xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6

คุณหญิงอำภา จ่อมจมลงไปสู่ห้วงเวลาในอดีตอันแสนปวดร้าวอีกคราครั้ง เมื่อสามสิบปีก่อนหน้านี้ อำภาในวัยสาว สวยสคราญโฉม วิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองกอดรัดกันอยู่กลางสวนสวย ร่มรื่นของบ้านแก้ว ฝ่ายชายคือ หม่อมเจ้าคฑาเทพนั่นเอง

“วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันนะ”
ท่านชายคฑาเทพถอยตัวออกมาจ้องหน้าอำภา “คุณ...”
“ดิฉันขัดผู้ใหญ่ไม่ได้ค่ะ”
“หมายความว่า พรุ่งนี้...”
“พรุ่งนี้ ฉันต้องเข้าพิธีหมั้น...และอีกหกเดือนก็เป็นพิธีแต่งงาน”
ท่านชายคฑาเทพนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วจึงฝืนยิ้ม
“แค่หมั้น...หมั้นได้ก็ถอนได้”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกค่ะ...คุณพ่อของเขามีอิทธิพล ที่ใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้”
“ไม่จริงหรอก...ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักอีกแล้ว”
“แต่จุดจบของความรัก อาจจะไม่ใช่การได้อยู่ด้วยกันก็ได้นะคะ”
“ถ้าวันนี้จะต้องเป็นวันสุดท้ายของเรา...ผมขออยู่กับคุณทั้งคืนเลย...ได้มั้ย”
อำภามองหน้าท่านชายคฑาเทพ ตัดสินใจแล้วพยักหน้ารับคำ

สีไพรเปิดประตูห้องออกมา หน้าตาเธอตื่นเต้น ดีใจสุดขีด
“คุณภากร วันนี้ไม่ทำงานเหรอคะ”
ภากรยืนอยู่หน้าประตู “พ่อล่ะ”
“พ่อยังไม่ตื่นค่ะ”
“ฉันไม่ได้มาหาสีไพรหลายวัน...เหงามั้ย”
“ไพมีงานบ้านให้ทำก็หายเหงาค่ะ...งานที่ไพเคยสมัครไว้ เขาเรียกให้ไปสัมภาษณ์แล้วนะคะ...แต่ไพว่าจะบอกคุณภากรก่อน...งานหมู่บ้านที่เปิดใหม่น่ะค่ะ”
“ไม่ต้องไปหรอกสีไพร ไม่ต้องทำ...ฉันจะให้เงินสีไพรใช้เอง”
ภากรส่งเงินก้อนใหญ่ให้สีไพร
“สีไพรอยู่บ้าน ทำงานบ้านและดูแลพ่อ เท่านั้นพอแล้ว”
สีไพรก้มมองดูเงินในมือ “เยอะไปค่ะ”
“เก็บไว้เถอะ...ฉันตั้งใจให้สีไพรจริงๆ นะ”
สีไพรยกมือไหว้อย่างนุ่มนวล
“ฉันไปหละนะ...ไปทำงานก่อนละ”
“เดี๋ยวค่ะ คุณภากร”
สีไพรส่งสร้อยข้อมือเชือกที่เธอถักให้
ภากรมองดู สีหน้าแปลกใจ “อะไรน่ะ”
“ของขวัญ ที่คุณภากรเปิดบริษัทใหม่ค่ะ...สีไพรถักเอง...มีตัวอักษร...”
สีไพรอธิบายไม่ทันจบ ภากรก็คว้าสร้อยนั้นเอามาไว้ในมือ
“ขอบใจนะ...ไปละ เดี๋ยวสาย”
ภากรเอาสร้อยถักใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินออกไปเฉยๆ

สักครู่ใหญ่ๆ รถภากรแล่นมาจอดหน้าตึกบ่อนของจอน สายบัวก้าวเข้าเฟรมข้างกระจกรถ ภากรเงยหน้ามองสายบัว
“เริ่มจะติดใจ จูดี้แล้วใช่มั้ยคะ...ถึงนัดมาแต่เช้า”
“จูดี้น่ะพี่ติดใจนานแล้ว...แต่ไอ้บนนั้นน่ะ พี่เพิ่งเริ่มติดใจ”
“ว่าแล้วเชียว”
“จูดี้อยู่ข้างๆ ผม เป็นตัวนำโชคให้ผมหน่อยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
ภากรก้าวลงจากรถ สายบัวเดินนำภากรหายเข้าไปในตึก

สายบัวเดินนำภากรเข้ามาในบ่อน บรรยากาศภายในคึกคักไม่ต่างจากเดิม ภากรตรงไปหา จอน และสมุน
“สวัสดีครับ สวัสดีทุกคน...แหมนึกว่าผมจะมาถึงก่อนเป็นคนแรกซะอีก”
“พวกเรานอนที่นี่ครับ” อ่อนหลุดปาก
ภากรเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อย
เผือกแก้ให้ “คือว่า เมื่อคืนเราเล่นกันยาว ยังไม่ได้กลับเลย”
“น้องภากรจะนอนที่นี่ก็ได้นะ พี่จอนเปิดห้องให้ได้”
“อย่าเพิ่งถึงขั้นนั้นเลยครับ...ผมเอาแค่ค่ำๆ พอได้กำไรซักแปด เก้า แสนก็เลิกแล้วครับ”
“ว่าแต่ว่า วันนี้เอาทุนมาเท่าไหร่ครับ” จอนถาม
“เบาะๆ ล้านห้า”
เหิมทนรอไม่ไหว “งั้น มา เล่นกันเลยแล้วกัน...น้อง ขอเครื่องดื่มให้ขาใหญ่หน่อย”
สายบัวเดินเข้าไปยืนเคลียคลอข้างๆภากร เธอลอบมองทุกๆคน

ที่มหาวิทยาลัย เพื่อนสาวทั้งสี่นั่งล้อมวงท่องหนังสือ อมาวสีดูเหม่อลอยกว่าใครๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทุกคนเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือของตน
“ของฉันย่ะ” วัชรีกดรับสาย “ฮัลโหล...คิดถึงใครเหรอ โทร.มาเนี่ย...คงไม่ได้คิดถึงน้องสาวหรอกนะ”
นิลรัตน์และพึงใจ ยิ้ม ทั้งสองขยับปากพร้อมกันโดยไม่มีเสียงว่า "พี่วาริน"
“อมา...พี่ชายฉันถามว่า ทำไมเธอนั่งเหม่อ ไม่ท่องหนังสือเหมือนคนอื่น” วัชรีพูดอย่างแปลกใจ “เอ๊ะพี่วารินรู้ได้ยังไง”
วารินเดินพูดโทรศัพท์เดินเข้ามา เห็นอยู่ไกลๆ
“ก็เห็นน่ะสิ”
วารินยกมือโบกให้สาวๆ
สาวๆ ร้องทัก “พี่วาริน”
“ก้าวหน้านะเนี่ย ตามจีบสาวถึงมหา’ลัยเลย”
“สาวคนไหนเหรอ” พึงใจเย้า
“เธอมันสะใภ้ร้านทอง...ส่วนเธอเถ้าแก่เนี้ย บริษัทขายรถ”
นิลรัตน์ถาม “แล้วเธอล่ะ”
“ฉันก็...หุ้นส่วนบริษัทอิสระ ราชแอนด์วัชรี คอมปานีลิมิเต็ด”
“ผ่านด่านชิดชไมให้ได้ก่อนเถอะแก” นิลรัตน์แขวะ
วารินเดินมาถึงโต๊ะสาวๆ พอดี เขายื่นถุงขนมให้เกิร์ลแก๊ง
“ขนมหวานสำหรับผู้ที่คร่ำเคร่งในการท่องหนังสือครับ”
พึงใจยื่นมือไปก่อน “มาให้ฉันเลย ฉันคร่ำเคร่งที่สุด”
เพื่อนๆแย่งถุงขนมกัน วารินกระเถิบไปใกล้อมาวสี
“น้องอ้อดูเครียดๆไปนะครับ”
“พอดีมีเรื่องต้องคิดเยอะน่ะค่ะ”
“พักให้สมองปลอดโปร่งบ้างดีกว่านะครับ...ไปหาอะไรอร่อยๆทานกันมั้ยเสร็จแล้ว พี่อาสาไปส่งทุกคนเลย...ดีมั้ยครับ”
“พี่วารินอยากไปส่งเฉพาะยายอมาก็บอกเถอะ” พึงใจค้อน
“ฉันขอตัวนะวัชรี...วันนี้ฉันต้องรีบกลับไปทำธุระให้คุณป้าน่ะ”

รถแท็กซี่วิ่งมาจอดหน้าบ้านแก้ว อมาวสีก้าวลงมาจากรถ เธอเดินตรงเข้าใกล้ตัวบ้าน นายทินเดินออกมาเกาะรั้วดู
“สวัสดีครับ คุณนั่นเอง จารชนสาวสวยที่พยายามจะขโมยรูปเขียนสีน้ำมัน...วันนี้ตั้งใจจะขโมยอะไรดีครับ”
“คุณราชอยู่มั้ย”
ทินทะเล้นใส่ “โอ้...จะขโมยบอสผมเลยเหรอครับ” พลางกระซิบ “จะบอกให้ บอสผมเนี่ย ไม่ต้องขโมยหรอก แค่ยิ้มหวานๆให้ ก็ยอมทุกอย่างแล้วคร้าบ”
เสียงราชดังเข้ามา “ไอ้ทิน”
ทินสะดุ้ง “แต่กับผู้ชายละก้อ แกโขกเอาสับเอาตลอด”
“ไปอยู่หลังบ้านไป ฉันต้อนรับแขกคนนี้เอง”
ทินเดินเลี่ยงหลบออกไป
“มีธุระอะไรสำคัญถึงได้มาหาผมถึงนี่ครับ”
“เอ่อ...” อมาวสีอึกอัก
“หรือว่าคุณเจอพี่ภาคย์ของคุณแล้ว เลยจะมาทวงสัญญา”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นมีเรื่องอะไรเหรอครับ หน้าตาเครียดเชียว หรืออยากจะมานั่งท่องหนังสือที่นี่”
“ฉันมีคำถามจะมาถามคุณค่ะ” อมาวสีวางท่าจริงจัง
“อย่ายากนักนะครับ เดี๋ยวผมตอบไม่ได้...เชิญ”
“คุณรู้จักท่านชายคฑาเทพมั้ยคะ”
ราชมองหน้าอมาวสี นิ่ง เงียบ
“หม่อมเจ้าคฑาเทพ ทวยไท...คุณรู้จักมั้ยคะ”
“คุณเป็นคนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ถามคำถามนี้กับผม”
“แล้วคำตอบล่ะคะ”
ราชส่ายหน้า “ชื่อก็บอกแล้วว่าอยู่กันคนละชั้นกับผม...คนละวงสังคมกันเลย”
“แล้วคุณเคยคิดมั้ยว่าทำไมคุณถึงมีหน้าตาเหมือนท่าน”
ราชประชดส่ง “ผมเป็นลูกท่านมั้ง”
“อย่าพูดเล่นนะคะ”
“ก็คุณเล่นก่อนนี่...อยู่ๆ ก็มาตั้งคำถามเหมือนจะให้ผมเป็นอะไรกับหม่อมคนนั้นให้ได้”
“เป็นไปได้มั้ยล่ะคะ”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง ยังไม่ทันที่จะมีคำตอบ ชิดชไมก็เดินส่งเสียงออกมาจากในบ้าน
“สวัสดีจ้า เจอกันอีกแล้วนะจ๊ะ หลานสาวรัฐมนตรีกวี”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณราชมีแขก”
“ฉันไม่ใช่แขกจ้ะ ฉันคนที่นี่ ฉันมาที่นี่พร้อมราช”
ชิดชไมโอบไหล่ราชอย่างใกล้ชิด สนิทแนบ
“งั้นดิฉันกลับก่อนนะคะ”
“ทำไมรีบกลับล่ะจ๊ะ...อยู่ต่อก็ได้นี่”
“เสร็จธุระของดิฉันพอดีค่ะ”
“คุณกลับยังไง”
“ฉันให้แท๊กซี่รอค่ะ...”
“ถ้าวันหลังคุณมีธุระเพียงแค่นี้ ใช้โทรศัพท์ก็ได้นะครับ ไม่ต้องเสียเวลานั่งแท็กซี่มาหรอก”
“ค่ะ ดิฉันจะจำไว้ค่ะ”
อมาวสีเดินกลับไปยังแท็กซี่ที่จอดรออยู่ไกลออกไป ราชและชิดชไมมองตาม
“เด็กคนนี้ยิ่งดูยิ่งน่ารักนะ ราชว่ามั้ย”
“สู้คุณไม่ได้หรอก แคลร์”
ชิดชไมค้อน “เว่อร์...ปากไม่ตรงกับใจนะเราน่ะ”
“รู้ได้ไง”
“ตาราชมันฟ้อง เวลามองน้องคนนั้น กับมองแคลร์ คนละเรื่องเลย”
“งั้นดูใหม่ซะดีๆ ดูชัดๆว่า เวลาผมมองแคลร์ เป็นยังไง”
ราชจ้องหน้าชิดชไม แล้วจู่ๆ ก็อุ้มชิดชไมเดินเข้าบ้านทันที

ตกตอนค่ำ วงไพ่อยู่ในบรรยากาศเคร่งเครียด ไพ่ในมือภากร ไม่มีแต้ม แต่เขาตั้งใจจะลักไก่ ดันชิปจำนวนไม่น้อยวางลงไปบนกองเดิมพัน
“ใครอยากเสียตังค์ก็สู้มา”
สายบัวให้สัญญาณบอกแต้มไพ่ภากรกับหมู่สมุน
อ้อนบอก “หมอบ”
เผือกว่า “ผมไม่สู้”
เหิมมองสัญญาณจากสายบัวแล้วยิ้มย่อง มันดันชิปจำนวนเท่ากันลงไปในกองกลาง ภากรหน้าเสีย ทั้งสองหงายไพ่ออกมา ปรากฏว่าภากรแพ้
เหิมรวบชิปทั้งหมดมาไว้ที่หน้าตัก หัวเราะร่วน
“วันนี้ดูคุณจะโชคไม่ดีเหมือนวันที่เล่นรูเล็ตนะครับ”
เจ้ามือแจกไพ่ใหม่ จอนมอง ยิ้มพอใจ
ภากรลุ้นไพ่ตาใหม่ ไพ่ของภากร เป็นหนึ่งตอง กับหนึ่งคู่ใหญ่
“ตานี้ โชคเข้าข้างผมบ้างแล้วหละครับ”
ภากรดันชิปจำนวนมากลงไปในกอง สายบัวบอกแต้ม เหิมและเผือก ทิ้งไพ่ หมอบ
อ้อนวางท่าใช้ความคิด มันขอเปลี่ยนสามใบ
คนแจกไพ่ ส่งไพ่ใบที่อ้อนต้องการให้ อ้อนลุ้นไพ่แล้วยิ้ม มันดันชิปทั้งหมดลงไปในกอง
“ผมลงหมดหน้าตัก”
ภากรยิ้ม ดันชิปทั้งหมดของตนลงไปสู้ “ขอดูหน่อยครับ...เป็นไงเป็นกัน”
ทั้งสองเปิดไพ่ ไพ่ของอ้อน เป็นเรียงสูงสีโพดำทั้งห้าใบ
“เสียใจด้วยครับ คุณภากร”
ภากรลุกออกจากโต๊ะ หงุดหงิดสุดขีด
“ไม่น่าเลย...ทำไมไม่มีดวงขนาดนี้วะ”
สายบัวเล่นบทแสนดี “วันนี้พอแค่นี้มั้ยคะ...ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“พอไม่ได้ ผมหมดตัวแล้ว จะกินอะไรล่ะ”
จอนเดินเข้ามาโอบไหล่ภากรอย่างนุ่มนวล
“ผมขอพ่อเลี้ยงให้เอามั้ยครับ...ยืมแกก่อน”
ภากรอึ้ง “จะได้เหรอครับ”
“ได้ซี่...แล้วค่อยเคลียร์คืนทีหลัง...แต่ห้ามเบี้ยวกันนะ”
“ตกลงครับ”
สายบัว แสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใย “เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณมั่นใจจริงๆเหรอ”
“ครับ ดวงผมกำลังมา ผมต้องได้เงินของผมคืนแน่ ขอกำไรแค่มาใช้หนี้พ่อเลี้ยงเท่านั้นพอ”
“ระวังนะครับ...การพนัน ไม่เข้าใครออกใคร”
จอนว่า แล้วพาภากรเดินไปหาไอ้เหิม

