อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 22
ทุกคนรวมทั้งสามาถึงคลับเอาตอนค่ำ ทันเวลาเปิดโชว์คาบาเรต์พอดี เวลานั้นเองแสงไฟที่หน้าเวทีเล็กๆ สว่างพรึบขึ้น เผยให้เห็นเวทีซึ่งมีม่านเก่าคร่ำคร่าห้อยย้อยปิดฉากอยู่ เวทีตั้งอยู่มุมในสุดของห้องอันคับแคบ สภาพทรุดโทรม แต่พอดูได้ เนื่องเพราะอาศัยความมืดสลัวพรางไว้
ที่นั่งข้างล่างมีลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็ม แต่ละคนนั่งดื่มและมีหญิงสาวพาร์ตเนอร์แอบอิงคลอเคลียอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารฝรั่งวัยรุ่น และชายไทยวัยกลางคน รวมทั้งพ่อค้าจีน ซึ่งดูเถื่อน ห่าม และหื่นทั้งสิ้น
เสียงดนตรีอินโทรดังขึ้นพร้อมกับม่านเปิดออก
ประธาน ในแจ๊คเก็ตกำมะหยี่ สวมหมวก และถือไม้เท้าในมือโก้หร่านอย่างหนุ่มฝรั่ง แต่ทุกอย่างบนร่างเขาดูเก่าทั้งสิ้น เสื้อผ้าก็ปะชุนดูไม่จืด ประธานทักทายลูกค้า ด้วยลีลาพราวเสน่ห์ คล่องแคล่ว พูดภาษาไทยปนอังกฤษ งูๆ ปลาๆ
“สวัสดีครับ ท่านไม่สุภาพบุรุษ และไม่สุภาพสตรี Hello, sirs. Good evening no ladies and no gentlemen. ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ สตาร์ คาบาเรต์คลับ และขอเชิญพบกับเหล่าดวงดาราของเรา”
สี่สาวนางโชว์ในชุดวาบหวิวแต่งหน้าจัด เสื้อรัดติ้ว ยัดนมแหลมเปี๊ยบราวกับเขาพระวิหาร เยื้องย่างออกมานัวเนียประธานที่กลางเวที เรียกเสียงร้องฮือฮา
สายืนแอบทำตัวลีบเล็กอยู่ที่หลืบข้างเวทีมองออกไป อย่างร้อนใจ แต่ก็อยากรู้อยากเห็นว่าอาชีพของประธานคืออะไร
ประธานแนะนำไปทีละนางด้วยลีลาเซ็กซี่ปนทะลึ่ง
“มูน...วีนัส...ประกายพรึก ส่วนนี่...” เขาซี๊ดปาก ทำท่าว่านางคนนี้แซบมาก “แม่
ดาวมฤตยู...” มีเสียงคนดูฮาอีก ประธานหัวเราะ “ในค่ำคืนนี้ ผมขอเชิญทุกท่าน “ขึ้นสวรรค์” ไปพร้อมกับหมู่ดวงดาราของเรา...” ลูกค้าชอบใจฮากันเบาๆ “ส่วนผม นายประธานเจ้าเก่ารับหน้าที่ให้ความบันเทิงกับท่านด้วยบทเพลงไพเราะ และการแสดงสนุกๆ จาก...สตาร์ คาบาเรต์ ครับผม”
เสียงดนตรีอินโทรเพลง “กินกาแฟ” ดังขึ้น
ประธานร้องและเต้นอย่างคล่องแคล่ว ท่าเต้นสวยปนตลก คนดูชอบใจ สี่สาวเต้นประกอบสุดพลิ้วประธานเย้าหยอกสี่สาวท่าทางทะลึ่งๆ ไปด้วยระหว่างเต้น
สาตื่นตาเอามากๆ ตาเป็นประกายวิบวับ ด้วยหล่อนไม่เคยเห็นใครเต้นท่าทะลึ่งแบบนี้ และชอบใจ มองประธานและสาวๆ ขำๆ
คนดูด้านล่าง ปรบมือตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน ประธานเล่นกับคนดูอย่างน่ารัก
เพ็ญศรี แคชเชียร์ประจำร้าน กับ เฮียใช้ เจ้าของคลับ ซึ่งเป็นชายกลางคนท่าทางนักเลง ยืนมองประธานอยู่อย่างชื่นชม
“ไอ้ประธานมันแน่จริงๆ นะ เพ็ญ มันเอาคนดูอยู่หมัดทุกคืน”
“แหงสิ เฮีย นี่ถ้าไม่ได้พี่ประธานนะ อีดาวอุกาบาตรทั้งหลายของเฮียน่ะไม่มีใครมาดูหรอก” เพ็ญศรีว่า
ประธานหยุดร้องระหว่างท่อน เล่นกับคนดู
“เอ้า กินกาแฟต้องทำอะไรครับ” เขาหันมาทางสาวๆ “กินกาแฟต้องทำอะไรสาวๆ”
สี่สาวร้องพร้อมกัน เสียงใส “ส่ายนม”
คนดูกระทืบเท้า เป่าปากเฮฮาชอบอกชอบใจ สี่สาวส่ายนมตามจังหวะเพลง เพ็ญศรีหัวเราะ
“ดูๆ อีดาวๆ ของเฮียแต่ละคนนมยานจนจะฟาดหน้าตัวเองอยู่แล้ว”
เฮียใช้มองเลยไป แล้วเห็นหน้าของสาโผล่มาข้างหลืบ
“เฮ้ย เพ็ญ นั่นใคร”
