเจ้าชายมาคี
“พระทัยร้าย คงทรงเห็นกรรณิการ์เป็นดอกไม้ข้างทางที่ไม่มีค่า”
“ถ้าเราคิดอย่างงั้นคงไม่ทิ้งพิธีประลองมาอยู่กับเธอหรอก”
“แต่กรรณิการ์เป็นแค่ศิลปิน เต้นกินรำกิน คงไม่มีวาสนาจะได้เป็นชายาของฝ่าบาท”
“แต่เจ้าเป็นคนที่เรารัก และเราจะอภิเษกกับผู้หญิงที่เรารักเท่านั้น”
“ฝ่าบาท”
ทั้งสองเข้าสวมกอดกัน ชวาลพรวดเข้ามา กรรณิการ์ร้องวี้ดผละออก ย่อลงไปในน้ำ เจ้าชายมาคีหันไปดุ
“ชวาล เข้ามาทำไม ออกไป”
ชวาลหน้าเสีย
“คือ...”
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามใครเข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวของเรา หรืออยากถูกลงโทษ”
ราชาอินทราเข้ามา
“มาคี!”
“เสด็จพ่อ” เจ้าชายมาคีตกใจ
“นี่หรือสิ่งที่เจ้าชายรัชทายาทของรายาพึงกระทำ ช่างน่าละอายนัก”
ราชาอินทราโกรธสุดๆ โภคินยืนขรึมอยู่ด้านหลัง

กรรณิการ์หน้าตื่น แอบหลังเจ้าชายมาคี

ที่โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ...ด้านในห้องมีตั่ง มีคันฉ่องวางประดับ ทีมช่างภาพ และวิกกี้ บรรณาธิการบริหารหนังสือและกะเทยผู้ช่วยรออยู่ มินตราเดินสง่าออกมา บอกทุกคน

“คุณมัทนาพร้อมแล้วค่ะ”
มัทนาใส่ชุดไทยประยุกต์ เดินเปิดตัวออกมาจากประตู ทุกคนตะลึงในความสวย วิกกี้ชื่นชม
“ว้าว ช่างสวยสง่าทรงพระสิริโฉมงดงามสมกับเป็นราชนิกูลจริงๆ”
มินตรายิ้มนิดๆ
“คุณแม่ของคุณมัทนาท่านเป็นหม่อมเจ้าก็จริงแต่อภิเษกกับสามัญชน เพราะฉะนั้นไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับคุณมัทค่ะ”
“อุ๊ย ขอประทานอภัย ไม่ใช่ ซอรี่ ขอโทษคะ วิกกี้ลืมไป เชิญนั่งที่ตั่งนี่เลยนะคะ คือปกฉบับนี้เป็นคอนเซปต์วันแม่ เชิญชวนลูกทุกคนกราบแม่ด้วยดอกมะลิ คุณมัทถือมาลัยแล้วยิ้มอ่อนโยนให้กล้องแบบนี้นะคะ”
“ทำไมต้องเป็นมาลัยดอกมะลิด้วยคะ” มัทนาแปลกใจ
วิกกี้งงๆ มินตราตอบแทน
“ก็ดอกมะลิเป็นสัญญลักษณ์ของความรักที่บริสุทธิ์ของแม่ไงคะ คุณมัท”
“แต่แม่บางคนอาจจะไม่อยากได้ดอกมะลิก็ได้ อย่างคุณแม่ของฉันท่านชอบดอกลิลลี่”
“แต่ดอกลิลลี่คงไม่เหมาะกับชุดไทยนี่แน่ๆค่ะ” วิกกี้หัวเราะ
“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงละคะ”
“คุณมัทคะ เราสัญญากันแล้วไงคะ” มินตรากระซิบ
“มัทก็แค่ล้อเล่น” มัทนาฉีกยิ้ม
วิกกี้โล่งใจ
“แหม...เล่นเอาใจหาย คุณมัทนามุกเยอะนะคะ เอาคะเริ่มเลย”
มัทนาโพสต์ท่าตามวิกกี้ แบบไร้อารมณ์ ฉีกยิ้มประชด วิกกี้รีบบอก
“อุ๊ย...ไม่ใช่ยิ้มแข็งๆแบบนั้นซิคะ ต้องเป็นธรรมชาติหน่อย”
“แต่คุณบอกให้ยิ้มแบบคุณ มันไม่ใช่ธรรมชาติของฉันนี่คะ”
วิกกี้อึ้งไป
“เออจริงด้วย งั้นคุณมัทนาโพสต์แบบที่เป็นธรรมชาติของคุณมัทนาเลยค่ะ”
“จริงเหรอคะ เอาแบบตามใจฉันเลยนะ”
“ค่า เต็มที่เลย”
ช่างภาพร้องบอก
“พร้อมนะครับ โพสต์เลยครับ”
มัทนา โพสต์ท่าสนุกๆ ชูมาลัยแล้วยกนิ้วโป้ง ทำท่าว่าเยี่ยม...ท่าชูสองนิ้ว จูบมาลัย กับอีกหลายๆท่าที่ทะเล้นสุดๆ ช่างภาพ กับวิกกี้และคนอื่นๆ อ้าปากค้าง มัทนาหันไปถาม
“ใช้ได้มั้ยคะ นี่แหละค่ะ ธรรมชาติของมัทนา”
“ขออนุญาตพักสักครู่นะคะ” มินตรากลุ้ม

มัทนาเดินหน้าง้ำแยกไปอีก้านที่ปลอดคน มินตราตาม ด้านหลังวิกกี้นำทีมงานดูคอมกันอยู่ท่าทางปวดหัว
“ก็มัททนไม่ไหวนี่คะ ทำไมเราต้องมานั่งทำตามกรอบที่คนอื่นต้องการด้วย”
“คุณมัทน่าจะตอบตัวเองได้ดีที่สุดนะคะว่าทำไม โดยเฉพาะเหตุผลที่ต้องมาถ่ายแบบวันนี้”
มัทนาประชด
“สร้างภาพกุลสตรีเพื่อลบล้างความผิดที่เอาน้ำสาดหน้าเสี่ยพัฒนาจอมหลีในงานเลี้ยงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจนคุณแม่ขายหน้าคนทั้งเมือง”
“แล้วคุณมัทก็คงทราบนะคะว่าถ้าคุณท่านเห็นภาพเซ็ทเมื่อกี๊จะเกิดอะไรขึ้น”
“ค่ะ ถ่ายก็ถ่าย”มัทนาเซ็ง

มัทนาในชุดไทยอีกชุด ยิ้มหวานประชดมาก ช่างภาพถ่ายภาพ
“โอเคคร้าบ”
วิกกี้พูดกับกะเทยผู้ช่วย
“เห็นมั้ย นางไม่กล้าออกฤทธิ์มาก ให้รู้ซะมั่งนี่หนังสือใคร ไม่งั้นท่านแม่ของนางไม่มาขอลัด คิวถ่ายปกปิดข่าวฉาวหรอก”
“แต่นางสวยเจิดจริงๆนะเจ๊ มิน่าถึงเป็นเซเลปที่...ที่มาแรงที่สุด”
“แรงเพราะขยันสร้างข่าวมากกว่า แว่วว่าราชสกุล ตัดหางปล่อยวัดนางแล้ว”
เสียงตากล้องดังขึ้น
“เรียบร้อยครับ”
วิกกี้ตบมือ
“เยี่ยมยอดมากค่า...รับรองยอดขายเล่มนี้พุ่งกระฉูดแน่”
“ตกลงเหลือถ่ายกับเด็กอีกเซ็ทหนึ่งใช่มั้ย ไหนคะ เด็กมาหรือยัง” มินตราถาม
“คือ เรามีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันน่ะค่ะ เซ็ทนี้ขอเป็นถ่ายคู่กับนายแบบแทน”
“นายแบบ...ใครคะ” มัทนาสงสัย
“ผมเองครับ”
อัคนีปรากฎตัว ถือช่อดอกไม้ โพสต์ท่าเท่ห์
“เซอไพรส์...”
“คุณอัคนี อลังการสกุล ลูกกตัญญูดีเด่นปีนี้ค่ะ”
วิกกี้นำตบมือ อัคนียิ่งโพสต์หล่อ มัทนาถามเบาๆ
“นี่มันอะไรกันคะ พี่มิน อีตาอัปลักษณ์นี่มาได้ไง...”
“พี่ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
อัคนีเอาดอกไม้ยื่นให้มัทนา
“ยินดีมากจริงๆที่คุณมัทนาให้เกียรติถ่ายแบบกับผม”
“ฉันไม่ยินดี ขอโทษนะคะ นี่ไม่ได้ตกลงกันไว้ ฉันคงต้องขอตัว”
อัคนีหันไปมองวิกกี้
“อุ๊ยตายแล้ว ลืมโทรรายงานท่านหญิงมาณวิกาเลย ท่านสั่งไว้ว่าถ้างานเรียบร้อยให้บอก”
มัทนาอึ้งไป มินตราพยักหน้าให้ถ่ายๆไปเถอะ วิกกี้ทำท่าจะกดโทรศัพท์ ขู่กลายๆ

มัทนายืนอยู่ในเซตในชุดใหม่ เป็นไทยประยุกต์ อัคนีในชุดสูทผ้าไหม ยืนซ้อนหลังมัทนา ตากล้องกำกับท่าทาง
“คุณอัคนีโอบคุณมัทนาหน่อยครับ”
อัคนีมองมัทนาด้วยสายตาเจ้าชู้แล้วโอบมัทนาจากด้านหลังอย่างแต๊ะอั๋ง
“ตั้งแต่ผมได้พบคุณมัทที่งานกาลาดินเนอร์อาทิตย์ก่อน ผมก็คิดถึงคุณมัทตลอดเวลา คิดถึงทุกลมหายใจ”
มัทนามองอัคนีอย่างไม่พอใจกระซิบ
“คุณยืนใกล้ฉันเกินไปแล้ว ขยับออกไปหน่อย”
“ยืนไกลๆจะโอบคุณตามที่ตากล้องบอกได้ยังไงละครับ”
มัทนามองอัคนี ยิ้มร้าย
“ได้ อยากใกล้ก็ได้เลย”
มัทนาถอยหลังเอาส้นสูงเหยียบไปบนเท้าอัคนีทั้งสองข้าง อัคนีเจ็บ
“อุ๊บ”
“ทำไม ใกล้ไม่พอเหรอคะ”
มัทนาขยี้ วิกกี้พูดขึ้น
“เอาละค่ะ พร้อมนะคะ ยิ้มค่า อย่างงั้น”
อัคนียิ้มแหย กลั้นความเจ็บ มัทนายิ้มหวาน ตากล้องถ่ายทันที

มัทนาในชุดไทย เดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวกับมินตรา
“เสร็จซะที...ถ้าถ่ายนานกว่านี้มัทคงทนไม่ไหวต้องจับนายอัคนีหักแขกหักขาแน่”
“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ คุณอัคนีจบจากเมืองนอก อาจชินกับธรรมเนียมฝรั่ง” มินตราปลอบ
“ฝรั่งขี้นกน่ะซิ ใครใครก็รู้ว่าตานี่ เรียนที่ไหนก็ไม่จบ ทุกวันนี้ก็เอาแต่ตามจีบพวกดารา เกาะกระแส นี่ถ้าไม่ใช่วิชามารคงไม่ได้มาถ่ายปกวันนี้หรอก”
“คุณอสิตพ่อเขาก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ มีชื่อเสียง คุณมัทอย่ามองคนในแง่ร้ายซิคะ”
“คนที่มีเงินไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีทุกคนนะคะพี่มิน”
มัทนาชะงักเมื่อเห็นอัคนียื่นซองให้วิกกี้
“สินน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่คุณช่วยให้ผมได้มาถ่ายแบบกับคุณมัท”
“ขอบพระคุณค่ะ แหม ความจริงไม่ต้องก็ได้”
“นั่นไง...เห็นหรือยัง หึ คนแบบนี้ต้องได้รับบทเรียน” มัทนาแค้นๆ
“จะทำอะไรเขา” มินตราร้อนใจ

มัทนาครุ่นคิดแล้วหันไปมองทีมงานที่กำลังเก็บของกันอยู่ก็ยิ้มออก มีหนทางเล่นงาน

มัทนาเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้ว เดินมากับมินตราเห็นวิกกี้กับทีมงานหาของบางอย่าง

