อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 35
โต๊ะอาหารค่ำนั้นถูกจัดอย่างหรูหรา สันทนากับเฉิดฉวียิ้มแย้มคุยกับหญิงจิ๋มและปวุติอย่างเป็นมิตร หญิงจิ๋มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คิดว่าสองผัวเมียทอดไมตรีให้ตนและสามี
“ตกลงท่านว่ายังไงบ้างคะ เรื่องที่จะเรียนเชิญให้มาเป็นหุ้นส่วน บริษัทรับเหมาก่อสร้าง”
“คุณหญิงมาผิดจังหวะไปหน่อยครับ ท่านไม่สบาย เข้าโรงพยาบาล ผมเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกับท่าน”
“แหม ถ้าชักช้าเราจะเข้าประมูลไม่ทันนะครับ... นอกจากว่า ท่านสันทนาจะลงมาเล่นแทนไปก่อน” ปวุฒิว่า
สันทนายิ้มแย้ม “เอาซีครับ” หญิงจิ๋มกับปวุติดีใจ เหลือเชื่อตื่นเต้นรอฟัง “จะให้ผมช่วยยังไงก็บอกผมยินดีช่วยเต็มที่... แต่มีข้อแม้นะ”
“ว่ามาเลยค่ะ ท่าน” คุณหญิงระรื่น
สันทนามองหน้าเฉิดฉวีบอกให้พูด
“คือฉันน่ะ อยากให้คุณชายรวี น้องชายเธอ มาแต่งงานกับยัยแหวว ลูกสาวฉันถ้าทำได้ .. แค่ประมูลทำสนามบินน่ะ เรื่องเล็ก” แล้วหันมาทางสามี “จริงไหมคะ”
สันทนายิ้มรับ หญิงจิ๋มยังงงๆ แต่ปวุติตาวาว
วันต่อมาชายรวีต้องแปลกใจมากที่หญิงจิ๋มกับปวุฒิ แวะมาหาถึงห้องทำงานที่กระทรวงยุติธรรม และพูดเรื่องแต่งงาน
“อะไรนะครับ แต่งงาน! ผมเพิ่งเคยเจอคุณแหววในงานเลี้ยง แค่ครั้งเดียวเองนะครับ พี่หญิง”
หญิงจิ๋มหว่านล้อมเสียงหวาน
“แหม ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วจ้ะ น้องชายของพี่ออกจะดีพร้อมไปทุกด้านขนาดนี้ ยัยคุณหญิงเฉิดฉวีเห็นแค่ครั้งเดียว ก็อยากได้ชายไปเป็นเขยขวัญจนตัวสั่น”
“ผมว่ามันตลกไปหน่อยนะครับ คุณแหววแกคงไม่เล่นด้วยหรอกกระมัง สาวหัวนอกขนาดนั้น”
“วุ้ย เขาแม่กันลูกกัน ถ้ายัยแหววไม่เต็มใจ ยัยคุณหญิงเฉิดจะกล้ามาพูดหรือ” คุณหญิงเกลี้ยกล่อมต่อ “ยัยเฉิดเขาบอกว่าท่านสันทนาห่วงลูกสาว ทั้งสวย ทั้งรวย ก็มีแต่ผู้ชายมาเกาะแกะ เขาก็อยากให้มีสามีดีๆ ให้หมดห่วงไป”
ปวุติลุกขึ้นมาช่วยหว่านล้อม “สมกันดีออกครับ คุณชาย อย่างที่โบราณเค้าว่า... เจ้ามีสิน พี่มีศักดิ์”
“แต่ผมไม่ได้รักเธอ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ชายรวีปฏิเสธนิ่มๆ
หญิงจิ๋มเซ็ง ปวุติเลยงัดไม้แข็งขึ้นมาพูดจริงจัง
“ความรักมันก็เกิดได้จากหลายสาเหตุนะครับ คุณชาย ผมพูดตรงๆ ตอนนี้ท่านนายพลสันทนาพ่อของคุณแหวว เป็นคนเดียว ที่จะช่วยคุณชายได้ ถ้าหากคุณชายคิดจะรักษาวังรวีวารเอาไว้”
ชายรวีชะงักกึก ฉุนนิดๆ นึกไม่ถึงว่าปวุติจะพูดแบบนี้
“หม่อมแม่รักวังรวีวารขนาดไหน ที่ยอมตัดใจเอาวังไปจำนอง เพราะจะหาเงินส่งเธอไปเรียนต่อ แล้วเธอจะนั่งดูดาย ปล่อยให้วังหลุดจำนองไป โดยไม่ทำอะไรเลยหรือ ชายรวี”
เจอไม้นี้เข้า ชายรวีถึงกับอึ้ง นิ่งงันไป ลังเลใจ
เย็นนั้นชายรวี กับหญิงศุภลักษณ์นั่งคุยกันอยู่ในสวนสวย ตำหนักขาว หญิงศุภลักษณ์ยืนยันหนักแน่น หักล้างคำพูดสองผัวเมีย
“ไม่จริง ตอนนั้นหญิงจิ๋มยังเด็กจะไปรู้เรื่องอะไร... พี่ยืนยันได้ เสด็จย่าประทานเงินให้เป็นทุนการศึกษาของเธอ เงินที่เธอใช้ ไม่ได้มาจากการเอาวังไปจำนอง”
“แต่ถ้าไม่ต้องส่งเสียผม หม่อมแม่ก็อาจจะเก็บเงินก้อนนั้นไว้ใช้จ่าย ไม่ต้องเอาวังรวีวารไปเข้าธนาคาร”
“แต่การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่นะ ชายรวี พี่ไม่เห็นด้วยเลย ถ้าชายจะสละชีวิตทั้งชีวิต เพื่อเอาวังรวีวารคืนมาให้หม่อมแม่”
ชายรวีคิดหนัก หญิงศุภลักษณ์พูดจริงจัง
“พี่เป็นแม่ พี่ถึงพูดได้ .. สำหรับแม่ ความสุขของลูกเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด”
“แต่พี่หญิงครับ สำหรับลูก ความสุขของแม่ ก็สำคัญที่สุดเหมือนกันนะครับ”
เห็นชายรวีไม่ได้ไปสอนที่จุฬาฯ หลายวันชายสว่างจึงแวะมาหาถึงที่ทำงาน ใจสว่างอยู่ในชุดนิสิต และลงนั่งตรงหน้าชายรวี
“หนูไปด้อมๆ มองๆ อยู่ตั้งหลายวัน อาจารย์ไม่ได้ไปสอนพิเศษแล้วหรือคะ”
“พอดีตอนนี้ที่บ้านผมมีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย ว่าแต่คุณไปหาผมทำไม มีธุระอะไรหรือ”
“คุณป้าอุษาเป็นห่วงพี่โสภิตมากค่ะ แต่คุณป้าไม่ให้หนูบอกอาจารย์ เกรงใจ” นิสิตสาวอมยิ้ม “แต่หนูอดไม่ได้... อาจารย์คงไม่ว่าหนูจุ้นจ้านนะคะ”
ชายรวีมองใจสว่างอย่างเอ็นดู
ชายรวีเป็นห่วงสาจึงรีบมาหาที่ร้านเสริมสวย นั่งคุยกับเพ็ญศรี โดยเพ็ญศรีแอบเล่าให้ฟัง เห็นชมทำงานอยู่ห่างๆ
“โอ้ย ไม่ไหวเลยค่ะ งานการไม่ทำ ข้าวปลาไม่กิน วันๆ เอาแต่นั่งซึม เผลอๆ ก็ร้องไห้”
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ค่ะ ฉันก็เป็นห่วง กลัวว่าคุณสาจะเป็นอะไรไป ก็ดีแล้วล่ะค่ะ ที่หนูใจไปตามคุณชายมา น่าจะทำให้คุณสาแกสดใสขึ้นบ้าง... คุณสาแกรักคุณชายจริงๆ นะคะ แปลกจัง ฉันไม่เห็นแกรักใครมากขนาดนี้เลยนอกจากโสภิตพิไล”