ตกตอนกลางคืน ท่านกวีนั่งเงียบๆในห้องนั่งเล่น อำภาเดินเข้ามานั่งไม่ไกลจากกวี เธอตั้งใจเอ่ยปากพูด
“ฉันขอโทษค่ะ”
ท่านกวีไม่เอ่ยปากตอบ ทั้งสอง ตกอยู่ในความเงียบ สักพัก
“ไม่เฉพาะเรื่องที่นั่งคุยกับคุณทิพย์สุดา แต่ขอโทษในทุกๆเรื่องที่ผ่านมา”
ท่านกวีจึงเอ่ยปากพูด น้ำเสียงเรียบๆ
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว สำหรับเรื่องระหว่างเรา...ผมไม่เคยทำอะไรให้คุณต้องเสื่อมเสียเกียรติ เพราะฉะนั้นกรุณาให้เกียรติผมด้วย...คงไม่ต้องบอกนะว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายมันอยู่ตรงไหนบ้างเพราะเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าหมดสิ้นศักดิ์ศรี เมื่อนั้นมันจะไม่เหลือความรักแม้แต่น้อย”
กวีขยับตัวเข้าไปหอมแก้มอำภา แล้วเดินออกจากห้อง
อำภานั่งนิ่ง เธอคิดถึงอดีตอีกคำรบหนึ่ง

ที่บ้านสวนอันร่มรื่น สามสิบปีที่ผ่านมา ตอนนั้นอำภาในวัยสาวอาเจียนลงกระโถน ที่นิ้วมือของเธอมีแหวนหมั้นสวมอยู่ หม่อมเจ้าคฑาเทพก้าวเข้ามาท่าทีตกใจ
“อำภา”
อำภารีบเงยหน้าขึ้นจากกระโถน เธอพยายามวางท่าให้ดูเป็นปกติ
“คุณเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า”
อยู่ๆ หยาดน้ำตาของอำภาก็ไหลออกมาให้เห็น
ท่านชายคฑาเทพยิ่งตกใจ “คุณร้องไห้ด้วย”
“ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ...เราคงต้องเลิกกัน”
“ไม่นะ อย่าพูดอย่างนั้น”
“ฉันหมั้นแล้ว...และจะแต่งงานอาทิตย์หน้าแล้วนะคะ”
“เราตกลงกันแล้วว่าคุณจะขอถอนหมั้นไง...หรือคุณไม่กล้า จะให้ผมไปพูดกับแม่คุณก็ได้”
“ไม่ค่ะ”
ท่านชายคฑาเทพฉุน “ทำไมล่ะ คุณรักไอ้หมอนั่นเหรอ...มันเป็นนักการเมือง คุณคบมันไม่ได้หรอก”
“พ่อเขากับแม่ฉันตกลงกันแล้ว ฉันขัดไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณจะบ้าเหรอ นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ว ทำไมยังบังคับกันได้ขนาดนี้”
อำภาคลื่นไส้ จนเธอต้องก้มหน้าอาเจียนออกมาอีก คฑาเทพจ้องมองอย่างจับสังเกต
“คุณแพ้ท้องใช่มั้ย...คุณท้องกับผม...คืนนั้น”
อำภาปฏิเสธ “ไม่...ฉันไม่ได้ท้อง”
“ลูกในท้องนั่นลูกผม”
“ไม่มีทาง ฉันไม่ได้ท้อง...คุณไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ ออกไป”
“คุณใจร้ายมาก อำภา”
“จะว่าฉันใจร้ายก็ได้ แต่คุณต้องไปจากชีวิตฉันเดี๋ยวนี้...อย่ามาทำให้ชีวิตฉันต้องพินาศย่อยยับอีกเลย...ไปไหนก็ไป ไปให้พ้น”
“ก็ได้...คุณรู้มั้ย ผมไม่เคยขัดใจคุณเลย...ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อคุณไล่ผม ผมก็จะไป และคุณจะไม่มีวันได้เห็นหน้าผมอีกต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่...คนใจร้ายอย่างคุณ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนขอให้กรรมจงตามสนองให้สาสมด้วยเถอะ”
ท่านชายคฑาเทพ วิ่งออกไป อำภา ร้องไห้คร่ำครวญ ใช้สองมือกดลงไปที่ท้องตัวเอง
“แกเกิดมาทำไม...เกิดมาทำไม ไอ้ลูกเวร”

อำภายังคงนั่งร้องไห้ ท่าทีโศกศัลย์ และสะเทือนใจสุดแสน แม้เวลาจะผ่านไปแล้วถึงสามสิบปี

ฝ่ายราชนั่งนิ่ง เหม่อท่ามกลางวงเหล้าในผับประจำ เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของอมาวสี เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เบื้องหลังของราช เห็นอนุ และการัณย์กำลังเมาแอ๋ ทั้งสองแข่งกันจีบสาวเสิร์ฟอยู่

ที่บ่อนของจอน เหิมรวบเงินทั้งหมดบนโต๊ะมาไว้ที่หน้าตักของตน ภากรลุกขึ้นยืนโงนเงน หน้าเสีย เขาถึงกับเพ้อออกมา
“ผมหมดตัวอีกแล้ว”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะคุณภากร”
“แต่ผมต้องกลับมาใหม่ ต้องกลับมาเอาคืนให้ได้”
จอนเดินเข้ามาใกล้ภากร
“เป็นอันว่า คุณติดหนี้พ่อเลี้ยงล้านสองนะครับ”
“เขาทวงแล้วเหรอ”
“ยังหรอก มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาให้ก็ได้ครับ”
เผือก เหิม จอน ลุกขึ้นจากวง แยกย้ายกันไป
“กลับก่อนนะ ทุกคน”
พวกมันพากันเดินออกไปจากบ่อน จอนโอบไหล่ภากร พูดด้วยเสียงนุ่มนวล
“คราวหน้าใช้เช็คเปล่ามาวางก็ได้นะครับ สะดวกดี”
“จูดี้ ไปหาอะไรทานกับผมมั้ย”
สายบัวปฏิเสธ “วันนี้ง่วงแล้วค่ะ จูดี้กลับกับพี่ชายดีกว่า”
“งั้นผมไปละนะ”
ภากรเดินออกไปอย่างเซื่องซึม
เมื่อภากรเดินพ้นห้องไป ลูกน้องทุกคนที่อยู่ในฉากค่อยๆ หันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่น

ส่วนภากรนั่งนิ่ง อึ้ง อยู่ในรถของเขาที่หน้าตึกแถวบ่อนไอ้จอนนั่นเอง

ส่วนภายในบ่อน ไอ้เผือก ไอ้เหิม ไอ้อ้อน นั่งนับเงิน พวกมันหัวเราะอย่างมีความสุข
“เรารวยกันแล้วลูกพี่...ฮ่าฮ่าฮ่า” เผือกว่า
“ยังเว้ย ยังรวยไม่พอ นี่แค่จุดเริ่มต้น”
เหิมบอก “แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยมีตังค์แล้วนะลูกพี่”
“เฮ้ย ลูกนักการเมือง มีเหรอจะไม่มีตังค์ พ่อมันโกงเขาไปตั้งเท่าไหร่ เราก็ต้องโกงกลับมาบ้างสิวะ”
พวกมันหัวเราะพร้อมกัน ดังลั่นไปถึงทำเนียบรัฐบาล

สีไพรเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นภากรยืนหน้าซีดเซียวอยู่ตรงหน้าประตูนั้น
“สีไพร”
“คุณภากร”
“ขอฉันนอนที่นี่หน่อยได้มั้ย”
“ค่ะ”
“ปลุกฉันตอนเช้ามืด ก่อนพ่อเธอกลับมานะ”
“ค่ะ”
สีไพรประคองภากร ไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของเธอ

รุ่งเช้าคุณหญิงอำภา นั่งเหม่ออยู่ระเบียงเรือนนมพริ้ม ทอดสายตาออกไปไกล นมพริ้งเดินเข้าไปหา
“คุณหญิงค่อยยังชั่วแล้วเหรอคะ เดินลงมาถึงนี่”
“ร่างกายน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ใจน่ะสิ”
“พริ้งพอจะช่วยอะไรคุณหญิงได้บ้างคะ”
“ช่วยให้ฉันได้เจอเขาได้มั้ย”
นมพริ้งฉงน “ใครคะ”

“ราช...ราช รัชภูมิ ฉันอยากเห็นหน้าเขา”

คุณหญิงบอกเสียงอย่างมาดหมาย

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)

เหตุการณ์หนึ่ง เติบโตในความคิดของใครหลายคนที่เกี่ยวข้องยึดโยงต่อกัน มันเกิดขึ้น ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา นางพยาบาลสาวเดินอุ้มทารก ไปตามทางเดิน เด็กทารก หัวเราะ เอิ๊ก อ๊าก น่าฟังยิ่ง เสียงพยาบาลดังขึ้นมาว่า

“น่ารักจังเลย...ตัวโต๊โต แข็งแรงซะด้วย”
เธอคนนี้เดินไปจนสุดทางเดิน แล้วจึงเปิดประตูเข้าห้องคนไข้ เดินไปจนถึงเตียงคนไข้ สาวสวยผู้เป็นแม่ของทารกน้อย นอนอยู่บนเตียงนั้น
“ท่าทางฉลาดนะเนี่ย...ดูซิ ยิ้มใหญ่เลย”
พยาบาลส่งเด็กทารกให้ผู้เป็นแม่ดู
“หน้าตาเหมือนใครนะ...เหมือนคุณแม่ หรือเหมือนคุณพ่อ...เหมือนคุณแม่ หรือ เหมือนคุณพ่อ”
ผู้เป็นแม่ หน้าตายังคงซีดเซียวอิดโรยอยู่ เธอคือ อำภา
ส่วนสามี ที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาคือ กวี พิชิตพงษ์ หน้าตากวีดูโกรธเคือง เคร่งเครียด
เสียงพยาบาลยังคงดังก้องกังวาน ราวกับว่ามันจะไม่มีจุดจบ
“เหมือนคุณแม่ หรือ เหมือนคุณพ่อๆๆๆๆ”

อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามายืนบริเวณหน้าห้องอบตัวทารก เขาชะเง้อมองผ่านกระจกเข้าไปเพื่อดูหน้าทารกน้อยผู้นี้...เขาคือ หม่อมเจ้าคฑาเทพ
หน้าตาเขาเต็มไปด้วยความชอกช้ำและอาลัยอาวรณ์ เมื่อพยาบาลเปิดประตูห้องออกมา ท่านชายคฑาเทพจึงรีบเดินหนีจากไปจากหน้าห้องนั้น

ตอนเช้าวันนี้ มิสเตอร์หว่อง และผู้ติดตาม เดินตรงเข้าไปในบริษัท เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า บริเวณโดยรอบมีพนักงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บ้างนั่งโทรศัพท์ บ้างจับกลุ่มสุมหัวคุยเรื่องราวของชาวบ้านทั่วๆ ไป ซึ่งล้วนแต่ไร้สาระ มิสเตอร์หว่องเดินไปจนเจอทนายชอบที่ยืนรออยู่ ทั้งหมดสวัสดีทักทายกัน
“ท่านกวี ให้ผมมารอรับคุณหว่องครับ”
“ออฟฟิศสวย ดูทันสมัย และน่าเชื่อถือ” มิสเตอร์หว่องว่า
“ขอบคุณครับ”
มิสเตอร์หว่องติติง “แต่คนทำงานน้อย และดูไม่มีคุณภาพ”
“เรากำลังพยายามคัดเลือกคนที่มีคุณภาพ และตรงกับลักษณะงานมากที่สุด”
มิสเตอร์หว่องพยักหน้า รับรู้ เขายื่นแฟ้มเอกสารเล่มหนา ส่งให้ทนายชอบ
“นี่คือเอกสารการลงทุน ในส่วนของอุปกรณ์ แล็บ และ ค่าตัวนักวิจัย”
“โอเค ผมจะรีบส่งให้ท่านกวีดู”
“แล้ว MD. ไม่อยู่เหรอครับ”
ทนายชอบ ตอบไม่ถูก

เช้าวันเดียวกัน ท่านกวี กำลังนั่งพูดโทรศัพท์ในสำนักงาน บ. กลอนกวี น้ำเสียงฉุนเฉียว คู่สายเป็นทนายชอบ โทร.มาจาก บ.เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า
“ผมไม่ได้เห็นหน้ามันตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหน ใช้ไม่ได้จริงๆ ไอ้นี่ แล้วเอกสารจากคุณหว่องเรียบร้อยมั้ย...ราคารวมๆ เป็นเท่าไหร่”
ทนายชอบยืนพูดโทรศัพท์ อยู่ที่มุมหนึ่ง ใน บ.เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า
“เอกสารอยู่ที่ผมครบแล้วครับ”
เสียงท่านกวีลอดออกมาว่า “ดูซิว่าตัวเลขกลมๆ ที่ต้องลงเงินงวดแรกนี้เท่าไหร่”
ทนายชอบเปิดเอกสารนั้นดู “ประมาณสองร้อยสามสิบล้านครับ”
ท่านกวีเดินครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“เอาบ้านพิชิตพงษ์ไปเข้าแบงค์ รวมกับขายตึกของผมที่ถนนตก จะได้เงินเท่าไหร่”
“รวมกันแล้วประมาณร้อยสามสิบครับ”
“โอเค ที่เหลือ ผมให้เป็นเงินสดนะ ขอเวลาอาทิตย์นึง”
เสียงทนายชอบถามกลับมาว่า “ท่านเอาอย่างนี้แน่นะครับ”
“แน่สิ...จะมีปัญหาอะไรเหรอ...หรือจะลองถามหมอไข่ดูก่อนก็ได้...คุณชอบนัดให้ทีนะ...แล้วก็โทร.ตามไอ้ภากรอีกทีด้วย โทร.บ่อยๆหน่อยล่ะ”

หน้าจอโทรศัพท์ภากรมีสัญลักษณ์สายเรียกเข้าแต่ไม่มีเสียง ภากรยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องนอนสีไพร ประตูห้องนอนเปิดแง้มอยู่
สุดขยับตัวลงนั่ง ตักข้าวใส่ปาก สีไพรยกขนมและผลไม้มาวางให้ผู้เป็นพ่อ นายสุดเหลือบมองมาในห้อง นิ่งๆ สีไพรจึงเอ่ยปากบอกพ่อ
“คุณภากรมาตั้งแต่เมื่อคืน...คงจะทำงานหนัก มาถึงก็หลับเลย”
สุดดันจานอาหารห่างออกจากตัวแล้วลุกขึ้นยืน
“เก็บไว้ให้เขากินเถอะ” สุดขยับตัวจะเดินออก
“พ่อจะไปไหนจ๊ะ”
“ไปหากินข้างนอก...แล้วจะแวะไปโรงเรียนเลย”
สีไพรได้แต่มองตามผู้เป็นพ่อที่เดินจากไป

ทินเดินเข้ามาหยุดยืน มองผู้มาเยือนบ้านแก้ว ไล่สายตาตั้งแต่ระดับหัวจรดระดับเท้า
แล้วจึงเอ่ยปากพูด
“สาวน้อย มาหาใครไม่ทราบ”
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าไอ้ทิน คือนมพริ้ง ซึ่งยืนเกาะประตูรั้วเอ่ยปากพูดกับทิน
“เจ้าของบ้านนี้ อยู่มั้ย”
ไอ้ทินจอมทะเล้นวางมาดเป็นเจ้าของบ้านทันที
“ก็ยืนอยู่ตรงหน้าป้านี่แหละ”
นมพริ้งมีท่าที งุน งง พอสมควร “ฉันมาหาคนชื่อราชน่ะ”
“อ๋อ ราช รัชภูมิ”
“ใช่...เจ้าของบ้านหลังนี้ไง”
ทินประดิษฐ์ท่าหัวเราะร่วน
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า...ไอ้หมอนั่นไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริง”
นมพริ้งร้อง “ห๊ะ”
“ป้ามีอะไร ป้าพูดกับฉันได้เลย ในที่นี้ฉันใหญ่ที่สุด”
“เอ้อ...เขาขายบ้านนี้ให้คุณแล้วเหรอ” มนุษย์ป้ายิ่งงง
“โอ๊ย...ระดับท่านประทินคนนี้ ไม่ต้องจ่ายตังค์”
“เขายกให้เธอแทนการใช้หนี้เหรอ หรือเพื่อตอบแทนบุญคุณ”
“ป้าเก็บเอาไปคิดเองก็แล้วกัน...อ้อ แต่ถ้าคิดจะมาจีบบอส เอ๊ย นายราช รัชภูมิ น่ะ...ขอบอกว่าเสียเวลาเปล่า เพราะเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว...ไม่ต้องโผล่มาแล้วนะป้า ทีหลังนับอายุตัวเองก่อนมาด้วยล่ะ...หรือว่าป้าจะสนใจ ชายหนุ่มสะโอดสะองอย่างผม เราเข้าไปเจรจากันหลังบ้านก็ได้...เพราะผมน่ะ...ไม่เกี่ยงอายุ...พอไหว ว่าไง ชอบมั้ย ชอบมั้ย”
นมพริ้งรีบเดินออกไปทันควัน ทินมองตาม เบะหน้าใส่