เพ็ญศรีมองตาม “ไหน เฮีย” แล้วเห็นสา “ฉันไม่ยักเคยเห็นไม่ใช่ดาราดวงใหม่ของเฮียเรอะ”
เฮียใช้ตาลุกวาว
“สวยขนาดนี้ เฮียยกให้เป็นดาราดาวรุ่งประจำใจเลย”
ฟากสาขำท่าเต้นประธานและสาวๆ หัวเราะชอบใจ พอหันมา ตาประสานเข้ากับเฮียใช้และเพ็ญจังๆ สาตกใจ หลบฉากวูบ
“ตายละทำยังไงดี”
ประธานร้องและเต้นจบท่อนแรกหันมายิ้มให้สาพอดี สาชี้มือบอกว่ามีคนเห็นเธอ ประธานหันไปดู เห็นเฮียใช้กับเพ็ญศรีเดินอาดๆ ผ่านมาด้านข้าง เพื่อจะไปข้างเวที ประธานตกใจจนลืมตัว
“ฉิบหายล่ะ” แล้วนึกได้ หันไปเล่นมุขตลก “เจ้าหนี้มาครับ สงสัยมาทวงค่ากาแฟผมขอหลบก่อน เอ้า” เขาหันไปสั่งนักดนตรี “แคนแคน”
ดนตรีเปลี่ยนเป็นแคนแคน สี่สาวถึงกับมึน แต่ก็เข้ามาเกาะกันเป็นแผง แล้วยกแข้งยกขาเต้นแคนแคนกันไปตามเสียงเพลง
ประธานฉวยโอกาสหลบเข้าหลังเวทีไป
ในห้องเล็กๆ หลังเวที มีกระจกแต่งตัว นอกจากราวแขวนเสื้อผ้า ยังมีวิกผม ขนนก พู่ที่ทำจากเชือกฟาง และอุปกรณ์ถูกๆ ประกอบการโชว์นานาชนิดแขวน พาด กองสุมอยู่
สายืนอยู่เฮียใช้กับเพ็ญศรีเดินเข้ามาเพ็ญศรีรู้ว่าเฮียคิดอะไร รีบเข้ามาช่วยไล่สาโดยแกล้งดุ
“เธอเป็นใครเข้ามาในนี้ได้ยังไง...ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปๆ”
“เฮ่ย ไปไล่เขาทำไมวะ เพ็ญ” เฮียเข้ามาหาสา ยิ้มจนเยิ้ม “หนูชื่ออะไรจ๊ะ มาทำอะไรที่นี่”
พลางเฮียเอื้อมมือมาจะจับแก้มสา ประธานคว้าเอาไว้ แล้วดึงสาหลบ ประธานยิ้มหวาน
“เขามากับผมครับเฮีย” ประธานยักคิ้ว “เมียผมเอง”
สากะเพ็ญศรีตกใจร้อง “หะ” / “เมีย”
เฮียใช้มองหน้าประธาน ไม่เชื่อ
“หวงก้างนี่หว่า ประธาน” แล้วเริ่มพาล “ไม่รู้ล่ะถึงจะเป็นเมียมึง เสือกไม่เก็บเอาไว้ที่บ้าน เอามาที่นี่ก็ถือว่าเป็นของกู”
ขาดคำเฮียใช้กระชากมือสา สากรี๊ด
“ว้าย ปล่อยนะ” สาสะบัดมือจนหลุด แล้วลืมตัว ตบเปรี้ยง
ประธานกับเพ็ญศรีตกใจสุดขีด
“ซวยแล้ว”
“อีนี่ มึงวอนแล้ว”
เฮียใช้โกรธจัดเข้าลากตัวสา ประธานกับเพ็ญศรีช่วยกันขวาง
“เฮีย อย่า...เขาไม่ใช่อีพวกนั้น”
สาตกใจกลัว “ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
เพ็ญปลอบ “เฮีย ใจเย็นๆ ก่อนเฮีย”
“อย่าเสือก อีเพ็ญ”
เฮียใช้บันดาลโทสะ หันไปตบเพ็ญศรีล้มคว่ำคะมำลงไปกองคาพื้น
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 22 (ต่อ)
ประธานเห็นสถานการณ์คับขัน จึงตัดสินใจต่อยโครมเข้าที่ปลายคางจนเฮียใช้ล้มคว่ำไป จากนั้นเขารีบดึงมือสา บอกเสียงดัง
“ไป...หนี”
ทั้งสองพากันหนี เฮียใช้ตั้งหลักได้ ลุกขึ้นยืน ควักปืนออกมา
“ไอ้ประธาน มึง”
ประธานกับสาช็อกคิดว่าไม่รอดแน่
ไวเท่าความคิดเพ็ญศรีเอาฉาบทองเหลืองอันใหญ่ฟาดกลางกบาลเฮียใช้สุดแรง เฮียมึน แล้วฟุบลงไป
ประธานโล่ง “ขอบใจ เพ็ญ”
“เผ่นกันก่อนเถอะพี่ ถ้าเฮียตื่นมา แกเอาเราตายแน่”
สามองเพ็ญศรีอย่างซาบซึ้ง “แล้วเธอล่ะ”
“ฉันก็เผ่นเหมือนกัน ไม่อยู่หรอก ไปล่ะ”
เพ็ญศรีวิ่งกลับไปด้านหน้า ประธานลากสาออกไปด้านหลัง
บริเวณซอยมืดๆ ด้านหลังคลับ สากับประธานวิ่งไปขึ้นรถบรรทุกที่จอดแอบไว้ตรงนั้น
สาถามด้วยท่าทีร้อนรน “ไปไหนคุณ”
“ไปให้พ้นจากนี่ก่อนแล้วกัน”
ประธานสตาร์ทเครื่องยนต์ออกรถไปทันที เฮียใช้วิ่งตามออกมา หน้าถมึงทึง พร้อมปืนในมือ
“ไอ้ประธานมึง”
ประธานหักพวงมาลัยให้รถพุ่งเข้าเฉียดเฮียใช้ จนเสียหลักล้มไป ก่อนจะกระทืบคันเร่งหนีไป