ใจสว่างประคองสามานั่ง สาปล่อยตัว ผมเผ้าปล่อยยาว ไม่แต่งหน้า ดูเศร้า และทุกข์หนัก
“ฉันพยายามทุกทางแล้วค่ะ ไม่ได้ข่าวแกเลย เป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้ท่านนายพลสันทนาก็หายหน้าไป ฉันจะไปหา ก็กลัวจะเป็นเรื่อง... ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ค่ะ คุณชาย”
“ท่านนายพลสันทนารู้ใช่ไหมครับ ว่าโสภิตอยู่ที่ไหน”
“ค่ะ ท่านให้คุณสันทนาเป็นคนดูแลโสภิต”
ชายรวีคิดๆ แล้วยิ้มออกมา “ขอผมใช้โทรศัพท์หน่อยนะครับ”
ชายรวีหมุนโทรศัพท์ สากับใจสว่างเฝ้าดูอยู่อย่างตื่นเต้น
“สวัสดีครับ ผมรวีช่วงโชตินะครับ ผมอยากเรียนสายกับท่านนายพลสันทนา”
เช้าวันต่อมา ขณะที่เฉิดฉวีกำลังคุมสาวใช้จัดโต๊ะอาหารเช้า สันทนาอารมณ์ดี เดินผิวปากเข้ามา
“ยัยแหววล่ะ น้อง”
แหววเดินหน้างอเข้ามา มีสาวใช้อีกคนประกบมา
“มาแล้วค่ะ”
“มา นั่งๆๆๆ วันนี้พ่อให้ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน เพราะจะบอกเรื่องสำคัญวันนี้ พ่อเชิญคุณชายรวีมากินข้าวเย็นที่บ้านเรา” นายพลโทผู้เป็นบิดายิ้มอวดๆ
เฉิดฉวีตาโต ดีใจ “จริงหรือคะ”
แหววค่อนแคะ “กะอีแค่คุณชายหินอ่อนมากินข้าว ทำไมจะต้องตื่นเต้น”
สันทนาหุบยิ้ม เฉิดฉวีหันไปพูดกับแหวว
“ตื่นเต้นสิแกยิ่งต้องตื่นเต้นมากกว่าใครทั้งนั้น... คืนนี้ แม่ขอสั่งเลยนะแกต้องแต่งตัวสวยๆ พูดเพราะๆ ยิ้มหวานๆ ทำตัวให้ดี..เพราะคุณชายรวี คือทางออกทางเดียวของแก เข้าใจไหม”
แหววพยักหน้าอย่างจำใจ เฉิดฉวีค้อนควักลูกสาวแสบ
หลังเลิกงานเย็นวันนั้นชายรวีเดินเข้ามาในบ้าน สันทนายิ้มร่า เดินออกมารับอย่างร่าเริง
“สวัสดีครับ ท่านนายพลสันทนา” ชายรวีไหว้นอบน้อม
“แหม เรียกอะไรเต็มยศขนาดนั้น” นายพลโอบไหล่คุณชาย “มา เชิญๆๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ” แล้วพาเดินไปด้านใน “วันนี้คุณหญิงเขาลงครัวเองเชียวนะ...ไม่รู้จะกินได้หรือเปล่า”
แหววแต่งตัวสวยจัด เดินกรายโฉมออกมา ยิ้มโปรยเสน่ห์
“แหม คุณพ่อพูดอย่างนี้ คุณแม่ได้ยินเสียใจแย่”
“สวัสดีครับ คุณแหวว”
“สวัสดีค่ะ คุณชาย”
“แหววมาก็ดีแล้ว ลูก ช่วยพาคุณชายไปหาอะไรดื่มก่อน เดี๋ยวพ่อจะไปดูแม่เขาหน่อยว่าทำอะไรไปถึงไหนแล้ว”
แหววคล้องแขนชายรวี โดยถือสนิท นำเดินไป
“ไปนั่งทางโน้นดีกว่าค่ะ คุณชาย ลมเย็นดี”
สันทนากับเฉิดฉวีแอบดูแหววหว่านเสน่ห์ใส่ชายรวี อยู่อีกมุม
“ท่าทางเป็นผู้ดี๊ผู้ดีนะคะ ดูดี มีชาติตระกูล สมกับลูกเรา”
“มีความสามารถด้วย ผู้ใหญ่ชมกันทั้งกระทรวงว่าเก่ง อนาคตไกลแน่ๆ”
“ทั้งเก่ง ทั้งดี อย่างนี้ต้องเอาให้ได้นะคะ”
ยามเย็นที่ตำหนักขาว พุดตักข้าวให้หม่อมพริ้ม มีหญิงโศภีนั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อน
“ชายรวีไปไหนคะ หม่อมแม่ ไม่ยักกลับมารับประทานข้าวบ้าน”
“เห็นว่าไปกินเลี้ยงที่บ้านไหนนี่ล่ะ”
หญิงโศภีนึกห่วง “หญิงจ้อยก็เดินทางบ่อย ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน ถ้าชายรวีรีบแต่งงานก็ดีหม่อมแม่จะได้ไม่เหงา”
“เรื่องแต่งงาน แม่ก็เคยถามเขาเหมือนกัน ก็ไม่เห็นเขาจะมีใคร” หม่อมเยื้อนยิ้ม “คงยังไม่เจอเนื้อคู่กระมัง”
ที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำบ้านสันทนา แหววเอาอกเอาใจชายรวี ตักอาหารให้อย่างน่ารัก
“แกงนพเก้ารสชาติเป็นยังไงบ้างคะ คุณชาย พอจะเทียบวังรวีวารได้บ้างไหม” เฉิดฉวีฉอเลาะ
ชายรวีตอบตามมารยาท “อร่อยมากครับ”
“บ้านที่คุณชายอยู่ เรียกว่าวังรวีวารหรือคะ” แหววถาม
“มิได้ครับ... หม่อมแม่พาผมย้ายออกมาอยู่ที่ใหม่ตั้งนานแล้ว เราเรียกว่าบ้านรวีวาร เพราะไม่มีเจ้านายประทับอยู่ คงเรียกว่าวังไม่ได้”
“ตอนเด็กๆ ดิฉันเคยตามคุณหญิงจิ๋มเข้าไปที่วังรวีวารหนสองหน จำได้ว่าสวยงาม กว้างขวางมากเลยนะคะ” เฉิดฉวีพูดเอาใจ
ชายรวีเศร้า แววตาหมองหม่นลงนิดหนึ่ง “ครับ วังรวีวารเป็นที่ที่สวยงามมาก...แล้วก็ใหญ่โตกว้างขวางมากจริงๆ”
สันทนาเตรียมเข้าเรื่อง “เฮ้อ ไอ้การจะบำรุงรักษาสมบัติเก่าแก่อย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ คุณชายมันก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง”
“จริงครับ”
“ก็เพราะอย่างนั้น ผมเลยอยากจะคุยกับคุณชาย อยากหารืออะไรเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
“ผมก็มีเรื่องอยากจะหารือกับท่านเหมือนกันครับ”
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 35 (ต่อ)
หลังอาหารมื้อค่ำ สันทนากับชายรวีนั่งคุยกันในห้องมิดชิด เป็นห้องทำงานที่บ้านนายพลโทคนดัง
