xs
xsm
sm
md
lg

หางเครื่อง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หางเครื่อง ตอนที่ 5

เทพเดินก้มหน้างุดๆ ตรงไปยังร้านขายยา นภากาศเดินสวนมาอีกทาง ก้มหน้างุดๆ เหมือนกัน สองคนตรงไปยังหน้าร้านแล้วทั้งคู่ก็ชนกัน แต่ไม่มีใครยอมเงยหน้ามอง

“ขอโทษครับ”
“ขอโทษค่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็จำเสียงกันได้ ค่อยๆ เงยหน้ามองกัน เทพหน้าเกลี้ยงไม่มีคิ้วเลย ส่วนนภากาศเองก็มีเคราหนวดเขียวครึ้มขึ้นเป็นตอ เหมือนใครเอาเศษผมมาแปะๆ ไว้เต็มไปหมด
“ยาผีบอก”
เทพกับนภากาศพูดออกมาพร้อมกัน

คนขายนั่งใช้ความคิด มองหน้าของนภาและเทพที่อยู่ในอาการเคืองๆ ด้วยกันทั้งคู่
“แปลกมาก ปกติผีไม่เคยบอกอะไรผิดนะ”
“ไม่ผิดบ้าอะไรล่ะ เนี่ย ขึ้นยังกะเอายาปลูกผมมาทา ไหนบอกเส้น คลาย เส้นคลายไม่เห็นเส้นจะคลายเลย”
“เส้นนี่สิคลาย ดูซิ ป้ายคิ้ว เส้นคลาย ร่วงไม่เหลือเลย”
เทพเอาตลับยาวางลงตรงหน้า นภากาศเองก็เช่นกัน คนขายมอง
“นี่ไง เอาไปสลับกันเอง เส้นนี่ก็เลยคลาย กลายเป็นเส้นนี่ก็เลยขึ้น”
คนขายชี้เทพ สลับกับชี้นภากาศ
“อ้าว แล้วทำไง”
“ไปแลกยากันทาสิ เรื่องง่ายๆ สลับกันเองเเล้วมาโทษ ยาผีบอก”
นภากาศกับเทพมองหน้ากัน แล้วก็ถอนใจในความซวยของเรื่องที่เกิดขึ้น

บนเวทีลิเก รวิกำลังร้องและร่ายรำอยู่ พร้อมกับเด็กในคณะ นักดนตรีนั่งอยู่อีกฝั่งคอยบรรเลง
“บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ตัวข้าพเจ้ากับพระมเหสี เห็นทีจะต้องจรลีกลับพระนครในบัดดล”
ดนตรีรับ รวิกับนักแสดงต่างร่ายรำและเดินเข้าด้านหลังไป ที่หน้าเวที ขำลุกขึ้นยืนตบมือเสียงดัง
“เยี่ยม เยี่ยมมาก เอ้า ช่วยกันตบมือให้ดังๆ เลย วู้ๆๆๆ”
ขำทำท่าหันซ้ายหันขวาเรียกให้คนตบมือ แต่คนดูมีแค่เดือนที่ตบมือแปะอยู่ข้างๆ กับตายายแก่ๆ อีกสองสามคน ตบมือแปะๆ มือสั่นๆ ขำหันมายิ้มตบมือพยักพเยิดกับคนดูที่มีน้อยก่อนจะค่อยๆ หน้าเสียและนั่งลง หันมามองหน้ากันกับเดือน แล้วยิ้มแหยๆ กัน
“วันนี้คนน้อยเนอะ เนอะ สงสัยอากาศจะเย็น เลยไม่ยอมออกนอกบ้านเลย แหะๆๆ”
เดือนพยักหน้ารับ ยิ้มเจื่อนๆ
“อือ แหะๆ นั่นสินะ สงสัยอากาศจะเย็นจริงๆ”
เดือนและขำหันมามองหน้ากันแล้วหุบยิ้มหันไปมองรอบๆ ก่อนจะทำหน้าจ๋อยอีกครั้ง

หลังเวที รวิกับเด็กในคณะช่วยกันพับชุดเก็บข้าวของอยู่ เดือนกับขำเดินเข้ามา
“มา พี่รวิ เดือนช่วย”
รวิหันมายิ้มกับเดือนและทักทายขำ
“ขอบใจจ้ะ ไง ขำ และวันนี้พี่ป้อมไม่มาเหรอ”
“อือ วันนี้เห็นป้าแกบอกติดธุระน่ะ วันนี้มีแต่คนมีธุระเนอะ แหะๆ ไม่ค่อยมีคนเลย”
เดือนหันไปตีแขนขำ ทำหน้าดุเชิงตำหนิ ขำลูบแขนตัวเองก่อนจะทำหน้าแหยๆ
“ฮะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกเดือน มันเป็นอย่างนี้มาได้ซักพักแล้วล่ะ คนเค้าคงเบื่อแล้วมั้ง หรือไม่ก็หนีไปดูอย่างอื่นหมด”
“จะหนีไปดูอะไรล่ะ พี่รวิแสดงดีออก คนเค้าคงไม่หนีหรอกมั้ง”
รวิยักไหล่ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ บางทีถ้ามีอะไรที่น่าสนใจกว่า คนเค้าก็คงไปดูอันนั้นมั้ง”
“และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แกจะทำยังไงต่อรวิ”
รวิเงยหน้าจากที่กำลังเก็บของมามองขำและเดือน
“อือ ก็คิดไว้อยู่บ้างแล้วล่ะ ที่เหลือคือดูโอกาสเหมาะๆ อีกที”
เดือนเอื้อมมือไปดึงมือรวิมากุมไว้
“อย่าเพิ่งท้อนะพี่ ชั้นเชื่อว่าอย่างพี่ต้องแก้ปัญหาได้อยู่แล้ว”
รวิยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือเดือนด้วยเหมือนกัน
“จ้ะ ถ้ามีเดือนคอยให้กำลังใจแบบนี้ พี่สู้ตายอยู่แล้ว”
“อะแฮ่มๆ แค่กๆ โอ๊ย กินอะไรเข้าไปน้า ระคายคอตลอดเลย”
“กินก้างมั้งขำ ก้าง ขวาง ขวางอะไรคิดเอาเอง”
ขำเอามือจับหน้าตัวเองทั้งสองข้างทำหน้าดัดจริต
“ร้ายกาจจจมั่ก”

เดือนและรวิหัวเราะขึ้นพร้อมกันเบาๆ

ที่โรงงิ้ว บนเวทีจัดฉากยิ่งใหญ่อลังการ นักแสดงห้อยโหนสลิงมีการตีลังกา โชว์กายกรรมต่างๆ ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่างต่างตบมือกันเกรียวกราว

ศิริพรในชุดงิ้วยืนแอบมองอย่างพอใจอยู่ด้านหลังฉากด้านข้าง
“ฮะๆๆๆ มันต้องอย่างนี้สิ บ้านนอกแบบนี้ พอมีโชว์อะไรแปลกตาเข้าหน่อยก็แห่กันมาดูให้แน่นละ หึ ขอโทษทีนะรวิ เธออยากทำให้ชั้นโกรธเอง ชั้นจะทำให้คนดูหายไปจากคณะลิเกให้หมดเลย คอยดู”
ศิริพรยิ้มอย่างสะใจ เชิ่ดหน้าเย่อหยิ่ง
ด้านล่างเวทีใกล้ที่ศิริพรยืน ป้อมมองมาที่ศิริพรแล้วพยักหน้าเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง

เทพกับนภากาศนั่งกินอาหารกันอยู่เงียบๆ นภากาศยังมีหนวดเคราครึ้มเป็นตออยู่ ส่วนเทพก็นั่งไม่มีคิ้วกินข้าวอยู่ ทั้งคู่นั่งกินไปเงียบๆ สักพัก แล้วก็อดขำไม่ได้ พอคนนึงเริ่มหัวเราะ อีกคนก็หัวเราะออกมา ทั้งคู่ต่างขำกันเอง
“ก็ดีนะ เรื่องนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้มานั่งกินข้าวด้วยกัน”
“แค่กินข้าวเท่านั้นนะ พี่”
“ไม่คิดจะกลับไปอยู่ที่วงด้วยกันจริงๆ เหรอ”
“อยู่ที่วงน่ะ ไว้ฉันจะเก็บไปคิด แต่อยู่ด้วยกัน คง...ไม่”
เทพนิ่ง พยักหน้า แล้วก็เอาตลับยามาวางลงตรงหน้านภากาศ
“เอาไปทาซ้ำนะ”
“พี่ก็เหมือนกัน”
นภากาศเอาตลับยาวางแลกกัน ทั้งคู่นั่งกินข้าวต่อเงียบๆ เเล้วนภากาศก็เปิดกระเป๋าหยิบเทปพันสายไฟสีดำออกมาตัดสองชิ้น
“ระหว่างนี้ พี่ก็ใช้ไอ้นี่แทนไปก่อนละกัน”
เทพมองไม่รู้ว่านภาจะทำอะไร นภากาศเอาเทปพันสายไฟสีดำแปะที่ตรงคิ้วเทพสองข้าง มองดูคล้ายคนคิ้วเหลี่ยมแบบชินจัง มันดูตลก แต่ทั้งคู่กับดูเหงาๆ
“ขอบคุณนะ พี่ก็มีบางอย่างจะทำให้นภา”
นภากาศนิ่งมอง เทพหยิบเทปพันของม้วนใหญ่ออกมา เทพตัดมันออก แล้วเอาแปะตรงคางนภากาศ นภากาศงงๆ ว่าเทพจะทำอะไร แล้วเทพก็ดึงปึ่ดออกมา ตอขนติดเทปออกมาเพียบ
“โอ๊ย ขอบใจนะ โอ๊ย โอ๊ย”
“เจ็บเหรอ” นภากาศพยักหน้า “แต่คงไม่เท่าพี่หรอก”
เทพเอาเทปม้วนใหญ่ส่งให้นภากาศ แล้วต่างคนก็ต่างกินข้าวกันไปเงียบๆ อย่างมีอะไรในใจลึกๆ ต่อกัน

คืนนั้นเดือนนั่งเล่นอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน แล้วค่อยๆ มองขึ้นไปที่บนฟ้า เดือนร้องเพลง ดอกหญ้าในป่าปูน ของต่ายอรทัย รำพึงถึงความอาภัพของตน
อีกด้านหนึ่งที่บ้านรวิ รวินั่งเป่าแซ็กโซโฟน เพลงเดียวกับที่เดือนร้อง สายตาเหม่อมองขึ้นบนฟ้า

วันต่อมาโรจน์นั่งทำงานที่โต๊ะ ประทีปนั่งไขว่ห้างแต่งเนื้อเพลงที่โซฟาได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา” แก้วเปิดประตูเข้ามาสีหน้าบึ้งตึง โรจน์และประทีปเงยหน้าขึ้นมอง “เอ้า ว่าไง มีอะไร แก้ว”
“เมื่อไหร่คุณโรจน์จะให้แก้วไปหาคุณพิมุกซักทีล่ะคะ เห็นใช้แต่นัง เอ่อ...ใช้แต่เดือนเค้าไป”
โรจน์ถอดแว่นออกมองหน้าแก้ว
“แล้วมันอะไรของเธอนักหนา ถึงจะต้องจ้องแต่จะไปหาคุณพิมุกเนี่ย”
แก้วทำหน้ากระเง้ากระงอดเดินไปหาโรจน์
“แหม ก็แก้วอยากไปหานี่ คุณโรจน์น่ะ ใช้แก้วไปหาแต่คนอื่น” แก้วแอบทำหน้าขยะแขยง “คราวนี้ให้แก้วไปหาคุณพิมุกบ้างเถอะนะคะ”
โรจน์หันไปมองประทีปอย่างขอความเห็น
“คุณพิมุกเค้าไม่ได้เรียกหาเธอนี่แก้ว”
แก้วหันมามองประทีปอย่างอ้อนๆ
“ไม่ได้เรียกก็ไปเองได้นี่คะ นะคะ คุณประทีป”
แก้วเดินมานั่งข้างๆ ประทีป เกาะแขนทำท่าออดอ้อน แกล้งก้มต่ำๆ ให้ประทีปมองหน้าอก ประทีปเหลือบมองหน้าอกแก้ว แอบกลืนน้ำลาย พูดกับโรจน์โดยที่ยังมองหน้าอกแก้วอยู่
“เอ่อ ครั้งนี้ ชั้นว่า ให้แก้วมันไปบ้างก็ไม่เลวนะโรจน์” ประทีกระซิบ “เผื่อไอ้คุณพิมุกเค้าอยากแก้ขัดอะไรไปบ้าง ชั่วครั้ง ชั่วคราวน่ะ”
โรจน์มองประทีปอย่างงงๆ แต่พอเห็นท่าทียั่วยวนของแก้วแล้วก็เข้าใจ
“เฮ้อ พอๆ กันทั้งวง เออๆ คราวนี้เดี๋ยวให้แก้วมันไปก็ได้”
แก้วทำหน้าดีใจออกนอกหน้าแกล้งก้มลงไหว้แบบต่ำๆ ขอบคุณประทีป ประทีปมองพลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“ขอบคุณคุณประทีปนะคะที่ช่วยพูด แล้วก็...” แก้วลุกขึ้นเดินยั่วยวนไปหาโรจน์ ก้มลงไหว้ที่ไหล่ และแกล้งเบียดหน้าอกให้ชนโรจน์ “ขอบคุณ คุณโรจน์ด้วยนะคะ”

โรจน์หน้าแดงแกล้งมองไปที่อื่น แต่เอามือมาโอบแก้ว

ป้อม กะ ขำ ทรุดตัวลงนั่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยว

“อะไรนะ จะยุบคณะลิเก”
ป้อมกับจำถามออกมาพร้อมกัน รวิหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะจุ๊ปากให้ทั้งสองคนพูดเบาๆ
“เบาๆ ทั้งคู่เลย”
“นี่มันเรื่องอะไรกันรวิ อยู่ทำไมจะยุบ”
“นั่นน่ะสิ ตอนนี้เราก็รู้แล้วนี่ ว่าทั้งหมดมันเป็นแผนดึงคนดูของนังงิ้วผี”
“ก็นั่นล่ะ ชั้นเลยคิดว่ายุบดีกว่า เพราะดูท่าแล้วคงไปไม่รอด”
“แล้วแกไม่คิดจะสู้เหรอรวิ”
“นั่นน่ะสิ ชั้นว่าเราหาทางไปแกล้งมันเอาคืนบ้างดีกว่า”
รวิยักคิ้วส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
“ไม่ล่ะ ชั้นไม่อยากใช้วิธีแบบนั้น และอีกอย่าง ถ้าจะสู้กันตรงๆ ชั้นคงไม่มีปัญญาสู้ศิริพรเค้าหรอก เค้าทุนหนากว่าเราซะขนาดนั้น”
ขำคีบลูกชิ้นเข้าปาก
“หนอย เอ็บไออิงๆ”
“ช่างเถอะ ชั้นเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทำอะไรต่อ แล้วถ้ามันไปได้สวย ชั้นอาจจะช่วยให้ฝันของเดือนเค้าเป็นจริงก็ได้นะ”
ขำกับป้อมหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย และทำท่าซุบซิบกัน รวิอมยิ้มเหม่อมองไปข้างนอก

