อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 23
สาขับรถด้วยตัวเอง รถแล่นเข้ามาจอดในบ้าน โสภิตพิไลลงจากรถ สาลงตาม หันมาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มภาคภูมิ
“ถึงแล้วจ้ะ บ้านของเรา”
ละมัยกับตุ่นวิ่งมารับ ละมัยรีบถาม “มีของอะไรไหมคะ คุณ”
“กระเป๋าคุณหนูอยู่ท้ายรถแน่ะ” สาแนะนำโสภิตพิไล “ละมัย ตุ่น นี่คุณหนูโสภิตพิไล” ทั้งสองไหว้โสภิตพิไลรับไหว้ สาหันมาทางลูกสาว “ละมัยเป็นแม่ครัวแล้วก็แม่บ้านจ้ะ ส่วนตุ่นมีหน้าที่ซักรีดแล้วก็รับใช้ทั่วไป”
ละมัยยิ้มแย้ม “คุณหนูอยากรับทานอะไรก็บอกมัยได้เลยนะคะ”
โสภิตบอกด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณค่ะ”
“ไปจ้ะ เข้าบ้านก่อน”
ตุ่นกับละมัยช่วยกันยกกระเป๋าไป สาพาโสภิตพิไลเข้าบ้าน
โสภิตพิไลเดินตามสาเข้าไปในห้องรับแขกของบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
“บ้านคุณป้าใหญ่โตกว้างขวางจังนะคะ”
“จ้ะ จะใช้ไม่ใช้ ก็ต้องให้มันใหญ่ไว้ก่อน” สายิ้มขำ “มันจำเป็นสำหรับสมัยนี้ ต้องมีบ้านหลังโตๆ มีรถคันโก้ๆ เขาถึงจะว่าดี”
โสภิตพิไลท้วง “ไม่ใช่ทุกคนหรอกค่ะ ที่คิดอย่างนั้น”
“หนูเพิ่งออกมาจากโรงเรียนแม่ชี จะไปรู้อะไร” สาเปลี่ยนเรื่อง “ดื่มอะไรเย็นๆ หน่อยไหมจ๊ะ”
โสภิตพิไลเดินไปนั่งที่โซฟา “ไม่ค่ะ คุณป้า ขอบคุณ” แล้วเกิดอาการชะงัก
สาเดินกรายไปทำเครื่องดื่ม โดยไม่เห็นสีหน้าที่ผิดปกติของลูกสาว
จังหวะนี้มือโสภิตพิไลไปโดนของแข็ง อย่างหนึ่งที่ตกอยู่ตรงซอกเบาะโซฟา จึงหยิบขึ้นมา มันคือไลท์เตอร์ ไฟแช็คสีทองสวยงาม โสภิตพิไลกำเอาไว้ในมือ แล้วถามสาหยั่งเชิง
“บ้านใหญ่โตอย่างนี้ คุณป้าอยู่คนเดียวหรือคะ”
สาเดินกลับมาหาโสภิต “ก็มีละมัยกับตุ่น” เมื่อเห็นโสภิตพิไลทำหน้าแปลกๆ ก็เลยสงสัย “หนูถามทำไมหรือจ๊ะ”
“หนูได้ยินคนเขาลือกันว่าคุณป้า...” โสภิตพิไลค้างคำ ไม่อยากพูด “เขาก็ลือกันหลายเรื่อง”
“อย่าไปสนใจข่าวลือเลย โสภิต คนมีปากก็พูดกันไป...ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า ป้าสั่งให้เขาแต่งห้องนอนให้หนูใหม่ ไปดูซิว่าถูกใจไหม”
โสภิตพิไลลุกขึ้นยืน ซ่อนไลท์เตอร์ไว้ในกระเป๋ากระโปรงแล้วเดินตามสาไป
สองคนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง ประตูห้องนอนเปิดเข้าไป สาเดินนำโสภิตพิไลเข้ามาในห้อง โสภิตพิไล แลเห็นห้องที่ตกแต่งสวยงามราวกับห้องของเจ้าหญิงในนิทาน
“สวยจังค่ะ คุณป้า”
สายิ้มชื่น ปลื้มใจ “ป้าดีใจที่หนูชอบ”
“ว่าชอบยังน้อยไปค่ะ หนูไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีห้องส่วนตัวสวยขนาดนี้”
พลางโสภิตพิไลเดินเข้ามาหา สานึกว่าโสภิตพิไลจะเข้ามากอด แต่กลายเป็นยกมือไหว้อย่างนอบน้อมเท่านั้น
“หนูขอบคุณคุณป้ามากค่ะ”
สาเลยเก้อไปนิดๆ
โสภิตพิไลเดินไปตรงกระเป๋าที่ตุ่นเอามาวางไว้ให้แล้วในห้อง หยิบกรอบรูปอันหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปของหญิงโสภาที่ถ่ายไว้ตอนอยู่บ้านสวน รูปเก่าซีดจางจนแทบมองไม่เห็น
เด็กสาวเอารูปนั้นไปวางที่หัวเตียง พูดกับรูปอย่างอ่อนโยนน้ำเสียงแววตาบอกถึงความรักผูกพันล้ำลึก
“คุณแม่ขา ชอบห้องใหม่ของหนูไหมคะ”
สามองโสภิตพิไลที่ไม่สนใจตนเลย วูบหนึ่งนั้นหล่อนรู้สึกน้อยใจนิดๆ
ที่อุษาวดีไนต์คลับ ยามเย็น เวลานั้นคลับยังไม่เปิดบริการ เพ็ญศรีคุมพนักงาน ทำความสะอาด จัดโต๊ะอยู่
ที่หน้าเวที ประธาน คุมพวกนางโชว์กำลังซ้อมเต้นเพลง รักปักใจ วงดนตรีเล่นเพลงคลอ ยังไม่มีคนร้อง แมว นางโชว์คนใหม่ทำได้ไม่ดีนัก ประธานหงุดหงิด
ช่วงหมุนตัว แมว นางโชว์คนใหม่หมุนแล้วเสียหลัก ชนนางโชว์คนอื่นๆ ล้มระเนระนาด
“พอๆๆ” ประธานสั่งวงดนตรี “หยุดก่อน” แล้วกระโดดขึ้นไปบนเวที ดุแมว “อะไรเนี่ยแมว ขาแข้งมันไม่มีแรงหรือไง หรือไขข้อเสื่อม” แมวจ๋อย “ท่าง่ายๆ แค่นี้ยังทำไมได้ก็ไม่ต้องเต้นแล้ว ไปล้างจานไป”
เพ็ญศรีเดินเข้ามา
“ใจเย็นๆ น่ะ พี่ประธาน ไอ้แมวมันเพิ่งมาใหม่”
“ใหม่กะผีอะไรล่ะ ฝึกมาจะครบเดือนแล้ว” ประธานพยายามใจเย็น “เอ้า เอาใหม่ อีกที” เขาชี้หน้าคาดโทษ “ถ้าพลาดคราวนี้เก็บของกลับบ้านไปเลยนะ” ประธานหันไปสั่งนักดนตรี “เอ้า เริ่ม”
นักดนตรีตะโกนตอบมา “รอแป๊บนึงพี่ สไลด์ ทรอมโบน ปวดท้อง ไปส้วม”
“โว้ย”
ประธานขัดใจ หยิบบุหรี่ขึ้นมา จะสูบแก้หงุดหงิดแล้วตบๆ ไปตามกระเป๋า พบว่าไลท์เตอร์ไม่อยู่
ประธานร้อง “เฮ่ยๆๆ”
เพ็ญศรีฉงน “เป็นอะไร พี่ประธาน”
ประธานบอก “ดูปองต์หาย”
เพ็ญศรีงงหนัก “อะไรป๊องๆ”
“ไฟแช็คดูปองต์ ของแท้จากฝรั่งเศสด้วย อันนึงหลายตังค์...เอาไปวางไว้ที่ไหน วะนี่”
ประธานบ่นท่าทีหงุดหงิดหัวเสีย ที่หาไฟแช็คอันโปรดไม่เจอ
ค่ำแล้ว โสภิตพิไลเปลี่ยนจากชุดนักเรียนมาเป็นชุดอยู่บ้าน เด็กสาวนั่งมองไฟแช็คในมือด้วยสีหน้าขุ่นข้องและเจ็บช้ำ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่คุยกับเพื่อนๆ ในคอนแวนต์เรื่องข่าวฉาวโฉ่ของสา
ตรงมุมสวยๆ ในสนาม สามสาวในชุดนักเรียน เดินคุยกัน กรรณิการ์เอ่ยขึ้น
“เดือนหน้าโรงเรียนหยุดตั้งสองสัปดาห์ ตัวไม่กลับไปบ้านคุณป้าหรือโสภิต”
“ไม่ล่ะจ้ะ เราว่าจะอยู่ช่วยงานซิสเตอร์”
กรรณิการ์ค้อน “โอ้ย หมั่นไส้ทั้งเรียนเก่ง ทั้งความประพฤติดี ซิสเตอร์ให้คะแนนตัวเสียจนไม่มีเหลือให้คนอื่นแล้ว...แล้วไม่กลับบ้านนี่ คุณป้าตัวไม่ว่าหรือ”
“ไม่ว่าหรอกจ้ะ ท่านตามใจ”
จิตราภรณ์เอ่ยขึ้น “คุณป้าของโสภิตคงไม่อยากให้กลับไปเป็นก้างขวางคอน่ะซี” คนอื่นพากันงง เด็กสาวเล่าต่อ “เราได้ยินเขาว่ากันว่า ที่บ้านคุณป้าของโสภิตน่ะ มีผู้ชายเข้านอกออกในเป็นประจำ”