“มีใครเจอเมมโมรี่การ์ดรึยัง”
“ยังไม่มีใครเจอเลยครับ”
“รูปที่ถ่ายทั้งหมดอยู่ในนั้นถ้าหาไม่เจอต้องเชิญถ่ายกันใหม่ ค่าออกกองเล่มนี้บานตะไท ฉันต้องโดนไล่ออกแน่ๆ”
วิกกี้กับทีมงานช่วยกันหาเมมโมรี่การ์ดอย่างจ้าละหวั่น มัทนามองวิกกี้ยิ้มเยาะ มินตราเข้ามาบอก
“วุ่นวายกันใหญ่แล้ว คืนเขาไปเถอะ”
มัทนาหยิบเมมโมรี่การ์ดออกมา มินตราจะรับ แต่มัทนาไม่ส่งให้หักเมมโมรี่การ์ดแล้วทิ้งขยะ
“มัทบอกแล้วไงคะว่าคนปลิ้นปล้อนต้องได้รับบทเรียน”
มัทนาเดินออกไป มินตรามองตามอย่างหนักใจแล้วเดินตาม

รถของมัทนาจอดรออยู่ ลุงเพิ่มเปิดประตูรอ มัทนากับมินตราจะเดินไปที่รถ แต่รถสปอร์ต ป้ายแดงที่อัคนีขับมาจอดเทียบ อัคนีลงมา
“เป็นไงครับ เฟอรารี่ รุ่นล่าสุด ในเมืองไทยมีแค่สามคันไม่ทราบ เจ้าหญิงของผมจะให้เกียรตินั่งที่เบาะนี้เป็นคนแรก ได้มั้ยครับ”
มินตรารีบบอก
“คงไม่...”
มัทนาแทรกขึ้น
“ได้ซิคะ”
“คุณมัท” มินตรางง
“มัทกำลังอยากนั่งรถกินลม ชมวิวกุรงเทพฯ โรแมนติกจะ ตาย พี่มินให้นายเพิ่ม ขับตามมัทไปแล้วกัน”
อัคนีเดินเท่ห์ไปเปิดประตูรถ ข้างคนขับแต่มัทนา เดินมาที่นั่งคนขับ เปิดขึ้นไปนั่ง
“อ้าว” อัคนีหน้าเหวอ
“ขึ้นมาซิคะ”
“ให้สุภาพบุรุษอย่างผมเป็นคนขับดีกว่านะครับ”
“ได้ยังไงละคะ นานๆเจอรถหรูระดับนี้ ไม่ขับเองเสียใจตาย ขึ้นมาเร็วๆซิคะ เดี๋ยวมัทเปลี่ยนใจนะ”
อัคนีขึ้นนั่ง รัดเข็มขัด
“พร้อมนะคะ”
“สำหรับคุณมัท ผมพร้อมเสมอ”
มัทนายิ้ม เอาแว่นดำใส่ เหยียบคันเร่งพุ่งออกไป อัคนีผงะติดเบาะ
“คุณมัทๆ”
มินตราวิ่งไปที่รถตู้ นายเพิ่ม ขับตามไปเร็ว

รถเฟอรารี่ แล่นปราดเข้ามาจอดหน้าบึงอย่างรวดเร็ว อัคนีนั่งนิ่ง ตาค้าง ผมตั้งลู่ไปข้างหลัง
“สุดยอดจริงๆค่ะ คุณอัคนี ขนาดเหยียบเกือบสองร้อย ยังนิ่งสนิท ขอบคุณม้ากมาก”
“ไม่...ไม่เป็นไรครับ”
“ลงมาเถอะค่ะ”
“ที่นี่ที่ไหนครับ”
“ที่ที่เราจะมาเดทกัทไงคะ” มัทนายิ้มหวาน
“เดท”
อัคนี รีบเช็คทรงผมที่กระจกหน้า ลูบๆแล้วตามลงไป

มัทนาพาอัคนีเดินมาที่บึงน้ำที่สวยงามด้วยบรรยากาศยามเย็น มีคนเล่นเคเบิ้ลสกีอยู่ในบึง มีร้านอหารของบึงบรรยากาศโรแมนติค
“ที่แท้ คุณมัทก็อยากดินเนอร์ริมบึงแล้วดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันใช่มั้ยครับ”
มัทนาไม่ตอบแต่ตะโกนเรียกพนักงาน
“น้องๆ...จัดการเลย”
พนักงานพยักหน้าให้กันแล้วหยิบอุปกรณ์วิ่งกรูมาใส่ให้อัคนี เขาตกใจ
“เฮ้ย...ทำอะไร”

มัทนาไม่ตอบแต่ยิ้มเหี้ยม

อ่านต่อหน้า 2

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)

มัทนากับอัคนีอยู่ในบึงทั้งคู่ใส่อุปกรณ์เคเบิ้ลสกี จับสายเคเบิ้ลที่ลากไปอย่างช้าๆ อัคนีตะโกนโวยวายอย่างหวาดกลัว

“คุณมัทผมเล่นไม่เป็นให้ผมขึ้นเถอะ คุณมัท”
“เล่นไม่ยากหรอกน่าเดี๋ยวก็เป็น ดูนะคะ”
มัทนาไม่สนกระโดดยกขาโชว์ลีลาง่ายๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้คนคุมเครื่อง เคเบิ้ลถูกลากให้เร็วขึ้น อัคนียิ่งหน้าเหวอร้องอย่างกลัวสุดขีด
“อ๊าก...ช่วยด้วย”
มัทนามองอัคนีแล้วหัวเราะลั่นอย่างสะใจ แล้วโชว์ลีลาผาดโผนแบบมืออาชีพ มัทนาตีลังกากลางอากาศอย่างสะใจ
“วู้ว”
อัคนีแหกปากร้องลั่นบึง

วังรายา...เจ้าชายมาคีก้มหน้าต่อหน้าพระนางสาวิตรี คนอื่นๆอยู่กันพร้อมหน้า คามินมองเจ้าชายมาคีอย่างเป็นห่วง
“นี่ลูกหนีการประลองไปเสวยสุขกับผู้หญิงเหรอ”
เจ้าชายมาคีจ๋อยๆ
“ลูกขอโทษ...แต่เสด็จแม่ก็ทรงทราบว่า ลูกไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ประลองก็ต้องแพ้อยู่ดี ลูกก็เลยหลบออกจากวังเพราะรู้ว่า ยังไงคามินก็ต้องลงประลองแทน แล้วคนเก่งอย่างคามินต้องเป็นผู้ชนะ...ท่านพ่อก็จะไม่ขายพระพักตร์”
ราชาอินทราไม่พอใจ
“คิดตื้นๆ นี่เป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นเพื่อทำให้ชาวรายาศรัทธาต่อเจ้าชายรัชทายาท เจ้าทำแบบนี้ชาวรายาจะศรัทธาในตัวเจ้าได้ยังไง”
เจ้าชายมาคีแย้ง
“ชาวเมืองไม่เห็นหน้าคามินก็ยังคิดว่าเป็นลูก คามินก็ชนะอย่างที่ลูกคิด ตอนนี้ชาวรายาก็ศรัทธาในตัวลูกอย่างที่ท่านพ่อต้องการ เห็นมั้ยว่าได้ประโยชน์กันทุกคน”
ราชาอินทราโกรธมาก
“เราไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากรัชทายาทแห่งรายา เจ้าทิ้งความรับผิดชอบ หลอกลวงทุกคน แล้วยังคิดเอาดีใส่ตัวโดยไม่มีความละอายสักนิด”
พระนางสาวิตรีกับเจ้าชายมาคีหน้าเจื่อน
“เอาตัวมาคีออกไปเราจะลงโทษมาคีตามกฎด้วยตัวเราเอง” ราชาอินทราสั่งโภคิน
นายพลวิฑูรขัดขึ้น
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า เจ้าชายอาจทรงทำไปเพราะวู่วามและอาจหลงเชื่อคำยุยงที่ไม่หวังดี โปรดประทานอภัยให้เจ้าชายด้วย”
“เสด็จพี่ลูกไม่ได้ตั้งใจ ทรงอภัยด้วยเพคะ” พระนางสาวิตรีขอร้อง
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมขอรับโทษทั้งหมดแทนเจ้าชายพะย่ะค่ะ” คามินรีบบอก
นายพลวิฑูรปรายตาให้เมียช่วยพูด เทวีรีบทรุดลง
“ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ”
เทวีสะกิดหฤทัยที่ยังยืนเหวอ หฤทัยเพิ่งเข้าใจ รีบทำตาม
“ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ”
สินธร โภคิน ชวาล คุกเข่าพูดพร้อมเพียง
“ทรงพระกรุณาด้วยพะยะค่ะ”
ราชาอินทราหน้านิ่งเข้ม
“แผ่นดินรายาภายใต้การปกครองของเราไม่ว่าคนทำผิดจะเป็นใครก็ต้องได้รับโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น คุมตัวมาคีออกไปที่ลานลงทัณฑ์”
ทหารพาเจ้าชายมาคีที่หน้าเริ่มซีดด้วยความกลัวออกไป

ลานลงทัณฑ์...โภคินกำลังมัดเจ้าชายมาคีไว้กับเสา ราชาอินทราถือแส้มองเจ้าชายมาคี คนอื่นๆยืนมองอย่างสงสาร ชวาลกลัวมาก กระซิบสินธร
“ไม่น่าเลย นายยังโดนขนาดนี้ แล้วขี้ข้าจะขนาดไหน”
“ถ้าโดนก็สมควร ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือ เจ้าชายจะหนีไปได้ยังไง”
“โธ่...ท่านสินธร ใครจะห้ามเจ้าชายได้...” ชวาลหันไปหาคามิน “ท่านคามิน ท่านก็รู้นิสัยเจ้าชายนี่ครับ”
คามินมองเครียด ราชาอินทราเดินไปหาเจ้าชายมาคีที่มองอย่างหวาดกลัว ราชาอินทราเงื้อแส้สุดมือ หฤทัย กรี๊ด ทุกคนหันไปมอง เทวีหันมาดุลูก
“ร้องทำไม ยังไม่ได้ทรงตีเลย”
“ก็หฤทัยกลัวนี่คะ”
“พาหฤทัยออกไป” นายพลวิฑูรเซ็ง
เทวีถอนสายบัวแล้วฉุดหฤทัยออกไป ราชาอินทราฟาดไปที่เจ้าชายมาคี แต่ก่อนที่แส้จะโดนตัว คามินวิ่งเข้ากอด ข้างหลังเอาตัวรับแส้แทน คามินสะดุ้งอย่างเจ็บปวดแต่ไม่ร้องสักแอะ
“คามิน” ราชาอินทราตกใจ
เจ้าชายมาคีมองคามินอย่างซึ้งใจ
“เกล้ากระหม่อมเป็นองครักษ์ประจำตัวแต่ปล่อยให้ เจ้าชายหนีออกจากวังไปได้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเกล้ากระหม่อมเอง ทรงลงโทษเกล้ากระหม่อมแทนเถอะพะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีรีบยุยงทันที
“ใช่เพคะ ทั้งหมดเป็นความผิดของคามิน ถ้าคามินไม่ยุยง ลูกเราไม่กล้าทำแบบนี้แน่”
ราชาอินทราตวาด
“พอได้แล้ว มาคีเป็นคนก่อเรื่องคนที่ผิดคือมาคี...หลีกไป คามิน”
“เกล้ากระหม่อมขอรับโทษแทนเจ้าชายพะยะค่ะ”
ราชาอินทราตวาดลั่น
“ออกไป”
คามินไม่ไป โภคินรีบเข้ามาดึงคามิน
“อย่าขัดพระบัญชาองค์ราชาเลย”
โภคินดึงคามินออกไป คามินมองเจ้าชายมาคีอย่างรู้สึกผิดที่ช่วยไม่ได้ เจ้าชายมาคีมองคามินอย่างซึ้งใจ นายพลวิฑูร กับสุเทษมองอย่างสะใจ ราชาอินทราเงื้อแส้สุดแขน เจ้าชายมาคีมองราชาอินทราแล้วหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวแต่ก่อนที่ราชาอินทราจะฟาดแส้ ก็เป็นลมล้มพับไปซะก่อน ทุกคนมองเหตุการณ์อย่างตกใจ พระนางสาวิตรีรีบเข้าไปประคอง
“ฝ่าพระบาทเพคะ”
เจ้าชายมาคีลืมตามขึ้นเห็นราชาอินทราเป็นลมก็ตกใจมาก

“เสด็จพ่อ”