สักครู่หนึ่งราชยืนพูดโทรศัพท์กลางบ้านวาริน
“แกว่าไงนะ ไอ้ทิน พูดใหม่ชัดๆอีกทีซิ...หญิงชรามาถามหาฉัน”
ไอ้ทินนอนเขลงพูดโทรศัพท์กลางบ้านแก้ว
“ใช่ครับ หกสิบห้าอัพแน่ๆ...แต่หน้าสวยนะบอส...แหม บอสนี่เล่นไม่เลือกรุ่นเลยนะครับ”
“ทะลึ่งแล้วไอ้ทิน...แล้วเขามาถามหาฉันทำไม”
“ไม่ทราบครับ แต่ดูทรงแล้ว น่าจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ...บอสอาจจะพลาดพลั้งเผลอไผลอะไรไปโดยไม่รู้ตัว นางก็เลยหวังจะจับ...โอ๊ยพวกนี้ อ่านไม่ยาก...แต่ไม่ต้องห่วง เจอยอดชายนายประทินเข้าไป รับรองนางไม่กล้ามากวนบอสอีกนาน”

“ไอ้ทิน...ทีหลังถ้ามีใครมาถามหาฉัน เอ็งไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นอกจากบอกฉันก่อน เข้าใจมั้ย”
ราชเซ็งกดปุ่มเลิกการสนทนาทันที
นายวารินเดินลงบันไดบ้านมา ในมือเขามีเอกสารสำหรับการเรียนต่อเมืองนอกมากมาย ราชหันไปมอง แปลกใจ
“อะไรวะนั่น นายจะเรียนต่ออีกหรือไง”
“ขืนหนีไปเรียนอีก ป๋าได้ด่าตายละซี นี่ก็เร่งจะให้เข้าไปทำงานที่บริษัทอยู่ทุกวัน”
“แล้วไอ้ที่ถือติดมือมาตั้งเยอะ นั่นเอกสารอะไร ของใคร”
“ข้อมูลมหาลัยเมืองนอก ของหลายๆคน”
วารินวางเอกสารเหล่านั้น แผ่ลงบนโต๊ะ เขาค่อยๆแยกแยะให้ราชดู
“นี่ยูที่อังกฤษทั้งหมด น้องนิลรัตน์เขาอยากไปเรียนวรรณคดีอังกฤษ....นี่ข้อมูลมหา’ลัยที่จีน ที่สอนเรื่องภาษา และวัฒนธรรมตะวันออกเชิงเปรียบเทียบ...อันนี้ของ น้องพึงใจ”
“เอาใจแต่เพื่อนน้องนะ แล้วของน้องตัวล่ะ วัชรีน่ะ”
“เขารอปรึกษานาย ว่ะ”
“แล้วคนสำคัญล่ะ นางสาวอมาวสี”
“ทั้งปึกนี่เลย ของอมาวสีโดยเฉพาะ...เผื่อให้น้องเขามีทางเลือกเยอะๆหน่อย” วารินยิ้มกริ่ม
“ถ้าน้องเขาไม่อยากเรียนต่อล่ะ”
“ถ้าไม่เรียน ก็ทำงาน...นี่เอกสารงานที่น่าสนใจ...ฝึกงานก่อน แล้วค่อยเรียนต่อก็ได้ ไม่มีปัญหา
“ถ้าน้องเขาอยากแต่งงานเลยล่ะ”
“เราก็ต้องรีบให้ป๋าไปสู่ขอน่ะสิ”
“ถามจริง ถ้านายผิดหวังจากน้องอ้อ จะทำยังไง”
“เป็นเกย์”
“ไอ้บ้า”

นมพริ้งกลับถึงบ้านพิชิตพงษ์ ก็เดินไปหาคุณหญิงอำภาที่นั่งทานอาหารอยู่บริเวณระเบียง คุณหญิงเอ่ยปากทันทีที่นมพริ้งเดินมาใกล้
“เจอมั้ยพริ้ง”
“ไม่เจอค่ะ...มีแต่เด็กหนุ่ม ท่าทางยียวนไม่น้อย”
“ญาติของนายราชเหรอ”
“ไม่น่าจะใช่...แต่พยายามทำท่าว่าเป็นเจ้าของ...ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่...แต่ก็ไม่แน่นะคะ คุณราชอาจจะขายให้เจ้าของใหม่ไปแล้วจริงๆก็ได้”
“รีบร้อนขายขนาดนั้นเชียวเหรอ...จะเป็นไปได้เหรอพริ้ง” คุณหญิงแปลกใจ
“คงต้องให้คุณอ้อช่วยแล้วล่ะค่ะ”
คุณหญิงอำภาคิดแล้วค่อยๆส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันยังไม่อยากให้ยายอ้อรู้อะไรมากกว่านี้”
“ทุกวันนี้ เธอก็คาดเดาเอาเอง...จนใกล้จะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะคะ” นมพริ้งว่า
“ไม่หรอก...ไม่มีใครเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ดีไปกว่าฉันหรอกพริ้ง...พริ้งเองก็เถอะ”
แววตาคุณหญิงอำภา หวนรำลึกถึงบางเหตุการณ์

เกือบสามสิบปีที่แล้ว หลังคลอดบุตร กวีก้าวเข้ามา ด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด
เบื้องหน้าของเขาคือ อำภา ที่นั่งซึม หน้าตายังคงซีดเซียว
“มีอะไรจะอธิบายกับผมมั้ย...หรือจะให้ผมคิดเอาเอง เชื่อเอาเองทั้งหมด”
“เชื่อว่าไงล่ะคะ”
“เชื่อว่าเด็กคนนั้นมันไม่ใช่ลูกผมน่ะสิ”
อำภานิ่ง ไม่มีคำตอบใดๆ ลอดออกจากปากเธอ นอกจากน้ำตา ที่ค่อยๆ เอ่อล้นออกมาทีละนิด
“มีที่ไหน อุ้มท้องสี่เดือนคลอดแล้ว...เด็กคลอดก่อนกำหนดที่ไหนมันจะหนักสองพันสามพันกรัมอย่างนี้...หรือจะนับเวลาตั้งแต่วันแรกที่เรามีอะไรกัน มันก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีก...แล้วดูหน้ามันซิ...แหกตาดูหน้ามันซิ ว่าหน้ามันเหมือนใคร...เหมือนผมซักนิดมั้ย...ถ้ามันเป็นลูกผมจริง ก็แปลว่า ตอนที่คุณกำลังมีอะไรกับผม คุณต้องนึกถึงหน้าไอ้ท่านชายนั่นตลอดเวลาเลย อย่างนั้นใช่มั้ย”
“คุณกวีคะ...ฉัน”
“จะสารภาพรึยัง...สารภาพเลย สารภาพความจริงซะทีเถอะ”
อำภาค่อยๆ สะกดกลั้นเสียงสะอื้น เพื่อเอ่ยปากกับสามีว่า
“ฉัน ขอโทษค่ะ”
กวีรู้สึกได้ถึง การสำนึกผิดของผู้เป็นภรรยา
“ถ้าคุณไม่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาผม คุณจะโดนสังคมประณามอย่างหนักชนิดที่ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดเลย...ผมรับรอง”
อำภามองหน้าสามีนิ่ง
“แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก เพื่อรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของผม...ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย ผมสัญญา”
“ขอบคุณค่ะ”
“และก็จำไว้ด้วยว่า ไอ้เด็กเวรคนนี้ มันจะไม่ได้อะไรจากผม มันจะไม่ได้อะไรจากพิชิตพงษ์แม้แต่น้อย...แค่ยอมให้มันใช้นามสกุลของผม ก็เป็นบุญเกินไปแล้ว...และไม่ต้องเอามันมาให้ผมอุ้มด้วย...ผมรังเกียจมัน”
กวีเดินหุนหันออกไป อำภาร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ เธอแค้นจนคลั่งหันไปเขย่ากระบะใส่ทารกตัวน้อย
“แกเกิดมาทำไม ไอ้ลูกเวร...ไอ้ตัวทำลายความสุข ทำลายชีวิตของฉัน ไอ้ตัวซวย”

ที่สำนักงานบริษัทกลอนกวี หมอดูเจ้าเก่าขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าท่านกวี ทนายชอบร่วมฟังอยู่ข้างๆ
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน”
“วันนั้นหมอไม่ได้พูดอย่างนี้นี่” ทนายความแย้ง
“ผมไม่ใช่นักวิเคราะห์ตลาดการลงทุน ผมพูดมากกว่านั้นไม่ได้”
ทนายชอบย้อนอีก “งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอดูสิครับ”
“ถ้าคุณคิดจะพึ่งหมอดู ด้วยการให้หมอชี้ผิดชี้ถูก ชี้ทางรวย ชี้ทางเจ๊งละก้อ อย่าหวังเลยครับ...ถ้าทำได้อย่างนั้นผมคงรวยล้นฟ้าไปแล้ว”
“แปลว่าหมอเชื่อไม่ได้” ท่านกวีแทรกขึ้น
“ท่านต้องเลือกที่จะเชื่อครับ...ทุกอย่างที่หมอดูชี้แนะ ท่านต้องใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจด้วย...มิฉะนั้นท่านจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล”
อดีตรมต. เริ่มมีอาการเซ็งๆ กับหมอดูคนนี้
“แปลว่าคุณช่วยอะไรผมไม่ได้เลย”
“ใจครับ...หมอดูช่วยเรื่องจิตใจ...พอจิตใจเข้มแข็ง มีพลัง มีความมั่นใจ การตัดสินใจอะไรๆ มันก็จะแม่นยำขึ้น”
“งั้นก็กลับไปเถอะ ผมไม่มีอะไรจะถามหมอแล้ว” ท่านกวีโมโห
“ถ้างั้น ผมขอถามท่านบ้าง...ท่านเชื่อเรื่องกรรมมั้ยครับ”
ท่านกวีมองหน้าหมอดู นิ่ง ไม่ตอบ
“ท่านอย่าประมาทนา หมั่นทำบุญทำทาน สร้างเสริมบุญบารมีให้ตนเองบ้าง...ทำซะ ตอนที่ยังมีเรี่ยวมีแรงนี่แหละดี”
หมอดูลุกขึ้น กำลังจะเดินออกไป ท่านกวีเรียกไว้
“ผมขอเปิดไพ่อีกซักที ไม่ได้เหรอ”
“ท่านจะเสี่ยงมั้ยล่ะ...ตอนนี้จิตใจท่านไม่ดี เปิดไพ่ออกมา รับรองว่าไม่มีดี ท่านกล้ามั้ยล่ะ ไม่กลัวเสียกำลังใจเหรอ”
ท่านกวีถามออกมา “เมื่อไหร่ผมจะนัดหมอไข่ได้อีก”
หมอดูยิ้มกว้างให้ท่านกวี
“ผมตอบท่านไม่ได้หรอกครับ...ผมอาจจะไม่อยู่ประเทศนี้แล้ว...เพราะผมก็มีกรรมของผมเหมือนกัน”

ฝ่ายภากรยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงนอนในห้องของสีไพร สักครู่จึงค่อยๆขยับตัวตื่น ลุกขึ้น สลัดศีรษะแล้วเดินออกไปนอกห้อง

ภากรเดินไปนั่งนิ่งๆ ตรงระเบียงห้องตำแหน่งที่สบายที่สุด สีไพรเดินเข้ามาหาอย่างน่ารัก
“คุณภากรดื่มกาแฟมั้ยคะ หรือจะทานข้าว ไพจะเตรียมให้ค่ะ”
“ขอน้ำเปล่าให้ฉันก่อน”
สีไพรเดินไปรินน้ำ ภากรมองไปรอบๆ
“โทรศัพท์ฉันล่ะ...มีใคร.โทรถึงฉันมั้ย”
“คุณภากรคงปิดเสียงไว้ ไพไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ”
สีไพรหยิบโทรศัพท์ส่งให้ภากร เขารีบกดโทรศัพท์ดูเบอร์ต่างๆ ที่โทร.เข้ามา สีไพรวางน้ำเปล่าให้เบื้องหน้า ภากรยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด
“ฉันไปก่อนนะ...จะรีบไปทำงาน...อ้อ..นี่ตังค์สำหรับสีไพร วันนี้ฉันมีน้อย เอาแค่นี้นะ”
ภากรรีบเดินออกไป สีไพรมองตามด้วยความเป็นห่วง

ภากรนั่งนิ่งๆ อยู่ในรถ เขากดหมายเลขโทรศัพท์แล้วยกขึ้นแนบหูรอสาย
“จูดี้เหรอ...ผมเองนะ พ่อเลี้ยงอยู่มั้ย...ผมอยากไปแก้มือ ตอนนี้เลย...บอกพี่จอนด้วยว่า ขอติดของเก่าไว้ก่อนนะ”

ภากรกดปุ่มเลิกการสนทนา แล้วจึงขับรถออกไป โดยไม่รู้ว่านายสุดนั่งมองจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามนั่นเอง

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)

รถของเทินจอดซุ่มอยู่ริมถนนหน้ามหาวิทยาลัยไม่ไกลจากประตูเข้าออกมหาวิทยาลัยนัก ลุงรักษ์และนายเทินนั่งอยู่ในรถคันนี้

“งานของเธอคือจอดรถซุ่มดูอย่างนี้ทั้งวันเลยเหรอ” รักษ์เปิดปากถาม
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ...บางช่วงคุณราชแกอยากรู้โน่นนี่เยอะ ก็ต้องซุ่มบ่อยหน่อย...หลังๆนี่ชักน้อยแล้วครับ...แกคงได้ข้อมูลพอแล้ว”
“ตกลงที่ฉันออกทุนให้มันทำบริษัทมูฟวิ่งนี่ ก็คือมูฟตัวเองไปโน่นมานี่ ดักแอบดูคนนั้นทีคนนี้ที งั้นเหรอ?”
“คุณรักษ์ก็ทราบนี่ครับว่าคุณราชแกมุ่งมั่นเรื่องนี้มากแค่ไหน...แต่งานบริษัท ไม่เสียนะครับ...เดือนสองเดือนนี้งานเยอะซะด้วย...ที่ผมส่งรายงานให้ดูไงครับ”
“ฉันไม่ได้ห่วงงาน ฉันกลัวว่าพวกแกจะโดนเขาตีกบาลเอาน่ะสิ”
“อ๋อ...พวกเรามีหมวกกันน็อคกันคนละหลายใบครับ”
อมาวสีเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยพอดี
“โน่นไงครับ น้องอ้อ อมาวสี”
รักษ์ ราชภูมิ มองตามสายตานายเทิน
“อือม...สวยกว่าในรูปแฮะ...”
“ผมคงถ่ายรูปไม่ดีมั้งครับ” เทินว่า
รักษ์ฉงน “คนกำลังจะแต่งงาน ทำไมดูหน้าตาหมองๆ ชอบกล”