“ผมมีข้อเสนอ... ผมจะรับเป็นคนไปปลดจำนองวังรวีวารให้ แล้วผมจะมอบวังรวีวาร ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานระหว่างคุณชายกับยัยแหวว”
“มันเป็นเงินก้อนใหญ่อยู่นะครับ ท่าน ผมยังนึกไม่ออก ว่าท่านจะได้อะไร”
“ผมได้ผู้ชายดีๆ คนนึง มาดูแลยัยแหววแทนผม ส่วนคุณชาย ก็ได้วังเก่าของท่านพ่อคืนไปถึงแม้มันจะกลายเป็นสินสมรส แต่เรือล่มในหนอง ทองมันจะไปไหน จริงไหม”
“เท่านี้เองหรือครับ”
สันทนางง “เท่านี้... คุณชายว่ายังไง”
“ผมอาจจะมีความต้องการที่มากเกินไปสักหน่อย...ในฐานะของทายาทผู้สืบสกุล ผมต้องการรักษาวังรวีวารเอาไว้ แต่ในฐานะของพี่ชาย ถึงแม้ผมกับโสภิตพิไลจะคนละแม่ แต่ผมก็ไม่อยากให้โสภิต ต้องไปเป็นเมียเก็บของใคร”
“ถ้าจะขอให้เอาตัวโสภิตพิไลคืนมา บอกเลยนะ ว่าผมให้ไม่ได้”
“แต่คุณเป็นมือขวาของ “ท่าน” ตอนนี้ท่านก็ป่วยหนัก ผมเชื่อว่าคุณสันทนาน่าจะหว่านล้อมให้ท่านรามือจากโสภิตพิไลได้”
สันทนาพยักหน้า “อึมม์ ก็น่าคิด”
“ถ้าหากท่านตกลง ผมก็จะแต่งงานกับคุณแหวว... ท่านจะว่ายังไงครับ”
สันทนาครุ่นคิดตรึกตรอง ชั่งน้ำหนักดูว่าตัวเองได้เสียอะไร
สาเคาะประตูห้องพัก รังรักในโรงแรมเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป ท่าทางตื่นเต้น สาเดินเข้าไป สันทนาก็ถลาเข้ามากอดอย่างกระหาย
“ไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึงเหลือเกิน”
“คุณไม่ยอมเจอฉันเองนี่คะ” ผละตัวออก ต่อว่า “ไม่ยอมมาหา ไม่ยอมมาคุย ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันกลุ้มใจ มีเรื่องอยากถามท่านสารพัด”
สันทนาเดินหนีไปทิ้งตัวลงบนเตียง
“นี่ไง ไม่อยากเจอเพราะอย่างนี้ไง มันจะมีแต่เรื่องน่าเบื่อ” สาลงมานั่งข้างๆ ทำท่าจะเซ้าซี้ต่อ สันทนายกมือห้าม “โอเคๆ ไม่ต้องพูดแล้ว วันนี้คุณชายรวีเขาก็เพิ่งมาขอร้องผม ให้ช่วยโสภิต”
สาดีใจนัก “แล้วคุณว่ายังไงคะ”
สันทนาบอกท่าทีจริงใจ “ก็อาจจะช่วย” สาตาวาว “แต่ตอนนี้อาการท่านไม่ค่อยดี ยังไม่อยากเอาเรื่องนี้ไปกวนใจท่าน” สาขยับจะพูด สันทนาเอามือแตะปากห้าม “พอทีขี้เกียจพูดแล้ว ทำอย่างอื่นกันดีกว่า”
สาโผเข้ากอดสันทนา ออเซาะ “ฉันอยากเจอโสภิต ได้ไหมคะ”
“ได้คืบจะเอาศอก”
“นะคะ”
“ถ้าอารมณ์ดี อาจจะพาไป”
สาพุ่งเข้าหาตะโบมจูบสันทนาทันที แล้วดันตัวให้นอนลงไป
สันทนากลับบ้านในชุดเดิม เดินเข้าบ้านมาในตอนเช้า เฉิดฉวีที่นอนหลับคาอยู่ที่โซฟา ลุกพรวดขึ้นมา
“เมื่อก่อนกลับดึก เดี๋ยวนี้ถึงขั้นกลับเช้า อีกหน่อยก็ไปเช่าบ้านอยู่กับมันเลยดีไหมคะ”
“ก็ดีนะ ขอบใจที่น้องแนะนำ พี่จะลองเก็บไปคิดดู”
สันทนายั่ว แล้วเดินขึ้นไป จะไปอาบน้ำ เฉิดฉวีจี๊ด วิ่งตามไปหาเรื่อง
“นี่เอาจริงเหรอคะ คิดจะไปอยู่กับมันเหรอ นี่รักมันหลงมันขนาดนี้เลยเหรอ”
“ยัง! น้องเป็นคนเริ่มเรื่องเอง แล้วจะมาโวยวายทำไม... นี่ หยุดบ่นได้แล้วนะถ้าว่าง ก็ไปเตรียมตัวจัดงานแต่งงานให้ยัยแหววดีกว่า”
“หา” เฉิดฉวีดีใจ “นี่แปลว่า สำเร็จแล้วหรือคะ”
สันทนาพยักหน้า “ไปหาฤกษ์หายามมาซะ ยิ่งเร็วยิ่งดี ก่อนที่เรื่องมันจะแดงโร่ออกมา”
เฉิดฉวีดีใจ “จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ค่ะ” คุณหญิงบ่าวตั้งวิ่งไป ร้องไป “แหววยัยแหวว ข่าวดีลูกข่าวดี”
ชายรวีบอกกับหม่อมพริ้มในตอนเช้า ก่อนไปทำงาน
หม่อมพริ้มแปลกใจ แต่ก็ฟังนิ่งๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน “ทำไมอยู่ดีๆ จะแต่งงาน”
“ผมคิดดูแล้วครับ หม่อมแม่ ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสม”
“แต่งกับใครลูกเต้าเหล่าใคร”
“ชื่อคุณแหวว สวาทโฉม ลูกสาวของพลโทสันทนาครับ”
หม่อมพริ้มเริ่มเข้าใจ “คนที่จับโสภิตไปน่ะรึ”
“ครับ”
หม่อมพริ้มนั่งนิ่งไปอึดใจ
“หม่อมแม่ครับ”
หม่อมยิ้มบางๆ “ชายคิดดีแล้วใช่ไหม ถ้าคิดดีแล้วก็ทำเถอะ... แม่มันแก่แล้ว อนาคตมันเป็นเรื่องของหนุ่มสาว... แม่เชื่อว่าชายเป็นคนถี่ถ้วน ถ้าชายคิดว่าสมควรทำมันก็คงสมควรทำ”
“ครับ หม่อมแม่”
“ชายเป็นคนดีคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอกลูก... แม่เชื่ออย่างนั้นนะ”
ชายรวีสวมกอดประมุขรวีวารผู้เข้าใจว่าเป็นมารดา
หม่อมพริ้มรู้ว่าชายรวีเสียสละยอมทำเพื่อคนอื่น ตื้นตันจนน้ำตาซึม
งานแต่งถูกเตรียมการและกำหนดวันจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน เช้าวันนี้ แหววยืนทำหน้าเบื่อๆ ให้ช่างเสื้อวัดตัวอย่างละเอียดอยู่ที่บ้าน เพื่อเตรียมตัดชุดแต่งงาน มีเฉิดฉวีกำชับอยู่ข้างๆ
“คุณศรีเร่งมือให้หน่อยนะ ฉันจะรีบใช้”
“ไม่ทราบจะทันหรือเปล่านะคะ คุณหญิงขา ไหนจะชุดหมั้น ชุดรดน้ำ ชุดกินเลี้ยงอีก” ศรีบ่น
“ยังไงก็ต้องทัน... คุณศรีหาช่างมาเพิ่มอีกก็ได้ ฉันจ่ายไม่อั้น”