ท่านหญิงมาณวิกากระวีกระวาดออกมาต้อนรับหม่อมเจ้าหญิงเกยูรที่ถือไอแพดมา

“พี่หญิง ขอประทานอภัยเพคะที่ให้ทรงรอ เชิญประทับในบ้านดีกว่าเพคะ”
“ไม่ละ ฉันแค่มาพูดธุระแล้วก็จะไป เธอเห็นข่าวนี้หรือยัง”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรกดไอแพดให้ดู
“พี่หญิงก็ทราบว่าน้อง ใช้เครื่องอะไรพวกนี้ไม่เป็น”
“เธอถึงได้ตามลูกเธอไม่ทันไง เอ้าดูดีๆ ดูให้เต็มตาว่ามัทนาไปก่อเรื่องอะไร”
ท่านหญิงมาณวิกาอ่าน
“คราวนี้มัทนาเซเลบสาวไฮโซเล่นแรงจนหนุ่มฮ็อตลูกนักธุรกิจใหญ่ ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล อย่างนี้หนุ่มๆที่ต่อแถวรอจีบคงต้องคิดหนัก”
ท่านหญิงมาณวิกาดูภาพ อัคนีนอนเดี้ยงบนเปลหาม
“เป็นไปไม่ได้เพคะ วันนี้ลูกมัทไปถ่ายปกนิตยสาร ต้องมีคนกลั่นแกล้งแน่ๆ”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเลื่อนภาพไปอีกภาพ เป็นภาพมัทนายืนกอดอก มีมินตรายืนตกใจมองอัคนีอยู่ ข้างๆ แล้วแตะให้ภาพซูมเข้าหน้ามัทนา
“ชัดมั้ย หรือเธอจะบอกว่ายัยมัทนามีฝาแฝด”
ท่านหญิงมาณวิกาซีด หม่อมเจ้าหญิงเกยูรสีหน้าเบื่อหน่าย
“ถามจริงๆ เมื่อไหร่ ลูกสาวเธอจะเลิกสร้างข่าวที่มันแย่ๆแบบนี้ซะที ฉันขี้เกียจจะตอบคำถามใครๆเต็มทีแล้ว บอกตรงๆฉันคงเป็นหนังหน้าไฟให้เธอตลอดไปไม่ไหว ลืมแล้วเหรอว่ากว่าฉันจะทูลให้เด็จพ่อกับหม่อมแม่หายกริ้วตอนเธอแต่งงานก็เลือดตาแทบกระเด็น”
“น้องทราบดีค่ะ และระลึกถึงพระคุณของพี่หญิงอยู่จนถึงทุกวันนี้”
“ฉันไม่ได้มาทวงบุญคุณ นะหญิงมาณวิกา แต่ฉันอยากให้เธอทำอะไรสักอย่าง อย่าให้สาย สกุลเราต้องมัวหมองไปมากกว่านี้”
ท่านหญิงมาณวิกาหน้าสลดลง

มัทนากับมินตรา เดินเข้ามา ในห้องรับแขก มินตราหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง
“โอ๊ย หิวๆ พี่มิน วันนี้ขอเมนูจัดเต็มนะคะ เป็นเสต๊กก็ดี เสียพลังงานไปเยอะ”
อนงค์ สาวใช้เข้ามารับของจากมินตรา
“เอาไปเก็บในห้องคุณมัทไป”
“คุณแม่อยู่ไหน”
อนงค์อึกอัก มินตราดุ
“คุณมัทถามก็ตอบซิ อึกอักทำไม”
“กลับมาแล้วเหรอยัยมัท...”
ท่านหญิงมาณวิกาเดินลงบันไดมาหน้านิ่งๆ อนงค์รีบขึ้นบันไดไป
“ค่ะ คุณแม่” มัทนายิ้มแย้ม
“ถ่ายแบบเป็นยังไงบ้าง”
“โอเคค่ะ แต่เหนื่อยสุดๆ”
“รูปออกมาคงสวยมากๆเลยนะ ใช่มั้ยมินตรา”
“ค่ะ สวยมาก” มินตราหลบตา
“สวยแบบนี้หรือเปล่า”
ท่านหญิงมาณวิกายื่นไอแพดให้ดู มัทนาอึ้งแล้วแถไป
“คุณแม่ยอมซื้อไอแพดแล้ว เริ่ดค่ะ”
มินตราดูแล้วตกใจ
“ไม่ใช่ของแม่ เป็นของท่านป้าเกยูร ท่านทรงกรุณาให้ยืมเพราะไม่อยากให้แม่เป็นคนโง่ ถูกลูกสาวหลอกอยู่ตลอด”
“คุณแม่ พูดอะไรคะ มัทไม่ใช่ผี จะได้ชอบหลอก ฮะๆ”
มินตราส่งให้ดู มัทนาหัวเราะค้าง
“ทำไมเร็วงี้ ใครเอามาลงเนี่ย”
“คราวนี้จะแก้ตัวว่ายังไง”
มินตรารีบอธิบาย
“คุณท่านคะ คือ จริงๆแล้ว คุณมัทนาไปถ่ายแบบนะคะ แต่ว่า...”
ท่านหญิงมาณวิกาสวน
“ฉันผิดหวังในตัวเธอมากมินตรา แทนที่เธอจะคอยเตือนสติยัยมัทกับให้ท้ายให้ทำอะไรแผลงๆ อยู่ตลอดเวลา”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่มินนะคะ คนผิดก็คือยัยบอกอวิกกี้กับ อีตาอัคนีจอมเว่อร์นั่นต่างหาก”
มัทนารีบขัด ท่านหญิงมาณวิกาโมโห
“เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วยัง ไม่สำนึก แม่จะไม่อดทนกับลูกอีกต่อไปแล้วมัทนา”

คามินอยู่ในห้องพักถอดเสื้อมีรอยแส้ที่หลังแตกเป็นทางยาวมีเลือดซึม สินธรเอายามาทาแผลให้
“ผมขอโทษครับ”
“ฉันรู้ว่านายห่วงฉัน แต่ความลับของเจ้าชายสำคัญมาก เราต้องรักษาเท่าชีวิต”
“แต่คราวนี้เจ้าชายทรงทำเกินไปนะครับ ทุกวันนี้ ท่านคามินก็แทบต้องทำทุกอย่างแทนเจ้าชายอยู่แล้ว ถ้ายังต้องมารับโทษอีก มันไม่ยุติธรรม”
“สินธร อย่าพูดอย่างงี้อีก ราชองครักษ์มีหน้าที่พิทักษ์ราชบัลลังก์ และยังต้องรักษาพระเกียรติของราชวงศ์ยิ่งชีวิตโดยไม่มีข้ออ้างใดใดทั้งสิ้น”
“ครับ”
ประตูห้องคามินถูกเปิดออกอย่างแรง คามินกับสินธรรีบหยิบหอกที่วางอยู่แถวนั้น เจ้าชายมาคีเดินเข้ามา
“เราเอง...”
เจ้าชายมาคีมองถ้วยยา คามินกับสินธรวางหอกแล้วทำความเคารพ
“ฝ่าบาท”

สินธร ถวายความเคารพก่อนจะถอยออกไป

เจ้าชายมาคีมองถ้วยยา

“นั่งลงสิเราจะทายาให้”
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”
“ให้เราทำเถอะ ไม่งั้นเราคงรู้สึกผิดมากๆ”
เจ้าชายมาคีมองคามินแล้วยิ้มประจบ
“ถ้าคิดว่าเราเป็นเจ้าชายรัชทายาทแล้วต้องห่างเหินกับนายขนาดนั้น นายก็คิดซะว่าเราเป็นน้องชายที่กำลังจะทายาให้พี่ชายแทนละกัน”
คามินจำต้องหันหลังให้เจ้าชายมาคีทายา
“ขอบคุณนายมากนะที่ปกป้องเรา”
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว”
เจ้าชายมาคีวางถ้วยยา
“เสียงเย็นแบบนี้...แสดงว่ายังไม่หายโกรธเรา”
คามินนิ่งไม่ตอบ
“เราขอโทษ”
“หม่อมฉันไม่ได้โกรธเรื่องนั้นแต่โกรธที่เจ้าชายหนีออกจากวังโดยไม่มีองครักษ์คุ้มกัน...มันอันตรายมากนะพะยะค่ะ”
“ที่นี่รายาประเทศของเรา มีแต่คนรักเราไม่มีใครคิดร้ายกับเราหรอก”
“เจ้าชายไม่ควรประมาทนะพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีล้มตัวลงนอนบนโซฟาอย่างเซ็งๆ
“เราโดนท่านพ่อต่อว่ามากพอแล้วอย่าต่อว่าอะไรเราอีกเลยน่า”
“เจ้าชาย องค์ราชาทรงรักและปรารถนาดีกับฝ่าบาทมาก ที่กริ้วก็เพราะทรงคาดหวังที่จะเห็นฝ่าบาทชนะการประลองเพื่อการยอมรับของประชาชนและเหล่าข้าราชบริพาร...”
“พอๆ เราถูกทุกคนพูดกรอกหูอยู่แทบทุกวัน จนท่องได้แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทก็ควรไปเฝ้าองค์ราชาและขอประทานอภัยจากพระองค์”
“ถ้าเสด็จพ่อเห็นหน้าเราคงประชวรหนักกว่าเดิม”
“เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาททรงเป็นโอรสองค์เดียวนะพะยะค่ะ”
“ถ้าแลกได้ เราอยากให้นายมาเป็นเจ้าชายรัชทายาทแทนเรามากกว่า เสด็จพ่อคงทรงมีความสุขกว่าเยอะ”

ราชาอินทราครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง หมอตรวจอาการอยู่ พระนางสาวิตรีเฝ้าอยู่ข้างๆ นายพลวิฑูรกับโภคินยืนอยู่
“ความดันพระโลหิตลดลงแล้วพะยะค่ะ พระอาการอื่นๆ ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ขอบใจหมอมาก”
หมอทำความเคารพออกไป พระนางสาวิตรีใส่ไฟทันที
“เสด็จพี่ เรื่องมาคี หม่อมฉันแน่ใจว่ามันต้องเป็นแผนของคามิน ๆต้องเป็นคนชักจูงให้มาคีไปคบกับนักร้องที่ชื่อกรรณิการ์แน่ มันสองคนต้องร่วมมือกัน เพื่อทำให้มาคีหนีการประลอง”
ราชาอินทราขัดขึ้น
“แล้วผู้หญิงคนก่อนๆล่ะ กรรณิการ์ไม่ใช่คนแรก อย่าแก้ตัวให้ลูกเลย สาวิตรี”
“เกล้ากระหม่อมคิดว่า เจ้าชายอาจทรงคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น ทางเดียวที่จะทำให้ทรงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นคือ การอภิเษก” นายพลวิฑูรออกความเห็น
พระนางสาวิตรีรีบเสริม
“ใช่แล้วค่ะ ถ้ามาคีมีชายาที่น่ารัก อ่อนหวานอย่างหฤทัย ก็คงไม่ไปเละเทะเหลวแหลกกับใครอย่างที่แล้วมา”
“เรายังไม่อยากพูดเรื่องนี้”
“ตอนนี้ข่าวลือเรื่องเสียหายของเจ้าชายเริ่มแพร่ออกไปมากทุกที ถ้าเราไม่มีรีบแก้ไข อาจเป็นผลร้ายต่อราชบัลลังก์” นายพลวิฑูรยุยง
ราชาอินทราเสียงเข้ม
“ถ้ารู้อย่างนี้ท่านก็ควรรีบระงับข่าวลือซะซิ”
ทั้งคู่สบตากัน ลึกๆไม่ชอบกันอย่างแรง ในที่สุดนายพลวิฑูรเป็นฝ่ายก้มหน้า โภคินเข้ามา
“ขอเดชะ คามินมารอเฝ้าอยู่ด้านนอกพะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีกับนายพลวิฑูรมองหน้ากัน
“ยังกล้าเสนอหน้ามาอีก ไปบอกว่าองค์ราชาบรรทมแล้ว” พระนางสาวิตรีไม่พอใจ
“ให้เข้ามาได้” ราชาอินทราสวนขึ้น
“แต่ว่า...” พระนางสาวิตรีชะงัก
นายพลวิฑูรไม่พอใจ ราชาอินทราตัดบท
“น้องกับท่านนายพลก็ไปพักผ่อนเถอะ ดึกมากแล้ว”

นายพลวิฑูรกับพระนางสาวิตรีเดินออกมาจากห้อง เจอคามินยืนเตร่รออยู่ ชะงัก คามินทำความเคารพ พระนางสาวิตรีต่อว่าทันที
“เป็นตัวการทำให้องค์ราชากริ้วจนทรงพระประชวรแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ หรืออยากจะให้พระอาการทรุดหนักกว่านี้”
คามินค้านเรียบๆ
“มิได้พะยะค่ะ เจ้าชายมาคีทรงห่วงองค์ราชาเลยใช้ให้หม่อมฉันมาดูพระอาการพะยะค่ะ”
“เอะอะก็อ้างมาคี...คิดว่าเราไม่รู้รึไงว่าที่เจ้ามาเฝ้าองค์ราชาที่นี่เพราะอยากเอาหน้า อย่านึกนะว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่แต่จะบอกให้นะ ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”
พระนางสาวิตรีออกไป นายพลวิฑูรจ้องหน้าคามิน
“คามิน ฉายาองครักษ์เงาที่ได้มา คงทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดมากซินะ ถึงทำทุกวิถีทางที่จะเป็นตัวจริงให้ได้”
คามินพูดเรียบๆ ไม่หลบตา
“ผมไม่รู้ว่า ท่านหมายความว่ายังไง เพราะผมไม่เคยหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกับคนบางคน”
“แน่มาก คามิน แต่จำไว้นะ ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”
นายพลวิฑูรมองคามินอย่างไม่พอใจแล้วเดินออกไป เสียงโภคินดังขึ้น
“คามิน รีบเข้ามาเถอะ”

คามินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าราชาอินทรา
“เกล้ากระหม่อมทำให้ประชวร เกล้ากระหม่อมสมควรตาย”
“ใช่ เจ้าผิดมาก เราถึงต้องการให้เจ้าทำคุณไถ่โทษ”
คามินมองเชิงถาม
“เราต้องการให้เจ้าไปเมืองไทย...”

