xs
xsm
sm
md
lg

พายุเทวดา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พายุเทวดา ตอนที่ 1

มองจากมุมสูงลงมา จะเห็น เกาะมุกใต้ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเล ท่ามกลางความมืดสลัว ไร้สิ้นแสงจันทร์ ไม่มีแม้นแสงดาวสักดวง ค่ำคืนนี้ ทะเลที่อยู่รอบเกาะเล็กๆ นี้ นิ่งสนิทดูทะมึนมืด วังเวง และน่ากลัวผิดปกติ ผู้รู้ในธรรมต่างตระหนักว่าราตรีนี้มันคือ คืนอมาวสี

ที่วัดเกาะมุกใต้ อันวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ศูนย์รวมหัวใจของชาวเกาะมุก ในอาณาเขตรอบขัณฑสีมาแห่งนี้ มีสิ่งปลูกสร้างผสมผสานกันระหว่างความเก่าแก่ เช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และความทันสมัย เช่น หมู่กุฏิพระสงฆ์ และกําแพงวัดแน่นหนา ทุกอย่างทะมึนอยู่ในความมืด
ลมพัดแรงมาวูบหนึ่ง หลวงปู่หาญ เจ้าอาวาส ยืนท้าลมจนจีวรปลิว คนที่อยู่ข้างๆ เป็นชายวัยกลางคน หลังค่อม นามว่าบุญกู้ ทั้งสองมองไปรอบๆ แล้วก็แหงนมองฟ้า
ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในความมืด
“คืนอมาวสี...เวียนมาอีกแล้วนะบุญกู้” หลวงปู่ปรารภขึ้นน้ำเสียงเรียบ
บุญกู้พูดช้าๆ เหมือนทวนคํา “อ-มา-วะ-สี...”
“ใช่ คืนที่องศาของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ทับกันอย่างสนิท ทําให้ดวงจันทร์อับแสง มักเป็นคืนที่โหรให้ฤกษ์ทํา
การต่างๆ ทั้งทางดีและไม่ดี...ได้ผลชะงัดนัก” หลวงปู่ว่า
บุญกู้มีแววตาคล้ายรำลึกจดจำบางประการ “ก่อนหน้านี้ก็มีคืนแบบนี้”
หลวงปู่หาญยิ้มใบหน้าเปี่ยมการุณย์ “แล้วก็มีอะไรๆ แปลกๆ เกิดขึ้นในวัด..บุญกู้จําได้ใช่มั้ย”
ทั้งสองมองหน้ากัน ลมพัดแรงเหมือนมีพายุ สุนัขในวัดหอนรับขึ้นเป็นทอดๆ
ความทรงจําเมื่อครั้งอดีตหวนย้อนกลับเข้ามาความคิดของหลวงปู่และลูกศิษย์พร้อมๆ กัน

เมื่อ 25 ปีก่อน ในความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณลานวัด ยามค่ำคืน
ลมพัดแรงจนต้นโพธิ์ใหญ่ส่ายกิ่งก้านเหมือนจะโค่นลงมากระนั้น เสียงสุนัขเห่าหอนดังโหยหวนมาเป็นทอดๆ บรรยากาศยิ่งวังเวงมากขึ้น บุญกู้ในวัยหนุ่มแน่นเดินฝ่าลมแรง พร้อมกับยกแขนขึ้นป้องไม่ให้ลมปะทะหน้า
เสียงเด็กร้องดังมาจากมุมใดมุมหนึ่งในบริเวณลานวัด บุญกู้กวาดมองไปรอบๆ แต่ไม่พบเห็นอะไร สุดท้ายสายตาไปเจอทารกน้อยนอนร้องไห้จ้าอยู่ที่มุมหนึ่ง มีเบาะสีขาวสว่างตัดกับความมืดจนเห็นเด่นชัด บุญกู้สาวเท้าเข้าไป อุ้มเด็กขึ้นมา มองดู ดวงตาของบุญกู้เป็นประกาย

ไม่นานต่อมาหลวงปู่หาญในวัยกลางคนเปิดประตูโบสถ์ออกมา ท่ามกลางความมืดและลมแรงในคืนอมาวสีคืนนั้น หลวงปู่ มองดูทารกน้อยในอ้อมแขนของบุญกู้
“ใครไม่รู้ครับ เอามาทิ้งไว้ในวัด” บุญกู้ว่า
หลวงปู่หลับตาแล้วพูด “เขาส่งมาให้เราเลี ้ยง ก็เลี้ยงไว้สิ...ส่งมา”
บุญกู้ส่งให้หลวงปู่อุ้ม มองดู เห็นเป็นเด็กน้อยหน้าตาดี รูปร่างสมบูรณ์จ้ำม่ำ นิ่งเงียบ ดวงตาแป๋ว ไม่
ร้องเหมือนก่อนหน้านี้ หลวงปู่พึมพำ “ไอ้ลูกเทวดา...”

ภาพอดีตยังคงแจ่มชัดก่อนจะเลือนหายไป หลวงปู่หาญมองหน้าบุญกู้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก
“แล้วก็มีเด็กที่มากับคืนอมาวสีแบบนี้อีก 5 คนให้เราเลี้ยงไว้...”
“ครับ จนกระทั่งคนสุดท้าย...”
บุญกู้มองออกไป แลเห็นใบโพธิ์ถูกลมพัดแรงจนร่วงกราวปลิวไปตามแรงลมเป็นสาย

ไม่ต่างจากค่ำคืนนั้น เมื่อราว 20 ปีก่อน
มันเป็นเวลากลางดึก ใบโพธิ์พัดเป็นสายต่อเนื่องตามแรงลม ร่วงหล่นลงบนพื้นดินลานเจดีย์เก่าในวัด ยินเสียงเด็กทารกร้องจ้า ใบโพธิ์ใบหนึ่งค่อยๆ ปลิวลงสู่พื้นดินแล้วหล่นที่เบาะเด็กหญิงที่กําลังร้องไห้จ้าอยู่
บุญกู้ยื่นหน้าเข้ามาดู ปากก็บ่น “มาอีกแล้วเหรอวะ ไอ้คืนมืดแบบนี้ เอาเด็กมาให้หลวงปู่ เลี้ยงทุกทีเลย...”
บุญกู้อุ้มเด็กขึ้น มองดู แล้วเปิดดูผ้าที่ห่อตัวออก หน้าเจื่อนไปพบว่าเป็นทารกเพศหญิง

หลวงปู่หาญเปิดประตูโบสถ์มหาอุตม์ออกมา บุญกู้อุ้มเด็กไว้เองไม่ส่งให้
“คนนี้หลวงปู่อุ้มไม่ได้ครับ เดี๋ยวอาบัติ
“ผู้หญิงเหรอ...”
บุญกู้พยักหน้าช้าๆ บุญกู้กับหลวงปู่มองไปรอบๆ พบว่าลมพายุเริ่มสงบลงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสงัด
“บุญกู้เลี้ยงไว้ก่อนนะ”
หลวงปู่หันกลับไปปิดประตูโบสถ์
บุญกู้อุ้มทารกหญิงอยู่ ลมแรงเหือดหายไป เหลือแต่ความมืดรอบกาย บุญกู้ยืนหันหลังให้ประตูโบสถ์มหาอุตม์ในท่าทีแสนโดดเดี่ยว

ทั้งสองเดินฝ่ าลมแรงไปด้วยกัน ความมืดยังคงปกคลุม
“คืนอมาวสี หายไปนานเลยนะครับ...ยี่สิบปี เห็นจะได้ ไม่ใช่คืนนี้จะมีเทวดาเอาเด็กมาให้เราเลี้ยงอีกนะครับ”
หลวงปู่หาญยิ้มบางๆ “ไปนอนเสียเถอะ คืนนี ้หลวงปู่ จะนั่งสมาธิทั้งคืน...อย่าให้ใครรบกวนนะ”
หลวงปู่เดินแยกไปทางโบสถ์ บุญกู้มองตาม
หลวงปู่ยืนสงบอยู่หน้าโบสถ์แล้วมองไป ยังเห็นบุญกู้ยืนส่งอยู่ เมื่อเห็นว่าหลวงปู่ถึงหน้าโบสถ์แล้ว บุญกู้
จึงเดินหายไปในความมืด

ไม้ขีดถูกจุดขึ้นสว่างวาบในความมืด ถูกจ่อเข้ากับไส้เทียนที่อยู่เบื้องหน้า แสงเทียนสะท้อนให้เห็นพระพุทธรูปเก่าแก่ พระพักตร์งดงาม
หลวงปู่หาญ พนมมือภาวนา มีเพียงแสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า
“คุณพระคุณเจ้า...ถ้าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น ผมก็พร้อมจะรับมือกับมัน...เพราะผมรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ เหล่าเทวดาผู้มากับคืนอมาวสีจะต้องแสดงบทบาทของพวกเขา...ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองทุกคนในวัดเกาะมุกใต้ให้ปลอดภัยด้วยครับ”

เวลาเดียวกันเรือโจรสลัดแล่นทะมึนมากลางทะเลในคืนอมาวสี มุ่งหน้าสู่เกาะมุกใต้ ใบเรือถูกชักขึ้นเปลี่ยนแปลงเพื่อกําหนดทิศทางลม
โชติ หัวหน้าโจรอยู่ในเก๋งเรือมีตะเกียงส่องสว่าง กําลังมองแผนที่โบราณบนเกาะมุกใต้ ลูกน้องที่อยู่บนเรือต่าง
เตรียมอาวุธ โดยเฉพาะปืน นําขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุกระสุนพร้อมแล้ว
โชติออกมา บอกกับลูกน้องบนเรือ
“ทอดสมอเกาะมุก”
กัปตันเรือหมุนพวงมาลัย เห็นเรือมุ่งหน้าแหวกคลื่นน้ำท่ามกลางความมืด แสงฟ้าพาดสาย แล้วผ่าเปรี้ยง เหมือนเป็นสัญญาณว่าฝนจะตก

ฟ้าแลบแล้วร้องครืนๆ แสงฟ้าสว่างวาบ ทําให้เห็นว่าบรรดาโจรสลัดได้คืบคลานเข้ามาในเขตวัดพร้อมอาวุธและอุปกรณ์ขุดเจาะฐานเจดีย์
หลวงปู่ยังคงนั่งสมาธินิ่งอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์
กลุ่มโจรสลัดมุ่งหน้าสู่ลานเจดีย์เก่า โชติมองจากฐานขึ้นไปถึงยอด
“มันฝังอยู่ตรงไหนวะ...เฮ้ย ขุดเลย...พวกมึงอยู่รอบนอก ใครเข้ามา ยิงทิ้งให้หมด”
ลูกน้องที่ไม่ได้ทําหน้าที่ขุดเจาะประทับปืนยาวบนบ่ากราดไปทั่วบริเวณ ฟ้าครืนๆ มาอีกครั้ง ฟ้าแลบสว่างวาบ เสียงเครื่องมือขุดเจาะทํางาน
ทว่าเครื่องมือทํางานอยู่ แต่เจาะไม่เข้า โชติยืนลุ้น สีหน้าเครียด

บุญกู้ผวาตื่นขึ้น ด้วยเสียงเครื่องมือขุดเจาะดัง บุญกู้รีบตรงมาที่หน้าต่างมองออกไปในความมืด ขณะเดียวกันเหล่าเทวดาทั้ง 5 ต่างตื่นขึ้นมาไล่ๆ กัน
ฤทธิ์ผวาลุกขึ้นนั่ง คว้าเสื้อยืดมาใส่ทันที ในเวลาดัยวกับที่มนต์ผลุนผลันลงจากเตียง
ส่วนเทวาเปิดหน้าต่างกว้างแล้วมองตะลึงกับภาพตรงหน้า จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไป ก้อง และเดชวิ่งลงบันไดมา
ทั้งหมดมาสมทบกันที่ลานข้างหน้า ยืนเป็นแผงมาดอย่างเท่ เสียงเครื่องมือขุดเจาะดังขึ้น ไม่มีใครพูดอะไร พยักหน้าให้กัน แล้ววิ่งอย่างเร็ว
บุญกู้หลังค่อมลงบันไดมาเป็นคนสุดท้ายแต่ไม่ทันแล้ว เดินดุ่มไปในความมืด เสียงเครื่องมือขุดเจาะดังอยู่

ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงตรงลานเจดีย์ ลูกน้องโชติที่ใช้เครื่องมือขุดเจาะอยู่กระเด็นไป
หลวงปู่นั่งสมาธินิ่งอยู่
โชติโมโห “อะไรวะ เจาะไม่เข้าเหรอ”
“ครับ พี่โชติ...ผมว่า...”
เสียงฝีเท้าดังมา ลูกน้องที่ประทับปืนหันไป โชติหันตาม
ทั้งหมดเผชิญหน้ากัน โชติตะคอกลูกน้อง “กูสั่งว่าอะไร...มึงทําไมไม่ยิงมันล่ะวะ...ยิง ฆ่ามันให้หมด...มึงรู้มั้ย สมบัติในเจดีย์นี้มหาศาลแค่ไหน...ยิง”
ลูกน้องเหนี่ยวไกปืน บรรดาเทวดาทั้งหกคืน ผงะ ลมพัดแรง ใบโพธิ์ปลิวมาอีก แล้วฝนก็เทสายตกลงมาทันที แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น สายฟ้าพาดสาย ธาตุทั้งสี่อุบัติขึ้นพร้อมกัน
บุญกู้ยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า
ลูกน้องพากันยิงปืนเข้าใส่กลุ่มนักเลง ฤทธิ์เผลอยกมือห้าม สายฟ้าพาดสายผ่ามาที่ลูกกระสุนที่พุ่งออกจากปลายกระบอกปืน ระเบิดกลายเป็นลูกไฟพุ่งใส่กลุ่มลูกน้อง ไฟลุกไหม้ท่วมตัว มันร้องออกมาสุดเสียง แล้ววิ่งทุรนทุรายไป
ฤทธิ์มองฝ่ามือตัวเองอย่างงงๆ
ลูกน้องที่เหลือยิงปืนเข้าใส่เดช กายทอง แต่เดชฮึดสู้ เนื้อตัวดูใหญ่ขึ้น เสื้อยืดที่ใส่มาปริขาด เนื้อตัวมีแต่น้ำมัน ลูกกระสุนลอยมาแล้วผ่านร่างไป ไม่ระคายผิวเพราะลื่น ลูกกระสุนกลับลอยไปถูกลูกน้องของโชติเข้าที่หัวไหล่
ลูกน้องคนร้อง “โอ๊ย”
โชติเริ่มมีสีหน้าไม่ดี ขณะที่บุญกู้แอบดูอยู่มองด้วยสายตาตื่นตะลึง ลูกน้องเริ่มเข้ามารุมล้อม ทั้งหกคนหันหลังชนกัน ธาตุทั้งสี่เกิดขึ้นอีกครั้ง