แหววที่ยืนรออยู่รำคาญ โพล่งขึ้นมา
“ไม่ทันก็ไม่ต้องตัดหรอกค่ะ คุณแม่ แหววใส่อะไรก็ได้”
เฉิดฉวีแว้ดใส่ “เอ๊ะ ยัยแหววนี่... งานแต่งงานทั้งที”
“เห็นยุ่งยากนัก” แหววหันไปบ่นกับศรี “แล้วนี่วัดเสร็จหรือยังคะ”
“ค่ะๆ อีกนิดเดียวค่ะ”
ช่างเสื้อวัดที่เอวของแหวว แล้วอดไม่ได้ พูดขึ้น
“อุ๊ย เอวยี่สิบหกครึ่ง .. คุณแหววสมบูรณ์ขึ้นเยอะนะคะ ไปทำอะไรมาคะ”
แหววชักสีหน้า “พอเถอะค่ะ ไม่ต้องวัดแล้ว รำคาญ”
แหววดึงสายวัดออกจากตัว แล้วเดินหนีไป ช่างอ้าปากค้าง เฉิดฉวีขัดใจ”
ต่อมา แหววเดินเข้ามาทิ้งตัวลงเตียง เบื่อ เซ็ง เฉิดฉวีเดินตามมาตำหนิ
“ยัยแหววช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม ที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่นี่มันงานแต่งงานของแกเองแท้ๆ นะ”
“แต่คุณพ่อกับคุณแม่เป็นคนอยากจัด ก็ทำกันเองสิคะแหววยอมแต่งกับผู้ชายที่นิ่งเป็นเสาหินอย่างนั้น แหววก็เสียสละมากพอแล้ว”
เฉิดฉวีฉุน ค้อนควัก “ย่ะไม่ชอบแบบนี้ แล้วชอบแบบไหน ไอ้จิ๊กโกโล่ที่ทำแกท้องแล้วไม่รับผิดชอบอย่างไอ้ศิวพจน์น่ะเหรอ”
แหววเถียงไม่ออก เมินหน้าหนี
“คุณชายรวีช่วงโชติเป็นคนดี หน้าที่การงานดี ชาติตระกูลก็ดี ผู้ชายแบบนี้แกจะไปหาที่ไหนได้”
แหววประชดอย่างรู้ทัน “แล้วคุณพ่อจ้างเขาไปเท่าไหร่ล่ะคะ ให้มาแต่งกับแหววเนี่ย” เฉิดฉวีตาโต ตกใจ “อย่านึกว่าแหววไม่รู้นะ” หญิงสาวทิ้งตัวลงนอน “ทั้งเขาทั้งแหวว รักกันที่ไหน จะจัดงานใหญ่โตทำไม แค่จดทะเบียนสมรสก็พอแล้ว ไม่ต้องเชิญแขกเลยยังได้ .. แหววขี้เกียจ เบื่อ”
พูดจบแหววก็เอาผ้าห่มคลุมหัว หนีปัญหา เฉิดฉวีเซ็ง
สันทนารู้เรื่องบอกกับเฉิดฉวีอย่างไม่สนใจนัก
“ก็ตามใจซี… จัดงานเล็กก็ดีเหมือนกัน จัดงานใหญ่ คนก็มาเยอะถ้าเจ้าสาวเกิดโอ้กอ้ากขึ้นมา คนได้ลือกันอื้อฉาวทั้งเมือง”
เฉิดฉวีไม่พอใจ
“แต่ แหม ลูกสาวนายพลสันทนาแต่งงานทั้งที กลับจัดงานเล็กๆ คนไม่ยิ่งสงสัยหรือคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่จะอ้างว่าท่านกำลังไม่สบาย พี่เห็นแก่ท่าน เลยไม่อยากจัดงานใหญ่”
เฉิดฉวีไม่เห็นด้วย “แหม มาอ้างว่าเห็นแก่ท่าน ไม่อยากจัดงานใหญ่...ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องรีบจัดงานล่ะค่ะ คุณพี่ ...ถ้าใครถามจะให้ตอบว่ายังไง”
สันทนาคิดตาม “เออจริง”
ฟากหม่อมพริ้มและลูกๆ คุณหญิงทั้ง 4 รวมทั้งชายรวี นั่งหารือกันเรื่องงานแต่งงานชายรวี หญิงจิ๋มออกโรงเจ้ากี้เจ้าการตามเคย
“คุณหญิงเฉิดเขาว่า เขาไปดูฤกษ์ดูยามมาค่ะ หม่อมแม่ ตลอดทั้งปี เขาว่ามีวันดีอยู่วันเดียวเองก็เลยอยากจะขอให้หมั้นแล้วก็แต่งในวันเดียวเลย”
หญิงจ้อยประชด “รวดเร็วดีแท้ อย่างกับกลัวเจ้าบ่าวจะเปลี่ยนใจ”
หญิงจิ๋มถลึงตาใส่ ชายรวีพูดขัดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“จะช้าจะเร็วก็เหมือนกันแหละครับ ไม่เป็นไร ทางผมเป็นผู้ชาย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก”
หม่อมพริ้มถามหญิงจิ๋มเนือยๆ “แล้วฤกษ์ที่ว่ามันเมื่อไหร่ล่ะ”
“สิ้นเดือนนี้ค่ะ หม่อมแม่” หญิงจิ๋มยิ้มเขินๆ “อีกสิบห้าวัน”
“หา”
หม่อมพริ้มและทุกๆ คนตกใจ อุทานออกมาพร้อมกัน
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 35 (ต่อ)
จวน หวน และพุด จับกลุ่มสนทนากันอยู่ในครัว ทุกคนรู้เรื่องหมั้นต่างตกใจ โดยเฉพาะจวน
“อีกสิบห้าวัน! บ๊ะ ทำไมมันปุบปับแบบนี้”
“เห็นคุณหญิงจิ๋มเธอว่า มีฤกษ์ดีอยู่วันเดียวเลยต้องรีบแต่ง” หวนว่า
จวนตั้งข้อสังเกต “เออ ถ้าเป็นคนอื่น ข้าก็จะแอบสงสัยนะ ว่าผู้ชายไปทำเขาท้องหรือเปล่า ถึงต้องรีบร้อนแต่ง แต่นี่เป็นคุณชายของเรา”
“คุณชายไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก น้าจวน” พูดบอก
“ก็นั่นน่ะสิวะ ข้าเลยไม่กล้าสงสัย” จวนว่า
“น้าก็คิดอกุศลไป มันอาจจะไม่มีฤกษ์จริงๆ อย่างที่ว่าก็ได้นี่นา”
เย็นวันหนึ่ง สาตกใจ ร้องแหวขึ้นมา “อะไรนะ คุณชมจะลาออก!”
“ฮ่ะ”
“ทำไมล่ะคะ เพราะอะไรคะ” เพ็ญศรีงง
ชมอึกอักครู่หนึ่ง “คือว่า .. คุณหญิงเฉิดฉวีแกบอกว่า ทำผมกับใครก็ไม่ถูกใจเหมือนทำกับชม แต่แกไม่อยากมาที่นี่ แกก็เลยจะลงทุนเปิดร้านใหม่ให้”
สาไม่พอใจ “คุณชมก็เลยจะทิ้งฉัน”
“แหม เงินทองมันไม่เข้าใครออกใครนะฮะ คุณสา”
เพ็ญศรีเสียงเขียว “แล้วจะไปเมื่อไหร่”
“วันนี้ฮ่ะ”
สากะเพ็ญศรีตกใจ อุทานลั่นพร้อมกัน “ห๊ะ! วันนี้”
“คุณหญิงเฉิดฉวี เธออยากให้ไปออกแบบทรงผมให้ลูกสาวเธอน่ะฮ่ะคุณแหววเธอกำลังจะแต่งงาน”
แทบจะทันทีทันใด เพ็ญศรีเอาหวี แปรง กรรไกร ประจำตัวของชมปาใส่กล่อง แล้วเอากล่องปาออกไปหน้าร้านชมวี้ดว้าย
“ไปเลยไป อยากไปก็ไปเลย”
