ลูกทาส ตอนที่ 5
กลางคืนคืนหนึ่ง ณ พระที่นั่งสมมุติเทวราช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงประทับอยู่บนที่ประทับว่าราชการ โดยมีเจ้าคุณ พระนิติธรรม และขุนนางคนอื่นหมอบกราบเข้าเฝ้ากันอยู่ พระยาไชยากร และ พระนิติธรรม ชำเลืองมองกันเล็กน้อย แล้วเจ้าคุณก็เบือนหน้าไปทางอื่น ด้วยความเกลียดขี้หน้าพระนิติธรรม
"ในวันที่ 1 กันยายน พุทธศักราช 2429 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ผู้สำเร็จราชการมหาดไทย ได้สิ้นพระชนม์ลง"
ขุนนางคนหนึ่ง นาม "เจ้าพระยาพลเทพ" คลานเข่าออกมาต่อหน้าที่ประทับ แล้วกราบถวายบังคม
" จึงทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าพระยาพลเทพ (รอด) ได้บัญชามหาดไทยแทน และได้ขึ้นเป็นเจ้าพระยารัตนบดินทร์"
ผ่านมาหลายวัน ณ บ้านพระยาไชยากรตอนเช้า ภายในครัว น้ำทิพย์กำลังควบคุมพวกทาสทำอาหารไปถวายพระอยู่
น้ำทิพย์ชิมแกงที่บ่าวไพร่ทำ
"รสอ่อนเกินไป เติมเกลือเพิ่มอีกนิดนะ"
ทาส 1บอก
"เจ้าค่ะ คุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์เดินเลี่ยงไปดูกับข้าวอย่างอื่น ขณะนั้นเอง อ้อนก็รีบเข้ามาหาน้ำทิพย์ ด้วยท่าทางตื่นเต้น
"คุณน้ำทิพย์เจ้าคะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเราแล้วเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์แปลกใจ
"อะไรกันจ๊ะนม เกิดอะไรขึ้น"
"ก็ท่านเจ้าพระยารัตนบดินทร์ ผู้บัญชามหาดไทยคนใหม่น่ะสิเจ้าคะ ท่านมีคำสั่งให้เลื่อนการแต่งตั้ง ผู้ที่จะได้ยศขุนออกไปเป็นปีหน้า เช่นนี้แล้ว การขึ้นเป็นขุนของคุณมาโนชก็ต้องเลื่อนออกไปด้วย คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองทูนหัวของนมแท้ๆ เลย ไม่ต้องหมั้นกับคุณมาโนชแล้วเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์ดีใจสุดๆ กอดนมอ้อนตอบอย่างมีความสุขด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโล่งอกดีใจ
พระยาไชยากรกำลังคุยกับมาโนชอย่างหงุดหงิดที่บ้านเช่า โดยมีนิ่มอยู่ใกล้ๆ
" เรื่องแค่นี้ พ่อมาโนชถึงกับให้ไอ้บุญมีพามาหาอาถึงที่นี่เชียวรึ วันนี้เป็นวันพักของอา มีอะไรไว้ค่อยคุยกันที่เรือนไม่ได้หรือยังไง"
มาโนชเครียดหนัก
"เรื่องแค่นี้หรือขอรับ ตำแหน่งขุนของกระผมหลุดลอย มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะรอได้นะขอรับ"
"ก็แค่ปีเดียว ปีหน้าอาก็ค่อยเสนอชื่อขึ้นไปใหม่ก็ได้"
มาโนชเครียดหนัก
"ปีหน้า ก็ต้องมีคนใหม่มาคัดเลือกเพิ่มขึ้นอีก เกิดกระผมไม่ได้ขึ้นมา ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกปีหรือขอรับ ถ้าอย่างไรเสียคุณอาไปคุยกับท่านเจ้าพระยาให้เป็นปีนี้ไม่ได้หรือขอรับ"
เจ้าคุณหงุดหงิด
"เสด็จในกรมท่านเพิ่งสิ้นพระชนม์ จะมาพูดเรื่องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ มันควรแล้วรึ แลมหาดไทยก็มีงานอีกมากที่ต้องสะสาง ขืนอาไปเซ้าซี้ท่านเจ้าพระยา ได้โดนท่านด่ากลับมาปะไร พ่อมาโนชอย่าร้อนรุ่มนักเลย ขยันทำงานไว้เถิด หากมีผลงานปรากฏ ต่อให้มีคนถูกเสนอชื่อมากเพียงใด ก็หาต้องกลัวไม่"
เมื่อเจ้าคุณพูดอย่างงี้ มาโนชเลยไม่รู้จะทำยังไง
ขณะนั้นเอง อบเชยก็เดินถือถาดใส่น้ำมะตูมกับขนมขึ้นมาให้ นิ่มเห็นทั้งคู่หงุดหงิดใส่กันเลยพยายามเปลี่ยนเรื่อง เข้าไปรับถาดจากอบเชยยิ้มแย้ม
"คุณมาโนชเจ้าคะ รับน้ำกับของว่างก่อนสิเจ้าคะ ฉันทำเองนะคะ"
มาโนชตะคอกสวน
"ไม่กิน ตาไม่มีดู หูไม่มีฟังรึ เวลาแบบนี้ใครจะไปกินอะไรลง"
มาโนชเดินหงุดหงิดลงจากเรือนไป
ไชยากรถอนใจส่ายหน้า
"พ่อมาโนชก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่มีอะไรดอก แม่นิ่มอย่าถือสาเลย"
เจ้าคุณเดินกลับเข้าไปในเรือน ด้วยความเซ็งๆหลานชาย อบเชยหน้าหงิก
"แทนที่จะดุด่าหลานตัวเอง กลับบอกไม่ให้เราถือสา มิน่าหลานชายอีตาพระยานาล่มถึงได้กักขฬะอย่างนี้"
นิ่มปราม
"แม่อบเชย เห็นแก่พี่เถอะ"
อบเชยค้อนปะหลับปะเหลือก นิ่มถือถาดใส่น้ำและขนมเดินเลี่ยงไป
" เป็นหลานพระยาเสียเปล่ากิริยามารยาทสู้ทาสอย่างนายแก้วยังไม่ได้เลย"
แก้วกำลังเดินคุยกับพระนิติธรรมลือชา และคุณกัลยาอยู่
"ต้องถือว่าเป็นบุญของคุณน้ำทิพย์จริงๆขอรับ ตอนแรก คิดว่าคุณน้ำทิพย์คงไม่แคล้วต้องหมั้นหรือแต่งงานกับคุณมาโนชเป็นแน่ แต่กลับเป็นเช่นนี้ไปได้"
"ก็เพียงปีเดียวเท่านั้นดอก ปีหน้าคุณมาโนชก็ยังมีโอกาสได้ขึ้นเป็นขุนอีก" พระนิติธรรมบอก
"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะคุณพี่ พูดเหมือนไม่ให้กำลังใจตัวเองเลย หรือว่าคุณพี่จะเปลี่ยนใจจากคุณน้ำทิพย์แล้ว"
พระนิติธรรมยิ้มขำๆ
"เห็นพี่เป็นคนโลเลไปได้น้องแดง พี่เพียงแต่พูดตามจริง แต่ใช่ว่าพี่จะถอดใจเสียหน่อย เวลาตั้งปี ยังมีอะไรเกิดขึ้นได้อีกตั้งมากมายไม่ใช่รึ"
คุณกัลยาหน้าบึ้งตึง
"มีอะไรเกิดขึ้นได้มากมาย แต่ถ้ามัวแต่นอนใจ ก็คงเหมือนเดิมล่ะค่ะ"
พระนิติธรรมหันไปพูดกับแก้วยิ้มๆ
"ดูสิเจ้าแก้ว น้องสาวฉันร้อนใจอยากมีพี่สะใภ้มากกว่าฉันเสียอีก"
แก้วยิ้มบางๆ แต่ไม่ตอบอะไร ขณะนั้นเอง ก็มีชาวบ้านเข้ามาไหว้ ทักทาย พระนิติธรรมก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่ถือตัวแม้แต่น้อย
คุณกัลยาสีหน้าครุ่นคิด
"แก้ว คุณน้ำทิพย์เธอถวายเพลเสร็จแล้ว จะไปที่ไหนต่อหรือไม่"
"ปกติแล้ว คุณน้ำทิพย์จะแวะซื้อของใช้นิดหน่อยก่อนกลับน่ะขอรับ"
" งั้นก็มีทางแล้ว คุณพี่ของฉันชักช้าไม่ทันใจ คงต้องขอให้แก้วช่วยแล้วล่ะจ้ะ"
แก้วมองคุณกัลยาด้วยความแปลกใจว่าจะให้ช่วยอะไร
เวลาบ่าย บรรยากาศบริเวณร้านค้า น้ำทิพย์กำลังเดินดูของต่างๆอยู่อย่างเพลิดเพลิน โดยมีแก้วเดินตามหลังคอยรับใช้
แก้วท่าทางซึมๆ ไม่ค่อยมีกะใจจะดูอะไรเท่าไหร่ น้ำทิพย์เดินมาถึงร้านขายผ้า ก็หยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาดูอย่างชอบใจ ก่อนหันไปถามแก้ว
"แก้วว่าผ้าผืนนี้เป็นยังไง"
แก้วไม่ได้ยิน มัวแต่ใจลอยคิดมากเรื่องพระนิติธรรม น้ำทิพย์แปลกใจ เลยเรียกซ้ำ
"แก้ว"
แก้วเพิ่งได้ยิน
"ขอรับ"
" แก้วเป็นอะไร ฉันถามก็ไม่ได้ยิน คิดอะไรอยู่รึ"
แก้วอึกๆอักๆ ไม่รู้จะตอบยังไง ขณะนั้นเอง คุณกัลยากับพี่ชายก็เดินเข้ามาหาน้ำทิพย์ และแก้ว
"คุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์หันไปยิ้มให้
"คุณแดง มาซื้อของหรือคะ"
"ค่ะ มากับคุณพี่ แต่คุณพี่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเลยค่ะ ให้ช่วยเลือกของก็เลือกไม่เป็นซักอย่าง เก่งแต่เล่าเรียนหนังสือกับตัดสินคดีความสองอย่างเท่านั้นเอง"
"อ้าว ไม่ทันไร ก็ประจานพี่ให้คุณน้ำทิพย์ฟังเสียแล้ว น้องคนนี้"
"ก็มันจริงนี่คะ แก้วมาด้วยก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้น แก้วไปช่วยฉันเลือกของแทนคุณพี่หน่อยเถอะ"
คุณกัลยาหันไปพูดกับน้ำทิพย์
"ขอยืมตัวแก้วหน่อยนะคะคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์หน้าเจื่อนไป
"ค่ะ"
"ส่วนคุณพี่ก็ดูแลคุณน้ำทิพย์เธอดีๆนะคะ... ไปจ้ะแก้ว"
คุณแดงเดินนำ แก้วต้องตามไปอย่างจำใจ น้ำทิพย์เหลือบตามองตามแก้วไปเล็กน้อย ด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนรู้ทัน พระนิติธรรมส่งยิ้มให้น้ำทิพย์ ทั้งคู่ยังดูขัดๆเขินๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไรกันดี
แก้วเดินคุยกับคุณกัลยามา
"แก้วว่าคุณพี่ จะคุยอะไรกับคุณน้ำทิพย์จ๊ะ"
แก้วหน้านิ่งๆ ดูซึมๆ
"ไม่ทราบดอกขอรับ เกินกว่าที่กระผมจะเดาได้ขอรับ"
"นั่นสินะ ไม่รู้คุณพี่ของฉันจะทำเสียเรื่องอีกรึเปล่า อุตส่าห์หาทางให้เจอกันได้แล้วเชียว แต่คุณพี่ก็ดันเกี้ยวผู้หญิงไม่ค่อยเป็นเสียด้วย"
แก้วหันกลับไปมองทางร้านที่พระนิติธรรมกับน้ำทิพย์อยู่ ใจนึงก็อยากให้น้ำทิพย์ได้คู่ที่ดี แต่อีกใจ
ก็อดหึงหวงไม่ได้ จนสับสนไปหมด
พระนิติธรรมกำลังเดินคุยกับน้ำทิพย์ไปตามร้านรวงต่างๆ
"ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ ที่น้องสาวฉันจุ้นจ้านแบบนี้"
"ไม่เป็นไรดอกค่ะคุณพระ คุณแดงเธอก็ไม่ได้จุ้นจ้านอะไร เพียงแต่เธออยากเปิดทางให้คุณพระได้อยู่กับฉันเท่านั้นเอง"
พระนิติธรรมเขินอาย
"เธอรู้ด้วยรึ"
"ไม่ใช่คุณแดงคนเดียวดอกค่ะ คนที่คิดจะจับคู่ให้ฉันกับคุณพระมีอยู่หลายคน แก้วก็คงเป็นหนึ่งในนั้น"
พระนิติธรรมรวบรวมความกล้า
"แล้วเธอล่ะ เธอคิดยังไงบ้าง กับเรื่องจับคู่"
"ก็อย่างที่ฉันเขียนในจดหมายนั่นล่ะค่ะ ตอนนี้ ฉันยังไม่อยากคิดอะไร"
" ก็แปลว่าฉันยังไม่หมดหวังใช่หรือไม่"
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆไม่ตอบ
"เธอเป็นคนแปลกเหลือเกินคุณน้ำทิพย์ เธอกล้าคิดกล้าพูด เหมือนผู้หญิงตะวันตก แต่เธอก็อ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนผู้หญิงสยาม ฉันไม่เคยเจอใครเหมือนเธอเลย"
น้ำทิพย์เห็นสายตาพระนิติธรรมที่ยิ้มกรุ้มกริ่มก็เริ่มกระอักกระอ่วน ก่อนจะเหลือบไปเห็นแผงขายหมวกเข้าพอดี
น้ำทิพย์ปั้นยิ้ม
"หมวกพวกนี้เหมาะกับคุณพระดีนะคะ ลองสวมดูหน่อยสิคะ"
พระนิติธรรมยิ้มขำๆรู้ว่าน้ำทิพย์ยังไม่เปิดใจก็ไม่ฝืน หันไปพูดและลองหมวกตามที่น้ำทิพย์บอก
ทางด้านหนึ่ง มาโนชเดินหัวเสียมา โดยมีบุญมีตามประจบมาด้วย
"ข้าก็หลงนึกว่าคุณอามีอำนาจวาสนา ที่แท้ เรื่องแค่นี้ก็ช่วยข้าไม่ได้"
"อย่าโกรธเคืองไปเลยขอรับคุณมาโนช อดใจอีกแค่ปีเดียว ปีหน้าก็ได้เป็นท่านขุนสมใจแน่ขอรับ"
"แต่ข้าเสียหน้าโว้ย คนรู้กันทั้งมหาดไทยแล้ว ว่าข้าจะได้ขึ้นแล้วพลิกกลับเป็นเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะ"
มาโนชชะงักกึกเมื่อเห็นน้ำทิพย์กับพระนิติธรรมยืนเลือกหมวกกัน สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อยู่ห่างออกไปพอสมควร บุญมีตกใจมาก
"นั่นมันคุณน้ำทิพย์กับไอ้คุณพระเรือนแพนี่ขอรับ เหตุใดมาอยู่ด้วยกันได้ แล้วดูสิขอรับ หัวร่อต่อกระซิกกัน ยังกะเป็นคนรักกันเลยนะขอรับ"
มาโนชหึงหวงสุดขีดจะเข้าไปเอาเรื่อง บุญมีรีบดึงไว้
"อย่าขอรับคุณมาโนช"
" มึงจะห้ามกูทำไมไอ้บุญมี ไอ้พระนิติธรรมกับกูอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้แล้ว มึงไม่เห็นรึ"
"เห็นขอรับ แต่ไอ้คุณพระมีตำแหน่งสูง หากเกิดอะไรขึ้น คุณมาโนชยากจะพ้นผิดได้ ทีนี้อย่าว่าแต่ตำแหน่งขุนเลยขอรับ แม้แต่เงาหัวก็คงหามีไม่ ละแวกนี้มีโรงฝิ่นอยู่ พวกนักเลงอยากฝิ่น มันทำได้ทุกอย่าง
แลกกับค่าจ้าง คุณมาโนชจะต้องเหนื่อยแรงเปลืองตัวไปทำไมล่ะขอรับ"
มาโนชฉุกคิดตามที่บุญมีพูด แสยะยิ้มร้ายออกมา จ้องมองไปที่พระนิติธรรมด้วยสายตาโหดเหี้ยม
บ่ายแก่ๆ บริเวณริมทาง พระนิติธรรม และน้องสาวกำลังจะแยกย้ายกับน้ำทิพย์ และแก้ว ฝ่ายพี่ชายถือหมวกที่เพิ่งซื้อใหม่มาด้วย
"น่าเสียดายนะคะที่คุณน้ำทิพย์เอารถม้ามา ไม่เช่นนั้นเราก็คงได้กลับเรือด้วยกันแล้ว"
"เอาไว้คราวหน้าก็ได้ค่ะคุณแดง เราคงได้เจอกันโดยบังเอิญอีกบ่อยๆ"