คามินแปลกใจ

ในห้องพระบ้านธรรมรัตน์ยามเช้าวันนี้...มัทนานั่งคุกเข่าอยู่หน้าหิ้งบูชาซึ่งมีทั้งพระและโกศกระดูกบรรพบุรุษที่เป็นชั้นหม่อมเจ้า พระองค์เจ้าหลายโกศ เรียงราย มีมาลัยดอกไม้สดคล้องและบนผนังยังมีรูปขาวดำของญาติที่เป็นราชนิกูล อยู่หลายรูป ทั้งหญิงชาย

ไม่นานนัก มัทนาหลับสัปหงก ลงไปพับเพียบ แผละ สะดุ้งตื่น มองซ้ายมองขวา ทุบๆขา
“โอ๊ย...” มัทนามองที่หิ้ง “มัทกราบขอประทานอภัยเสด็จตา หม่อมยาย แต่มัทง่วงมากๆ ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
มัทนาเอน ลงไปนอน ประตูห้องพระเปิดผัวะเข้ามา เสียงท่านหญิงมาณวิกาดังมา
“มัทนา”
มัทนาเด้งตัวขึ้นมา คุกเข่า ตัวตรง
“ไหนว่าจะนั่งคุกเข่าตั้งแต่เที่ยงคืน ถึงเที่ยงวันไง แค่หกชั่วโมง ไม่ไหวแล้วเหรอ”
“มัทแค่ก้มลงไปดูว่ามีมดที่พื้นรึเปล่า มัทไม่ได้นอนสักหน่อย”
“มัทนา ที่แม่สั่งทำโทษนี่ไม่ได้ทำให้ลูกสำนึกผิดอะไรเลยใช่มั้ย ได้ งั้นก็นั่งอยู่อย่างงี้จนถึงตะวันตกดินก็แล้วกัน”
ท่านหญิงมาณวิกาจะไป
“คุณแม่”
มัทนาจะลุกตามแต่เหน็บกิน ลงไปนั่งแผละ มินตราที่แอบดูอยู่เข้ามา ประคอง
“คุณมัท คุณท่านคะ มินว่าพอแค่นี้เถอะนะคะ ขาคุณมัทเป็นเหน็บหมดแล้ว”
“แข็งแรงขนาดเล่นสกีผาดโผนได้ นั่งคุกเข่าไม่กี่ชั่วโมง คงไม่เป็นไรมั้ง”
มินตราพยักหน้าให้มัทนาขอร้องแม่
“คุณแม่ขา มัทสำนึกผิดแล้ว คุณแม่อย่าโกรธมัทเลยนะคะ” มัทนาจะไปหาแล้วแกล้งร้อง “โอ๊ยๆ มัท เป็นอะไรก็ไม่รู้ขาไม่มีความรู้สึกเลย มัทต้องเป็นอัมพาตแน่ๆ”
ท่านหญิงมาณวิกาแกล้งตกใจเข้ามาดู
“ไหนๆ ชาตรงไหน มินตราไปโทรหาอาจารย์หมอซิ วันนี้ ท่านเข้าโรงพยาบาลมั้ย”
“ที่แท้คุณแม่ก็ เป็นห่วงมัทใช่มั้ย”
“เปล่า ฉันจะส่งเธอไปให้อาจารย์หมอตัดขาทิ้ง จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวทำเรื่องขายหน้าอีก”
“คุณแม่”
“มัทนา ถึงลูกจะไม่มีฐานันดรใดใดนำหน้าชื่อแต่จำไว้ ว่าลูกสืบเชื้อสายมาจากเสด็จในกรม เป็นเลือดขัตติยะที่มีเกียรติ จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้”
“ค่ะ มัทจะไม่ทำอีก มัทไปได้แล้วใช่มั้ยคะ”
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้า
“ถวายบังคมลา” มัทนาถอนสายบัวอย่างสวยงาม “ไปพี่มิน เราไปหาคุณพ่อที่นิคมกัน”
ท่านหญิงมาณวิกาเสียงเข้ม
“ไม่ได้ ลูกต้องถูกกักบริเวณ จนกว่าจะถึงงานวันเกิด”
“คุณแม่” มัทนาตะลึง
“หรืออยากจะโดนมากกว่านี้”
“ค่ะ” มัทนาเสียงอ่อย
มัทกระโผลกกระเผลกไป มินตรา กราบพระ และ กราบโกศกระดูก ด้วยท่าทางเรียบร้อยงดงามแล้วลุกตามออกไป ท่านหญิงมาณวิกาบ่นๆ
“ถ้ายัยมัทได้ดังใจอย่างยัยมินสักครึ่งหนึ่งก็ดีซิ”

มินตราเดินออกไปหน้าห้องได้ยิน ชะงักนิดหนึ่ง แต่สีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

อ่านต่อหน้า 3

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)

ธรรมรัตน์เดินอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม กำลังคุมการสร้างคันกั้นน้ำรอบนิคม เหมันต์ เลขาคนสนิทถือแฟ้มตาม

“เร่งงานด้วยเหมันต์ ฉันอยากสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า”
“ครับ ยังไงก็เสร็จก่อนหน้าฝนแน่นอน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธรรมรัตน์หยิบโทรศัพท์มาดูไม่เห็นเบอร์โทร.โชว์ก็มองอย่างแปลกใจแล้วกดรับ
“ฮัลโหล...ท่าน องค์ราชา”
ในวังรายา โภคินยืนอย่างนอบน้อมฟังราชาอินทราคุยโทรศัพท์กับธรรมรัตน์
“เราเอง...อินทรา...เราก็เหนื่อยเป็นปกติแล้วคุณล่ะ”
“เหมือนท่าน...พระองค์นั่นละครับ เอ่อ พะยะค่ะ...เหนื่อยเป็นปกติ”
“พูดกับเราแบบธรรมดา แบบเพื่อนเถอะ ธรรมรัตน์ เราอนุญาต”
“พะยะค่ะ เอ๊ย ครับท่าน...แล้วโทรมานี่ มีอะไรให้ผมรับใช้รึเปล่าครับ”
“เราจะโทรมาทวงสัญญา”
“สัญญา...”
“ใช่ สัญญาระหว่างเราเมื่อยี่สิบปีก่อน หวังว่าคุณคงไม่ลืม”
ธรรมรัตน์ยืนนิ่งอึ้งไป ค่อยๆลดโทรศัพท์ลง เหมันต์มองงงๆ
“เหมันต์ บอกเจ้าชูด้วย ฉันต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

ค่ำนั้น มัทนานั่งหน้าหงิกอยู่ที่โซฟา มินตราเอาชุดเครื่องเพชร สวยงามยื่นมาให้ดู
“นี่ค่ะ เครื่องเพชรชุดที่คุณมัทต้องใส่วันงาน เป็นของเก่าแก่ ของคุณท่าน ขัดทำความสะอาดแล้ว สวยมาก ลองหน่อยมั้ย คะ”
“ไม่ค่ะ มัทไม่ซีเรียส ใส่อะไรก็ได้”
“ไม่ได้ค่ะ งานนี้คุณท่านเชิญนักข่าวทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งนิตยสารมาเยอะแยะ เพราะอยากให้รูปที่เผยแพร่ออกไปเพอเฟ็คที่สุด คุณมัทจะไม่สนใจไม่ได้”
“มัทจะไปใส่ใจเพื่ออะไรคะ ในเมื่อตอนนี้มัทก็แค่ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ที่ใครจะแต่งตัว หรือจะโปรแกรมให้ทำอะไรก็ได้”
“คุณมัท คุณมัทเป็นผู้หญิงที่โชคดีแค่ไหนรู้มั้ย มีผู้หญิงมากมายที่อยากมานั่งอยู่ตรงนี้แต่ไม่มีโอกาส”
“ใครล่ะคะ บอกหน่อย มัทจะขอแลกกับเขาเดี๋ยวนี้เลย”
มินตราอยากบอกว่า เป็นตัวเองแต่ก็ยั้งปากไว้ อนงค์เคาะประตูแล้ว เอาถาดอาหารเข้ามา
“อาหารเย็นค่ะ”
“เห็นมั้ยคะ ต้องมีคนส่งข้าวส่งน้ำ นี่มัน นักโทษชัดๆโอ๊ย มัททนไม่ไหวแล้ว เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับมาซะที”
“คุณผู้ชายกลับมาแล้วนี่คะ”
“ฮะ...จริงเหรอ ทำไมไม่บอกแล้วตอนนี้คุณพ่ออยู่ ไหน”

ท่านหญิงมาณวิกาช็อคเมื่อได้ยินสิ่งที่สามีบอก
“คุณแน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
“สาบานว่าคราวนี้ผมไม่ได้พูดเล่น ผมถึงรีบกลับมาเพื่อ ปรึกษากับคุณ”
“ทำไมคุณไม่เคยเล่าให้ฉันฟัง”
“ผมไม่กล้า อีกอย่าง ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ก็ไม่ได้รับสั่งถึงเรื่องนี้อีก ผมเลยไม่คิดว่าองค์ราชา จะทรงยึดถือสัญญานั่นเป็นจริงเป็นจัง...ลูกมัทเนี่ยนะราชินีของประเทศรายา ผมวาดภาพไม่ออกเลย ถ้าไป เป็นหัวหน้าม็อบยังจะเป็นไปได้มากกว่า”
ธรรมรัตน์มองรูปในไอแพดกลุ้มๆ
“ยังจะมาพูด ก็ใครล่ะที่ให้ท้าย ตามใจลูกจนกลายเป็นแบบนี้ถ้าไม่ใช่คุณ”
“ผมผิดไปแล้ว แต่ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าจะปฎิเสธทางโน้นยังไง องค์ราชากำลังจะส่ง เจ้าชายมาดูตัวลูกมัทแล้ว”
มัทนาวิ่งมาถึงหน้าห้องได้ยิน ชะงักฟัง
“คุณไปถวายสัญญากับองค์ราชาแห่งรายาว่า ยกลูกสาวให้เป็นคู่อภิเษกของเจ้าชายรัชทายาท แล้วจะกลับคำเนี่ยนะ คุณรู้มั้ย ว่าคำสัญญาที่ถวายต่อพระเจ้าแผ่นดิน มันคือคำสัตย์สาบาน จะบิดพลิ้วไม่ได้”
ธรรมรัตน์หมดแรงนั่งลง
“ตาย คราวนี้ผมต้องตายแน่ๆ แล้วเราจะพูดกับลูกยังไง”
“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ มัทได้ยินหมดแล้ว”
ธรรมรัตน์อึ้ง
“ยัยมัท”
“ช่วยไปทูลเจ้าชายด้วยนะคะว่ามัทยินดีจะอภิเษกด้วย แต่มีข้อแม้”
ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกาถามพร้อมกัน
“อะไร”
“เจ้าชายต้องไปปราบอสูรในป่าให้สำเร็จก่อน” มัทนาหัวเราะออกมา “ฮะๆ ไงคะ อึ้งไปเลย คิดจะหลอกมัทไม่สำเร็จหรอก มัทรู้ทันมุกคุณพ่อน่า เราสองคนมันคอหอยกับลูกกระเดือก”
มัทนาเข้าไปประจบพ่อ ชูมือ เพื่อให้พ่อเอามาประกบ แต่ธรรมรัตน์ถอนใจมองกับท่านหญิงมาณวิกา มัทนามองหน้าพ่อแม่
“ทำไมคะ”
ท่านหญิงมาณวิกาดุ
“เลิกเล่นได้แล้ว นั่งลง มัทนา เราต้องคุยกันเป็นจริงเป็นจังซะที”