พิมุกกับแก้วนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข พิมุกเหลือบตามองดูแก้วแล้วยิ้มเยาะ
“ติดใจชั้นมากหรือไง ได้ข่าวว่าร่ำร้องจะมาหาชั้นอยู่ตลอดนี่”
“แหม ก็แก้วหลงรักคุณพิมุกไปแล้วนี่คะ”
“555 หลงรักเลยเหรอ อะไรมันจะขนาดนั้นหาแก้ว”
“ก็จริงๆ นี่คะ แก้วน่ะหลงรักคุณพิมุกเข้าเต็มหัวใจเลยนะคะ”
พิมุกเหลือบมองดูแก้ว แล้วเบะปาก
“อย่ามาดราม่าใส่น่า ขอร้อง”
“ทำไมล่ะคะ คุณพิมุกไม่อยากอยู่เป็นครอบครัวด้วยกันเหรอ มีลูกเล็กๆ วิ่งไปมา”
พิมุกมองหน้าแก้ว แล้วก็ลุกเดินหนี
“เลอะเทอะ อย่าคิดจะมาจับกันง่ายๆ ด้วยวิธีนี้”
แก้วลุกขึ้นนั่งตามมือยังดึงผ้าห่มขึ้นมาปิด มองพิมุกอย่างหน้าเสีย
“แต่ แก้ว แก้วไม่ได้...แก้วรักคุณนะ”
พิมุกลุกขึ้นยืนขยับผ้าขนหนูให้แน่นเดินไปหยิบกระเป๋าเงิน หยิบเงินในนั้นออกมา
“แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าแก้ขัดให้ชั้น เอ้านี่” พิมุกโยนเงินให้แก้ว “เธอให้ชั้น ชั้นก็ให้เธอ วินๆ” พิมุกเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วตะโกนพูดออกมา “แล้วทีหลังถ้าจะมา ก็แวะซื้อถุงยางอนามัยติดมาด้วยนะ อย่าคิดว่าชั้นจะยอมมีลูกกะใครง่ายๆ นะ ฮ่าๆๆ “
แก้วมองตามไปทางห้องน้ำที่พิมุกเข้าไปอย่างอยากเอาชนะ
“ไม่อยากมีลูกงั้นเหรอ ดูซิ ว่าถ้าชั้นท้องขึ้นมายังจะกล้าปฏิเสธกันมั้ย”
แก้วรื้อกระเป๋าตังค์ของพิมุก กลัวเขาออกมาจากห้องน้ำด้วย แก้วหยิบถุงยางอนามัยออกมาจากกระเป๋าสตางค์ของเขา เธอมองหาบางสิ่งที่หัวเตียง เปิดๆ ดูเก๊ะหัวเตียง แล้วเธอก็เห็นสิ่งที่เธอต้องการ มันคือเข็มเย็บผ้าเล่มเล็กๆ เธอหยิบเข็มเย็บผ้านั้นมา แล้วก็เอาแทงผ่านซองถุงยางอนามัยจนทะลุซองถุงยาง โผล่มาอีกด้านของซองอยู่สี่ห้ารู
แก้วหน้าตามุ่งมั่น แล้วก็กำถุงยางเดินตรงไปยังห้องน้ำ

พิมุกกำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ เข้ารีบบ้วนปาก
“เข้ามาทำไม”
“แก้วจะกลับแล้ว”
“ก็กลับไปสิ”
“ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่วันจะได้มาอีก ขอส่งท้ายอีกซักนิดไม่ได้เหรอ”
“ถุงยางหมดแล้ว” แก้วชูซองถุงยางอนามัย “เตรียมพร้อมดีจริงๆ เลยนะ”
“นะๆ” แก้วออดอ้อน
“อ่ะๆๆ ก็ได้ ช่วงนี้โปรโมชั่นนะเนี่ย"

แก้วยิ้ม พิมุกยิ้ม แล้วทั้งคู่ก็เอนล้มลงไปด้วยกัน

ที่ห้องซ้อม แดนเซอร์ต่างวาดลวดลายตามจังหวะเพลง เดือนเต้นอยู่ในตำแหน่งตรงกลางอย่างโดดเด่น

ลิ้นจี่เดินดูทุกคนพอผ่านเดือนก็จิกตามอง เบะปากใส่ เดือนหลบสายตาเต้นต่อไป ลิ้นจี่ยังคนเดินดูเรื่อยๆ พอเดินผ่านป้อม ป้อมเชิดหน้า สะบัดบ๊อบใส่ ทำให้ลิ้นจี่ขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน
ตำแหน่งที่แก้วเคยยืนว่างเปล่า ลิ้นจี่มองซ้ายมองขวาหาแก้ว
“นี่นังแก้วมันไปไหนของมันนี่”
“ชั้นใช้ให้มันไปธุระเองล่ะ”
โรจน์กับประทีปเดินเข้ามาในห้องซ้อม
“เออ ดีจริงโว้ย แดนเซอร์ที่นี่ นึกจะไปไหนมาไหนไม่ต้องซ้อมมันก็ได้”
โรจน์หันมามองลิ้นจี่
“ก็บอกว่าชั้นใช้มันไปธุระไง พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
“ฮะๆๆ สงสัยจะแก่แล้วเลยหูไม่ดี”
ลิ้นจี่หันมามองป้อมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ป้อมทำไม่รู้ไม่ชี้เต้นต่อไป
“แล้วนภาไปไหน ไม่ค่อยเห็นมาซ้อมมาต่อเพลงใหม่เลยพักนี้”
“ระวังเห๊อะ ถ้านภาไม่อยู่ วงจะล่ม”
“เดี๋ยวก็มีทางไปจนได้แหละ”
โรจน์และประทีปเดินมาดูการซ้อมข้างหน้าและต่างยืนจ้องเดือนอย่างพอใจ เดือนพยายามหลบสายตา
เพราะรู้ว่าลิ้นจี่กำลังมองมาอย่างหึงหวง แดนเซอร์โพสท์ท่าจบลงพร้อมกับเพลง โรจน์กับประทีปยังคงจ้องเดือนอย่างหื่นๆ พร้อมกับยิ้ม
“โอเค พอแล้วเดือนไปพักกันก่อนได้”
“แต่นี่มันเพิ่งจะซ้อมกันได้รอบเดียวเองนะ” ลิ้นจี่บอก
“ชั้นบอกให้พักก็พักได้สิ เธอเองก็เหมือนกัน จะไปพักที่ไหนก็ไปไกลๆ เลย”
ลิ้นจี่มองโรจน์อย่างโกรธแค้นหันหน้ากลับไปเห็นป้อมที่หัวเราะเยาะอยู่ จึงชี้หน้าบ่นพึมพำๆ ออกไป

เดือนเก็บของใส่กระเป๋า โรจน์เดินตามมาคุยด้วย
“ยังเต้นได้เจ๋งเหมือนเดิมเลยนะเดือน”
เดือนแกล้งทำเป็นหยิบนู่นหยิบนี่ เดินไปเก็บของส่วนตัว ไม่สนใจโรจน์
“เดือนไม่ได้อยากเป็นแค่แดนเซอร์”
“นี่ยังไม่ล้มเลิกเรื่องที่จะเป็นนักร้องอีกหรือเนี่ย”
เดือนสูดลมหายใจเข้าหันมามองหน้าโรจน์
“เดือนไม่มีวันล้มเลิก ไม่มีวัน ยังไงเดือนก็จะต้องเป็นนักร้องให้ได้”
เดือนสะบัดหน้าและเดินออกไปนอกห้อง
“หัวดื้อนัก แต่ก็ดี ไอ้ยากๆ แบบนี้ชั้นชอบ นี่ถ้าไม่ติดไอ้พิมุกนะ”
“ถ้าไม่ติดไอ้พิมุกแล้วแกจะทำอะไร”
โรจน์หันมามองหน้าประทีป
“หึ...ก็ทำแบบเดียวกับที่แกคิดจะทำไง”
โรจน์พูดจบเดินออกไป ประทีปมองอย่างหมั่นไส้ อินโทรดนตรีในห้องซ้อมดังมาเป็นเพลง ยาใจคนจน
แดนเซอร์เริ่มเต้นช้าๆ ตามเพลง ลิ้นจี่ซ้อมให้อย่างขุ่นใจ

พิมุกนอนหมดแรงอยู่บนเตียง แก้วลุกขึ้นนั่ง เก็บเอาซองถุงยางที่หล่นอยู่กับพื้นขึ้นมามองรูที่เธอเจาะเอาไว้จนพรุนที่ซองถุงยาง ยกส่องมองผ่านแสง
“ว่ายกันให้แข็งแรงนะลูก เจอไข่สุกๆ เจาะเข้าไปเลย เราจะได้สบายกันซะที” แก้วพึมพำจับท้องตัวเองแล้วมองพิมุก แล้วเธอก็ลุกขึ้นแต่งตัว “ทูนหัว ผัวขา บอกแล้วอย่าทำให้แก้วอยากได้”
พิมุกยังคงหลับใหลอยู่ ไม่รู้ ไม่ได้ยินอะไร

รวิก้มลงผูกเชือกรองเท้าอยู่หน้าบ้านแล้วขยับแจ๊กเก็ต เหวี่ยงกระเป๋าแซ็กโซโฟนสะพายเข้าที่ไหล่ ใส่หมวกกันน็อค ขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะขี่ออกไป
รวิที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางเรื่อยๆ รวิยกมือทักทายกับคนที่เดินผ่าน และคนที่ขี่รถสวนมา รวิเลี้ยวรถขี่ไปตามทาง
รวิจอดรถ ก้าวลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก เดินตรงไปที่หน้าออฟฟิศวงดนตรีของเทพ ผู้หญิงเดินออกมาจากออฟฟิศ หันมามองรวิอย่างสนใจ พร้อมกับเล่นหูเล่นตาให้ รวิพยักหน้ารับและยิ้มแหยๆ รวิเดินมาหยุดที่หน้าออฟฟิศ ป้ายด้านหน้าเขียนว่า “เทพ ฟ้าประทาน”

รวิสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้าไป


อ่านต่อหน้า 2

หางเครื่อง ตอนที่ 5 (ต่อ)

วงดนตรีของโรจน์ปิดวิกทำการเปิดการแสดงในค่ำคืนนี้ นภากาศร้องเพลงอยู่บนเวทีพร้อมกับแดนเซอร์ที่เต้นอย่างพร้อมเพรียง เดือนมีสีหน้าบึ้งตึง เต้นอย่างไม่เต็มใจ แถมเต้นผิดๆ ถูกๆ อยู่กลางเวที แก้วที่เต้นอยู่ด้านข้างคอยแอบมองมาที่เดือนพร้อมกับเบะปากใส่

เพลงจบเดือนโพสท่าอย่างเสียไม่ได้ คนดูตบมือโห่ฮาป่าอย่างพอใจ แดนเซอร์ต่างทยอยเดินเข้าหลังเวที มีบางคนที่ออกไปรับพวงมาลัย เดือนเดินออกไปรับพวงมาลัยอย่างไม่เต็มใจ แก้วก้มหน้ารับมาลัยจากคนดูเช่นกันแต่คอยเหลือบตามามองว่าเดือนจะได้เยอะกว่าตัวเองหรือไม่ เดือนลุกขึ้นหันหลังจะเดินเข้าหลังเวที ป้อมสะกิดเดือน
“เดือน...เดือน โน่น อีกคนนึงเค้าเรียกแกไปรับรางวัลแน่ะ” เดือนหันไปมอง ก่อนจะหันหน้ากลับจะเดินเข้าหลังเวที “เฮ้ย ทำไมไม่ไปรับล่ะวะ นั่นโบกมือเหยงๆ เลย”
เดือนหันมามองหน้าป้อมแล้วถอนหายใจ
“ไม่ล่ะ นายคนนั้นให้พวงมาลัยทีไร ถือโอกาสแต๊ะอั๋งชั้นทุกที ใครอยากได้ก็ไปเอาเหอะ ชั้นไม่เอาหรอก”
“อุวะ! นังนี่ รับๆ มาก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปจัดการมันทีหลัง”
“ไม่ล่ะ พี่ป้อมอยากได้พี่ป้อมก็ไปเอาเองเหอะ”
เดือนเดินเข้าไปด้านหลังเวที ป้อมเดินตาม
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิ เฮ้อ นี่ถ้ามันให้ชั้นนะ ชั้นจะรีบถลาไปเอาเลย เอ้า รอก่อน เดือน รอชั้นด้วย”
ป้อมเดินตามเดือนเข้าไป แก้วหันมามองเดือนเดินเข้าไปอย่างไม่สนใจใยดี เลยรีบเสนอหน้ามารับแทน
“อุ๊ยพี่ ให้หนูแทนก็ได้นะจ๊ะ”
แก้วแกล้งก้มต่ำๆ ให้เห็นหน้าอก ผู้ชายที่จะให้รางวัลถึงกับตาโต กลืนน้ำลาย
“โอ้โห นะ นี่จ้ะก้มมาอีกสิจ๊ะ พี่จะได้คล้องให้ถนัดๆ”
“อุ๊ยได้เลยจ้ะ สำหรับพี่ จะก้มให้เยอะๆ เลย”
“น่ารักจังนะน้อง ไม่เหมือนน้องคนตะกี๊เลย เรียกแล้วไม่ยอมมา”
“อ๋อ เดือนน่ะเค้าเป็นอย่างนี้ล่ะจ้ะ ถือว่าตัวเองเป็นดาวเด่น เลยคิดว่าใครๆ ต้องง้อเค้ามั้งคะ มา คล้องหนูแทนนี่ล่ะดีแล้ว หนูน่ะเรียกปุ๊บมาปั๊บเลย” แก้วแกล้งหันหนี พูดกับตัวเอง “ขอแค่มีเงิน”
แก้วหันมาทำหน้ายิ้มยั่วยวนคนดู

แดนเซอร์ต่างช่วยกันเก็บของเตรียมตัวจะกลับบ้าน เดือนเอาชุดแขวนเข้าที่เสร็จ สะพายกระเป๋าของตัวเอง เตรียมจะกลับบ้าน โรจน์หยิบแก้วเหล้าที่มีเหล้าอยู่ขึ้นมาดมแล้วย่นจมูก
“ใครเอามากินบนนี้” นภากาศเดินตัวโครงเครง เซเบาๆ ไม่พูดอะไร “ทำไมทำตัวแบบนี้”
“มีแย่กว่านี้อีก ไม่ต้องห่วง” นภากาศบอกแล้วมองเดือนอย่างมึนเมา “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกนะ”
“เอ่อ คือ เป็นคำเตือนหรือคำขู่คะ”
เดือนถามอย่างเกรงๆ นภากาศตบบ่าเดือนเเรงๆ จนเกือบเป็นผลัก เดือนเซถอยหลัง นภากาศเดินลงหลังเวทีไป เดือนจะเดินตามไป อย่างเป็นห่วง
“พี่นภา”
โรจน์เดินเข้ามาพร้อมกับประทีป
“เดี๋ยวก่อนเดือน”
เดือนหยุดและมองหน้าโรจน์
“คุณโรจน์มีธุระอะไรกับเดือนคะ คุณนภาเขาเหมือนจะเมา”
“ปล่อยเขา วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอ เต้นผิดๆ ถูกๆ มั่วไปหมดหา”
“นั่นสิ พาคนอื่นงงไปด้วย นี่ดีนะที่คนดู ไม่ได้โวยวายอะไร”
เดือนมองไปทางอื่นก่อนจะพูดอย่างไม่เต็มใจ
“เดือนก็เต้นเหมือนอย่างทุกทีนั่นล่ะค่ะ”
“เหมือนอย่างทุกทีงั้นเหรอ...หึ”
“ก็บอกแล้ว อย่าให้ท้ายกันมากนัก แล้วเป็นยังไงล่ะ” ลิ้นจี่บอกพร้อมกับเดินเข้ามามองเดือนอย่างไม่พอใจ “อุตส่าห์ให้ยืนซะเด่น แล้วเป็นไงล่ะ”
ลิ้นจี่หันไปมองโรจน์ โรจน์ทำไม่สนใจลิ้นจี่ หันไปพูดกับเดือนต่อ
“ตั้งใจหน่อยนะเดือน ไม่งั้นชั้นคงให้เธอเต้นต่อไม่ได้หรอก”
“เดือนก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นแดนเซอร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เดือนอยากเป็นนักร้อง คุณโรจน์ต่างหากที่ไม่ยอมให้เดือนร้องเพลงซักที”
เดือนเดินสะบัดออกไป แก้วรีบเดินมาเสนอหน้า
“เอ่อ ถ้าเดือนเค้าไม่อยากเต้นแล้ว ก็ให้แก้วไปยืนแทนที่เดือนก็ได้นะคะ”
โรจน์และประทีปหันมามองแก้วก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไป ป้อมมองตามที่เดือนเดินออกไป สีหน้าวิตกกังวล

อีกด้านหนึ่งที่ห้องซ้อม วงดนตรีของเทพ รวิโชว์เป่าแซ็กโซโฟนพร้อมกับนักดนตรีคนอื่นๆ เมื่อจบเพลงเทพเดินปรบมือเข้ามาหารวิ
“เยี่ยม เยี่ยมเลยทีเดียว” รวิพยักหน้าขอบคุณและส่งยิ้มให้เทพ “นี่ถ้าไม่บอกก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะ ว่านายเคยเป็นพระเอกลิเกมาก่อน”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วนึกยังไงล่ะครับ คุณพระเอกลิเก อยู่ๆ ถึงอยากเปลี่ยนจากรำลิเกมาเล่นดนตรีแบบนี้”
รวิเอาแซ็กโซโฟนคล้องคอออกก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าพร้อมกับคุยกับเทพไปด้วย
“ฮะๆๆ ก็หลายเรื่องน่ะครับ เลยตัดสินใจ เลิกดีกว่า”
“แล้วไม่เสียดายเหรอ เล่นมาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ ลิเกน่ะ”
“ก็เสียดายอยู่ครับ ทำไงได้ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเจ้านี่” รวิยกเเซ็กโซโฟนให้ดู “ผมก็ชอบมันเหมือนกัน”
เทพยิ้มอย่างพอใจ
“ดี ถ้างั้นก็ วงดนตรีเทพ ฟ้าประทาน ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่”
เทพยื่นมือไปให้ รวิยิ้มรับก่อนจะยื่นมือมาจับมือกับเทพ