น้ำทิพย์ชายหางตาค้อนๆไปทางแก้วที่รีบหลบสายตา สีหน้าจ๋อยๆกลัวน้ำทิพย์โกรธ คุณกัลยาหันไปพูดกับแก้ว
"ฉันไปล่ะนะแก้ว"
แก้วยิ้มแย้ม
"ขอรับ"
พระนิติธรรมส่งสายตาล่ำลาให้น้ำทิพย์ แล้วยิ้มให้เล็กน้อย น้ำทิพย์ยิ้มรับ สองพี่น้องเดินเลี่ยงไป
"เรากลับกันเถอะขอรับคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์หันมามองหน้าแก้วนิ่งๆ
"แก้วรู้เรื่องใช่หรือไม่"
แก้วตีหน้าตาย
"รู้เรื่องอะไรหรือขอรับ"
"ที่คุณพระกับคุณแดงมาเจอเราที่นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เพราะแก้วนัดแนะให้มาเจอ ใช่หรือไม่"
แก้วหน้าเสีย ไม่กล้าสู้ตาน้ำทิพย์
"คุณแดงเธออยากให้คุณพี่ของเธอได้ใกล้ชิดกับคุณน้ำทิพย์มากขึ้นน่ะขอรับ"
น้ำทิพย์น้อยใจมาก
"แล้วแก้วล่ะ แก้วก็อยากให้เป็นแบบนั้นหรือไม่"
"กระผมบอกไม่ได้ขอรับ ว่าอยากให้เป็นหรือไม่ เพราะทาส มีหน้าที่ทำตามเท่านั้น หัวใจของทาส ไม่บังควรมีความรู้สึกอื่นขอรับ"
น้ำทิพย์น้อยใจสุดๆ เหมือนแก้วไม่ให้ความสำคัญกับเธอเลย
"แก้วพูดมาก็ถูกแล้ว เมื่อทาสมีหน้าที่ทำตาม ฉันก็ขอสั่งให้แก้วพารถม้ากลับไปกับผลเถิด เพราะฉันนึกอยากกลับเรือกับคุณพระท่านขึ้นมาเสียแล้ว"
พูดจบ น้ำทิพย์ก็เดินหน้าบึ้งตึงตามไปทางพระนิติธรรมทันที แก้วตกใจมาก ถ้าน้ำทิพย์ไม่กลับกับเขา เรื่องบานปลายแน่
"รอก่อนขอรับ คุณน้ำทิพย์"
แก้วรีบเดินตามไป
สองพี่น้องกำลังยืนคอยเรือมารับอยู่
"เจ้าอ้นนี่ชักช้านัก ยังไม่เอาเรือมารับอีก"
คุณแดงเหล่มองพี่ชาย
"น้องอุตส่าห์หาโอกาสให้คุณพี่ได้แล้วเชียว แต่คุณพี่กลับได้มาแค่หมวกใบใหม่เพียงใบเดียว"
"ก็แล้วน้องจะให้พี่ทำยังไงล่ะ จะให้ขอคุณน้ำทิพย์เธอแต่งงานเลยรึ"
"คุณพี่ยังจะประชดน้องอีก ไม่ต้องถึงขั้นนั้นดอกค่ะ แต่อย่างน้อยก็ควรมีความคืบหน้ามากกว่านี้บ้าง"
พระนิติธรรมลือชาถอนหายใจออกมา
"ลงไปเพื่อเอาชนะใจเธอง่ายๆนะน้องแดง พี่ไม่รู้ใจเธอจริงๆว่าเธอคิดอะไรอยู่ แลเจ้าคุณพ่อเธอก็ชังน้ำหน้าพี่นัก เรื่องนี้คงต้องค่อยเป็นค่อยไป เร่งรัดไม่ได้ดอกน้องแดง"
คนติดยาคนหนึ่ง ท่าทางลับๆล่อๆ มองนิ่งมาทางพระนิติธรรม แล้วค่อยๆเดินมาทางด้านหลัง และค่อยๆชักมีดออกมา
น้ำทิพย์กำลังเดินลิ่วมาด้วยความโกรธปนน้อยใจ โดยมีแก้วตามหลังมา
"คุณน้ำทิพย์ รอก่อนขอรับคุณน้ำทิพย์ หากคุณน้ำทิพย์ไม่กลับไปพร้อมกระผม ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เลยขอรับ"
น้ำทิพย์ไม่สนใจ จะเดินไปที่ท่าเรือ แก้วรีบตาม
"คุณน้ำทิพย์ขอรับ"
ทันใดนั้นเอง น้ำทิพย์ก็เห็นคนติดยาชักมีดออกมา จะแทงพระนิติธรรมจากทางด้านหลัง น้ำทิพย์ตกใจสุดขีดตะโกนบอก
"คุณพระ ระวัง"
พระนิติธรรมได้ยินเสียงน้ำทิพย์เตือนเลยหันกลับไป เห็นคนติดยากำลังจะปักมีดลงมา พระนิติธรรมเอี้ยวตัวหลบตามสัญชาติญาณ คมมีดพลาดเป้าไปอย่างหวุดหวิด ท่ามกลางความตกใจของทุกคน และเสียงกรีดร้องของคุณกัลยา
แก้วตั้งสติได้ก่อน รีบวิ่งเข้าไปหาคนติดยาที่กำลังจะแทงพระนิติธรรมซ้ำ แก้วก็เข้ามาเตะมีดกระเด็นจากมือชายติดยา ก่อนที่คมมีดจะเสียบเข้าที่ท้องของพระนิติธรรม แล้วทั้งคู่ก็วางมวยกัน แก้วเป็นมวยและแข็งแรงกว่า สู้กันได้เพียงอึดใจ แก้วก็ล็อกตัวคนติดยาเอาไว้ได้
บุญมีแอบดูอยู่มุมหนึ่ง เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตกใจ รีบวิ่งหนีไปทันที
แก้วล็อกแขนคนติดยาแล้วจับตัวกดลงพื้นไว้ได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน คุณกัลยามองดูแก้วด้วยสีหน้ายิ้มชื่นชม ปลาบปลื้ม คุณน้ำทิพย์แอบมองสายตานั้น ก็แอบขุ่นเคืองอยู่ในที
บนเรือน เวลาเย็น พระยาไชยากรกำลังคุยกับน้ำทิพย์ ระหว่างทานข้าวเย็น นมอ้อน มาโนช
ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วย เจ้าคุณตบเข้าฉาดด้วยความเสียดาย
" ทำไมไม่โดนแทงตายไปเสียเลยวะ ดวงแข็งจริงๆ ไอ้คุณพระเรือนแพ"
น้ำทิพย์ไม่สบายใจกับนิสัยพ่อ
"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะคุณพ่อ แช่งชักให้คนถึงตาย มันเป็นเศษกรรมนะคะ"
เจ้าคุณยิ้มสะใจ
"จะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ ก็พ่ออยากให้มันตายจริงๆนี่ นี่มันคงก่อเรื่องชั่วไว้มากสินะ ถึงได้มีคนตามมาดักแทงเข้าให้"
"ใช่ที่ไหนล่ะคะ เป็นคนติดฝิ่นที่รับจ้างมาต่างหาก นครบาลกำลังไต่สวนอยู่ แต่คาดว่าคงเป็นพวกที่ไม่พอใจการตัดสินคดีของคุณพระ ก็เลยจ้างมาทำร้ายน่ะค่ะ"
มาโนชหน้าเสีย แอบกังวล
"ลองจับตัวได้อย่างนี้ อีกไม่นานก็คงคายออกมาหมดล่ะค่ะ ถึงกับคิดฆ่าขุนนางผู้ใหญ่ ช่างไม่เกรงอาญาบ้านเมืองเสียบ้างเลย" อ้อนบอก
เจ้าคุณเบะปากหมั่นไส้
"แต่พ่อว่า ไอ้คุณพระมันคงตัดสินคดีเอนเอียงหรือไม่ก็คงรับสินบาทคาดสินบนมากกว่า ไม่เช่นนั้น จะแค้นกันถึงกับจ้างคนมาฆ่าเชียวรึ... จริงหรือไม่พ่อมาโนช"
มาโนชเสียงอ่อย ไม่กล้าสบตา
"เอ่อ ขอรับ"
มาโนชเครียดหนัก กลัวตัวเองจะโดนจับไปด้วย
เวลาเย็น ณ ที่ทำงานตำรวจนครบาล ตำรวจทำงานอยู่ แก้วเดินออกมาจากด้านใน
ตำรวจ 1ถาม
"ให้ปากคำเสร็จแล้วรึ"
"ขอรับ กระผมกลับได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ"
ตำรวจ 1พยักหน้ารับ
ขณะนั้นเอง ตำรวจอีกคนก็เอารูปเหมือนที่คนติดยาให้ปากคำออกมา
ตำรวจ 2 บอก
“ได้รูปคร่าวๆของคนที่ว่าจ้างฆ่าคุณพระนิติธรรมแล้ว ไอ้ขี้ยามันบอกซะละเอียดเชียว คาดว่าคงหาตัวได้ไม่ยาก”
ตำรวจ 2 ส่งกระดาษที่วาดรูปให้ตำรวจ 1 ดูรูป ก่อนจะเอาไปติดที่กระดาน
แก้วสนใจ อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง เลยเดินตามไปดูรูป แล้วตกใจมากที่เห็นรูปนั้นเหมือนบุญมีไม่มีผิด เขาพึมพำเบาๆ
“ไอ้บุญมี”
แก้วเดินมาที่หน้าเรือนเจ้าคุณตอนหัวค่ำ อยากรู้ว่าเจ้าคุณมีส่วนด้วยหรือไม่ แต่จะขึ้นเรือนไปสืบก็เสี่ยงอยู่
ขณะนั้นเอง นมอ้อนก็เดินลงจากเรือนมาพอดี
"อ้าว เจ้าแก้ว กลับจากนครบาลแล้วรึ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ"
"กำลังตามหาตัวคนจ้างวานอยู่ขอรับ"
"ขอให้ได้ตัวเร็วๆเถอะ คนอะไร ใจดำอำมหิตนัก มาทำร้ายคุณพระท่านได้"
แก้วมองขึ้นไปบนเรือนอย่างลังเล สองจิตสองใจ อ้อนสังเกตท่าทางแก้ว
"มีอะไรรึเจ้าแก้ว"
"ไม่มีอะไรขอรับ กระผมมองหานังเจิมน่ะขอรับ"
แก้วแกล้งหลอกถามอ้อน
"เอ่อ แล้ววันนี้ท่านเจ้าคุณไม่ไปบ้านคุณนายนิ่มหรือขอรับ"
"ตอนแรกเห็นว่าสะสางงานเสร็จก็จะไป แต่เมื่อครู่ ฉันเห็นคุณมาโนชเข้าไปคุยด้วย เลยไม่รู้ว่าจะออกไปหรือไม่ แกถามทำไมรึ"
แก้วปั้นยิ้ม
"กระผมถาม เพื่อจะได้ทราบว่าต้องไปขับรถม้าให้ท่านเจ้าคุณหรือไม่น่ะขอรับ แต่ถ้าท่านเจ้าคุณไม่ไป กระผมจะได้ไปนอนขอรับ"
อ้อนพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป แก้วรอจนอ้อนไปลับตา ก่อนจะมองซ้ายมองขวา จนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นแล้วรีบขึ้นเรือนไป
แก้วลอบขึ้นมาบนเรือน จนถึงหน้าห้องทำงานของเจ้าคุณ ก่อนจะทาบหูแอบฟังพระยาไชยากรคุยกับมาโนช
ข้างในห้อง เจ้าคุณกำลังคุยกับมาโนชอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"แล้วทำไมเพิ่งมาบอกอา เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ กลับเชื่อปัญญาไอ้บุญมี ทาสโสโครกอย่างมันจะไปมีหัวคิดอะไร มีแต่จะนำพากันติดคุกหัวโตเท่านั้น"
มาโนชยกมือไหว้ และกลัวมาก
"กระผมผิดไปแล้วขอรับคุณอา ที่ทำไป ก็เพราะหึงหวงน้องน้ำทิพย์กับไอ้พระนิติธรรม จึงขาดสติไปขอรับ"
ไชยากรโมโห
"หึงหวงรึ อาอยู่ทั้งคน พ่อมาโนชจะกลัวอะไร ลูกอา อารู้ว่าต้องจัดการยังไง เผลอๆอาอาจจะใช้ลูกน้ำทิพย์เป็นเหยื่อล่อ เล่นงานไอ้คุณพระมันก็ได้ ทำไมถึงได้เบาปัญญา ทำอะไรไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังแบบนี้นะ"
"กระผมมันโง่เอง ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ คุณอาช่วยกระผมซักครั้งเถอะขอรับ ป่านนี้ไม่รู้นครบาลไต่สวนไอ้ขี้ยานั่นไปถึงไหนแล้ว กระผมกลัวว่ามันจะซัดทอดมาถึงกระผมเหลือเกินขอรับ"
ไชยากรคิดหนัก
"คนว่าจ้างคือไอ้บุญมี แลไอ้ขี้ยานั่นก็ไม่รู้ว่าพ่อมาโนชเป็นใคร คงซัดทอดมาถึงไม่ได้ดอก เว้นแต่ มันจะบอกรูปร่างหน้าตาของไอ้บุญมีชัดเจน จนนครบาลตามจับได้ ถ้าเช่นนั้น ก็คงสืบสาวมาถึงตัวพ่อมาโนชได้แน่"
มาโนชตกใจกลัว
"ถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรดีล่ะขอรับคุณอา"
ไชยากรยิ้มเหี้ยม
"คนเรา ไม่เหี้ยมก็เป็นใหญ่ไม่ได้ หากจำเป็น ก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทั้งไอ้ขี้ยาแลไอ้บุญมี อย่าให้พวกมันเอ่ยปากซัดทอดอะไรได้อีก"
แก้วทาบหูแอบฟังอยู่ พอได้ยินว่าจะฆ่าปิดปากคนติดฝิ่นกับบุญมีด้วย ก็ตกใจหน้าถอดสี ขณะนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าแก้ว เขาหันกลับไปมองตามสัญชาติญาณเลยชนเข้ากับประตูห้องทำงานจนเกิดเสียง
เจ้าคุณได้ยินเสียงผิดปกติ จึงตวาดขู่
"นั่นใครวะ"
มาโนชรีบไปเปิดประตูห้อง แต่ก็ไม่ทันเห็นหน้า เห็นเพียงแต่ด้านหลังของแก้วกำลังวิ่งหนีไป พระยาไชยากรร้อนใจสุดๆ กลัวความลับเปิดเผย
"ตามไปพ่อมาโนช อย่าให้มันหนีไปได้"
มาโนชรีบวิ่งตามไปตามคำสั่งเจ้าคุณทันที เจ้าคุณมั่นใจว่ามีคนรู้ความลับแน่ๆ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
มาโนชตะโกนลั่นบ้าน ในขณะที่พวกทาสหญิงวิ่งวุ่นกันยกใหญ่
"เฮ้ย ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมดโว้ย โจรบุกขึ้นมาถึงเรือนยังไม่รู้ตัวอีก เร็วโว้ย รีบไปบอกไอ้พวกผู้ชาย ให้ปิดทางรอบบ้านให้หมด อย่าให้มันหนีไปได้ ส่วนพวกเอ็ง ก็เร่งหาตัวมันให้ทั่วเรือนแล้วลากคอมันออกมา"
ทาส 1คุกเข่า ส่งดาบให้มาโนช
"ดาบเจ้าค่ะคุณมาโนช"
มาโนชรับดาบมา แล้วเดินค้นหาผู้บุกรุกทันที
เจ้าคุณเคาะประตูห้องนอนของน้ำทิพย์ เธอเดินมาเปิดประตู
"มีอะไรหรือคะคุณพ่อ"
เจ้าคุณเดินเข้ามาในห้องนอนลูกสาว
"มีโจรบุกขึ้นเรือนเรามา พ่อเป็นห่วงลูกก็เลยมาดู"
น้ำทิพย์แกล้งตกใจ
"ตายจริง แล้วนี่จับตัวได้หรือยังคะ"
เจ้าคุณมองไปรอบๆ เห็นที่นอนของน้ำทิพย์กางมุ้งแล้ว บนเตียงก็ยุ่งเหยิง มีผ้าห่มคลุมอยู่"ยัง แต่พ่อให้มาโนชตามจับตัวอยู่ นี่ลูกนอนแล้วรึ"
"ค่ะ เพิ่งหลับไปเมื่อครู่นี้เอง"
"แล้วทำไมนมอ้อนไม่มานอนเป็นเพื่อนด้วยล่ะ"
"นมอ้อนไปเตรียมของฝากให้หลานน่ะค่ะ พรุ่งนี้น้องสาวแกจะไปเยี่ยมลูกที่หัวเมืองเหนือ แกเลยอยากฝากของไปให้"
เจ้าคุณพยักหน้ารับ
"ถ้าอย่างงั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ลูกไปนอนเถอะ แล้วก็อย่าลืมลงกลอนให้เรียบร้อยล่ะ"
"ค่ะ คุณพ่อ"
เจ้าคุณหันหลังจะเดินออกจากห้อง น้ำทิพย์แอบถอนใจอย่างโล่งอก
ทันใดนั้นเอง เจ้าคุณก็หันกลับไปตลบมุ้ง แล้วเปิดผ้าห่มออก ท่ามกลางความตกใจ
ของน้ำทิพย์ แต่พอเปิดผ้าห่มก็ไม่มีอะไรใต้ผ้าห่ม น้ำทิพย์แกล้งแปลกใจแล้วแกล้งโกรธ
"คุณพ่อทำอะไรคะ เอ๊ะ หรือว่าคุณพ่อคิดว่า ลูกซ่อนโจรเอาไว้ในห้องคะ"
เจ้าคุณหน้าเสีย กลัวลูกโกรธ ได้แต่อึกๆอักๆ หาข้อแก้ตัวไม่ทัน
"เปล่าจ้ะ คือ... เอ่อ คือ..."