สาผลักชมตามออกไปตะเพิด “ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาเลยนะ”
ชมโกรธ หันมาแดกดัน “อ๋อ ไม่กลับหรอกฮ่ะ ไม่ต้องห่วง ยังไง หลวง มันก็ต้องดีกว่า...น้อย”
“นังนี่” สาเงื้อมือ “ตบซักทีดีไหม”
เพ็ญศรีคว้าตัวสาไว้
“อย่าค่ะ คุณสา คนพรรค์นี้อย่าไปตบให้เสียมือเลย” เพ็ญศรีไล่ส่ง “จะไปก็ไปซี จะมายืนเกะกะอยู่ทำไม”
“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะฮ่ะ ไม่ต้องมาไล่” ชมเก็บของ สะบัดหน้าเดินไป แล้วนึกขึ้นได้ หันมา
“อ้อ จะบอกอะไรให้เอาบุญนะฮะ .. รู้ไหมว่าคุณแหววเธอจะแต่งงานกับใคร” ชมยิ้มเยาะ “เจ้าบ่าวของเธอคือคุณชายรวีช่วงโชติ สุดที่รักของคุณสานั่นแหละฮ่ะ”
ชมสะบัดก้นออกไป สาตะลึง
ตอนเย็นวันนั้น สาทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนล้า ปรับทุกข์กับเพ็ญศรี
“เป็นไปได้ยังไง คุณชายจะแต่งกับคุณสาวคุณหญิงเฉิดฉวี”
เพ็ญศรีส่ายหัว “น่าเสียดายคุณชายรวี แค่เจอครั้งเดียวฉันก็รู้ ยัยคุณแหววอะไรนั่นไม่ใช่คนดีแน่”
สาคาใจมาก “แปลกจริง หม่อมท่านทั้งรักทั้งหวงคุณชาย ทำไมท่านยอมให้แต่งกันง่ายๆ”
“เออ จริงสิ ไม่เคยเห็นได้ข่าวว่าคบหากัน จู่ๆ ก็แต่งงานปุบปับ...มันน่าสงสัยเหมือนกันนะคะ คุณสา”
ที่ตำหนักขาวอีกวันหนึ่ง หม่อมพริ้มคุมบ่าวไพร่ให้เอาพานขนาดต่างๆ ออกมาขัดจนวาววับ เตรียมทำพานขันหมาก
จวนบ่นบ้าตามประสา “มีเวลาเตรียมตัวสิบกว่าวัน ไหนจะพานขันหมากไหนจะขะหนมขะต้มแล้วยังผ้านุ่งผ้าห่มอีก นี่ทางฝ่ายหญิงเขาเตรียมกันทันหรือเจ้าคะ”
“มีเงินก็เนรมิตได้ทุกอย่างแหละ นังจวน” หม่อมว่า
พุดเข้ามาหา “หม่อมขา อีสามาแล้วค่ะ”
หม่อมพริ้มและคนอื่นๆ หันมา สาเข้ามาหมอบกราบเรียบร้อย
“อีสา ข้ากำลังคิดว่าจะให้หวนมันไปหาเอ็งอยู่พอดี”
“หม่อมมีธุระอะไรจะใช้สาหรือคะ”
“ก็แค่จะบอกข่าว…ชายรวีเขาจะแต่งงานแล้วนะ”
“ที่สามาก็เพราะเรื่องนี้ล่ะค่ะ หม่อม” สามีน้ำเสียงเดือดเนื้อร้อนใจ “สาเพิ่งได้ยินว่าคุณชายจะแต่งงานกับลูกสาวท่านนายพลสันทนา”
หม่อมพริ้มหน้าหม่นลง ก่อนจะมานั่งอีกมุมเล่าเรื่องให้สาฟัง
“จู่ๆ เขาก็มาบอกว่าตกปากรับคำกับทางนั้นไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้จะว่ายังไง”
“แต่คุณแหววเธอ...” สาฮึดฮัดขัดใจ “ถ้าคนอื่นว่า สาก็จะไม่พูด แต่นี่ก็เจอมากับตัว คุณแหววเธอเป็นคนร้ายกาจมากนะคะ หม่อม เธอกับคุณหญิงเฉิดฉวีแม่ของเธอ ยังเคยไปอาละวาดสาถึงที่บ้าน...”
หม่อมพริ้มเหน็บเอา “ใครใช้ให้เอ็งไปยุ่งกับพ่อเขาเล่า” สาหน้าม้าน หม่อมพริ้มพูดปลงๆ “ตอนนี้ข้าแก่แล้ว ข้าไม่มีปัญญาจะไปคิดแทนใคร ในเมื่อชายรวีเขาตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ข้าก็ได้แต่อวยชัยให้พรไป”
สาไม่เชื่อ “คุณชายเธอชอบคุณแหววหรือคะ หม่อม”
“ชายรวีเขาเป็นคนดี ที่เขาแต่งงานครั้งนี้ ก็หวังจะช่วยโสภิตพิไล” หม่อมหน้าเศร้าลงถนัดตา “ข้าเองก็เสียใจ ที่มันเป็นแบบนี้ แต่มันคงเป็นเวรเป็นกรรมกระมัง จะไปทำอะไรได้”
ฟากใจสว่างในชุดนิสิตเดินมาตามทางในกระทรวงยุติธรรม โดยในมือมีของขวัญกล่องเล็กๆ มาหยุดยืนเคาะประตูห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงชายรวี
“เชิญครับ”
ชายรวีเห็นใจสว่างเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ ก็ดีขึ้น
ชายรวีลุกขึ้นยืน “ใจสว่าง”
ใจสว่างไหว้ “สวัสดีค่ะ อาจารย์หนูมากวนหรือเปล่าคะ”
“ไม่เลยครับ...เชิญนั่งก่อน”
ใจสว่างลงนั่งเรียบร้อย ชายรวีไปนั่งตรงข้าม ใจสว่างบอกเขินๆ
“หนูทราบจากคุณป้าอุษา ว่าอาจารย์กำลังจะแต่งงาน เอ่อหนูเลย...หนูเลยอยากมาอวยพรอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ”
“ขอบคุณมาก ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอกใคร แต่ทางฝ่าย เอ่อ...” คุณชายไม่ชินปาก “เจ้าสาว เขาอยากจัดเงียบๆ”
ใจสว่างยิ้ม “ค่ะ หนูเข้าใจ” พลางวางกล่องของขวัญลงตรงหน้า “หนูขอให้อาจารย์มีความสุขมากๆ นะคะ”
ชายรวีมองใจสว่างอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณมาก” คุณชายลุกขึ้นยืน “วันนี้ผมเสร็จงานเร็ว คุณจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า ผมจะแวะไปส่ง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์”
ชายรวีเยื้อนยิ้ม “วันนี้วันศุกร์ จะหนีเที่ยวล่ะสิ”
“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ พอดีวันนี้หนูจะกลับไปบ้านสวนน่ะค่ะ เค้ามีงานนิดหน่อย”
ชายรวียิ้มๆ สีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
เย็นนั้นชายรวีกับใจสว่างนั่งเรือเมล์มาด้วยกันมาถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง เรือเหหัวเข้าจอด
“ขึ้นตรงนี้ค่ะ อาจารย์”
“เอ๊ะ ผมว่า...”