ลูกน้องคนหนึ่งถลันเข้ามา เทวากระโดดลอยเหมือนลมแล้วปล่อยอาวุธหมัดและเตะรวบลูกน้องล้มไป
ระเนระนาด เหมือนลมสลาตัน ลูกน้องที่เหลือถลันเข้าใส่กลุ่มเทวดาทั้งห้า ตรงเข้าไปยังก้อง แต่ก้องตบหมัดเข้าใส่กัน รู้สึกว่าตัวมีพลังแรงขึ้น ใช้มือลูกน้องคนหนึ่งไว้ ผลักไปที่เจดีย์ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น มันครูดตัวลงมา เจ็บจนหน้าเบ้
ลูกน้องที่เหลือถลันเข้าไปหาสิงห์ ร่างกายของสิงห์มีกระแสไฟฟ้าวิ่งตามลําแขนลําขา ลูกน้องกระเด็นออกมา สิงห์ประกบกับฤทธิ์ สายฟ้าพาดสาย ลูกน้องสามคนพุ่งไปหา หมายจะรุมแต่สิงห์กับฤทธิ์ออกหมัดพร้อมกัน เกิดเป็ นกระแสไฟขึ้นพาดไปตามลูกน้องทั้งสาม ต่างชักดิ้นชักงอเหมือนถูกไฟดูด
โชติหน้าเสีย มองไปที่ลูกน้องที่ยืนตะลึง โบกมือให้เข้าไปต่อสู้ ในจังหวะนั้นเองที่เทวากระโดดเหยียบหัวเหยียบไหล่ ตัวเบาเหมือนลม เมื่อเหยียบแล้วก็ถีบไปหาพี่น้องเทวดาให้จัดการ โดยเฉพาะก้องกับเดชที่เลือกออกอาวุธได้อย่างใจนึก เทวาเหยียบหัวลูกน้องของโชติจนถึงตัวโชติได้ โชติหลบแต่ก็ไม่วายถูกหมัดของเทวาจนล้มกลิ้งไป
โชติกระเสือกกระสนหนี ลูกน้องที่เหลือและที่บาดเจ็บต่างวิ่งไป
ก้องกับเดชจะตามไป แต่ฤทธิ์ห้ามไว้
“ไม่ต้อง แค่นี้ก็สามศพแล้ว...หลวงปู่ รู้เข้าจะว่ายังไง...”
ทุกคนเลยชะงัก บุญกู้ออกมาจากที่ซ่อน ทุกคนหันมาเห็น
“น้าบุญกู้”
“ไอ้สามศพนี่เอ็งไม่ต้องยุ่ง น้าจัดการเอง ไปหาหลวงปู่ที่โบสถ์เถอะ” บุญกู้บอกหน้านิ่ง
ทั้งหมดมองหน้ากัน ต่างมองดูเนื้อตัวและหงายฝ่ามือตัวเองดู สีหน้ายังงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
“น้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกเอ็งมันจะวิเศษยังงี้ สมกับที่หลวงปู่ เคยบอกว่าพวกเอ็งมันพวกนักเลงเทวดา”

บุญกู้ว่า

ทั้งหมดเปิดประตูเข้ามาอย่างแผ่วเบา เห็นหลวงปู่หันหลัง นั่งสมาธิอยู่ ทุกคนจึงเงียบ

ทุกคนนั่งคุกเข่าแล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์ แทบจะพร้อมกัน
พระพักตร์พระพุทธรูปในเงามืด มีเพียงแสงเทียนส่องสว่างแลดูเข้มขลังยิ่ง
หลวงปู่พูดโดยไม่ได้หันมา
“ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องรู้จักตัวเองเสียที”

เวลานั้นเรือโจรสลัดแล่นออกไปอย่างรวดเร็วในท้องทะเล โดยในเรือ โชติหน้าเครียด โมโหมาก
“กูผ่านมาไม่รู้กี่ย่านน้ำ กูไม่เคยพบเคยเจอยังงี้ มันเป็น ใครกันวะ”
เสียงลูกน้องที่บาดเจ็บถูกยิงที่ไหล่ ร้องครวญคราง ยิ่งยั่วโมโห โชติตรงมา เห็นลูกน้องที่ถูกปืนเลือดไหลโซมกาย
“พี่โชติ พาฉันไปหาหมอเถอะ ฉันเจ็บ”
โชติโมโหเตะซ้ำอย่างโหดเหี้ยม “เจ็บหรือวะ...นี่แน่ะ”
ลูกน้องร้อง “โอ๊ย...”
โชติรำคาญ บอกเสียงดัง “ทําให้มันหายเจ็บทีสิวะ”
ลูกน้องคนนั้นตื่นตะลึงมองมาที่โชติอย่างงงๆ
“จับมันโยนทะเล มันจะได้เลิกร้อง กูรําคาญ”
ลูกน้องเกาะขาโชติแน่น ร้องไห้โฮขอร้องระงม “พี่โชติ...พี่โชติอย่า..อย่านะครับ”
“เดี๋ยวกูจะไปพบเสี่ยคงคา..พวกมึงอยากได้เงินรึเปล่า ถ้าอยากก็อย่าให้ไอ้นี่อยู่รกตากู”
ขาดคําลูกน้องทีเหลือ ก็กรูกันเข้าไปจับลูกน้องที่ถูกปืนโยนทิ้งทะเล ลูกน้องร้องลั่นด้วยความกลัวตายเสียงดังโหยหวนกึกก้อง เสียงร้องค่อยๆ เบาลงๆ

บุญกู้เสร็จภารกิจฝังศพในตอนเช้า ชายสูงวัยวางจอบลง ครูประสิทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในวัดจอดตรงมุมหนึ่ง มีปิ่นโตที่จะนํามาถวายหลวงปู่ด้วย ทักทายกันอย่างคุ้นเคย
“บุญกู้ หลวงปู่ ล่ะ ไม่เห็นออกบิณฑบาต”
“ยังไม่ออกจากโบสถ์เลยครู...จะมาถวายอาหารเหรอ”
“ใช่...เอาไงดี...ฝากบุญกู้ถวายให้ทีเถอะ”
“ครับ...”
บุญกู้เช็ดมือกับผ้าขาวม้าที่เคียนเอวอยู่ พร้อมกับเช็ดหน้า
ประสิทธิ์มองไปที่เนินดิน เดาได้ว่าน่าจะเป็นหลุมฝังศพจึงถามออกมา “ศพใคร...”
บุญกู้สะดุ้ง “เอ้อ...ศพใครไม่รู้...ซัดมาอยู่ที่ชายหาด ฉันก็เลยฝังไว้ก่อน เผื่อจะมีญาติมาติดต่อ...เมื่อคืนฟ้ามืด จู่ ๆ ก็มีมรสุม”
ประสิทธิ์นิ่วหน้าฉงน “มรสุมเหรอ...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
บุญกู้แกล้งมองไปทางอื่น ไม่อยากให้มีพิรุธ พอดีกับที่สน แสงจันทร์ และแสงดาว เดินเข้ามา ต่างก็มีถาดอาหารสําหรับใส่บาตรมาด้วย ประสิทธิ์หันไปทัก “รอใส่บาตรหลวงปู่ เหมือนกันใช่มั้ยครับลุงสน”
“ใช่ ทุกทีวันพระ ท่านออกรับบาตร แต่วันนี้ไม่เห็น...อาพาธหรือเปล่าบุญกู้”
ประโยคท้ายลุงสนหันมาทางบุญกู้ที่อึกอักส่ายหน้าตอบ “อย่าไปกวนท่านเลยครับ...ท่านนั่งสมาธิทั้งคืน เห็นว่า
จะเข้านิโรธสักสามวัน ไม่ฉันน้ำ ฉันอาหารเลยนะเวลาจําวัดก็หลังไม่แตะพื้น”
“สาธุ ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ” สนว่า
“งั้นเราก็อย่ารบกวนท่านเลยนะพ่อ กลับกันเถอะ...” แสงดาวบอก
“น้าบุญกู้ ฉันฝากปิ่นโตนี่ให้เทวาทีนะจ๊ะ” แสงจันทร์ยื่นปิ่นโตให้
แสงดาวแปลกใจ “ทําไมต้องให้พี่เทวา ไม่ให้พี่มนต์ล่ะ”
“มนต์น่ะ เดี๋ยวก็เจอกันที่โรงเรียน...ฝากให้เทวาก็แล้วกัน” แสงจันทร์บอก
“ครับ ครูแสงจันทร์...”
บุญกู้รับปิ่นโตมา ครูประสิทธิ์บอกลาทุกคน
“ถ้างั้นผมไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่โรงเรียนนะแสงจันทร์”
“ค่ะ ครูใหญ่”
ประสิทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป หมอนทีขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาชะลอจอดพอดี
“อ้าว หมอ” สนทัก
หมอยกมือไหว้สน แล้วก็ยิ้มให้แสงดาว และแสงจันทร์
“หมอขี่รถผ่านมา มองเข้ามาเห็นแสงดาวอยู่ที่นี่ เลยจะชวนไปทํางานพร้อมกันเลยน่ะครับ”
สนบอก “แสงดาว ไปกับคุณหมอสิ”
“ไม่...ขืนไป ตอนเย็น...ฉันก็...”
นทีพูดสวนทันที แต่สุภาพ “ ตอนเย็น หมอจะไปส่งให้ถึงบ้านเลยครับ คุณแสงดาว”
แสงดาวหน้าบึ้ง แสงจันทร์ลุ้น “ราชรถมาถึงที่...จะปฏิเสธเหรอแสงดาว”

หลวงปู่หาญหันมามองเห็นทั้งหกคนนั่งสมาธิอยู่ด้วยท่าทางสงบ เทียนที่จุดสว่างมาทั้งคืน หมดเล่มไปแล้ว
“เอาละ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆ เป็นการผ่อนคลายแล้วก็ลืมตาขึ้น ทําอย่างช้าๆ ทําทุกอย่าง อย่างมีสติรู้ตัว”
กลุ่มนักเลงเทวดาพากันลืมตาขึ้น แล้วยกมือไหว้หลวงปู่
“เหตุการณ์เมื่อคืนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...แต่เป็นการกําหนดมาจากเบื้องบน...ปู่ บอกว่าพวกเจ้ากําพร้าพ่อแม่ ปู่ เก็บ
มาเลี้ยง แต่ที่จริง พวกเจ้าทุกคนไม่มีพ่อไม่มีแม่...”
ทุกคนนิ่งฟังอย่างตะลึง
หลวงปู่บอกต่อ “พวกเจ้าเป็นโอปะปาติกะ ถือกําเนิดด้วยพลังเทวดา มิได้เกิดจากการสืบพันธุ์เหมือนมนุษย์ทั่วไป...”
สิงห์ขัดขึ้น “เรื่องแบบนี้มีจริงด้วยเหรอหลวงปู่”
หลวงปู่หันมาหา “อย่าเพิ่งขัดไอ้สิงห์”
ก้องสงสัยเต็มแก่ “แล้วพวกฉันมาจากไหน”
“ปู่ ก็ตอบไม่ได้...รู้แต่ว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อทําหน้าที่ ปกป้องทรัพย์แผ่นดินที่ถูกฝังมาแต่โบราณ ต่อสู้กับพวก
มารของแผ่นดินที่มุ่งจ้องเอาสมบัติแผ่นดินไปเป็นของตน...”
“ทําไมต้องเป็นพวกฉันด้วยล่ะหลวงปู่” ฤทธิ์ฉงน
หลวงปู่บอก “แรงอธิษฐานที่จะทําหน้าที่ปกป้องทรัพย์สมบัติของแผ่นดินน่ะสิ เมื่อพวกเจ้าตายเพราะแรงปรารถนานี้ เทวดาจึงส่งพวกเจ้ามาเกิดในรูปของโอปปาติกะ...พวกเจ้าต้องหมั่นรักษาศีล หากศีลบริสุทธิ์เท่าใด พลังใน
ตัวของเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น แต่ถ้าเมื่อใดที่ผิดศีล พลังก็จะถดถอยจนหายไปในที่สุด จงใช้พลังเทวดาเฉพาะในเวลาจําเป็นเท่านั้น...รับปากหลวงปู่ ได้มั้ย”
ทุกคนยกมือไหว้ ขานรับพร้อมกัน “ครับ หลวงปู่”
“เอาละ เก็บเรื่องนี้ไว้เป็ นความลับ รู้กันเฉพาะพี่ๆ น้องๆ แล้วปู่จะนัดมานั่งสมาธิกันใหม่ ปู่จะเปิดอดีตชาติของ
พวกเจ้าให้ได้รู้กัน”
ทุกคนกราบลงพร้อมๆ กัน หลวงปู่พยักหน้ารับ แววตาเปี่ยมการุณย์

หมอนทีขี่รถมาตามถนนบนเกาะ มีแสงดาวนั่งซ้อนอย่างหมิ่นเหม่มาทางหลัง จนหมอต้องเป็นฝ่ายบอก
“เขยิบมาชิดๆ ก็ได้นะครับ เดี๋ยวตกไป...”
“คงไม่ตายหรอก หมอ”
นทีหัวเราะขำ “อยู่กับหมอ มีเหรอจะให้ตาย”
หมอนทีขี่รถไปอย่างอารมณ์ดี แสงดาวไม่อยากใส่ใจ มองไปที่ขอบฟ้าแล้วต้องแปลกใจที่เห็นสายฟ้าฟาดสายหลายสาย ทั้งที่แดดเปรี้ยงออกอย่างนี้
“หมอ...ดูท้องฟ้าสิ”
นทีเหลียวมองไปบนท้องก็ประหลาดใจ
“แปลกจัง..หรือว่าจะมีมรสุม”