น้ำทิพย์ได้ที แกล้งโกรธ
"คืออะไรคะ คุณพ่อไม่ไว้ใจลูกก็บอกมาตามตรงเถอะค่ะ"
ไชยากรเสียงอ่อย กลัวลูกโกรธ
"ไม่ใช่พ่อไม่ไว้ใจ แต่บ้านเรามีคนอยู่ออกมาก ยากที่จะมีโจรบุกขึ้นมาถึงเรือน พ่อจึงคิดว่าน่าจะเป็นพวกทาสขึ้นมาขโมยของมากกว่า แลลูกก็เป็นคนใจอ่อน หากพวกมันมาขอความเมตตา ลูกอาจจะยอมช่วยพวกมัน"
"คุณพ่อก็เห็นแล้วว่าไม่มีใครไม่ใช่หรือคะ"
"จ้ะ พ่อขอโทษนะ พ่อไม่กวนลูกแล้ว ไปนอนต่อเถอะ"
เจ้าคุณรีบร้อนออกจากห้องไป กลัวอยู่นานจะแก้ตัวไม่ขึ้น น้ำทิพย์รีบปิดประตูลงกลอนแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอน เธอชะโงกหน้ามองออกไป ด้วยความร้อนใจ
"แก้ว รีบกลับเข้ามาเร็วเข้า"
แก้วซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ติดกับหน้าต่างห้องน้ำทิพย์นั่นเอง
"ขอบพระคุณขอรับ คุณน้ำทิพย์"
แก้วปีนกลับเข้ามาทางหน้าต่างห้อง แต่รีบและไม่ถนัดนัก แก้วคว้าขอบหน้าต่างจะพลาดหงายไป
น้ำทิพย์ตกใจปาดมือไปช่วยจับมือแก้วดึงเอาไว้ทัน น้ำทิพย์ช่วยแก้วเข้ามาในห้องจนได้ แก้วรีบคุกเข่าแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
แก้วช้อนตามองน้ำทิพย์
อ่านต่อหน้า 2
ลูกทาส ตอนที่ 5 (ต่อ)
แก้วช้อนตามองน้ำทิพย์
"หากไม่ได้มือเล็กๆของคุณน้ำทิพย์ช่วยจับมือไอ้แก้วเอาไว้ ไอ้แก้วคงตกไปตายเสียแล้ว"
น้ำทิพย์แอบเขิน
"ตัวใหญ่โตขนาดนี้คงไม่ถึงกับตายดอก ปล่อยมือฉันได้แล้ว"
แก้วรีบปล่อยมือทันที
"ขอประทานโทษขอรับ"
น้ำทิพย์เขินๆ รีบพูดคลายความอึดอัด
"แก้วรีบหาทางลงจากเรือนไปเถอะ ถ้าคุณพ่อหาตัวไม่เจอ อาจจะเรียกทุกคนออกมา หากแก้วไม่อยู่
คงไม่พ้นถูกจับเป็นแน่"
"ไม่ดอกขอรับ นอกจากคุณนมอ้อนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ากระผมกลับมาจากนครบาลแล้ว ถึงหาตัวไม่เจอ กระผมก็มีข้ออ้างได้ขอรับ"
"ถ้าอย่างนั้นบอกได้หรือยังว่าขึ้นเรือนมาทำอะไร นอกจากจะลอบขึ้นมาแล้ว ยังมาแอบฟังคุณพ่ออีก ถ้าแจงไม่ได้ล่ะก็ ฉันนี่แหละ จะสั่งลงโทษแก้วเอง" น้ำทิพย์แกล้งขู่
แก้วหน้าเสีย อึกๆอักๆขึ้นมาทันที ว่าจะเล่าให้น้ำทิพย์ฟังยังไงดี
หมู่เรือนแพยามเช้าเห็นชาวบ้านพายเรือสัญจรกันไปมา แก้วกำลังคุยกับพระนิติธรรม โดยมีคุณกัลยาอยู่ใกล้ๆ
"แล้วคุณน้ำทิพย์เธอว่าอย่างไรบ้าง"
"เธอทุกข์ใจมากขอรับ ไม่คิดว่าคุณมาโนชจะทำเรื่องร้ายกาจถึงเพียงนี้ แลฝากขอโทษคุณพระมาด้วยขอรับ ที่เป็นต้นเหตุให้คุณพระเกือบได้รับอันตราย"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ
"ต้นเหตุอะไรกัน คุณน้ำทิพย์เธออยู่ของเธอดีๆ คนที่ผิดคือ คุณมาโนชต่างหาก"
"แล้วคุณพระจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ จะแจ้งต่อนครบาล ว่าคนในรูปคือพี่บุญมีเลยหรือไม่ขอรับ"
"ช้าไปแล้วจ้ะแก้ว เมื่อรุ่งสาง คนจากนครบาลมาแจ้งคุณพี่ ว่ารูปเหมือนใบนั้นหายไปแล้ว แลเมื่อคืนเจ้าคนติดฝิ่นที่ทำร้ายคุณพี่ ก็ฆ่าตัวตายไปแล้วด้วย"
แก้วตกใจมาก
"จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ หรือว่า..."
"ไม่ต้องเดาแล้ว คงเป็นไปตามที่แกแอบฟังมานั่นแหละ ท่านเจ้าคุณไชยากร ใจดำอำมหิตนัก ฆ่าปิดปาก เพื่อไม่ให้เรื่องสาวมาถึงตัวหลานชายได้โดยไม่สะทกสะท้านเลย"
แก้วรู้สึกผิด
"กระผมผิดเองขอรับ หากเมื่อคืนแจ้งต่อนครบาลไป ว่าคนในรูปคือพี่บุญมี ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อคืน กระผมก็มัวแต่ลังเล อยากสืบให้แน่ใจเสียก่อน เลยพลาดไปจนได้" แก้วยิ่งคิด ยิ่งเจ็บใจ
"ไม่ใช่ความผิดของแก้วดอกจ้ะ ต่อให้แก้วแจ้งไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นดอก เพราะท่านเจ้าคุณก็ต้องปกป้องหลานชายอยู่ดี ดีไม่ดี บุญมีอาจจะต้องตายตกตามกันไปอีกคน" คุณกัลยาถอนใจออกมา
พระนิติธรรมพยักหน้ารับ
"จริงของน้องแดง แต่เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ฉันก็คงต้องระวังตัวให้มากขึ้น เพราะคนพวกนี้จิตใจเหี้ยมโหดนัก
น้องเองก็เหมือนกัน"
"ค่ะคุณพี่" สีหน้าของคุณกัลยาดูกังวลปนกลัว
"แต่แกคอยดูเถอะเจ้าแก้ว ท่านเจ้าคุณไชยากรสอนสิ่งชั่วช้าให้หลานชายเช่นนี้ สักวันมันจะย้อนกลับไปหาท่านเจ้าคุณเอง"
แก้วได้แต่แอบถอนใจออกมา แต่ก็ไม่กล้าตำหนิอะไรเจ้านาย
หลายเดือนต่อมา ณ ที่ทำงาน พระยาไชยากรเดินหงุดหงิดมา โดยมีมาโนชเดินตามมาขอโทษขอโพย
"คุณอา อย่าโกรธกระผมเลยขอรับ กระผมจำเป็นต้องทำจริงๆ"
เจ้าคุณหันกลับมาเอาเรื่องทันที
"จำเป็นที่ต้องย้ายจากมหาดไทย ไปเป็นตำรวจกรมพลตระเวนอย่างนั้นน่ะรึ พ่อมาโนชทำเช่นนี้เหมือนหักหน้าอา หรือเห็นว่าอาสิ้นท่า ไม่มีอำนาจผลักดันพ่อมาโนชได้ใช่หรือไม่"
มาโนชหน้าเสีย
"ใครจะกล้าคิดอย่างนั้นขอรับ ทุกคนก็รู้ ว่าในมหาดไทยคุณอาไม่เป็นรองผู้ใดทั้งสิ้น แต่กระผมอับอายนักที่ไม่ได้ขึ้นเป็นขุน อยู่ไปก็รังแต่จะให้ผู้คนเค้าเยาะเล่น ขอให้กระผมย้ายไปอยู่กรมพลตระเวนเถอะขอรับ"
เจ้าคุณหงุดหงิด
"อาบอกแล้ว ว่าคนที่ต่ำกว่า เราจะกดหัวก็ไม่เป็นไร แต่กับคนเท่ากันหรือสูงกว่า ต้องผูกมิตรไว้ พ่อมาโนชก็ไม่ฟัง เอาแต่คุยโวโอ้อวดจนคนเค้าชังน้ำหน้า พอพลาดขึ้นมา ถึงได้โดนซ้ำอยู่นี่ไง"
มาโนชไม่พอใจที่โดนย้ำ แต่ไม่กล้าทะเลาะด้วย
"กระผมทราบแล้วขอรับ แต่ถึงยังไง กระผมก็อยู่มหาดไทยต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ย้ายไปเป็นตำรวจ ยังมีสมัครพรรคพวกของเจ้าคุณพ่อกระผมอยู่บ้าง ยังไงก็คงดีกว่าอยู่ที่นี่ต่อล่ะขอรับ"
" อยากไปก็ตามใจ แต่จำไว้นะพ่อมาโนช ถ้าย้ายไปกรมพลตระเวนแล้ว อาก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีก เกิดอะไรขึ้น พ่อมาโนชช่วยตัวเองก็แล้วกัน"
เจ้าคุณเดินจากไปด้วยความหงุดหงิด มาโนชเบะปาก พูดตามหลังเบาๆ
"หากช่วยได้จริง ไม่ช่วยให้เป็นขุนเสียเลยเล่า"
เวลาบ่าย น้ำทิพย์กำลังให้ทาสขนข้าวของสำหรับเด็กอ่อน อาหาร ผลไม้ต่างๆขึ้นรถม้า โดยมีแก้วและคอก ยืนอยู่ใกล้ๆ เธอยิ้มแย้ม
"แม่นิ่มใกล้คลอดเต็มทีแล้ว แก้วเอาของพวกนี้ไปให้แล้วก็คอยดูแลให้ดีนะ เป็นผู้หญิงอยู่กันสองคน เกิดอะไรขึ้นกลางดึกจะลำบาก"
"ขอรับ คุณน้ำทิพย์ กระผมจะดูแลคุณนายนิ่มอย่างดีเลยขอรับ"
"คุณนายนิ่มน่าจะย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้ซะเลยนะขอรับ บ่าวไพร่มีออกเต็มเรือน จะได้ไม่ต้องห่วงอะไร" คอกบอก
"คุณพ่อท่านไม่ยอมดอกจ้ะ"
คอกแปลกใจ
"อ้าว ทำไมล่ะขอรับ"
น้ำทิพย์อึกๆอักๆ จะบอกว่า พ่อดูถูกว่าเป็นเมียน้อยเลยไม่ให้มาอยู่ก็ไม่ได้ แก้วเห็นสีหน้าน้ำทิพย์ เลยรีบตัดบท
"เรื่องของนาย เอ็งจะถามทำไมวะไอ้คอก ไปกันได้แล้ว ยังต้องไปทำงานให้ท่านเจ้าคุณอีกหลายที่ กว่าจะถึงบ้านคุณนายนิ่มก็ค่ำพอดี"
แก้ว และคอกขึ้นรถม้า ก่อนที่แก้วจะขับรถม้าออกไป
อบเชยเดินถือขันน้ำมาให้แก้ว และคอก ที่เพิ่งขนของมาให้เสร็จตอนหัวค่ำ คอกรับขันน้ำมา
"ขอบใจจ้ะ"
"ฉันจัดที่หลับที่นอนไว้ให้แล้วนะ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็ไปนอนพักได้เลย"
"จ้ะแม่อบเชย ถ้ามีอะไร ก็ไปปลุกฉันกับไอ้คอกได้เลยนะ" แก้วบอก
อบเชยพยักหน้ารับแล้วถอนใจ
"ฉันรู้แล้ว เมียจะคลอดอยู่วันนี้วันพรุ่งแล้ว อีตาเจ้าคุณไม่ยักจะมาดู ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าวไพร่อยู่ได้"
"ท่านเจ้าคุณมีงานมากน่ะจ้ะ ตั้งแต่เสด็จในกรมฯท่านสิ้นพระชนม์ไป ท่านเจ้าคุณก็ต้องทำงานหนักกว่าเดิม แต่ท่านก็เป็นห่วงคุณนายนิ่มมากนะ กำชับกำชาพวกฉันอยู่ตลอดเลย ว่าให้ดูแลให้ดี"
อบเชยหน้าหงิก
"ไม่ต้องมาแก้ตัวให้กันดอก จะมีราชการหรือไม่ ฉันก็ไม่เคยเห็นอีตาพระยานาล่ม จะมาดูแลอะไรพี่นิ่มซักนิด ทุกวันนี้ ก็ยังดีแต่ให้เงินเลี้ยงดูพี่นิ่มเท่านั้นแหละ จึงฝืนใจนับเป็นพี่เขยอยู่ได้"
อบเชยสะบัดหน้า เดินกลับขึ้นเรือนไป
"แม่อบเชยนี่ปากคอเลาะร้ายนัก นี่ถ้าด่าสู้กันกับนังเจิม ยังเดาไม่ออกเลยว่าใครจะแพ้ชนะ " คอกขำๆ
แก้วหัวเราะชอบใจกับความคิดคอก
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงอบเชยกรีดร้องดังลั่น ทั้งแก้วและคอกต่างตกใจ เสียงอบเชยยังโวยวายดังตามต่อมาทันที
" พี่นิ่ม เป็นอะไรไปพี่นิ่ม"
ทั้งคู่ตกใจสุดๆ รีบตามไปดูทันที
บนเรือน ทั้งคู่เห็นอบเชยกำลังประคองนิ่มที่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เพราะจะคลอดลูกอยู่บนพื้น
"คุณนายเป็นอะไร แม่อบเชย"
อบเชยทั้งตื่นเต้นและตกใจสุดๆ
"สงสัยพี่นิ่มจะคลอดลูกแล้ว ทำยังไงกันดี"
แก้วตั้งสติได้ก่อน
"แม่อบเชยประคองคุณนายเข้าไปในห้องก่อนนะ ฉันกับไอ้คอกจะรีบไปตามหมอตำแย"
"ได้ๆ เร็วๆนะ"
แก้วและ คอก รีบวิ่งลงจากเรือนไป อบเชยประคองนิ่มลุกขึ้น
"อดทนหน่อยนะพี่นิ่ม อย่าเพิ่งคลอดออกมาตอนนี้ล่ะ ฉันทำอะไรไม่เป็นนะพี่"
แก้ววิ่งกระหืดกระหอบไปที่บ้านหมอตำแยคนหนึ่ง แต่เจอคนในบ้าน
"ไม่อยู่ดอกพ่อคุณ ออกไปทำคลอดตั้งแต่เย็น ยังไม่กลับเลย"
"ขอบใจจ้ะ"
คอกกำลังคุยกับชาวบ้านอีกคนหนึ่งอยู่
"เพิ่งตายไปเมื่อวานนี้เอง ไปหาคนอื่นเถอะ"
คอกหน้าอึ้งปนเหวอไปเลย แก้วไปตามหมอตำแยอีกบ้าน ก็เจอคนในบ้านส่ายหน้าว่าไม่อยู่
แก้วได้แต่ถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ แล้ววิ่งออกไปตามหาต่อ ทางด้านคอกหอบเหนื่อยก่อนจะฮึดวิ่งไปตามหาหมอตำแยต่อเช่นกัน ทั้งคู่วิ่งมาเจอกันตามที่นัดหมาย
"ข้าตามหมอตำแยไม่ได้เลย เอ็งล่ะไอ้คอก"
คอกเหนื่อยหอบ
"เหมือนกันเลยพี่ แล้วเราจะเอายังไงดี ไม่รู้ป่านนี้ คุณนายนิ่มจะเป็นยังไงบ้าง"
แก้วเป็นห่วงนิ่ม สีหน้าใช้ความคิด
ผ่านเวลาซักครู่ บริเวณหน้าร้านธูป แก้ว และคอก พยายามลากน้อมไปทำคลอดให้นิ่มด้วยความร้อนใจ
"ใจเย็นๆ ค่อยๆหน่อยพ่อคู้น เดี๋ยวฉันก็หกล้มหกลุกไปจนได้ดอก" น้อมโวยวาย
"เย็นไม่ได้แล้วคุณนาย คุณนายนิ่มจะคลอดแล้ว"
"ช้าไม่ได้แล้วไอ้คอก หิ้วปีกไปเลยเถอะ"
ขาดคำ แก้ว และคอกก็ช่วยกันจับแขนน้อมคนละข้าง แล้วยกขา หิ้วปีกน้อมไป ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของน้อม
เวลาต่อมา น้อมเปิดประตูห้องนอนนิ่มเข้าไปด้วยความร้อนใจ แก้วและคอกยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้อง
พอน้อมเข้าไปก็เห็นอบเชยกำลังดูแลนิ่มที่กำลังจะคลอดลูก นิ่มร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา
น้อมเป็นห่วงลูกสุดๆ
"เป็นยังไงบ้างแม่นิ่ม"
นิ่มเจ็บท้องสุดๆ
"แม่จ๋า ฉันปวดเหลือเกิน ช่วยฉันด้วย โอ๊ย"
น้อมเข้าไปจับท้องนิ่ม ก่อนจะหันไปสั่งอหลานสาว
"นังอบเชย ผูกผ้าตรงหัวเตียงให้แม่นิ่มไว้จับตอนเบ่งลูก"
อบเชยรีบทำตามคำสั่งทันที
"จ้ะป้า"
น้อมหันไปตวาดแว๊ดใส่แก้วกับคอก
"ยืนดูอยู่ได้ รีบไปต้มน้ำมาเร็วๆเลย"
"จ้ะๆ"
แก้ว และ คอก รีบปิดประตูห้อง
แก้วนึกขึ้นได้
"ไอ้คอก เอ็งรีบไปต้มน้ำ ข้าต้องไปแล้ว"
คอกงงๆ
"พี่จะไปไหน"
"ไปหาท่านเจ้าคุณน่ะสิ ลูกท่านจะคลอดแล้ว ขืนไม่ไปบอกล่ะตายแน่"
ขาดคำ แก้วก็รีบร้อนวิ่งนำลงจากเรือนไป
ผ่านเวลาซักครู่ บริเวณหน้าที่ทำงาน เจ้าคุณเดินถือตะเกียงมาด้วยความร้อนใจสุดๆ โดยมีแก้วรีบตามหลังมา
"แล้วทำไมเอ็งเพิ่งมาบอกข้า ถ้าลูกข้ากับแม่นิ่มเป็นอะไรไป ข้าจะเล่นงานเอ็ง ไอ้แก้ว"
แก้วแหยปนกลัว
"ตอนนั้น กระผมต้องรีบหาหมอตำแยก่อนขอรับ เลยยังมากราบเรียนท่านเจ้าคุณไม่ได้"
เจ้าคุณจะเดินไปอีกทาง
"รถม้าอยู่ทางนี้ขอรับท่านเจ้าคุณ"
เจ้าคุณตะคอก
"ก็รีบนำไปสิโว้ย"
แก้วรีบนำเจ้าคุณไป ด้วยความร้อนใจสุดๆ