“ขึ้นตรงนี้ล่ะค่ะ ขึ้นไปก่อน เร็วๆ ค่ะ”
ชายรวีกับใจสว่างขึ้นไป ชายรวีหันมาถาม
“นี่ไม่ใช่ท่าน้ำบ้านป้าแป้นนี่ ผมจำได้”
“นี่บ้านยายปองค่ะ น้องสาวยายแป้น...บ้านนี้เค้ามีงาน ทุกคนเลยมาอยู่ที่นี่”
“อ้าว ตายจริง แล้วคุณไม่บอกก่อน ปล่อยให้ผมตามมา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กันเองทั้งนั้น .. ดีซะอีก อาจารย์ท่าทางเครียดๆ ออกมาพักสมองบ้างจะได้หายเครียด...ไปค่ะ”
ใจสว่างพาชายรวีเดินออกจากท่า พอดีกับปรมัตถ์เดินออกมาในชุดลำลอง
ใจสว่างยิ้มสดใสทัก “พี่ปอ”
“ใจ” ปรมัตถ์เห็นชายรวี ก็แปลกใจปนยินดี ไหว้ทัก “อ้าว อาจารย์...มายังไงครับนี่”
ชายรวีเขินๆ ใจสว่างเลยตอบแทน
“หนูชวนอาจารย์มาเที่ยวบ้านเราค่ะ” ใจสว่างหันมาทางชายรวี “วันนี้วันเกิดพี่ปรมัตถ์ค่ะ พี่ปอเป็นหลานยายปอง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนู”
“มิน่าเล่า...ถึงได้สนิทกัน”
“สนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมถึงกล้าใช้ใจมันเป็นแม่สื่อ แต่ที่ไหนได้” เขาจับหัวใจสว่างเขย่าโยกอย่างสนิทสนม “ไม่ได้เรื่องเลย”
ปรมัตถ์พูดอย่างปล่อยปลง ไม่ได้ขมขื่นอะไรมากนัก ใจสว่างหัวเราะสดใสชายรวีเลยยิ้มออกมาได้
ชายรวีนั่งอยู่กับใจสว่าง ตรงบริเวณที่นั่งเล่นบ้านสวน บรรยากาศร่มรื่นริมน้ำ ปรมัตถ์เอาน้ำมาให้
“นั่งเล่นรับลมตรงนี้ก่อนนะครับ อาจารย์ ในครัวกำลังอลหม่านเลย...แม่ผมผัดเผ็ดควันโขมงไปทั้งบ้านอาจารย์เข้าไปมีหวังนั่งร้องไห้”
“อยู่ใกล้น้ำนี่สบายใจดีจริงๆ นะครับ...มิน่า ใจสว่างถึงได้อารมณ์ดีตลอดเวลา”
“อาจารย์ชอบก็มาบ่อยๆ ได้นะคะ ยายแป้นคงดีใจ แกขี้เหงาน่ะค่ะ หลังๆ ลุงสุขก็ไปขลุกอยู่ที่วัด น้าจรินทร์กับน้าแจ่มศรีก็แต่งงานออกไปหมดแล้ว ไม่ค่อยได้กลับมา คุณป้าอุษากับพี่โสภิตก็...” เด็กสาวนึกได้ หยุดพูด
“พูดมาเถอะ ใจ พี่ฟังได้ ไม่ตายหรอก” ปรมัตถ์ถามชายรวี “โสภิตเขาเป็นยังไงบ้างครับ ..หลังจากวันนั้น”
ชายรวีนิ่งไป ไม่อยากบอกใครเรื่องโสภิตพิไลถูก ท่าน เอาตัวไป กลัวจะอื้อฉาว
“เขาก็เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร” แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “แหม มีเรือด้วย ไม่ได้พายตั้งนานแล้ว ขอยืมพายเล่นหน่อยได้ไหมครับ”
“อาจารย์พายเรือเป็นด้วยหรือคะ”
ชายรวีคุยโต “ถึงไม่ใช่ชาวสวน แต่บ้านผมก็อยู่ริมน้ำเหมือนกันนะครับ”
ไม่นานต่อมา ชายรวีกับใจสว่างอยู่ในเรือ ชายรวีนั่งท้าย ใจสว่างหันมาบอก
“อาจารย์ให้หนูคัดท้ายดีกว่าค่ะ”
“มันหนัก ผมเป็นผู้ชาย”
“แต่อาจารย์ไม่คุ้น...”
ชายรวีเถียง “ผมพายได้”
ชายรวีพายออกไปอย่างแข็งขัน ปากก็พูด
“ผมเป็นผู้ชายตัวเบ้อเริ่ม ให้ผู้หญิงพายเรือให้นั่ง ใครเห็นอายเค้าตาย”
“แต่พายวนอยู่กับที่อายกว่านะคะ”
“ไหน ใครว่า ผมพายไม่ไปถึงไหนเพราะมัวแต่เถียงกับคุณนี่ล่ะ”
“ค่ะๆ” ใจสว่างหันไปมองข้างหน้า เห็นเรือเมล์วิ่งมา ตกใจ “อาจารย์ขา หันหัวเรือสู้คลื่นค่ะ”
“อะไรนะ”
ชายรวีขยับตัวไม่ทัน คลื่นจากเรือใหญ่กระแทกเข้าข้างเรือ จนพลิกคว่ำ
ใจสว่างน้อง “ว้าย”
เรือล่มทั้งสองคนตกลงไปในน้ำ ชายรวีโผล่ขึ้นมาก่อน ไม่เห็นใจสว่าง ตกใจ
“ใจสว่าง”
ใจสว่างโผล่หัวพรวดจากน้ำ มาเกาะข้างเรือที่คว่ำอยู่ ยิ้มสดใส
“น้ำเย็นดีนะคะ อาจารย์”
ชายรวียิ้มเขิน หน้าแตกดังโพละ
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 35 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา ราชนิกุลรูปงาม ยืนอยู่ในชุดลำลองของปรมัตถ์ แลดูเหมือนวัยรุ่น สีหน้ายังขัดเขินนิดๆ
“ผมขอโทษที่ทำให้ยุ่งยาก”
ปรมัตถ์ขำ “ไม่เป็นไรครับ อาจารย์ อยู่ริมน้ำ เรื่องเปียกเรื่องเล็ก กว่าจะโตมานี่ ไอ้ใจมันกินน้ำคลองไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
“นินทาน้องนะ พี่ปอ”
ใจสว่างเดินออกมาในชุดผ้าถุงชาวสวน ผมที่เปียกชื้นรวบเป็นมวยเอาไว้ มีดอกไม้เล็กๆ เสียบพอน่ารัก แก้มทาแป้งมานวลๆ ชายรวีมองอย่างเอ็นดู
“โห อาจารย์แต่งตัวแบบนี้ ดูเด็กลงหลายปีเลยนะคะ”
“คุณแต่งตัวแบบนี้ก็ดูเป็นสาวสวยขึ้นหลายปีเหมือนกัน”
ใจสว่างยิ้ม รู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขเมื่ออยู่ใกล้ชายรวี
เสียงดนตรีดังกระหึ่มเร้าใจ หนุ่มสาวในคลับเต้นกันสุดเหวี่ยง โดยที่กลางฟลอร์มีหนุ่มหล่อ มาดเท่ แต่งตัวจัด วาดลวดลายอยู่ สาวๆ โดยรอบพากันสนใจ เข้ามาเต้นรุมล้อม โปรยเสน่ห์ให้
ส่วนตรงด้านหน้าทางเข้าไนต์คลับ แหววเดินเข้ามา พร้อมกับเพื่อนกลุ่มเดิม
“ยัยแหวว พอเถอะ กลับบ้าน... นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ” น้องท้วง
“กลับอะไร ฉันเพิ่งมาถึง”
“ที่นี่เป็นที่ที่สามแล้ว ชั้นตระเวนกับเธอมาตั้งแต่หัวค่ำ เบื่อแล้ว” น้องว่า
แหววผลักเพื่อนออก “เบื่อก็กลับไปเลย ชั้นอยู่คนเดียวได้” แล้วเดินเข้าฟลอร์ไป
น้องส่ายหัวเดินตามไป “ยัยแหวว”
แหววเดินเข้าไป เห็นกลางฟลอร์มีหญิงสาวเต้นรุมล้อมชายคนหนึ่ง แหววตาวาว แหวกเข้าไปอย่างมั่นใจ ดึงสาวคนหนึ่งออก
“หลบไป”
ชายหนุ่มคนนั้นหันมา แหววเห็นหน้าเต็มๆ ตกใจสุดขีด หนุ่มนั้นก็ตกใจเหมือนกัน
“แหวว!” เป็นศิวพจน์นั่นเอง
“พจน์!”