มินตราแอบฟังอยู่ด้านนอก

เจ้าชายมาคีอยู่ในห้องถอนหายใจอย่างโล่งอก

“โล่งใจไปทีที่ท่านพ่อไม่เป็นอะไรมาก”
“องค์ราชาพระชนมายุมากแล้ว เจ้าชายควรจะทรงเลิกเที่ยวเตร่แล้วมาช่วยท่านทรงงานบ้าง” คามินเตือน
“ท่านพ่อมีท่านวิฑูรกับนายคอยช่วยอยู่แล้วเราไม่ทำก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...” เจ้าชายมาคีหยิบไอโฟนขึ้นมาเปิดรูปกรรณิการ์ “นายคงรู้จัก กรรณิการ์ นักร้องวงรายาซิมโฟนี่ สวย น่ารักพูดเพราะ อ่อนหวาน ชื่อกรรณิการ์”
ชวาลที่อยู่ใกล้ๆรำพึงขึ้นลอยๆ
“รายที่แล้วก็รับสั่งแบบนี้เปี๊ยบ”
เจ้าชายมาคีหันไปดุ
“ใครถามความเห็นแก ชวาล”
“ไม่มีกระหม่อม”
ชวาลออกไป เจ้าชายมาคีหันมาหาคามิน
“เราคิดว่าเรารักกรรณิการ์”
“แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นราชินีแห่งรายา”
“นายกำลังจะบอกว่าหฤทัยเหมาะที่สุดงั้นซิ ถามจริง นายอยากเห็นฉันแต่งงานกับนกแก้วเหรอ”
คามินขำ อดหัวเราะไม่ได้
“นกแก้ว ก็สีสวย น่ารัก ดีไม่ใช่เหรอกระหม่อม”
“น่ารำคาญมากกว่า พูดแต่สิ่งที่คนอื่นบอกให้พูด ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เราสาบานเลยว่าหฤทัยไม่มีวันได้สวมกุณฑลข้างนี้ของเรา”
เจ้าชายมาคีจับต่างหูข้างซ้ายของตัวเอง ตามทำเนียมชายชาวรายาทุกคนที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ต่างหูสองข้าง แต่งแล้วใส่ข้างเดียวเพราะอีกข้างต้องมอบให้เจ้าสาวตามประเพณี
“เช่นนั้น กระหม่อมขอสัญญาจากฝ่าบาท ทรงเก็บพระกุณฑลเอาไว้ก่อน อย่าประทานให้ผู้หญิงคนไหนจนกว่ากระหม่อมจะกลับมา”
เจ้าชายมาคีแปลกใจ
“นายจะไปไหน”
“ทรงรับปากกระหม่อมก่อน”
“ได้...”
“และระหว่างที่กระหม่อมไม่อยู่ จะไม่ทรงออกนอกเขตพระราชฐานโดยพลการ”
“โอเค”
“ขอบพระทัย ทรงพักผ่อนเถอะกระหม่อม”
คามินทำความเคารพแล้วเดินออกไป
“อ้าว เดี๋ยวซิ นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่านายจะไปไหนคามินๆ”

ธรรมรัตน์ยื่นสมุดกำมะหยี่ ให้มัทนาๆเปิดออก ด้านในเป็นรูปถ่าย ของธรรมรัตน์กับราชาอินทราสมัยหนุ่มๆ กอดคอถ่ายรูปกัน ด้านหลังเป็นมหาวิทยาลัยในเมืองไทย มีลายมือของราชาอินทราเขียนข้อความไว้ใต้รูปเป็นภาษาอังกฤษ
“A TOKEN OF OUR ETERNAL FRIENDSHIP”
(ที่ระลึกแห่งมิตรภาพที่ไม่มีวันตาย)
ลงชื่อ PRINCE INDHRA
“องค์ราชากับพ่อเจอกันตอนที่พระองค์เสด็จมาทรงศึกษาสาขารัฐศาสตร์ในเมืองไทย ตลอดเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัย เราสนิทกันมากจนเหมือนพี่น้อง หลังจากเรียนจบ เรายังติดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งทรงขึ้นครองราชย์” ธรรมรัตน์พูดอย่างหนักใจ
มัทนาแทรก
“แล้วก็เลยสัญญากันว่าถ้ามีลูกจะให้แต่งงานกัน นี่มันนิยายโรมานซ์โบราณชัดๆ”
“ปู่ของมัทถูกหุ้นส่วนโกงจนล้มละลาย ถ้าไม่ได้องค์ราชาช่วยเหลือ พ่อคงไม่มีทุนก้อนแรกมาทำธุรกิจจนกลายเป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรม ได้แต่งงานกับท่านหญิง แม่ของมัทอย่างทุกวันนี้”
มัทนาอึ้งไปนิด
“แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนี่คะ เราตอบแทนบุญคุณองค์ราชาอย่างอื่นก็ได้ อย่างเช่นถวายเงินคืนไป”
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นน่ะซิ”
“ไม่รู้ละ มัทไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้มันเกินไปแล้ว มัทบอกคุณพ่อไว้ตรงนี้เลยว่า ถึงจะเอามัทไปฆ่า มัทก็ไม่แต่งงานกับเจ้าชายรัชทายาท”
ท่านหญิงมาณวิกาที่นั่งเงียบขรึมมาตลอด พูดขึ้นอย่างเฉียบขาด
“แต่แม่ตัดสินใจแล้ว ลูกต้องแต่ง”
มัทนาหน้าตื่น
“อะไรนะคะ”
“หมดเวลาเที่ยวเล่น ทำเรื่องไร้สาระแล้ว ลูกต้องทำหน้าที่ในฐานะสายเลือดของราชสกุล พรหมเทพ อย่างเต็มที่ซะที”
“คุณแม่”
มัทนาตกใจ ธรรมรัตน์มองเมีย นึกไม่ถึง

หมู่บ้านชายแดนรายา...คามินควบม้ามาตามทางขึ้นเขามองหมู่บ้านที่อยู่ในทิวเขา...คามินกับฐากูร หัวหน้าหมู่บ้าน เดินมาที่ลำธารมองชาวบ้านชาย หญิงกำลังช่วยกันสร้างฝายตรงทางน้ำตก ฐากูรหันมาบอก
“ตอนนี้ชาวบ้านเร่งกันทำทั้งกลางวัน กลางคืน เพื่อให้ทันฤดูน้ำหลาก คิดว่าคงเสร็จทันครับ”
คามินพอใจ
“ดีมาก ฝายจะช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำ ทำให้คนในหมู่บ้านมีน้ำไว้ใช้ แล้วก็เป็นแนวป้องกันไฟป่าด้วย”
“ขอบคุณ ท่านราชองครักษ์มากที่เดินทางมาดูแลพวกเราถึงชายแดนที่ธุรกันดารนี่”
“เป็นพระราชดำริขององค์ราชาที่ทรงต้องการให้ทุกคนในแผ่นดินรายา อยู่อย่างมีความสุข”
“ทรงพระเจริญ”
“กว่าผมจะกลับมาที่นี่อีกก็หลายเดือน วันนี้ผมจะอยู่ช่วยพวกเรา”
คามิน ถอดเสื้อ เดินลุยลงไป ฐากูรตบมือให้ทุกคนหันมา
“วันนี้ท่านราชองครักษ์คามินจะมาช่วยพวกเราสร้างฝายด้วย”
ทุกคนเฮ คามินบอกกับทุกคน
“เรามาร่วมมือกัน เพื่อแผ่นดินรายา องค์อินทราทรงพระเจริญ”
ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน
“องค์อินทราทรงพระเจริญ ๆ รายาจงเจริญๆ”

ทุกคนชูมือขึ้นไปบนท้องฟ้า

เช้านี้ มัทนาเดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่มาตามทางในสนามบินสุวรรณภูมิ สวมใส่แว่นดำพรางตัว

“ราชินีของรายาเหรอ...ใครอยากเป็นก็เป็นไป แต่ไม่ใช่มัทนา”
เสียงเหมันต์ดังขึ้น
“คุณมัท”
มัทนาหันไป เหมันต์วิ่งมา มือถือตั๋วเครื่องบิน
“เบาๆซิพี่ เดี๋ยวก็ได้ยินหมดทั้งสนามบินหรอก บอกแล้วไงว่าเป็นความลับ ไหน ตกลงบินกี่โมง”
มัทนาดึงเหมันต์มาหลบมุม
“อีกชั่วโมงครึ่ง ที่จริงแค่ไปซื้อกระเป๋า พี่ไปจัดการให้ก็ได้ ไม่ต้องบินไปเองหรอก”
“ไม่ได้ๆ มัทต้องไปดู ไปตรวจสินค้า จะซื้อมาขอโทษคุณแม่ทั้งที ต้องเพอเฟ็ค”
“งั้นพรุ่งนี้พี่มารอรับนะ ออกจากฮ่องกงทุ่มหนึ่ง น่าจะถึงซักสามทุ่ม”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวมัทกลับเอง”
“แต่...”
มัทนารวบมือเหมันต์จับไว้
“งานนี้มัทอยากให้เป็นความลับ มัทอยากเซอไพรส์คุณแม่ พี่เหมันต์รับปากนะว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาด ถ้าใครถามถึงมัท ก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”
เหมันต์มองที่มือ อึ้งมาก พูดอะไรไม่ถูกเพราะหลงรักมัทนาอยู่
“ครับ พี่...สัญญา”
“ไม่เอา สาบาน... สาบานเลยพี่ว่าเรื่องที่มัทไปฮ่องกงวันนี้จะรู้กันแค่สองคน ไม่อย่างงั้น ขอให้พี่เหมันต์แห้ว ไม่มีแฟนตลอดชาติ”
“สาบาน”
“น่ารักมาก จำไว้ พี่เหมันต์เป็นคนที่มัทไว้ใจที่สุด ในโลก ขอบคุณนะคะ”
มัทนาบีบมือ เหมันต์แล้วเดินไปเลย เหมันต์นิ่งงันมองมือตัวเอง ยิ้มเศร้า
“ไม่ต้องสาบานพี่คงต้องแห้วอยู่แล้ว”

มัทนาควักพาสปอร์ตมา เอาตั๋วสอดไว้ พอเงยหน้าก็เบรกเอี๊ยดเมื่อเห็นหม่อมเจ้าหญิงเกยูรกับท่านชายจุฑาทิพย์กำลัง ยืนคุยกัน รอไกด์ไปเช็คตั๋ว แต่งตัวเตรียมเดินทางไปท่องเที่ยว
“ท่านลุง หม่อมป้า”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรมองมาพอดี
“ท่าน ทอดเนตรตรงนั้นซิเพคะ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ หลานมัทใช่มั้ยเพคะ”
“ ไหน...คนไหน”
“คนนั้นไงเพคะ”
มัทนา ก้มหน้าถอยหลัง ชนเข้ากับคามินที่เดินเช็คโทรศัพท์มา คามินใส่ชุดลำลอง เสื้อโปโลสีเข้มสบายๆ ใส่แว่นดำแบบนักท่องเที่ยว ตั๋วหลุดจากพาสปอร์ตร่วงลงพื้น มัทนาไม่เห็น
“อุ๊ย...”
มัทนาหันไป นึกว่าคามินเป็นชาวต่างชาติ
“ซอรี่...”
มัทนารีบยัดพาสปอร์ตใส่กระเป๋า แล้วเดินไปอีกทาง คามินมองตาม หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินมา ท่านชายจุฑาทิพย์ตาม
“มัทนา ๆ”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเห็นหลังมัทนาไวๆ ตะโกนเรียก มัทนาไม่ตอบ
“คงไม่ใช่มั้ง” ท่านชายออกความเห็น
“แต่หม่อมฉันว่าใช่นะ จงใจหลบหน้าหลบตาเรามากกว่า”
“แล้วมัทนาเขาจะหลบเราทำไม เธอก็”
“ก็เพราะรู้ว่า ต้องโดนเราอบรมเรื่องที่เป็นข่าวเมื่อวันก่อนไงเพคะ ทรงรอตรงนี้ก่อน หม่อมฉันจะไปคว้าตัวมาให้ได้”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินตามมัทนาไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายส่ายหน้า เดินกลับไปนั่งรอ คามินเปิดดูชื่อในตั๋ว
“มัทนา เกียรติกำจร”