เวลากลางคืน เจ้าคุณค่อยๆรับลูกชายที่เพิ่งเกิดมาด้วยมือสั่นเทา ตื่นเต้นสุดๆ โดยมีน้อม และอบเชยยืนอยู่ใกล้ๆ
ในขณะที่นิ่มนอนอยู่บนเตียงอย่างหมดแรง แต่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
เจ้าคุณดีใจสุดๆ
"ขอบใจมากนะแม่นิ่ม ฉันอยากมีลูกชายไว้สืบตระกูลมานานแล้ว ขอบใจมากนะ ที่แม่นิ่มทำให้ฉันสมหวัง"
นิ่มยิ้มอย่างสุขใจ น้อมเบะปากอย่างหมั่นไส้สุดขีด
"ทำมาเป็นขอบอกขอบใจ ทีอีตอนแม่นิ่มเจ็บท้องเจียนตาย ไม่เห็นโผล่หน้ามาแลเลย"
เจ้าคุณหน้าหงิก ไม่พอใจ แต่ลูกเพิ่งเกิดก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย
"ป้า สงบศึกซักวันเถอะ"
"นั่นสิแม่น้อม ถึงยังไง ลูกฉันก็เป็นหลานแท้ๆของแม่น้อมนะ จะโกรธเกลียดอะไรกัน ก็เอาไว้ว่ากันวันหลังเถอะ"
น้อมทิ้งค้อน แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
เจ้าคุณเอาลูกไปให้นิ่มดู
"ดูสิแม่นิ่ม ลูกหน้าเหมือนฉันหรือแม่นิ่มมากกว่ากัน"
นิ่มยิ้มบางๆ
"ยังต้องถามอีกหรือคะ โขกท่านเจ้าคุณออกมาชัดเจนขนาดนี้"
พระยาไชยากรหัวเราะชอบใจ ที่ลูกหน้าเหมือนตน น้อม และอบเชย ดูเด็กด้วยความดีใจ สุขใจ ลืมเรื่องบาดหมางกันไปได้ชั่วคราว
แก้ว และคอก ยืนรออยู่หน้าห้อง
"ท่านเจ้าคุณคงดีใจมากที่ได้ลูกชายนะพี่แก้ว"
"แน่ล่ะ แค่ท่านเจ้าคุณมีลูกเล็กๆตอนอายุขนาดนี้ก็ดีใจมากพออยู่แล้ว ยิ่งได้ลูกชายอีก คงดีใจไม่มีอะไรเปรียบเลยล่ะ"
คอกยิ้มดีใจไปด้วย
"เออ ไอ้คอก เดี๋ยวคืนนี้เอ็งค้างที่นี่นะ ข้าจะกลับไปที่เรือนท่านเจ้าคุณ"
คอกแปลกใจ
"อ้าว ทำไมล่ะพี่"
"ข้าเคยปดคุณนายน้อมไว้ ว่าเป็นคนละแวกนี้ตอนเอาจดหมายคุณนายนิ่มไปให้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังห่วงเรื่องคลอดลูก คุณนายน้อมคงจับผิดข้าได้แล้ว ถ้าอยู่นาน ข้าเกรงว่าความจะแตก แลข้าต้องไปแจ้งข่าวดี ให้คุณน้ำทิพย์รู้ด้วย"
น้ำทิพย์กำลังยิ้มแย้มดีใจอยู่
"เป็นลูกคนเดียวมาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้เป็นพี่กับเขาเสียที"
น้ำทิพย์กำลังเดินคุยกับแก้วอยู่ในสวน
"ได้น้องชายเสียด้วยขอรับ"
"คุณพ่อท่านคงดีใจมาก"
"ขอรับ แล้วคุณน้ำทิพย์จะไปเยี่ยมคุณหนูคนเล็กเมื่อไหร่ล่ะขอรับ"
น้ำทิพย์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
"ถ้าคุณน้ำทิพย์ไปเยี่ยม คุณนายนิ่มต้องดีใจแน่ๆ"
น้ำทิพย์คิดอยู่ครู่นึง
"ฉันคงต้องลองขอคุณพ่อดูก่อน เพราะคุณพ่อไม่อยากให้ฉันข้องแวะกับแม่นิ่มเท่าไหร่ เพราะท่านถือว่าฉันเป็นลูกที่เกิดจากเมียเอก ไม่ควรลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับเมียน้อย แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นดอกนะ กลับสงสารแม่นิ่มด้วยซ้ำไปที่ต้องมาอยู่ในฐานะเช่นนี้"
แก้วมองน้ำทิพย์ด้วยสายตารักใคร่
"คุณน้ำทิพย์มีเมตตาเสมอเลยนะขอรับ หากพี่ไม่กลัวว่าน้องจะแย่งความรัก ก็มักกลัวว่าจะมาแย่งทรัพย์สมบัติ แต่คุณน้ำทิพย์มีเมตตากับคุณหนูคนเล็กเช่นนี้ ชีวิตของคุณหนูคนเล็กต้องพบเจอแต่ความสุขเป็นแน่"
"ก็น้องชายฉันนี่จ๊ะ ฉันจะไม่รักได้อย่างไร แลน้องฉันก็เพิ่งเกิด ใครจะคิดอิจฉาริษยาได้ลง"
แก้วยิ้มปลาบปลื้มในความใจกว้าง และมีน้ำใจของน้ำทิพย์
มาโนชกำลังคุยกับบุญมีด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ ณ.ที่ทำงานใหม่ หลังจากที่ย้ายไปเป็นตำรวจกองตระเวนแล้ว
มาโนชไม่พอใจด้วยความริษยา
"เกิดมาเป็นชาย ก็เท่ากับมาแย่งของๆข้า ไอ้ลูกเมียน้อย มันไม่ควรเกิดมาเลย"
บุญมีประจบประแจง
"จะเอาไอ้เด็กลูกเมียน้อย มาเปรียบกับคุณมาโนชได้อย่างไรกันขอรับ ท่านเจ้าคุณก็คงไม่ยกย่อง แลแบ่งทรัพย์สมบัติให้มากกว่าคุณมาโนชดอกขอรับ"
"เอ็งมันไม่รู้อะไร คุณอาอยากมีลูกชายมานานแล้ว แต่คุณอาผู้หญิงมีลูกให้ไม่ได้ ถึงได้ขอข้ามาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ถึงต่อมาจะมีน้องน้ำทิพย์ก็เถอะ แต่คุณอาก็ยังหวังจะมีผู้สืบตระกูลอยู่ดี...ต่อนี้ไปคุณอาจะยังเห็นหัวข้าอยู่อีกรึ"
"เด็กตัวเท่าเมี่ยง จะต้องกลัวอะไรล่ะขอรับ หากมีโอกาสก็สั่งสอนเสียหน่อย ว่าใครนิ้วก้อย นิ้วหัวแม่มือ ขี้คร้าน จะกลัวลนลานทั้งแม่ทั้งลูก"
มาโนชคิดตามบุญมีแล้วก็ยิ้มร้ายๆ
ขณะนั้นเอง เจ้านายของมาโนชซึ่งเป็นตำรวจ เดินคุยกับพระนิติธรรมออกมาจากข้างใน มาโนชถึงกับชะงัก
ตำรวจ 1 บอก
"อ้าว คุณมาโนช อยู่ก็ดีแล้ว นี่คุณพระนิติธรรมลือชา ท่านเป็นตุลาการ"
มาโนชอึ้ง ขบกรามแน่นแล้วฝืนใจยกมือไหว้
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ รับไหว้
"เรารู้จักกันแล้วคุณหลวง เรือนแพของฉัน อยู่ตรงข้ามเรือนของคุณมาโนช"
"เช่นนั้นหรือขอรับ แหม กระผมปล่อยไก่เสียได้"
"ถ้าเช่นนั้น ฉันลาล่ะนะคุณหลวง"
"เชิญขอรับ"
พระนิติธรรมเดินออกจากที่ทำงานมาโนชไป
ตำรวจ 1ยิ้มแย้มถาม
"รู้จักกับคุณพระด้วยรึคุณมาโนช โชคดีจริงๆ"
มาโนชหงุดหงิด
"โชคดีอะไรกันขอรับ กะอีแค่ไอ้... เอ่อ เป็นตุลาการเท่านั้น อำนาจวาสนาอะไรก็ไม่มี"
ตำรวจ 1หัวเราะ
"ผิดแล้วคุณมาโนช ฉันจะบอกอะไรให้ คุณพระท่านกำลังรุ่งเรืองในราชการนัก ภายหน้า อย่าว่าแต่เป็นพระยาเลย แม้แต่พานทอง * หรือศักดินาหมื่นไร่ ก็คงไม่พ้นคุณพระไปได้ดอก"
มาโนช และบุญมีตกใจ ไม่คิดว่าพระนิติธรรมจะมีโอกาสก้าวหน้าขนาดนี้ มาโนชยิ่งริษยาหนักขึ้นไปอีก
* คำว่า “พระยาพานทอง” คือ ผู้ที่ได้ตำแหน่งพระยาและมีศักดินาถึงห้าพันไร่ จะได้พระราชทานพานหมากทองคำด้วย ซึ่งจะเหนือกว่าผู้เป็นพระยาปกติทั่วไป ส่วน “พระยานาหมื่น” คือผู้ที่เป็นพระยาและมีศักดินาถึงหนึ่งหมื่นไร่ ซึ่งสูงกว่าพระยาพานทอง และมีเพียงสิบหกตำแหน่งเท่านั้น ถ้าสูงกว่านี้คือชั้น “เจ้าพระยา”
เวลาเย็น ในวงเหล้า พลอยตบเข่าฉาดด้วยความเจ็บใจแทนเจ้านาย โดยมีบุญมี และเข้ม อยู่ใกล้ๆ
"บ๊ะ ไอ้คุณพระเรือนแพน่ะรึ จะได้เป็นพระยาพานทอง เช่นนี้ก็เท่ากับท่านเจ้าคุณน่ะสิ แลหากได้ศักดินาถึงหมื่นไร่ มิยิ่งเหนือกว่าท่านเจ้าคุณอีกรึ" พลอยว่า
เข้มคิดตาม
"ก็เป็นไปได้นา ไอ้คุณพระยังหนุ่มแน่น ก็ได้เป็นถึงคุณพระแล้ว หากจะถึงพระยานาหมื่น จะแปลกกระไร"
"คุณมาโนชถึงยอมไม่ได้ยังไงเล่า ไอ้คุณพระมันกำลังผูกสมัครกับคุณน้ำทิพย์ ถ้าภายหน้ามันได้ขึ้นเป็นถึงพระยา คุณมาโนชคงสู้มันไม่ได้แน่ เราถึงต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม"
เข้มตกใจ หน้าเสีย
"นี่คุณมาโนชจะให้เล่นงานไอ้คุณพระอีกรึ แล้วหากเป็นแบบคราวก่อนล่ะ"
บุญมีตะคอกสวน
"หุบปากเลยไอ้เข้ม เอ็งจะรื้อฟื้นขึ้นมาหาอะไร"
เข้มจ๋อยลงไป ไม่กล้าพูดอีก
"คราวก่อน ข้ากับคุณมาโนชบุ่มบ่ามไปหน่อย แล้วที่ไอ้คุณพระมันรอดไปได้ ก็เพราะมันมีคนคอยช่วย เราต้องกำจัดคนของมันเสียก่อน จากนั้นเข้าถึงตัวไอ้คุณพระก็ไม่ใช่เรื่องยาก"
"แล้วใครคอยช่วยมันเหรอพี่" พลอยถาม
บุญมีสีหน้าเกลียดชัง
"ไอ้โง่ จะใครซะอีกล่ะ"
ตอนหัวค่ำ บุญมี พลอย และเข้มกำลังซุ่มดูอยู่ที่หน้าเรือนทาสของกิ่ง เห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนหลับ
หันหลังอยู่บนแคร่ มีผ้าขาวม้าหรือผ้าห่มคลุมโปงเอาไว้
"ไอ้แก้วมันคงหลับไปแล้วกระมังพี่มี ซุ่มดูอยู่เป็นนาน ไม่เห็นมีทีท่าว่า มันจะลอบไปที่เรือนแพเลย"
คอกเป็นคนนอนคลุมโปงแทนแก้ว
บุญมีบอก
"ไอ้โง่ ก็เพราะซุ่มดูอยู่เป็นนานน่ะสิวะ เอ็งไม่ผิดสังเกตบ้างรึ ว่าเหตุใดไอ้แก้วมันนอนนิ่งไม่ขยับเลย"
"มันอาจจะหลับสนิทก็ได้นะพี่" เข้มว่า
พลอยคิดอยู่ครู่นึง
"หรือมันจะไม่ใช่ไอ้แก้ว ไม่แน่นะพี่ ไอ้แก้วมันอาจจะหาใครมาสวมรอยเป็นมันก็ได้ คนอย่างมันเจ้าเล่ห์เพทุบายจะตายไป"
"บุกเข้าไปดูเลยดีกว่าพี่มี ถ้าไอ้คนที่นอนไม่ใช่ไอ้แก้ว ก็เท่ากับมันต้องอยู่ที่เรือนแพไอ้คุณพระแน่"
บุญมีคิดหนัก สองจิตสองใจว่าจะเอายังไงดี ทางด้านคอกกรอกตาไปมา สีหน้ากังวลปนกลัวแผนแตก
อ่านต่อหน้า 3
ลูกทาส ตอนที่ 5 (ต่อ)
แก้วกำลังอ่านประวัติการเลิกทาสของยุโรป โดยมีพระนิติธรรมอยู่ใกล้ๆ ยิ่งอ่านแก้วก็ยิ่งชอบ
"เป็นความรู้เหลือเกินขอรับ ที่แท้ กว่าเมืองฝรั่งจะเลิกทาสได้ ก็กินเวลาเนิ่นนานแลต้องเสียเลือดเนื้อมากมายถึงเพียงนี้"
"ถูกแล้ว พระพุทธเจ้าหลวงท่านถึงไม่อยากให้บ้านเมืองเราต้องนองเลือดซ้ำรอย ทุกอย่างจึงต้องกระทำอย่างรอบคอบยังไงล่ะ"
แก้วพยักหน้ารับช้าๆ
"จริงขอรับ พวกนายทาสมั่งมีขึ้นมาได้ ก็เพราะเรี่ยวแรงของทาส หากรีบเร่งเลิกทาส พวกนายทาสย่อมไม่พอใจจนอาจก่อความวุ่นวายขึ้น การทยอยเลิกทาสทีละน้อย เพื่อให้นายทาสหาช่องทางอื่นมาทดแทนทาสตน จึงถูกต้องที่สุดแล้วขอรับ"
ขณะนั้นเอง คุณกัลยาในสภาพอิดโรย ไม่สบาย ก็ถืออาหารว่างมาให้พระนิติธรรมกับแก้ว โดยมีอ้นถืออาหารว่างตามหลังมาด้วย
"ของว่างค่ะคุณพี่ พักทานกันซะก่อนสิคะ"
พระนิติธรรมเป็นห่วง
"น้องแดงเป็นไข้ไม่ใช่รึ แล้วนี่ยังจะฝืนทำของว่างมาให้พี่อีก"
"กระผมเตือนแล้ว คุณแดงก็ไม่ยอมฟัง จะต้องทำของว่างเองให้ได้ขอรับ" อ้นว่า
"ฉันรู้ตัวดี แค่นี้ไม่เป็นอะไรมากดอก"
คุณกัลยาหันไปพูดกับแก้ว พลางหยิบชามของว่างยื่นให้
"แก้วทานของว่างสิจ๊ะ"
แก้วรับชามของว่างมา
"ขอบพระคุณขอรับ"
คุณกัลยามึนๆหัว ไข้ขึ้นสูง จนต้องจับขอบโต๊ะพยุงตัวไว้ พระนิติธรรมตกใจแต่แก้วใกล้กว่า รีบวางชามของว่าง ชิงประคองตัวเธอไว้ก่อน
"คุณแดง เป็นอะไรไปขอรับ กระผมว่าไปพักผ่อนเถอะขอรับ"
"นั่นสิ พี่ว่าน้องแดงไปนอนพักก่อนดีกว่า"
คุณแดงพยักหน้ารับ
"ค่ะคุณพี่"
"คุณแดงเดินไหวไหมขอรับ"
เธอพยักหน้ารับ เดินกลับไปทางห้องนอน แก้วเดินตามระวังให้แล้วนำไปช่วยเปิดประตูห้อง
อ้นมองตามทั้งคู่ไป ด้วยสีหน้าติดใจสงสัยปนไม่ค่อยชอบใจนัก พระนิติธรรมเห็นท่าทางอ้น ก็แปลกใจ
"มีอะไรรึเปล่าเจ้าอ้น"
อ้นอึกๆอักๆไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี พระนิติธรรมเห็นท่าทีอ้นก็ยิ่งแปลกใจอยากรู้
คุณกัลยาเดินมานั่งลงที่เตียง แก้วยืนรอรับใช้อยู่หน้าประตูห้อง
"คุณแดงทานยาหรือยังขอรับ ถ้ายัง เดี๋ยวกระผมจัดมาให้"
เธอหน้าเศร้า บอก
"ทานแล้วจ้ะ ฉันล่ะเบื่อตัวเองเหลือเกิน ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินแต่ยา แข็งแรงอยู่ได้ไม่กี่เดือน ก็ล้มป่วยอีกแล้ว"
แก้วยิ้มบางๆให้กำลังใจ
"อย่าคิดมากเลยขอรับ เจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเรากังวล จะยิ่งไม่หายนะขอรับ"
คุณกัลยายิ้มบางๆ พยักหน้ารับ เธอค่อยๆ ขยับตัวลงนอน
แก้วมองเข้ามาด้วยความเป็นห่วง รอจนคุณแดงห่มผ้านอนหลับตาไป แล้วค่อยๆ ปิดประตูห้องเบาๆ
ฝ่ายคุณกัลยาอมยิ้มปลาบปลื้มที่แก้วเป็นห่วงเป็นใยตน
พระนิติธรรมกับอ้นออกมาคุยกันที่นอกเรือนแพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ตั้งแต่ที่นังบุญเจิมมันกลั่นแกล้งคุณแดง กระผมก็เริ่มเอะใจแล้ว แต่ยังคิดว่านังนี่มันบ้าไปเอง จนกระทั่งกระผมเห็นว่า คุณแดงดีกับไอ้แก้วเกินธรรมดา อย่างเช่นวันนี้ ทั้งๆที่คุณแดงล้มป่วยอยู่แท้ๆ แต่พอรู้ว่าไอ้แก้วมาหาคุณพระ คุณแดงก็รีบลุกขึ้นมาทำของว่างทันทีเลยขอรับ"
นิติธรรมสีหน้าเคร่งขรึม
"แล้วเจ้าแก้วเล่า มันมีท่าทีจะรักชอบน้องแดงหรือไม่"
"ไม่เลยขอรับ กระผมว่าไอ้แก้วยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ว่าคุณแดงมีใจให้"
อ้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจพูด
"คุณพระสั่งห้ามไอ้แก้วอย่าให้มาที่เรือนแพอีกเลยจะดีกว่าขอรับ"
"เอ็งคิดว่าเจ้าแก้วมันเลวนักรึ ถึงต้องคอยกันมันไว้"