กรรณิการ์ตาโต “ต๊าย จริงเหรอ โสภิต”
โสภิตพิไลอายมาก “ไม่...” ปฏิเสธไม่เต็มปากนัก “ไม่จริงหรอก”
จิตราภรณ์แย้งหันมาทางโสภิตพิไล “ถ้าไม่จริง เขาจะกล้าพูดกันหรือ... เขาพูดกันถึงขนาดที่ว่า คุณป้าเธอเลี้ยงผู้ชายเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเลยล่ะ”
โสภิตพิไลอึ้ง อับอายขายหน้าจนบอกไม่ถูก
อุษาวดีไนต์คลับ เปิดให้บริการแล้ว แต่เพิ่งหัวค่ำอยู่ จึงยังไม่มีลูกค้า สาเดินเข้ามา เพ็ญศรีทักทาย
“อ้าว คุณสา...ไหนว่าวันนี้หลานสาวมา จะลาหยุดวันนึงไงคะ”
“หยุดไปก็เท่านั้น เขามาถึงเขาก็เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ได้มาสนใจอะไรเรา”
เพ็ญศรีเห็นสาหน้าตาเศร้าๆ จ๋อยๆ ที่หลานไม่สนใจ ก็สงสาร
“ทำไมล่ะค่ะ ฉันเห็นคุณสาตื่นเต้นดีใจที่หลานจะกลับมาอยู่ด้วย แล้วทำไม...”
สาขัดขึ้น “เขาคงไม่ได้อยากอยู่กับฉันซักเท่าไหร่”
เพ็ญศรีไม่พอใจแทน “แปลก คุณสาอุตส่าห์ส่งเสีย เลี้ยงดูอย่างดีแท้ๆ น่าจะสำนึกบุญคุณกันบ้าง”
สารีบแก้ตัวแทนลูก “โสภิตเขาเป็นเด็กเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร”
“แต่นี่ใครที่ไหนล่ะคะ นี่เป็นคุณป้าตัวเองเป็นแค่เด็กกำพร้า แทนที่จะปรนนิบัติเอาใจคุณสา ผู้มีพระคุณ กลับทำจองหองใส่ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
สาไม่พอใจนักที่เพ็ญศรีว่าลูกตัวเอง เสียงเขียวใส่
“ใครว่าโสภิตจองหอง ฉันไม่ได้พูดซักคำ...คุณหนูเธอเป็นลูกผู้ดี ผู้ดีเขาก็นิ่งๆ เงียบๆ แบบนี้แหละ จะให้โหวกเหวกโวยวายเหมือนเธอได้ยังไง”
เพ็ญศรีงง จู่ๆ ถูกด่า “เอ๊า”
สายังขุ่นมัวอยู่ “แล้วนี่ประธานไปไหน ป่านนี้ยังไม่มาอีกเหรอ”
“มาแล้วค่ะ แต่เห็นว่าของหาย เลยกลับไปหาดูที่บ้าน ก่อนคุณสาออกมา ไม่ได้เจอพี่ประธานหรือคะ”
เวลานั้น ประธานรื้อหาไฟแช็ควุ่นวายไปทั่วทั้งห้องโถงรับแขก ละมัยยืนดู
“ไม่มีหรอกค่ะ คุณ ถ้ามีอิฉันก็ต้องเห็น”
“มันต้องอยู่ที่นี่แหละ ฉันจำได้ ครั้งสุดท้ายที่ฉันสูบบุหรี่ก็ที่นี่ เมื่อคืนนี้” ประธานรื้อหมอนอิงวุ่นวาย “ฉันต้องลืมวางเอาไว้ตรงไหนซักแห่ง”
ประธานนึกๆ แล้วมองขึ้นไปชั้นบน “เอ รึว่า...” แล้วเดินแกมวิ่งไปที่บันไดทันที
ขณะที่ประธานวิ่งขึ้นบันไดมา เห็นโสภิตพิไลยืนอยู่ที่หัวบันไดด้านบนก็ชะงัก โสภิตพิไลเองก็ตกใจไม่น้อย
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 23 (ต่อ)
ประธานได้สติก่อน เขาพอเดาออกว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร จึงยิ้มให้อย่างหนุ่มเจ้าเสน่ห์
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ...ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงเป็น...โสภิตพิไล”
โสภิตพิไลตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ท่าทีเย็นชา “คุณเป็นใครคะ รู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
ประธานเดินขึ้นไปหา ใบหน้ายิ้มแย้มขณะแนะนำตัว “ผมชื่อประธานครับ เป็น คนสนิท ของคุณอุษา...คุณป้าของคุณเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังบ่อยๆ” เขาเดินมาถึงตัวโสภิตพิไลในจังหวะที่พูดคำนี้ “บังเอิญผมลืมไฟแช็คเอาไว้ที่ไหนซักแห่งในบ้านนี้ ของแพงซะด้วย คุณพอจะเห็นบ้างไหม”
“กรุณาลงไปรอข้างล่างค่ะ ดิฉันเอาลงไปให้”
โสภิตพิไลมองหน้าประธานอย่างเย็นชา
ประธานรู้ว่าเด็กสาวไม่ชอบเขา จึงยิ้มยั่วอย่างท้าทาย ค้อมหัวเล็กน้อยเป็นเชิงประชด แล้วถอยหลังหันกลับเดินลงไป
โสภิตพิไลวางไฟแช็คลงบนโต๊ะในห้องรับแขก ตรงหน้าประธาน
“ขอบคุณมาก” ประธานดีดฝาขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะจุดสูบบุหรี่
“ถ้าคุณจะสูบบุหรี่ เชิญไปสูบที่อื่นดีกว่าค่ะ” เด็กสาวลุกขึ้นยืน ผายมือเป็นเชิงไล่
ประธานชะงักมองโสภิตพิไลอย่างนึกสนุก อยากจะปราบพยศ
“ผมว่า คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมนะ”
“ดิฉันเป็นหลานของคุณป้า”
ประธานยั่วยิ้ม “หลานบุญธรรม ที่คุณอุษารับมาอุปการะ เพราะพ่อแม่คุณตายไป ตั้งแต่คุณยังเล็ก...จะว่าไป คุณกับคุณอุษาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำ”
โสภิตพิไลหน้าชา แต่ยังเถียงสู้อย่างเชือดเฉือน
“คุณจะบอกว่าคุณกับคุณป้า เกี่ยวข้อง กัน มากกว่าดิฉันงั้นหรือคะ”
ประธานหัวเราะชอบใจ “ผมกับคุณอุษา “เกี่ยวข้อง” กันมานาน เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งซะด้วย...คุณก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว คงพอจะเข้าใจใช่ไหม”
พลางประธานเอามือจับคางโสภิตพิไลเล่นหยอกๆ โสภิตพิไลสะบัดอย่างถือตัว ตาวาววับกัดฟันกรอด “กรุณาออกไป”
ประธานหัวเราะร่วน ยักไหล่พรืดแล้วเดินออกไป โสภิตพิไลโกรธจัด แต่ลึกๆ ในใจก็หวั่นไหวนิดๆ เนื่องเพราะในชีวิตไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายมากขนาดนี้มาก่อน
ที่ประตูด้านหลังทางครัว ละมัยแอบดูอยู่ ยกมือทาบอก สีหน้าท่าทางเป็นกังวลใจ
ค่ำคืนเดียวกัน ภายในห้องทำงานที่กระทรวงยุติธรรม คุณชายรวีช่วงโชตินั่งอ่านสำนวนฟ้องอย่างคร่ำเคร่งตั้งใจ มีมือมาเคาะประตูเบาๆ
“เชิญครับ”
เป็น อนุกร เพื่อนร่วมงานท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำราญโผล่หน้ามา
“คุณชายรวีช่วงโชติขยันอย่างนี้นี่เอง ถึงได้เป็นผู้พิพากษาที่อายุน้อยที่สุดในกระทรวง”
ชายรวีย้อนขำๆ “คุณอนุกรช่างพูดอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ชื่อว่าเป็นทนายที่ฝีปากกล้า”
“แต่ตอนนี้ทนายปากกล้ากำลังจะหมดแรงขอรับพูดกล่อมลูกความมาตั้งแต่บ่ายจนป่านนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง” .