คามินนึกถึงค่ำคืนก่อนหน้านี้...คามินยืนเข้าเฝ้าราชาอินทราที่ลงมานั่งที่โต๊ะทรงงาน ราชาอินทรายื่นรูปของมัทนาให้เป็นรูปถ่ายสวยงาม วันรับปริญญา ใส่ครุยมีมงกุฎดอกไม้
“เราต้องการให้เจ้าไปพบผู้หญิงคนนี้”
“เธอเป็น...”
“เจ้าสาวของมาคี และราชินีของรายาในอนาคต”
“แล้วคุณหฤทัย ธิดาของท่านวิฑูรละพะยะค่ะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่วิฑูรต้องการ เจ้าน่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”
“เพื่อฐานอำนาจในวังจะได้แข็งแกร่งขึ้น”
ราชาอินทรามองโภคินเป็นเชิงถามความเห็น
“ท่านวิฑูรมีศักด์เป็นพระเชษฐาขององค์ราชินีมีอำนาจบารมีแข็งแกร่งอยู่แล้ว หากได้เป็น
พระบิดาของพระ ชายาอีก อำนาจก็คง เพิ่มขึ้น”
ราชาอินทราหน้าเครียด
“และเมื่อมาคีขึ้นครองราชย์ ก็คงเป็นได้แค่หุ่นเชิดเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด ต่อแผ่นดินรายา มีเพียงวิธีเดียวที่จะคานอำนาจของวิฑูรได้”
ราชาอินทราพยักหน้าให้โภคินไปยกเอาหีบเล็กๆ ลวดลายสวยงามจากโต๊ะ มาวางข้างหน้าคามิน ราชาอินทราเปิดหีบออก เห็นเป็นตราราชวงศ์
“ตรานี้ เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าได้รับมอบหมายจากเรา ราชาอินทรา ให้ไปทำภารกิจสำคัญและเป็นความลับสุดยอด นั่นคือ ทำให้สตรีผู้นี้พร้อมที่จะเข้าพิธีอภิเษกกับมาคีอย่างเร็วที่สุด”

คามินตัดสินใจตามมัทนาไป...มัทนาเดินลิ่วจะเข้าไปด้านใน ควักพาสปอร์ตมาแต่ ปรากฎ ตั๋วไม่มี
“ตั๋วเครื่องบิน ไปไหนเนี่ย โอ๊ยตาย...หรือว่าทำหล่น”
มัทนาจะหันกลับ เจอหม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินมา
“มัทนา นั่นมัทนาใช่มั้ย”

มัทนามองซ้ายขวาหนีต่อ คามินตามมา

ธรรมรัตน์ อ่านจดหมาย ท่านหญิงมาณวิกา ฟังอยู่ด้วย มินตรายืนก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด

“มัทเกิดมาบุญน้อย ขอกราบลาไปตามทางของมัท ถ้าชาติหน้ามีจริง มัทค่อยเกิดมาทดแทนพระคุณของคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ ด้วยความรัก เคารพอย่างสุดซึ้ง...มัทนา”
“ยัยมัทของพ่อ” ธรรมรัตน์ช็อค
“มินกราบขอโทษนะคะ แต่มินไม่คิดเลยว่าคุณมัทจะหนีไป เพราะเธอไม่ได้เอาของอะไรติดตัวไปเลย...”
ท่านหญิงมาณวิกาโกรธมาก
“เธอไม่ผิดหรอกมินตรา คนอย่างมัทนา ลองจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้”
“ผมไม่น่าบังคับลูกเลย ลูกอาจจะคิดสั้นก็ได้ ผมต้องรีบ แจ้งผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ ให้ช่วยนำกำลังออกตามหามัทนา”
ท่านหญิงมาณวิการีบห้าม
“ไม่ได้นะคะคุณ ทำอย่างนั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ยัยมัทไม่ฆ่าตัวตายแน่ เพียงแต่จะหนีไปอยู่ไหนเท่านั้น”
ธรรมรัตน์ชะงัก
“หนีเหรอ...”

เหมันต์เดินมีความสุขมาที่รถโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเห็นชื่อรีบรับ
“ฮัลโหล ครับท่าน...คุณมัทเหรอครับ ไม่นี่ครับ ไม่ได้ติดต่อมาเลย ฮะ...หนี คงไม่มั้งครับ พรุ่งนี้ก็ น่าจะกลับแล้ว อุ๊บ...” เหมันต์นึกได้ว่าเผลอหลุดรีบปิดปาก
“ยัยมัททิ้งจดหมายเอาไว้ ส่งคนของเราปูพรมตามหาให้ทั่ว ห้ามรถทัวร์ออกจากท่า ห้ามเครื่องบินทุกลำไม่ให้ขึ้นบิน เขาเสียหายเท่าไหร่ก็เอาเงินจ่ายเขาไป...แล้วก็โทรบอกท่านกงสุล ท่านทูต ตำรวจ ทหารทุกคนที่เรารู้จักว่าถ้าเจอยัยมัทให้จับตัวไว้ให้ด้วย แล้วทุกอย่างต้องเป็นความลับ เข้าใจมั้ย”
เหมันต์วางสายหน้าเครียด
“ซวยแล้ว คุณมัทนะคุณมัท”

ในสนามบินสุวรรณภูมิ...มัทนาเข้าไปหลบในหลืบ หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินเลย มัทนาชะโงกมองโล่งใจ คามินเข้ามา
“ขอโทษครับ”
มัทนาสะดุ้งหันไป
“ตกใจหมด อ้าวคุณ คนไทยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ แต่พูดไทยได้บ้าง นี่ของคุณใช่มั้ยครับ”
มัทนาเห็นตั๋ว ดีใจสุดๆ
“ใช่ค่ะ ใช่ โอ๊ย ขอบคุณมากๆ ฉันเกือบตกไฟลท์แล้ว”
“ไปเที่ยวเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ ลี้ภัย”
“ลี้ภัย แปลว่า...” คามินงงๆ
มัทนามองไปเห็นรปภ เดินวอกันมาวุ่นวาย รปภจะมองมา มัทรีบกอดคามิน
“โอ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากๆYou are so kind. คุณใจดีมากจริงๆ”
คามินอึ้งไป ไม่รู้ว่ามัทมามุกไหน มัทมองเห็นรปภมองเลย แล้วเดินหลุดไป ก็ผละออกมา
“Never mind.ไม่เป็นไรครับ”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินย้อนมามัทนาตกใจกอดอีกเอาตัวคามินบัง ซุกหน้าที่อกเขา
“ต๊าย น่าเกลียด” หม่อมเจ้าหญิงเกยูรทำท่ารังเกียจ
มัทนากระซิบ
“ช่วยฉัน หน่อยนะคะ please ! ฉันถูกตามล่า”
“ใครตามล่าคุณ” คามินงงๆ
“พ่อฉันเอง พ่อบังคับให้แต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รักเขา เขาเป็นคนเลวมาก มีเมียอยู่แล้วเป็นสิบ แล้วก็เป็นมาเฟียด้วย”
“เหรอครับ แย่มากๆ”
“ฉันขอแค่ไปส่งฉันให้ถึงทางเข้าแค่นั้น นะคะ นะ”

หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเดินใกล้เข้ามา คามินโอบมัทนาเดินออกไป

อ่านต่อหน้า 4

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)

คามิน ลากกระเป๋า พร้อมกับโอบมัทนาเดินมาเหมือนเป็นแฟนกัน มัทนามีผ้าคลุมผมกับแว่นดำ คามินคิดว่าจะทำไงดีที่จะถ่วงเวลา

“หยุดก่อน”
“คะ” มัทนาชะงัก
“ข้างหน้า มีการ์ดหลายคน คงกำลังตามหาคุณ”
“จริงเหรอ” มัทนาหน้าตื่น
“มานี่”
คามินดึงมัทนาเข้าไปที่หน้าห้องน้ำ
“คุณไปหลบในห้องน้ำก่อน ผมจะออกไปดูให้ ถ้าพวกเขาไปหมดแล้ว ผมจะมาบอก”
“ขอบคุณคะ เอ่อ คุณคะ คุณไม่ใช่คนไทยแต่ทำไมพูดไทยชัดมาก”
“ประเทศผมอยู่ใกล้กับเมืองไทยมาก ในมหาวิทยาลัยของเรา มีการสอนภาษาไทย”
“เวียตนาม พม่า มาเลเซีย”
“ไม่ใช่ครับ ประเทศผมเล็กกว่านั้น” คามินยิ้ม
มัทนาถอดแว่น ยิ้มให้อย่างซาบซึ้ง คามินถูกสะกดด้วยความสวย อึ้งไปนิด
“ถึงประเทศคุณจะเล็ก แต่น้ำใจคุณยิ่งใหญ่มาก ฉันจะไม่ลืมเลย”
“ครับ อย่าออกไปข้างนอกจนกว่าผมจะมา”
คามินเดินไป มัทนาเข้าไปในห้องน้ำ

เหมันต์เดินมาถามกับรปภ.ที่มุมหนึ่งในสุวรรณภูมิ
“เจอมั้ยครับ”
“ยังครับ แต่ไม่ต้องห่วง เช็คแล้วว่าคุณมัทนายังไม่ได้เข้าไปด้านใน คงยังอยู่แถวนี้ แต่คนเยอะมาก ถ้าไม่ประกาศหาคงยากหน่อย”
“อย่านะครับ เราต้องการให้เรื่องเงียบที่สุด”
รปภเดินแยกไป
“ตาย ตายแน่ๆ” เหมันต์ยกมือไหว้ “เจ้าประคู้น ถ้าดวงลูกยังไม่ถึงฆาต ขอให้เจอคุณมัทด้วยเถอะ”
พอลืมตา คามินก็มายืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ทราบว่า คุณกำลังตามหา ผู้หญิงที่ชื่อมัทนาใช่มั้ยครับ”
เหมันต์งงๆ

มัทนาเดินไปมาอยู่ในห้องน้ำ มองนาฬิกา
“ทำไมไม่มาซะที ป่านนี้โดนประกาศเรียกขึ้นเครื่องแล้ว”
มัทนาตัดสินใจออกไป เธอชะโงกมอง ไม่เห็นรปภตรงที่เดิม ก็ดีใจ รีบเดินออกมา
“เฮ้อ...ลาก่อน เจ้าชายรัชทายาทแห่งรายา”
มัทนาเดินไปแล้วชะงัก เพราะเห็นเจ้าหน้าที่ รปภ เดินกันออกมา พอหันกลับไปอีกทางก็เห็นเหมันต์
“คุณมัท”
มัทนาอึ้งๆ