"มิได้ขอรับ ไอ้แก้วเป็นคนดี แลใฝ่รู้รักความก้าวหน้า แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นทาส ต่อให้มันพ้นจากทาสแล้ว ก็ยังหาคู่ควรกับคุณแดงไม่ขอรับ"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ ตบบ่าอ้น
"ข้าขอบใจ ที่เอ็งรักข้ากับน้อง แต่หากคิดอย่างเอ็ง คนเราคงไม่ต้องขวนขวายทำดีกันแล้ว เพราะต่อให้เพียรพยายามเท่าใด ถ้าเกิดมาต่ำ ก็ต้องต่ำอยู่ร่ำไป จริงหรือไม่"
อ้นหน้าเสีย
"นี่คุณพระเห็นดีเห็นงาม"
พระนิติธรรมพูดสวนขึ้น)
"ไม่ใช่ ถึงข้าจะไม่รังเกียจเจ้าแก้ว แต่ก็ยังต้องดูอีกมาก หากมันเป็นคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หวังจะใช้น้องแดงเป็นบันไดแล้ว ข้าจะไม่มีวันยอมยกน้องข้าให้เป็นอันขาด แต่หากมันขยันหมั่นเพียร เดินในทางที่ถูกที่ควร จนขึ้นมาทัดเทียมกับน้องข้าได้ ข้าก็ไม่ค้าน ที่จะรับมันเป็นน้องเขยดอก"
อ้นรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยกับเจ้านายนัก พระนิติธรรมมีสีหน้าใช้ความคิดพร้อมอมยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวแก้ว
แก้วเดินกลับเข้ามาที่เรือน พอเข้ามาถึงก็ต้องแปลกใจ ที่ไม่เห็นคอกนอนอยู่บนแคร่หน้าเรือน ตามแผนที่ตนวางไว้ เหลือแต่ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม วางอยู่บนแคร่
ขณะที่แก้วกำลังแปลกใจ ก็มีคนเข้ามาล็อกคอแก้วจากทางด้านหลัง
"มึงเสร็จกูล่ะไอ้แก้ว"
แก้วหน้านิ่ง
"ไปหาท่านเจ้าคุณกับกูเดี๋ยวนี้"
แก้วถอนใจออกมา
"เล่นพอแล้วหรือไม่ ไอ้คอก"
คอกปล่อยแก้ว ด้วยความเซ็งๆ
คอกเซ็ง
"พี่รู้ได้อย่างไร ฉันอุตส่าห์วางแผนดีแล้วเชียว"
"เรื่องแค่นี้ ทำไมข้าจะไม่รู้ แล้วทำไมเอ็งถึงไม่นอนบนแคร่ เกิดพวกพี่บุญมีมาจับผิด จะไม่เสียแผนข้ารึ"
"พี่บุญมีมาแล้วพี่ แลเกือบจะโดนจับได้แล้วด้วย"
แก้วตกใจ
"อ้าว แล้วเอ็งรอดมาได้ยังไง"
คอกยิ้มบางๆ
ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย พลอย เข้ม และบุญมี กำลังสองจิตสองใจ ว่าจะเข้าไปดูให้รู้แน่ไปเลยดีรึเปล่า ว่าคนที่นอนบนแคร่ใช่แก้วรึไม่
พลอยถาม
"ว่ายังไงพี่มี ทำไมไม่เข้าไปดูล่ะ"
"ข้ากลัวว่าหากเป็นไอ้แก้วจริง แล้วแผนเราจะเสียน่ะสิ ถ้าพลาดไป คงไม่มีโอกาสจะจับมันได้ง่ายๆอีกแล้ว"
"แต่ถ้าเราไม่เข้าไปดู เราก็ไม่รู้ว่าเป็นไอ้แก้วแน่หรือไม่นะพี่" เข้มบอก
บุญมีลังเล ว่าจะเอาไงดี ขณะนั้นเอง บุญเจิมก็เดินถือถาดใส่ผลไม้ เข้ามาหาคอกที่นอนอยู่ บุญเจิมปั้นยิ้มเรียก
"พี่แก้วจ๋า ลุกขึ้นมากินมันต้มก่อนจ้ะ"
คอกงงๆ ลุกขึ้นนั่ง
"นังเจิม"
บุญเจิมรีบกระซิบ
"อย่าเอะอะไอ้คอก พวกพี่มีกำลังจ้องจับผิดเอ็งอยู่"
ว่าแล้ว บุญเจิมปั้นยิ้มแกล้งพูดเสียงดังขึ้น
"ฉันป้อนนะจ๊ะพี่แก้ว"
บุญเจิมป้อนมันต้มให้คอกทาน ด้วยท่าทางกระหนุงกระหนิง บุญเจิมเหลือบตามองเห็นพวกบุญมีเดินกลับออกไปแล้ว
คอกกำลังเคลิ้ม หลับตาพริ้ม กินมันต้มที่บุญเจิมป้อนให้อย่างปลาบปลื้ม บุญเจิมยัดมันต้มทั้งดุ้นเข้าปาก จนคอกแทบสำลัก
"จะฆ่ากันรึไงนังเจิม"
"พวกมันไปกันหมดแล้ว"
"แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไร ว่าพวกพี่มีคอยจับผิดอยู่"
"จะยากอะไร พอข้าเห็นพวกพี่มีลับๆล่อๆ ข้าก็คอยสะกดรอยตามอีกที แค่นี้ก็รู้แล้วว่าจะทำอะไร ถึงพี่แก้วจะฉลาด แต่อย่างไรก็พรรคพวกน้อยกว่าพี่มี ถ้าไม่มีข้าคอยช่วย จะรอดไปได้ซักกี่น้ำ"
บุญเจิมภูมิใจในปัญญาตนที่ช่วยแก้วได้ตลอด
แก้วกำลังคุยกับคอกอยู่
"นังเจิมมันก็พูดถูกนะพี่แก้ว ถ้าไม่ได้มันคอยช่วย เราคงถูกจับได้ไปนานแล้ว"
" ตั้งแต่คราวที่มันหักหลังข้า ข้าก็นึกว่ามันคงไม่ช่วยข้าอีกแล้ว ไม่นึกเลย ว่ามันจะเปลี่ยนใจ"
"มันไม่ได้เปลี่ยนใจดอกพี่ มันยังหวังดีกับพี่เหมือนเดิม แต่นังเจิมมันเป็นคนหึงหวงแรงนัก ที่มันหักหลังพี่ ก็เพราะต้องการให้พี่เลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณแดงเท่านั้นเอง แต่ใจจริง มันก็คงไม่อยากให้พี่ต้องเจ็บตัวดอก"
แก้วคิดตามที่คอกพูด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องบุญเจิมเป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ ได้แต่ถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ
บุญเจิมเดินปิดปากหาว แล้วบิดขี้เกียจลงจากเรือนเจ้าคุณมาตอนเช้าวันใหม่ พอลงมา ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นแก้วยืนรออยู่หน้าเรือน
บุญเจิมยิ้มแย้มก่อนรีบหุบยิ้ม ทิ้งค้อน
"พี่แก้ว... มารอใครแต่เช้ารึพี่แก้ว คงไม่ใช่ฉันหรอกนะ"
"ผิดแล้ว ข้ามารอเอ็ง"
บุญเจิมดีใจมาก
แก้วพูดขึ้นมาทันที
"ข้าจะมาขอบใจเอ็งเรื่องเมื่อคืน"
บุญเจิมหน้าเสีย เซ็งสุดๆ
"ถ้าเรื่องนั้น ไม่ต้องดอก ถือว่าฉันชดเชยที่เคยหักหลังพี่ก็แล้วกัน"
"เอ็งไม่ขัดขวางที่ข้าจะเล่าเรียนหนังสือแล้วใช่หรือไม่"
"แล้วขวางได้รึ ฉันปลงแล้ว เพราะพี่มันดื้อรั้นนัก ถึงถูกจับได้ก็ต้องไปอีกแน่ แล้วฉันจะทำให้พี่ถูกลงโทษไปเพื่ออะไร"
"ขอบใจเอ็งนักนังเจิม"
"ช้าก่อน ฉันไม่ขวางพี่เพียงเรื่องเล่าเรียนเท่านั้น แต่หากรู้ว่าพี่มีใจให้นังน้องสาวคุณพระ พี่ต้องเจอฤทธิ์นังเจิมอีกแน่ๆ"
บุญเจิมสะบัดหน้าพรืดเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเอาแต่ใจ แก้วมองตามแล้วพูดพึมพำ
"ข้าจะไปมีใจให้คุณแดงได้ยังไงนังเจิมเอ๊ย เพราะใจของข้า ให้หญิงอื่นไปจนหมดสิ้นแล้ว"
แก้วเงยหน้ามองไปบนเรือน สีหน้าแววตาละห้อย ย่อท้อในวาสนาอันต่ำต้อยของตัวเอง
น้ำทิพย์กำลังอุ้มลูกของนิ่มอย่างรักใคร่ หยอกล้อกับเด็กตลอดเวลา โดยมีพระยาไชยากร และนิ่มอยู่ใกล้ๆ
"น้องชายของลูกช่างน่าเกลียดน่าชังเหลือเกินค่ะคุณพ่อ แล้วนี่คุณพ่อตั้งชื่อน้องไว้หรือยังคะ"
ไชยากรยิ้มแย้ม
"พ่อเอาดวงไปให้ท่านพระครูผูกให้แล้ว กำลังรอท่านเลือกชื่อที่เป็นมงคลให้อยู่"
น้ำทิพย์ยิ้มรับ ก่อนจะหันไปหอมแก้มเล่นกับเด็กต่อ นิ่มเห็นน้ำทิพย์รักลูกของเธอก็พลอยมีความสุขไปด้วย อบเชยเดินถือถาดใส่ของว่างกับน้ำใบเตย และคอยสังเกตตลอดเวลาว่า น้ำทิพย์มีปฎิกิริยายังไงกับเด็กบ้าง
น้ำทิพย์หันไปพูดกับนิ่ม
"ว่างๆแม่นิ่มพาน้องไปหาฉันที่เรือนบ้างนะจ๊ะ ฉันอยากเจอน้อง"
พระยาไชยากรหน้าตึงทันที ไม่พอใจที่ลูกสาวไปทำทีสนิทสนมกับนิ่ม
" ค่ะคุณน้ำทิพย์ ถ้าคุณน้ำทิพย์ไม่ว่าอะไร ฉันจะพาไปกราบบ่อยๆค่ะ"
"กราบเกริบอะไรกันจ๊ะ นี่น้องชายฉันนะ แลเรือนที่ฉันอยู่ ก็เป็นเรือนของน้องด้วยเหมือนกัน อันที่จริง ควรจะย้ายมาอยู่ด้วยกันเสียด้วยซ้ำ"
อบเชยเห็นน้ำทิพย์ดีกับนิ่มมากก็แปลกใจ ขณะที่พระยาไชยากรรู้สึกไม่ชอบใจแต่พยายามเก็บอาการเอาไว้
ผ่านเวลาเล็กน้อย บริเวณครัวในบ้านเช่า อบเชยกลับเข้ามาคุยกับน้อมอย่างออกรส น้อมค่อนข้างระแวงในตัวน้ำทิพย์
"เป็นแผนซะกระมังนังอบเชย ข้าไม่เชื่อดอกโว้ย ว่าลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นไปได้ "
"แต่เท่าที่ดู ก็ไม่เหมือนจะโกหกนะป้า ไม่แน่ ว่าลูกสาวอีตาพระยานาล่มอาจจะเป็นคนดีก็ได้ เพราะตอนที่พี่นิ่มท้อง เธอก็ฝากข้าวของมาให้ตั้งหลายครั้ง แสดงว่าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร"
"ข้าไม่ไว้ใจดอกโว้ย มันอาจจะคิดรังแกหลานข้าอยู่ก็ได้ ใครมันจะรักน้องที่เป็นลูกเมียน้อยได้ลงคอ"
"ถ้าอย่างนั้น ป้าก็ไปดูให้เห็นกับตาเลยสิ จะได้รู้ว่าจริงหรือไม่"
น้อมตวาดแว๊ด
"ถ้าข้าออกไปได้ จะมาซ่อนตัวอยู่ในครัวทำไมวะ ข้าไม่อยากเห็นหน้ามัน นี่ถ้าไม่เห็นแก่ลูกแก่หลาน
ข้าส่งคนไปตีกบาลมันอีกรอบแล้ว"
" อุ๊ย เรื่องมากจริงป้า ไปเองก็ไม่ไป ฉันบอกก็ไม่เชื่ออีก จะเอายังไง"
น้อมสายตาแข็งกร้าวเอาจริง
"ข้าก็ต้องระแวงไว้ก่อนสิวะนังอบเชย"
น้อมดูระแวงๆ เดินไปแอบชะโงกมองไปทางโถงเรือน สีหน้าเป็นห่วงหลานชาย
น้ำทิพย์ส่งลูกของนิ่มคืนให้นิ่มรับไป
"ท่าทางน้องชายฉันจะโมโหหิวแล้ว แม่นิ่มพาไปให้นมเถอะจ้ะ"
"ค่ะคุณน้ำทิพย์"
นิ่มอุ้มลูกกลับเข้าข้างในไป พระยาไชยากรมองตามจนแน่ใจว่านิ่มเข้าไปแล้ว ก่อนจะหันมาพูดกับลูกสาว
"เรื่องวันนี้พ่อคงต้องขอตำหนิลูกล่ะนะ"
น้ำทิพย์แปลกใจ
"เรื่องอะไรกันคะคุณพ่อ"
"ก็เรื่องที่ลูกทำตัวสนิมสนมกับแม่นิ่มเกินไปน่ะสิ สนิทสนมไม่พอ ยังจะชวนไปถึงเรือนอีก เรือนหลังนั้นมันเป็นของพ่อกับของลูกเท่านั้น ไม่ใช่ที่ที่แม่นิ่มควรจะย่างกรายเข้าไปแม้แต่น้อย"
น้ำทิพย์ตกใจ
"แต่แม่นิ่มเป็นเมียคุณพ่อนะคะ แลลูกชายเธอก็เป็นลูกของคุณพ่อ แล้วคุณพ่อจะไม่ให้แม่นิ่มไปที่เรือนของเราได้อย่างไร"
"ตาหนูนั่นเป็นลูกพ่อ พ่อย่อมต้องเลี้ยงดูอย่างดี แต่แม่นิ่มเป็นแค่เมียน้อย ไม่คู่ควรที่จะไปเหยียบเรือนใหญ่ เพราะมันจะเป็นการตีตนเสมอกับแม่ของลูก ชีวิตพ่อ มีแม่ของลูกเป็นเมียเอกที่จะเชิดหน้าชูตาเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้หญิงอื่นอย่าได้คิดเผยอ” เจ้าคุณบอก
แม้น้ำทิพย์จะไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของพ่อเลย
“ลูกก็ไม่เคยเห็นแม่นิ่มจะมีท่าทีเผยอเลยนะคะ ออกจะเจียมตัวเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะโดยศักดิ์
ฐานะของแม่นิ่ม ไม่ควรจะต้องเป็นเมียน้อยใครทั้งนั้น”
เจ้าคุณไม่พอใจ
“พ่อเป็นถึงพระยาพานทอง เป็นเมียน้อยพ่อจะเสียหายอะไร แลพ่อต้องการให้แม่นิ่มเจียมตัวเช่นนี้แหละ จะได้ปกครองกันง่าย ลูกทำตามที่พ่อสั่งก็พอ เมียน้อยก็ควรจะอยู่อย่างเมียน้อย เลี้ยงดูอย่างดีก็น่าจะพอใจแล้ว อย่าได้คิดเกินวาสนาของตัวเอง”
เจ้าคุณเดินเลี่ยงไปด้วยความหงุดหงิด น้ำทิพย์มองตามพ่อ แล้วถอนใจออกมาด้วยความอ่อนใจกับนิสัยของพ่อจริงๆ
เวลาบ่าย บุญมีขับรถม้าพาเจ้าคุณ และน้ำทิพย์ มาส่งถึงหน้าที่ทำงาน ทั้งคู่ก้าวลงจากรถ
“คืนนี้พ่อคงต้องอยู่สะสางงาน กว่าจะกลับก็คงเช้า ลูกไม่ต้องรอพ่อดอกนะ”
“ค่ะคุณพ่อ”
ขณะนั้นเอง เจ้าพระยาคนหนึ่งเดินคุยกับกลุ่มข้าราชการออกมาจากข้างใน พระยาไชยากรเห็นก็รีบเข้าไปหา ไหว้ ยิ้มประจบทันที
“ท่านเจ้าพระยา มิทราบว่าใต้เท้าจะมา มิเช่นนั้นกระผมก็คงอยู่รอพบแล้ว”
บุญมีได้ยินว่าเป็นเจ้าพระยา ก็รีบลงจากรถม้ามาคุกเข่าทันที
เจ้าพระยายิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรๆ ฉันแค่แวะมาคุยกับท่านเสนาบดีของท่านเจ้าคุณเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
น้ำทิพย์เดินเข้าไปไหว้เจ้าพระยา
“นี่แม่น้ำทิพย์ ลูกสาวของกระผมเองขอรับใต้เท้า”
เจ้าพระยารับไหว้ มองน้ำทิพย์แล้วยิ้มแย้ม
“นี่น่ะรึคุณน้ำทิพย์ ช่างงามจับตา สมกับที่พระนิติธรรมลือชาพูดไว้ไม่ผิดเลยเชียว”
น้ำทิพย์ตกใจหน้าเจื่อน เหล่มองพ่อกลัวพ่อโกรธ ในขณะที่บุญมี หูผึ่งขึ้นมาทันที แต่พระยาไชยากรกลับวางสีหน้านิ่งเฉย ราวกับไม่ได้ยินอะไร จนเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
บ่ายวันเดียวกัน บุญมีมาเล่าให้มาโนชฟัง
“คุณอานิ่งเฉย ไม่พูดอะไรเลยรึ”
บุญมีรีบมารายงานมาโนชถึงที่ทำงาน
“ขอรับ แต่ท่านเจ้าคุณก็รู้จากคุณมาโนชแล้วไม่ใช่หรือขอรับว่าไ อ้คุณพระมันมีใจให้คุณน้ำทิพย์ ท่านเลยไม่แปลกใจกระมังขอรับ”
มาโนชตะคอกใส่
“ไอ้หน้าโง่ รู้จากปากข้ากับรู้จากปากท่านเจ้าพระยา มันเหมือนกันที่ไหนวะ ท่านเจ้าพระยารู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ก็แปลว่าไอ้พระนิติธรรม มันต้องสนิทสนมกับท่านมาก ย่อมแสดงว่าเรื่องที่มันจะขึ้นเป็นพระยาในภายหน้า คงเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว”