ต้นสายปลายเหตุเกิดขึ้นที่ตรงบริเวณชายหาด มุมหนึ่งของเกาะมุก โดยที่ฤทธิ์ยืนแบมือทั้งสองข้างหลับตาลง อยู่ในสมาธิ มีพลังบางอย่างลอยขึ้นจากฝ่ามือเขา เป็นเหมือนกระแสไฟที่วิ่งวนไปทั่วร่าง แล้วก็ปรากฏเป็นสายฟ้าที่ท้องฟ้าฟาดสายเปรี้ยงๆๆ ติดๆ กัน
มนต์ เทวา ก้อง สิงห์ เดชวิ่งมาสุดชีวิต
เทวาร้องถาม “ทําอะไรน่ะพี่ฤทธิ์”
ฤทธิ์หันมาเห็นไม่สบอารมณ์นัก “พวกนายยุ่งอะไรด้วยวะ...นี่มันพลังสายฟ้าของฉัน..ฉัน อยากลองพลังที่มีอยู่ในตัวฉัน”
มนต์ติงเอา “แต่หลวงปู่ บอกตะกี้นี้ พี่ฤทธิ์จําไม่ได้เหรอ เราต้องใช้พลังเทวดาต่อเมื่อถึงเวลาจําเป็นเท่านั้น”
ฤทธิ์บอกปัดๆ ยังไม่สบอารมณ์อยู่ที่ถูกขัดจังหวะ “แค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกน่า...พลังพวกนี้อยู่ในตัวเรา ไม่ได้ซื้อได้หามานี่หว่า...จะเป็นอะไรไปวะ...หลวงปู่ ก็แค่เตือน ไม่ถึงกับตายหรอก...อย่ามายุ่ง”
สิงห์ทักท้วง “พี่พูดเหมือนไม่นับถือหลวงปู่ ยังงั้นแหละพี่ฤทธิ์”
ฤทธิ์ฉุน “ข้ายังไม่ได้พูด อย่าหาความข้านะไอ้สิงห์...พวกนายน่ะ ถอยไปให้หมด ไม่งั้นละก็...พวกนายเจอพลังสายฟ้าของฉันแน่...เจ็บตัวแล้วอย่าหาว่าไม่เตือนนะโว้ย”
ฤทธิ์หันหลังให้ทุกคน เรียกพลังเทวดาอีกครั้ง คราวนี้สายฟ้าฟาดสายรุนแรงกว่าเก่า
เดชกับก้องทนไม่ได้ วิ่งชนร่างของฤทธิ์เกิดแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น สิงห์เข้าห้าม ทําให้เกิดเป็นประกายไฟไปทั่วร่างกายของสิงห์ มนต์กับเทวามองหน้ากัน แล้วรีบแยกทั้งหมดออกจากกัน
“พี่ฤทธิ์...ผมขอร้อง” เทวาเอ่ยขึ้น ไม่สบายใจนัก
ฤทธิ์ไม่สน “กูบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งกับกู”
ฤทธิ์นั้นโมโหเต็มที่ มนต์ก้าวมายืนระหว่างฤทธิ์กับทุกคน
“แยกย้ายกันกลับเถอะ...ไม่มีประโยชน์หรอก พี่ฤทธิ์กําลังบ้าอํานาจที่มีอยู่”
ฤทธิ์โกรธ “ไอ้มนต์ มึงกล้าพูดกับกูยังงี้เลยเหรอ”
มนต์บอก “ขอโทษ ผมกําลังจะบอกพี่ว่า ถ้าหลวงปู่ เปิดพลังให้เราได้...ท่านก็ปิดพลังเราได้เช่นกัน...ทําไมพี่ฤทธิ์
ไม่คิดบ้าง ว่าท่านจะเสียใจแค่ไหน แค่คําเตือนเล็กๆ น้อยๆ พี่ยัง ปฏิบัติตามที่รับปากหลวงปู่ ไว้ไม่ได้เลย”
ฤทธิ์นิ่งงันไป แต่จ้องหน้ามนต์เหมือนอาฆาต ขยับตัวจะเข้ามา แต่เทวาก้าวมาขวางมนต์ไว้
“ถ้าพี่ฤทธิ์ทําอะไรมนต์...พวกผมไม่ยอมเด็ดขาด”
ฤทธิ์มองหน้า พบว่าทุกคนพร้อมจะเอาเรื่อง พาลสุดขีด
“ไอ้พวกบ้า...พวกเอ็งมันบ้า...หลวงปู่ ไม่ได้เป็นอะไรกับเราซะหน่อย...แค่เลี้ยงเราไว้ใช้งานแล้วก็รอคอยอํานาจ
จากพวกเรา...ท่านแก่แล้วสิ ท่านก็ต้องการให้พวกเราปกป้องท่าน พวกนายไม่คิดบ้างล่ะถ้าไม่มีพวกเราเมื่อคืน สมบัติมันจะยังอยู่ครบในเจดีย์มั้ย”
ฤทธิ์พูดจบก็เดินไป ทุกคนมองตามอย่างไม่พอใจ แกมงุนงงว่าทําไมฤทธิ์ถึงเปลี่ยนไป
“ยังงี้ใช่มั้ยมนต์...ที่เขาว่าอํานาจมันเปลี่ยนคนได้” เทวาปรารภ
มนต์พยักหน้าเห็นด้วย “แยกย้ายกันไปทํางานเถอะ...เย็นค่อยกลับไปหาหลวงปู่”

ดารินอดีตทารกหญิงหนึ่งเดียว น้องน้อยในกลุ่มแก๊งเทวดาที่อุบัติขึ้นมาในคืนอมาวสี บัดนี้เติบโตเป็นสาวแล้ว แถมยังมีหน้าตาสะสวย หมวยขาว หล่อนทำงานเป็นตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบคนเก่งของหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด
เวลานี้ดารินกำลังปฏิบัติภารกิจขี่เจ็ทสกีเรือลอดผ่านใต้แม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านปทุมธานีมา ลำน้ำค่อนข้างโล่ง เรือสัญจรผ่านไปมาน้อย เนตรทราย ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบอีกคนขับเจ็ทสกีอีกลําตีคู่กัน
ดารินเอียงคอพูดวิทยุสื่อสารอยู่
“พร้อมค่ะสารวัตร...เป้าหมายใช้เรือเร็วมุ่งหน้าไปทางปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา...เปลี่ยน”
เสียงตํารวจตอบกลับมา “พร้อมมั้ย”
“พร้อม...ตามแผน...เปลี่ยน”
ดารินเห็นเรือเร็วลําหนึ่ง แบบเรือยอร์ชที่ใช้แล่นในแม่น้ำ มุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดารินหันไปพยักหน้ากับเนตรทราย ตีคู่ไปแล้วโอบไปที่คนละด้านของเรือ
ดารินกระโดดจากเจ็ทสกีขึ้นไปบนเรือเร็วอย่างว่องไว เนตรทรายก็ทําเช่นกัน กลุ่มโจรตกใจ คว้าปืนจะยิง แต่ช้าไป ดารินเตะปืนลอยไปตกน้ำเกิดการต่อสู้กันขึ้น คนร้ายหันมาเล่นงานเนตรทราย แต่ดารินเตะถีบจนตกลงไปในแม่น้ำ 1 คน เหลืออีก 1 คน ตรงมาต่อสู้กับดาริน
เมื่อเนตรทรายเป็นอิสระ ก็หันมาช่วยต่อสู้กับโจร ดารินต่อสู้กับคนที่ขับเรือ บังคับเรือให้ไปถึงใต้สะพาน คนขับไม่ยอม เกิดการต่อสู้กัน เนตรทรายต่อสู้กับอีกคนหนึ่ง
บริเวณถึงใต้สะพาน กลุ่มตํารวจโรยตัวมาลงมาจากสะพาน ลงมาที่เรือ กลุ่มคนร้ายยอมแพ้

มองออกไปที่แม่น้ำ เห็นคนร้ายอีกคนดําผุดดําว่ายอยู่

อ่านต่อหน้า 2

พายุเทวดา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เวลาต่อมา เห็นกลุ่มโจรนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องแถลงข่าวบนโรงพัก ทุกคนมีกุญแจมือพันธนาการไว้ ตํารวจยืนคุม เนตรทราย ดาริน และตํารวจกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง บนโต๊ะมีของกลางเป็ นยาเสพติดจํานวนมาก

นายตํารวจท่านหนึ่งกําลังแถลงข่าวผลงานการจับกุม แสงแฟลชจากนักข่าว และกล้องโทรทัศน์บันทึกภาพวูบวาบเป็นระยะ
“ทางการได้ตํารวจได้เบาะแสว่าจะมีการขนยาเสพติดล็อตใหญ่ จึงทําการจับกุมและได้ของกลางจํานวนมาก ส่วนแหล่งที่มาของยาเสพติดจํานวนมากนี้ ผู้ต้องหายังไม่ยอมให้การที่เป็ นประโยชน์ต่อรูปคดี”

หลังงานแถลงข่าวจบลง สารวัตรชมเชยเนตรทรายกับดาริน อยู่ที่อีกมุมหนึ่งบนโรงพัก
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณสองคนจะกล้าหาญอย่างนี้”
“ขอบคุณค่ะ”
สารวัตรตั้งข้อสังเกต “น่าแปลกจังนะหมวดดาริน...ผมสังเกตหลายหนแล้ว เวลาที่ต่อสู้กันในพื้นที่ทางน้ำ ดูคุณฮึกเหิมเป็นพิเศษ”
“จริงเหรอคะสารวัตร”
เนตรทรายเห็นด้วย “เนตรก็สังเกตเหมือนกัน...ตอนที่รินอยู่ในเรือ เหมือนริน มีพลังมหาศาล...เตะต่อยทีแรงยิ่งกว่าผู้ชายหลายคน รวมกันอีก”
ดารินหัวเราะเบาๆ “เออ ก็แปลกดี...รินไม่เห็นรู้ตัวเลย”

ฝ่ายฤทธิ์อารมณ์เสียต่อเนื่องมาตั้งแต่ออกจากเกาะมุก เขากําลังซ่อมเครื่องอยู่ เร่งเครื่องยนต์จนเสียงดัง สักครู่เห็นแสงวิ่งมาบอก
“พี่ฤทธิ์ ทําไรน่ะ เฮียให้มาบอกว่าเบาๆ หน่อย หนวกหู”
“จะซ่อมมั้ยวะ หรือจะไม่ให้ทําก็บอกมา” ฤทธิ์โวย
แสงหน้าเสียไป “แค่ให้เบาเท่านั้นแหละพี่”
“งั้นก็เลิก”
ฤทธิ์ปิดเครื่องยนต์ แล้วออกมาจากรถ เท้าเตะโดนอุปกรณ์ในอู่กลิ้งไป ปรากฏว่าอุปกรณ์นั้นไปหยุดที่ใกล้ขาของหญิงสาวคนหนึ่ง
เสียงหยาดฟ้าเอ่ยขึ้น น้ำเสียงขุ่น “ถ้าโดนฉันขึ้นมาจะว่ายังไง”
ฤทธิ์มองไป แล้วก็ตกตะลึงในความงามและเซ็กซี่ของหยาดฟ้ า
“เอ้อ...ขอโทษครับ...ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ”
“เอารถมาเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง”
หยาดฟ้าส่งกุญแจรถให้ฤทธิ์ แล้วเดินเข้าไปในห้องพัก ฤทธิ์มองตามอมยิ้ม สายตาบ่งบอกว่าชอบหยาดฟ้า
แสงกับชาติมองมาจากมุมหนึ่ง ฤทธิ์เดินวนรอบรถ ใช้มือระไปตามตัวถังรถ แต่ดวงตามองไปที่หยาดฟ้าซึ่งนั่งไขว่ห้างอ่านนิตยสารอยู่ในห้องพักลูกค้า
ชาติเดินมาหา “เป็นไงวะ สนใจเหรอ”
ฤทธิ์ยิ้มกริ่ม “สเป็คเลยเฮีย ที่อารมณ์เสียมาทั้งวันหายเลย”
“อย่าคิดเป็นอันขาดนะโว้ย นั่นน่ะของสูง” ชาติเตือน
ฤทธิ์ฉงน “หมายความว่าไงเฮีย”
“คุณหยาดฟ้าเป็นน้องสาวของเสี่ยคงคา ผู้มีอิทธิพลที่นี่ เอ็งอยากตายก็ลองดู”
ชาติเดินไป ฤทธิ์เปิดกระโปรงรถดูเครื่อง แล้วแอบมองไปที่หยาดฟ้า แต่หยาดฟ้ากลับหันมาสบตาเปิดเผย ส่งยิ้มให้ ฤทธิ์ยิ้มตอบ

ชาตินําน้ำมาเสิร์ฟให้หยาดฟ้าภายในห้องรับรองลูกค้า
“รับกาแฟมั้ยครับ คุณหยาดฟ้า”
“ไม่ละ...เด็กใหม่เหรอ”
“ครับ...เพิ่งรับ...มาจากเกาะมุกน่ะครับ ถ้าหากว่าทําอะไรให้คุณหยาดฟ้าไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
หยาดฟ้าอ่านนิตยสารต่อ ชาติเดินไปอย่างนอบน้อมและดูเกรงใจมาก
ฤทธิ์ยังส่งสายตามาที่หยาดฟ้าตลอด หยาดฟ้ายิ้มบางๆ ตอบ

ขณะเดียวกันที่สนามโรงเรียนเกาะมุก นักเรียนหญิงกําลังเล่นกีฬาแชร์บอลกันอยู่ มนต์เป็นครูพลศึกษาและทําหน้าที่เป็นกรรมการในสนาม
แสงจันทร์เดินลงจากอาคารเรียนมา มีแฟ้มหรือหนังสือที่เพิ่งใช้สอนอยู่ในมือ มนต์ส่งยิ้มให้แสงจันทร์ แต่แสงจันทร์ทําเป็นไม่เห็น นักเรียนโยนบอลมาโดนหัวมนต์พอดี นักเรียนตกใจรีบยกมือไหว้
“ขอโทษค่ะครู”
“ไม่เป็นไร...เล่นต่อไป” มนต์บอก
แสงจันทร์แอบยิ้มขำ แต่ไม่ให้มนต์เห็น มนต์มองตาม ตาเหม่อลอย ลูกบอลกระเด็นมาโดนแก้มมนต์อีกครั้งจนหน้าหัน
มนต์ร้อง “โอ๊ย”


เทวาก้มกราบหลวงปู่อยู่ภายในโบสถ์
“หลวงปู่ ครับ ผมจะขออนุญาตไปหางานทํา...”
หลวงปู่หาญถาม “ทําไม”
“ผมยังไม่ได้ทํางานเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ผมเลยรู้สึกไม่ดี”
“หน้าที่ของเจ้าคือนั่งสมาธิ...แล้วเรียนมนต์จากหลวงปู่”
“ทําไมหลวงปู่ ถึงเลือกผมครับ”
“เทวา...เจ้าจะให้ปู่ ตายไป โดยไม่ถ่ายทอดวิชาให้ใครเลยรึไง...เจ้าคือคนที่มีความพร้อมมากที่สุดและปู่ ก็เลือก
แล้ว...ปู่ เชื่อว่าเจ้าจะไม่เอาวิชาปู่ ไปใช้ในทางผิดๆ”
“ครับ”
“ถ้ารู้แล้วก็ทํางานเสียเลยสิ”
เทวากราบหลวงปู่ อีกครั้ง