ชายรวีลุกขึ้นยืน เก็บของ “ผมก็หิวนิดๆ เหมือนกัน ไปหาอะไรง่ายๆ รองท้องกันก่อนกลับบ้านก็ได้”
อนุกรออกอาการคึกคัก “ไหนๆ จะไปทั้งที ไปที่ที่มันครบทั้งอาหารปาก อาหารหู อาหารตาไม่ดีกว่าหรือคุณชาย”
ชายรวีฟังแล้วนึกขำ “ที่ไหนกัน”
ไม่ใช่ที่ไหนอื่น หากแต่เป็น อุษาวดีไนต์คลับนั่นเอง
เวลานั้น ดนตรีขึ้น สาเริ่มโชว์เพลง รักปักใจ บนเวที ด้วยลีลาเย้ายวน น่ารัก ทรงเสน่ห์ เวลาที่เยื้องกรายไปทางไหน ลูกค้าชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พากันฮือฮา
ที่โต๊ะตรงมุมหนึ่งในร้าน ชายรวีนั่งอยู่กับอนุกร คุณชายมองดูสาร้องเพลงอย่างชื่นชม
“นักร้องคนนี้เสียงเพราะจริงๆ”
อนุกรเย้า “คุณชายติดใจเข้าแล้วล่ะซี”
“คุณเองก็คงติดใจเธอเหมือนกันล่ะน่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่พาผมมา”
“ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ตอนนี้ ผู้ชายทุกคนในสังคมกลางคืน ก็ล้วนแต่หลงใหลในตัวแม่อุษาวดีคนนี้”
ชายรวีรำพึง “ชื่ออุษาวดี?”
“ใช่ เจ้าหล่อนเป็นเจ้าของที่นี่ ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ติดกันเกรียวเชียวล่ะ”
ชายรวีหันไปมองบนเวทีอีกครั้ง สาร้องและเต้นอย่างสวยงาม สายตาของสามองลงมาเห็นชายรวี พอดี สาต้องตาบุคลิกอันดูดีมีสง่าโดดเด่นจากแขกคนอื่นๆ จึงยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ทันที ชายรวียิ้มรับอย่างเป็นมิตร
อนิจจา...ที่สุดแล้ว อีสาก็ได้พบเลือดในอก หลังจากไม่เจอหน้านานกว่า 20 ปี!
ประธานเดินกลับเข้ามาในไนต์คลับ เห็นสาโชว์อยู่บนเวทีก็แปลกใจ รีบเดินไปหาเพ็ญศรี
“นั่นอะไร ไหนว่าวันนี้เขาจะไม่ขึ้นโชว์”
“คงทะเลาะกับหลานที่บ้านมั้ง เลยเปลี่ยนใจกลับมาทำงาน”
ประธานนึกออก “ก็สมควรอยู่หรอก ยัยหลานสาวนั้นท่าทางร้ายเอาเรื่อง” มองไปเห็นแมวอยู่บนเวทีด้วย “เฮ้ย นั่นไอ้แมวนี่ มันยังเต้นไม่ได้ ใครให้มันขึ้นไป”
“ไม่รู้”
ประธานเดินไปหน้าเวทีด้วยความกังวล เพ็ญศรีตาม
บนเวที ถึงช่วงเต้นที่นางโชว์ต้องหมุนตัว แมวเซ ชนนางโชว์คนข้างๆ ล้มตามเคย
ประธานเซ็ง “เฮ้ย!เอาแล้วไง”
นางโชว์เซชนกันเป็นโดมิโน ไปชนสา สาเสียหลัก ถลาลงไปที่หน้าเวที
“ว้าย”
สาถลาเสียหลักตกลงไปด้านหน้าเวที
ชายรวีที่นั่งอยู่ด้านหน้า ถลาเข้ามารับร่างของสาเอาไว้ทัน
สาตะลึงงัน “คุณ!”
สาอยู่ในอ้อมกอดของชายรวี รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยอย่างประหลาด เลยนิ่งอยู่อย่างนั้น
“คุณครับ” คุณชายรวียิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” สายิ้มตอบ “ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ”
ชายรวีขำ ประคองสาลุกขึ้น ด้วยสปิริตของนักร้อง สาก็ร้องเพลงรักปักใจต่อทันทีที่ด้านล่างเวที ทำท่าหยอกเย้า เหมือนตกหลุมรักชายรวี
ชายรวีกลับมานั่งที่โต๊ะ อนุกรตบไหล่ล้อเลียน
“ไง รักปักใจเข้าให้หรือไง คุณชาย”
ชายรวีหัวเราะ มองสาอย่างชื่นชมในความมีเสน่ห์ สาเองรู้สึกถูกชะตากับชายรวีอย่างแรง เลยส่งสายตา ทำท่าหลงรักส่งมาให้
ประธานยืนมองเหตุการณ์ รู้สึกหึงหวงกรุ่นขึ้นมา
“ใครน่ะ เพ็ญ”
“คงจะเป็นลูกค้าใหม่น่ะ พี่ ไม่เคยเห็นหน้า”
ประธานหน้าตึง มองสาส่งสายตาให้ชายรวี อย่างไม่พอใจ
เพลงจบ สาโค้งให้แขกอย่างสวยงาม คนดูปรบมือ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
สาส่งยิ้มไปทางชายรวี ที่ปรบมือให้สาอย่างชื่นชม ทำท่าเหมือนจะเดินไปหา มือประธานมาคว้าหมับเข้าที่แขน
ประธานกระซิบ “มานี่”
ประธานดึงตัวสาเข้ามุมไป เพ็ญศรีมองตาม รู้ทันว่าเรื่องอะไร
ที่มุมข้างเวที ประธานถามสาเสียงขุ่น
“ไอ้หมอนั่นมันใคร”
สาขำ “นี่อย่าบอกนะว่าหึง” ประธานไม่ตอบ แต่ท่าทางบอกชัดแจ้ง “จะบ้าเหรอ ประธาน เราสองคนหากินแบบนี้มากี่ปีแล้ว ฉันต้องยั่วผู้ชาย เธอต้องยั่วผู้หญิง นี่มันงานของเรา ยังไม่ชินอีกเหรอ”
ประธานมีท่าทีอ่อนลง โอบเอวสาเข้ามา
“ก็อยากสวยนักนี่ เห็นแล้วมันก็อดหวงไม่ได้”
“ฉันมีเธอคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว”
ประธานหยอดหวาน “ปวดหัวเดี๋ยวจะทำให้หาย”
สายิ้มชอบใจ “บ้า...ขอไปทำงานก่อน มัวแต่หึงไม่เข้าท่า ลูกค้าหนีหมด”
สาเดินออกมา เห็นโต๊ะชายรวีว่าง สาเก้อ
“อ้าว” ร้องเรียกเพ็ญศรี “เพ็ญๆ”
เพ็ญศรีรู้ทัน รีบบอก “ถ้าจะถามหาลูกค้าโต๊ะนั้นล่ะก็ ไม่อยู่แล้วค่ะ เพิ่งกลับไปตะกี๊นี้เอง”
สาอึ้งๆ รู้สึกอาลัยใจหายแปลกๆ ประธานแอบมองมาจากมุมมืด ด้วยความระแวง
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 23 (ต่อ)
รุ่งเช้า ชายรวีเดินประคองหม่อมพริ้มเข้าโต๊ะที่ห้องกินข้าวในตำหนักขาว หวนรอตักข้าว จวนยกอาหารจานพิเศษขึ้นมา บอกหน้าบาน
“วันนี้มีหมูหวานค่ะ คุณชาย”
“น้าจวนน่ารักจริง ทำของโปรดของผมอีกแล้ว”
“พี่หวนจะยกขึ้นมาก็ไม่ยอมนะคะ คุณชาย แกจะยกมาเอง”
หม่อมพริ้มค้อน “คงกะเอาหน้าเต็มที่ล่ะสิเอ็ง” แล้วจึงหันกลับมาทางชายรวี “ตั้งแต่ชายกลับมานี่ มีหมูหวานขึ้นโต๊ะวันเว้นวัน แม่จะเป็นโรคเบาหวานตาย”
“โธ่ หม่อมก็ว่าไป บ่าวทำแค่ไม่กี่ครั้ง...”