“ขอบคุณมากครับ”

ขณะที่เดือนเดินเหม่อท่าทีเหนื่อยหน่ายอยู่บนถนนกำลังจะกลับบ้าน นึกถึงสีหน้าแววตาหม่นหมอง อ่อนล้าของนภากาศตอนเดินจากเวทีไป ระหว่างนั้นเสียงมอเตอร์ไซค์ดังเข้ามา เดือนหันไปมองเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาดักหน้าเดือน เดือนตกใจชะงักถดตัวถอยหนี
 
รวิถอดหมวกกันน็อกออก ส่งยิ้มให้กับเดือน
“พี่รวิ โธ่เอ๊ย ทำตกใจหมด”
“ฮะๆๆๆ ขวัญอ่อนจัง”
“ก็แหม กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นี่ ว่าแต่ไปไหนมาล่ะ แถมเอาแซ็กมาด้วย จะไปเป่าให้สาวที่ไหนกันนะ”
“จะไปเป่าให้สาวที่ไหนฟัง นอกจากเดือน”
เดือนหัวเราะ ทำท่าคลื่นไส้
“แหวะ เสี่ยวมากพี่ นี่ดีนะยังไม่ได้กินข้าว ไม่งั้นมีหวัง...”
“ฮะๆๆๆ แหม นานๆ ที เสี่ยวบ้างไรบ้าง” เดือนหัวเราะรวิและส่ายหน้าอย่างหมั่นไส้นิดๆ “ว่าแต่ ตะกี๊เดือนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวใช่มั๊ย งั้นพอดีเลย ยังไม่ได้กินเหมือนกัน ไปกินด้วยกันนะ”
เดือนแกล้งทำท่าลังเลเล็กน้อย
“เอ...เอาไงดีน้า” รวิทำตาปริบๆ อ้อนเดือน “อ่ะ ไปก็ไป”
รวิยิ้มหน้าบาน
“ฮะๆๆๆ งั้นเรียนเชิญซุปตาขึ้นรถเลยครับ”
รวิทำท่าผายมือแล้ววิ่งไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อน รวิหยิบหมวกกันน็อกอีกใบสวมให้เดือน เดือนสบตากับรวิ แล้วทำหน้าอายๆ แกล้งหลบสายตา รวิขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปโดยมีเดือนซ้อนท้าย

รวิและเดือนนั่งกินอยู่ที่ร้านข้าวต้ม รวิใช้ตะเกียบคีบอาหารในจานไม่ถนัด ทำหล่นอยู่บ่อยๆ เดือนยิ้มและส่ายหน้าก่อนจะใช้ตะเกียบคีบใส่ในจานให้รวิ
“ขอบใจจ้ะ แต่ใช้ตะเกียบไม่ค่อยเก่งอ่ะ”
“จ้า พ่อพระเอกลิเก เชื่อจ้าว่าใช้ตะเกียบไม่เก่ง ต้องเป็นเรื่องดาบใช่มั๊ย ถึงจะใช้คล่อง” รวิหัวเราะร่าเริงอย่างสนุกสนาน “ฮึ แต่จะว่าไป จริงๆ น่าจะใช้ตะเกียบคล่องนะ”
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงคิดว่าจะต้องใช้ตะเกียบคล่องด้วยล่ะ”
“หึ ก็เห็นมีสาวงิ้วสุดสวยคอยเอาอาหารมาให้บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ”
“โธ่ เดือนอ่ะ ทำลายบรรยากาศหมด ก็บอกแล้วไง แค่เพื่อนกัน”
“ไม่รู้สิ”
เดือนยักไหล่ทำมองไปที่อื่น รวิยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ทำหน้าทะเล้นใส่เดือน
“หึงใช่ป่ะเนี่ย”
เดือนทำท่าเลิ่กลั่ก หน้าแดง
“บ้า ใครจะหึง ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
“จริงอ่ะ”
“พูดมากน่ะรวิ กินๆ เข้าไปเลย” เดือนคีบกับข้าวให้รวิเยอะๆ แก้เขิน
“ฮะๆๆ พอๆ เดี๋ยวจุกตายพอดี”
เดือนกินข้าวไปพลางมองรวิไปพลาง สายตาเหลือบไปมองแซ็กโซโฟนที่วางอยู่ข้างๆ
“เออ ยังไม่ได้บอกชั้นเลย ว่าเอามาทำไมเนี่ย” เดือนชี้เเซ็กโซโฟน
“อ๋อ ว่าจะเล่าให้เดือนฟังอยู่ วันนี้ไปสมัครเป็นนักดนตรีของวงเทพ ฟ้าประทานมาน่ะ เค้ารับด้วยนะ เป็นไงๆ เก่งป่าว”
“จริงเหรอ อ้าวแล้วลิเกล่ะ ถ้าเธอไปเล่นดนตรีแล้วคณะลิเกล่ะ”
รวิถอนหายใจ ก้มหน้าก้มตาไม่มองหน้าเดือน
“ยุบคณะแล้วล่ะ”
“อะไรนะ ยุบคณะลิเก ทำไมล่ะ ยุบทำไม อยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กนะ”
“ทำไงได้ล่ะ คนดูไม่มีนี่ ฝืนต่อไปก็คงอดตายกันพอดี” เดือนนั่งนิ่งมองหน้ารวิอย่างสงสัย รวิยังคงก้มหน้าก้มตากินไปด้วยคุยไปด้วย “คนดูเค้าแห่ไปดูอย่างอื่นกันหมดแล้ว ยิ่งตอนนี้ศิริพรเค้าลงทุนทั้งแสงสีเสียง แถมไปจ้างพวกกายกรรมมาอีก คนก็แห่ไปดูทางโน้นหมด”
“นี่เป็นเพราะชั้นใช่มั๊ย” รวิรู้สึกตัวเงยหน้ามองเดือน “เป็นเพราะชั้นทำให้เค้าไม่พอใจใช่มั๊ย เค้าเลยพาลมาแกล้งพี่ด้วย”
“ไม่เกี่ยวกับเดือนหรอกน่า”
เดือนวางตะเกียบลงหน้าตาเคร่งเครียด
“ชั้นนี่มีแต่สร้างเรื่องสร้างปัญหาให้พี่รวิตลอด” รวิวางช้อนลงก่อนจะหยิบตะเกียบข้างหนึ่ง ตีหัวเดือนเบาๆ “โอ๊ย เจ็บนะพี่”
“เจ็บสิดี จะได้เลิกติงต๊อง คิดมากซะที บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเดือนก็ไม่เชื่อ”
“ก็”
“ไม่ต้องก็อะไรทั้งนั้น การที่พี่ตัดสินใจยุบคณะ เพราะพี่ก็คิดเรื่องอื่นไว้ด้วย”
เดือนทำหน้าสงสัย
“คิดเรื่องอื่น? หมายถึง”
“เอาไว้ถึงเวลาและจะบอกเอง แต่ตอนนี้...” รวิใช้มือกำตะเกียบทั้งสองข้างก่อนจะพยายามหนีบกับข้าวให้เดือนหลายๆ อย่าง “กินไปซะ”

เดือนกับรวิพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข

วันรุ่งขึ้น เตี้ยกับบ่างถีบประตูเข้ามาภายในห้องออฟฟิศโรจน์ โรจน์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานสะดุ้งเฮือก ยืนขึ้นทำหน้างงๆ พิมุกเดินตามเข้ามาตรงไปนั่งไขว่ห้างที่โซฟาพร้อมกับออกคำสั่ง