เทวานั่งสมาธิ มีหลวงปู่หาญนั่งสมาธิคุมอยู่เบื้องหน้า หลวงปู่ พูดสอนเบาๆ
“หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้...มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา...สมาธิจะทําให้จิตแผ่วเบา เจ้าจะล่วงรู้อะไรอย่างอัศจรรย์..เป็นอภิญญาจิตที่ต้องปฏิบัติเอง สอนกันไม่ได้”

ส่วนที่อู่ซ่อมรถ หยาดฟ้าส่งเงินให้ฤทธิ์ “ฉันให้...” ฤทธิ์รับไปอย่างงงงัน เป็นเงินพันบาท “เห็นขยันแล้วก็ดูแลรถฉันดีมาก...มาจากเกาะมุกเหรอ”
“ครับ...”
หยาดฟ้ายิ้มหวาน “วันหลังพาฉันไปเที่ยวหน่อยสิ...
ฤทธิ์ยิ้มตะลึง พูดไม่เป็นคํา “คะ...คะ...ครับคุณผู้หญิง”
ฤทธิ์เปิดประตูรถให้แล้วปิด หยาดฟ้าขับออกไป
ชาติเดินออกมาหาฤทธิ์พูดตักเตือน “อั๊วเตือนลื้อแล้วนะ...อย่าให้เกิดเรื่องในอู่อั๊วล่ะ”
ฤทธิ์ไม่ใส่ใจ เดินผิวปากไปทางหนึ่ง ชาติได้แต่ส่ายหน้า

เสี่ยคงคาออกกําลังกายอยู่ในฟิตเนสของโรงแรมหรูริมหาด หยาดฟ้าเดินเข้ามา พัน ธง และศร ไม่ได้ออกกําลังกาย แต่นั่งอยู่ตามมุมต่างๆ เห็นขอบเอวตุงด้วยปืนพก เตรียมพร้อมจะปกป้องคงคาตลอดเวลา
“เสี่ยคงคาหลบมุมมาอยู่ในฟิ ตเนสนี่...สงสัยว่าต้องมี อะไรสักอย่าง” หยาดฟ้าทัก
“พลาดหมด...ตํารวจมันปิดเส้นทางส่งยาของเราไว้ทุกเส้นทาง ฉันก็เลยคิดว่าเราต้องอยู่กันเงียบๆ สักพัก”
หยาดฟ้าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ยิ่งเงียบ มันก็หาว่าเรากบดาน...สู้ใช้ชีวิตเปิดเผยไม่ได้ หรอกค่ะ”
คงคาสนใจ “ยังไงเหรอหยาดฟ้า”
“ทําธุรกิจอะไรก็ได้ให้ใหญ่โต ฟอกเงินที่หามาได้ให้ขาวสะอาด...ทีนี้จะแอบแฝงทําแบบเก่า ก็ไม่มีใครสงสัย”
คงคายิ้มชอบไอเดียหล่อน พนักงานเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี หยาดฟ้ายกเครื่องดื่มขึ้นจิบ...สบตากับคงคาที่มีสีหน้าเห็นด้วย คิดว่าจะทําอะไรให้เป็นธุรกิจที่น่าสนใจดี แต่แล้วก็ถอนใจ
“แต่ว่าเรายังส่งของให้ลูกค้าไม่ครบ กลัวโดนมันหักหลัง ทีนี้เรื่องมันจะไปกันใหญ่”
หยาดฟ้าสรุป “ก็ทําไปพร้อมๆ กันก็ได้นี่...หมดล็อตนี้แล้วจะพักสักระยะก็ได้...ไม่เห็นยาก”

เย็นนั้น ดารินยืนมองรูปสุชาติอยู่ในบ้าน หล่อนแต่งชุดตํารวจยศร้อยตํารวจเอก บุญเกิดเข้ามา
บุญเกิด ดังใหญ่แล้วนะเรา...ทีวีออกข่าวกันน่าดู...
ดาริน ยิ่งดังก็ยิ่งอันตราย...รินยิ่งเป็ นห่วงคุณแม่อยู่ด้วย แต่ว่างานสําคัญในหน้าที่ก็ต้องทํา...
เสียงของหล่น ทั้งสองรีบหายเข้าไปในห้องหนึ่ง

ในห้องนั้นมณีซึ่งตาบอดสนิท ควานหาขวดยา ดารินรีบเก็บให้
“รินบอกแม่แล้วว่า จะเอาอะไรก็ให้บอกรินหรือไม่ก็อาบุญเกิด”
“แม่ทําได้นะริน...แม่ทําได้ทุกอย่าง ยกเว้นการมองเห็น”
“โธ่ แม่จ๋า”
ดารินกอดแม่ รู้ว่าแม่พูดด้วยความสะเทือนใจ มณีกอดดารินลูบผม
“แม่ห่วงรินนะ กลัวว่ารินของแม่จะเป็นอะไรไปเหมือนพ่อ...แม่ไม่อยากสูญเสียใครอีกแล้ว”
ดารินแสร้งปิดบังความจริง ทําน้ำเสียงร่าเริง “แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รินอาจจะย้ายไปทําหน้าที่เป็นเลขาฯติดตาม นายไปราชการที่ต่างๆ ไม่มีอันตรายหรอกค่ะ”
บุญเกิดมองดารินเหมือนเข้าใจ หญิงสาวหันไปสบตาชายกลางคนซึ่งเลี้ยงตนมาหลังจากที่พ่อตาย
“บุญเกิด”
“ครับ พี่มณี”
มณียิ้ม “มีอะไรก็แนะนําหลานด้วยนะ...เราเป็นตํารวจเก่าต้องรู้ว่างานที่ยัยรินทําเป็นยังไงใช่มั้ย”
“เอ้อ...ครับ พี่มณี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักนิดเดียวครับ”
มณียิ้มพอใจ ดารินเงยหน้ามองแม่ ด้วยสีหน้าสงสารจับใจ
มณีเอนตัวลงนอนบนเตียง ดารินห่มผ้าให้
“ทําไมรินยังไม่นอน”
“เอ้อ...ยังทํารายงานการประชุมให้นายไม่เสร็จเลยค่ะ แม่นอนก่อนนะคะ”

ดารินถอยห่างออกมา มณีหลับตาลง

ต่อจากนั้น ดารินมานั่งอยู่กับบุญเกิด จิบเครื่องดื่มร้อนๆ ก่อนนอน

“ตกลงใจแน่แล้วเหรอ งานที่เราทําน่ะมันเสี่ยงนะ” บุญเกิดปรารภขึ้น
“พ่อรินเคยเป็นมือปราบของกรมตํารวจไม่ใช่เหรอคะ รินก็ต้องเป็นเหมือนพ่อ...”
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ...ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ ก็ต้องระวังมากเท่านั้น” บุญเกิดเตือนด้วยหวังดี
ดารินถอนใจเบาๆ “ถ้ารินเป็นอะไรไป รินฝากแม่ด้วย...เงินในบัญชีที่รินเก็บไว้สําหรับผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาให้แม่..รินจะโอนเข้าบัญชีอา....เผื่อว่าอาจะได้เอาไปใช้”
ดารินทอดสายตามองออกไปนอกห้อง บุญเกิดบอก
“ไม่ต้องหรอกริน...มันจะเป็นลางซะเปล่าๆ อาถือเรื่องนี้”
ดารินหันมาสบตากับบุญเกิด “เมื่อไหร่ อาจะเล่าเรื่องพ่อให้รินฟังอย่างละเอียดซะทีคะ”
“แล้วอาจะเล่าให้ฟังวันหลัง...ไปพักผ่อนเถอะ”
ดารินยิ้ม ลุกเก็บถ้วยเครื่องดื่มทั้งของตนและของบุญเกิดเดินไป

ฤทธิ์เดินมาจะเปิดประตูโบสถ์ แต่บุญกู้ห้ามไว้
“อย่า”
“หลวงปู่ อยู่มั้ย”
“อยู่ แต่เข้าไปตอนนี้ไม่ได้ หลวงปู่ สอนสมาธิให้เทวาอยู่”
ฤทธิ์อึ้งไป “เทวาคนเดียวเหรอ”
บุญกู้พยักหน้า ฤทธิ์ไม่พอใจ แต่สะกดอารมณ์ไว้ เดินหนีไป

ฤทธิ์ไม่พอใจหงุดหงิดแลพาลเอากับคนอื่นๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณวัด
“มันไม่ถูก หลวงปู่ รักลูกศิษย์ไม่เท่ากัน...แบบนี้มันไม่ยุติธรรม”
สิงห์บอก “เทวาไม่ได้ทํางาน...พี่ฤทธิ์ก็รู้ หลวงปู่ น่าจะเตรียมตัวให้มันบวชแล้วก็มาดูแลวัดแทนหลวงปู่”
ก้องเสริม “หรือไม่ ไอ้เทวามันก็สนใจอยากบวชเองก็ได้”
“อยากบวชหรือว่าอยากได้พลังเทวดามากกว่าคนอื่น”
ทุกคนมองหน้าฤทธิ์ เดชหมั่นไส้ “ไม่คิดเลยว่าพี่ฤทธิ์จะเป็นคนขี้อิจฉา”
“ไอ้เดช”
ฤทธิ์โกรธจัด ย่างสามขุมเข้าหาเดช แต่ทุกคนลุกขึ้นเตรียมพร้อม มนต์รีบห้าม
“อย่าทําให้หลวงปู่ ไม่สบายใจเลยพี่ฤทธิ์...ผมว่าหลวงปู่ ท่านมีเหตุผลของท่าน ทําไมพี่ฤทธิ์ไม่ถามท่านดูล่ะ ไว้ให้ท่านสอนเทวาเสร็จก่อนก็ได้”
มนต์ปัดมือเทวาที่พยายามถูกตัวเพื่อให้ฤทธิ์ผ่อนคลายความหงุดหงิด
“เออ ก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่นายพูด มนต์...แต่ถ้ารู้ว่าไอ้เทวามันคิดรวบวิชาจากหลวงปู่ ไปเป็นของมันคน
เดียวละก็...พวกนายต้องร่วมมือกับฉันนะ”
ทุกคนนิ่งไม่มีใครตอบ ฤทธิ์มองอย่างแค้นๆ แล้วเดินไป
มนต์บ่นๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าพลังเทวดาจะทําให้พี่ฤทธิ์เปลี่ยนไป”

ภายในโบสถ์มหาอุตม์ หลวงปู่บอกเทวาให้ถอนจากสมาธิ
“ค่อยๆ ลืมตาได้ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ...มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา”
เทวาลืมตาขึ้นกราบหลวงปู่ “สมาธิของเจ้าแน่วแน่ดีมาก...หมั่นทบทวนนะเทวา เวลาที่จะใช้พลังเทวดาจะได้ใช้ได้ทันที ดังใจนึก...พลังของเจ้าคือพลังสลาตัน...อ่อนไหวง่าย...และ หากควบคุมไม่ได้ จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ทําอะไร จึงต้องมีสติกํากับอยู่ตลอด”
“ครับ หลวงปู่”

ในขณะที่เทวาเดินมาตามทางใกล้กุฏิที่พัก ฤทธิ์แฝงกายแอบอยู่ สีหน้ามาดหมายคิดประลองวิชา ฤทธิ์หงายฝ่ามือทั้งสองออก หลับตา กําหนดจิต กระแสไฟลอยวนอยู่ที่เหนือฝ่ามือ ฤทธิ์ผลักพลังนั้นพุ่งไป
เทวาหันไปเห็นก่อนตัวลอยขึ้นนเหมือนลมหอบขึ้นไป ตวัดมือให้กระแสไฟผลักกลับมายังฤทธิ์ ฤทธิ์ล้มลงไป กระแสไฟรวมตัวกันเป็นลูกไฟใหญ่ ลอยไปหาเทวา
เทวากระโดดลอยหนีได้อีก “พี่ฤทธิ์ ทําไมทํายังงี้”
ฤทธิ์บอกหน้าตาเฉย “ไม่มีอะไรหรอกเทวา พี่อยากรู้ว่าหลวงปู่ สอนอะไรนาย เพิ่มเติมบ้าง...”
“หลวงปู่ ให้ผมนั่งสมาธิเหมือนที่หลวงปู่ สอนทุกคนไม่มี อะไรพิเศษ...”
ฤทธิ์โมโห “กูไม่เชื่อ...”
ขาดคำฤทธิ์โถมตัวเข้ามาหาเทวาอีกครั้ง เทวากําหนดลมสลาตันพัดพาลูกไฟไปติดที่พุ่มไม้จนไฟลุกท่วม บุญกู้ได้ยินเสียงวิ่งมาเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็ร้องตะโกนลั่น
“ไฟไหม้ๆๆๆ”
สิงห์ เดช ก้อง มนต์วิ่งมายังที่เกิดเหตุ ยืนดูอยู่ห่างๆ
“พี่ฤทธิ์ อย่าทําตัวให้พวกผมหมดความนับถือในตัวพี่นะ” มนต์ไม่พอใจมาก
“กูมันไม่สําคัญอยู่แล้ว”
หลวงปู่หาญ ปรากฏร่างขึ้นเบื้องหน้า ทุกคนนั่งลงไหว้ ฤทธิ์จึงนั่งลงบ้าง หลวงปู่เอ่ยขึ้น
“ที่เจ้าสองคนต่อสู้กันเมื่อตะกี้นี้ เห็นหรือไม่ว่าพลังของ ฤทธิ์ สายฟ้า กับเทวา สลาตัน ได้ประสานกัน พายุสลาตัน สามารถพัดพาสายฟ้าที่รวมตัวกันเป็นลูกไฟร้อนแรงให้พัดไปทางไหนก็ได้...ถ้าเจ้าสองคนสามัคคีกัน พลังเทวดาที่เกิดจากธาตุที่ต่างกันจะประสานกันให้บรรลุตามที่ต้องการ”
มนต์สงสัย “หมายความว่าหากพวกเรารวมจิตให้ประสานกันได้พลังก็จะยิ่งมีอํานาจใช่มั้ยครับ”
“ใช่ ต่อไปเจ้าจะได้เรียนรู้พลังของพวกเจ้าเอง”
หลวงปู่ เดินกลับไป ทุกคนกราบ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่เห็นหลวงปู่ แล้ว
“หลวงปู่ ถอดจิตมา” บุญกู้บอก
สิงห์อึ้ง “ทําได้ด้วยเหรอวะ”
“ทําได้สิ ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน” เดชว่า
“แต่ข้าไม่เอาด้วยหรอก กว่าจะทําได้คงต้องนั่งหลับตาเป็นสิบปี...ไปกันเถอะวะ”
เดช ก้อง สิงห์ มองคู่กรณีและมนต์ ไม่รู้จะทํายังไง จึงเลี่ยงไป
“ผมขอนะพี่ฤทธิ์ อย่าหาเรื่องเทวามันอีกเลย” มนต์ขอร้องดีๆ
“กูไม่ได้หาเรื่อง กูแค่อยากลองวิชากับไอ้เทวาเท่านั้น มันเป็นน้อง มันจะดีกว่ากูไม่ได้”
มนต์คร้านจะเถียงได้แต่ส่ายหน้า ฤทธิ์มองหน้าเทวา
“ผมนับถือพี่ ยังไงผมก็ไม่สู้พี่หรอก นอกจากป้องกันตัวเองเท่านั้น”
เทวาจ้องหน้าฤทธิ์ ฤทธิ์เป็นฝ่ายเดินหนีไปก่อน มนต์ปลอบใจด้วยการตบไหล่ให้กําลังใจเทวา