จวนครวญหน้าจ๋อยๆ ท่าทีน่าขัน ชายรวีหัวเราะ แก้แทน
“แต่น้าจวนก็ทำอร่อยจริงๆ นะครับ หม่อมแม่”
จวนยิ้มออก “บ่าวก็หัดมาจากหม่อมนี่แหละค่ะ คุณชาย”
หม่อมพริ้มภูมิใจ “แม่ก็เรียนมาจากเสด็จย่าของชายอีกที ท่านเป็นเลิศทั้งคาวทั้งหวานสมัยก่อนเขาถึงกับมีคำพูดว่า เรื่องกินเรื่องอยู่ ที่ไหนก็ไม่สู้วังรวีวาร”
“จริงครับ ผมไปรับประทานอาหารที่ไหน ก็ไม่เคยถูกใจเหมือนที่บ้าน...” คุณชายนึกบางอย่างได้ “อ้อ จริงสิ เมื่อคืนผมไปเจอที่นึง ทำแกงจืดลูกรอกใส่เซี่ยงจี๊ รสชาติเหมือนที่บ้านเราไม่มีผิด”
หม่อมพริ้มประหลาดใจ “จริงหรือจ๊ะ ร้านไหนกัน”
“เอ จะเรียกว่าร้านก็ไม่เชิง...มันเป็นไนต์คลับน่ะครับ หม่อมแม่ แต่เขามีขายอาหารด้วย”
หม่อมพริ้มหยุดยิ้ม นิ่วหน้านิดหนึ่ง
“แม่ไม่ยักรู้ ว่าชายชอบไปที่แบบนั้น”
ชายรวีแจง “อนุกรชวนไปหลังเลิกงานน่ะครับ...เดี๋ยวนี้ไนต์คลับมันไม่ได้เลวร้ายเหมือนสมัยก่อนนะครับ หม่อมแม่ เขามีดนตรีเล่น มีนักร้องร้องเพลงให้ฟัง ลูกค้าที่ไปนั่งกินข้าวฟังเพลงเฉยๆ ก็มีครับ”
“ถึงยังไงมันก็เป็นที่อโคจร…ชายเป็นถึงผู้พิพากษา แม่ว่าอย่าไปที่แบบนั้นจะดีกว่า...ไปที่ไม่ดี มันก็เจอแต่คนไม่ดี ...ไม่เจริญหรอกลูก”
เวลาเดียวกันที่โต๊ะอาหารเช้าบ้านสา มีไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปังแบบฝรั่งจ๋า ต่างจากตำหนักหม่อมพริ้มอย่างสิ้นเชิง
สาอยู่ในชุดนอนแบบฝรั่ง มีเสื้อคลุมกรุยกราย คุยกับโสภิตพิไลที่แต่งตัวเรียบร้อย นั่งขรึมอยู่
สาวางแก้วกาแฟดัง ปัง! ละมัยกับตุ่นคอยรินน้ำ บริการอยู่ข้างๆถึงกับตกใจ
“เราตกลงกันแล้วไง ว่าหนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“หนูเปลี่ยนใจแล้วค่ะ หนูอยากเรียนวิชาชีพมากกว่าจะได้ทำงานไปด้วยได้”
“ทำไมจะต้องทำงานด้วย ป้ามีเงินเยอะแยะ อย่าว่าแต่จุฬาหรือมธก. ป้าส่งหนูไปเรียนต่อเมืองนอกยังได้”
“อย่าเลยค่ะ หนูไม่อยากรบกวนคุณป้ามากจนเกินไป...ความจริงที่คุณป้าส่งเสียหนูมาขนาดนี้ ก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
สาตกใจ “โสภิต ทำไมหนูพูดอย่างนั้น”
“ก็จริงนี่คะ หนูเป็นแค่หลานบุญธรรมของคุณป้า” เด็กสาวนึกถึงคำพูดประธานอย่างเจ็บใจ “เป็นเด็กกำพร้าที่คุณป้ารับมาอุปการะ เพราะพ่อแม่ตายไปตั้งแต่หนูยังเล็ก...หนูกับคุณป้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำ”
สาอึ้ง ใจหล่นวูบ “โสภิต”
โสภิตพิไลลุกขึ้น “หนูต้องไปแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ คุณป้า วันนี้นัดกับเพื่อนๆ เอาไว้”
โสภิพิไลยกมือไหว้ แล้วออกไป สามองตาม อึ้งๆ แล้วหันไปถามละมัย
“มัย ทำไมอยู่ดีๆ โสภิตพูดอย่างนั้น มันหมายความว่ายังไง”
ละมัยสบโอกาสฟ้อง “ก็คุณประธานน่ะซีคะ เมื่อวานแกมาที่นี่...ไอ้ที่คุณหนูโสภิตพูดมาตะกี๊ ก็คำพูดคุณประธานทั้งนั้นล่ะค่ะ”
สาโกรธจัด ลุกไปที่โทรศัพท์ หมุนแป้นโทร.ออก กรอกเสียงเขียวใส่
“ประธานเหรอ...ใช่ ฉันเอง”
เวลาผ่านไป สาแต่งตัวใหม่แล้ว รอประธานมาเคลียร์อยู่ที่บ้าน พอประธานมาถึงและรู้เรื่อง ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่แคร์
“โธ่เอ๊ย กะอีแค่เย้าเล่น ทำเป็นจริงจังไปได้ .. นี่ ผมว่าหลานสาวคุณมันดัดจริตเกินไปรึเปล่า”
สาดุเข้ม “อย่าพูดถึงโสภิตแบบนั้นนะ”
“อะไรกัน คุณสา ยัยเด็กนั่นเป็นแค่หลาน ...”
สาเสียงเข้มขึ้น “โสภิตพิไลเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับฉัน ถ้ารักจะคบกันต่อไป คุณก็ต้องจำเอาไว้ ...โสภิตพิไลไม่ใช่เด็กที่คุณจะล้อเล่นด้วยได้แกสูงกว่าคุณมากนัก”
ประธานเข้ามากอดประจบสา พูดยิ้มๆ แต่จริงๆ รู้สึกเหมือนถูกท้าทาย
“คร้าบ เข้าใจแล้วคร้าบ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ทำอะไรให้ระคายเคืองหลานสาวผู้สูงส่งของคุณอีกเลย ตกลงไหม”
ที่ร้านอาหารหรูแห่งนั้น โสภิตพิไล กรรณิการ์ และจิตราภรณ์ เพิ่งเดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะที่มุมหนึ่ง
กรรณิการ์ถามเมื่อรู้เรื่องโสภิตพิไลตัดสินใจ “ตัวคิดดีแล้วเหรอ โสภิตที่จะไม่เรียนต่อน่ะ”
จิตราภรณ์ทักท้วง “นั่นสิ เธอเป็นคนที่ผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเลยนะ อย่างเธอ จะเลือกเรียนที่ไหน คณะอะไรก็ได้ แล้วทำไมจะออกไปทำงาน...”