เฮียใช้ที่กลิ้งอยู่กับพื้นกระหน่ำยิงตามหลังไป 4-5 นัด ไม่โดนคนสักนัด โดนแต่รถ
รถขนของแล่นหายไปในความมืดมิดยามราตรี เฮียใช้แค้นสุดขีด
บนรถที่แล่นมาตามถนน ประธานถามสา สองคนพูดโต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว
“บ้านคุณอยู่ไหน”
“ฉันอาศัยเขาอยู่ แถวคลองมหาสวัสดิ์โน่น”
“แล้วจะขนสมบัติบ้าพวกนี้ไปยังไง”
“ฉันเหมาเรือไว้ ให้เขารอที่ท่าน้ำสี่พระยา ป่านนี้เขาคงไม่รอแล้ว” สานึกแล้วโมโหเลยโวยใส่ “เพราะคุณนั่นแหละ”
ประธานฉุน “โอ้โห แล้วที่ผมโดนปืนไล่ยิงอยู่เนี่ยเพราะใครไม่ทราบ”
สาซาบซึ้งบุญคุณประธานอยู่เหมือนกัน “เอาน่ะ ช่วยฉัน ฉันจะให้ค่าจ้าง”
ประธานยิ้มกริ่มทำตาเจ้าชู้ใส่ “แค่นั้นเองเหรอ”
พลางประธานเอามือข้างหนึ่งไต่ไปที่ตักสา สาตีมือดังเผียะ ทำเสียงดุ แต่ก็แอบหวิวเหมือนกัน
“ขับรถไปดีๆ” จู่ๆ รถเสียการทรงตัว “ดูสิ รถเอียงกะเท่เร่แล้ว”
“เฮ่ยๆๆๆ” ประธานร้องลั่น รู้สึกผิดสังเกตที่รถเอียงมากขึ้น “ไม่สวยละๆ สงสัยตะกี๊เฮียจะยิงโดนยาง”
สาตกใจ “อะไรนะ”
ประธานพยายามประคองพวงมาลัย พอเอาเท้าแตะเบรค แล้วก็ยิ่งตกใจ
“ตายห่ะ”
“อะไรอีก” สาโมโห
“สงสัยเฮียจะยิงโดนเบรกด้วย”
สางง “หา”
“เบรคแตก!”
ขาดคำ รถมาถึงทางเลี้ยวพอดี แต่เสียหลักและเบรกไม่ได้ วิ่งลงไปข้างทางที่เป็นทุ่งหญ้ารกร้าง ก่อนจะจอดเอียงกะเท่เร่จมปลักโคลน
ทางด้านสุขกับแป้นรอสาอยู่ที่บ้านสวน แต่สาไม่มาสักที แป้นเริ่มบ่นด้วยความเป็นห่วง
“คุณสาแกยังไงของแกนะ ว่าเรือเขาไว้ ก็ไม่ไปตามนัด ว่าจะกลับมานอนบ้านนี้ ก็ไม่กลับ”
ที่มุมหนึ่งบนเรือน แลเห็นโสภิตพิไลโผล่หน้ามาแอบฟัง
“หรือคุณสาแกจะเปลี่ยนใจ” สุขว่า
“อะไร้ เมื่อวานเพิ่งพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะมาอยู่กับโสภิต”
สุขพูดตามประสาคนที่ไม่ค่อยศรัทธาในตัวสานัก
“เมื่อวานมันก็เมื่อวาน วันนี้ แกอาจจะอยากอยู่กับคนอื่นแล้วก็ได้นี่...”
แป้นโมโหตีสุขเผียะ พร้อมกับค้อนผัวขวับ
สองคนไม่รู้ว่าโสพิตพิไลยืนฟังอยู่ ด้วยสีหน้าน้อยใจ
ขณะเดียวกันสาลงจากรถ ปีนขึ้นมาอยู่ที่กระบะหลัง ในมือมีไฟฉายเล็กๆ หนึ่งอัน กำลังตรวจสอบหีบว่าเรียบร้อยดีไหม ประธานปีนตามขึ้นมา สาตรวจไปถึงหีบที่มีงัดกุญแจหลุด เลยชะงักไม่กล้าเปิด
“อ้าว ทำไมคุณไม่ไปตามช่าง”
“ดึกป่านนี้แล้วจะไปหาช่างที่ไหน ไปหาที่นอนกันก่อนเถอะคุณ ทิ้งรถไว้นี่แหละอยู่กลางทุ่งอย่างนี้ ไม่มีใครมาขโมยของคุณหรอก”
“ไม่.. ฉันจะนอนเฝ้าที่นี่แหละ”
ประธานฉงน “คุณนี่งกไม่เข้าท่า ผมชักสงสัย ในหีบนี่ใส่อะไร ทำไมถึงได้หวงนักหวงหนา”
“ก็...พวกของเก่า ไม่มีอะไร”
สาทำหน้าตาย แล้วทำเนียนไปนั่งทับฝาหีบไว้ ประธานมองอาการของสา รู้ทันแบบคนที่เจนโลกมามากกว่าหลายเท่า แกล้งทำเป็นเชื่อ พยักหน้า
“อ๋อ เหรอ”
สาเผลอตัว ประธานพุ่งเข้าไปกอดปล้ำ สาวี้ดว้าย
“ว้าย คุณ จะทำอะไร”
ประธานปล้ำจนสาตกมาจากหีบ แล้วจะไปเปิดฝาหีบดู สารีบพุ่งเข้าไปขัดขวาง
“อย่านะ อย่า”
ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา สากอดประธาน ประธานกอดสาผลัดกันไปมา เพื่อดึงอีกฝ่ายให้พ้นจากหีบเถียงกันไปปล้ำกันไป พลิกไปพลิกมาอยู่บนพื้นกระบะทั้งคู่
“ในหีบมีอะไร ทำไมดูไม่ได้”
“ก็ฉันไม่ให้ดู”
“ผมจะดู”
“ไม่ได้!”