“นายศิวพจน์” น้องที่ตามก็ตะลึง
“ผมไม่นึกเลย ว่าจะเจอแหววที่นี่”
แหววทั้งน้อยใจ ทั้งแค้นใจ “ก็นึกว่าไม่ได้เจอก็แล้วกัน”
แหววสะบัดหน้า เดินออกไปทันที ศิวพจน์วิ่งตาม
“แหวว เดี๋ยวก่อนแหวว”
ศิวพจน์ตามมาคว้าตัวแหววเอาไว้ได้ “แหวว เดี๋ยว หยุดก่อนเราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
“แหววว่าเราพูดกันจบไปแล้วนะ”
“ตอนนั้นแหววกำลังโกรธ ผมก็กำลังตกใจ”
แหววสวนคำทันที “เพราะโดนจับได้ ว่าคุณเอาผู้หญิงคนอื่นมานอนบนเตียงแหวว”
“ผมเฉดหัวมันออกไปแล้ว...แหวว พลีส มันก็แค่ของเล่น แต่แหววคือคนที่ผมรัก”
แหววใจอ่อนลงนิดเดียว แต่โกรธมากกว่า
“พจน์คะ คุณลืมไปแล้วเหรอว่า ที่แหววต้องกลับมาเมืองไทยเพราะอะไร” แหววแว้ดใส่พลางชี้ท้องตัวเอง “เพราะแหววท้อง! แล้วคุณก็ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบ”
“แหวว ฟังก่อนนะ...ผมยอมรับ ผมผิด จะให้ทำยังไงล่ะ ตอนนั้นผมก็ตกใจ”
แหววร้องไห้ ระเบิดออกมา “แล้วแหววล่ะ แหววไม่ตกใจเหรอแหววเป็นคนตั้งท้องแทนที่คุณจะปลอบแหวว คุณกลับเสือกไสไล่ส่ง”
แหววร้องไห้ ศิวพจน์ดึงเข้ามากอด ปลอบโยน
“ผมผิดไปแล้ว แหวว...ยกโทษให้ผมนะ...เรารักแหววนะ รักมากด้วย เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“สายไปแล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่แหววทราบเรื่องนี้แล้ว”
“ผมจะให้ผู้ใหญ่ไปพูดกับท่าน”
“ไม่ทันแล้วค่ะ เพราะพรุ่งนี้ แหววกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานค่ะ พจน์”
แหววพูดอย่างเจ็บช้ำ ศิวพจน์อึ้ง
เช้าตรู่ ในวันแต่งงาน
ชายรวีแต่งตัวเสร็จแล้ว ยืนอยู่หน้ากระจก มองกล่องของขวัญของใจสว่างที่วางอยู่ข้างๆ คุณชายหยิบขึ้นมาเปิดดู พบว่าข้างในเป็นพระห้อยคอ ชายรวีมองยิ้มๆ ด้านในกล่องมีกระดาษโน้ตเล็กๆ สอดอยู่
“หนูขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้อาจารย์มีความสุขตลอดไปค่ะ...ใจสว่าง”
ชายรวียิ้มบางๆ แล้ว กำลังจะเอาพระที่ได้มาร้อยเข้ากับสร้อยที่มีล็อกเก็ตรูปท่านชาย เสียงหม่อมพริ้มเคาะประตูเรียกดังขึ้น
“ชาย”
“ครับ หม่อมแม่” คุณชายหยุดมือ เอาพระวางลง
หม่อมพริ้มแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเดินเข้ามา ชายรวีเดินไปรับ มือยังถือสร้อยล้อกเก็ตรูปท่านชายไปด้วย
“แต่งตัวเสร็จแล้วหรือ” หม่อมมองไปเห็นล็อกเก็ต “นั่นอะไร...อ้อ”
หม่อมพริ้มยื่นมือออกไป ชายรวีส่งล็อกเก็ตให้ดู หม่อมพริ้มมองๆ
“แม่ไม่เห็นชายเคยใส่ นึกยังไงถึงเอาออกมา”
“คิดถึงท่านพ่อน่ะครับ แล้วก็เสด็จย่าด้วย...ท่านรับสั่งกับผม วันที่ท่านสิ้นใจ”
ฟังคำที่ชายรวีว่า หม่อมพริ้มหวนคิดไปถึงวันที่เสด็จป้าจะสิ้นใจ สั่งเสียให้ชายรวีรักษาชื่อเสียงของรวีวาร โดยหม่อมพริ้มรับปากแทน
ชายรวีบอกกับหม่อมพริ้ม
“ตั้งแต่วันนั้น ผมตั้งใจมาตลอด ว่าผมจะทำทุกอย่าง ไม่ให้รวีวารต้องตกต่ำหรือมัวหมอง”
หม่อมพริ้มมองชายรวีอย่างปลาบปลื้มปีติ
“ชายทำดีที่สุดแล้วลูก เพื่อแม่ เพื่อน้อง เพื่อรวีวาร ชายทำดีที่สุดแล้วจ้ะ”
ไม่นานต่อมา ชายรวีประคองหม่อมพริ้มลงมาที่โถงชั้นล่าง หญิงจ้อยแต่งตัวสวยยืนรออยู่พร้อมกับจวน หวน พุด
“ไปกันเลยนะคะ หม่อมแม่”
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”
“นัดไปเจอกันที่หน้าบ้านนายพลสันทนาเลยค่ะ หม่อมแม่ทางพี่หญิงจิ๋มเขาเป็นแม่งานหย่าย เขาจัดขบวนผู้คนแห่ขันหมากรอเอาไว้แล้วพร้อม ทางเรา แค่เอาเจ้าบ่าวกับขันหมากไป” หญิงจ้อยแขวะพี่สาว
หม่อมพริ้มพยักหน้ารับ “งั้นก็ไปกัน”
จวน หวน พุด ยืนมองชายรวี แววตาชื่นชมและสงสารปนๆ กัน
“คุณชายขา ขอให้โชคดีนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ ทุกคน”
ชายรวียิ้มให้บ่าว หม่อมพริ้ม และหญิงจ้อยเดินออกไป
งานแต่งตอนเช้า ถูกจัดขึ้นที่บ้านสันทนา ทุกคนตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
ส่วนในห้องแต่งตัว แหววอยู่ในเสื้อคลุมหรู เกล้าผมเสร็จแล้ว กำลังแต่งหน้าขึ้นตอนสุดท้าย ช่างผมจัดแต่งเกล้าผมทรงสูงอย่างประณีต
แหววในชุดไทย แลดูสวยงามมาก แต่สีหน้าไม่มีความสุขเอาเลย
เฉิดฉวีทำผมสวย ใส่ชุดไทยเรือนต้นสง่างามเดินเข้ามาดู เห็นหน้าแหววก็อดแค่นเสียงทักเบาๆ ไม่ได้
“ยัยแหวว ยิ้มหน่อยได้ไหม”
“แหววเหม็นกลิ่นสเปรย์ เวียนหัว ยิ้มไม่ออกหรอกค่ะ”
“ไม่ใช่เมาค้างตั้งแต่เมื่อคืนหรอกหรือยะ อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะ ว่าแกกลับมาถึงบ้านตอนไหน”
“แหววกลับมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าบ่นนักเลยค่ะ”
เฉิดฉวีค้อน หมั่นไส้
สันทนา พร้อมญาติผู้ใหญ่ เพื่อนสาวๆ ของแหวว ยืนรออยู่หน้าเรือน
ขบวนขันหมากสวยงามวิจิตร มิเสียชื่อหม่อมพริ้ม มีขบวนดนตรีไทยบรรเลงนำหน้า เคลื่อนขบวนเข้ามาถึง ด้านหน้าบ้านสันทนา
นายทหารลูกน้องของพลโทสันทนาอยู่ในเครื่องแบบเรียบร้อย เพื่อนๆ ของแหววใส่ชุดไทยเรียบๆ ทำหน้าที่กั้นประตูและรับแขกตามปกติสันทนาแต่งตัวเต็มยศ ยืนคู่กับเฉิดฉวี ทั้งคู่ยิ้มแย้ม
“เชิญครับเชิญข้างในเลย” สันทนายิ้มร่า
ขบวนขันหมาก ส่วนของสินสอดถูกแยกไปจัดเรียงให้ห้องจัดงาน สันทนารับรองพวกหม่อมพริ้มในห้องรับแขกหญิงจิ๋มหน้าบาน กุลีกุจอแนะนำเป็นแม่งานตามเคย
“หม่อมแม่ขา ท่านนายพลสันทนากับคุณหญิงเฉิดฉวีค่ะ”
เฉิดฉวีไหวทักทายน้ำเสียงอ่อนหวาน “กราบสวัสดีค่ะ หม่อม”
“สวัสดีครับ” สันทนาไหว้