“ขึ้นก็ขึ้นไปสิขอรับ ถึงอย่างไรมันก็ร่ำรวยไม่เท่าคุณมาโนชดอกขอรับ”
มาโนชโมโห
“เอ็งจะโง่ไปถึงไหนวะไอ้บุญมี ทรัพย์สมบัติมันหากันได้ ขอเพียงมีอำนาจบารมี จะเอาเงินทองซักเท่าไหร่ก็ได้ ที่คุณอานิ่ง ไม่พูดอะไรต่อ อาจจะกำลังชั่งใจอยู่ก็เป็นได้ ว่าไอ้คุณพระจะรุ่งเรืองไปถึงขั้นใด ถ้าขึ้นไปสูงมากพอ อาจจะยกน้องน้ำทิพย์ให้มันก็เป็นได้”
บุญมีตกใจมาก
“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ ก็ท่านเจ้าคุณชังน้ำหน้าไอ้พระนิติธรรมนัก แลหมายมั่นจะยกคุณน้ำทิพย์ให้คุณมาโนชอยู่แล้วด้วย แล้วจะยกคุณน้ำทิพย์ให้ไอ้คุณพระได้ยังไง”
มาโนชขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
“คนอย่างคุณอา ไม่มีเห็นสิ่งใด เกินไปกว่าประโยชน์ของตนดอกวะ ที่รักข้า ก็เพราะข้าเป็นหลาน
แลอยากได้ทรัพย์สมบัติของเจ้าคุณพ่อข้า แต่หากมีหนทางอื่นได้มากกว่า คุณอาก็เปลี่ยนใจได้เสมอ”
เวลาเย็น บริเวณหน้าศาลาท่าน้ำ แก้วคุกเข่าสีหน้าใช้ความคิด น้ำทิพย์นั่งลุ้นอยู่ที่ศาลาพร้อมถ้วยชาสมุนไพรวางอยู่ข้างตัว
“ว่ายังไงแก้ว คิดออกหรือยังว่า ทำไมคุณพ่อถึงนิ่งเงียบ ตกลงคุณพ่อโกรธฉันใช่หรือไม่”
แก้วส่ายหน้า
“ไม่น่าใช่ดอกขอรับ ท่านเจ้าคุณน่าจะทราบแล้ว ว่าคุณพระมีใจให้คุณน้ำทิพย์ จึงไม่น่าจะโกรธเคืองอะไร แต่ถ้าจะให้เดา ว่าท่านเจ้าคุณคิดอะไร ก็สุดปัญญาไอ้แก้วขอรับ เพราะท่านเจ้าคุณเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก ไม่แสดงความยินดียินร้ายต่อหน้าคนอื่นโดยง่าย เว้นแต่จะเป็นคนใกล้ตัว หรือไม่ก็คนที่ท่านเจ้าคุณไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้น”
“จริงของแก้ว ป่วยการที่ฉันจะคาดเดาความคิดของคุณพ่อ ถ้าท่านจะโกรธ ฉันก็คงต้องยอม ฉันกลับขึ้นเรือนก่อนล่ะ”
แก้วถอย คุกเข่าถอยหลีกทางให้
น้ำทิพย์เหลือบเห็นถ้วยชาของตน เลยหยิบขึ้นมา
“แก้ว น้ำสมุนไพรถ้วยนี้ ฉันยกให้ ดื่มซะซิ เสียดายของ”
แก้วดีใจสุดๆ รับถ้วยน้ำสมุนไพรมา มองน้ำทิพย์ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“เป็นบุญของไอ้แก้วยิ่งแล้วขอรับ”
แก้วดื่มน้ำสมุนไพรจนหมดแก้ว
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
“หอมหวานเหลือเกินขอรับ ซาบซ่านราวกับดื่มน้ำยาอายุวัฒนะเข้าไปเต็มทรวง จนแม้แต่ความตาย มากวักเรียกอยู่ตรงหน้า กระผมก็หาได้ประหวั่นพรั่นพรึงไม่ เพราะถือเป็นที่สุดแล้วที่ได้รับเมตตาจากคุณน้ำทิพย์”
น้ำทิพย์แอบอมยิ้มดีใจ แต่ก็รีบปั้นหน้านิ่ง พูดแขวะกลับไป
“นับแต่ไปร่ำเรียนวิชากับคุณพระเรือนแพ รู้สึกจะเจ้าคารมขึ้นนะ มิน่าเล่าถึงมีแต่สาวๆ หลงคำหวานแก้วตั้งแต่หัวคลองยันท้ายคลอง”
น้ำทิพย์ทิ้งค้อนเล็กน้อยก่อนเดินกลับไปยังเรือน แก้วมองตามตาละห้อย พร้อมถอนใจออกมา ก่อนจะประชดหยิบถ้วยน้ำสมุนไพรมาดื่มรวดจนหมด แล้วไอสำลักออกมาเล็กน้อย
ตอนกลางคืน เข้มกับพลอยช่วยกันพายเรือพามาโนช และบุญมี ที่เมาได้ที่กลับมาตามคลองมาจอดเทียบที่ท่าน้ำ ความที่เมาทั้งก๊วน กว่าจะจอดเรือเทียบท่าก็ทุลักทุเลเอาการ
บุญมีเมามาก พยายามช่วยดึงมือมาโนช
“ยื่นมือมาขอรับคุณมาโนช”
มาโนชเมามาก ปัดมือบุญมี
“เฮ้ย ไม่ต้อง ข้าขึ้นของข้าเองได้”
มาโนชยักแย่ยักยัน ขึ้นบนฝั่งไปจนได้ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซตรงไปขึ้นเรือน เข้มเมามาก บ่น
“คุณมาโนชเอาแต่พูดเรื่องไอ้พระนิติธรรมกับคุณน้ำทิพย์อยู่ได้”
พลอยเมามากเช่นกัน
“นั่นสิ ข้ารำคาญเต็มทนแล้ว”
บุญมีหัวเราะชอบใจ เมามาก
“พวกเอ็งก็รำคาญรึ นึกว่ามีข้าคนเดียวเสียอีก”
ทั้งสามคนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเดินกอดคอกันไป
มาโนชเดินโซซัดโซเซด้วยความเมาขึ้นเรือนมา เดินผ่านห้องหนังสือ เห็นประตูเปิดแง้มไว้ โดยมีแสงไฟลอดออกมาจากข้างใน มาโนชมองเข้าไปในห้อง เห็นน้ำทิพย์นั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว
ถึงน้ำทิพย์จะแต่งตัวเรียบร้อย มิดชิด แต่ก็เป็นชุดสำหรับใส่นอน เห็นแขน และต้นคอขาวผ่อง แถมมาโนชก็กำลังเมาเลยยิ่งขาดสติ
มาโนชมองสำรวจตัวน้ำทิพย์อยู่ครู่นึงก็ทนไม่ไหว เลยเปิดประตูห้องเข้าไป เธอตกใจ
“พี่มาโนช จะเข้ามาอ่านหนังสือหรือคะ”
มาโนชเมามาก ยิ้มขำๆ
“จะอ่านหนังสือไปทำไม พี่ตั้งใจจะเข้ามาคุยกับน้องต่างหาก”
น้ำทิพย์แปลกใจ
“คุยเรื่องอะไรคะ”
ขาดคำ น้ำทิพย์ก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อจู่ๆมาโนชก็คว้าข้อมือของตน พูดด้วยอาการเมามาย
“น้องน้ำทิพย์รู้หรือไม่ ว่าพี่ทุกข์เหลือเกิน ตำแหน่งขุนรออยู่ตรงหน้าแล้วก็ไม่ได้เป็น ทำให้พี่ต้องแต่งงานกับน้องช้าไปอีก พี่จึงสู้อุตส่าห์ย้ายมาเป็นตำรวจกรมพลตระเวน เพราะหวังจะก้าวหน้าเร็วขึ้นก็เพื่อน้อง น้องเห็นใจพี่บ้างหรือไม่”
น้ำทิพย์โมโหมาก พยายามสะบัดมือแต่ไม่หลุด
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะพี่มาโนช จะหยามกันเกินไปแล้วนะ”
มาโนชเมามาก ออดอ้อน
“หยามอะไรกัน พี่นี้รักน้ำทิพย์ล้นหัวใจอยู่ เมตตาให้พี่ ได้คลายทุกข์ด้วยการกอดน้องสักครั้งเถิด”
พูดจบ มาโนชก็ดึงน้ำทิพย์เข้ามาจะกอด เธอตกใจรีบดันตัวไว้พร้อมกับร้องลั่น แต่มาโนชก็ไม่ฟังเสียง
ขณะนั้นเอง บุญเจิมได้ยินเสียงผิดปกติเลยเดินมาดู พอเห็นมาโนชจะปล้ำน้ำทิพย์ก็ตกใจ รีบวิ่งไปตามคนช่วยทันที
แก้วกำลังเดินยามอยู่ บุญเจิมก็วิ่งหน้าตาตื่นมา จนเกือบชนเข้ากับแก้ว
แก้วจับตัวบุญเจิมไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรของเอ็งวะนังเจิม วิ่งทะเร่อทะร่า เกือบชนข้าแล้ว”
“แย่แล้วพี่แก้ว”
แก้วแปลกใจ
“อะไรของเอ็งวะ”
“คุณมาโนชลวนลามคุณน้ำทิพย์ ท่านเจ้าคุณก็ยังไม่กลับ นมอ้อนก็ไม่อยู่ บ่าวไพร่อื่นก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเอายังไงดีพี่”
แก้วตกใจสุดๆ รีบวิ่งไปที่เรือนทันที บุญเจิมตั้งสติได้ ก็รีบตามแก้วไปทันที
มาโนชพยายามจะกอดจูบน้ำทิพย์ น้ำทิพย์ต่อสู้แข็งขืนไม่ยอมง่ายๆ รวบรวมแรงผลักมาโนชออกไปจนได้
“ชั่วช้านัก นี่ถึงกับกล้าปลุกปล้ำฉัน คุณพ่อกลับมาเมื่อใด ฉันจะฟ้องให้หมด”
“นี่ถึงกับด่าพี่ชั่วช้า พี่รักน้องถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไม่เห็นใจพี่บ้าง”
“เห็นใจ พี่ทำหยาบหยามกับฉันถึงเพียงนี้ ยังคิดว่าฉันจะเห็นใจอีกรึ อย่าหวังเลย ถ้าพี่มาโนชจะหวัง ก็จงทำตัวทำใจให้สะอาดกว่าที่เป็นอยู่เถิด แต่แม้กระนั้น มันก็เป็นเพียงความหวังเท่านั้น ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านั้นดอก”
“เพียงแค่ความหวังรึ ก็ได้ วันนี้พี่จะทำให้ความหวังของพี่เป็นจริงเอง”
มาโนชหันไปปิดประตูห้อง กะจะปล้ำน้ำทิพย์ แต่ไม่ทันจะลงกลอน ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างแรง จนมาโนชผงะไป แก้วจะเข้ามาในห้อง พร้อมกับบุญเจิม
“ไอ้แก้ว มึงกล้าดียังไงขึ้นมาบนเรือนโดยไม่มีคำสั่ง ไสหัวลงไปเดี๋ยวนี้”
แก้วขบกรามแน่น มองมาโนชด้วยสายตาเกลียดชัง ก่อนจะคุกเข่าลง
“ไม่ไปขอรับ ต่อให้ไอ้แก้วโดนเฆี่ยนจนตาย ก็จะไม่ออกไปจากห้องนี้ ขอรับ”
มาโนชโมโหมาก
“มึงกล้าท้ากูรึไอ้แก้ว”
อ่านต่อหน้า 4
ลูกทาส ตอนที่ 5 (ต่อ)
มาโนชตบหน้าสุดแรงจนแก้วปากแตก
ท่ามกลางความตกใจของทุกคน แต่แก้วนิ่ง ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย หันมาจ้องหน้ามาโนชด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่ยอมหลบแต่ก็ไม่สู้ มีเพียงสายตาเท่านั้น ที่ไม่ยอมแพ้ พอมาโนชเห็นสายตาแก้วก็ชักกลัว จนเริ่มสร่างเมา
น้ำทิพย์ตั้งสติได้ก่อน
“บุญเจิม ไปตามบ่าวไพร่ทุกคนมาที่นี่ หากใครไม่มาพรุ่งนี้ ฉันจะบอกคุณพ่อให้ลงโทษอย่างหนัก”
“เจ้าค่ะ”
มาโนชหน้าเสีย กลัวเรื่องราวบานปลาย เลยรีบออกจากห้องไปก่อนบุญเจิมจะไปซะอีก
น้ำทิพย์จะหันไปพูดกับแก้วแต่ไม่ทันบุญเจิม
“พี่แก้ว เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือไม่”
น้ำทิพย์ชะงัก ได้แต่ดูทั้งคู่โดยไม่อาจแสดงความรู้สึกอะไรได้ แก้วเหล่มองน้ำทิพย์ น้ำทิพย์ก็เหลือบมองมาเช่นกัน แต่ทั้งคู่จะเบือนสายตาไปจากกัน เพราะต้องปกปิดความรู้สึกเอาไว้
พระยาไชยากรโกรธจัด ระเบิดอารมณ์ใส่มาโนชที่นั่งหน้าซีดอยู่ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“อาไม่คิดเลย ว่าคนที่อาอุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จะคิดเนรคุณทำกับลูกของอาได้แบบนี้”
มาโนชหน้าเสีย กลัวมาก
“คุณอาอย่าเพิ่งฟังความข้างเดียวนะขอรับ ไอ้แก้วกับนังบุญเจิม มันไม่ชอบกระผมเป็นทุนอยู่แล้ว ก็เลยรวมหัวกันใส่ร้าย เรื่องจริงไม่ได้มีอะไรบัดสีเลยแม้แต่น้อยขอรับ”
“พ่อมาโนชคิดว่าอาโง่ จนเชื่อทุกอย่างจากปากไอ้พวกทาสอย่างนั้นรึ อาถามแม่น้ำทิพย์มาจนแน่ใจแล้ว ถึงได้เรียกพ่อมาโนชมานี่ยังไง”
มาโนชจนมุม เลยคุกเข่าเข้าไปกราบเท้าพระยาไชยากร
“กระผมผิดไปแล้วขอรับคุณอา เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าแท้ๆจึงขาดสติ ขอคุณอาเมตตากระผมด้วยเถิดขอรับ”
“ถ้าอาไม่เมตตา จะยังพูดคุยกับพ่อมาโนชอยู่อีกรึ ป่านนี้คงไล่ส่งออกจากบ้านไปแล้ว แต่อย่าคิดว่าอารัก แล้วจะทำชั่วช้าสารเลวได้ ไม่มีใครรักหลานมากกว่าลูกดอกนะพ่อมาโนช” พระยาไชยากรพูดพลางชี้หน้ามาโนช
มาโนชไหว้
“กระผมทราบแล้วขอรับ ต่อไปกระผมจะไม่ทำการเนรคุณคุณอาอีกแล้ว กระผมสาบานขอรับ”
เจ้าคุณพยักหน้ารับ
“จำคำสาบานไว้ให้ดีก็แล้วกันพ่อมาโนช ไอ้แก้วมันเป็นแค่ลูกทาส ศักดิ์ฐานะของมันยังต่ำกว่าสัตว์ที่อาเลี้ยงไว้เสียอีก แต่พอลูกอามีภัย มันยังช่วยเหลือ ส่วนพ่อมาโนชเป็นลูกพระยาหลานพระยา ถ้าทำร้ายผู้มีคุณเลี้ยงดูตัวเองได้ ก็ต่ำกว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยแล้ว”
เจ้าคุณเดินเลี่ยงไปด้วยความหงุดหงิด
มาโนชขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้นเกลียดชังสุดๆ
“ไอ้แก้ว”
มาโนชโยนถุงเงินให้บุญเจิมรับไป เธอแปลกใจ
“คุณมาโนชให้เงินบ่าวทำไมเจ้าคะ”
มาโนช หยิบจดหมายออกมายื่นให้บุญเจิม
“เป็นค่าใช้จ่าย เพราะข้าจะให้เอ็งเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้คุณเดช บุตรชายท่านเจ้าคุณวชิระ เอ็งเคยพบคุณเดชเพื่อนข้าคนนี้ไม่ใช่รึ”
บุญเจิมรับจดหมายมา
“บ่าวเคยเห็นหน้าสองสามครั้งเจ้าค่ะ แต่ทำไม คุณมาโนชไม่ใช้พวกพี่มีไปล่ะเจ้าคะ”
“ข้ามีงานอื่นให้พวกมันทำ เอ็งไปแทนก็แล้วกัน หรือว่า ตอนนี้เอ็งเป็นบ่าวคุณน้ำทิพย์แล้ว ข้าเลยใช้สอยไม่ได้”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวจะไปให้เจ้าค่ะ”
“เรือนท่านเจ้าคุณวชิระอยู่ไกลโขอยู่ เงินในถุงนี้ถ้าเหลือ เอ็งก็เอาไปเถิด ไม่ต้องคืนข้าดอก”
บุญเจิมดีใจมาก ยกมือไหว้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”
บุญเจิมรีบลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป มาาโนชมองตามบุแล้วยิ้มร้าย หมายจะกันบุญเจิมออกไปเพื่อไม่ให้ช่วยเหลือแก้วได้เหมือนทุกครั้ง
แก้วส่งห่อยาสมุนไพรให้นิ่ม และอบเชย
“ยาพวกนี้ช่วยบำรุงกำลังหลังคลอดดีนัก คุณน้ำทิพย์เธอให้นมอ้อนคุณนมของเธอหามา ถ้าคุณนายนิ่มทานตามตำรับยา ร่างกายจะแข็งแรงในเร็ววันขอรับ”
อบเชยยิ้มเจ้าเล่ห์
“รู้ได้อย่างไรว่าจะแข็งแรง เคยทานรึ”
แก้วยิ้มแหยๆ โดนอบเชยย้อนอีกแล้ว
นิ่มปราม
“แม่อบเชย นายแก้วเค้าอุตส่าห์เอามาให้ ยังจะไปแกล้งเย้าเค้าอีก กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวอยู่กินข้าวกินปลาด้วยกันก่อนสิ”