“เฮ้ย! จัดการให้เรียบร้อยให้หมด ทุกซอกทุกมุม อย่าให้เหลือ”
“รับแซ่บครับลูกพี่”
เตี้ยกับบ่างต่างรีบเข้าไปเก็บกวาดตามซอกตามมุมต่างๆ จัดโต๊ะเก็บเอกสาร และตรงมาที่โซฟาที่พิมุกนั่ง
“เอ่อ เดี๋ยวพี่ช่วยลุกก่อนนะ ชั้นจะเขยิบโซฟาน่ะ”
“ใช่ๆ มันจะได้กวาดง่ายหน่อย ไม่ไหว รกจริงๆ”
“เออ ดีๆ พวกขี้ฝุ่นตามใต้โต๊ะก็อย่าลืมกวาดด้วย ถุย ไอ้บ้า จั๊ดง่าวจริงๆ ชั้นหมายถึงให้พวกแกจัดการถล่มห้องมันซะ ไม่ใช่แบบนี้โว้ย ไอ้พวกโง่”
“อ้าว แล้วลูกพี่ก็ไม่บอก ไอ้บ่าง ลุยโว้ย”
เตี้ยกับบ่างต่างเข้าไปพังข้าวของ รื้อกองเอกสารจนกระจัดกระจาย
“เดี๋ยวๆๆ นี่ นี่มันอะไรกันคุณพิมุก ทำไมมาทำกันแบบนี้ล่ะ”
พิมุกหันมามองหน้าโรจน์ จ้องอย่างโมโห
“ทำไมน่ะเหรอ ข้อหาไม่พอใจเว้ย มีอะไรมั๊ย”
“ไม่พอใจเรื่องอะไรอีกล่ะ ดอกเบี้ยชั้นก็ส่งตรงเวลาแล้วนี่ ครบทุกบาททุกสตางค์ด้วย”
“หึ มันไม่ใช่เรื่องนั้นเว้ย”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วมันเรื่องไหนอีก โธ่ๆๆ พอแล้ว”
โรจน์หันไปมองเตี้ยกับบ่างที่กำลังพังข้าวของอยู่ สลับกับหันมามองพิมุก พิมุกลุกขึ้นยืนเดินตรงไปหาโรจน์ พร้อมกับชี้หน้า
“น้องเดือนไง ชั้นให้แกส่งน้องเดือนไปให้ ทำไมแกไม่ทำตาม หา”
“โธ่ แรกๆ ชั้นก็จัดการให้แล้วไง แต่คุณพิมุกทำอะไรไม่ได้เอง ชะอุ๋ย”
พิมุกมีสีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อโรจน์ขึ้น
“อะไรนะ นี่แกว่าชั้นเหรอ”
“ปะๆ เปล่าจ้ะ ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแล้วหมายความว่ายังไงล่ะ ไอ้เตี้ยไอ้บ่าง ไหนแกลองบอกชั้นสิ ว่าไอ้แก่นี่มันหมายความว่าอะไร”
“อ๋อ มันหมายความว่า พี่น่ะงี่เง่าไม่มีน้ำยา”
“ใช่ๆ และก็ยังบอกอีกว่าพี่น่ะ โคตรโง่เลย ผู้หญิงคนเดียวไม่มีปัญญาจัดการ”
พิมุกโกรธจัด ขบเคี่ยวเคี้ยวฟัน
“ป่าวน้า คุณพิมุก ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ คือ”
“ไอ้เตี้ย ไอ้บ่าง จัดการ...ล็อก”
“ครับ”
เตี้ยกับบ่างวิ่งไปที่ประตู จัดแจงปิดประตูกดลูกบิด
“เรียบร้อยแล้วครับพี่”
“เสียดายมีแต่ลูกบิด ไม่มีกลอน”
“นั่นสิ ถ้ามีกลอนคงแน่นหนากว่านี้ ถุย ไอ้พวกโง่ พวกแกจะเอาฮาไปถึงไหน หา! ล็อกมันนี่ ล็อกตัวไอ้แก่นี่ โธ่เร็วๆ”
เตี้ยกับบ่างเดินเถียงกันมาล็อกตัวโรจน์เอาไว้ พิมุกย่างสามขุมเข้าไปหา

ศิริพรเดินเข้ามาที่วิกลิเกของรวิแต่ฉากบนเวทีโดนรื้ออกหมดแล้ว ข้าวของถูกเก็บหมด ศิริพรมองรอบๆ อย่างสงสัย เด็กในคณะลิเกคนหนึ่งสะพายกระเป๋าเดินออกมา ศิริพรเห็นเข้าจึงเรียกไว้
“เอ่อ นี่ๆ ทำไม ที่นี่เป็นแบบนี้ล่ะ จะทำเวทีใหม่กันเหรอ”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พอดีคณะเรายุบแล้วน่ะครับ”
“อะไรนะ ยุบแล้วเหรอ ทำไมล่ะ”
“พี่รวิเค้าตัดสินใจยุบครับ คนดูไม่ค่อยมี นี่พี่เค้าก็ให้เงินพวกผมแล้วก็แยกย้ายกันไปครับ”
“แล้ว รวิอยู่มั๊ยตอนนี้”
“พี่รวิออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วครับ เห็นว่าจะไปซ้อมดนตรี”
เด็กคณะลิเกพูดจบก็เดินออกไป ศิริพรทำหน้าสงสัย
“ซ้อมดนตรีเหรอ” ศิริพรหันไปมองรอบๆ วิกลิเกที่โดนรื้อแล้วบ่นกับตัวเอง “เธอผิดเองนะ รวิ”

ที่ออฟฟิศวงดนตรีของโรจน์ โรจน์หน้าตายับเยินจากการโดนพิมุกซ้อม
“ยะ อย่า พอเหอะ ชั้นไหว้ล่ะนะจ๊ะ คุณพิมุกอย่าทำอะไรชั้นอีกเลย” พิมุกเดินหน้าถมึงทึง หักนิ้วดังกรอบๆ เดินเข้ามาอีก “โธ่ๆๆ คุณพิมุกอย่าทำอะไรชั้นเลย ชะ ชะ ชั้น สัญญานะ เดี๋ยวชั้นจะรีบหาทางส่งนังเดือน เอ๊ย น้องเดือนไปให้คุณพิมุกให้ได้เลย ยะ อย่า อย่า”
พิมุกง้างหมัดขึ้นเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าโรจน์ โรจน์อ้าปากร้องสุดเสียง พิมุกหยุดหมัดไว้ตรงเกือบจะติดกับหน้าของโรจน์
“เหอะ ชั้นให้เวลาแก 3 วันนะ แกต้องหาทางส่งน้องเดือนมาให้ชั้นให้ได้ เข้าใจมั๊ย” โรจน์เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น พิมุกมองอย่างเหยียดๆ ก่อนจะหันหลังกลับ “ไป ไอ้เตี้ย ไอ้บ่าง กลับ”
ทั้งสามคนหันหลังกลับเดินออกไป เตี้ยรีบไปเปิดประตูให้พิมุกเป็นจังหวะเดียวกับที่ประทีปเดินเข้ามาจึงรีบเบี่ยงตัวหลบให้
“ชะอุ๋ย คะ คุณพิมุก”
พิมุกหันมามองหน้าประทีป ทำท่าปาดคอก่อนจะเดินออกไป เตี้ยกับบ่างทำท่าเดียวกับพิมุก ก่อนจะเดินตามออกไป ประทีปหันไปเห็นสภาพห้องและโรจน์ที่นั่งกองอยู่ก็ตกใจรีบเดินเข้ามา
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
โรจน์มองหน้าประทีปและมองออกไปที่ประตูตาวาววับ

“ไอ้พิมุก นังเดือน”

ด้านศิริพรซื้อยาอยู่ในร้านกับคนขายซึ่งกำลังอธิบาย

“อันนี้กินหลังอาหารนะ ถ้ามีอาการปวด แต่ถ้าไม่ปวดก็ไม่ต้องกิน”
“ขอบใจจ้ะ เอ่อ แล้วมียาทาคลายกล้ามเนื้อมั่งมั้ย”
“มีหลายยี่ห้อ อยู่ด้านใน เลือกเอานะ”
ศิริพรเดินเข้าไปเลือกด้านใน แก้วเดินเข้ามาภายในร้าน อ้อมแอ้ม พูดกับคนขาย
“ซื้อที่ตรวจท้องอันนึงสิ”
ศิริพรได้ยินเสียงแก้วก็จำได้ แต่แก้วไม่เห็นศิริพรเพราะชั้นยาบังอยู่ คนขายหยิบกล่องส่งให้แก้ว
“ตรวจตอนเช้านะ จะได้ผลชัดเจนมากที่สุด”
“รู้ ซื้อไปฝากเพื่อน ไม่ได้ตรวจเองหรอก”
แก้วจ่ายตังค์แล้วก็เดินออกไป ศิริพรพึมพำอย่างรู้ทัน
“ซื้อไปฝากเพื่อนเหรอ หึ”