ค่ำนั้น ราชเดินเข้าบ้านมาในบ้านแก้ว พบว่า รักษ์ รออยู่แล้ว
“หลังๆ นี้คุณลุงมีอะไรเซอร์ไพร้ซ์ผมบ่อยขึ้นนะครับ จะขึ้นมากรุงเทพฯ ทั้งทีก็ไม่ยอมบอกด้วย”
“ลุงแค่อยากมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร พอนายเทินเขาอาสาลุงก็เลยไม่อยากจะกวนหลาน...วันนี้เขาก็พาลุงตระเวนไปหลายที่”
ราชหันมาทางนายเทิน “พาไปไหนมาบ้าง น้าเทิน”
“ไปที่ที่คุณราชเคยสั่งให้ผมไป”
“งั้นผมว่า ไม่ใช่เปิดหูเปิดตาธรรมดาแล้วละ...คุณลุงแอบมาเช็คความประพฤติผมแน่ๆ” ราชว่า
ทินยกน้ำมาส่งให้รักษ์ แล้วอ้าปากพูดทันที
“ความประพฤติบอสดีเยี่ยม ไม่มีเหลวใหล ผู้หญิงทุกคนที่แวะมาหาบอส บอสจะดูแลเท่าเทียมกันหมด ไม่มีลำเอียง ไม่ให้ความหวังใครมากกว่ากัน”
ราชดุ “ไอ้ทิน”
“บอสแกเสน่ห์แรงครับ” เทินกระเซ้าตามประสา
“เรื่องนั้นฉันรู้”
“น้าเทิน เอาลูกชายน้าออกไปทีครับ ก่อนที่มันจะอายุสั้น”
เทินรีบลากประทินออกไป ลุงรักษ์ ค่อยๆ เริ่มต้นคุยเรื่องใหม่อย่างสบายๆ
“น้องอรัญญาเป็นยังไงบ้าง”
ราชรู้ทัน “คุณลุงกำลังคิดอะไรอยู่รึเปล่าครับ”

“ลุงก็ถามตรงๆ ลุงเห็นใครเหมาะกับหลาน ลุงก็มาถามหลาน ไม่ได้บังคับซักหน่อย”
“ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ครับ” ราชว่า
“แล้วอมาวสีล่ะ” รักษ์จ้องหน้ารอฟัง
“เธออยู่ในแผนของผมครับ”
“ลุงได้เห็นอมาวสี ตัวเป็นๆ แล้วนะ...นายเทินพาไปดู หน้าตาดูอมทุกข์เชียว”
ราชเยาะ “ดูหน้าไม่รู้ใจหรอกครับ”
“ใช่ ดูหน้าไม่รู้ใจ...แต่ถ้าเป็นใจของเราเอง เราต้องรู้นะราช...อย่าทำอะไรโดยไม่ถามใจตัวเองซะก่อน”
“ครับ...เมื่อทุกอย่างจบแล้ว ผมจะกลับไปช่วยดูแลกิจการของคุณลุงนะครับ”
“จุดจบอยู่ตรงไหนล่ะ...แค่ไหนคือความพอใจที่สุดของหลาน...ความแค้นเคืองในอดีต ต้องการการตอบแทนแค่ไหน”
ราชนิ่ง ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้
“ทำอะไรก็ให้นึกถึงคนอื่นเยอะๆ นะราช...การเรียกร้องความชอบธรรมของเรา ต้องไม่ก่อให้เกิดความไม่ชอบธรรมกับคนอื่นนะ...ไม่เช่นนั้นการตอบโต้แก้แค้น เอาคืนกัน มันก็จะไม่มีวันจบสิ้น”
ราชค่อยๆครุ่นคิดตามคำพูดของผู้เป็นลุง
“ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือผู้ที่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้...จำไว้นะ”

คืนนั้นอมาวสีนั่งท่องหนังสืออยู่ในห้องนอน ท่าทางของเธอดูใจลอยไม่น้อย มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงนมพริ้ง
“คุณหนูอ้อ...ป้าคุยด้วยได้มั้ยคะ”
“ได้สิคะ”
นมพริ้งเปิดประตูห้องเดินเข้ามา “เป็นเวลาท่องหนังสือของคุณอ้อหรือเปล่า”
“ค่ะ แต่อ้อคุยกับป้าได้ทุกเวลา”
นมพริ้งขยับหาที่นั่งที่เหมาะสมแล้วจึงพูด
“บ้านพิชิตพงษ์เวลานี้ มีแต่เรื่องอึมครึม...ใครๆ ในบ้านก็เหมือนจะมีแต่เรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจ เรื่องกังวลโน่นกังวลนี่กันเต็มไปหมด”
“ตัวป้าด้วยเหมือนกัน” อมาวสีดูออก
“ใช่ค่ะ...ป้าเป็นห่วงคุณหญิงท่าน...รู้มั้ยคะ ท่านอยากเจอคุณราชมากๆ เลยนะ”
“แปลว่า เรื่องที่อ้อเดาๆ อยู่ อาจเป็นจริงใช่มั้ยป้า”
“คุณอ้อมีรูปมั้ยคะ...รูปคุณราชน่ะ”
อมาวสีนึกได้ “จริงด้วยสิ ทำไมอ้อไม่เอารูปให้ป้าดูล่ะ...ป้ามาดูในคอมพ์นี่จ้ะ”
จอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ปรากฏเป็นรูป ราช รัชภูมิ หลายๆ อิริยาบถ มันเป็นรูปจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่นงานเลี้ยงต้อนรับวาริน ปาร์ตี้ริมทะเลปราณบุรี และอื่นๆ ที่อยู่ใน face book และ IG ของวัชรี
ผู้เป็นแม่นมของ ภาคย์ พิชิตพงษ์ ตกตะลึง
“ป้าว่า...คงต้องให้คุณหญิงดูแล้วหละ”

คุณหญิงอำภาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ่ง ในจอคอมพ์เป็นรูปราช รัชภูมิ นมพริ้ง และ อมาวสียืนห่างออกมา คุณหญิงอำภาค่อยๆเปล่งเสียงพูดออกมาเบาๆ
“ขอฉันอยู่คนเดียวได้มั้ย...ป้ายืมคอมพิวเตอร์ไว้ก่อนนะอ้อ”
น้ำตาค่อยๆไหลออกมา ในที่สุดถ้อยคำหนึ่งก็หลุดปากออกมาว่า
“ภาคย์ ลูกยังไม่ตาย”

เสียงอำภาดังซึ่งนั่งไหว้พระอยู่ลานพระหน้าบ้านดังเข้ามาเป็นระยะ ดังขึ้นมาในขณะที่ราชขับรถมองตรงไปเบื้องหน้า
“แม่มั่นใจว่า ลูกอยู่ไม่ไกลจากแม่นี่เอง...แม่หวังว่าลูกคงจะรู้สึกได้ว่า มีคนคิดถึงและเป็นห่วงลูกอยู่”
ในห้องสอบ กลางวัน อมาวสีนั่งทำข้อสอบอยู่ในห้อง แวดล้อมไปด้วยหมู่นักศึกษาอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนรักของเธอทั้งสามคน เสียงอำภายังคงดังต่อเนื่องกันมา
“นอกจากแม่ ก็ยังมีนมพริ้ง และน้องอ้อ...พวกเราคิดถึงลูกอยู่ทุกเวลา และเป็นเช่นนี้มานานแสนนาน”
ส่วนในบ่อนไอ้จอนเวลานั้น ภากรเล่นไพ่อยู่ในบ่อนของไอ้จอน ภากรเล่นเสียเหมือนเคย
“แม่รู้ว่าลูกยังโกรธน้องอยู่ ลูกคิดว่าทุกคนเอาใจใส่แต่น้อง ไม่สนใจใยดีกับลูกเลย เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้แม่รู้ตัวแล้ว ว่าแม่ทำผิดไปมาก”
ที่สำนักงานท่านกวี ตอนกลางวัน ท่านกวีเซ็นเช็คเงินสดส่งให้ทนายชอบ
“ยกเว้นก็แต่พ่อเพียงคนเดียว แต่แม่เชื่อว่า ถ้าลูกกลับมาเจอหน้าพ่อเมื่อไหร่ ความโกรธเคืองแต่หนหลังก็น่าจะหายไป”

ตกตอนกลางคืนราชนั่งทานข้าวกับชิดชไม ในบ้านพัก ท่ามกลางบรรยากาศของแสงเทียนแสนโรแมนติก
“แม่ได้แต่ภาวนาว่า สักวันนึงลูกคงจะให้อภัยแม่ และวันนั้นลูกคงจะกลับมาหาแม่ มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดังเดิม”
คุณหญิงอำภา นั่งพนมมือหน้าหิ้งพระบริเวณหน้าบ้าน น้ำตาของเธอไหลพราก
“กลับมาเถอะนะลูก...สายเลือดเดียวกัน มันตัดกันไม่ขาดหรอกลูก”

สี่สาวเดินออกมาจากอาคารสอบ ปะปนกับนักศึกษาอื่นๆ ทุกคนถอนใจ โล่งอก
“เฮ้อ...จบซะทีชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย”
นิลรัตน์ตะโกนลั่น “จากนี้ไปจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในระดับปริญญาโท”
พึงใจเสนอ “เที่ยวกันก่อนได้ป่าวล่ะ...เดี๋ยวก็จะแยกกันไปเรียนคนละที่แล้วนะ”
“ฉันเตรียมไว้แล้ว เดี๋ยวพี่วารินจะมาบอกโปรแกรมเอง”
“แหมพี่ชายเธอนี่ตรงเวลาเป๊ะเลยนะ...โน่น มาโน่นแน่ะ” นิลรัตน์พยักพเยิดไปทางหนึ่ง
วารินลงจากรถ สี่สาวเดินเข้าไปหา วารินส่งช็อคโกแล็ตกล่องใหญ่ให้พวกเธอ
“หวังว่าคงได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งกันทุกคนนะครับ...อ้ะนี่ของฝากจากพี่”
สาวๆกรี๊ดชอบใจ
“และนี่ก็คือ เอกสารการเรียนต่อที่น้องๆต้องการ...อังกฤษของนิลรัตน์...จีนของพึงใจ...อาฟริกาใต้ของวัชรี”
วัชรีแย้ง “ใครบอกคุณพี่คะ ว่าน้องจะไปเรียนที่นั่น”
“ไม่รู้ เห็นนายยักษ์ เขาอยากไปอยู่ที่นั่น”
“งั้นน้องไปก็ได้...แอฟริกาใต้ ชนพื้นเมืองเยอะดี”
“ส่วนน้องอ้อ พี่ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจยังไง พี่ก็เลยเตรียมมาให้เลือกหลายที่เลยครับ อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส”
“อ้อคงไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหนหรอกค่ะ” อมาวสีว่า
วารินแปลกใจ “อ้าว”
อมาวสีบอกต่อ “อ้อว่าจะหางานทำเลย”
“ทำไมล่ะครับ”
“เกรงใจคุณลุงคุณป้าค่ะ”
พึงใจหันไปกระซิบกับเพื่อนๆ “ยายอมา ทำหน้าเศร้าอีกแล้ว”
วัชรีตัดบท “เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยคุณพี่...เอาเรื่องไปเที่ยวกันก่อนดีกว่า”
เพื่อนๆ ร้อง “ใช่ๆๆๆ”
“ได้จ้ะ...พี่โดนบังคับจากป๋าให้ไปคุมงานที่ฟาร์มใหม่ของบริษัท มันอยู่ไกลผู้ไกลคน ไกล๊ไกล...มีแต่ภูเขา น้ำตก อากาศก็หนาวเย็น กับบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีใครอยู่ พี่ก็เลยคิดว่าจะเปิดบ้านหลังนั้นไว้ให้พวกเราไปพักผ่อนกันทุกคน”
สาวๆ ถาม “ที่ไหนคะ”
“ที่...เขาใหญ่”
ทุกคนร้องลั่น “เฮ...ไปกัน”
สามสาว รวมทั้งวาริน มีความสุขกับแผนการท่องเที่ยว ยกเว้นอมาวสี ที่เพียงแต่ยิ้มบางๆ
เลยถูกนิลรัตน์ถาม “อมา ทำหน้าเหมือนไม่อยากไป”
“เราต้องขอคุณลุงคุณป้าก่อน”
“ให้พี่ช่วยขอให้ เอามั้ยครับ”
วัชรีกระซิบกับวาริน “พี่วาริน เก็บไว้ขอตอนที่จำเป็นดีกว่าค่ะ”
“ตอนไหนล่ะ ที่จำเป็นน่ะ”
“ตอนจะแต่งงานไงคะ” พึงใจเสียงดัง
วารินอายม้วน

ภากรหมกตัวอยู่ในบ่อนของจอนจนถึงบ่ายคล้อย และกำลังลุ้นไพ่เครียด เสี่ยกำมะลอ บรรดาสมุนวางเงินลงไปกลางโต๊ะ ภากรครุ่นคิดตัดสินใจ
สายบัวบีบไหล่ภากรเหมือนจะทักท้วง แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ ดันเงินตรงหน้าตักเลื่อนไปกลางโต๊ะ สมุนทุกคนยิ้ม ต่างพากันหงายไพ่ ไพ่ของภากร แต้มน้อยที่สุด เผือกรวบเงินทั้งหมดบนโต๊ะไปไว้ที่หน้าตักตัวเอง
ภากรซีด ซึม ขรึม และ เซ็ง
“หมดตัวอีกแล้วสิ คุณภากร พิชิตพงษ์” เผือกเย้า
ภากรลุกขึ้นเดินไปหาจอน
“พี่จอน...ตกลงว่าผมเป็นหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”
จอนบอก “สิบล้าน”
“ผมจะค่อยๆทยอยใช้ให้พี่นะ”
“มันไม่ใช่พี่น่ะสิครับ...ไอ้แปดล้านนี้เป็นของพ่อเลี้ยงทวีชัย”
ภากรงุนงง “ผมยืมพี่จอนไม่ใช่เหรอครับ”
“พี่ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้นนะน้อง...พี่ก็แค่จดไว้ว่าน้องภากรเสียเท่าไหร่ เสียให้ใคร แล้วพี่ก็ขอติดไว้กับคนนั้น...ปรากฏว่าพ่อเลี้ยงทวีชัยแกเล่นได้ น้องก็ต้องเอามาจ่ายให้พ่อเลี้ยงเขา ไม่เกี่ยวกับพี่”
สีหน้าภากรเริ่มกังวลมากขึ้น
“ผมต้องให้พ่อเลี้ยงเมื่อไหร่ครับ”
“ก็...อีกซักพักนึง...อันนี้พี่พอจะช่วยขอกับพ่อเลี้ยงได้”
“โอเค ครับ...ผมจะพยายามเล่นให้ได้ แล้วจะรีบใช้คืนให้ครับ”
“วันนี้ดูท่าทางน้องจะล้าแล้วนะ พักผ่อนก่อนเถอะ”
สายบัวเดินเข้ามาพูดจาหวานใส่ภากร
“หิวมั้ยคะคุณภากร...ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันมั้ย จูดี้เลี้ยงเอง”
ภากรส่ายหน้า เดินออกไป พวกลูกสมุนลอบมองตาม เมื่อภากรพ้นไป ทุกคนส่งเสียงหัวเราะทันที
“เอ๊...สายบัวนี่ชักจะเห็นใจนายภากรมากไปแล้วนะ พี่จอน” เหิมเหน็บ
“มันเป็นลีลา การแสดงเว้ย โง่ๆ อย่างพวกแก ไม่มีทางเข้าใจหรอก”
สายบัวเดินสะบัดก้นหนี

รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกแถว ที่พักสีไพร ภากรก้าวลงจากรถ หน้าตาหมองคล้ำ สุดเดินเข้ามา เรียกเขาไว้
“คุณภากร”
ภากรหันไปมองหน้านายสุด ไม่พูดอะไร
“คุณมาที่นี่ทำไม”
“ฉันก็มาหาสีไพรน่ะสิ...ถ้าฉันหายไป นายสุดก็จะหาว่าฉันทิ้งลูกสาวนายสุด...ฉันมาหาบ่อยๆอย่างนี้ ยังไม่ดีอีกเหรอ”
“นอกจากมาหาสีไพรแล้ว วันๆคุณทำอะไรบ้าง...คุณทำงานทำการรึเปล่า”
“งานของฉัน มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน นายสุดอย่ามายุ่งน่า” ภากรชักฉุน
“ผมไม่ได้อยากจะยุ่งหรอก แต่ผมเห็นว่า เวลาคุณมาหาสีไพรแต่ละที เหมือนคนไม่มีชีวิต เหม่อลอย หน้าดำคร่ำเครียด...ถามจริงๆเหอะ ติดยารึเปล่า”
“ฉันไม่สิ้นคิดอย่างนั้นหรอกน่า”
“หรือติดการพนัน”
คราวนี้ภากร นิ่ง พูดไม่ออก
“ถ้าคุณยังพอจะมีความคิดเหมือนคนอื่นๆอยู่ ก็หัดทำงานทำการซะบ้าง...ทำชีวิตให้มันมีประโยชน์มีคุณค่าหน่อย...ที่นี่ไม่ใช่สถานบำบัดที่รอให้คุณมาพักฟื้นนะ”
ภากรยังคงนิ่งอยู่
“และที่พูดนี่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นห่วงอะไรคุณเป็นพิเศษหรอก ผมห่วงลูกสาวผม...เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็หัดกลับบ้านกลับช่องซะ พ่อคุณแม่คุณเท่านั้นละ ที่เขาพร้อมจะแก้ปัญหาให้คุณ...ไม่ใช่ ที่นี่”
ภากรตัดสินใจเดินเซื่องๆ กลับไปที่รถ เขาหยุด ส่งสตางค์จำนวนหนึ่งให้นายสุด
“ฝากตังค์ให้สีไพรหน่อย มีอยู่แค่เนี้ย”
“ค่าอะไร”
“อยากให้ ฉันมีความสุขที่ได้ให้...ก็เท่านั้น”
ภากรยัดเงินใส่มือนายสุด แล้วขึ้นรถ ขับออกไป...สุดได้แต่มองตาม
กลับถึงบ้าน อมาวสีเอาแต่นั่งซึม อยู่ในห้องนอน โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอดูหมายเลขที่หน้าจอโทรศัพท์ แล้วตัดสินใจกดรับ โดยไม่พูดอะไร เสียงราชค่อยๆ ดังออกมาจากปลายสาย
“คุณเป็นอะไรไปรึเปล่า”
“เปล่า”
“แน่ใจเหรอครับ...คุณแน่ใจในคำตอบของตัวเองเหรอครับ”
“ไม่เห็นต้องสงสัยนี่คะ”
ราช นั่งพูดโทรศัพท์ในรถของเขา มันจอดอยู่หน้าบ้านชิดชไม
“นายวารินบอกว่าคุณดูซึมเศร้ามาก”
อมาวสีนึกหมั่นไส้ “ถ้าคุณราชถามแทนพี่วาริน ละก้อ ไม่จำเป็นที่ฉันต้องตอบค่ะ”
“เปล่า ผมถามเพราะผมอยากรู้เอง...ผมกลัวคุณจะลืมที่รับปากกับผมไว้ที่ปราณบุรี”
อมาวสี นิ่งเงียบไป
“คุณลืมแล้วละซี...เมื่อไหร่ที่มีเรื่องทุกข์ใจ ให้นึกถึงผมไง”
“ฉันยังไม่ได้รับปากคุณเลยนะคะคุณราช”
“การนิ่งเงียบไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธนี่ครับ...บอกได้มั้ยครับว่าความทุกข์ของคุณคืออะไ
อมาวสีตัดสินใจพูดชัดถ้อยชัดคำ “พี่ภาคย์ใจดำกับฉันค่ะ...ยิ่งฉันคิดถึงพี่ภาคย์มากเท่าไหร่ เขากลับใจดำกับดิฉันมากขึ้นๆ...คุณนิ่งเงียบ แปลว่าไม่ปฏิเสธ”
“ผมจะปฏิเสธแทนเขาได้ไง ในเมื่อผมไม่รู้จักเขา...ที่จริงผมเห็นด้วยกับคุณด้วยซ้ำ ที่ว่าเขาใจร้ายกับคุณ เพียงแต่ว่าคุณรู้สาเหตุที่เขาต้องใจร้ายกับคุณมั้ยล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ถ้าเจอตัวเขา ผมจะถามคำถามนี้เป็นคำถามแรก...สัญญา”
“ช่วงนี้ผมไม่อยู่กรุงเทพฯ อาจจะติดต่อยากหน่อย แต่ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว...แล้วก็ ช่วยพูดจาดีๆ กับนายวารินหน่อยเถอะครับ มันจะคุ้มคลั่งแย่อยู่แล้ว”

ราชกดปุ่มเลิกการสนทนา พอดีกับที่ชิดชไมเดินออกมาจากบ้าน เธอสะพายกระเป๋าเดินทางใบย่อมติดมือมาด้วย
“แคลร์พร้อมแล้วค่ะ...จะไม่บอกจริงๆ เหรอคะว่าเราจะไปพักผ่อนที่ไหนกัน”
“ภูเก็ต”
“ว้าว”
ชิดชไมหอมแก้มราชหนึ่งฟอดใหญ่ แล้วจึงก้าวเข้าไปนั่งในรถ

คืนนั้น รถภากรแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้าน เขาลงจากรถเดินเข้าบ้านอย่างเซื่องซึม ภากรเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์ในนั้น เปิดดื่ม ท่านกวีเดินเข้ามา อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่
“คุณชอบเขาบอกว่าแกไม่เคยเข้าออฟฟิศเลย”
“เข้าไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ”
“ไม่มีอะไรทำ หรือแกไม่รู้ว่าต้องทำอะไร”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละครับ...ถ้าพ่อคิดว่าผมทำไม่ได้ ก็ไล่ผมออกเลยแล้วกัน”
ภากรนั่งดื่มเบียร์ ไม่สนใจท่าทีผู้เป็นพ่อ

ท่านกวีเดินเข้ามาในห้องนอน หยุดตรงเบื้องหน้าคุณหญิงอำภา
“คุณสังเกตบ้างมั้ยว่า หมู่นี้นายภากรดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“อะไรคะที่ไม่ค่อยดี”
“ก็รวมๆ ทั้ง หน้าตา เนื้อตัว ดูเหมือนคนสิ้นหวังชอบกล...คุณไม่เห็นบ้างเลยเหรอ...หรือคุณลืมไปแล้วว่ายังมีลูกชายอีกคน ลูกของคุณกับผม”
“ฉันจะลืมได้ยังไงคะ...แต่ที่ผ่านมา คุณดูแลภากรอย่างใกล้ชิดจนฉันไม่มีโอกาสรับรู้ความเป็นไปของเขาเลย”
“เอาละ อย่ามาเถียงกันอีกเลย...ผมกำลังคิดว่า เป็นไปได้มั้ยที่ภากรมันขัดใจอะไรกับยายอ้อ”
“ก็อาจจะเป็นได้”
“งั้นคุณลองเลียบๆเคียงๆถามยายอ้อดูหน่อยนะ...ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้จริง เราก็เอาสองคนมานั่งคุยกันต่อหน้า แล้วก็จับแต่งงานซะเลย อ้อมันก็เรียนจบแล้วนี่...ภากรจะได้มีความสุข ตั้งอกตั้งใจทำงานทำการซะที...คุณคิดว่าไง”
“ถ้าเด็กสองคนรักกันจริง ก็ต้องถือเป็นเรื่องดีค่ะ”

คุณหญิงอำภาพูด คล้ายไม่แน่ใจความสัมพันธ์ระหว่างลูกและหลาน

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)

พระอาทิตย์โผล่พ้นโค้งฟ้า สาดแสงแรกของวันมาสู่ระเบียงริมน้ำ บ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีเดินไปหาคุณหญิงอำภา ที่นั่งรออยู่บนระเบียงริมน้ำ มีจันยืนรอ ดูแล อยู่ใกล้ๆ

คุณป้าเรียกอ้อเหรอคะ
ใช่ สอบเสร็จแล้วใช่มั้ย
ค่ะ...คุณป้ามีอะไรจะใช้อ้อหรือเปล่าคะ
ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย...นางจันไปไหนก็ไป ไม่ต้องยืนรอฟังหรอก
จันเดินออกไป
ป้าจะคุยกับอ้อเรื่องภากร
อมาวสีคุณภากร ?
“ภากรเขาเป็นคนง่ายๆ รักสบาย ตามใจตัวเอง จนดูเป็นคนเหลวไหล แต่เขากลับเนื้อกลับตัวมาได้พักนึง หนูอ้อก็คงเห็น”
“ค่ะ”
“แต่ตอนนี้ภากรกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก กลับบ้านบ้าง ไม่กลับบ้าง ไม่เอาใจใส่งาน หน้าตามัวหมอง เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ”
“เกี่ยวกับอ้อเหรอคะ”
“อ้อว่าเกี่ยวไหมล่ะ”
“อ้อไม่ทราบค่ะ”
“อ้อพอจะรู้ใช่มั้ยว่า เขาคิดอย่างไรกับเรา”
อมาวสีนิ่งเงียบ เลือกที่จะไม่ตอบ
“ให้โอกาสพี่เขาหน่อยนะ ลองเอาใจใส่ สนใจพี่เขาบ้าง คงไม่ลำบากอะไรมั้ง...และถ้าเขากลับมามีชีวิตชีวาเปลี่ยนเป็นคนละคนขึ้นมาได้ นั่นก็แสดงว่าอ้อคือต้นเหตุของความเศร้าหมองของเขา”
“แล้วอ้อต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แค่ไหนคะ”
“คุณลุงจะคุยเรื่องนี้กับอ้อเอง...ไปได้แล้วจ้ะ”
อมาวสีเดินเครียดออกไป พร้อมกับพกความวิตกกังวลอันใหญ่หลวงติดตัวไป

เสียงเพลงดังอึกทึกกระหึ่มบ่อน สมุนทั้งหมด เมา เต้น ร้องเพลงดังลั่น ไม่มีสภาพของเซียนพนันหลงเหลือแต่อย่างใด สายบัวเดินออกมาจากห้องนอน ถอดปลั๊กเครื่องเสียงทันที
“พวกมึงไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ นอกจากดิ้นแล้วก็แดกเหล้าเนี่ย”
“อ้าว คนมีความสุขนี่หว่า” เหิมฉุน
“ความสุขของมึงมันต้องอึกทึกขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่เกรงใจตึกข้างๆ บ้างรึไง”
อ้อนชวน “ก็มาสนุกด้วยกันได้นี่...เรายินดี”
เผือกเย้าหยอก “หรือว่า มันไปกวนใจน้องสายบัว ทำให้ไม่เป็นอันมีความสุขกับพี่จอน”
เหิมเสริม “ถ้าสายบัวจะเบื่อพี่จอนละก้อ ข้าว่าเพราะลีลาของนายภากรมากกว่าว่ะ”
สายบัวด่า “ไอ้เหี้ย”
พร้อมกันนั้นสายบัวคว้าของใกล้ตัวปาใส่พวกมันไม่ยั้งมือ จอนเดินออกมาจากห้องเห็นเข้า
“เฮ้ยกัดกันยังกะหมา”
“แต่เป็นหมารวย หมามีความสุขนะลูกพี่” อ้อนประจบ
สายบัวด่าอีก “ไอ้หมาหมู่ หมาขี้เรื้อน ไม่มีปัญญาหากินเอง ต้องเกาะพี่จอนแดก”
จอนปราม “พอ สายบัว”
“พี่ไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพอย่างอื่นบ้างเหรอ...เรามีทุนพอแล้วนะพี่...ฉันละเบื่อไอ้พวกนี้จริงๆ”
“ยัง ต้องได้อีกสิบล้านจากมันก่อน”
“ยาก พี่...มันมามันก็ขอเล่นแบบต๊ะเอาไว้ก่อน เราก็ไม่ได้อะไรเพิ่มอยู่ดีนะพี่” อ้อนบอก
“เราต้องเปลี่ยนวิธี”
เหิมงง “ยังไง”
“ไม่ให้มันเล่นอีกแล้ว จนกว่ามันจะเอาเงินมาใช้หนี้เรา”

วัชรีเดินพูดโทรศัพท์มือถือกัยอมาวสีอยู่ในบ้าน
“ตกลงว่าเธอไปเขาใหญ่กับพวกเราได้มั้ย...อะไรนะ ยังไม่ได้ขอคุณป้าอีกเหรอ...มัวทำอะไรอยู่น่ะ ยายอมา...”
อมาวสีเดินพูดโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน โดยที่ด้านหลังเธอ ภากรเดินเซื่องๆ ออกจากบ้าน
“ยังไม่มีจังหวะจะขอน่ะ...แล้วก็มีธุระที่คุณป้าเรียกใช้อยู่ ก็เลยยุ่งๆ เท่านี้ก่อนนะ เย็นๆโทร.ไปหาใหม่นะ”
อมาวสีเดินตรงไปหาภากร “คุณภากรคะ”
“อ้อ”
“คุณภากร จะไปทำงานเหรอคะ”
“อือม...อ้อจะไปไหนรึเปล่า พี่ไปส่งได้นะ”
อมาวสีส่ายหน้า
“งั้นพี่ไปนะ”
ภากรขึ้นรถออกไป อมาวสีได้แต่มองตาม

รถภากรเคลื่อนออกจากบ้านพิชิตพงษ์ มีรถของนายเทิน เลี้ยวตามรถภากรไปห่างๆ
เทินขับรถไป พูดโทรศัพท์ไป
“ท่าทางนายภากร ดูซูบเซียวมาก ไม่เหมือนคนกำลังจะแต่งงานเลย ผมว่าการข่าวของคุณราชน่าจะมีปัญหานะครับ ข้อมูลไม่น่าจะถูกต้อง”
ราช นอนเขลงพูดโทรศัพท์อยู่บนเปลริมชายหาด
“แล้ววันๆ เขาทำอะไร ที่ไหนบ้าง...ไอ้บริษัทขายยาอะไรของเขาเป็นยังไง”
“โอ้ อันนี้เกินกำลังผมแล้วครับ...ถ้าจะให้สาวลึกลงไปกว่านี้ ผมว่าคุณราชจ้างนักสืบอาชีพดีกว่ามั้งครับ”
ราช ยืนอยู่ริมทะเล ภูเก็ต ทอดสายตาไกลออกไป เห็นชิดชไมเล่นน้ำทะเลอยู่
“แหมเดี๋ยวนี้ใช้ไหว้วานอะไรนิดอะไรหน่อย มีอิดออดนะน้า”
“ไม่ใช่อิดออดครับ ผมมีเหตุผล” เทินว่า
“เหตุผลยังไง”
“ก็ไอ้หมอนี่มันลูกนักการเมืองนี่ครับ ขืนผมไปสืบอะไรใกล้ตัวมันมากๆ เข้า เกิดเจอตอขึ้นมา โดนเป่าไม่รู้ตัว...ก็แย่สิครับ”
ระหว่างที่สองคนคุยสายกัน ภากรขับรถหน้าเครียด อยู่ด้านหน้ารถของเทิน
“ลูกชายน้าก็โตแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วงนี่นา”
เสียงเทินบ่นดังลอดออกมา “เอ๊า...เป็นงั้นไป”
“เอาละ ขอบใจน้าเทินมาก...รีบเข้าออฟฟิศดูงานให้ผมด้วย มีอะไรรายงานผมนะ”
ราชกดปุ่มเลิกการสนทนา ชิดชไมเดินขึ้นจากน้ำทะเล ในชุดเซ็กซี่มาก
“นอนตากแดดเฉยๆ อยู่ทำไมคะ...มาเล่นน้ำกับแคลร์ดีกว่า เร้ว...”
ชิดชไมดึงร่างราช แล้วพากันวิ่งลงทะเล

รถภากรเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าตึกบ่อนของจอน ภากรก้าวลงจากรถ เดินเข้าไปในตึก
ภากรก้าวเข้าหน้าประตู ลูกน้องชั้นหางแถวเดินมา ขวางหน้าไว้
“เข้าไม่ได้ครับ”
“ทำไมล่ะ ฉันภากรไง”
“ทราบครับ”
“ทราบแล้วทำไมเข้าไม่ได้ล่ะ...ฉันมาเล่นบ่อยๆ ฉันเป็นแขกพิเศษของพี่จอนทำไมไม่ให้ฉันเข้าไป”
“พี่จอนสั่งไว้” ลูกน้องบอก
ภากรอึ้งไปนิด “สั่งไว้ว่ายังไง”
“ห้ามเข้า จนกว่าจะเอาเงินมาใช้หนี้ที่ค้างก่อน”
“เฮ้ย อะไร...ทำไมทำอย่างนี้...ไปเรียกพี่จอนมาหน่อยซี่ เฮ้ย”
ภากรฉุน พยายามจะดันตัวเข้าไป กลุ่มลูกน้องก็ขวางไว้ เกิดการยื้อยุดกันสักพัก จนจอน เดินผ่านประตูออกมาหาภากรด้านนอก
“พี่จอน...ไอ้พวกนี้ไม่ยอมให้ผมเข้าไปเล่นน่ะ...พี่จัดการมันทีสิ”
“พี่ลำบากใจจริงๆครับ...มันเป็นกฎ”
“กฎ”
“กฎของที่นี่...เราจะไม่อนุญาตให้สมาชิกที่มีหนี้มากและค้างชำระเป็นเวลานานเข้ามาเล่นในนี้อีก”
ภากรแย้ง “โธ่บ่อนของพี่ พี่ก็แหกกฎเลยสิครับ
จอนวางมาดสุขุม “ไม่ได้ครับน้อง กฎนี้เราตั้งร่วมกันระหว่างมวลมหาสมาชิก เราจึงต้องให้ความเคารพกันหน่อย...ทางเดี่ยวที่จะก้าวเข้าไปได้ คือน้องต้องหาเงินมาปลดหนี้เก่าก่อน”
ภากรครวญ “โธ่ แล้วผมจะหาที่ไหนล่ะครับ”
“แหม ลูกนักการเมืองใหญ่อย่างน้อง น่าจะรู้วิธีดีกว่าผมนะครับ...เสียใจจริงๆ...มีแล้วโทร.มานะ รีบๆหน่อยก็ดี ก่อนที่พ่อเลี้ยงเขาจะโกรธ”
จอนปิดประตูบ่อน ภากรยืนซึมสักครู่ แล้วจึงเดินออกไป
ในบ่อน บรรดาลูกน้องพากันตีมือแสดงความสำเร็จ พวกมันยกนิ้วให้จอน
“พี่จอน สุดยอดเลย...ลีลาพี่เนี้ยบมากๆ” อ้อนสอพลอ
“สายบัว ดาบต่อไปเป็นหน้าที่น้อง...แต่ต้องให้เวลามันอีกซักพักนึง...ตอนนี้เข้าห้องกับพี่ก่อน” จอนบอก

ที่สำนักงานรักษ์เล รูปถ่ายในอัลบั้มใหญ่ ล้วนเป็นรูปถ่ายในวัยเยาว์ของราช มีทั้งรูปเดี่ยวๆ และรูปที่ถ่ายคู่กับลุงรักษ์
ราชและแคลร์ยืนดูรูปเหล่านั้นอยู่ในออฟฟิศลุงรักษ์ ทั้งสองตัวเปียกจากการเล่นน้ำทะเล
“แคลร์ไม่เคยเห็นรูปพวกนี้ของราชเลย”
“ไม่แปลก เพราะผมก็ไม่เคย”
“ถามจริง”
“จริง...จำไม่ได้ด้วยว่าเคยถ่ายรูปพวกนี้ไว้ เมื่อไหร่”
“คุณลุงของราช เก็บรักษารูปไว้ดีจังเนอะ”
รักษ์เดินเข้ามาสมทบพร้อมเครื่องดื่มในมือ “ใช่ เก็บดีซะจนลืมว่าเก็บเอาไว้ที่ไหน”
รักษ์ส่งเครื่องดื่มให้ทั้งคู่
“เพิ่งเอาออกมาดูตอนหนูแคลร์มานี่แหละ...รู้มั้ยว่าหนูเป็นผู้หญิงคนแรกที่ราชพามาเจอลุงนะ”
“เหรอคะ”
“คนอื่นๆลุงเป็นคนนัดให้มาเจอมัน” รักษ์ว่า
“อ้าว จะดีใจดีมั้ยเนี่ย...หนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
ชิดชไมเดินหัวเราะร่าเริงออกไป ลุงและหลานมองตาม
“เป็นยังไงครับลุง” ราชถามความเห็น
“เอาจริงๆ หรือจะให้ตอบแบบเอาใจ”
ราชยักไหล่ หล่อๆ
“เหมือนกันเกินไป เหมือนเพื่อนว่ะ...เธอน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของราชนะ”
ราชยิ้ม
“ไม่ผิดหวังเหรอ”
“ผมหลานลุง ผมก็ต้องคิดเหมือนลุงสิครับ”
“ไอ้นี่...เออวันนี้มีเรื่องแปลก มีคนมาที่ออฟฟิศลุงแล้วเขาเห็นรูปนี้เข้า ทำหน้าตกใจ...ลุงก็นึกว่าผีเข้า...ที่แท้ เป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“ยังไงครับ”
“เขานึกว่าหลานคือ หม่อมเจ้าคฑาเทพ ทวยไท”
ราชอึ้ง นิ่งงันไปในทันที

ภากรขับรถ หน้าเครียด เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ตอนโทร.คุยกับสายบัว ที่ยืนพูดโทรศัพท์ในมุมลับตาหน้าบ่อน
“จูดี้ก็พยายามหาทางช่วยอยู่ค่ะ แต่มันยากมากจริงๆ เรื่องแบบนี้จูดี้เข้าไม่ถึงค่ะ”
ภากรยืนพูดโทรศัพท์ข้างๆ รถของเขาที่จอดอยู่ริมถนน
“จูดี้ช่วยพูดกับพี่จอนหน่อยไม่ได้เหรอ”
“พี่จอนก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ...เพราะพ่อเลี้ยงดูจะเอาจริง...ขู่ด้วยนะคะ มือปืนของเขาเยอะค่ะ โหดๆทั้งนั้นเลย”
“แล้วผมจะทำยังไงล่ะจูดี้...พ่อไม่เคยช่วยผมในเรื่องแบบนี้ด้วย”
“จูดี้จะลองขอเขาว่าอย่าให้ถึงตาย...แต่คุณภากรต้องรีบหาเงินมาทยอยจ่ายบ้างนะคะ...พ่อเลี้ยงแกจะได้ใจอ่อน”

รถภากรเลี้ยวเข้าบ้านพิชิตพงษ์ เวลาค่ำ ภากรเดินเข้าบ้านหน้าเครียด เห็นเป็นท่านกวีนั่งรออยู่
“หมู่นี้ พ่อกับแม่มีโอกาสพบแกน้อยมากนะ”
ภากรยังนิ่ง ก้มหน้า
“แกเป็นอะไรไป”
“เป็น อะไรครับ”
“ฉันถามแก ไม่ใช่ให้แกมาถามย้อนฉัน...แกเป็นอะไร”
“ก็ เป็นลูกพ่อ”
“ลูกชายฉันเหลวไหลอย่างนี้เหรอ หายหน้าหายตา ไม่กลับบ้าน หน้าซีดเซียวเหมือนติดยา ไม่พูดไม่จากับใคร เนี่ยเหรอลูกชายฉัน...แกเป็นอะไร”
ภากรค่อยๆรวบรวมสติ เขาพยายามหาเหตุผลที่พอฟังได้สำหรับผู้เป็นพ่อ
“ผม...ขอโทษ”
“ฉันอยากรู้สาเหตุ”
“เอ้อ...ผม เหงาน่ะครับ”
“ปัญหานี้ ฉันแก้ให้แกแล้วนี่...แกบอกว่าแกอยากแต่งงานกับยายอ้อ ฉันก็รับปากแกแล้ว แกจะมาเหงาอะไรอีก”
ภากรตัดสินใจใช้เรื่องนี้เป็นสาเหตุของเขา
“แล้ว พ่อจะจัดงานแต่งงานให้ผมเมื่อไหร่ล่ะครับ”
“ถ้าแกรับปากว่าจะกลับเนื้อกลับตัวได้อย่างถาวร ฉันก็จะหาฤกษ์ให้เลย...ว่าไง”
ภากรรู้สึกดีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “ตกลงครับ...พ่อหาฤกษ์ให้ผมได้เลยครับ”
ท่านกวีหัวเราะ “โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็งอนกับยายอ้อนี่เอง ใช่มั้ย”
ภากรปั้นท่าเขินอาย
“บอกเขารึยังว่ารักเขา”
“ยังครับ”
“ไปบอกน้องซะ...เขาอาจจะมีเขินกับแกบ้าง แต่หลังจากนั้นพ่อจะพูดกับเขาอย่างจริงจังเอง”
“แต่งงานแล้ว...พ่อจะให้เงินทุนสำหรับผมตั้งตัวบ้างมั้ยครับ”
กวียิ้ม “สิบห้าล้านพอไหม”
“ขอบคุณครับพ่อ”
ภากรกอดพ่ออย่างมีความสุข

ริมหาด ชายทะเลภูเก็ต ตอนกลางคืน บรรยากาศช่างสวยงาม โรแมนติก ราชและชิดชไม นั่งพิงกันตรงตำแหน่งที่สวยที่สุดดื่มด่ำในบรรยากาศ ในมือของเขาและเธอ ถือแก้วใส่ไวน์ชั้นดี
ราชเหม่อมองไปไกล ชิดชไมหลับตาพริ้ม แก้มแดงพอกันทั้งคู่
“ใจลอยไปไหนเนี่ย พระเอกของแคลร์”
“ยังอยู่ ยังไม่ลอย”
ชิดชไมถามจริงจัง “ราช...ราช เคยคิดเรื่องแต่งงานมั้ย”
ราชหัวเราะเบาๆ
“ไม่ตลกนะ...แคลร์อยากรู้จริงๆ”
“ถ้าจะให้โรแมนติก ผมคงต้องคุกเข่าลงตรงนี้ แล้วก็ยื่นแหวนให้คุณดู พร้อมกับพูดว่า...แต่งงานกับผมนะแคลร์”
ชิดชไมหมั่นไส้ ตีหน้าอกราชเบาๆ
“ทำเป็นเล่นไปได้...อายุมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะจ๊ะ แก่กว่านี้ ไปขอใครแล้วไม่มีใครเอา ไม่กลัวเหรอ”
“ผมไม่เดือดร้อนเรื่องนี้”
“ผู้ชายเอาเปรียบผู้หญิงอย่างนี้เสมอ”
“ผมไม่เคยเอาเปรียบคุณนะแคลร์ ผมคิดยังไง ผมบอกคุณตลอด”
ชิดชไมทำท่าถอนใจเบาๆ
“แปลว่า ความสัมพันธ์เราสุดปลายทางอยู่แค่นี้”
“ไม่ดีเหรอ...เรายังมีชีวิตอิสระด้วยกันทั้งคู่ไง...ดีมั้ย”
“ไม่บอก”
ชิดชไมกอดรัดราชแน่น ราวกับกลัวว่าวันนึงเธอต้องเสียเขาไป ราชเอ่ยปากกับเธออย่างนุ่มนวล
“มีผู้หญิงกี่คนกันที่จะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
“เดี๋ยวจะเซิร์ชหาในกูเกิ้ลให้นะ ว่ามีกี่คน”
ราชก้มลงจูบชิดชไมพอเป็นพิธี เขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายที่ผ่านมา

บ่านนั้นลุงรักษ์กับราช ทั้งสองยืนคุยกันอยู่บนระเบียงสวยริมทะเล
“เขาเป็นเพื่อนเก่าของลุง...ใกล้ชิดกับตระกูลเจ้าหลายคน พอเขาเห็นรูปราชเขาก็ทึกทักเป็นตุเป็นตะเลยว่า นี่แหละ หม่อมเจ้าคฑาเทพ ทวยไท...ลุงต้องอธิบายอยู่นานกว่าจะยอมเชื่อว่าเป็นราช หลานลุง...ไม่น่าเชื่อนะ ต่างสถานที่ต่างเวลากันตั้งสามสิบปี ดันมีหน้าเหมือนกันได้”
“ผมได้ยินเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้วครับ”
“เหรอ แสดงว่าเหมือนจริงๆน่ะสิ...แต่เพื่อนลุงคนนี้มันคิดไปไกลกว่านั้น มันดันผ่าคิดว่า ท่านชายตายแล้วเกิดเป็นหลาน”
ราชอดถามไม่ได้ว่า “เขาเป็นอะไรตายเหรอครับ”
เช้าตรู่ หนุ่มสาวสองคนอยู่ในรถที่แล่นมาตามถนน ราชขับรถ ด้วยหน้าตาครุ่นคิด ชิดชไมนั่งหลับพิงไหล่เขา เรื่องที่คุยกับลุงรักษ์ผุดซ้อนขึ้นมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้ง
“อกหักน่ะสิ แกไปรักผู้หญิง ที่มีคู่หมั้นเป็นนักการเมือง สุดท้ายก็ช้ำใจตาย...มันยังนินทาอีกนะ ว่าอาจมีลูกติดท้องคนรักของเขาไปด้วย...แหมไอ้นี่มันแต่งเรื่องเก่งจริง น่าให้ไปเขียนนิยายน้ำเน่านะ”
ลุงรักษ์พูดต่อ “คงเอาไปทำละครกันสนุกเลยละ...แต่ลุงหวังว่าหลานจะไม่มีเส้นทางรักแบบเดียวกับท่านชายคนนี้หรอกนะ”
ราชหวนคิดไปถึงอีกเหตุการณ์ เมื่อสิบห้าปีที่ผ่านมา

ครั้งนั้นเด็กชายภากร และเด็กชายภาคย์ยืนก้มหน้านิ่ง หน้าตาของภากรมีรอยคราบเลือดอันเนื่องจากปากแตก ท่านกวียืนถือไม้เรียว เบื้องหน้าเด็กทั้งสอง หน้าตาของเขาดูดุดัน
“บอกมาซิ เรื่องอะไรไปชกหน้าน้อง”
“ผมไม่ได้ชก”
“ไม่ได้ชกแล้วทำไมปากคอภากรถึงได้แตกอย่างนี้”
“ภากรชกผม แล้วพลาดล้มไปเอง”
“เรื่องอะไรน้องจะไปชกแก”
“เขาแกล้งอ้อ ผมไปห้ามไว้”
“เขาเล่นกัน แล้วแกแส่ไปยุ่งอะไรด้วย”
“ภากรเรียกผมว่าไอ้” ภาคย์บอก
“เขาเรียกแกว่าไอ้น่ะถูกแล้ว แต่แกต้องเรียกน้องว่าคุณ”
“ไม่...ทำไมผมต้องเรียกคุณ”
“แกเถียงฉันเหรอ...มานี่ ฉันจะลงโทษที่แกกล้าเถียงฉัน”
กวีใช้ไม้เฆี่ยนลงไปที่ก้น ภาคย์ร้องลั่น “พ่อตีผมทำไม”
“แกอย่ามาเรียกฉันว่าพ่อนะ...เลือดพิชิตพงษ์ของฉัน ไม่มีอยู่ในตัวไอ้สารเลวอย่างแก”
กวียังคงเฆี่ยนภาคย์ต่อไป ภาคย์ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บ และโกรธเกลียด ชิงชัง ภากรแอบยิ้มเยาะภาคย์

ด้านอมาวสีนั่งเหม่อลอยอยู่บนระเบียง นมพริ้งค่อยๆ เดินมานั่งข้างๆ อย่างเงียบเชียบ
“คิดอะไรอยู่เหรอคะคุณอ้อ ดูใจลอยจัง”
“คิดหลายเรื่องค่ะป้า”
“สอบเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอคะ ไม่น่าจะต้องคิดมาก”
“ก็แค่หมดเรื่องคิดไปเรื่องเดียว”
อมาวสีถอนใจนิดหนึ่งก่อนหันไปพูดกับนมพริ้ง
“ป้าพริ้งรู้มั้ย คุณป้าท่านขอให้อ้อ ใส่ใจคุณภากรมากขึ้น”
“เหรอคะ”
“ขอให้อ้อพูดจาดีๆ กับเขา แล้วคุณภากรจะกลับตัวเป็นคนใหม่”
“ลำบากใจมั้ยล่ะคะ”
อมาวสีส่ายหน้า “ถ้าอ้อสามารถรู้อนาคตตัวเองได้ อ้อคงตอบคำถามนี้ได้ค่ะป้า”
“บางทีเราต้องรู้จักอยู่กับปัจจุบันนะคะ มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ดีกว่ารอความสุขในวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่ามันจะมาหาเราจริงหรือเปล่า”
ภากรเดินเข้ามา หน้าตาเขาดูแจ่มใสขึ้นบ้าง
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ ขอคุยด้วยคนสิ”
“คุณภากรจะคุยกับป้าหรือกับคุณหนูอ้อล่ะคะ”
ภากรยิ้มให้ “คุณแม่ เรียกให้ป้าไปหาแน่ะ”
“อ๋อ ค่ะ”
นมพริ้งค่อยๆ เดินออกไปอย่างรู้ทัน ภากรขยับตัวลงนั่งข้างๆ อมาวสี
“อ้อรู้สึกมั้ยว่า ช่วงนี้ พี่ทำตัวเหลวไหลมากไป”
“ทุกคนในบ้านพิชิตพงษ์รู้สึกกันหมดค่ะ”
“พี่บอกคุณพ่อว่า ถ้าอ้อคุยดีๆกับพี่ และมีความรู้สึกดีต่อกัน พี่สัญญาว่า พี่จะกลับเนื้อกลับตัวใหม่ได้แน่ๆ”
“อ้อมีอิทธิพลกับคุณภากรอย่างนั้นเชียวหรือคะ”
“ไม่รู้สิ ก่อนหน้านี้ พี่อาจจะพูดแบบนี้ไปงั้นๆ เพื่อเอาชนะไอ้ภาคย์”
อมาวสีชักสีหน้าขึ้นมานิดหนึ่ง ภากรดูออก
“อย่าเพิ่งโกรธที่พี่เอ่ยชื่อมัน...แต่รู้มั้ย พอนานไป พี่รู้สึกถึงหัวใจของพี่เองว่า อ้อเหนี่ยวรั้งพี่ได้จริงๆ...พี่สามารถเปลี่ยนเป็นคนละคนได้แน่ ถ้าอ้อแต่งงานกับพี่”
อมาวสีเริ่มว้าวุ่นใจ ในคำพูดของภากร
“วันนี้คำพูดของพี่ ออกมาจากใจจริงมากกว่าทุกครั้งนะ และพี่บอกคุณพ่ออย่างที่พี่บอกอ้อแล้วด้วย”
“คุณลุงว่ายังไงคะ”
“งานแต่งงานของเราจะมีขึ้นภายในเดือนหน้า แล้วอ้อจะเห็นโฉมใหม่ของพี่ พี่จะกลายเป็นคนละคนเลย คอยดูสิW
ภากรก้มหน้าไปหอมแก้มอมาวสีเบาๆ แล้วเดินออกไป อมาวสีนั่งนิ่ง ตกอยู่ในความกังวลอีกครั้ง