อีกฟากหนึ่ง พัน ธง ศร นําโชติกับลูกน้องทั้งสองคนของโชติเดินตัดเข้ามาในสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์คงคา พันเดินนําหน้า มีธง กับศรเดินประกบหลัง
ทั้งหมดอยู่ในสายตาของกานดาภรรยาของคงคากับพร้อมสาวใช้คู่ใจ ทั้งสองมองอย่างผิดสังเกต
“ใครเหรอพร้อม” กานดาถาม
“อิฉันก็ไม่ทราบค่ะ...เคยเห็นมาที่บ้านหลังนี้หลายหนอยู่เหมือนกัน แล้วอิฉันจะถามไอ้พันให้นะคะ”
กานดาถอนใจ “นับวันบ้านหลังนี้ก็มีอะไรแปลกๆ ขึ้นทุกวัน...บางทีฉันก็รู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้”
กานดามองออกไปที่สนาม
“อย่าคิดอะไรมากเลยค่ะคุณผู้หญิง”

พร้อมสงสารกานดาจับใจ

อ่านต่อหน้า 3

พายุเทวดา ตอนที่ 1 (ต่อ)

หยาดฟ้านั่งอยู่กับเสียคงคาในห้องทำงาน โชตินั่งอยู่ตรงหน้า ลูกน้องนั่งห่างออกไป พัน ธง ศรคุมอยู่ตามมุมห้องต่างๆ

“แค่เอาของไปส่งลูกค้า...มันคงไม่หนักหนาอะไรมั้ง” คงคาเอ่ยขึ้น
“เสี่ยจะให้ผมเอาไปส่งที่ไหนเหรอครับ” โชติถาม
“ตอนนี้ลูกค้าหนีหัวซุกหัวซุน ขวัญเสียไปหมด...มันปราบหนัก...ฉันอยากให้แกเอาของไปพักไว้ที่เกาะมุกก่อน”
หยาดฟ้าสนใจขึ้นมาทันที “เกาะมุกเหรอคะเสี่ย”
“ใช่..ที่นั่นมีคนของเราอยู่”
โชติหน้าเสียตั้งแต่ได้ยินคําว่าเกาะมุก เลยส่ายหน้า
“เสี่ยครับ ผมขอไม่รับงานนี้ดีกว่า...บอกตรงๆว่าผมเพิ่งกลับจากที่นั่น ลูกน้องผมตายไปเกือบหมด เหลืออยู่แค่
นี้เอง”
คงคาแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นวะ”
โชติอธิบาย “ก็ผมไปขุดเจาะสมบัติที่วัดเกาะมุกใต้ ตามลายแทงที่ได้มานานแล้วละครับ มันมีเด็กหนุ่ม 6 คนมาขวาง เสี่ยเชื่อมั้ยครับ ปืนยังยิงมันไม่ได้เลย...มันปล่อยแสงออกจากตัวได้ สารพัดวิชา...เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็น”
หยาดฟ้าหัวเราะคิก คงคากับลูกน้องก็พลอยขันไปด้วย
“โจรสลัดอย่างนายนี่ชอบดูหนังการ์ตูนด้วยเหรอวะ”
โชติยืนยันหนักแน่น “เรื่องจริงนะครับเสี่ย...ไม่เชื่อถามไอ้สองคนนี่ก็ได้”
ลูกน้อง 1 บอกย้ำ “มันมีอิทธิฤทธิ์ครับเสี่ย บอกตรงๆ ว่าผมกลัว เหมือนมันไม่ใช่คน...”
คงคากับหยาดฟ้าเริ่มอึ้งไป ลูกน้อง 2 เสริม “คิดดูสิ..ปืนยังทําอะไรพวกมันไม่ได้เลยนะครับเสี่ย”
เสี่ยคงคาเริ่มนิ่งใช้ความคิด
“แล้วแกจะกลัวมันยังงี้ตลอดไปหรือไงวะ...ทําไมเราไม่มาร่วมมือกันกําจัดพวกมันล่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า มันวิเศษจริงหรือเปล่า...เออ ตะกี้แกบอกว่าแกมี ลายแทงสมบัติเหรอ”
“ครับ พ่อผมเคยปล้นเรือนักโบราณคดีได้ ดูตามลายแทงแล้วสมบัติน่าจะอยู่ทีเจดีย์วัดเกาะมุกใต้” โชติบอก
“ถ้าฉันขอซื้อลายแทงของแก...แกขายเท่าไหร่”
“จะดีเหรอเสี่ย...เอ้อ...ผม...”
ลูกน้องทั้งสามคนเริ่มขยับ เมื่อเห็นโชติเริ่มอิดเอื้อน
คงคาถามเสียงเข้ม “เท่าไหร่”
“ผมขอล้านนึง”
“ได้...หักหนี้เก่าที่แกมาเอาไปคราวก่อน หกแสน เหลือสี่แสน”
โชติครวญ “โธ่ เสี่ย...ตอนนี้ผมปล้นเรือประมงไม่ได้เลย พวกมันติดอาวุธกันไปหมดแล้ว แถมร้ายแรงกว่าผมอีก ผมขอละกัน”
คงคามองโชติด้วยสายตาที่เหนือกว่า หัวเราะในลําคอ
“ถ้ายังอยากหากินในน่านน้ำนี้อยู่ นายไม่น่าปฏิเสธหรือต่อรองกับฉัน...ไหนเอามาดูซิ”
โชตินิ่ง พันขยับปืนที่เอว เช่นเดียวกับธงและศรที่เริ่มคุมตัวลูกน้องทั่งสองของโชติไว้
โชติจําใจส่งลายแทงให้ คงคาคลี่ดู ก็เห็นเป็นกระดาษเก่าๆ พับไว้ สอดไว้ในเสื้อบริเวณอก คงคายิ้มหันมาทางหยาดฟ้า
“หยาด...จัดการเรื่องเงินให้มันด้วย”
“ค่ะเสี่ย”
“พรุ่งนี้แกมารับของจากฉันไปส่งที่เกาะมุกตามสัญญา” คงคาบอก
โชติเหงื่อเริ่มแตกตามใบหน้า ปาดเหงื่ออย่างจําใจ

พร้อมดักรอพัน ผู้เป็นลูกชายซึ่งเดินนําโชติกับลูกน้องไปส่งที่หน้าบ้าน ธง กับศรเดินตามหลัง
“พัน...คุยกับแม่ก่อน”
พร้อมมองหน้าโชติไม่ไว้ใจ พันส่งสายตาให้ธง กับศรไปส่งโชติแทนตน ทั้งหมดเดินไป
พันมองตามไป แล้วหันมาทางแม่ “อะไรเหรอแม่”
“ใคร”
“แม่จะรู้ไปทําไม”
“ข้าไม่ได้อยากรู้ แต่คุณผู้หญิงให้ข้ามาถามโว้ย...หรือเอ็งคิดจะโกหกคุณผู้หญิงก็ว่ามา”
พันอึกอักลำบากใจ

กานดาเข้ามาในห้องทำงานสามี หยาดฟ้าเห็นรีบลุกผละลงจากตักของคงคาทันที ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“คุณพี่มาเงียบๆ”
“ถ้ามาไม่เงียบ ก็คงไม่ได้เห็นภาพบัดสียังงี้หรอก”
หยาดฟ้าไม่ตอบ แต่หัวเราะในลําคอ เป็นเชิงบอกว่าไม่แคร์ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป แต่ยังอยู่ภายในห้องนั้น
คงคาโมโห “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
“ไอ้คนที่มาหาคุณ มันไม่ใช่คนดี...ทําไมคุณถึงคบกับมัน นับวันคุณก็ทําตัวแปลกๆ เข้าไปทุกวันแล้วนะ...เรื่องดีๆ
ทําไมไม่ทํา คิดทําแต่เรื่องชั่วๆ”
เสี่ยคงคาโกรธ “หยุดเลยนะกานดา...กลับไปที่ตึกของเธอ จะสวดมนต์หรือเอาหนังสือศีลธรรมต้มกินก็เรื่องของเธอ แต่อย่ามายุ่งกับเรื่องของฉัน”
หยาดฟ้าหัวเราะคิก “น่าอร่อยจังเลยนะคะเสี่ย...อยากรู้จังว่ารสชาติมันเป็น ยังไง...หวาน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว”
“จะถามทําไม ในเมื่อมันเป็นของแสลงสําหรับผู้หญิงอย่างหล่อนไม่ใช่เหรอ” กานดาหันมาใส่สามีไม่ยั้ง “ตั้งแต่คุณพี่เอาผู้หญิงคนนี้มาอุปโลกน์ว่าเป็นญาติ แล้วก็ให้มาชูคอ อยู่ในบ้านหลังนี้ แผ่นดินทรุดลงไปตั้งเยอะ พอกับคุณที่นับวันก็ทําแต่เรื่องชั่วๆ ได้ทุกวัน”
คงคาพูดแทบเป็นตวาด “กานดา...กลับไป...ตราบใดที่ฉันยังให้เกียรติเธอ เธอก็น่าดีใจที่ยังกินดีอยู่ดี มีความสุขในบ้านหลังนี้ด้วยเงินของฉัน”
กานดาอึ้งไป เสียใจจนน้ำตาคลอ “อีกไม่กี่วันลูกก็จะกลับจากเมืองนอกแล้ว ฉันหวังว่าคุณคงกลับตัวกลับใจเพื่อลูกของเรานะคะ...แล้วก็กรุณาอย่าทําอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้อีก ลูกเห็นเข้าจะหมดความนับถือในตัวพ่อมัน”
กานดาออกไป หยาดฟ้าหัวเราะหยันเบาๆ ตามหลังไป
“แบบนี้ต้องไม่ให้รู้ให้เห็นอะไรเลยค่ะเสี่ย ไม่งั้นจะเป็นอุปสรรคต่องานของเราไปตลอด”

เย็นนั้น แสงจันทร์จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมหาด มองมายังเทวาซึ่งนั่งอยู่ที่โขดหิน ก่อนจะเดินมาหา เทวาหันมาเห็น ส่งยิ้มให้ เอ่ยทักทาย
“แสงจันทร์”
“ไปหาเทวาที่วัด น้าบุญกู้บอกว่าอยู่ที่นี่..ทําไมมานั่งอยู่ คนเดียวล่ะ”
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
ครูแสงจันทร์รับรู้ในความผิดปกจากน้ำเสียงนั้น “มีปัญหาอะไร บอกแสงจันทร์ได้มั้ย เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
เทวานิ่งไป แล้วกลบเกลื่อน “ ไม่มีอะไรหรอก...แค่อยากหางานทําเหมือนคนอื่นๆ แต่หลวงปู่ สิไม่ยอมให้ไป บอกว่าให้เรียนสมาธิกับหลวงปู่ก่อน...ผมก็ไม่เข้าใจหลวงปู่ เหมือนกัน”
“แล้วเทวาชอบในสิ่งที่ท่านสอนให้หรือเปล่า”
“ก็ชอบ”
ทั้งสองสบตากันนิ่งนาน

ครู่ต่อมาเทวายืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์ แสงจันทร์ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“ที่ไหน”
“ครูใหญ่ให้ไปซื้อของที่ฝั่งโน้น”
เทวาเจื่อนไปนิดหนึ่งถามขึ้น “แล้วมนต์ล่ะ”
“ต้องประชุมผู้ปกครอง...ทําไมเหรอ”
“เปล่า...ถ้ามนต์ว่างจะได้ไปด้วยกัน”
ที่มุมหนึ่งไม่ไกลนัก เห็นแสงดาวยืนมองอยู่ สายตาแสงดาวไม่พอใจ สุดท้ายเดินออกไป
“ตกลงใช่มั้ย” แสงจันทร์ถาม
เทวาพยักหน้าทั้งสองส่งยิ้มให้กัน ขณะดวงอาทิตย์กําลังจะลับลาขอบฟ้า บริเวณสุดฝั่งทะเลไกลสุดตา

ค่ำแล้วสามพ่อลูกกินข้าวด้วยกัน แสงดาวนั่งก้มหน้าทานข้าวไม่พูดไม่จา มีกับข้าวหลายอย่างวางอยู่บนโต๊ะ สนมองดูเห็นผิดสังเกต
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะแสงดาว...ตั้งหน้าตั้งตากิน เหมือนกลัวใครจะแย่งเอ็งกินงั้นแหละ”
“คนมันหิว...ไม่เหมือนพี่แสงจันทร์นี่ อิ่มอกอิ่มใจไม่ต้องกินข้าวก็ได้”
แสงจันทร์งง “อ้าว...วกมาที่พี่...พี่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซะหน่อย...มีปัญหากับคุณหมอนทีเหรอ”
แสงดาวมองหน้าพี่สาว “เรื่องอะไรฉันต้องมีปัญหากับเขาด้วย...ไม่มี”
แสงดาวรวบช้อน ยกแก้วน้ำดื่ม สนกับแสงจันทร์มองอย่างไม่เข้าใจ แสงดาวยกจานข้าวไปทางหนึ่ง
“น้องเป็นอะไรวะนังแสงจันทร์”
“ฉันก็ไม่รู้”