ประธานอยู่ด้านบน จะหาจังหวะผละไป สาไม่รู้จะทำยังไง เลยเอาสองแขนล็อกคอประธานไว้
“อย่านะ”
ประธานชะงัก วูบนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าโดนสากอดเอาไว้ สาเองก็ใจเต้น ใบหน้าประธานอยู่ห่างจากสานิดเดียว ในสถานการณ์ประหลาดนั้น ทั้งสองกลับเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา
สาขอร้องเสียงแผ่ว “อย่านะ คุณ ฉันขอ”
ประธานตอบเสียงหวาน “ใครขอ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
สาสะเทิ้นสะท้านไปทั้งตัว “สาค่ะ ฉันชื่อสา”
“ผมชื่อประธาน ยินดีที่ได้รู้จัก”
ประธานจูบสาอย่างละมุนละไม สาพร้อมอยู่แล้วโอนอ่อนผ่อนตามโดยดี
ร่างทั้งสองเอนลงกับพื้นรถบรรทุกคันที่จอดอยู่กลางทุ่งหญ้า บนท้องฟ้ามีแสงจันทร์กระจ่างตา
จากเงาสลัวรางนั้น พบว่ารถบรรทุกเขย่าเป็นจังหวะ
วันเวลาผันผ่าน ล่วงเลยไปอีก 10 ปี กรุงเทพมหานคร ล่วงเข้าสู่ปี พุทธศักราช 2500
ในยามเช้าวันนี้ หวนกับพุด ซึ่งร่วงโรยไปตามวัย ช่วยกันปัด กวาด เช็ดถู ทำความสะอาดทั่วทั้งตึกตำหนักขาวอย่างแข็งขัน ราวกับจะต้อนรับคนสำคัญ
เสร็จจากงานด้านล่าง สองคนช่วยกันทำความอยู่ที่ห้องนอนใหม่บนตึก ซึ่งตกแต่งเรียบๆ เหมือนห้องผู้ชาย หวนกับพุดช่วยกันดึงผ้าปูที่นอนจนตึงเปรี๊ยะ
หม่อมพริ้มแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ เดินเข้ามา นำเอาแจกันดอกไม้วางประดับที่โต๊ะมุมห้อง แล้วมองไปรอบๆ อย่างตรวจตรา ด้วยสีหน้าพอใจ
หวนถามอย่างภูมิใจ “ใช้ได้หรือยังคะ หม่อม”
“ดีมาก” หม่อมเดินมาแตะที่นอนเบาๆ “ชายรวีเดินทางมาเหนื่อยๆ จะได้นอนพักให้สบาย”
ฟากเจิมกับจวนที่แต่ลคนผมเริ่มหงอกขาวทั้งคู่ กำลังทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงอยู่ในครัว ตรงหน้ามีเขียงและหมูสามชั้นดิบชิ้นหนึ่งอยู่บนใบตอง เจิมถือมีดสับหมูแน่น จวนพยายามแย่ง สองคนทุ่มเถียงกันท่าทีน่าขัน
“วางมีดลงเดี๋ยวนี้ พี่เจิม...อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“เอ็งจะทำไม” เจิมเงื้อง่า “หน็อย จะลองดีกับข้ารึ นังจวน”
“จะว่าลองก็ลองวะ ยังไงวันนี้ ฉันต้องเป็นคนทำหมูหวาน”
“ก็ข้าจะทำ”
“ก็ฉันจะทำ”
เจิมขึ้นเสียง “กูไม่ยอม”
จวนคว้าหมูมา “ข้ามศพฉันไปก่อน”
“มึงอย่าท้า” เจิมเข้าไปแย่ง “เอาหมูมา ไม่งั้นกูจะสับมึงแทนหมู”
หวนกับพุดถือไม้กวาดกับถังน้ำกลับมาจากตำหนัก เห็นสองคนกระย่องกระแย่งสู้กัน รีบเข้าไปห้าม
“หยุดๆ หยุดก่อน ป้าเจิม น้าจวน หยุด... นี่มันเรื่องอะไรกัน” หวนงง
“ข้าจะทำหมูหวานให้คุณชาย อีจวนมันมาขวาง” เจิมบอก
“ก็คุณชายเธอชอบหมูหวานฝีมือฉัน พี่จะมาแย่งทำได้ยังไง” จวนแย้ง
เจิมไม่ยอม เถียงกลับ “คุณชายเธอชอบหมูหวานของข้า”
จวนพยักพเยิดกับหวน “เอ็งดูป้าเอ็งสิ นังหวน หลงจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร”
หวนขำเจิม “ป้าเจิม คุณชายเธอชอบหมูหวานที่น้าจวนทำ”
“ไม่จริง” เจิมเถียง หวนพยักหน้ายืนยัน เจิมจ๋อย “แล้วของข้าล่ะ”
“ไม่มี ป้าเคยทำหมูหวานที่ไหน...ที่คุณชายเธอโปรดฝีมือป้าน่ะมันขนมจีนน้ำพริกต่างหาก”
“อ๋อ เหรอ” เจิมเห็นจวนยืนค้อน จึงค่อยๆ ยื่นมีดสับหมูคืน “งั้นก็แล้วไป”
จากนั้นเจิมจึงเดินกระย่องกระแย่งออกไป
หวน พุด และจวน มองตาม กึ่งขำกึ่งอ่อนใจ
พุดบอก “ปีนี้ป้าเจิมแกหลงมากขึ้นกว่าปีที่แล้วเยอะนะหวน”
“หลงขนาดไหนแกก็ยังอุตส่าห์จำได้ ว่าคุณชายรวีชอบหมูหวาน” หวนว่า
“ก็แกรักของแกเหลือเกิน... คุณชายกลับมาบ้านคราวนี้ พี่เจิมดีใจเสียยิ่งกว่าหม่อมท่านอีก”
จวนบอก หวนและพุดเห็นด้วย
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 22 (ต่อ)
หม่อมพริ้มชะเง้อชะแง้อยู่หน้าตึกตำหนักขาว อย่างตื่นเต้น หวนประคองเจิมเข้ามา