ไม่นานต่อมา วัชรีพูดโทรศัพท์กับอมาวสี ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
“ห๊า...จริงเหรอ...จ้ะ...เสียดายจัง...แล้วเจอกันนะ”
วัชรีวางโทรศัพท์ เธอถอนใจ หน้าเสียเอามากๆ แล้วจึงตะโกนลั่น “พี่วาริน...”
วัชรีวิ่งไปหาวารินจนเจอ “คุณพี่...ยายอมาไปเขาใหญ่กับเราไม่ได้แล้วละ”
“ไม่เป็นไร เอาไว้โอกาสหน้าก้ได้...ไม่เห็นต้องทำหน้าร้องไห้อย่างนั้นเลย”
“ก็มันเสียใจนี่”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราเลื่อนทริปออกไปก่อน รออมาวสีก็ได้ เรื่องเล็กนิดเดียว”
“มันมีเรื่องใหญ่กว่านั้น ใหญ่มาก จะฟังมั้ย”
“ฟัง ว่ามา”
“ยายอมาจะแต่งงานแล้ว”
“ห๊า” วารินช็อก
“ยายอมาจะแต่งงานกับคุณภากรเดือนหน้า ได้ยินหรือยัง”

วารินนัดเจอราชที่ผับประจำ เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มพรวดเดียวหมด เวลานี้อยู่ในอาการ เมาปลิ้นราชนั่งจ้องมองอยู่เบื้องหน้า “นายไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลยนะวาริน”
“เราก็ไม่นึกว่าจะเป็นมากถึงขนาดนี้...เสียดายน่ะ นายเข้าใจมั้ย เสียดาย นายเคยมั้ย เคยเสียดายอะไรมากๆจนไม่รู้จะทำยังไงบ้างมั้ย”
“แต่ก็ไม่น่าจะต้องระบายออกด้วยเหล้านี่นา” ราชว่า
“จะให้เราระบายออกด้วยไอติมช็อคโกแล็ตเหรอ...ได้ เราจะสั่งช็อคโกแล็ตมากินให้หมดร้านเลย ถ้าอมาวสีจะยกเลิกงานแต่งงาน”
“เราว่า เขาคงถูกบังคับ”
“ใคร ใครบังคับ”
“ลุงเขาน่ะสิ”
“อ๋อ ลุงนักการเมืองหัวโบราณ เต่าล้านปี บังคับหลานให้แต่งงาน...คงซื้อเสียงจนเคยตัว…เดินขบวนประท้วงมันเลยดีกว่า เอาม็อบไปปิดซอยบ้านมัน ตัดน้ำ ตัดไฟ...ตัดอะไรได้อีกวะ”
“ตัดใจเหอะ วารินเอ๊ย...เราพานายกลับบ้านเอง”
“อยากร้องไห้ว่ะ ผู้ชายร้องไห้ได้มั้ยวะ”
“ได้ เยอะแยะไป”
วารินเริ่มต้นร้องไห้ อกหักยับเยิน
“นายเข้าใจใช่มั้ย เหมือนสอบเข้ามหาลัยไม่ได้น่ะ เราอยากเรียนที่นี่ อยากเข้าน่ะ อยากเข้าให้ได้ เข้าใจมั้ย...อยากเข้าแต่เข้าไม่ได้น่ะ...มันเสียดาย”
“โอเค เราจะช่วยนายเอง”

วารินไม่ทันฟัง ร่างล้มร่วงหลับผล็อยไปเลย

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)

อมาวสีนั่งทุกข์ตรมอยู่ในห้อง ครุ่นคิดหนัก จนเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอมองดูหมายเลขหน้าจอ ถอนใจแล้วจึงยกขึ้นกดรับสาย

เป็นเสียงราชดังลอดออกมา “หลับรึยัง”
“คุณจะอยากรู้ทำไม”
“ผมจะได้รู้ว่ากำลังคุยกับคนมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ หรือคนที่กำลังละเมอ”
“คุณเลิกพูดจากวนดิฉันได้มั้ยคะ” อมาวสีหงุดหงิด
ราชนั่งพูดโทรศัพท์ในรถ
“คุณยังไม่หลับ”
เสียงอมาวสีดังมา “แล้วจะทำไม”
“ผมต้องการคุยกับคุณ”
อมาวสี นั่งพูดโทรศัพท์บนเตียงนอนในห้อง
“ฉันรอฟังอยู่”
“ผมต้องการเห็นหน้าด้วย”
“โทรศัพท์ฉันไม่มี face time”
“ถ้าไม่ลำบากคุณช่วยลุกจากเตียงนอนแล้วเปิดม่านหน้าต่างของคุณหน่อย”

“ฉันต้องทำตามคุณสั่งด้วยเหรอคะ”
“แล้วแต่คุณ...ตัดสินใจเอาเอง”
อมาวสีตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเปิดม่านตามคำบอกของราช

ราชก้าวลงจากรถ พบว่ารถของเขาจอดอยู่หน้าบ้านพิชิตพงษ์นี้เอง ราชมองไปที่หน้าต่างห้องนอนอมาวสี
“ทีนี้คุณมองมาที่หน้าบ้าน...จ๊ะเอ๋”
“คุณสนุกนักเหรอ”
“ไม่สนุกเลยครับ...ทุกข์ใจปางตาย”
“เชิญเริ่มเรื่องเลยค่ะ”
“สายตาผมไม่ได้ยาวขนาดนั้น...กรุณาลงมาใกล้ๆ หน่อยเถอะครับ...จะได้เห็นหน้าชัดๆ”
อมาวสีตกใจ “คุณ...”
“ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดุ ผมรู้ว่าวันนี้ทั้งท่านกวีและคุณหญิง ไม่อยู่บ้านทั้งคู่”
ราชกดปุ่มวางสาย อมาวสีพูดอะไรไม่ทัน

อมาวสีตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมเดินออกไปจากห้องนอน
สักครู่เธอเดินเข้ามาเบื้องหน้าราช
“นี่เหรอหน้าตาของคนที่กำลังจะมีความสุขที่สุดในโลก”
“ฉันไม่เคยพูดอย่างนั้น”
“ผมได้ข่าวว่าคุณกำลังจะแต่งงาน จะไม่ให้ผมคิดอย่างนั้นได้ยังไง”
อมาวสีปั้นยิ้มกว้างใส่หน้าราช
“เห็นหรือยังว่าฉันมีความสุขแค่ไหน”
ราชยิ้มเยาะ “คุณรักนายภากรเหรอ”
“คุณมายุ่งเรื่องของฉันทำไม...คุณส่งคนมาตามสืบข่าวคราวของฉันตลอดเลยเหรอคะคุณราช”
“เข้าใจผิดแล้วครับ...คุณเองน่ะแหละที่เป็นคนปล่อยข่าว ผมไม่เห็นต้องสืบอะไรเลย และเมื่อข่าวรู้ไปถึงหูผู้ชายคนนึงเข้า เขาก็กระวนกระวายใจ จนแทบจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ...ผู้ชายคนนั้นเขาอาจจะปากแข็ง แต่เขาหลงรักคุณมากๆเลยนะ”
อมาวสีนิ่งฟัง น้ำเสียงของราชคล้ายกำลังพูดถึงตัวเอง
ทั้งสองจ้องตากัน
“คุณจะใจร้ายกับผู้ชายดีๆ คนนี้ได้ลงคอเชียวเหรอ”
“ฉันไม่มีทางรู้ว่าใครคิดยังไงกับฉัน ถ้าเขาไม่พูดตรงๆ กับฉัน”
“ทั้งหมดที่คุณได้ยิน นั่นคือคำพูดจากใจของเขา นายวาริน รัตนพงษ์ เขาฝากผมมาบอก”
อมาวสีผิดหวังเล็กน้อย “คุณเป็นโฆษกประจำตัวพี่วารินเหรอคะ”
“เปล่า แต่ผมเป็นนักวิเคราะห์หัวใจคน...และผมรู้ว่าคุณไม่ได้รักนายภากร”
อมาวสีเงียบ
“คุณไม่ปฏิเสธผม...เพราะฉะนั้นคุณจะทำสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจคุณทำไม”
“ฉันไม่มีทางเลือกค่ะ”
ราชหยัน “ข้ออ้างของคนโลเล”
“ฉันไม่ได้โลเล แต่ฉันมีสำนึก รับผิดชอบต่อผู้ที่มีบุญคุณต่อฉัน ซึ่งคนอย่างคุณไม่มีวันจะเข้าใจ”
“รู้ได้ไง ว่าผมไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่รู้ก็ได้ เพราะที่จริงแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของคุณ และคุณก็อย่าคิดว่าคุณจะรู้เรื่องของฉันครบทุกเรื่อง”
อมาวสีขยับจะวิ่งเข้าบ้าน
“คุณลืมพี่ภาคย์ของคุณไปแล้วเหรอ”
อมาวสีหยุดชะงัก นิ่ง
“ฉันไม่เคยลืม ฉันรักและคิดถึงพี่ภาคย์ตลอดเวลา...แต่พี่ภาคย์ใจร้าย ไม่เคยนึกถึงฉันเลยสักนิด”
“เขาอาจจะกำลังคิดถึงคุณอยู่ก็ได้” ราชว่า
“คุณรู้ได้ไง หรือคุณกำลังพูดแทนเขาอีกคน”
ราชกระเถิบเข้าใกล้อมาวสี เขาค่อยๆ จับมืออมาวสีอย่างนุ่มนวล
“คิดว่าผมเป็นพี่ภาคย์ของคุณสิครับ...แล้วก็เอาชื่อของผมไปอ้างได้เลย...บอกทุกคนว่าคุณรักอยู่กับผม และจะไม่ยอมแต่งงานกับใครเป็นอันขาด”
ที่ระเบียงบ้านตอนนี้ นมพริ้งโผล่หน้าออกมาดู
“ผมเคยบอกแล้วไง เมื่อไหร่ที่มีความทุกข์ใจ ให้นึกถึงผมเป็นคนสุดท้ายก็ได้ ผมยินดีช่วยคุณเสมอ”
ราชก้มหน้าลงไปใกล้คล้ายจะจูบ
“ก็แค่เอาชื่อราชไปอ้าง ไม่ทำให้ตรงไหนของคุณชำรุดหรอกครับ...นายวารินจะได้มีความสุข”
อมาวสีค่อยๆ แกะมือออกจากการเกาะกุมของราช หันตัวเดินก้าวยาวๆเข้าบ้านไป ราชมองตาม

อมาวสีเดินเข้ามาในบ้าน อารมณ์สับสน นมพริ้งเดินเข้ามาใกล้ๆเธอ
“คุณอ้อคะ”
“มีอะไรเหรอป้า”
“ป้าเห็นคุณอ้อยืนคุยกับ...ผู้ชาย...ป้าไม่รู้ว่านังจันหรือเด็กๆ คนอื่นเห็นมั้ย เดี๋ยวมันเอาไปพูดกัน รู้ถึงคุณท่าน คุณอ้อจะโดนดุเอานะ”
“ช่างเถอะค่ะป้า...”
“ผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใครคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า เผื่อว่าป้าจะช่วยได้”
อมาวสีตัดสินใจก่อนพูด “เขาคือคนรักของอ้อค่ะ”
นมพริ้งตกใจ “ห๊า คุณอ้อมีคนรักแล้ว”
“จ้ะป้า เรารักกัน”
“แล้วเรื่องที่ท่านจะให้คุณอ้อแต่งงานกับคุณภากรล่ะคะ”
“นั่นแหละค่ะปัญหาของอ้อ...อ้อไม่รู้จะทำยังไงดี”
“เฮ้อ...คุณอ้อคงต้องพูดตรงๆ กับคุณท่านน่ะแหละค่ะ เรื่องนี้ ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้”

ภากรมาหาสีไพรเพื่อบอกเลิกราไปแต่งงานกับอมาวสี กล่องของขวัญขนาดเล็กน่ารักถูกวางลงตรงหน้า สีไพรเปิดของขวัญกล่องนั้นเห็นเป็นสร้อยสวยเส้นไม่ใหญ่นัก
“คุณภากรให้สีไพรเหรอคะ”
ภากรยืนอยู่เบื้องหน้าสีไพร
“มันอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก แต่ฉันตั้งใจให้สีไพรจริงๆ”
“เป็นของมีค่าที่สุดสำหรับสีไพรค่ะ...ขอบคุณ คุณภากรมากๆนะคะ”
“มา...ฉันสวมให้”
ภากรเอื้อมมือสวมสร้อยเส้นนั้นให้สีไพร “สีไพรอยากได้อะไรจากฉันอีกมั้ย”
สีไพรส่ายหน้า “เท่าที่สีไพรได้อยู่นี้ ก็มากเกินกว่าจะคาดถึงแล้วละค่ะ”
ภากรดึงสีไพรเข้ามากอด
“สีไพรไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตไพจะมีโอกาสได้รับความรักอย่างนี้”
ภากรค่อยๆ ลำดับเรื่องราวที่เขาตั้งใจจะพูด
“สีไพร จำที่เราเคยคุยกันได้มั้ยว่า สังคมและ ครอบครัวของเราต่างกันมาก”
“สีไพรจำได้ดีค่ะ”
“วันนึงฉันอาจจะต้องทำอะไรเพื่อให้พ่อแม่ฉันสบายใจ เช่น ฉันอาจจะต้องแต่งงาน เพื่อมีหลานให้ท่าน”
“วันนั้นมาถึงแล้วเหรอคะ”
น้ำเสียงตัดพ้อนั้น ทำเอาภากรนิ่ง เหมือนยังไม่อยากตอบ
“สีไพรจะมีโอกาสได้อุ้มลูกคุณภากรมั้ยคะ”
“เธอจะยังรักฉันอย่างนี้อยู่หรือเปล่า”
“คุณภากรยังมีที่ว่างเล็กๆให้สีไพรมั้ยล่ะคะ...สีไพรไม่ขอไม่เรียกร้องอะไรเลยแค่คุณภากรยิ้มให้สีไพร มีความสุขเวลาอยู่กับสีไพร แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วค่ะ”
ภากรกอดสีไพรกระชับมากขึ้น เหมือนไม่อยากเสียเธอไปเช่นกัน สีไพรมองที่ข้อมือของภากร...มันว่างเปล่าอยู่
“คุณภากรยังไม่ได้สวมสร้อยข้อมือของสีไพรเลยเหรอคะ”
“ฉันเก็บไว้ใต้หมอนน่ะ...”
สีไพรยิ้มปลื้ม ภูมิใจ
“ฉันอาจจะมาหาสีไพรได้น้อยลงนะ”
“ค่ะ...ไพเข้าใจค่ะ”
“พ่อสีไพรจะได้ว่าไม่ได้ ว่าฉันไม่ยอมทำงานทำการ”
“ค่ะ”
ภากรประคองหน้าสีไพรมาจ้อง ความใคร่ และแรงปรารถนาปรากฏขึ้นเต็มสองตาของภากร
“เธอน่ารักจังเลย รู้มั้ย”
“วันนี้คุณภากรจะกลับกี่โมงคะ”
“ปลุกฉันก่อนพ่อเธอมานะ”
ภากรบรรจงจูบสีไพร ทั้งสองคนเอนกายลงไปบนเตียง เคลียคลอกันตามแรงปรารถนา