วันนี้หยาดฟ้าขับรถ ใส่แว่นตาดํา แต่งตัวเซ็กซี่มากมารับคํารณ ที่นั่งอยู่ข้างๆ และลอบมองขาอ่อนและเนื้อตัวของหยาดฟ้าไม่ได้
“ตอนที่พ่อโทรศัพท์บอกว่ารับอาหยาดมาอยู่ด้วย ผมยังคิดว่าอาหยาดต้องแก่คราวพ่อ ที่ไหนได้ยังสาว..แล้วก็...
สวย”
หยาดฟ้าหัวเราะใส่จริต “ ขอร้องอย่าเรียกว่าอาได้มั้ย”
“ก็อาหยาดมีศักดิ์เป็นน้องของพ่อ”
“ก็แค่ศักดิ์...ถ้านับทางอายุแล้ว ฉันอายุพอๆ กับเธอแหละ...เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
“ก็ดี...งั้นผมเรียกคุณว่าหยาดนะ”
“จ้ะ คํารณ”
ทั้งสองสบตากัน หยาดฟ้าวางท่าขับรถเหมือนหว่านเสน่ห์ให้คํารณหลงใหล
รถแล่นไปอย่างเร็วไปบนถนนสายหลักซึ่งขนานไปกับท้องทะเลของอ่าวไทย

ด้านดารินเข็นรถเข็นของแม่มาที่ถนนเล็กๆ เลียบชายหาด
“แม่รอรินอยู่ตรงนี้นะคะ รินจะไปซื้อน้ำมาให้แม่ดื่ม”
“จ้ะ ริน มาเร็วๆ นะ”
ดารินจะข้ามถนน มองซ้ายขวา ขณะมือของมณีค่อยๆ เคลื่อน ดูก็รู้ว่ามีการบังคับล้อไว้ไม่ให้เคลื่อนไปไหนได้
ดารินข้ามถนนไป แต่รถคันหนึ่งพุ่งมาอย่างแรง

ดารินตกใจ รถเบรกเสียงดังสนั่น

มณีได้ยินเสียง ผลักที่บังคับให้ล้อเลื่อนออกทันที

“ริน...ริน” มองหาลูกสาวไปทั้งที่ตาไม่เห็น
ฝ่ายดารินเงยหน้าเอ่ยคำ “ขอโทษ”
หยาดฟ้ากดกระจกลง “อยากตายหรือไง นี่มันถนนนะ ไม่ใช่ที่เดินเล่น”
หยาดฟ้ากระชากรถออกไปอย่างฉุนเฉียว ดารินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม

ส่วนรถเข็นของมณีเคลื่อนไปเองตามถนน แล้วทําท่าจะหล่นลงข้างทาง
“ริน...ริน...”
เทวาพรวดเข้ามา จัดการหยุดรถ แล้วหันกลับมาทางฝั่งถนน
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“คุณไม่ใช่ลูกสาวฉัน”
“ครับ...ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไรนะครับ”
“ลูกสาวฉันล่ะ...แล้ว...ที่นี่ที่ไหนกัน”
เทวาบอก “ชายหาดตรงข้ามเกาะมุกครับ”
ดารินวิ่งกลับมาพร้อมน้ำดื่ม “ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวไม่ได้มองหน้าเทวานั่งลงกอดแม่
“หนูอยู่ตรงนี้แล้วค่ะแม่...แม่ดื่มน้ำซะนะ”
เทวามองหญิงสาวอย่างสนใจ แต่เสียงเรียกของแสงจันทร์ดังมาจากฝั่งถนนตรงข้าม
“เทวา...เทวา...”
เทวาจึงตัดสินใจข้ามถนนกลับไป พอถึงแสงจันทร์ถามทันที
“อะไรกันคะ”
“คนตาบอดน่ะ...รถเลื่อนไป ดีนะ ไม่ล้มลงไปที่ชายหาด”
“ไปกันเถอะค่ะ...ซื้อของครบแล้ว”
แสงจันทร์กับเทวาเดินไป เทวายังอดหันกลับไปมองแม่ลูกไม่ได้

มณีบอกกับดาริน “ ริน...พาแม่กลับบ้าน แล้วอย่าพาแม่มาที่นี่อีก..จําไว้”
“แต่เราเพิ่งมาถึงนะคะแม่ แล้วรินก็จองรีสอร์ทไว้แล้วด้วย..รินอยากพาแม่สูดอากาศดีๆ แล้วก็พักผ่อน”
“ไม่...แม่จะกลับ...พาแม่กลับบ้าน” มณียืนกราน ท่าทางผิดปกติ
ดารินนิ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

มณีขึ้นนั่งคู่ข้างๆ ที่นั่งคนขับเรียบร้อย ส่วนดารินพับรถเข็นวิลแชร์แล้วเปิดท้ายรถเก็บ สีหน้าของดารินสงสัยว่าทําไมแม่ถึงไม่อยากอยู่ที่นี่ ดารินเข้ามาในตําแหน่งคนขับ หันมาทางมารดา
“แม่แน่ใจนะว่าจะกลับ”
“ถ้ารินรักแม่ ก็อย่าขัดใจแม่” มณีเสียงเครือสั่น “แม่ขอร้อง...นะ”
ดารินจับมือแม่ “รินรักแม่ค่ะ...เราจะกลับบ้านกัน”
มณียิ้มได้ ดารินมองแม่อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะขับรถออกไป

วันเดียวกัน มนต์แวะมาหาแสงจันทร์ เจอแสงดาวเลยถามหา
“ยังไม่กลับกันมาเหรอ”
“ใคร”
“แสงจันทร์สิ ครูใหญ่ใช้ให้ไปซื้อของที่ฝั่งโน้น ...พี่เลยให้ไปกับเจ้าเทวา...นึกว่ากลับมาแล้วซะอีก”
แสงดาวชักสีหน้าไม่พอใจใส่ทันที “พี่ก็แปลกนะ...ชอบพี่แสงจันทร์แท้ๆ แต่กลับส่งพี่สาวฉันใส่พานให้ผู้ชายคนอื่น”
มนต์แย้ง “ผู้ชายคนอื่นที่ไหน เทวามันโตมากับพี่ อายุก็เท่ากัน”
“ไม่กลัวเหรอว่าพี่แสงจันทร์กับพี่เทวาจะ...”
มนต์มองหน้าแสงดาวพูดตัดบท “เหลวไหลน่าแสงดาว”
สนออกมาพอดี “อ้าว ครู...ไหนๆ ก็มาแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ แสงดาวเข้าครัวทํากับข้าวดีกว่า...ฉันจะได้คุยกับครูมนต์ด้วย”
แสงดาวดีใจที่ได้รับใช้มนต์ “จ้ะ พ่อ...พี่มนต์อยากทานอะไรล่ะจ๊ะ”
“พี่กินง่ายอยู่แล้ว...แสงดาวทําอะไร พี่กินได้หมด”
แสงดาวยิ้มแล้วผละไปทางครัว สนเอ่ยขึ้น
“หลวงปู่ ดูเงียบๆ ไปนะ ไม่ลงศาลาเลย เห็นว่าไม่ยอมรับแขก”
“ท่านคงเหนื่อยน่ะจ้ะลุง”
มนต์มองไปรอบๆ แล้วไปสะดุดที่รูปถ่ายของแสงจันทร์
สนเห็นเข้า “ถามจริงเถอะ ครูชอบนังแสงจันทร์เหรอ” มนต์เก้อๆ ไม่กล้าตอบ “ท่าทางนังแสงจันทร์จะชอบเจ้าเทวา...ไม่ไหว ใครได้ไปเป็นลูกเป็นผัวมีหวังอดตายกันหมด วันๆ ไม่เห็นทําอะไร นอกจากร้องเพลงเสียงดังลั่นวัด”
มนต์สงวนท่าที ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม นิ่งฟัง

ฝ่ายฤทธิ์แฝงตัวอยู่มุมลับตาคน มองไปที่ในร้านอาหาร เห็นเทวายืนอ่านประกาศรับสมัครนักร้องแสดงกับวงดนตรีรําวงย้อนยุค หาเงินสร้างศาลาการเปรียญวัดริมหาด ชิงเงินรางวัลห้าหมื่นบาท
“ไอ้เทวาเกิดแน่แล้ว...” เทวายิ้มย่อง
แสงจันทร์นั่งที่โต๊ะอาหาร มีอาหารจานเดียววางอยู่ตรงหน้าและที่เก้าอี้ของเทวาด้วย
“ทานข้าวได้แล้วจ้า พ่อนักร้องเสียงทอง”
เทวาเดินกลับมาสีหน้าแช่มชื่น
ฤทธิ์คิดอยากประลองวิชา ก็เลยหงายมือขึ้น หลับตา กําหนดจิต พลันไฟในเตาลุกโชน แม่ค้าร้องตกใจ เทวาหันไปด้วยความตกใจ
อาหารในจานของเทวากับแสงจันทร์มีไฟลุกพรึบแสงจันทร์ตกใจร้อง “ว้าย”
แสงจันทร์กระโดดหนี พลันไฟก็ลุกพรึบไปที่โต๊ะต่างๆ
แม่ค้าตะโกนลั่น “ช่วยด้วย...ไฟไหม้ๆๆ”
ทุกคนต่างตกใจ พากันวิ่งออกนอกร้าน เทวาจ้องไปที่ไฟพลันเกิดลมหอบ เป็นลูกไฟ ลอยออกไปข้างนอกเป็น
ลูกไฟบนฟ้าแล้วหายไปในอากาศ ฤทธิ์มองดูด้วยสายตาไม่พอใจ
แสงจันทร์ตะลึง “เป็นไปได้ยังไงเนี่ย...เกิดอะไรขึ้นคะเทวา”
เทวาไม่ตอบแต่หันไปเห็นแม่ค้าเป็นลม ร่างร่วงลงกับพื้น เทวารีบวิ่งมาช่วย
“ป้าๆๆๆ ป้ า”
“เป็นลมแน่ๆ เลยค่ะ”
ฤทธิ์รีบเดินหนี สีหน้าไม่พอใจ

ฤทธิ์เดินเข้ามาในอู่ เตะอุปกรณ์ที่ขวางหน้าอย่างระบายอารมณ์ แสงรีบมาบอก
“เฮียเรียกน่ะพี่ฤทธิ์”
ชาติยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ฤทธิ์มองไปชาติถามเสียงขุ่น “ไปไหนมาวะ”
“เดินเล่น...หรือถ้าเฮียไม่พอใจ ผมลาออกก็ได้นะ” ฤทธิ์พูดด้วยท่าทียโส
ชาติโมโห “ไอ้ฤทธิ์ เอ็งอย่าท้าข้านะโว้ย...ถ้าข้าบอกเสี่ยคงคาว่าไม่ให้รับเอ็งเข้าทํางานที่ไหนบนชายหาดนี้ หรือ
แม้กระทั่งบนเกาะมุกบ้านเอ็ง เมื่อนั้นเอ็งก็จะอดตาย”
ฤทธิ์อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ตรงไปที่รถคันหนึ่งซึ่งซ่อมค้างไว้ ชาติเดินตามมา แสงยืนมองอยู่ห่างๆ
“อิทธิพลของเสี่ยคงคาไม่ได้มีแค่นี้นะไอ้ฤทธิ์....เขามีอิทธิพลไปทุกวงการ...สังวรณ์ไว้บ้าง”
ฤทธิ์ไม่ตอบสอดตัวเข้าใต้ท้องรถ ใบหน้าของฤทธิ์บึ้งตึงแค้นเคือง มือทั้งสองกางออกเป็นสัญญาณว่ากําลังใช้พลังเทวดา...พลันเสียงของแสงก็เอะอะดังขึ้น
“เฮีย...ไฟไหม้...ไฟไหม้”
ฤทธิ์ยิ้มร้ายสมใจ ขณะที่ด้านนอก เห็นแสงกับชาติวิ่งวุ่นดับไฟที่มุมเก็บวัสดุเหลือใช้
“เร็วสิวะ...ช่วยกัน”
ลูกน้องของชาติกรูกันออกมาจากมุมต่างๆ เป็นที่อลหม่าน

ในห้องโถงบ้านคงคาเวลานี้ คํารณกราบแม่ที่ตัก กานดาลูบผมลูกชายด้วยความรัก
“กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาซะทีนะคํารณ”
“ครับแม่...”
“ดีแล้ว...แกจะได้ช่วยฉันทําธุรกิจด้วย”
“ผมยังไม่ทราบเลยว่าครอบครัวของเรามีธุรกิจอะไร...รู้แต่ว่าทางนี้ส่งเงินให้ผมใช้ไม่ขาดมือ...เรามีธุรกิจอะไร
หรือครับ คุณพ่อ”
หยาดฟ้าสบตากับคงคาทันที กานดาจ้องหน้าคงคา พร้อมเดินเข้ามาพอดี มีพันตามหลังมาด้วย
“พร้อม...พาคุณผู้หญิงไปพักที่เรือนเล็ก”
“คุณแม่เป็นอะไรหรือครับ...” คำรณฉงน
“แม่...”
คงคารีบสวนทันที “แม่แกเขาโรคเยอะ...ต้องกินยาเป็นประจํา แกอย่าถ่วงแม่แกไว้เลย...แม่เขาจะได้พักผ่อน” เสี่ยหันไปเร่งพร้อม “เร็วสินังพร้อม”
“ค่ะๆ คุณผู้หญิงเชิญค่ะ” พร้อมประคองกานดาขึ้น
กานดาบ่น “ฉันไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
หยาดฟ้าสอดขึ้น “คนป่วย ก็ชอบพูดยังงี้แหละ คิดว่าตัวเองหาย เหมือนคนบ้าไง ชอบบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้า”
กานดาขึ้นเสียง “หยาดฟ้า”
“หยาดหวังดี กลัวว่าคุณพี่จะเครียด เดี๋ยวไม่ได้กินยาตามหมอสั่ง รีบพาคุณพี่ไปสินังพร้อม”
“ค่ะๆๆ คุณหยาด”
พร้อมประคองกานดาไป กานดาสะบัด

“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้”

อ่านต่อหน้า 4

พายุเทวดา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เมื่อกานดากับพร้อมลับตาไปแล้ว คํารณก็เอ่ยถามขึ้นทันที