“หม่อมเจ้าขา”
“เจิม...มารอคุณชายหรือเอ็ง” หม่อมยิ้มทัก
“เจ้าค่ะ จะรออยู่ในบ้านมันไม่ทันใจ คิดถึงเหลือเกิน อยากจะเห็นเธอไวๆ”
“ข้าก็เหมือนกัน...ชายรวีไปเรียนที่ฝรั่งเศสตั้งสิบปี ได้เห็นแต่รูปถ่ายที่นานๆ ส่งมาให้ ไม่รู้ว่าตัวจริงจะเป็นยังไงบ้าง”
หวนชี้ “โน่นแน่ะ รถมาแล้วค่ะ หม่อม”
ทั้งหมดกรูกันออกไป
รถคันเก่าเลี้ยวเข้ามาจอด ชิดซึ่งเวลานี้ใส่แว่น ผมหงอกขาวเกือบทั้งหัว ลงมาเปิดประตูให้
ม.ร.ว. รวีช่วงโชติ รวีวาร ในวัย 22 ปี เดินลงมาจากรถ แล้วมองไปที่หม่อมพริ้มแววตาอ่อนโยน
“หม่อมแม่”
“ชาย”
ชายรวีก้าวเร็วรี่เข้าไปหาแล้วก้มลงกราบเท้าหม่อมพริ้มด้วยความคิดถึง หม่อมพริ้มทรุดตัวลงกอดลูกชายไว้ ยิ้มทั้งน้ำตา
“กราบหม่อมแม่ครับผมคิดถึงหม่อมแม่เหลือเกิน”
“แม่ก็คิดถึงลูก...แม่ดีใจที่ชายกลับมา”
แม่ลูกกอดกันกลม คนอื่นๆ ยืนมอง ยิ้มอย่างมีความสุข จวนกับพุดตามออกมา ตื่นเต้น
จนร้องเรียก “คุณชาย คุณชายขา...”
ชายรวีหันไปมอง ยิ้มทักทีละคน
“น้าจวน น้าเจิม พี่หวน พี่พุด ทุกคนสบายดีนะฉันกลับมาคราวนี้ มีของมาฝากทุกคนด้วยจ้ะ”
ทุกคนยิ้มปลื้มปริ่ม
ชายรวีกับหม่อมพริ้มนั่งเคียงคู่กันอยู่ที่โซฟาในห้องโถงกลาง บรรดาบ่าวไพร่นั่งอยู่กับพื้น ห่างออกไป ทุกคนต่างชื่นชมบารมี
“แม่บอกพี่ๆ ของลูกแล้ว ให้มารับประทานอาหารด้วยกันเย็นนี้ โศภีกับศุภลักษณ์ประเดี๋ยวก็คงมาหญิงจ้อยเลิกงานสี่โมงก็กลับบ้าน ส่วนหญิงจิ๋มกับคุณปวุติ สามีเขาว่าจะมาตอนค่ำเลย”
หม่อมพริ้มบอก ชายรวีมองไปรอบๆ ตำหนัก “ทุกอย่างที่บ้านของเรายังเหมือนเดิม เหมือนวันที่ผมจะเดินทางไปฝรั่งเศส ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”
“แม่แก่แล้ว ไม่มีปัญญาจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ได้แค่ดูแลรักษาไม่ให้มันผุพัง”
“ดีแล้วครับ โลกข้างนอกมันวุ่นวายเหลือเกิน ทั้งการเมือง ทั้งอะไรหลายหลายอย่าง...ผมดีใจ ที่อย่างน้อย บ้านเราก็ยังงดงาม สงบร่มเย็นเหมือนเดิม”
พุดเอาน้ำสีชาอ่อนๆ มาเสิร์ฟให้ หม่อมบอก
“น้ำข้าวตัง แม่จำได้ว่าชายชอบ… ดื่มเสียก่อน แล้วค่อยไปกราบท่านพ่อ”
ต่อมาชายรวีกราบลงตรงหน้าโกศของท่านชายในห้องพระของตำหนัก หม่อมพริ้มมองๆ แล้วถาม
“เรียนจบกลับมานี่ ตัดสินใจหรือยัง ว่าจะทำงานอะไรราชการหรือเอกชน”
“ผมปรึกษากับท่านลุงสืบสายแล้วครับ คงจะไปทำงานที่กระทรวงยุติธรรม” ชายรวีว่า
หม่อมพริ้มยิ้มชื่น “แม่ดีใจ ที่ชายจะเอาความรู้ไปรับใช้บ้านเมือง” พลางมองไปที่โกศท่านชายรวีวาร “ท่านพ่อทรงทราบ ก็คงดีพระทัยเหมือนกัน”
ส่วนที่เรือนบ่าว ทุกคนล้วนตื่นเต้นกับของฝากที่มาจากฝรั่งเศส
“นี่...ของฉันเป็นน้ำอบฝรั่ง” หวนดม “อื้อฮื้อ หอมจับจิตเลยแล้วพี่ชิดล่ะ ได้อะไร”
ชิดบอกอวดๆ “นาฬิกาเว้ย”
“ของฉันเป็นเข็มกลัดรูปตุ๊กตาแหม่ม ซ๊วยสวยแล้วของป้าเจิมล่ะ” พุดถาม
“ข้าได้เหมือนนังจวน” คลี่ผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากผ้าวูล “ผ้าขนสัตว์วูๆ อะไรวะ”
“ผ้าวูน ผ้าวูน พี่เจิมนี่ ไม่รู้ภาษาเลย…ผ้ามันนุ่มดีจังนะพี่ อุ่นดีด้วย หน้าหนาวจะได้ใช้” จวนว่า
“คุณชายเธอช่างคิด ซื้อของฝากได้ถูกใจทุกคน” ว่าพลางเจิมเอาผ้าคลุมไหล่ ยิ้มย่อง
“น่าชื่นใจแทนหม่อมท่านนะ คุณชายโตขึ้นมา ทั้งดี ทั้งงาม มีลูกอย่างนี้ คนเป็นแม่ดีใจตายเลย”
พอจวนเปิดประเด็นเรื่องแม่ชายรวีปั๊บ ทั้งห้องก็อึ้งทันที จวนนึกได้ตีปากตัวเอง รู้ตัวว่าไม่น่าพูด
เจิมเห็นทุกคนอึ้ง ก็ส่ายหัว
“เรื่องมันผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว เอ็งจะพูดถึงมันก็พูดเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะช็อกตาย...”