เจ้าชายมาคีเปิดประตูห้องออกมา ชวาลรีบเดินเข้ามาหา
“วันนี้ทรงตื่นเช้าเชียว”
“นี่มันจะเที่ยงแล้ว ไม่ต้องมาประชด”
“มิได้พะยะค่ะ บรรทมตื่นเร็วกว่าทุกวันจริงๆธรรมดา กว่าจะทรงลุกจากพระบรรจถรณ์ ก็บ่าย”
เจ้าชายมาคีมองหน้า จะเดินไป
“เด็จไหนพะยะค่ะ”
“เราจะไปหากรรณิการ์”
“ไม่ได้พะยะค่ะ องค์ราชารับสั่งห้ามฝ่าบาทเสด็จออกนอกวัง ถ้าไม่ทรงอนุญาต”
“เจ้าก็อย่าบอกใครซิ บอกว่าเรายังนอนอยู่”
“ทรงพระกรุณาเถอะ กระหม่อมหัวหลุดจากบ่าแน่”
“แต่ถ้าเจ้าไม่ถอยไป หัวเจ้าจะหลุดเดี๋ยวนี้”
ชวาลต้องถอย เจ้าชายมาคีเดินจะออกประตูชั้นนอก แต่เจอสินธรกับทหาร
“เจ้าชายจะเสด็จไปไหนพะยะค่ะ”
“เราต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ”
“หากไม่ทรงบอก ก็ต้องเสด็จกลับเข้าไปในตำหนัก”
เจ้าชายมาคีไม่พอใจ
“นี่เจ้ากล้าออกคำสั่งกับเราเหรอ”
“เป็นรับสั่งขององค์ราชา กระหม่อมต้องปฎิบัติตาม”
“แต่เราไม่ใช่นักโทษ”
เจ้าชายมาคีจะเดินออกไป สินธรหันไปพยักหน้าให้ทหาร ทหารหลายนายกรูเข้าจับตัวเจ้าชายมาคี เจ้าชายมาคีหยิบหอกคู่ที่เสียบที่หลังทหารนายหนึ่ง มาฟาดเข้าใส่ทหารคนที่จับ สินธรรีบเอาหอกคู่ของตัวเองออกมารับ เจ้าชายมาคีมองสินธรอย่างไม่พอใจแล้วรำมวยรายัยปรี่เข้าต่อสู้ สินธรสะบัดหอกด้วยท่าสบายๆ หอกคู่ที่เจ้าชายมาคีถืออยู่หลุดจากมือ เจ้าชายมาคีมองอย่างทั้งโกรธทั้งตกใจ
“เจ้าบังอาจสู้เรา มันจะมากเกินไปแล้ว”
“ไม่ว่ายังไง กระหม่อมก็ยอมให้เจ้าชายเสด็จออกไปไม่ได้ เสด็จกลับเข้าไปเถอะพะยะค่ะ อย่าทรงเหนื่อยเปล่าเลย”
เจ้าชายมาคีมองสินธรอย่างไม่พอใจแล้วเดินกลับเข้าห้องไป ชวาลรีบตามเข้าไป
“ตกลงเจ้าชายจะเหวยอะไรพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีมองชวาลอย่างหงุดหงิด
“ไม่กินโว้ย”
เจ้าชายมาคีปิดประตูห้องอย่างหงุดหงิด ชวาลหน้าเจื่อน สินธรมองเจ้าชายมาคีอย่างหนักใจ

ที่ห้องพักในโรงแรมหรู...คามินในชุดลำลองกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“ทำดีมาก สินธร ไม่ว่าเจ้าชายจะทรงขัดขืนอาละวาดยังไง ก็อย่าปล่อยให้ทรงออกมาจากวังเป็นอันขาด จนกว่า ฉันจะกลับไป...”
คามินดูประวัติและรูปภาพครอบครัวของมัทนาในไอแพด เขามองภาพของธรรมรัตน์ แล้วนึกถึงคำสั่งของราชาอินทรา
“คามินข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด จึงได้มอบภารกิจนี้ให้เจ้าใกล้ชิดดูแลราชินีในอนาคตของรายา เธอเป็นลูกสาวสหายรักของเราชื่อ ธรรมรัตน์ เขาเป็นคนดี ไว้ใจได้ และเราก็เชื่อมั่นว่ามัทนาจะเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเช่นกัน”
คามินมองภาพหมู่ครอบครัวของมัทนา เขาสไลด์ดูหลายๆภาพ หัวข้อข่าว
“ประวัติลูกหลานไฮโซ ทายาทคนดัง” พร้อมภาพของมัทนาในกิจกรรมต่างๆ หัวข้อข่าว เซเลบริตี้เจเนอเรชั่นใหม่แห่งแวดวงสังคมไฮโซ มัทนา เกียรติกำจร ลูกสาวคนเดียวของ “ม.จ.มาณวิกา พรหมเทพ กับ เจ้าสัวธรรมรัตน์ แห่งอุตสาหกรรมเกียรตินคร คามินสไลด์ภาพข่าวมาสะดุดภาพข่าวบันเทิงย้อนหลังแซวมัทนาว่า
“ธิดาราชนิกุลดังแผลงฤทธิ์อีกแล้ว สาดน้ำใส่หน้าทายาทห้างฯดังกลางงานกาล่าฯ” ภาพข่าวสุดท้าย เป็นภาพนิ่งมัทนา กับเนื้อข่าว
“เซเลปดังจัดงานฉลองวันเกิดที่คฤหาสถ์กลบข่าวแรง งานนี้มีเซอร์ไพรส์”...คามินครุ่นคิด เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดัง คามินมอง

“ท่านโภคิน…” เขากดรับสาย “ครับท่าน องค์ราชาทรงเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

ภายในห้องบรรทมราชาอินทรา...โภคิน ยืนรายงานราชาที่นั่งจิบน้ำสมุนไพรอยู่ที่โซฟา

“คามินเป็นห่วงพระองค์มากพะยะค่ะ”
“อืม...ฉันไม่เคยสงสัยความจงรักภักดีของคามินเลย ไม่อย่างงั้นคงไม่ส่งเขาไป เขาได้พบธรรมรัตน์รึยัง”
“ยังพะยะค่ะ”
“ทำไม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“มิได้พะยะค่ะ คามินบอกว่า เขายังไม่ได้ติดต่อคุณธรรมรัตน์เพราะอยากหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับ คู่หมายของเจ้าชาย เกรงว่าถ้ารู้ตัวแล้ว จะไม่ได้ความจริง”
“งั้นเหรอ แล้วคามินว่ายังไงอีก”
“บอกแค่ว่า จะรายงานมาหลังจากงานวันเกิดของคุณมัทนา คืนนี้พะยะค่ะ”

ริมสระน้ำ บ้านธรรมรัตน์...บรรยากาศมีซุ้มอาหารประเภทต่างๆ ตกแต่งสวยงามล้อมรอบสระน้ำมีเวทีที่ถูกเซ็ทไว้ เขียนว่า สุขสันต์วันเกิด มัทนา เกียรติกำจร แขกเริ่มทะยอยมากันแล้ว ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกาไหว้รับแขก เหมันต์คอยเทคแคร์แขก วิกกี้เดินนำขบวนช่างภาพกับนักข่าวมา ท่านหญิงมาณวิกาเห็นเข้าไปทักทาย
“สวัสดีค่ะ คุณวิกกี้ ดีใจจริงๆที่มา”
วิกกี้ย่อไหว้
“วิกกี้ซิคะต้องกราบขอบพระคุณที่ให้เกียรติหนังสือของวิกกี้ มาเก็บภาพ หวังว่าคราวนี้ หนังสือของวิกกี้คงมีโชควาสนาได้ภาพคุณมัทนาเป็นปกซะทีนะคะ”
“แน่นอนค่ะ หลังจากจบงานแล้ว เราจะให้ช่างภาพของคุณเก็บภาพได้ตามสบายเลย”
“กราบขอบพระคุณท่านหญิงอย่างสูงค่ะ”
“เชิญรับประทานออเดริฟด้านโน้นก่อนนะคะ”
เหมันต์พาแขกอีกคนมา ท่านหญิงมาณวิกาไปรับแขก คามินเดินเข้ามาในชุดแจ๊กเก็ตสูท ดูวัยรุ่นถือกล้องวิดิโอขนาดเล็ก สะพายกระเป๋าหนัง ผ่านโต๊ะลงทะเบียน พนักงานหญิงหันมาบอก
“นักข่าวลงทะเบียนทางนี้ค่ะ”
“อ้อ ครับ”
คามินก้มลงเขียน ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ รับบัตรมาคล้องคอ เดินมาด้านหลังวิกกี้กับลูกน้อง วิกกี้เม้าท์กับลูกน้อง
“เชอะ ท่านหญิงคงนึกว่าเราไม่รู้ว่าใครเป็นคนขโมยเมมโมรี่การ์ดไป ถึงได้ทำมาเอาใจ คอยดูคราวนี้ถ้ายัยมัทนาทำฤทธิ์อีก เจอวิกกี้แน่”
“เจ๊กล้าเหรอ คุณมัทนาแกแรงจะตาย”
“ก็ลองซิ ฉันจะได้รวมหัวกับเล่มอื่นบอยคอตนางซะเลย”
คามินแทรกขึ้น
“ขอโทษนะครับ”
วิกกี้หันไป
“ผมเป็นนักข่าวมือใหม่ อยากขอข้อมูลหน่อยได้มั้ยครับ”
วิกกี้เห็นหล่อ
“อุ๊ย นักข่าวเหรอค่ะ นึกว่าเคป๊อบ เจป๊อบซะอีก ยินดีค่ะ”

มัทนาอยู่ในชุดไทยสวยงามแต่งผมเรียบร้อยยืนพิงหน้าต่าง มองออกไป มินตราอ่านกำหนดการให้ฟัง
“พอพิธีกร เกริ่นนำจบ ก็เป็นคิว คุณมัทออกไปรำ พอรำจบคุณมัทขอบคุณแขกที่มาในงาน ตามที่ซ้อมกันไว้ แล้วก็ลงจากเวทีไปเฝ้ารับประทานรางวัลจากเชื้อพระวงศ์ที่เสด็จมาร่วมงาน จากนั้นก็ทักทายแขกคนอื่นๆ สักประมาณสามทุ่ม หนังสือคุณวิกกี้ก็จะเข้ามา ถ่ายรูปลงปกที่ห้องรับแขกค่ะ”
มัทนานิ่งเฉย
“งานนี้สำคัญมากเพราะภาพในงานจะถูกบันทึก เป็นคลิปวิดิโอส่งไปที่รายา คุณมัทเข้าใจใช่มั้ย คุณมัท...คุณมัทได้ยินมั้ยคะ”
“ค่ะ”
“เห็นเงียบไป”
“มัทมีสิทธิ์ออกความเห็นด้วยเหรอคะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นคำสั่ง”
“คุณมัทคะ คุณพ่อคุณแม่ท่านทำไปเพราะหวังดีนะคะ”
“ด้วยการบังคับให้มัทแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรักงั้นเหรอคะ”
“แต่ผู้ชายคนนั้นคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งประเทศรายา ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาที่ไหน แล้วนี่ค่ะ รูปของเจ้าชาย”
มินตรา ยื่นมือถือให้
“ก็ทรงสิริโฉม ดูเป็นสุภาพบุรุษ” มินตราชอบ แอบเคลิ้มนิดๆ
“แน่ใจได้ยังไง อาจจะทรงเสน่หาไม่ป่าเดียวกันก็ได้ ใส่ตุ้มหูซะขนาดนั้น”
“ผู้ชายชาวรายา ใส่ตุ้มหูทุกคนค่ะ ถ้าเป็นโสดจะใส่สองข้าง แต่ถ้าแต่งงานแล้ว จะใส่ข้างเดียวเพราะมอบอีกข้างหนึ่งให้เจ้าสาวไปในวันแต่งงาน”
“โห...พี่มินรู้เรื่องผู้ชายรายาดีขนาดนี้ น่าจะแต่งกับเจ้าชายแทนมัทนะ”
“พูดอะไรคะคุณมัท ไม่ดีเลย”
“ก็มัทไม่อยากแต่งงานกับคนที่มัทไม่ได้รัก”
“งั้นก็คงมีทางเดียว” มินตราแอบหมั่นไส้
“ทางไหนคะ”
“รอให้ทางรายาปฎิเสธคุณมัทเองค่ะ”
มัทนาเซ็ง เสียงเคาะประตูดังขึ้น เหมันต์โผล่หน้าเข้ามา
“จ๊ะเอ๋ พร้อมกันหรือยังจ๊ะสาวๆ”
มัทนาเมิน เหมันต์จ๋อยพูดเบาๆกับมินตรา
“ยังรมณ์เสียเหรอ”
“มาก ฉันไม่รู้จะปลอบยังไงแล้ว เธอลองบ้างแล้วกัน ฉันขอไปเตรียมตัวที่ห้องแป๊บหนึ่ง”
มินตราเดินออกไป เหมันต์มองมัทนา หยิบฟันปลอมที่พกมากำไว้
“คุณมัท หันมายิ้มให้พี่หน่อยซิครับ”
“ไปให้พ้น มัทไม่อยากเห็นหน้าคนทรยศ”
“อย่าโกรธพี่เลยนะครับ คุณมัท ถ้าคุณมัทโกรธพี่ พี่ต้องตายแน่ๆ”
“ก็บอกให้ไปให้พ้น”
มัทนาหันมา ตกใจเพราะเหมันต์ใส่ฟันปลอมเหยินเป็นแก้วหน้าม้า
“อุ๊ย...”
“สงสารพี่เถอะ พี่มันไม่หล่อ พ่อไม่รวย แถมยังขี้เหร่ด้วย”
มัทนาหัวเราะออกมา
“คุณมัทยิ้มแล้ว”
“คิดว่าแค่นี้ จะลบล้างความผิดได้เหรอ”
“พี่ขอโทษ จะให้พี่ทำยังไงก็ได้...ยกเว้นอย่างเดียว พาคุณมัทหนี”
“ได้ งั้นพี่เหมันต์ต้องใส่ฟันนี่ อยู่ในงานเลี้ยงจนกว่างานจะจบ”
“ฮะ เอ่อ...แรงไปมั้ย หน้าพี่ตอนไม่ใส่นี่ก็หล่อจะแย่ ถ้าฟันเหยินอีก สาวที่ไหนจะมอง”
“ดี จะได้แห้วเหมือนกับที่สาบานไว้”
มัทนานึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอนึกถึงคำพูดของมินตราที่คุยกันเมื่อครู่
“งั้นก็คงมีทางเดียว”
“ทางไหนคะ”
“รอให้ทางรายาเขาปฎิเสธนคุณมัทเองค่ะ”
“จริงซิ...”