ห้องซ้อมวงดนตรีของเทพ วงดนตรีกำลังซ้อมอยู่โดยมีรวิรวมอยู่ในนักดนตรีด้วย เทพนั่งไขว่ห้างมองการซ้อมอย่างพอใจ วงดนตรีบรรเลงจบลง เทพปรบมือ เอ่ยปากชม
“เยี่ยม เยี่ยมเลยทุกคน แบบนี้รับรองลูกค้าติดใจแน่”
ก้องเสียบไมค์เข้าที่ เดินมานั่งข้างๆ เทพ
“วงของเราถึงจะเป็นวงเล็กๆ แต่ลูกค้าก็ชอบนะ เสียดายนักร้องหญิงแต่ละคนอยู่ไม่ยืดเลย เนี่ย อย่างน้องเจน ก็ออกไปแต่งงานซะละ มาไม่ทันไรเลย”
“ฮ่าๆๆ สงสัยจะมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้”
ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน รวิได้ยินเรื่องขาดนักร้องหญิงก็สนใจเดินมาร่วมคุยด้วย
“อยากได้นักร้องหญิงคุณภาพซักคนมั๊ยล่ะครับ”
เทพหันมามองหน้ารวิอย่างสงสัย
“รวิรู้จักเหรอ คุณภาพจริงหรือเปล่า วงของเราถึงจะเป็นวงเล็กๆ แต่เรื่องฝีมือนี่ต้องมาก่อนเลยนะ”
“ถ้าเรื่องคุณภาพและฝีมือนี่คอนเฟิร์มเลยครับ ตัวจริงเสียงจริงเลย”
“ว้าว ขนาดนั้นเลย ชักอยากเห็นแล้วสิ”
“ว่าแต่ เป็นคนพิเศษของนายด้วยหรือเปล่าล่ะ”
ก้องถาม รวิทำหน้ายิ้มๆ ไม่พูดอะไร

แก้วเดินเข้ามาในบ้านไม่ทันเห็นกิม กิมเรียกไว้ แก้วสะดุ้ง
“แก้ว”
“เอ้า แม่ ไม่ไปขายของเหรอ”
“เป็นอะไรสะดุ้ง มีอะไรรึเปล่า”
“เปล๊า ทำไม ชั้นจะต้องมีอะไรด้วย” แก้วบอกแต่สีหน้ามีพิรุธ
“แปลกคน แล้ววันนี้ทำไมไม่ไปซ้อมเต้นอะไรเหรอ”
“หึ เบื่อๆ แม่ทำไมอยู่บ้าน”
“ข้ากลับมาเอาของกะลังจะไปตลาด ถ้าเอ็งไม่มีอะไร ก็ไปช่วยขายของหน่อย”
“เอาเหอะ แม่ เหนื่อยไปก่อน อีกหน่อยเราก็จะสบายกันแล้ว”
“สบายยังไง”
“เอาน่า ชั้นไม่ทิ้งแม่หรอก”
“เออ เอ็งพูดงี้แม่ก็ชื่นใจ อย่าไปทำตัวเหมือนลูกนังช้อยมันล่ะ อีนังเดือนน่ะ แม่ว่าอีกหน่อย คงไม่แคล้วท้องไม่มีพ่อ เหอะๆๆ อยากดูน้ำหน้านังช้อยมันนัก”
แก้วกลืนน้ำลาย
“เออๆๆ แม่ไปเหอะ”
กิมเดินออกไป แก้วมองตามแล้วหันมามองกล่องตรวจท้องในมือ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

แก้วมองแท่งตรวจในมือแบบสองจิตสองใจ หยิบแท่งตรวจออกมา
“เอาน่า ถึงจะท้องก่อนแต่ง แต่ถ้าได้พ่อรวยๆ มันก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ”
แก้วหยิบแท่งตรวจออกมาแล้วก็ลงนั่ง แก้วนั่งรอ กระดิกเข่า ดูนาฬิกาข้อมืออย่างลุ้นๆ ว่าผลจะออกมาอย่างไร

ในตลาดที่แผงของช้อย เดือนกับช้อยนั่งอยู่ที่แผง ช้อยนั่งปัดแมลงคอยลูกค้า เดือนนั่งเหม่อลอยหน้าตาไม่มีความสุข
“โอ๊ย อากาศมันร้อนจริงๆๆ คอแห้งจะเป็นผงอยู่แล้วเนี่ย เดือนเอ๊ย เอ็งไปซื้อโอเลี้ยงให้แม่หน่อยไป แม่หิวน้ำคอจะแห้งตายอยู่แล้ว”
“จ้ะแม่”
เดือนค่อยๆ ลุกขึ้น สีหน้ายังดูไม่มีความสุขอยู่เดินผ่านช้อยไป ช้อยมองตามเดือนไป ส่ายหน้า สีหน้าแสดงความอ่อนใจและเป็นห่วง

แก้วเดินวนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เธอดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็เดินไปหยิบแท่งตรวจฉี่มาเอามือปิดยืนลุ้น
“ช่วยให้แม่สบายไปทั้งชาติทีนะลูกนะ มามะ มามะ มามะลูก” แก้วลุ้นๆ ค่อยๆ เปิดนิ้วออก แล้วก็หงุดหงิดใจ เขวี้ยงแท่งตรวจทิ้ง “ไม่ท้อง เป็นไปได้ยังไง เจาะตั้งหลายรูจนพรุน ทำไมไม่ท้องนะ คอยดูชั้นไม่ยอมแพ้หรอก หึ”

ที่ค่ายมวยพิมุก พิมุกฮัดเช้ยขณะปาลูกดอก
“สงสัยจะมีใครบ่นถึง”
“โอ้โฮ พลาดได้ไงเนี่ยลูกพี่”
พิมุกพยายามปาลูกดอกอีก
“เออว่ะ ปกติข้าแม่นกว่านี้นะ”
“เอาน่าพี่ ลองใหม่”
“เออๆ มันต้องเข้าเป้าซักทีแหละน่า”
พิมุกปาลูกดอกสามดอก แต่มันก็ไม่เข้าเป้าอีกไปโดนปักคาอกของเตี้ยทั้งสามดอกที่ยืนเชียร์อยู่ ข้างๆ เป้าลูกดอก เตี้ยร้องเจี๊ยกเป็นลิงเลย
“ไม่แม่นเลยเนอะ”

“กลางอกสามดอก ไม่แม่นอีกเหรอ ฮือๆๆ”

อ่านต่อหน้า 3

หางเครื่อง ตอนที่ 5 (ต่อ)

เดือนเดินมาหยุดยืนที่ร้านกาแฟสั่งกับอาแปะคนขาย

“แปะ เอาโอเลี้ยงถุงหนึ่งจ้ะ”
เดือนได้ยินเสียงดนตรีจากทีวีจึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทีวี ในทีวีนักร้องหญิงคนหนึ่งกำลังร้องเพลงอย่างไพเราะ คนดูมากมายต่างตบมือส่งเสียงดัง
“เดือน อาเดือน อาเดือน” เดือนสะดุ้งขึ้นหันไปมองอาแปะ อาแปะส่งถุงโอเลี้ยงให้เดือน “ลื้อมองอาไรของลื้อวะ อาเดือน”
“เปล่า เปล่าจ้ะ อ่ะนี่เงิน”
เดือนรีบส่งเงินให้อาแปะ ก่อนจะรีบเดินไป ภาพในทีวีที่นักร้องหญิงคนนั้นกำลังร้องเพลงอยู่ เดือนหันมาเกือบชนกับนภากาศ
“พี่นภา”
“ถ้าคิดว่าชั้นกำลังตกต่ำเธอคิดผิดนะ”
“หนูไม่ได้คิดอะไรเลย”
“ก่อนที่ชั้นจะอยู่ตรงที่เธอเห็น ชั้นผ่านอะไรมามากกว่าเธอเยอะ”
“ค่ะ คนทุกคนมีวันของตัวเองทั้งนั้น” นภากาศชะงัก
“วันนี้ก็ยังเป็นวันของชั้นอยู่”
“วันของคนเราคู่กันไปก็ได้นี่คะ”
เดือนนิ่งมองนภากาศ แววตายืนยันอย่างที่เธอพูด นภากาศส่ายหน้า ตบบ่าเดือนเเรงๆ คล้ายผลัก แต่คราวนี้เดือนแข็งขืนสู้ ไม่มีเซ นภากาศอึ้ง เดือนยืนนิ่งมองสบตานภากาศ
“เอ็นดูหนูเถอะค่ะ”
นภากาศหัวเราะหยัน ไม่รู้ว่าสมเพชตัวเองหรือสมเพชเดือนกันแน่ นภากาศจ้องมองเดือนแบบไม่อยากยอมอ่อนข้อให้เหมือนกัน