“คุณแม่เป็นอะไรหรือครับ”
“ประสาท...ต้องกินยาระงับประสาททุกสองชั่วโมง พ่อเลยต้องย้ายให้ไปอยู่เรือนเล็ก แกอย่าไปสนใจเขาเลย
มาคุยเรื่องของเราดีกว่า...นี่ไอ้พัน” พันยกมือไหว้คํารณ “มันจะทําหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้แก”
“ผมว่างานของคุณพ่อคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถึงต้องมีมือปืนประจําตัวให้ผม” คำรณพอจะเข้าใจ
“แกนี่สมกับเป็นลูกพ่อจริงๆ” เสี่ยหัวเราะชอบใจ “บางทีพ่อก็ไม่ได้อยากทําหรอก...แต่มันจําเป็น แล้วมันก็ไม่มีงานอะไรที่จะทําเงินให้เรามหาศาลเท่ามัน”
“เล่าให้ผมฟังหน่อยไม่ได้เหรอครับ ว่าคุณพ่อทําอะไร”
“แกค่อย ๆรู้ไปก็แล้วกัน...วันนี้แกพักผ่อนก่อนเถอะอยากรู้อะไรก็ถามจากไอ้พัน”
พันโค้งให้คํารณ หยาดฟ้าบอก “หยาดให้นังหวานใจจัดห้องให้คุณคํารณแล้วค่ะ...เดี๋ยวหยาดจะพาไปนะคะ”

หวานใจกําลังทําความสะอาดอยู่ พันเดินนําเข้ามาก่อน
“เจ้านายมาแล้ว...ยังไม่เสร็จเหรอ มัวทําอะไรอยู่”
หวานใจบ่นบ้า “อุ๊ย งานล้นหัวล้นหูยังงี้ นังหวานจะเอาแรงที่ไหนไปทํามีมือแค่สองมือนะฮะ ไม่ได้เป็ นทศกัณฐ์นี่...ฮึ”
พันด่า “ไม่ต้องพูด รีบทําเข้า”
หวานใจทําท่าจะเถียงต่อ แต่เห็นคํารณเดินมากับหยาดฟ้าก็ตะลึงใจความหล่อของคํารณ
“หวาน...นี่คุณคํารณ เจ้านายของแก” หยาดฟ้าบอก
หวานใจย่อตัวไหว้ชดช้อย “หวานขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณคํารณด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรให้หวานรับใช้ก็เรียกได้เลยค่ะ หวานนวดเก่ง นะคะ จับเส้นเป็นที่หนึ่ง”
พันปราม “หวานใจ”
“หวานทําได้จริงๆ นี่พี่พัน”
คํารณยกมือห้าม “พอแล้ว ไม่ต้องพูด ถ้าฉันไม่เรียกก็ไม่ต้องสะเออะเข้ามา ในห้องนี้ล่ะ”
หวานใจอึ้งไป ไม่คิดว่าคํารณจะพูดอย่างนี้หน้าจ๋อยไปเลย

หยาดฟ้าบอก “นังหวานใจมันพูดได้ทั้งวันแหละค่ะคุณคํารณ...มัน อาจจะดูน่ารําคาญไปบ้าง แต่บางอย่างมันก็เป็นประโยชน์กับคุณได้นะคะ”
“ไว้ให้ฉันเห็นว่าเขามีประโยชน์อะไรก่อนนะ..คุณหยาด ผมจะเรียกใช้เขาเอง...ออกไปได้แล้ว”
หวานใจเก็บอุปกรณ์ทําความสะอาดออกไป
“ไม่คิดว่าคุณพ่อจะเลี้ยงคนอย่างหวานใจไว้ในบ้านด้วย”
พันบอก “เห็นมันอย่างนี้มันยิงปืนแม่น แล้วก็เตะต่อยไม่แพ้ผู้ชายนะครับ”
“เหรอ...ถ้างั้นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง” คํารณว่า

อีกมุมหนึ่งหยาดฟ้าบอกกับหวานใจที่หน้าคว่ำอยู่
“คุณคํารณเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก...อย่าทําอะไรให้เขารําคาญแกล่ะ ไม่งั้นแกจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ค่ะคุณหยาด”
“หน้าที่ของแกก็คือคอยสาระแนสืบข่าวจากเรือนเล็กว่าเกิดอะไรขึ้นกับนังกานดา...แล้วก็อย่าให้นังกานดาขึ้น
มาวุ่นวายบนตึกใหญ่ได้...ทําได้มั้ย”
“อุ๊ย แค่นี้สบายมากค่ะคุณหยาด”
“ดี...แล้วก็จําไว้ว่า ถ้ามีใครมาพบเสี่ยคงคาหรือคุณคํารณ แกจะต้องหาทางสืบข่าวว่ามันเป็นใคร แล้วมา
ทําไม แกต้องรายงานฉันทุกครั้ง จําไว้นังหวาน”
หยาดฟ้ าหยิบเงินส่งให้ราว 5 พันบาท หวานรับไปนับเงินอย่างรวดเร็ว
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...ว้าย ตั้งห้าพัน แบบนี้นังหวานทํางานถวายหัวเลยค่ะคุณหยาด”
หยาดฟ้ายิ้มพอใจ

ที่ท่าเรือเกาะมุก ก้องเข็นกระเป๋าให้แก่คนที่มาขึ้นเรือที่เกาะมุก เห็นเทวากับแสงจันทร์เดินมาคู่กัน
“ก้อง...เป็นไงวะ มาข้าช่วย” เทวาทัก
“เฮ้ย ไม่ได้ นี่มันงานของข้านะโว้ย เดี๋ยวข้าไม่ได้ค่าจ้าง”
“เออน่า...”
ก้องไม่ยอม หัวเราะร่า “เอ็งพานางฟ้าไปส่งที่บ้านเถอะวะ ท่าทางมีคนรอคอยหลายคน”
ก้องเข็นรถไป คนโดยสารอื่นๆ เดินตามไป เทวากับแสงจันทร์งงๆ แต่ก็เดินไป
สิงห์เดินสวนมาพอดี “พี่มนต์มาดักพบเอ็งสองหนแล้ว..มีไรกันหรือเปล่าวะ”
เทวางงๆ แสงจันทร์เอ่ยขึ้น “แล้วครูมนต์อยู่ไหน”
สิงห์บอก “ไม่รู้”
“ฉันกลับบ้านเองได้ เทวากลับวัดเถอะ” แสงจันทร์บอก
สิงห์ยังยืนคอยอยู่ เทวาบอก “อย่าเลย...พี่ไปส่งที่บ้านแหละ”
สิงห์ตะโกนตามหลังมา “มีไรก็ค่อยๆ พูดกันนะโว้ย อย่าให้พี่น้องต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องผู้หญิง”
แสงจันทร์ชะงักหันไป เทวาดึงแขนแสงจันทร์
“อย่าไปสนใจเลยแสงจันทร์ ไอ้สิงห์มันปากหมายังงี้แหละ...พี่ไปส่งที่บ้านเอง”
แสงจันทร์พยักหน้า เดินไปกับเทวา

เดชยืนกอดอกอยู่ข้างรถตรงท่ารถ เห็นเทวากับแสงจันทร์เดินมา ถือของพะรุงพะรัง
“สองแถวมั้ยครับ พี่น้อง”
แสงจันทร์บอก “ไปส่งฉันที่บ้านทีสิ”
“เชิญครับ”
แสงจันทร์หันมาบอกเทวา “ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก”
แสงจันทร์ก้าวขึ้นรถ เทวามองตาม แต่แล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งคู่
เดชในตําแหน่งคนขับ “เรียบร้อยนะคร้าบ”

เดชขับออกไป สิงห์ยืนดูอยู่ ก้องแบกของขึ้นรถคันหนึ่งที่อยู่ตรงท่ารถ รับเงินค่าจ้าง หันมาก็
เห็นสิงห์ยืนอยู่ สิงห์
“กูหวังว่าเทวากับพี่มนต์จะไม่ทะเลาะกันเพราะนังแสงจันทร์นะโว้ย”
“พี่มนต์น่าจะดูออกว่านังแสงจันทร์มันชอบเทวา ไม่ได้ชอบพี่มนต์...แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละวะ”
สิงห์พยักหน้า ยืนคู่กับก้องมองตามรถไป

เทวากับแสงจันทร์เดินเข้ามาในบ้าน วางอุปกรณ์การศึกษาที่ซื้อมาไว้ที่มุมหนึ่ง เทวาไหว้สน
“หวัดดีจ้าลุงสน”
สนรับไหว้ “เออ...ทําไมกลับกันมามืดคํ่าจังล่ะ”
“เกือบไม่ได้มาแล้วละพ่อ” แสงจันทร์บอก
แสงดาวกับมนต์หันไปมองหน้าแสงจันทร์
“เกิดอะไรขึ้นวะ” สนแปลกใจ
“ไฟไหม้...แปลกมากเลย กินข้าวกันอยู่ดีๆ ไฟก็ลุกท่วมจานข้าวทุกโต๊ะเลย แม่ค้าเป็นลม แต่แล้วก็มีลมหอบไป
ได้ ถ้าไม่มีลมนะ ไฟคงไหม้หมดตลาด”
มนต์มองหน้าเทวาทันที แต่ไม่มีใครพูดอะไรกัน
“มีใครเล่นกลมั้ง”
“ไม่ใช่หรอกแสงดาว...เพราะพอไฟที่ร้านอาหารดับหมดรถหวอก็วิ่งกันทั้งเมือง ไฟไหม้ที่ไหนสักแห่ง”
“แปลก มันเกิดอาเพศอะไรขึ้นกันนะ” สนบ่น
“แล้วพี่สองคนไปเกี่ยวอะไรกับไฟไหม้ด้วยล่ะ”
“พี่เทวาช่วยปฐมพยาบาลแม่ค้า จนไม่ทันเรือเที่ยวบ่าย..เลยต้องกลับเที่ยวเย็น”

ค่ำนั้นทุกคนนั่งคุยกันตรงโขดหินริมหาด มนต์มั่นใจว่าเป็นฝีมือของฤทิ์
“พี่ว่าต้องเกิดจากพลังเทวดาของพี่ฤทธิ์แน่ๆ พวกนายว่าไง...คิดเหมือนกันหรือเปล่า”
ก้องเห็นด้วย “มันแน่อยู่แล้ว”
เดชถาม “เราจะบอกเรื่องนี้กับหลวงปู่ หรือเปล่า”
“ผมไม่อยากยุ่งเลยนะพี่มนต์...แค่นี้พี่ฤทธิ์ก็มองผมไม่ดีอยู่แล้ว จะหาว่าผมเอาเรื่องนี้ไปฟ้ องหลวงปู่ อีก”
สิงห์ท้วง “แล้วถ้าพี่ฤทธิ์ขาดสติ ทําไฟไหม้บ้านคนจนเดือดร้อนไป ทั่วจะว่าไงล่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน สีหน้าอึดอัด สุดท้ายมนต์เอ่ยขึ้น
“อย่าเพิ่งบอกหลวงปู่ เลย...พี่จะลองพูดกับพี่ฤทธิ์อีกที บางที เขาอาจจะไม่ได้เป็ นอย่างที่เราเข้าใจก็ได้”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

ค่ำนั้น ทุกคนเดินเข้ามาในวัดพร้อมๆ กัน บุญกู้กําลังเดินไปที่โบสถ์ หันมาหาเห็น
“พร้อมหน้าพร้อมตากันจังคืนนี้ ขาดแต่ฤทธิ์คนเดียว”
“เดี๋ยวพี่ฤทธิ์คงกลับมาแหละน้าบุญกู้”
“น้าบุญกู้รู้มั้ยว่าสิ้นเดือนนี้ไอ้เทวาจะประกวดร้องเพลงที่วัดริมหาด น้าว่ามันจะได้รางวัลมั้ย”
“ไอ้สิงห์ น้าเขาจะรู้อะไรวะ”
“แต่เทวาเสียงดี พี่ว่าได้รางวัลแน่ๆ พวกเราไปเชียร์กันนะ...แล้วเทวาก็อย่าลืมซ้อมล่ะ พวกเราไม่อยู่ก็ซ้อมให้
น้าบุญกู้ฟังก็ได้” มนต์ว่า
“ไม่ต้อง ข้าหนวกหู”
บุญกู้เดินออกไป ก้องหัวเราะ “ไอ้เทวา ขนาดน้าบุญกู้ยังไม่อยากฟัง เอ็งจะเหลืออะไรวะ”
ทุกคนหัวเราะเฮฮากัน
“พวกนายคอยดูนะ ฉันจะเอารางวัลมาเลี้ยงพวกนายให้ได้ จะซ้อมตั้งแต่คืนนี้เลย...แล้วคอยดูว่าไอ้เทวาทําได้
หรือเปล่า”
“พี่เชื่อว่าถ้าเทวาตั้งใจ นายก็ต้องประสบความสําเร็จสักวันหนึ่งแหละ” มนต์ให้กำลังใจ
“ฉันก็พูดไปยังงั้นแหละ ถึงไงเราก็เชียร์เทวามันอยู่แล้ว” ก้องบอก
“งั้นคืนที่มันประกวด เราไปเชียร์กันทุกคนเลยดีมั้ย” สิงห์ว่า
ทุกคนเห็นด้วยกับสิงห์ สีหน้าทุกคนอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่าที่มุมมืดมุมหนึ่ง ฤทธิ์ยืนแอบฟังอยู่ สีหน้าไม่พอใจ

บุญกู้เข้ามาในโบสถ์เห็นเงาของหลวงปู่หาญนั่งสมาธิหันหลังให้ บุญกู้ค่อยๆ เข้าไปไม่ให้มีเสียงดัง เกรงว่าจะรบกวนหลวงปู่ จุดเทียนที่หน้าพระประธาน จนเห็นแสงสว่างสวยงามรับพระพักตร์พระพุทธรูปในอุโบสถ
บุญกู้กําลังจะออกมา หลวงปู่พูดโดยไม่ลืมตา “หลังสองยาม เรียกเด็กๆ ทุกคนมาหาหลวงปู่ ที่นี่นะ”
“ครับหลวงปู่”