“เราอยากหาเงินใช้เองน่ะ ไม่อยากรบกวนคุณป้า…นี่เรากำลังคิดอยู่ว่า อาจจะกลับไปช่วยซิสเตอร์สอนหนังสือที่คอนแวนต์”
กรรณิการ์กับจิตราภรณ์มองหน้ากัน ไม่เข้าใจ โสภิตพิไลยังแน่วแน่กับความคิดนั้นต่อไป
“บางทีจะไปขอกลับอยู่ที่คอนแวนต์ด้วย เหมือนที่เด็กกำพร้าคนอื่นๆ เขาทำกัน”
กรรณิการ์เป็นห่วง “โสภิต เราถามจริงๆ นะ ตัวไปอยู่ที่บ้านคุณป้า มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
โสภิตพิไลปฏิเสธไม่เต็มปาก “เปล่า”
จิตราภรณ์ไม่เชื่อ “ที่เขาลือๆ กัน มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม โสภิต...คุณป้าเธอเลี้ยงผู้ชายหนุ่มเธอไม่อยากอยู่ที่บ้านนั้น เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
โสภิตพิไลตอบไม่ถูก อัดอั้น ยิ่งทำให้เพื่อนๆ เดาไปใหญ่
กรรณิการ์ถามตรงๆ “ตัวเจอผู้ชายคนนั้นใช่ไหม เขาร้ายใส่ตัวรึเปล่า เอ๊ะ หรือว่าเขามาทำอะไรตัว”
โสภิตพิไลตัดบท “พอเถอะ อย่าไปพูดถึงเขาเลย”
“เขาคือผู้ชายคนนั้นใช่ไหม”
กรรณิการ์กับโสภิตพิไลชะงัก จิตราภรณ์มองออกไปนอกร้าน เด็กสาวทั้งสองหันมองตาม เห็นประธานอยู่ที่หน้าร้าน ประคองสาลงจากรถด้วยท่าทางพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ กำลังจะเดินเข้ามาในร้าน
ประธานพาสาเดินเข้ามาบริกรเข้ามาต้อนรับ
“นั่งตรงไหนดี คุณ” ประธานชะงัก เมื่อเห็นโสภิตพิไล “อ้าว โลกกลมจริงแฮะ”
“โสภิต” สายิ้มดีใจ “ไม่นึกเลยว่าจะเจอหนูที่นี่”
สาเดินเข้ามาที่โต๊ะโสภิตพิไลอย่างดีใจ
เด็กทั้งสามคนยืนขึ้นอย่างมีมารยาท กรรณิการ์และจิตราภรณ์ยกมือไหว้ แต่หน้าเจื่อนๆ ไม่ยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ”
โสภิตพิไลแนะนำ “กรรณิการ์ กับ คุณหญิงจิตราภรณ์ เพื่อนหนูค่ะ คุณป้า”
“หนูกรรณ คุณหญิง” สาพยายามเอาใจเพื่อนของโสภิต “แหม พอเลิกใส่ชุดนักเรียนแล้ว กลายเป็นสาวสวยเลยนะคะ ถ้าป้าไปเจอที่อื่น คงจำไม่ได้ “ สามองดูที่โต๊ะ เห็นไม่มีอาหาร “นี่สั่งอะไรกันหรือยังคะ”
“ยังเลยค่ะ พวกเราเพิ่งมาถึง” ผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นหลานบอก
“ดีเลยจ้ะ งั้นมื้อนี้ ขอป้าเป็นเจ้ามือเลี้ยงทุกคนนะคะ”
ประธานมองโสภิตพิไลยิ้มๆ
“ขออนุญาตให้ผมเป็นเจ้ามือดีกว่าครับ” ประธานดึงสาลงนั่ง ยิ้มให้โสภิต “ถือว่าเป็นการไถ่โทษ ที่เมื่อคืนนี้ ผมทำให้โสภิตพิไลไม่พอใจ”
คำพูดกำกวมของประธานทำให้โสภิตพิไลหน้าร้อนวูบ
กรรณิการ์กับจิตราภรณ์มองโลภิตพิไล แล้วแอบมองหน้ากันไปมา ชักจะยังไงๆ
โลกกลมยิ่งกว่านั้น เพราะที่หน้าร้าน ชายรวีเดินมากับ ม.ร.ว.หญิง จันทร์จิรา หรือหญิงจันทร์ คุยกันมาอย่างสนิทสนม
“วันก่อนอนุกรมากินที่ร้านนี้ แล้วบ่นขรมไป ว่ารอนานมาก” ชายรวีเอ่ยขึ้น
“ก็ร้านเขาขายดีนี่คะ กำลังเฟื่องทีเดียว ใครไม่มา ก็ถือว่าเชยมาก” หญิงจันทร์ว่า
ชายรวีขำ “จะกินข้าวกลางวันสักมื้อ มันยุ่งยากขนาดนั้นเลยหรือครับ หญิงจันทร์”
“แหม หญิงไม่ได้เครซี่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ที่มาวันนี้ เพราะหม่อมแม่ว่าหญิงจิ นัดกับเพื่อนที่นี่ เลยให้หญิงแวะมารับน้องกลับบ้านด้วย เอ๊ะ...”
หญิงจันทร์ชะงัก หน้าบึ้ง
ชายรวีมองไป เห็นที่โต๊ะอาหาร โสภิตพิไล กรรณิการ์ จิตราภรณ์ นั่งกินข้าวหน้าเจื่อนๆ ท่าทางไม่สนุกนัก ประธานนั่งจิบเครื่องดื่มสบายๆ สายิ้มแย้ม คอยเอาใจทุกคน
หญิงจันทร์ทำน้ำเสียงรังเกียจ
“ไปนั่งกับเขาได้ยังไง"
สาหันหน้ามา เห็นชายรวียืนมองอยู่ ข้างๆ หญิงจันทร์ สาจำได้ ยิ้มดีใจ ร้องทักอย่างลืมตัว
“คุณ...”
โสภิตพิไลฉงน “ใครคะ คุณป้า”
ประธานหันไปมองก่อนคนอื่น จำชายรวีได้ แค่นเสียงออกมา “อ้อ นึกว่าใคร”
ทุกคนในโต๊ะหันไปมองตาม เห็นหญิงจันทร์จิรายืนอยู่กับชายรวี
จิตราภรณ์ทัก “พี่หญิง”
หญิงจันทร์เห็นสาส่งยิ้มมา มองชายรวีตาเป็นประกาย รีบหันไปสั่ง
“คุณชายรอหญิงตรงนี้นะคะ ไม่ต้องตามไป”
หญิงจันทร์พูดจบก็เดินลิ่วเข้าไปที่โต๊ะทันที ชายรวียืนอยู่ที่เดิม มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสนใจ
หญิงจันทร์เดินเข้ามาที่โต๊ะ โสภิตพิไลกับกรรณิการ์จำได้ ว่าเป็นพี่สาวของเพื่อน ลุกขึ้นยกมือไหว้
“คุณหญิงจันทร์จิรา สวัสดีค่ะ”
หญิงจันทร์รับไหว้ แต่ไม่สนใจ พูดกับน้องสาว “หญิงจิทำไมมานั่งตรงนี้”
สาลุกขึ้นยืน ยิ้มแย้ม แนะนำตัว ประธานลุกขึ้นยืนตาม
“ดิฉันชื่อุษาวดี เป็นป้าของโสภิตค่ะ บังเอิญดิฉันมาเจอคุณหญิงกับหนูกรรณมากับโสภิตดิฉันก็เลยชวนให้นั่งร่วมโต๊ะกัน”
หญิงจันทร์ไม่มองหน้าสา ทำเหมือนไม่ได้ยิน พูดกับน้องสาว
“พี่จะไปนั่งด้านโน้น จะไปนั่งด้วยกันไหม”
จิตราภรณ์รู้ตัว “ไปค่ะ พี่หญิง เราขอตัวก่อนนะ โสภิต” เด็กสาวไหว้สาแต่ไม่ไหว้ประธาน “ลาล่ะค่ะ”
หญิงจันทร์พาน้องสาวหันหลังจะไป กรรณิการ์ตัดสินใจ
“พี่หญิงขา หนูไปด้วย” เด็กสาวไหว้สาลวกๆ “หนูลาค่ะ คุณป้า เราไปก่อนนะ โสภิต”
กรรณิการ์เดินจ้ำอ้าวตามไป
โสภิตพิไลยืนอึ้ง ตัวชา พูดอะไรไม่ออก ประธานนึกสงสารโสภิตพิไล ด่าตามหลังไปด้วยความหมั่นไส้
“วางท่าเลิศลอยอย่างกับลงมาจากสวรรค์ เป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหนกัน”
โสภิตพิไลพูดเบาๆ “เธอเป็นหม่อมราชวงศ์ค่ะ หม่อมราชวงศ์หญิงจันทร์จิรา จิรบวร”
สามองตาม เห็นชายรวีเดินตามหญิงจันทร์จิราไปนั่งโต๊ะที่ห่างออกไป
“แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะจ๊ะ โสภิต เขาเป็นใคร หนูรู้จักหรือเปล่า”
ประธานหมั่นไส้ “นี่ คุณ จะอ่อยเหยื่อก็ให้มันรู้เวล่ำเวลาบ้างเถอะ แค่นี้หลานสาวคุณก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว”
โสภิตพิไลนึกไม่ถึง “นี่คุณป้า...”