“ไหว้พระเถอะจ้ะ”
หม่อมพริ้มตอบตามมารยาท ในใจคิดเสมอว่าสันทนาไม่ใช่คนดี ทั้งเป็นชู้กับสาและเป็นตัวการมาติดต่อเรื่องโสภิตพิไล
“หญิงขออนุญาตแนะนำนะคะ คุณสันทนา นี่หม่อมราชวงศ์หญิงโศภีพี่สาวคนโตค่ะ นี่หม่อมราชวงศ์หญิงศุภลักษณ์คนรอง กับหลวงหาญชาญณรงค์ สามี แล้วนี่ก็ หม่อมราชวงศ์หญิงศรีลักษณา น้องคนสุดท้อง”
เฉิดฉวีฉงน “เอ๊ะ คนสุดท้องหรือจ๊ะ ฉันคิดว่าคุณชายรวีเป็นน้องเล็กเสียอีก”
หญิงจ้อยรีบบอกแก้
“ฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้ายค่ะ ไม่ใช่ลูกคนสุดท้องชายรวีเป็นลูกคนสุดท้องของหม่อมแม่ค่ะ”
สันทนาพยักหน้า “อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
หม่อมพริ้มตัดบท “นี่ก็จวนจะได้ฤกษ์แล้ว จะเริ่มกันหรือยัง”
“สักครู่ครับ หม่อม” สันทนาลุกขึ้น “ผมกับคุณชายรวี มีธุระที่จะต้องจัดการกันนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มพิธีแต่งงานเชิญครับคุณชาย”
ชายรวีลุกขึ้น “เชิญคุณพี่หลวงไปกับผมด้วยครับ”
หลวงหาญชาญณรงค์ลุกขึ้นอย่างรู้กัน ทั้งสองเดินตามสันทนาไป
ปวุติรีบลุกขึ้น “ผมไปด้วย ขอตัวนะครับ หม่อมแม่” แล้วตามไป
หม่อมพริ้มและคุณหญิงใหญ่ คุณหญิงรอง หญิงจ้อยมองตาม แววตากังวล มีแต่หญิงจิ๋มที่เยื้อนยิ้มพอใจ
ทั้ง 4 คน อยู่ที่ห้องทำงานในบ้าน นายพลสันทนายื่นซองเอกสารสีน้ำตาล ข้างในมีเอกสารปึกใหญ่
“คุณลองอ่านดู”
ชายรวีเอาไปเปิดอ่าน หลวงหาญช่วยอ่านด้วย
“ในสัญญาฉบับนี้ระบุว่า คุณสันทนาจะรับภาระไถ่ถอนจำนอง วังรวีวาร จากธนาคาร และจ่ายดอกเบี้ยที่ติดค้างทั้งหมดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น สามล้านสี่แสนบาท”
ปวุติตาโต ชายรวีฟังอย่างตั้งใจ
“เมื่อผมไถ่ถอนจำนองเรียบร้อย วังรวีวารก็จะกลับมาเป็นของหม่อมแม่ของคุณชายตามเดิม”
“แต่ผมจะเป็นหนี้คุณสามล้านสี่แสนบาท”
สันทนายิ้ม “ใช่!” พลางผลักเอกสารอีกซองหนึ่งไปให้ “คุณชายจึงต้องลงนามในสัญญาว่าจะขายวังรวีวารให้ผม ในราคาสิบล้านบาท”
หลวงหาญแย้ง “นั่นมันครึ่งเดียวของราคาตลาดนะครับ ท่าน”
สันทนาหัวเราะ “อย่าเพิ่งตกใจครับ” ก่อนจะยื่นเอกสารไปอีกซอง ให้ชายรวีเปิดดู
“พินัยกรรม”
สันทนาบอก “ในนั้นระบุว่า ผมยกวังรวีวารให้ สวาทโฉม สุนทราภพ ลูกสาวของผมเป็นของขวัญวันแต่งงาน ทันทีที่คุณชายจดทะเบียนสมรสกับยายแหวว วังรวีวารก็จะกลับไปเป็นของคุณชายตามเดิมในฐานะสามีของยายแหวว”
ปวุติหัวเราะชื่นชม “ท่านนายพลนี่เหนือชั้นจริงๆ จ่ายเงินครึ่งเดียว แลกกับสิทธ์การเป็นเจ้าของวังรวีวารครึ่งนึง”
“ของเมียก็เหมือนของผัว มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าคุณชายไม่ได้คิดจะทอดทิ้งลูกสาวผม”
“ผมเป็นลูกผู้ชาย ถึงแม้ผมจะไม่ได้รักคุณแหววมาก่อน แต่เมื่อผมตัดสินใจแต่งงานกับเธอแล้ว ผมก็ตั้งใจจะดูแลเธอไปชั่วชีวิต”
สันทนามองชายรวีอย่างชื่นชม รักในน้ำใจ
“ผมคิดแล้ว ว่าผมเลือกคนไม่ผิด เอ้า งั้นก็เซ็นชื่อเลย”
“ยังครับ” สันทนาชะงัก “ยังมีเรื่องของโสภิตพิไล”
“ตอนนี้ท่านยังอยู่ในโรงพยายาล โสภิตพิไลยังปลอดภัย เสร็จจากงานแต่งงานแล้ว ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้”
ชายรวีมองหน้าสันทนา อย่างชั่งใจ
“ผมก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน คุณชาย คุณมีศักดิ์เป็นลูกเขยผม ผมจะผิดคำพูดกับคุณได้ยังไง”
ชายรวีลงนาม สันทนามอง ยิ้มพอใจ
เวลาต่อมา หม่อมพริ้มนั่งอยู่เป็นประธานร่วมกับสันทนาและเฉิดฉวีในโถงจัดงาน ชายรวีนั่งรออยู่ บรรดาแขกเหรื่อซุบซิบกัน ไปในทำนองที่ว่า
“ทำไมจัดงานฉุกละหุก” / “เจ้าสาวเรียนจบแล้วหรือ” / “ไปรู้จักกับเจ้าบ่าวตั้งแต่เมื่อไหร่”
คุณหญิงทั้งสี่และสามีนั่งห่างออกมา แต่ได้ยินชัดเจน เลยแอบคุยกันเบาๆ หญิงศุภลักษณ์หันมาพูดกับสามี
“คนถามกันทั้งงาน ว่าชายรวีไปรู้จักกับฝ่ายหญิงเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”
หลวงหาญยิ้มๆ “เบื่อก็เลิกพูดกันไปเองแหละคุณหญิง”
“แล้วดูตกลงทำสัญญากัน อย่างกับซื้อขายคนก็ไม่ปาน”
“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ เขาก็ซื้อผู้ชายดีๆ ให้ลูกสาวเขา...ทางเรา ก็รักษาวังรวีวารเอาไว้ได้” หลวงหาญสรุป
หญิงศุภลักษณ์ไม่วายท้วง “แต่ก็ต้องแลกกับความสุขทั้งชีวิตของชายรวี หญิงไม่เห็นด้วยเลยค่ะ”
ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวพาแหววในชุดไทยสวยงามเดินออกมา หญิงโศภีหันไปซุบซิบกับหญิงจ้อย
“นี่หรือเจ้าสาว ยังดูเด็กอยู่เลยนะ”
“ค่ะ พี่หญิง เห็นว่าเด็กกว่ายายโสภิตของเราเสียอีก ยังเรียนไม่จบเลยไม่รู้ทำไมรีบร้อนแต่งงานนัก”
หญิงจิ๋มที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยิน เอะใจ มองไปที่แหววอย่างจับผิด แล้วเอาศอกสะกิดปวุติ
“คุณปวุติคะ คุณว่ายายแหววดูแปลกๆ ไปไหม”
“ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ”
“หญิงชักสงสัยว่าทำไมยัยเฉิดฉวีถึงอยากให้ลูกแต่งงานนัก” หญิงจิ๋มเขม้นสายตามองแหวว “เอ หรือว่า...”
จังหวะนี้รถมัสแตงสีแสบตา ขับมาจอดเอี๊ยดที่หน้าตึก หทารลูกน้องของสันทนาพากันเข้ามามอง ศิวพจน์เดินลงมายืน หน้าตาดุดันเอาเรื่อง ทหารกรูกันเข้ามาขวาง
“มาหาใคร” ทหาร 1 ถาม
“ถอยไป ชั้นเป็นเพื่อนของคุณสวาทโฉม”
ทหาร 1 และพวกชะงัก แต่เฝ้าระวังระแวดระวังอยู่โดยรอบ
ศิวพจน์มองเข้าไปในงาน ผุดยิ้มร้ายออกมาตรงมุมปากอย่างมาดหมาย
อ่านต่อตอนที่ 36