ฝ่ายดารินนั่งคุยกับเนตรทรายเงียบๆ “น่าแปลกมาก แม่เกลียดเกาะมุก และถ้าเอ่ยถึงเกาะมุก
เมื่อไหร่ แม่จะร้องไห้ หรือไม่ก็พาลโกรธรินทุกครั้งเลยเนตร...”
“ก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะ แล้วอาบุญเกิดไม่เล่าอะไรให้เธอฟังเลยเหรอริน..เนตรว่าแม่ของรินน่าจะมีอดีตบาง
อย่างฝังใจอยู่ที่เกาะมุก”
ดารินส่ายหน้า “ไม่เลย..อาบุญเกิดสัญญาว่าจะเล่าให้ฟัง แม่ก็เคยพูดแต่รินยังไม่เคยได้ยินอะไรจากทั้งสองท่านเลย รินอยาก ให้เนตรช่วยเรื่องนี้”
เนตรทรายงง “ช่วยยังไง”
“ช่วยหาแฟ้มคดีเก่าๆ ที่เกิดขึ้นที่เกาะมุกให้ทีสิ...บางที อาจทําให้รินตาสว่างได้”
พอดีดารินหันไปก็เห็นบุญเกิดแอบฟังอยู่ รีบลุกขึ้น
“อาบุญเกิด...อาคะ...อา...”
บุญเกิดเดินหนีไป ดารินตามไปจนทัน บุญเกิดหันมาพูดเบาๆ
“ถ้าไม่อยากให้แม่มณีเสียใจไปมากกว่านี้ก็อย่าพูดถึงเกาะมุกอีก...รับปากอาได้มั้ย”
“ทั้งทีรินอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของรินเหรอคะ”
“อาก็แค่ขอร้อง ส่วนหนูรินจะคิดยังไงก็สุดแท้แต่”
บุญเกิดเดินไป ดารินหันมาก็เห็นเนตรทรายเดินมาหาพอดี
“ฉันสัญญาว่าจะหาข้อมูลมาให้เธอ...แต่จะนานแค่ไหน ไม่รู้นะ...”
ดารินยิ้มขอบคุณ “ ขอบใจมากจ้ะเนตร”
“เนตรจะกลับแล้ว พาเนตรไปลาแม่มณีหน่อยสิ”

มณีกอดเนตรทรายที่เข้ามาลากลับ “แล้วมาหาแม่ใหม่นะหนูเนตร”
“ค่ะแม่...แล้วเนตรจะมาหานะคะ เนตรไปก่อนนะคะ”
เนตรทรายไหว้มณีที่ไหล่ มณีกอดตอบ “ คืนนี้ร้อนจังนะ...อบอ้าวจัง”
“ฝนคงจะตกมังคะ” เนตรทรายว่า
“หน้าร้อนไม่ใช่เหรอ ฝนไม่ตกหรอก...แม่ไม่ชอบเปิดแอร์นอนซะด้วย...ถ้าฝนตกคงนอนสบาย”
ดารินนิ่งฟังแม่สีหน้าครุ่นคิด

ดารินออกมาส่งเนตรทรายที่หน้าบ้าน เห็นเนตรทรายขับรถออกไปแล้ว ดารินก็ปิดประตูรั้ว มองไปที่ท้องฟ้ า
“ร้อนอย่างที่แม่บอกจริงๆ ด้วย ลมไม่มีเลย...ขอให้ฝนตกลงมาด้วยเถิด...แม่จะได้นอนสบาย”
ดารินมองกราดไปทั่วท้องฟ้า แลเห็นลมเริ่มพัดสะบัดที่ต้นไม้ บุญเกิดแอบมองอยู่ด้านในบ้าน ด้วยสีหน้าแปลกใจ พริบตานั้นเองฝนเริ่มตกลงมา ดารินวิ่งเข้าไปในบ้าน

บุญเกิดยืนนิ่งอยู่ ขณะที่ดารินวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างตื่นเต้น
“ตลกจังค่ะอา...รินบอกว่าอยากให้ฝนตก แม่จะได้นอน สบาย ฝนก็ตกลงมาจริงๆ ไม่ใช่หน้าฝนซะหน่อย เล่าให้
ใครฟังเขาคงไม่เชื่อแล้วก็ว่ารินประสาท”
“ก็แปลกดีนะริน...อาคิดว่ามันบังเอิญมากกว่าน่ะ...ไปนอนเถอะ”
“ค่ะอา...”

เทวานั่งสมาธิอยู่ตรงโขดหินริมหาด ฤทธิ์เดินมา มองเทวาด้วยสายตาไม่พอใจบ่นเบาๆ “มึงแน่นักหรือวะไอ้เทวา”
ฤทธิ์หลับตาทําสมาธิ แล้วหงายมือ แสงสายฟ้าเป็นประกายขึ้นที่ฝ่ามือ
“กูจะเรียกสายฟ้าให้ผ่ามึง”

ขาดคำท้องฟ้าเริ่มแลบแปลบปลาบเป็นประกาย

หลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์มหาอุตม์ ลืมตาขึ้นในความมืดสลัว เห็นแสงเทียนส่องอยู่ด้านหลัง

ฤทธิ์มองสายฟ้าอยู่ตรงโขดหินริมทะเล แล้วก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง แต่ไม่ผ่าลงที่เทวา กลับผ่าลงทะเล เกิดเป็นแสงสว่างวาบ สะท้อนกับท้องน้ำเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เทวาลืมตาขึ้น มองที่ทะเล แล้วหันไปมองที่ฤทธิ์
“พี่ฤทธิ์”
ฤทธิ์หันหลังกลับ เทวายืนขึ้น แล้วกระโดดดุจลมพัด มาเหยียบไหล่ฤทธิ์ จนฤทธิ์ที่ไม่ทันตั้งตัวล้มลงไป ทั้งสองต่อยกันกลิ้งไปตามพื้นทราย
“ไอ้เทวา มึงจะทําอะไรกู”
เทวากลับตัวมาอยู่เหนือร่างของฤทธิ์ ตะคอกตอบ
“พี่ฤทธิ์คิดจะใช้สายฟ้าฆ่าผมเหรอ”
“กูไม่รู้เรื่องด้วย”
ฤทธิ์สะบัดตัวออกได้ เทวากับฤทธิ์ยืนเผชิญหน้ากัน
“เสียแรงที่ผมนับถือพี่ฤทธิ์...ไม่คิดเลยว่าพี่ฤทธิ์คิดชั่วๆ กับผมแบบนี้”
ฤทธิ์ปฏิเสธลั่น “กูไม่รู้เรื่อง ฟ้ามันก็ผ่าของมันตามปกติ มึงอย่าหาเรื่องกูนะ ไอ้เทวา”
เทวายิ้มเยาะ “ครั้งนี้ผมจะเชื่อพี่...แต่ผมบอกไว้ก่อนนะว่าพี่อย่าทําให้ผมหมดความนับถือในตัวพี่...ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าผม โหดร้ายกับพี่นะ”
เทวาเดินหนีไป ฤทธิ์มองตาม สายตาอาฆาต

บุญกู้กับทุกคนยืนรออยู่ในบริเวณวัด เทวาเดินมาเห็นทุกคนเข้า ก็มองอย่างงงงๆ
“หลวงปู่ ให้มาตามเอ็งกับเจ้าฤทธิ์ไปพบที่โบสถ์” บุญกู้บอก
เทวามองหน้าเพื่อนๆ แล้วก็พยักหน้า ทุกคนมองเทวาอย่างเข้าใจ เทวาเดินนำไป
ฤทธิ์มาถึงพอดีถามด้วยเสียงไม่พอใจแกมประชด “ไอ้เทวามันมาฟ้ องอะไรละสิ”
“ไม่มีใครเขาทําอะไรหรอกฤทธิ์...น้าก็แค่มาดักเจอเอ็งสองคน...หลวงปู่ ให้มาตามไปพบที่โบสถ์”
ฤทธิ์บอกอย่างอวดดี “ถ้าผมไม่ไปล่ะ”
บุญกู้มองหน้า “เอ็งก็ออกไปจากวัดนี้เลย”
“รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอน้าบุญกู้” ฤทธิ์หันมาทางน้องๆ “พวกเอ็งว่าไงวะที่น้าบุญกู้พูดกับพี่น่ะ”
ฤทธิ์นั้นหวังว่าน้องๆ จะเข้าข้าง แต่ทุกคนนิ่งเงียบ
เดชเอ่ยขึ้น “พี่ฤทธิ์ก็รู้ว่าคนสําคัญที่สุดในชีวิตเราก็คือหลวงปู่ รองลงมาก็คือน้าบุญกู้”
ฤทธิ์ย้อนถาม “หมายความว่าไงวะ”
ก้องบอกทันที “ก็หมายความว่า ถ้าน้าบุญกู้พูดยังไงก็ต้องเป็นยังงั้น”
สิงห์เอ่ยเสริม “พี่ฤทธิ์ลืมแล้วเหรอว่าคนสองคนนี้เลี้ยงเรามา...เราไม่มีพ่อ ไม่มีแม่เหมือนคนอื่น ก็เท่ากับว่าสองคนนี้เป็นพ่อ แม่ของเรา”
“พี่ฤทธิ์ ไปพบหลวงตาดีกว่า...พวกเราจะไปเป็นพยานเอง...จะได้ยุติธรรมทั้งแก่พี่ฤทธิ์และและเทวาด้วย” มนต์บอก
ฤทธิ์โมโห “ทําไมพวกเอ็งต้องยุ่งด้วยวะ”
เดชเป็นฝ่ายย้อนถาม “พี่ฤทธิ์กลัวอะไรล่ะ”
ก้องเหน็บ “ถ้าบริสุทธิ์ ใจก็ไม่ต้องกลัว”
บุญกู้รีบตัดบท “รีบไปพบหลวงปู่ กันเถอะ”

ทุกคนนั่งอยู่ตรงหน้าหลวงปู่หาญภายในโบสถ์แล้ว ฤทธิ์มองหน้าเทวาไม่พอใจ เทวาหันมาสบตาฤทธิ์
แล้วเมินไปทางอื่น
หลวงปู่มองหน้า ลูกเทวดาทั้ง 6 แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...ปู่เลี้ยงพวกเจ้ามา เจ้าคิดอะไร ปู่รู้หมด...เอาเป็นว่าทุกคนรับปากปู่ ได้มั้ยว่าจะไม่ทะเลาะกัน...จะรักและสามัคคีกัน...พลังเทวดาจะศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อทุกคนรวมพลังกัน แม้ขาดไปบ้าง แต่ก็ต้องครบหกคน”
บุญกู้ถามขัดขึ้นอย่างเกรงใจ “หกหรือครับ”
หลวงปู่พยักหน้า “ใช่...หก”
“ถ้าอย่างนั้นก็เห็นจะยากละครับ...บอกตรงๆ ว่าผมไม่แน่ใจว่าจะรวมตัวกับพวกมันได้หรือเปล่า” ฤทธิ์ว่า
บุญกู้ฉุน “ไอ้ฤทธิ์ กล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าหลวงปู่ เลยหรือวะ”
“น้าบุญกู้...ผมมีชีวิตของผม..ใครจะมาเป็นเจ้าของชีวิตผมไม่ได้” ฤทธิ์เสียงแข็งใส่
ทุกคนมองหน้าฤทธิ์อย่างไม่พอใจ หลวงปู่บอก “ขาดเจ้าเสียคน ก็คงไม่เป็นไรหรอก”
มนต์ท้วงขึ้นมา “แต่ก็ไม่ครบหกสิครับ...เรามีกันหกคน โตมาด้วยกัน...เล่นด้วยกัน ต่อสู้มาด้วยกัน...แล้วทําไมพี่ฤทธิ์ถึงจะทิ้งเราไป”
“เอ็งจะคิดอะไรมากล่ะมนต์ ขนาดหลวงปู่ ยังพูดว่าขาดข้าคนหนึ่ง ยังไม่เป็นไร” ฤทธิ์พูดด้วยความน้อยใจ
หลวงปู่หาญสบตาบุญกู้พลางทอดถอนใจ บุญกู้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่ได้มีแค่หกคน”
ทุกคนหันมาทางบุญกู้ทันที เทวาถามก่อนใคร “น้าบุญกู้หมายความว่ายังไง...ยังมีใครอื่นอีกหรือครับ”
“พวกเจ้ามาด้วยกันเจ็ดคน...แต่คนที่เจ็ดเป็นผู้หญิง หาก เมื่อใดน้องสาวของเจ้ามารวมตัวกันได้ เจ็ดคนพลังก็
ยิ่งใหญ่...แต่ถ้ารวมไม่ได้...หกคนก็ยังไม่มีใครทําอะไร พวกเทวดาอย่างพวกเจ้าได้”
ทุกคนมองหน้าหลวงปู่ นิ่งนาน
บุญกู้บอก “กลับกันได้แล้ว หลวงปู่ จะจําวัด”

ทุกคนทยอยเดินออกมา หน้าเครียดถ้วนทั่ว ยืนคอยกันจนเดินมาครบคน ฤทธิ์ประกาศก้อง
“วันนี้ ข้าได้รู้แล้ว หลวงปู่ ไม่ได้รักข้าเลย...ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่าวันใดที่ข้าออกไปจากที่นี่...อย่าหาว่าข้าเนรคุณก็แล้วกัน”
มนต์ขอร้อง “ไม่เอาน่าพี่ฤทธิ์ หลวงปู่ กับน้าบุญกู้จะเสียใจ”
บุญกู้ออกมายืนดูเหตุการณ์หน้าเครียดอยู่
เทวาเอ่ยขึ้น “พี่ฤทธิ์...ถ้าจะให้ผมขอโทษพี่ ให้กราบเท้าก็ได้ เพื่อแลกกับความรักที่พี่ฤทธิ์คนเดิมมีให้พวกเรา ผมก็ยอม”
“แน่นะ” ฤทธิ์ย้ำ
“ครับ”
ฤทธิ์ยืนนิ่ง คลี่ยิ้มตรงมุมปาก เทวาเดินไปใกล้ ทุกคนจะค้าน แต่ไม่มีใครกล้าท้วง
“ผมขอโทษนะครับพี่ฤทธิ์ ถ้าผมทําอะไรให้พี่ฤทธิ์ไม่ พอใจ”
เทวานั่งคุกเข่าลงแล้วกราบเท้าฤทธิ์ เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันมาทางมนต์
“คนอย่างผมไม่มีศักดิ์ศรีอะไรมากหรอกครับ ผมรักพี่ฤทธิ์ และอยากให้พี่ฤทธิ์คนเดิมกลับคืนมา”
เทวายืนขึ้นทุกคนมองดู ฤทธิ์ตบต้นแขนเทวา
“พี่ก็ต้องขอโทษนายด้วย เทวา”
สองหนุ่มยิ้มให้กัน เทวาโผกอดฤทธิ์

ทุกคนยิ้มดีใจ โดยไม่มีใครทันสังเกตว่าในสีหน้ายิ้มแย้มของฤทธิ์ ดวงตาของเขายังขุ่นแค้น และอาฆาตเหมือนเดิม

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น