“เป็นพระคุณขอรับ แต่กระผมต้องรีบไปซื้อของให้ท่านเจ้าคุณ คงต้องไว้วันหลังแล้วขอรับ ลาล่ะขอรับ”
แก้วยกมือไหว้ นิ่มรับไหว้
“ไปก่อนนะแม่อบเชย”
“ก็ไปสิ มาบอกฉันทำไม”
แก้วจ๋อย โดนด่าอีกแล้ว ก่อนจะเดินลงจากเรือนไป พอแก้วลงไป นิ่มก็หันไปหยิกอบเชยเข้าเต็มๆ
อบเชยร้องลั่น
“โอ๊ย พี่นิ่มมาหยิกฉันทำไม”
“ก็แล้วมันเรื่องอะไร แม่อบเชยถึงต้องคอยกระทบกระแทกแดกดันนายแก้วเค้าด้วย นายแก้วเค้าเป็นคนดีมีน้ำใจ แลยังมีบุญคุณกับพี่หลายครั้งหลายครา ถ้าไม่ได้เค้า พี่กับแม่ก็ยังไม่คืนดีกัน แลวันที่พี่
เจ็บท้องจะคลอดลูก ก็ได้นายแก้วคอยช่วยทั้งนั้น แต่แม่อบเชย ก็ยังตามราวีเค้าไม่เลิก”
อบเชยงอนๆ
“ฉันก็ยอมรับ ว่าในจำนวนคนของอีตาเจ้าคุณ นายแก้วเป็นคนได้เรื่องได้ราวที่สุด แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำดีด้วยไม่ใช่รึ”
นิ่มส่ายหน้าอ่อนใจ
“นี่ถ้าแม่อบเชยเป็นเด็กรุ่นๆกว่านี้ พี่คงนึกว่าแม่อบเชยชอบนายแก้วเข้าแล้วเป็นแน่”
“พูดอะไรน่ะพี่นิ่ม ฉันจะไปชอบทาสอย่างงั้นได้ยังไง”
“ก็แม่อบเชยหาเรื่องหาราวเค้าตลอด แล้วจะให้พี่คิดอย่างไร ถ้าไม่ใช่แม่อบเชยอยากให้เค้าสนใจตัวบ้าง”
อบเชยชะงักไป กรอกตาไปมาเล็กน้อย ชักสงสัยตัวเอง
“แต่เอาเถิด แม่อบเชยโตแล้ว คงไม่ใช้วิธีเช่นนั้นดอก ที่พี่พูด ก็เพราะอยากให้แม่อบเชยเห็นแก่พี่ อย่าระรานนายแก้วเค้าอีกเลย”
อบเชยพอฟังนิ่มพูด ก็เริ่มสับสน ว่าลึกๆตนมีใจให้แก้วจริงหรือไม่
เวลาเย็น ท่ามกลางบรรยากาศย่านร้านค้า มีผู้คนมาเลือกซื้อของกันคึกคัก แก้วกำลังเดินหอบของพะรุงพะรังมาตามทาง ขณะนั้นเอง แก้วก็เหลือบไปเห็นอ้นกำลังยืนรออยู่ที่หน้าร้านหมอฝรั่งๆหนึ่ง
“พี่อ้น”
“เจ้าแก้ว เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงวะ“
แก้วยิ้มแย้ม
“ฉันก็มาซื้อของให้ท่านเจ้าคุณน่ะสิ แล้วพี่ล่ะ ทุกทีฉันเห็นพี่อยู่เฝ้าเรือนแพไม่ใช่รึ ทำไมวันนี้มาไกลนักล่ะ”
อ้นมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ค่อยสบายใจ
ภายในร้านหมอฝรั่ง คุณกัลยากำลังคุยกับหมอฝรั่งเป็ฯภาษาอังกฤษ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตกลงฉันเป็นอะไรกันแน่คะคุณหมอ ทำไมฉันป่วยไม่ยอมหายเสียที”
“หมอจำเป็นต้องแจ้งให้คุณทราบว่าเท่าที่ตรวจอาการของคุณแล้ว หมอคิดว่าคุณเป็นวัณโรค”
เธอตกใจอย่างที่สุด
“แต่อย่าเพิ่งกลัวจนเกินไป เดี๋ยวนี้วัณโรคไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขอเพียงคุณทานยาตามที่หมอสั่ง หมอมั่นใจว่าคุณต้องหายได้”
คุณกัลยาสีหน้าสลดลง ใจคอไม่ดีที่รู้ว่าเป็นโรคร้ายแรง น่ากลัว ถึงแม้ว่า หมอจะอ้างว่า รักษาได้ก็ตาม
เธอเดินซึมๆออกมาจากร้านหมอฝรั่ง โดยมีแก้ว อ้น รออยู่หน้าร้าน
“คุณแดง หมอว่ายังไงบ้างขอรับ”
“แก้ว มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“กระผมมาซื้อของให้ท่านเจ้าคุณน่ะขอรับ บังเอิญเจอพี่อ้นเข้า พี่อ้นบอกว่าคุณแดงมาหาหมอ กระผมก็เลยอยู่คอยเป็นเพื่อนน่ะขอรับ เอ่อ แล้วตกลงหมอบอกว่าคุณแดงป่วยเป็นอะไรหรือขอรับ”
เธอหน้าเสีย ไม่กล้าบอกว่าเป็นวัณโรค
“ก็แค่ไข้ธรรมดานี่แหละจ้ะ ไม่มีอะไรมากดอก”
อ้นโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว ผมเห็นคราวนี้คุณแดงป่วยนานไม่ยอมหายเสียที ยังห่วงว่าจะเป็นอะไรมากอยู่เลยขอรับ”
คุณแดงหลบสายตา
“ถ้าอย่างนั้น เราไปรับคุณพระแล้วก็กลับด้วยกันเถอะขอรับ”
“ฉันอยากกลับก่อน อ้นไปรับคุณพี่คนเดียวเถอะ”
“อ้าว ทำไมล่ะขอรับ”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวบ้าง”
คุณกัลยาเดินเลี่ยงไป ท่ามกลางความงุนงงของแก้ว และอ้น
“ไม่เป็นไรพี่ ของที่ฉันซื้อมา ฝากไอ้คอกกลับไปหมดแล้ว เดี๋ยวฉันตามคุณแดงไปเองก็ได้ พี่อ้นไปรับคุณพระเถอะ”
“ฝากด้วยโว้ยไอ้แก้ว ท่าทางคุณแดงแปลกพิกล ข้างุนงงไปหมดแล้ว”
“จ้ะพี่”
แก้วรีบเร่งฝีเท้าตามคุณแดงไปทันที
คุณกัลยานั่งซึมๆอยู่คนเดียวที่นอกชานเรือนแพตั้งแต่กลับมาจากหาหมอจนพลบค่ำ เธอมีน้ำตาคลอเบ้า คิดถึงโรคร้ายที่ตนเป็นก็ทั้งหวาดกลัว ทั้งเสียใจ แก้วถือถ้วยชาสมุนไพรออกมาให้
“น้ำชาขอรับคุณแดง”
เธอเบือนหน้าไปทางอื่น ปาดน้ำตาไม่ให้แก้วเห็น
“แก้วตามฉัน จากที่ร้านหมอมาจนถึงที่นี่ ทำไมแก้วถึงไม่พูดไม่ถามอะไรสักคำ ไม่อยากรู้รึว่าฉันเป็นอะไรกันแน่”
“กระผมเป็นทาส ไม่บังควรอยากรู้เรื่องของนายขอรับ แลหากคุณแดงอยากบอก คุณแดงก็จะบอกเองขอรับ”
“เพราะแก้วเป็นทาส จึงไม่ควรอยากรู้ หรือเพราะฉันไม่เคยสำคัญเลยสำหรับแก้ว”
แก้วตกใจ
“พูดอะไรเช่นนั้นขอรับคุณแดง คุณเป็นถึงน้องสาวคุณพระ มีทั้งศักดิ์แลชาติตระกูลสูง”
เธอตะโกนลั่น ระเบิดความในใจออกมา
“พอได้แล้ว ฉันเกลียดคำนี้ ศักดิ์ฐานะอะไร ชาติตระกูลอะไร รู้หรือไม่ ว่าเพราะคำพวกนี้ ฉันต้องอดทนมามากเท่าใด แต่ในยามที่ฉันตาย ฉันกลับเอาอะไรไปไม่ได้เลย”
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างสุดกลั้น ในยามที่ชีวิตตัวเองแขวนอยู่บนเส้นด้าย เลยระเบิดความรู้สึกในใจออกมาจนหมด
แก้วอึ้งไปครู่ ก่อนจะค่อยๆยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เธออย่างทะนุถนอม เธอค่อยๆจับมือแก้วมาแนบแก้ม
“แก้ว ฉันยังไม่อยากตาย ไม่อยากตายโดยไม่มีคนที่ฉันรัก แลไม่มีคนที่รักฉัน...แก้ว รักฉันได้หรือไม่”
แก้วอึ้งไปทันที
“คุณแดง”
เธอโผเข้ากอดแก้วแน่น ทำเอาแก้วตกใจ ไม่คิดว่าคุณแดงจะทำแบบนี้
“แก้ว ฉันไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้ฉันสิ้นอาย ฉันรู้แต่ว่า แก้วน่าจะเกิดเป็นคนสามัญ ไม่น่าเกิดมาเป็นทาสเค้าเลย รู้หรือไม่ ว่าความแตกต่างระหว่างเราทั้งสอง แท้จริงคืออาวุธร้าย ที่บั่นทอนความสุขของฉันมิให้ยั่งยืน จนบางครั้ง ฉันอดอิจฉาบุญเจิมไม่ได้ ที่ได้พูดได้ทำ อย่างที่ใจต้องการ ไม่ต้องทนเก็บไว้อย่างฉัน”
แก้วหน้าขรึมลง
“คุณแดงอย่าลดตัวลงไปเปรียบกับนังเจิมเลยขอรับ นังเจิมมันเป็นทาส จึงไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ”
“ทาส แล้วทาสต่างจากคนอื่นๆที่ตรงไหน เนื้อหนังของทาสอย่างแก้วก็ไม่เห็นมีกลิ่นสาบของไพร่เลย”
“สาบไพร่สาบทาสมีประจำอยู่เสมอ แต่ที่คุณแดงสูดดมไม่พบกลิ่น เพราะความรักมันกลบหัวใจคุณแดงเสียมิดชิด ความรักมันกลบทั้งหัวใจ สั่นไหวทั้งประสาทให้มึนชา แล้วยังปิดดวงตาเราให้มืดสนิท
อีกด้วย”
แก้วค่อยๆดึงแขนของเธอที่กอดตนอยู่ออก แล้วมองหน้านิ่ง
“เรารู้อิทธิฤทธิ์ของความรักดีแล้ว ต่อไปนี้เราจงมาต่อต้านเอาชนะมันเถิด อย่ายอมให้มันกลบด้วยใจเราจนมิดชิด อย่ายอมให้ประสาทเราสั่นไหวเพราะมัน แลจงเปิดตาเราให้สว่าง อย่ายอมให้มันมืดบอดเหมือนเมื่อครู่นี้อีกเลย หาไม่แล้ว ความทุกข์ร้อนซึ่งเกิดจากพิษของมันจะอุบัติกับชีวิตของเราทั้งสอง คุณแดงก็รู้
ดีอยู่ จงอย่าอ่อนแอยอมแพ้มันเลย”
เธอเสียใจมาก
“แก้ว”
“กระผมต้องกลับแล้วขอรับ”
แก้วรีบก้มหน้าก้มตาเดินกลับออกไปอย่างเร็ว ไม่คาดคิด พระนิติธรรมรีบเบี่ยงตัวหลบไม่ให้แก้วเห็น
แก้วอึดอัดใจมากจนวิ่งตะบึงกลับออกไปตามทางเดินของหมู่เรือนแพ กัลยาร้องไห้ออกมาจะเดินกลับเข้าด้านในเรือนแพ
ขณะนั้นเอง พระนิติธรรมก็เดินเข้ามาหาน้อง หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เธอทั้งตกใจ ทั้งอาย ทั้งกลัว
“คุณพี่”
พระนิติธรรมมองหน้าน้องสาวด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจมากกว่าโกรธเกรี้ยว
แก้ววิ่งตะบึงกลับมาจนถึงสุดเรือนแพชิดคลอง อ้นเดินถือของคุณพระเดินขึ้นเรือมาเจอกันพอดี
“คุณแดงเป็นยังไงบ้างแก้ว”
แก้วไม่ตอบอะไร กระโดดน้ำโครมลงคลองไป อ้นมองตามอย่างงงๆ แก้วว่ายน้ำเร็วและแรงจนน้ำแตกกระจาย ราวกับพยายามว่ายหนีอะไรซักอย่าง
“อะไรของมันวะ”
อ้นส่ายหน้ารีบเดินกลับไปทางเรือนแพคุณพระ
พระนิติธรรมกำลังคุยกับคุณแดงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในห้องทำงาน
“น้องผิดเองค่ะคุณพี่ ที่ไม่มีความละอายจนไปพร่ำพรอดบอกรักกับผู้ชาย คุณพี่จะลงโทษน้องยังไงก็ได้ น้องยอมทั้งสิ้นค่ะ”
พระนิติธรรมมองหน้าคุณแดงนิ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
“พี่ไม่ลงโทษน้องแดงดอก เพราะความรักไม่ใช่เรื่องผิด มันจะเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน ก็สุดจะหักห้ามได้ แลน้องเองก็คงเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มานานแล้วใช่หรือไม่”
เธอพยักหน้ารับ “ค่ะ”
“มิหนำซ้ำ พี่ยังต้องขอบใจเจ้าแก้วด้วย ที่มันไม่ฉกฉวยโอกาส ทั้งๆที่มันทำได้ แต่ถ้าหากมันทำ พี่ก็จะไม่มีวันให้อภัยคนอกตัญญูเช่นมันเด็ดขาด”
“แก้วไม่ใช่คนเช่นนั้นดอกค่ะ ไม่อย่างงั้นก็คงไม่รีบหนีกลับไป”
“พี่เห็นแล้ว พี่ถึงได้ชื่นชมมันยังไงล่ะ แต่แค่มันเป็นคนก็ยังไม่พอดอก เพราะความรัก กับการใช้ชีวิตร่วมกันนั้น มันต่างกันนะน้อง เราไม่อาจโกหกตัวเองได้ ว่าศักดิ์ฐานะเป็นสิ่งที่ผู้คนนับถือแลมีอยู่จริง ถึงเจ้าแก้วจะเป็นคนดี แลน้องจะรักมันมากเพียงใด แต่ถ้ามันไม่คู่ควรกับน้อง พี่ก็ไม่ยกน้องให้ดอก”
“ค่ะคุณพี่ น้องเข้าใจทุกอย่างดีค่ะ”
“จบเรื่องเจ้าแก้วไป เรื่องต่อไป ก็คือที่น้องไปหาหมอ เจ้าอ้นเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว แลพี่เห็นสิ่งที่น้องพูดกับเจ้าแก้วอีก พี่ยิ่งมั่นใจ ว่าอาการของน้องไม่ใช่เจ็บป่วยธรรมดา ไม่เช่นนั้น น้องคงไม่ทุกข์ใจจนเผลอพูดความรักที่เก็บงำไว้ในใจให้เจ้าแก้วฟังดอก พี่พูดถูกหรือไม่”
คุณกัลยาหน้าเสีย ไม่มีอะไรที่จะปิดพี่ชายได้เลยจริงๆ เธอร้องไห้โฮออกมาแล้วโผเข้าสวมกอดคุณพระเอาไว้ เธอร้องไห้จนตัวสั่น พระนิติธรรมลือชาตกใจรีบกอดน้องสาวเอาไว้ หน้าเสีย เดาได้ว่าคุณแดงต้องป่วยหนักเป็นแน่
แก้วเดินกลับมาเรือนของตนทั้งที่ตัวยังเปียกอยู่ เขาเห็นคอกนอนหันหลังห่มผ้าขาวม้าอยู่บนแคร่เหมือนเดิม
“ไอ้คอก ข้ากลับมาแล้ว”
แก้วจะเข้าไปปลุก แต่ทันใดนั้นเอง เข้มก็สะบัดผ้าขาวม้าออก แล้วเอาดาบที่ซ่อนไว้ฟันใส่แก้วทันที!แก้วฉากหลบตามสัญชาติญาณ รอดไปได้หวุดหวิด แต่ร่างก็เสียหลักจนล้มลงกับพื้น และโดนเข้มเอาดาบจ่อหน้าไว้ ทำให้แก้วไม่กล้าเคลื่อนไหว เข้มยิ้มสะใ
“มึงเสร็จกูล่ะไอ้แก้ว คราวนี้มึงไม่รอดแน่”
ขณะนั้นเอง มาโนช บุญมี และพลอย ก็คุมตัวคอกออกมาจากที่ซ่อน โดยคอกหน้าตาฟกช้ำดำเขียว แสดงว่าโดนซ้อมมาไม่ใช่น้อย มาโนชหัวเราะสะใจ
“เล่ห์เพทุบายเอ็งมากนักนะไอ้แก้ว แต่ก็หลอกได้แต่ปัญญาอย่างไอ้บุญมีเท่านั้นล่ะโว้ย ข้านึกแล้วไม่มีผิด ว่าเอ็งต้องให้ไอ้คอกปลอมตัวเป็นเอ็ง เพื่อให้เอ็งไปเรือนแพไอ้คุณพระได้โดยสะดวก”
แก้วหันไปมองคอกที่หน้าตาฟกช้ำ
“ไอ้คอก เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นอะไรมากดอกพี่ แต่ฉันขอโทษพี่ด้วยนะที่ทำให้แผนแตก”
“เอ็งไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องอื่นช่างมันเถอะ”
พลอยหัวเราะ
“ยังมีกะใจห่วงไอ้คอกมันอีกรึ ห่วงตัวเองก่อนเถอะวะไอ้แก้ว ว่าหลังของเอ็งหรือว่าหวายของพี่มี อะไรจะขาดก่อนกัน”
บุญมีหยิบเชือกออกมา แล้วเดินเข้าไปจับมือแก้วไพล่หลัง มัดมือ
“คุณมาโนชคาดการณ์ไม่ผิดเลยจริงๆ พอกันนังบุญเจิมไม่ให้เป็นหูเป็นตาให้เอ็งได้ เอ็งก็สิ้นฤทธิ์หมดลาย เสียดายนิดเดียว ที่เอ็งไม่คิดสู้ ข้าเลยหมดโอกาสตัดคอเอ็งให้สมแค้น”
มาโนชมองแก้ว ยิ้มสะใจ ด้วยสายตาเกลียดชัง แก้วสายตายังแข็งกร้าว ใจไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย
บุญเจิมเดินกลับเข้ามาในครัวมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับกินถั่วลิสงต้มที่ตนซื้อมาอย่างเอร็ดอร่อย
พวกทาสคนอื่นๆ มองท่าทางบุญเจิมอย่างงงๆ
ทาส 1ถาม
“ทำไมเอ็งมาอยู่ที่นี่วะนังเจิม”
“ไม่ให้ฉันอยู่ที่นี่ แล้วจะให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันหิว มีอะไรเหลือให้กินบ้าง ฉันไปส่งจดหมายให้คุณมาโนชเสียตั้งไกล หิวจะแย่อยู่แล้ว”
ทาส 2บอก
“นี่แสดงว่าเอ็งยังไม่รู้ล่ะสิ ว่าไอ้แก้วโดนจับได้ว่าไปที่เรือนแพคุณพระมา ตอนนี้ คุณมาโนชกำลังลงโทษมันอยู่”
บุญเจิมตกใจสุดๆ จนห่อถั่วลิสงหล่นจากมือ หกกระจายเกลื่อน ก่อนที่บุญเจิมจะรีบวิ่งออกไป
จากครัวทันที
แก้วโดนมัดผูกกับเสา แล้วถูกบุญมีเฆี่ยนไม่ยั้ง จนเลือดสาดเต็มแผ่นหลังยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ แก้วขบกรามแน่น ไม่ยอมร้องแม้แต่แอะเดียว
มาโนชยืนมองด้วยความสาแก่ใจ เช่นเดียวกับเข้ม และพลอย ที่สะใจไม่แพ้กัน
ขณะที่น้ำทิพย์ที่นั่งอยู่ ต้องเบือนหน้าไปทางอื่นไม่กล้ามอง กิ่งก็เอาแต่ร้องไห้ ด้วยความสงสารลูกชายจับใจ คอกนั่งตัวสั่นงันงก ทั้งกลัวทั้งสงสารแก้ว เช่นเดียวกับทาสคนอื่นๆที่พากันหวาดกลัว
ขณะนั้นเอง บุญเจิมก็วิ่งหน้าตาตื่นมา พอเห็นแก้วกำลังโดนเฆี่ยนอย่างหนัก ก็ใจเสีย และรีบวิ่งเข้าไปหา คุกเข่ากอดขาน้ำทิพย์ทันที
“คุณน้ำทิพย์เจ้าขา ทำไมไม่ช่วยพี่แก้วล่ะเจ้าคะ พี่แก้วโดนเฆี่ยนจนเลือดชุ่มหวายไปหมดแล้ว”
แม้น้ำทิพย์จะสงสารจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
“จะให้ฉันช่วยได้ยังไง ในเมื่อแก้วผิดจริง คุณพ่อได้ประกาศไว้แล้ว แต่แก้วยังบังอาจฝ่าฝืน ฉันก็จนใจ”
บุญเจิมจนปัญญา แทบอยากจะเจ็บแทนแก้วเสียให้ได้ บุญมีเฆี่ยนจนครบตามคำสั่ง หันไปพูดกับมาโนชอย่างเหนื่อยหอบ
“ครบแล้วขอรับคุณมาโนช”
มาโนชหันไปพูดกับทาสทุกคน ทั้งชี้หน้าแก้ว
“พวกมึงเห็นแล้วใช่หรือไม่ ว่าโทษของคนที่กล้าขัดคำสั่งคุณอาต้องโดนเช่นไร แต่มันไม่ใช่แค่นี้ เพราะไอ้แก้วมันเนรคุณ กินข้าวของคุณอา แต่กลับปันใจไปให้ไอ้คุณพระ มันจึงต้องโดนหนักกว่านี้”
มาโนชหันไปสั่งบุญมี
“ไอ้มี เฆี่ยนมันอีก”
น้ำทิพย์ทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืน
“พอได้แล้วพี่มาโนช จะฆ่ากันให้ตายคาหวายเลยรึยังไง”
"พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าการควบคุมทาสเป็นอำนาจของพี่ แต่ในเมื่อน้องน้ำทิพย์ขอ พี่ก็จะให้"
มาโนชชี้ไปที่แก้ว
"ขอเพียงไอ้แก้วมันยอมรับผิดว่ามันได้กระทำการเลวทรามลงไป แลสาบานว่าจะไม่กระทำอีก พี่ก็จะไม่ลงโทษมัน ตกลงหรือไม่ล่ะ"
คอกดีใจสุดๆ
"รับผิดเลยพี่แก้ว รีบรับผิดเลย"
แก้วอ่อนแรงเจ็บไปทั้งตัว
"กระผมรับว่ากระทำผิด ตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณ แต่ไม่ผิด...ตามความคิดส่วนตัวของกระผม เพราะกระผมไปเรือนแพ เพื่อศึกษาหาความรู้ มิใช่ก่อกรรมทำชั่ว แลเวลาที่กระผมไป ก็เป็นเวลาที่ว่างจากงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว เช่นนี้ กระผม...ย่อมมิได้กระทำผิด"
บุญเจิมร้อนใจสุดๆ
"โธ่ พี่แก้ว เวลาเช่นนี้ยังจะหัวรั้นอีกรึ ยอมรับผิดไปก่อนเถอะ"
แก้วเจ็บไปทั้งตัว อ่อนแรง
"นังเจิมเอ๊ย แค่เจ็บที่ผิวกาย หรือต่อให้ตาย มันก็ไม่ทำให้ข้ายอมแพ้ได้ดอก แต่หากข้าต้องรับผิดในสิ่งที่ข้าไม่คิดว่าผิด นั่นจึงเป็นการยอมแพ้ที่แท้จริง เกิดเป็นทาสมันเลือกไม่ได้ แต่อย่าให้ข้าต้องตาย โดยก้มหัวอย่างทาสเลย"
ทุกคนฟังแก้วพูด ต่างพากันอึ้งกันไปหมด มาโนชหัวเราะลั่น
"ฟัง ฟังไอ้แก้วมันพูด เจ้าถ้อยหมอความนัก สมกับที่ไอ้คุณพระมันสอนมา"
มาโนชหันไปพูดกับน้ำทิพย์)
"น้องได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เมื่อไอ้แก้วมันไม่ยอมรับผิด พี่ก็คงเฆี่ยนมันได้แล้วกระมัง"
กิ่งรีบเข้าไปกอดขามาโนช
"คุณมาโนชเจ้าขา อภัยให้ไอ้แก้วมันซักครั้งเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะกำชับกำชาไม่ให้มันห่างตาไปกระทำผิดอีก หรือถ้าคุณจะสั่งสอนมันให้ได้ ก็ขอให้บ่าวอุทิศหลังให้โบยแทนมันเถอะเจ้าค่ะ"
มาโนชตะคอกใส่
"เอ็งอย่ามาตอแยนังกิ่ง ข้าลั่นคำใดออกไป คำนั้นต้องศักดิ์สิทธิ์ ไม่งั้นข้าก็ปกครองพวกเอ็งไม่ได้ ไอ้พลอย ไอ้เข้ม ลากนังกิ่งออกไป" มาโนชหันไปสั่งลูกน้อง
พลอย และเข้ม เข้ามาลากกิ่งออกไป อย่างไม่ปราณีปราศรัย กิ่งห่วงลูกสุดๆ พูดไปขณะที่โดนลากตัวไป
"คุณมาโนชเจ้าขา เมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ เมตตาแก้วมันด้วย"
แก้วโมโหมากฃ
"ไอ้พลอย ไอ้เข้ม มึงแน่จริงก็ทำกูสิวะ อย่าทำแม่กู"
"ไอ้บุญมี เฆี่ยนมันอีก คราวนี้ถ้ากูไม่สั่ง มึงไม่ต้องหยุด"
บุญมีเฆี่ยนแก้วต่อโดยไม่สงสารแม้แต่น้อย แก้วขบกรามแน่น ไม่ยอมร้องแม้แต่นิดเดียว
ในเวลากลางคืน บุญเจิมนั่งพับเพียบร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าน้ำทิพย์ โดยมีนมอ้อนอยู่ใกล้ๆ
"พี่แก้วถูกขังอยู่ในเรือนขัง โดยไม่มีกำหนดว่าจะขังถึงวันใด คุณน้ำทิพย์เจ้าขา ขอคุณจงช่วยพี่แก้วด้วยเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น พี่แก้วคงตายคาเรือนขังเป็นแน่"
อ้อนสงสาร
"อย่าเพิ่งฟูมฟายไปเลยนังเจิมเอ๊ย ถ้าทาสตายคาเรือนก็วุ่นวายนัก คุณมาโนชก็คงไม่อยากเดือดร้อน มิเช่นนั้น คงไม่สั่งไอ้บุญมีให้หยุดโบย แล้วเอาไอ้แก้วไปขังไว้ดอก"
บุญเจิมร้องไห้สะอึกสะอื้น
"คุณนมไม่ทันเล่ห์คุณมาโนชดอก ก็เพราะกลัวเดือดร้อนน่ะซี ถึงได้ให้เอาพี่แก้วไปขังไว้ แล้วกะกลั่นแกล้งให้ตายคาเรือนขังทาส ฉันรู้ทันดอกน่ะ"
น้ำทิพย์สีหน้าเคร่งเครียด ใช้ความคิด
"แต่ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องค่อยคิดค่อยทำไป พายุกำลังแรง เราต้องสงบไว้ก่อน แต่ฉันสัญญา ว่าจะ
หาทางช่วยแก้ว ให้จากหนักเป็นเบาให้จงได้"
บุญเจิมดีใจมาก กราบเท้าน้ำทิพย์
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ พระคุณที่คุณน้ำทิพย์เมตตาต่อบุญเจิมครั้งนี้ ต่อให้ชีวิตดับสูญไปจากโลกแล้ว วิญญาณของบุญเจิมก็จะเฝ้ากู่สำนึกพระคุณของคุณไปทุกๆชาติเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์หน้าขรึมลง หลังจากที่ฟังบุญเจิมพูด
"คุณน้ำทิพย์รับปากแล้ว เอ็งก็ไปช่วยข้าเตรียมที่หลับที่นอนเสียที คุณน้ำทิพย์เธอจะได้พักผ่อน" อ้อนบอก
บุญเจิม และอ้อน ไปช่วยกันเตรียมที่หลับที่นอน น้ำทิพย์ลุกเดินไปทางริมหน้าต่าง หันมองมาทางบุญเจิม น้ำทิพย์พูดเบาๆกับตัวเอง ด้วยสีหน้าแววตาซึมเศร้า
"บุญเจิมเอ๊ย ใครบอก ว่าฉันจะช่วยแก้วเพื่อสร้างบุญคุณแก่เจ้า เปล่าเลย ฉันคิดจะช่วยแก้ว เพื่อสร้าง
บุญคุณแก่หัวใจฉันเองต่างหาก"
แก้วนอนหลับคว่ำหน้า เลือดไหลอาบหลังอยู่ในห้องขัง ขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ แม้จะหลับ แต่เขายังละเมอครวญคราง ด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
ยามเช้า ภายในที่คุมขัง พลอยโยนชามข้าวกับกระบอกน้ำลงบนพื้น ให้แก้วที่นอนหายใจรวยริน
"กินเข้าไปซะไอ้แก้ว อย่างน้อยถ้าเอ็งตาย จะได้ไม่เป็นผีอดอยาก" พลอยยิ้มเยาะ
แก้วกัดฟันยันตัวขึ้น ก่อนจะคลานเข้าไปหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม
"เอ็งนี่มันอดทนดีแท้ไอ้แก้ว ข้าไม่เคยเห็นใคร โดนเฆี่ยนขนาดนี้ แล้วยังไม่สลบคาหวาย นี่นอกจากเอ็งจะไม่สลบแล้ว ยังมีแรงมากินข้าวกินน้ำได้อีกโว้ย"
แก้วดื่มน้ำเสร็จก็มองหน้าพลอยนิ่ง
"ที่ข้าไม่สลบ เพราะหัวใจข้าไม่ยอมจำนนว่า ข้าผิดควรแก่การลงโทษ แลเพลิงแห่งความแค้นที่ได้รับ
ความเหลื่อมล้ำแลมิเป็นธรรม ได้เผาหัวใจของข้าให้เป็นเหล็กเพชรไปเสียแล้ว อย่าว่าแต่เจ็บเพียงนี้เลย ต่อให้ถูกทิ่มแทงด้วยคมอาวุธจนสิ้นลมปราณ ข้าก็จะไม่ปริปากประกาศความเจ็บปวด หรือวอนขอความกรุณาจากใคร"
พลอยเห็นสายตาแก้วมุ่งมั่นแข็งกร้าวก็อึ้งไป
"เออ ข้านับถือใจเอ็ง แต่ถึงอย่างไร เอ็งก็ไม่มีทางรอดออกจากเรือนขังทาสไปได้ดอกโว้ย หรือ ถ้าเอ็งโชคดีรอดไปได้ คุณมาโนชก็เตรียมที่ตายให้เอ็งไว้แล้ว" พลอยหัวเราะสะใจ
แก้วรู้ว่ามาโนชกำลังคิดเล่นงานตน มากกว่าลงโทษปกติ ก็เคร่งเครียดหนักขึ้นมาทันที
มาโนชกำลังคุยกับพระยาไชยากรบนเรือน
เจ้าคุณคิดหนัก
"แค่เฆี่ยนโบยให้หลาบจำ ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่รึพ่อมาโนช ไอ้แก้วมันได้เรื่องได้ราวมากกว่าใคร จะขายทิ้งไปไกลถึงหัวเมืองปักษ์ใต้ ก็น่าเสียดาย"
"แต่ไอ้แก้ว มันเป็นไส้ศึกให้ไอ้พระนิติธรรมนะขอรับ มันลอบไปที่เรือนแพมาตลอด กว่าจะจับได้ก็เป็นปี ไม่รู้มันเอาความลับของเราไปบอกต่อไอ้พระนิติธรรมเท่าไหร่แล้ว"
เจ้าคุณยิ้มเยาะ
"บอกก็บอกไปสิ อาไม่เห็นต้องกลัว ในเมื่ออาไม่ได้ทำอะไรผิด"
มาโนชเห็นยุไม่ขึ้น เลยมาแผนใหม่
"คุณอา ลืมเรื่องลูกทาสที่เกิดในปีมะโรง สัมฤทธิ์ศกแล้วหรือขอรับ"
เจ้าคุณหูผึ่งขึ้นมาทันที
"อีกไม่นาน ไอ้แก้วก็จะได้เป็นไทแล้ว ยิ่งมีไอ้คุณพระเรือนแพหนุนหลัง มันย่อมไม่ยอมเป็นทาสต่อไปอีกแน่ ดีไม่ดี มันอาจจะยุยงพวกลูกทาสคนอื่นๆให้กระด้างกระเดื่องต่อคุณอาก็เป็นได้นะขอรับ เรื่องที่เราคิดจะปิดการเลิกทาสไว้ ไม่ให้พวกทาสรู้ เห็นทีจะไม่สำเร็จเป็นแน่"
เจ้าคุณคิดตาม สายตาเหี้ยมเกรียม
"ถ้าเช่นนั้น พ่อมาโนชก็เร่งขายมันไปเถิด ไปยิ่งไกลยิ่งดี แลหากมันไปตายที่หัวเมืองปักษ์ใต้ได้ อาจะได้สบายใจ"
มาโนชยิ้มร้ายๆ
"ขอรับคุณอา"
เข้มกำลังกร่างใส่กิ่ง คอก และบุญเจิม ไม่ยอมให้ทั้งสามคนเอาอาหารและยาไปให้แก้วที่ถูกขัง
อยู่ข้างในเรือนทาส
เข้มตะคอกใส่กิ่ง
"ฉันบอกป้าแล้วว่า เข้าไปถึงตัวไม่ได้ มีอะไรก็ฝากฉันมา ฉันเอาเข้าไปให้ไอ้แก้วเอง"
กิ่งอ้อนวอน
"ผ่อนผันซักครั้งไม่ได้รึพ่อเข้ม เมื่อวาน ไอ้แก้วมันโดนหนักนัก ฉันกลัวว่ามันจะเจ็บถึงตาย เมตตาให้ฉันเข้าไปดูมันหน่อยเถิด"
"เอ๊ะป้า ก็ท่านเจ้าคุณสั่งไว้มั่นเหมาะจะให้ฉันละเมิดคำท่านได้ยังไง"
"อะไรกันพี่เข้ม ท่านเจ้าคุณเพิ่งมาถึงเรือนเมื่อเช้านี้เอง จะออกคำสั่งขังพี่แก้วได้แล้วรึ พี่แอบอ้างคำสั่งท่านเจ้าคุณเสียกระมัง" คอกว่า
เข้มโมโห ชี้หน้าคอก
"มากไปแล้วโว้ยไอ้คอก คดีที่เอ็งสมคบคิดกับไอ้แก้ว ยังไม่ได้สะสาง ยังกล้ามาหาความข้าอีกรึ หรืออยากจะโดนรสหวายบ้างก็บอกมา"
คอกชะงักไป ตนเองยังมีผิดอยู่ เลยไม่กล้าพูดมาก
"ถ้าฝากของกับเอ็งไป แล้วไม่ถึงมือพี่แก้วเล่า ใครจะรับผิดชอบ" บุญเจิมบอก
เข้มยิ้มแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
"เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็สุดแต่ใจเอ็งเถอะนังเจิม แต่ข้าไม่ให้เข้าไป"
บุญเจิมแค้นมาก
"เอ็งจำไว้นะไอ้เข้ม อย่าให้ถึงทีข้าบ้างก็แล้วกัน"
เข้มหัวเราะร่วน
"ทีของเอ็งน่ะรึ ถ้าเอ็งรอได้ก็อาจจะมีสักวัน แต่ทีของไอ้แก้วที่จะเอาคืนข้า คงหามีไม่แล้ว"
กิ่งหน้าเสีย รู้สึกสังหรณ์ ใจไม่ดี
"หมายความว่ายังไงพ่อเข้ม หรือไอ้แก้วเป็นอะไรไปเสียแล้ว"
เข้มยิ้มเย้ยหัวเราะหยันบอก
"มันไม่ได้เป็นอะไรดอกป้า แต่ท่านเจ้าคุณรำคาญความหัวรั้นของมันเต็มทนแล้ว ไอ้แก้วหายดีเมื่อใด ก็จะขายมันต่อให้พวกหัวเมืองปักษ์ใต้ ป้าก็รู้ไม่ใช่รึ ว่าพวกหัวเมืองปักษ์ใต้ใช้งานหนักนัก ไข้ป่าก็ชุม ต่อให้มันได้เป็นไทตามที่มันฝันไว้ ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาหาป้าได้หรือไม่ แล้วจะมาเอาคืนฉันได้ยังไงกันล่ะ"
กิ่ง บุญเจิม และคอก ตกใจสุดๆที่รู้ว่าแก้วจะโดนขาย
อ่านต่อตอนที่ 6