“ก็รู้นะว่ามันชั่ว แต่บางที ก็อดคิดถึงมันไม่ได้...ตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามไป ก็ไม่ได้ข่าวมันอีกเลย ไม่รู้มันไปอยู่ที่ไหนเป็นตายร้ายดียังไง” หวนบ่นตามประสา
“สัตว์โลกมันก็เป็นไปตามกรรม หวนเอ๊ย ถ้าทำดี ก็ได้ไปอยู่ที่ดีๆ ถ้าทำชั่วก็คงไม่พ้นไปอยู่ที่ชั่วๆสุดแต่การกระทำของมัน”
เจิมพูดพลางยิ้มเหยียดอย่างชิงชัง เมื่อนึกถึงอีสา
ตอนกลางคืน ในอีก 2 ปี ต่อมา
ณ มุมหนึ่งของ กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราช 2502 ป้ายชื่อ “อุษาวดีไนต์คลับ” ของสา เด่นหราสะดุดตาเร้าใจผู้คนที่ผ่านไปมา ด้วยทำจากหลอดไฟแสงแพรวพราว ลูกเล่นส่องวูบวาบไปมา
ภายในเป็นคลับหรูหราโอ่อ่า โต๊ะกลมปูผ้าขาว มีโคมไฟเล็กๆ แต่งตามโต๊ะ สวยงามมีรสนิยมกลุ่มลูกค้าที่นั่งอยู่ เป็นนายทหารชั้นสูง นักธุรกิจ และหนุ่มสังคมแต่งตัวหรูหรา
บนเวทีประธานกำลังโชว์เพลง “กินกาแฟ” ซึ่งตอนนี้เขาใส่ชุดหรูระยับ นางโชว์แต่งตัวสวยดูดี มีรสนิยม เต้นอยู่ข้างๆ ท่าเต้นของประธานถึงจะยังมีความทะลึ่งทะเล้นดังเดิม แต่ดูแล้วไม่หื่นกามเหมือนสมัยก่อน
พอเพลงจบ ลูกค้าปรบมือ ประธานโค้งรับ ยิ้มแย้มแล้วกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ ท่านสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทุกท่าน Good evening, Ladies and gentlemen. ผม...ประธาน เทวา ในนามของผู้จัดการ อุษาวดีไนต์คลับ ขอต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่ค่ำคืนแสนสำราญที่อุษาวดีครับ”
ดนตรีบรรเลงรับสักครู่ ประธานยกมือให้สัญญาณ ดนตรีหยุด จากนั้นประธานพูดต่อ
“และเนื่องจากวันนี้ เป็นวันที่อุษาวดีไนท์คลับของเรา เปิดบริการให้ความสุขกับทุกท่านมาครบ 10 ปีเต็มเราจึงมีของขวัญสมนาคุณทุกท่าน...”