“ไอ้หนุ่มนั่นมันเคยไปที่คลับน่ะครับ สงสัยคุณอุษาจะติดใจ อยากได้เป็นลูกค้าประจำ”
สาฉุน “พูดบ้าๆ น่ะ ประธาน”
โสภิตพิไลหันมองหน้าสาอย่างผิดหวัง สมเพช แล้วตัดสินใจ เดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
“โสภิตๆ รอป้าด้วย จะไปไหน”
สาวิ่งตามโสภิตพิไลไป ประธานควักเงินปึกใหญ่โยนไว้บนโต๊ะ แล้วเดินตามออกไป
ทุกคนที่โต๊ะชายวรีมองดูสาวิ่งตามโสภิตพิไลออกไป หญิงจันทร์หันกลับมาอบรมน้องๆ
“คราวหน้าคราวหลัง เธอสองคนต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ โตเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เธอไม่ควรจะให้ใครเห็นว่าเธอสนิทสนมกับคนพวกนั้น”
“พวกไหนเหรอครับ” ชายรวีถาม
“ก็พวก ...คนที่หากินกลางคืนน่ะสิคะ”
“คุณอุษาวดีเป็นนักร้อง ผมเคยไปฟังเธอร้องเพลง เธอร้องได้เพราะมากผมเองยังติดใจ”
หญิงจันทร์ค้อน “เขาว่ากันว่า แกไม่ได้แค่ร้องเพลงอย่างเดียวน่ะซีคะ”
ชายรวีเยื้อนยิ้ม แต่เสียงพูดจริงจัง “ผมขอเถอะครับ หญิงจันทร์ ไอ้ “เขาว่ากันว่า” นี่มันทำลายชีวิตคนมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ถ้าจะตัดสินใคร ก็ขอให้รู้จักเขาจริงๆ เสียก่อนเถอะครับ”
ชายรวีรู้สึกสงสารสาและโสภิตพิไล โดยประหลาด
เย็นแล้ว สาเดินวนเวียนไปมาที่หน้าบ้าน กลุ้มใจหนัก
“ป่านนี้แล้ว โสภิตไปไหน ทำไมยังไม่กลับอีกนะ”
ห่างออกไปด้านหลัง ละมัยกับตุ่นแอบมองสาชะเง้อชะแง้ ตุ่นสงสัย
“คุณหนูเธอทะเลาะกับคุณสาเรื่องอะไรเหรอป้า”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง เฮ้อ สงสารคุณหนู เพิ่งออกมาจากโรงเรียน สะอาดยังกับผ้าขาว ต้องมาอยู่กับคนอย่างคุณสา เธอจะไปทนได้ยังไง้...”
โสภิตพิไลนั่งใจลอยโปรยข้าวให้ปลาเล่นๆ อยู่ที่ศาลาท่าน้ำ สุขกับแป้น ซึ่งบัดนี้ แก่ ผมหงอก ทั้งคู่เดินมาหา สุขทัก
“เย็นย่ำป่านนี้ ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ โสภิต”
โสภิตพิไลหันมามองสุขกับแป้น แววตารักและเคารพมากพูดด้วยอย่างสนิทสนมเหมือนตอนเด็กๆ
“หนูยังไม่อยากกลับเลย ลุงสุข”
“มาไม่บอกไม่กล่าว คุณสาแกจะเป็นห่วงเอาน่ะซี กลับไปก่อนนะลูกนะ วันหลังขออนุญาตคุณสา แล้วค่อยมาค้างกับลุงกับป้า จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้” แป้นปราม
“อยู่เลยได้ไหมจ๊ะ หนูมาทำสวนกับลุงกับป้าก็ได้”
สุขสงสาร “อยู่ที่นั่น มันคับอกคับใจนักหรือ คุณสาแกไม่ดีกับหนูหรือไง”
“ดีจ้ะ คุณป้าดีกับหนูมาก แต่ว่า...” เด็กสาวถอนใจ “ลุงสุขป้าแป้นจ๋า คุณป้าเขามีเงินเยอะแยะ ทำไมเขาไม่ไปทำอย่างอื่น ทำไมเขาถึงต้องทำงานแบบนั้นด้วยล่ะจ๊ะ หนูไม่เข้าใจเลย”
สุขกับแป้นถอนใจ สงสารโสภิตพิไล
เวลานั้น ที่ห้องทำงานสา ภายในไนต์คลับ บนโต๊ะมีขวดเหล้าเจียรนัยพร้อมแก้วบรั่นดีสวยงาม มีน้ำสีอำพันอยู่ในแก้ว สาเมานิดๆ แล้ว นั่งเท้าคาง กลุ้มใจ ปรับทุกข์กับเพ็ญศรี
“โสภิตแกไม่รักฉัน...ก็อย่างว่าล่ะนะ จะรักได้ยังไง ในเมื่อฉันทำให้แกต้องอับอาย...เพื่อนๆ รังเกียจแก ทั้งๆ ที่แกทั้งสวย ทั้งเก่ง แต่ทุกคนก็รังเกียจแกเพราะฉัน”
“คุณสาก็นะ ไม่น่าส่งหลานสาวไปเรียนโรงเรียนผู้ดีแบบนั้น...”