มัทนายิ้มมีแผนบางอย่างในใจ

วิกกี้คุยกับคามินอย่างออกรส

“ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี คุณมัทนาทำตัวเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน ว่ากันว่าเธอมีปมด้อยที่พ่อเป็นแค่คนธรรมดา อดเป็นหม่อมราชวงศ์ก็เลยสร้างจุดเด่นให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ”
“แล้วเธอมีคนรักมั้ยครับ”
“โอย จะเหลือเหรอ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“เธอเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า เพราะนิสัยเอาแต่ใจชอบทำอะไรเพี้ยนๆของเธอ งานนี้ก็เลยถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างภาพกุลสตรีให้เธอน่ะค่ะ”
ลูกน้องสะกิด
“เจ๊ๆ บนเวทีจะเริ่มพิธีการแล้ว”
“เหรอๆ เออ ขอโทษ คุณมาจากหนังสือเล่มไหนคะ”
“ผมเป็นนักข่าวต่างประเทศ มาจากประเทศรายาครับ”
“รายา” วิกกี้นึกๆ
บนเวทีโฆษกดำเนินรายการ
“ลำดับต่อจากนี้จะเป็นการแสดงที่พิเศษสุดจากเจ้าของวันเกิด คือคุณมัทนา เกียรติกำจร ธิดาผู้เป็นแก้วตาดวงใจของหม่อมเจ้าหญิงมาณวิกา พรหมเทพ กับเจ้าสัวธรรมรัตน์ เกียรติกำจร เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเกียรตินคร”
ท่านชายจุฑาทิพย์ หม่อมเจ้าหญิงเกยูรนั่งอยู่ด้วยกันด้านหน้า ท่านหญิงมาณวิกา ธรรมรัตน์นั่งถัดมา
“แปลก คนที่ฉันเจอที่สนามบินเหมือนยัยมัทมากจริงๆนะ” หม่อมเจ้าหญิงเกยูรบ่น
“แต่ลูกมัทไม่ได้ไปไหนจริงๆเพคะ น้องทำโทษให้ฝึกมารยาทอยู่ที่บ้าน”
“งั้นก็แล้วไป เพราะถ้าเป็นยัยมัททำน่าเกลียดแบบนั้นละก็ คงหมดหวังจะเยียวยาแล้ว”
โฆษกประกาศ
“สำหรับงานในวันนี้ คุณมัทนา เลือกการแสดงรำไทย เพราะต้องการอนุรักษ์ ศิลปวัฒธรรมอันดีงามของชาติ”
ท่านหญิงมาณวิกายิ้มปลื้ม
“น้องเชิญครูจากกรมศิลป์ฯมาฝึกซ้อมให้ลูกมัทโดยเฉพาะ ซ้อมกันหนักมาก ท่านพี่ต้องทรงโปรดแน่ๆ”
“หวังว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยนะ” ธรรมรัตน์เปรยๆ
“คุณก็รู้ว่าถ้าฉันเอาจริง ทุกอย่างต้องเรียบร้อยค่ะ” ท่านหญิงมาณวิกามั่นใจ
โฆษกประกาศ...
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ และแล้วก็ถึงเวลาที่เรารอคอย นั่นคือการแสดงที่มีชื่อว่า รำลักษมีสีดา แสดงโดย คุณมัทนา เกียรติกำจร ขอเชิญชมครับ”
เสียงปรบมือดัง เสียงโหมโรงดังขึ้น มัทนารำออกมา ไหว้สวยงาม ทุกคนตบมือ คามินที่ยกกล้องถ่าย มองชื่นชม ท่านหญิงมาณวิกาปลื้มมาก
“นี่ล่ะคะตัวจริงของลูกมัท”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรยิ้มพอใจ
ทันใดเสียงดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงแก้วหน้าม้า มัทนาหมุนตัวแล้วหันมารำท่าม้าย่องอย่างสนุกสนานและใบหน้าก็ใส่ฟันปลอมแก้วหน้าม้า หน้าตาน่าเกลียดทุกคนแถวหน้าตะลึง มัทนาก็ทำหน้าล้อเล่น เสียงหัวเราะดังสนั่น ขบขันก็ตามมา เหมันต์อึ้ง
“เวรแล้ว”
คามินอดขำไม่ได้เหมือนกัน ท่านหญิงมาณวิกาเบิ่งตาโพลงโกรธมือไม้สั่น กำมือแน่น แต่ต้องรักษากิริยาไว้ ธรรมรัตน์หน้าเหวอ พูดอะไรไม่ออก

มินตราตกใจบอกคนคุมเสียง
“คุณ เปิดเพลงผิดแล้ว”
ผู้กำกับเวทีหันมาบอก
“ไม่ผิดหรอกครับ คุณมัทนาเอาซีดีมาให้ผมเอง”

หม่อมเจ้าหญิงเกยูรแทบลมจับ
“นี่หรือรำลักษมีสีดา ฉันจะเป็นลม”
“รำแก้วหน้าม้าต่างหาก ตลกดีนะ” ท่านชายจุฑาทิพย์ชอบใจ
“ใช่ครับ ตลกมากเลย”
ธรรมรัตน์หัวเราะสร้างบรรยากาศแล้วหันไปหาเมียทำหน้าจะร้องไห้ ท่านหญิงมาณวิกาพึมพำเบาๆ
“เหมันต์อยู่ไหน”
เหมันต์วิ่งมาพอดี
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ท่านหญิงมาณวิกาถามเสียงเข้ม
เหมันต์จ๋อยๆ
“ไม่ทราบครับ”
“ไปบอกให้ปิดเพลงเดี๋ยวนี้”
พวกเซเลปซุบซิบ เบ้ปาก มือปืนที่ปลอมเป็นบริกรใช้ผ้าคลุมมือและเดินแทรกคน มาทางธรรมรัตน์อย่างรวดเร็ว คามินสังเกตเห็นมือปืนเดินไปหาธรรมรัตน์อย่างมีพิรุธ เขาวิ่งตามไปทันทีอย่างรวดเร็วกระโดดผ่านเก้าอี้ มือปืนกำลังขึ้นไกปืน คามินกระโดดกอดธรรมรัตน์ล้มลงไป มือปืนตกใจวิ่งหนีทุกคนตะลึง วี๊ดว้ายร้อง วิ่งหลบกันจ้าละหวัน มัทนาตะลึง คามินวิ่งตามมือปืนไป ธรรมรัตน์ยืนขึ้นได้ตกใจมองหามัทนา
“คุ้มกันลูกมัทด้วย”
เหมันต์วิ่งไปที่เวที ตกใจที่ไม่เห็นมัทนา

“คุณมัทๆ อยู่ที่ไหน”

มือปืนวิ่งออกมาจากหน้าบ้านมีมอเตอร์ไซค์รอรับ แล้วซิ่งออกไป คามินวิ่งตามมาติดๆ เห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดส่งคนพอดี คามินยื่นเงินดอลล่าห์ให้ผลักคนขับออกไปแล้วกระโดดขึ้นรถขับตามออกไปทันที ทิ้งให้พี่วินยืนโวยวาย

“เฮ้ย! รถกูจะเอาไปไหน” วินมอเตอร์ไซค์มองแบงค์ “แล้วกูจะใช้เป็นมั้ยเนี่ย”

คามินซิ่งตามคนร้าย ที่ขับออกถนนใหญ่ ด้านข้างของเขามีรถสปอร์ตของมัทนา แซงปาดหน้ามา คามินเสียหลักเล็กน้อย มองตามหลังรถมัทนา...มัทนาสีหน้ามุ่งมั่น เร่งเครื่องตามมือปืนทั้งสอง
มือปืนซิ่งหักเลี้ยวเข้าซอยกะทันหัน รถมัทนาขับเลย แล้วเบรกหมุนคว้าง ตกใจ หักรถกลับถอยหลังเพื่อเข้าซอย คามินเข้าซอยตามมือปืนไปแล้ว

เหมันต์วิ่งมาหาธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกา
“ไหนล่ะลูกมัทๆ อยู่ไหน”ท่านหญิงมาณวิกาถามอย่างร้อนใจ
“นายเพิ่มบอกกว่าคุณมัทขับรถสปอร์ตออกจากบ้านไปครับ”
ธรรมรัตน์ตกใจ
“อะไรนะ”

มือปืนหันมายิงใส่ คามินหลบแล้วเอาอาวุธที่คล้ายดาวกระจายที่ชาวรายาพกไว้เสมอสะบัดใส่ล้อรถคนร้าย ล้อระเบิดรถแฉลบ มือปืนกลิ้งลงจากรถทั้งสองคน คามินจอดรถ มือปืนลุกขึ้นได้
“มึงเป็นใคร มายุ่งเรื่องนี้ทำไม”
คามินไม่ตอบเข้าไปจัดการทันที เขาแสดงวิชาการต่อสู้ของรายาจนคนร้ายงง หมอบสลบไปทั้งคู่ คามินก้มลงจะค้นตัวคนร้าย มัทนาขับรถตามทัน ไม่ทันเห็นสองคนที่สลบหมอบอยู่ คิดว่าคามินคือคนร้าย มัทนาลงจากรถ หยิบปืนเพนท์บอลออกมา ยิงใส่คามินทางด้านหลัง คามินสะดุ้ง
“ยกมือขึ้น”
“เดี๋ยว คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่”
“บอกให้ยกมือขึ้น”
คามินต้องยกมือ
“ใครจ้างพวกแกมาทำร้ายคุณพ่อ”
“ผมไม่ได้ทำ”
คามินสังเกตเห็นว่า คนร้ายทั้งสองเริ่มฟื้น คามินขยับ
“ฉันบอกว่าอย่าขยับ”
คนร้ายลุกขึ้นไปยกมอเตอรไซด์อย่างรวดเร็ว คามินไม่สนใจวิ่งตาม มัทนาคิดว่าจะหนี
“อย่าหนีนะ”
มัทนายิงขาคามินทรุดลง
“โอ๊ย...คุณ คนร้ายหนีไปโน่นแล้ว”
มัทนาไม่สน คามินตัดสินใจแย่งปืนมัทนา แล้วต่อสู้กัน มัทนามีวิชาเทควนโด้ แต่ก็สู้ไม่ได้ถูกคามินล็อครวบตัวไว้ มัทนาเห็นหน้าคามิน
“นาย...ที่สนามบิน นายตั้งใจแกล้งทำเป็นมาช่วย ที่จริงนายจับตาดูฉันอยู่ นายต้องคิดร้ายกับครอบครัวฉันแน่”
เสียงหวอมาแต่ไกล รถตำรวจ แล่นมาถึง ตำรวจสามสี่นายกรูลงจากรถพร้อมอาวุธ รถเหมันต์ขับตามมา เหมันต์เห็นตกใจ
“คุณมัท”
ตำรวจเล็งปืนใส่คามิน
“ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้”
คามินยกมือขึ้นด้วยความเซ็ง มัทนาแค้น ถองคามินจนตัวงอ แล้วผละวิ่งไปหาเหมันต์
“บาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
มัทนาส่ายหน้า
“คนนี้ละคนร้าย คุณตำรวจ จับไปเลยค่ะ”

เหมันต์มองจ้องคามิน ขณะที่ตำรวจจ่อปืนล้อมรอบคามินอยู่อย่างนั้น
 
อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น