ดนตรีบรรเลงขึ้น บริกรในชุดหรูช่วยกันเข็นเค้กยักษ์ ออกมากลางห้อง ลูกค้าฮือฮา เพราะบนเค้กสีขาวแต่งด้วยลวดลายและดอกกุหลาบสีชมพูมีสาวสวยในชุดบิกีนี่สีขาว ชมพู กลมกลืนกับเค้กนั่งระทวยอยู่ มีสายสะพายพาดกลางตัวเขียนว่า “ฉลองครบรอบ 10 ปี อุษาวดี”
“ในคืนนี้ จะมีการจับฉลากผู้โชคดีที่จะได้เค้กวันเกิดของเราไปลิ้มลองนะครับ” บริกรเข็นเค้กออกไป “และยัง...ยังไม่หมดครับ เราจะบอกว่าคืนนี้เป็นคืนพิเศษไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้พบกับเธอผู้นี้”
ดนตรีบรรเลงอลังการ ไฟในห้องหรี่ลงเกือบดับ ทั้งห้องเงียบด้วยความตื่นเต้น แสงสว่างจากไฟฟอลโล่จับไปที่กลางเวที ชิงช้าลวดลายสวยงามแต่งด้วยคริสตัลระยิบระยับสะท้อนแสงหย่อนลงมา
บนชิงช้าคือ หญิงสาวในชุดราตรียาวหรูระยับสีแดงสด ทัดดอกกุหลาบสีแดงแบบยิปซี ดูเย้ายวนนั่งอยู่ กระโปรงแหวกเห็นถึงโคนขา ดูเซ็กซี่สุดๆ
เสียงประธานดังขึ้น “คุณอุษาวดี อิสระ เจ้าของไนต์คลับอุษาวดีครับผม”
สาในวัยกลางคน ลงจากชิงช้า กล่าวต้อนรับแขกด้วยท่าทีของสาวสังคมเจนโลก สง่าและทรงเสน่ห์
“สวัสดีค่ะ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านและขอแทนคำขอบคุณ ด้วยเสียงเพลงเพลงนี้ค่ะ”
ดนตรีขึ้น สาร้องเพลง “รักจับใจ” ด้วยลีลาเย้ายวน นางโชว์ในชุดสั้นสีแดงออกมาเต้นประกอบอยู่ห่างๆ
ในห้องทำงานห้องนั้น มีเก้าอี้ และโต๊ะทำงานไม้รูปทรงสวยหรู มุมห้องมีโซฟาหนังอย่างดีวางอยู่สำรับนั่งเล่น และรับรองแขก สาเปิดประตูเดินเข้ามาทิ้งร่างลงอย่างเหนื่อยล้า หล่อนหลับตาท่าทีอ่อนแรง
เพ็ญศรี ซึ่งยามนี้ร่วงโรยไปตามวัย ถือสมุดบัญชีตามเข้ามา สาถามโดยไม่ต้องลืมตา
“เอาสั้นๆ เลย เพ็ญ...วันนี้ขาดทุนหรือกำไร”
“กำไรสิคะ คุณสาถามได้”
ประธานเดินตามเข้ามา
ประธานมือชั้นนี้ มีหรือจะทำอะไรขาดทุน
สาลืมตาขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงประธาน
“มาก็ดีแล้ว ฉันเหนื่อยจัง อยากดื่มซักหน่อย”
ประธานยิ้มรู้ใจ เดินไปรินเหล้ามาส่งให้ สาดื่มรวดเดียวหมด
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 22 (ต่อ)
ประธานเข้ามานัวเนียเอามือบีบนวดบ่าเอาใจ
“อยากดื่มอย่างเดียว ไม่อยากอย่างอื่นหรือ”
เพ็ญศรีรู้แกว กระแอมแล้วบอก
“ฉันไปก่อนนะคะ”
“เอาสมุดบัญชีวางไว้นั่นล่ะ เพ็ญ เดี๋ยวฉันดูเอง”
เพ็ญศรีอมยิ้ม แล้วเลี่ยงออกไป
ประธานกระซิบถามสา
“ที่ไหนดี...ที่นี่เลย หรือ จะไปที่บ้าน”
“อะไร…ดูบัญชีน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่” ประธานกระซิบ แล้วนัวเนีย สาตัดใจผลักประธานออก
“ไม่ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันมีธุระ ต้องไปแต่เช้า ฉัน...”
ประธานไม่ฟัง ดึงสามาจูบอย่างดูดดื่ม
รุ่งเช้าตุ่น เด็กรับใช้วัยรุ่น เดินเอาหนังสือพิมพ์เข้ามาวางที่โต๊ะ ละมัย แม่บ้านกำลังจัดอาหารเช้า
“คุณสาตื่นแล้วเหรอ ป้ามัย”
“ยัง…จะถามทำไม นังตุ่น”
“อ้าว เห็นป้าตั้งอาหารเช้า”
“เธอสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ว่าให้ตั้งตอนเจ็ดโมง เธอจะออกไปแต่เช้า...”
“นี่มันแปดโมงกว่าแล้ว” ตุ่นว่า
ละมัยบุ้ยใบ้ขึ้นไปที่ชั้นบน แบบรู้ๆ กัน
“ก็คุณประธานมาค้างที่บ้าน ป่านนี้ ยังไม่ลงกันมาเลย”
ในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับห้องนอนในหนังฝรั่ง เตียงแบบหลุยส์ ผ้าห่มนวมประดับลูกไม้กรุยกรายสาที่นอนอยู่ใต้ผ้านวม สะดุ้งตื่น
“ว้าย ตายแล้ว”
สาลุกพรวดพราดขึ้นมา ทำให้ประธานที่ยังนอนอยู่บนเตียงพลอยตกใจตื่นไปด้วย
“อะไร คุณ อะไรตาย”
สาคว้าเสื้มคลุมชุดนอนมาสวมทับ แล้วรีบลุก
“ยังจะมาถาม” สาบ่น “ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าวันนี้ฉันมีธุระ ฉันต้องไปงานโรงเรียนของโสภิต ตอนแปดโมงเช้า”
สาคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ได้ปิดประตู ประธานลุกขึ้นนั่ง ตะโกนคุยอย่างถือสนิท
“นี่มันแปดโมงกว่าแล้ว คุณไปไม่ทันหรอก กว่าจะยีผม กรีดตา ทาปาก”
สาที่กำลังแปรงฟัน ยื่นหน้าออกมาด่า