“ไม่ได้ โสภิตต้องอยู่ในที่ที่ดีที่สุด สูงที่สุด”
“สูงแล้วไง สูงแล้วมาเหยียบหัวคุณสาแบบนี้นะเหรอ”
“เหยียบหัวฉัน ฉันไม่ว่า แต่คนอื่นมาเหยียบหัวโสภิต มาดูถูกแก ฉันทนไม่ได้”
“ให้ตายสิ ฉันไม่เคยเห็นใครรักหลานมากขนาดนี้ ถ้าแม่จริงๆ ของโสภิตยังอยู่ จะรักแกเท่าคุณสารึเปล่าฉันยังสงสัย”
สาอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงหนัก เศร้า “ใครจะรักลูกมากกว่าแม่ มีที่ไหน”
สาเศร้าคว้าเหล้ามารินลงแก้ว
เด็กบริกรโผล่เข้ามากระซิบกระซาบกับเพ็ญศรี
“มีอะไร” สาฉงน
“ผู้ชายคนนั้น ลูกค้าคนโปรดของคุณสาน่ะเขามา...เขาถามถึงคุณอุษาวดีด้วย”
สาวางแก้วทันที “จริงเหรอ...ไหน เขาอยู่ไหน”
สากรายออกไป สีหน้าแช่มชื่นขึ้นเห็นชัด เพ็ญศรีมองอย่างแปลกใจ
ชายรวีนั่งที่โต๊ะมุมห้อง บนเวทีมีประธานกำลังโชว์เพลงเก่งอยู่ สากรายเข้าไปยืนตรงหน้า
“ถามหาดิฉันหรือคะ”
ชายรวีลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพบุรุษ
“ครับ ถ้าไม่รังเกียจ” คุณชายผายมือไปที่เก้าอี้ “เชิญนั่งคุยกันสักครู่”
สายืนยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม “ไม่ต้องสุภาพกับฉันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่ใช่สุภาพสตรี”
“เชิญครับ”
สาลงนั่ง ชายรวีนั่งตาม
“ผมแค่อยากจะขอโทษคุณอุษาวดี เมื่อกลางวันที่ร้านอาหาร ญาติของผมออกจะทำตัวไม่ค่อยน่ารัก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ คนทำอาชีพอย่างฉัน จะว่าไปก็โดนรังเกียจเสียจนชินจะสงสารก็แต่โสภิต .. แกไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” สาเปลี่ยนเรื่อง ทำเสียงสดใส “เอาเป็นว่าแล้วกันไปนะคะ” พอสามองไปที่โต๊ะ เห็นแก้วเครื่องดื่มหมดไปกว่าครึ่ง “นี่คุณ ดื่มแค่จินโทนิคใช่ไหมคะ จะหมดแล้ว ฉันสั่งให้ใหม่นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณอุษาวดี ผมนั่งไม่นาน ประเดี๋ยวก็จะไปแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะคะฉันว่าจะร้องเพลงให้คุณฟังซะหน่อย”
“เอาไว้โอกาสหน้าเถอะครับ บังเอิญรถของผมเสียอยู่ที่ถนนด้านหน้า ต้องเรียกคนขับรถที่บ้านมาช่วยดูให้ ผมเลยแวะมาอาศัยนั่งรอในนี้เท่านั้นเอง”
“แหม เสียดายจัง”
บนเวที เพลงจบพอดี ประธานเดินลงมา เห็นสานั่งอยู่กับชายรวีประธานเดินไปหาเพ็ญ
“มันมานานหรือยัง”
“ไม่นานหรอกพี่ แต่มาถึงก็ถามหาคุณสาเลย”
ประธานหน้าบึ้ง เพ็ญศรีนินทาต่อ
“คุณสาก็ท่าทางจะชอบเขาอยู่เหมือนกันนะพี่ กำลังเศร้าๆ อยู่ พอได้ยินว่าพ่อหนุ่มคนนี้มาถามหา หน้างี้สดขึ้นมาทันทีเลย”
บริกรเอาเหล้ายินโทนิคแก้วใหม่มาวางให้
“อภินันทนาการจากเราค่ะ”
“ขอบคุณครับ คุณอุษาวดี”
สาหัวเราะ “เรียกฉันว่า อุษาก็พอค่ะ”
“ครับ คุณอุษา”
“คุยกันตั้งนาน ฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลย ไม่ทราบจะรังเกียจไหมคะ...”
บริกรเดินปรี่เข้ามาขัดจังหวะ สาชะงัก “มีอะไร”
“ข้างหน้าให้ผมมาเรียนท่าน ว่าคนขับรถที่ท่านรอมาแล้วครับ”
ชายรวีลุกทันที “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณชายหันมาทางบริกร “ไปน้องชาย”
ชายรวีรีบร้อนเดินออกไป
สามองตาม แล้วเพิ่งเห็นว่าที่เก้าอี้ข้างๆ มีแฟ้มเอกสารวางอยู่
สาหยิบเอามาจะเดินตามไป ประธานมาขวางไว้ตัดพ้ออย่างไม่พอใจ
"จะแล่นตามไปเชียวหรือ..."
“อะไรของเธอ”
“เคยเห็นแต่พระลอตามไก่ แต่นี่ไก่ตามพระลอ”
“พูดบ้าๆ” สาผลักประธาน “ถอยไป”
สาถือแฟ้มเอกสารเดินฉับๆ ออกไป ประธานน้อยใจเอามากๆ
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 23 (ต่อ)
สาวิ่งมาถึงหน้าประตู พอมองออกไปที่ถนนหน้าไนต์คลับ เห็นรถคันเก่าของวังรวีวารจอดอยู่เพียงคันเดียว ฝากระโปรงเปิดยกไว้ สาจำได้ลางๆ ชะงักกึกใจหล่นวูบ
เมื่อเพ่งมองไป เห็นชายรวียืนวนเวียนรออยู่ข้างๆ รถ สายิ่งแปลกใจ
“นั่นมัน” สาไม่แน่ใจนัก “ทำไมรถเหมือนของหม่อมเลย”
ชายรวีร้องถามนายชิดเสียงดัง
“เป็นยังไงบ้างครับ น้าชิด”
สาถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นเป็นเห็นชิดที่แก่ลงไปมาก แถมใส่แว่น ที่เปิดดูห้องเครื่องอยู่โผล่หน้าออกมายิ้ม ส่ายหัว
“โรคเก่าขอรับ คุณชาย พอร้อนจัดๆ ทีไร เกเรทุกที”
สาได้ยิน ตะลึง เสียงชิดยังดังมาอีก
“รอสักครู่นะครับ คุณชาย”
“คุณชาย”
สาพึมพำยืนนิ่งไม่กล้าออกไป บังเอิญก้มลงไปมองที่แฟ้ม เห็นนามบัตรเสียบไว้จึงรีบยกขึ้นดู เห็นตัวพิมพ์ชัดเจนว่า ม.ร.ว. รวีช่วงโชติ รวีวาร ผู้พิพากษา กระทรวงยุติธรรม
“รวีช่วงโชติ รวีวาร”
สานิ่งอึ้ง ตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว ประหวัดไปถึงวันที่ท่านชายประทานชื่อให้ลูกชายว่า ม.ร.ว. รวีช่วงโชติ รวีวาร
ค่ำคืนนั้น สากลับถึงบ้านทิ้งตัวลงนั่ง วางแฟ้มลงกับโซฟา อึ้งสุดๆ ประธานเดินปึงปังเข้ามา
“คุณอุษา”
สาไล่โดยไม่มอง “ออกไปก่อนประธาน”
“ผมมีเรื่องสำคัญเราต้องคุยกัน”
สาดุ “ออกไปก่อน ฉันบอกให้ออกไป”
จากนั้นสาก็หันหลังให้ทันที ไม่แม้แต่จะมองหน้า ประธานเจ็บใจ เดินปึงปังออกไป
สานั่งมองนามบัตร จ้องคำว่า ม.ร.ว.รวีช่วงโชติ รวีวาร สะท้อนสะท้านในอก
“รวีช่วงโชติ...คุณชายรวี คุณชายของแม่”
แล้วน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปีติก็ค่อยๆ ไหลรินออกมารดแก้มอีสา
ฟากโสภิตพิไลนอนกระสับกระส่ายอยู่ในบนเตียงจวบจนค่อนรุ่ง มารู้สึกตัวตื่นเพราะได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในบ้าน เด็กสาวหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง บอกเวลาเกือบตีสี่
โสภิตพิไลลุกขึ้นมาดูที่หน้าต่าง เห็นรถของสาขับเข้ามาในบ้าน
รถแล่นมาจอดที่หน้าตึก ประธานเป็นคนขับ สานั่งหน้างออยู่ข้างๆ ประธานหันไปแหย่
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ เรื่องแค่นี้”
สาหันไปแว้ดใส่ “แค่นี้อะไร คุณบอกจะช่วยขับรถให้ฉัน แล้วดันพาฉันเลี้ยวเข้าโมเต็ล”
ประธานหัวเราะ “ก็อยากไม่ยอมให้มาที่บ้าน”
“ก็คืนนี้ ฉันบอกแล้วว่าไงว่าไม่ๆๆๆ”
ประธานเอามือแตะคางสา ยั่วๆ “โธ่ เบ่บี๋ เวลาคุณบอกว่าไม่มันได้ทุกทีนี่นา”
สาปัดมือประธาน แว้ดใส่ “แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่! จำไว้! ถ้าฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่!”
สาเปิดประตู กระฟัดกระเฟียดลงไป แล้วปิดประตู ปัง!