ฝ่ายท่านกวีและคุณหญิงอำภา เดินลงบันไดมาในเสื้อผ้าที่พร้อมออกไปทำงานข้างนอก
“เช้านี้ ฉันมีงานทำบุญของสภาสตรี”
“ผมมีประชุมพรรค...ตอนค่ำมีงานแต่งงานลูกชายเลขา คุณจะไปพร้อมผมมั้ย”
“ดิฉันกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกันค่ะ”
“คุณแข็งแรงดีแล้วแน่นะ”
“ค่ะ”
คุณหญิงอำภาเดินออกไปทางหน้าบ้าน ท่านกวียกโทรศัพท์โทร.ถึงทนายชอบ

ระหว่างนี้ อมาวสีค่อยๆ เดินตัวลีบๆ เข้ามาหา
ท่านกวีพูดสายอยู่ “คุณชอบ นายภากรมันไปทำงานรึยัง...ลองเช็คดูทีนะ แต่ผมชื่อว่ามันกลับเนื้อกลับตัวแล้วหละ...อ้าว คนกำลังจะแต่งงาน มันก็ต้องเลิกเหลวไหลได้ซี่”
ท่านกวีวางโทรศัพท์ หันไปเห็นอมาวสียืนรอๆอยู่
“มีอะไรกับลุงหรือเปล่า อ้อ”
“เอ้อ ค่ะ”
“ว่ามา เดี๋ยวลุงจะต้องรีบไป”
“งั้นเอาไว้ตอนเย็นๆ ก็ได้ค่ะ หรือ พรุ่งนี้ก็ได้”
“วันนี้แหละ พูดมาเลย”
อมาวสีค่อยๆ รวบรวมความกล้า ก่อนเอ่ยปาก
“คุณลุงตั้งใจจะให้อ้อแต่งงานกับคุณภากรใช่มั้ยคะ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...เจ้าภากรมันพูดกับเราเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย...ที่มาถามนี่กลัวว่ามันจะหลอกเธอเหรอ...ฮ่ะฮ่ะ จริง ลุงตั้งใจว่าเดือนหน้านี่แหละ ลุงจะจัดให้ใหญ่เลย...ลุงว่าจะบอกอ้ออาทิตย์นี้ แต่อ้อมาถามลุงแล้วก็ดี...ดีใจมั้ยล่ะ”
“อ้อแต่งงานกับคูณภากรไม่ได้ค่ะ”
ท่านกวีฉุนกึก “ว่าไงนะ”
“อ้อรักคุณภากรอย่างพี่ชาย...”
ท่านกวีเริ่มมีอารมณ์ไม่พอใจ
“นี่ไม่ใช่เหตุผลใหญ่...บอกมาซิ เหตุผลจริงๆคืออะไร”
“อ้อ...อ้อไม่ได้รักคุณภากร...อ้อ...”
“แล้วแกรักใคร แกมีคนที่แกรักแล้วเหรอ”
“คุณราชค่ะ”
ท่านกวีทวนชื่อ “ราช” ท่าทีคุ้นๆ
“ราช รัชภูมิ คนที่ซื้อบ้านแก้วของคุณลุงไปนั่นแหละค่ะ...อ้อรักกับคุณราชค่ะ”
ท่านกวีตะโกนลั่นบ้าน
“จะบ้าเหรอ แกจะให้ฉันเชื่อว่าแกรักกับไอ้เศรษฐีบ้านนอกหน้าโง่คนนั้นน่ะเหรอ”
“ค่ะ”
“รักกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ้อ...สักพักแล้วค่ะ”
“ได้เสียกันรึยัง”
อมาวสีอึ้ง ตอบไม่ถูก “เอ้อ...”
“ไม่ต้องอาย...พูดมา”
“คือ...”
“ท้องกับมันรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“ไม่ท้องก็แล้วไป...เอาละ ไม่ว่าแกจะมีอะไรกับมันมากี่ครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม ไปบอกเลิกกับมันซะ ยังไงๆ แกก็ต้องแต่งงานกับภากร เท่านั้นหละ ไปได้แล้วฉันจะไปทำงาน”
ท่านกวีก้าวยาวๆ เดินออกจากบ้านไปโดยเร็ว
อมาวสียังคงตกใจ อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก

ขณะที่ภากรนอนกอดสีไพรอยู่บนเตียง เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ภากรเอื้อมหยิบโทร. ดูเบอร์หน้าจอโทรศัพท์ ไม่มีหมายเลขโชว์ให้เห็น ภากรกดปุ่มรับสายโทรศัพท์นั้น
เสียงราชดังออกมา “ฮัลโหล”
“ใครพูดน่ะ”
“ผมราช รัชภูมิ”
ภากรเยาะ “อ๋อ นายราช เจ้าของคนใหม่ของบ้านแก้ว ที่จ่ายเงินสูงลิบลิ่วแลกกับบ้านแก้วที่กระจกแตกทุกบานน่ะเหรอ”
ราช นอนพูดโทรศัพท์บนโซฟาในบ้านพัก “ผมซ่อมเสร็จแล้ว”
“อุตส่าห์หาเบอร์ผมจนเจอ มีอะไรกับผมไม่ทราบ”
“ทราบว่า คุณจะแต่งงานกับอมาวสี”
ภากรยังคงพูดโทรศัพท์ ขณะที่สีไพรลุกจากเตียง เดินไปเตรียมอาหาร
“ใช่ครับ จะโทรมาอวยพรผมเหรอครับ”
“จะโทร.มาบอกว่า ยกเลิกงานแต่งงานซะ และอย่ายุ่งกับเมียผมอีก” ราชบอก
ภากรฉงน “อะไร...คุณพูดอะไรน่ะ”
“อมาวสีไม่ได้รักคุณ และที่สำคัญ เธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”
ภากรเสียงดังขึ้น “ไม่จริง”
“ไม่เชื่อก็ถามอมาวสีเอาเอง...”
ภากรโกรธสุดขีด “ไอ้เลว”
“ผมโทร.มาบอกให้เอาบุญแล้ว คุณก็ควรจะขอบคุณผม หรือว่าคุณมีนิสัยชอบแต่งงานกับผู้หญิงที่เขามีสามีอยู่แล้ว...เตือนดีๆ ไม่เชื่อก็ตามใจนะ”
ภากรตะโกนลั่น “ไม่เชื่อโว้ย”
“รับรองได้ว่า ผมจะไม่มีวันยอมให้มีงานแต่งงานระหว่างคุณกับอมาวสีแน่ๆ”
ราชวางโทรศัพท์ทันที ภากร เขาโกรธจัด
“ฉันไปก่อนนะสีไพร...สตางค์ของเธออยู่บนโต๊ะนี่”
ภากรรีบแต่งตัวแล้วเดินหุนหันออกไป

เช้าวันเดียวกันนี้ วารินนั่งกินข้าวต้มร้อนๆ มึนหัวอยู่คนเดียว วัชรีเดินเข้ามาหาพี่ชาย
“นี่คืออาการอกหัก หรือว่า เมาแฮ้งค์คะคุณพี่”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
“ทำไงถึงจะหายล่ะ”
“นายราชมันรับปากว่าจะช่วย”
วัชรีอ่อนใจ “โห...ผู้ชายแบบนี้ ผู้หญิงเขาคงจะชอบหรอกนะ”
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง”
“สู้ดี้...ไปหาเขาที่บ้านกันมั้ย”
วารินเกิดอาการขยักขย้อนอีก “รอให้พี่หายแฮ้งค์ก่อนได้มั้ย..โอย จะอ้วก”

รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ลงจากรถเดินเข้าบ้านอย่างรีบร้อน
อมาวสีนั่งเหม่ออยู่ระเบียงริมบึงน้ำบ้านพิชิตพงษ์ ทอดสายตามองไปไกล ภากรเข้ามาหา
“อ้อ”
“คุณภากรมีธุระอะไรกับอ้อคะ”
“ไอ้ราชมันโทร.มาหาพี่”
อมาวสี นิ่ง อึ้งไปนิดนึง เมื่อได้ยินชื่อราช “คุณภากรไม่ต้องบอกอ้อก็ได้นี่คะ”
“ต้องบอกสิ เพราะไอ้ราชมันบอกพี่ว่า มันกับอ้อรักกัน...และจดทะเบียนสมรสกันแล้วด้วย”
อมาสีมีอาการ อึ้ง มากยิ่งขึ้น
“บอกพี่มาเดี๋ยวนี้ ว่ามันโกหก...ใช่มั้ย มันโกหก...ทั้งหมดที่มันพูด ไม่เป็นความจริงใช่มั้ย”
อมาวสีครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจตอบ “จริงค่ะ...เป็นความจริง อ้อรักกับคุณราช”
ภากรมีอาการโกรธ หัวฟัดหัวเหวี่ยง
“บัดซบ...อ้อไปรักมันได้ยังไง รู้จักมันดีแล้วเหรอ มันเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้...ถ้าคุณพ่อพี่รู้เข้าละก้อ...”
“อ้อบอกคุณลุงแล้วคะ”
“แล้วพ่อฉันว่าไง...พ่อยอมงั้นเหรอ”
อมาวสีนิ่งลงไปอีก
“คุณพ่อไม่มีวันยอมให้เธออยู่กินกับไอ้โง่นั่นแน่ๆ...ไปหย่ากับมันเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ค่ะ...อ้อรักคุณราช”
“ไม่จริง”
“อ้อรักคุณราชมากกว่าคุณภากร”
ภากรโกรธสุดขีด “โธ่เว้ย...มันมีดีอะไร บอกพี่มาซิ ไอ้ราชมันดีกว่าพี่ตรงไหน”
“เขาทำให้อ้อมีความสุข”
“รู้ได้ยังไงว่าอยู่กับพี่แล้วไม่มีความสุข”
ขาดคำภากรดึงร่างอมาวสีเข้ามาประชิดตัว และจ้องหน้าเธอ อมาวสีไม่มีคำตอบให้เขา
“งั้นพี่จะทำให้ดูว่า ความสุขจากพี่น่ะมันดีกว่าของไอ้ราชแค่ไหน”
ภากรเบียดหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจูบ อมาวสีพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ไม่เป็นผล ริมฝีปากภากร สัมผัสไล่ไปตามใบหน้าและซอกคอของอมาวสี
“อย่านะ คุณภากร ปล่อยอ้อ”
“ไม่ปล่อย ถ้ามันเคยได้อ้อ พี่ก็ต้องได้อ้อด้วย”
“ไม่...ปล่อย”
“ฉันเคยปล่อยเธอไปครั้งนึงแล้ว วันนี้ฉันไม่ปล่อยแน่ๆ”
คุณหญิงอำภาเดินเข้ามาเห็นเต็มตา ตะโกนลั่น “ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะภากร”
ทั้งสองจึงค่อยๆแยกออกจากกัน
“ทำไมทำอย่างนี้กับน้อง” ผู้เป็นมารดาถามเสียงขุ่น
“เราจะแต่งงานกันเดือนหน้านี้แล้วนะแม่”
“อีกตั้งเดือนนึง ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ...และไอ้ที่แม่เห็นอยู่นี่คือการปลุกปล้ำนะ...คนรักกันเขาทำกันอย่างนี้เหรอ...ขอโทษน้องซะลูก”
ภากรนิ่ง ดื้อ
“แม่บอกให้ขอโทษน้องไง...ถ้าวันนี้ภากรยังกล้ารังแกน้องอย่างนี้ แล้วแต่งงานกันไป เราจะรังแกน้องอีกแค่ไหน...แม่ไม่ยอมนะลูก ขอโทษน้องซะ”
ภากรไม่มีทางเลี่ยงได้อีก
“ขอโทษนะอ้อ พี่ทำไปเพราะพี่รักอ้อ พี่ต้องการแต่งงานกับอ้อ...พี่จะไม่มีวันยอมเสียอ้อไปให้กับไอ้ราชนั่นเป็นอันขาด...จำไว้”
ภากรเดินออกไป คุณหญิงอำภาหันไปหาอมาวสี ถามหลานสาวด้วยความสนใจ
“เรื่องนี้เกี่ยวกับ นายราชด้วยเหรอ อ้อ”
“ค่ะ”
คุณหญิงอำภาอึ้ง ไม่อยากเชื่อ “ราช รัชภูมิเนี่ยนะ”
“ค่ะคุณป้า”

ชายผู้ถูกพาดพิงถึง ราช รัชภูมินั่งเหม่อลอยกลางร้านอาหารสวย สักพัก ชิดชไมเดินเข้าเฟรมมานั่งข้างๆ
“รอแคลร์นานมั้ยคะ”
“สบายมาก วันนี้ผมว่างอยู่แล้ว”
“แหม...เลือกว่างวันที่แคลร์มีประชุมทั้งวันเลยนะ”
“แต่ก็ยังแวบมาทานข้าวกับผมได้ก็โอเคแล้วครับ”
ชิดชไมยิ้มหวานให้ราช

คุณหญิงอำภา และอมาวสีนั่งใกล้กันในมุมสงบร่มรื่นของบ้าน คุณหญิงเป็นผู้เอ่ยปากก่อน
“อ้อจดทะเบียนสมรสกับนายราชจริงๆเหรอลูก”
อมาวสีอึกอัก ไม่กล้าโกหกคุณป้า
“เอ้อ”
“หรือแค่รักกันเฉยๆ”
“ค่ะ”
“รักเขามากเหรอ นายราชน่ะ...เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่เหรอ ภากรลูกป้าไม่ดีตรงไหน”
“เอ้อ...”
“บอกมาให้หมดเถอะ ป้าไม่โกรธหรอก”
อมาวสีตัดสินใจพูดความจริง
“กับคุณภากร อ้อเคารพเหมือนพี่ชาย...คุณภากรเคยแกล้งอ้อก็หลายครั้ง นับตั้งแต่เด็กๆ จนโตขึ้นมา แต่อ้อก็ไม่เคยโกรธ อ้อถือว่าคุณภากรเป็นลูกชายของผู้ที่มีบุญคุณกับอ้อ”
“ป้าเข้าใจ...แล้วนายราชล่ะ”
“คุณราช...แม้จะเพิ่งได้รู้จักกันไม่นานนัก แต่อ้อรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับเขามานานแสนนาน ยิ่งเวลาที่สบตากับเขา เขาช่างเหมือน...” อมาวสีค้างคำ
“เหมือนอะไร”
“เหมือนคนที่อ้อคิดถึงอยู่ตลอดเวลา”
คุณหญิงอำภาคาดคั้นด้วยความอยากรู้ “เหมือนใคร”
“เหมือนพี่ภาคย์ค่ะ...หนูรู้สึกตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆเขา ว่าเขาคือพี่ภาคย์ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับก็ตาม”
“ความรักก็อย่างนี้แหละ มักจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่เราคาดไม่ถึงได้เสมอ...ป้าเข้าใจจ้ะ”
“แล้วอ้อควรจะทำยังไงดีคะ”
ตุณหญิงอำภาค่อยๆใช้เวลาใคร่ครวญ
“อ้อรู้ค่ะ ว่าเรื่องระหว่างอ้อกับคุณราชคงไม่ใช่เรื่องที่ถูก...คุณป้ากับคุณลุงก็อาจจะไม่เชื่อที่อ้อพูด...แต่เรื่องที่อ้อไม่ได้รักคุณภากรแบบที่จะยอมแต่งงานด้วย เป็นเรื่องจริงนะคะ...อ้อขอความกรุณาคุณป้าได้มั้ยคะ”
“เรื่องบางเรื่อง คุณลุงเขาไม่ฟังป้าหรอก หนึ่งในบางเรื่องนั้นก็คือเรื่องนี้น่ะละ...แต่ป้าจะลองพยายามดู...ถ้าอ้อจะยอมช่วยป้าเรื่องนึง”

อมาวสีมองหน้าคุณหญิงอำภา...จดจ่อรอฟังอย่างตั้งใจ

อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น