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย พอฉันออกไปแล้ว คุณเก็บข้าวของส่วนตัวของคุณออกจากห้องนี้ให้หมดนะ อ้อ แล้วที่ห้องข้างล่างด้วย ดูเหมือนคุณจะชอบทิ้งของเอาไว้”
ประธานเข้าไปหาในห้องน้ำ “เดี๋ยวๆ นี่มันอะไรกัน อยู่ๆ มาไล่เก็บข้าวเก็บของ
“วันนี้คุณหนูโสภิตเรียนจบแล้ว เธอจะออกจากโรงเรียนประจำ มาอยู่ที่บ้านฉันไม่อยากให้เธอรู้ ว่าฉันพาคุณมานอนค้าง”
ประธานได้ฟังก็ไม่ค่อยพอใจนัก “ก็แค่หลาน ไม่ใช่หลานในไส้ด้วยซ้ำ ทำไมคุณจะต้องเกรงใจยัยเด็กนั่นมากกว่าผม”
สาเดินออกมา หยิบของของประธานปาใส่ “ฉันรีบ สายแล้ว ไม่มีเวลาอธิบาย”
จากนั้นสารีบไปแต่งตัว ประธานยืนหน้าบึ้ง ไม่พอใจเอามากๆ
ประธานบ่นไม่เลิก
“ผมเป็นผัวคุณนะ คุณสา ยัยเด็กนั่นมันสำคัญกว่าผมได้ยังไง”
ภายในห้องประชุมขนาดกลาง ในอาคารเรียนหลังหนึ่ง มีเด็กนักเรียนนั่งเต็มห้อง ที่เก้าอี้แถวหน้าสุด มีนักเรียนที่ได้รางวัลในสาขาต่างๆ นั่งเรียงกันเป็นแถว โดยมีผู้ปกครองนั่งข้างๆ ตรงแถวด้านหลัง พบว่ามีเก้าอี้ว่างหนึ่งตัว
ส่วนบนเวที ซิสเตอร์ประกาศรางวัลอย่างต่อเนื่อง
“...และลำดับสุดท้าย เป็นรางวัลผลการเรียนดีเด่น นักเรียนชั้นมัธยมหก ที่มีผลคะแนนสอบสูงสุด ประจำปีการศึกษานี้ได้แก่ นางสาวโสภิตพิไล วรประเสริฐ ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ”
ทุกคนปรบมือเกรียวกราว เด็กสาวหน้าตาสวยหมดจด ที่นั่งอยู่ข้างเก้าอี้ว่างลุกขึ้น เดินตัวตรงหน้าเชิดขึ้นมา เธอไหว้รับประกาศณียบัตรอย่างเรียบร้อยและยืนให้ถ่ายรูปอย่างสง่างาม
โสภิตพิไลมองลงมาที่ที่นั่งเห็นเด็กสาวคนอื่นๆ ที่นั่งแถวหน้า มีใบประกาศในมือและมีผู้ปกครองยิ้มแย้มภูมิใจอยู่ข้างๆ
โสภิตพิไลมองไปเก้าอี้ว่าง 1 ที่นั้นด้วยสายตาเจ็บปวด แกมเยาะหยัน
งานเลิกแล้ว บรรดานักเรียนทุกคนกรูกันออกมาจับกลุ่มคุยเจี๊ยวจ๊าว กรรณิการ์ จิตราภรณ์ และโสภิตพิไลยืนถ่ายรูปร่วมกัน ทุกคนมีใบประกาศในมือ
กรรณิการ์เป็นเด็กสาวท่าทางเปิดเผย แจ่มใส พูดขึ้น
“คิดไปแล้วก็ใจหายนะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เราสามสหายจะได้อยู่ด้วยกัน”
“นั่นสิ กรรณอยู่คอนแวนต์เห็นหน้ากันทุกวัน พอเรียนจบ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกนะ หญิงจิ”
หญิงจิ หรือ ม.ร.ว. จิตราภรณ์เป็นเด็กสาวที่ดูท่าทางไว้ตัว ตอบอย่างอวดๆ
“โสภิตกับกรรณก็มาหาเราที่วังซี” พลางหันมาทางแม่ “นะคะ หม่อมแม่ หญิงชวนเพื่อนๆ ไปที่วังได้ใช่ไหมคะ”
หม่อมแม่ของจิตราภรณ์ยิ้มมุมปากแค่นิดเดียว ตอบอย่างไว้ตัว
“ก็เฉพาะเพื่อนบางคนเท่านั้นจ้ะ หญิงก็ทราบ ท่านพ่อค่อนข้างจะถือสาเรื่อง...”
หม่อมแม่หยุดพูดทันที เชิดคอ เชิดหน้าพูดกับโสภิตพิไล
“ถ่ายรูปเสร็จแล้ว น้าคงต้องขอตัวก่อนนะคะ หญิงจิ เรากลับกันเถอะจ้ะ” พลางลดเสียงลง แต่ก็พอที่โสภิตพิไลจะได้ยิน “เขามาโน่นแล้ว” จากนั้นหันไปพูดกับกรรณิการ์ “กรรณิการ์ไปกับน้าก็ได้นะคะ เดี๋ยวน้าจะให้คนไปส่งที่บ้าน”
หม่อมแม่ดึงมือกรรณิการ์และหญิงจิเดินออกไป พร้อมๆ กับที่สากระหืดกระหอบเข้ามา
“โสภิต โสภิต...โอ๊ย ป้าขอโทษนะคะ ป้าตื่นสายไปหน่อย”
โสภิตพิไลอึ้ง เธอรู้แล้วว่าสาเหตุที่ทุกคนรีบไปเพราะอะไร สายังบ่นเสียงใส
“ออกมาสายแล้ว แล้วที่หน้าโรงเรียนก็ดันมีรถเจ้ากรรมมาจอดเสียขวางทางอีก ป้าเลย...”
โสภิตพิไลตัดบทเสียงเรียบ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้า”
“ซิสเตอร์บอกว่าหนูได้รางวัลเรียนดี ป้าดีใจด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
สาอึ้งๆ สัมผัสและรับรู้ได้ถึงความสุภาพแต่ห่างเหินเย็นชาของลูกสาว ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะนะ...กระเป๋าหนูอยู่ที่ไหน จะได้ไปขนขึ้นรถ”
“อยู่ทางนี้ค่ะ”
โสภิตพิไลเดินนำสาออกไปจากหน้าห้องประชุม ใบหน้าสดใสที่เคยเชิดอย่างภาคภูมิ กลายเป็นก้มต่ำเมื่อเธอเดินผ่านบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนๆ
โสภิตพิไลซึมซับรู้สึกได้ว่า ทุกคู่สายตาต่างมองสาอย่างรังเกียจ
อ่านต่อตอนที่ 23