ประธานชักไม่พอใจ ตามลงไป
บ้านมืดสลัว สาเดินฉับๆ เข้ามาในโถง ยังไม่ทันเปิดไฟ ประธานตามมาคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน คุณสา”
“กลับไปได้แล้ว ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นคุณตอนนี้”
“กลัวใครเห็น...หลานสาวหรือว่าไอ้หนุ่มคนใหม่”
โสภิตพิไลยืนอยู่ที่บันได กดสวิทช์เปิดไฟ พรึบ! ทั้งห้องสว่าง สาตกใจที่เห็นโสภิตพิไลยืนอยู่
“โสภิต”
ประธานตั้งสติได้ก่อน ยิ้มให้
“นอนดึกเหมือนกันนะเราน่ะ”
“นี่จะเช้าแล้วค่ะ .. เกือบตีสี่”
สาหันมาสั่งประธาน ด้วยท่าทีจริงจัง “กลับไป”
ประธานทำท่าเหมือนจะแย้ง สาจิกตาดุใส่
“ฉันบอกให้กลับไป”
“ก็ได้” ประธานยักไหล่ ยิ้มแล้วโค้งให้โสภิตพิไลท่าทียั่วล้อ
“แล้วเจอกันใหม่นะครับ คุณโสภิตพิไล”
พอประธานออกไป โสภิตพิไลเดินลงมาหาสาน้ำเสียงมีแววตำหนิ
“คุณป้ากลับดึกจังนะคะ”
สาฝืนยิ้ม กลบเกลื่อน ไม่รู้ว่าโสภิตพิไลได้ยินอะไรแค่ไหน
“งานไนต์คลับก็เป็นแบบนี้ล่ะจ้ะ กว่าคลับจะปิด กว่าจะเคลียร์บัญชี ไอ้โน่นไอ้นี่ เยอะแยะตาแป๊ะไก่”
“แล้วทำไมไม่ทำอย่างอื่นล่ะคะ” สาอึ้ง “งานอย่างอื่น ที่มันไม่ต้อง...” โสภิตพิไลยั้งคำพูดแรงๆ เอาไว้ “...เป็นแบบนี้”
“แบบไหน” สาจ้องหน้าลูกสาวผู้ไม่รู้ว่ากำลังต่อปากกับมารดา
“ต้องให้หนูพูดด้วยหรือคะ”
สาเห็นท่าทีจองหองของโสภิตพิไล นึกไม่พอใจวูบขึ้นมา เลยย้อนเสียงขุ่นๆ
“ป้ารักในงานที่ป้าทำ มันคือการให้ความสุข ให้ความบันเทิงกับคนอื่นป้าไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”
“เพราะคุณป้าไม่เคยได้ยินที่คนเขาพูดกันลับหลังคุณป้าน่ะสิคะ” สาอึ้งอีก “ถ้าหากคุณป้าได้ยินอย่างที่หนูได้ยิน คุณป้าคงไม่พูดอย่างนี้แน่”
โสภิตพิไลพูดจบก็หันหลังเดินกลับขึ้นข้างบนไป ปล่อยสาให้ยืนหน้าชาคาที่อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
ตอนสายๆ โสภิตพิไลแวะมาที่บ้านสวน กำลังช่วยแป้นเช็ดใบตองอยู่หลังเล่าเรื่องจบ แป้นอดตำหนิโสภิตพิไลไม่ได้
“หนูก็ไม่ควรพูดไม่ดีกับคุณสา”
“หนูรู้นะคะ ป้าแป้น ว่าเขามีบุญคุณ ส่งเสียเลี้ยงดูหนูมาตั้งแต่เล็ก จะว่าไปเขาก็ดีกับหนูมาก ถ้าเขาทำตัวดีกว่านี้ หนูคงจะรักเขาได้อย่างสนิทใจ แต่นี่...”
โสภิตพิไลถอนใจ แป้นมองหน้าสุข ที่ทำงานจุกจิกอยู่ห่างออกไป
“อย่าไปคิดไม่ดีกับคุณสาเลย โสภิต บาปกรรมนะลูก ยังไงเสียคุณสาแกก็เป็น...”แป้นไม่กล้าบอกได้แต่ถอนใจบอกไปอีกอย่าง “...เป็นป้าของหนู”
“คุณป้าอุษา เป็นแค่พี่เลี้ยงของคุณแม่เท่านั้นไม่ใช่หรือคะ ลุงสุข เธอเป็นผู้มีพระคุณกับหนูน่ะใช่ค่ะ หนูไม่เถียง แต่ไม่ได้เป็นป้าแท้ๆ ของหนูสักหน่อย…ถ้าหนูจำไม่ผิด ป้าอุษาเป็นคนพาคุณแม่หนีตามคุณพ่อมา ทำให้คุณแม่ต้องตกระกำลำบาก...จนต้องฆ่าตัวตาย” เด็กสาวบอกอีก
แป้นกับสุขมองหน้ากัน ตกใจ พูดไม่ออก
“บางที หนูยังอดคิดไม่ได้ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณป้า คุณแม่คงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้...ถ้าไม่ใช่เพราะคุณป้า คุณแม่คงยังไม่ตาย แล้วบางที หนูอาจจะได้เป็นอะไรที่ดีกว่า...โสภิตพิไล หลานสาวของอุษาวดี เจ้าของไนต์คลับก็เป็นไปได้”
แป้นกับสุขมองโสภิตพิไลด้วยความสงสาร
ด้านสาตื่นมาตอนเที่ยงกว่าแล้ว ยังอยู่ในชุดนอน นั่งมองนามบัตรของชายรวี หมกมุ่นครุ่นคิด
“วันนี้วันหยุด คุณชายคงไม่ไปทำงาน แล้วจะเอาไปคืนให้ได้ยังไง...”
ที่ตำหนักขาว จวนจัดโต๊ะอาหารกลางวันเป็นน้ำพริกลงเรือ พร้อมเครื่องเคียงและผักจิ้มจัดและสลักสวยงามน่าทาน หม่อมพริ้มยืนดู พูดกับ ชายรวีที่อยู่ในชุดลำลองไปด้วย
“ชิดเอารถไปรับหญิงจ้อยที่สนามบินจ้ะเขากลับจากดูงานที่ต่างประเทศวันนี้ ชายถามหาชิดทำไม มีอะไรหรือจ๊ะ”
“เมื่อวานผมเอารถเข้าอู่ เลยยืมรถคันใหญ่ไปใช้แล้วสงสัยว่าจะลืมของเอาไว้ในรถน่ะครับ หม่อมแม่”
“ชิดมันไปตั้งนานแล้วนะเอ ทำไมยังไม่มา”
“รถคันใหญ่มันเก่าเต็มที เมื่อวานผมเอาไปใช้ มันก็เกใส่ นี่ชิดเอาไปรับพี่หญิง ไม่รู้ว่าจะเกอีกหรือเปล่า”
เสียงเครื่องยนต์เก่าๆ เสียงคุ้นหูดังมา ทุกคนหันไปมองทางหน้าตึก จวนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“หมดห่วงแล้วล่ะค่ะ คุณชาย คุณหญิงจ้อยมาถึงบ้านแล้ว”
หม่อมพริ้มเดินนำทุกคนออกไปยืนรอรับที่หน้าบ้าน รถคันใหญ่จอดอยู่ ประตูรถเปิด หญิงจ้อย หรือ คุณหญิงศรีลักษณา ในชุดผู้หญิงทำงานเก๋ไก๋ทันสมัยลงมาจากรถ ท่าทางบอกว่าเป็นคนร่าเริงกระฉับกระเฉง
“หม่อมแม่ขา” หญิงจ้อยเข้ามาไหว้หม่อมพริ้ม แล้วสวมกอด “ไม่เห็นหน้าหม่อมแม่ตั้งเดือนคิดถึงใจจะขาด”
“ไม่ต้องเอาปากมากำนัลหรอกจ้ะของกินอะไรที่ชอบ แม่เตรียมไว้ให้หมดแล้ว”
“แหม หม่อมแม่รู้ใจลูก” พอเห็นชายรวียืนยิ้มเผล่อยู่ด้านหลังจึงหันไปทักทาย “ไง ชายรวี พี่ไม่อยู่เดือนเดียว ได้ข่าวว่าเป็นผู้พิพากษาแล้วเหรอจ๊ะ”
“ครับ พี่หญิงจ้อย” ชายรวียืดอกพูดอวด “ผมขอประกาศไว้ตรงนี้เลย ว่าน้องชายของพี่ เป็นผู้พิพากษาที่หนุ่มที่สุดในกระทรวงยุติธรรมตอนนี้”
“ย่ะ รู้แล้วย่ะ พ่อคุณ”
หญิงจ้อยหยิกน้องชายหมับทำหน้าทำตาหมั่นไส้แต่แลดูน่าขัน หม่อมพริ้มมองชายรวีอย่างปลื้มสุดๆ สามแม่ลูกชวนกันเดินเข้าบ้านไป
อ่านต่อตอนที่ 24