ช้อยกับเดือนช่วยกันเก็บข้าวของที่เหลือจากการขายเข้ามาในบ้าน ช้อยถือกระจาดเตรียมเดินขึ้นบนบ้านเดือนเตรียมจะขึ้นตามไป เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น ช้อยกับเดือนหันไปมอง รวิขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในบ้านของเดือน รวิลงจากรถแล้วยกมือไหว้ช้อย ช้อยพยักหน้ารับแล้วหันมามองเดือน ก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินขึ้นบ้าน
“งั้นแม่ขึ้นบ้านก่อนแล้วกัน”
เดือนเดินมานั่งคุยกับรวิที่แคร่หน้าบ้าน รวิจ้องหน้าเดือนยิ้มแย้มผิดปกติ
“อะไรน่ะพี่รวิ ทำหน้าทำตาแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
“ก็นิดหน่อยน่ะ อยากรู้มั๊ยล่ะ”
เดือนยิ้มอย่างสงสัย
“ฮึ มีอะไรกันแน่ ทำเป็นลึกลับไปได้ จะบอกก็บอกไม่บอกก็ไม่ต้องบอก”
รวิแกล้งทำหน้าเศร้า
“ว้า พูดอย่างนี้เสียใจเลย คนเค้าอุตส่าห์เอาข่าวดีมาบอก เชอะ งอนละ”
รวิแกล้งทำสะบัดหน้าทำเป็นงอน เดือนเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แกล้งยื่นหน้าเข้าไปง้อ
“โอ๋ๆๆ เค้าล้อเล่นนะตัวเอง ไหนๆ มีอะไรเล่ามา”
“ชิ งอน ไม่เล่าละ”
เดือนเขยิบหน้าเข้าไปใกล้อีก
“น่านะ นะ นะ พี่รวิสุดหล่อเล่าให้เดือนฟังหน่อยนะ”
“เชอะ ก็ได้”
รวิหันกลับมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เดือนยังยื่นหน้าไปใกล้อยู่ ทำให้รวิหันจมูกชนแก้มของเดือนพอดี ทั้งคู่จ้องตากันพอรู้สึกตัวก็เขินหน้าแดงหันหน้าหนีกัน นิ่งกันไปพักหนึ่ง
“เอ่อ ขอโทษนะเดือน พี่ พี่ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”
“อือ อืม ไม่เป็นไรหรอก ชั้นก็ไม่ทันระวังเอง”
ทั้งคู่นิ่งกันไปพักหนึ่งก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม
“เอ่อ พี่นี่ซุ่มซามจริงๆ”
“ช่างเถอะ ถือซะว่าเป็น เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นละกัน” เดือนเขินไม่มองหน้า “ว่าแต่รวิยังไม่บอกชั้นเลยว่าข่าวดีที่ว่าคืออะไร”

ส่วนที่ออฟฟิศของโรจน์ โรจน์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ประทีปนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“ตกลงนายจะทำยังไง”
“เฮ้อ ก็คงต้องหาทางส่งเดือนมันไปหาไอ้พิมุกให้ได้น่ะ”
“แล้วนายจะทำยังไง เดือนมันคงไม่ยอมไปแล้วแน่ๆ ก็รู้แล้วนี่ ถ้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“พูดก็พูดเหอะนะ ไอ้พิมุกมันก็โง่เองที่ไม่มีปัญญาจัดการกะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว ปล่อยให้หลุดมือไปได้ตั้งสองครั้ง สามครั้ง”
“หึ ดวงมันจะไม่ได้ของดีไง”
“แต่ตอนนี้ยังไงๆ เราก็ต้องหาทางส่งเดือนไปให้มันก่อนล่ะ ไม่งั้นเราอาจซวยได้”
ประทีปถอนหายใจลุกขึ้นยืน มือล้วงกระเป๋าเดิน หันหลังให้โรจน์
“ก็ชั้นบอกนายแล้วไง ว่าถ้ายอมให้เดือนมันเป็นนักร้องตั้งแต่ทีแรก อาจจะทำให้วงเราไม่ต้องไปยอมไอ้พิมุกมันก็ได้ เฮ้อ ที่สำคัญ ตอนนี้ถ้าเดือนมันตัดสินใจอะไรบางอย่างละก็ เราอาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิดนะ”
“นายหมายความว่าไง”
“ชั้นสังหรณ์ใจบางอย่าง ว่าเดือนมันคงทนอยู่กับพวกเราอีกไม่นานแน่ ถ้างั้นจะทำอะไรก็ต้องรีบๆ ทำเข้าแล้วล่ะตอนนี้”

ที่บ้านเดือน เดือนกับรวิยังนั่งคุยกันอยู่
“ใช่ พอดีที่วงของเทพ ตอนนี้เค้าขาดนักร้องหญิงอยู่น่ะ ชั้นก็เลยบอกเค้าไปว่า รู้จักนักร้องเจ๋งๆ อยู่คนหนึ่ง ถ้าไงเดือนจะลองไปดูมั๊ยล่ะ”
เดือนแสดงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“จริงหรือเปล่าพี่ จริงๆ นะ”
“อือ ก็จริงสิ แล้วเดือนจะเอาไง”
“ไปสิ ไปแน่ๆ ชั้นจะได้เป็นนักร้องซะที”
“ฮะๆๆ ถ้างั้นพรุ่งนี้ สายๆ พี่มารับนะ”
“อือ ได้ๆ ขอบใจมากนะพี่รวิ”

เดือนเอื้อมมือไปจับมือของรวิอย่างดีใจ

ที่ตลาดเวลานั้น แก้วกำลังยกเข่งของอยู่ในตลาดอย่างเซ็งๆ ศิริพรเดินผ่านมาเข้ามาหยุดยืนมอง

“มองอะไร”
“กำลังท้องกำลังไส้ ไม่ควรยกของหนักนะ”
แก้วตกใจกลัวคนอื่นได้ยิน
“พูดอะไรน่ะ”
“สรุปว่าติดหรือไม่ติด เด็กในท้องน่ะ”
“ไม่รู้เรื่อง ใคร เด็กที่ไหน ติดอะไร ไม่ติด” แก้วแกล้งเฉไฉ
“คิดจะจับผู้ชายด้วยวิธีปล่อยให้ท้องน่ะ โง่มากนะ”
“ยุ่งอะไรด้วย”
“พูดจากันดีๆ หน่อย อย่าลืมสิ เรามีศตรูคนเดียวกันอยู่นะ”
ศิริพรมองไปทางแผงของเดือน เดือนกำลังช่วยช้อยขายของทอนเงินให้ลูกค้าอยู่
“มีอะไรดีๆ มานำเสนอรึเปล่าล่ะ”
“จวนแล้ว คอยฟังข่าวแล้วกัน”
“พิลี้พิไรจริงเลย”
“อย่าเพิ่งรีบท้อง ตั้งท้องมันเป็นเรื่องของคนแพ้ ถ้าจะมีใครท้องควรเป็นนังเดือนนะ”
ศิริพรเดินจากไป แก้วมองไปทางเดือนที ทางศิริพรที
“ฉันควรจะกลัวใครมากกว่ากันวะ สองคนเนี๊ยะ”

เช้าวันรุ่งขึ้น รวิขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีเดือนซ้อนอยู่ด้านหลัง คอยยื่นหน้ามาพูดคุยหัวเราะกับรวิอย่างสนุกสนาน
รวิจอดซื้อของกินข้างทางใกล้ๆ ตลาด แก้วกำลังเดินซื้อของอยู่หันมาเห็นทั้งคู่จึงแกล้งหันหลังหลบ แต่สายตาคอยชำเลือง พอทั้งคู่ขี่ออกไปจึงรีบหันกลับมาหันชะเง้อมอง แก้วมองซ้ายมองขวาเห็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งผ่านมาจึงรีบโบกและขึ้นซ้อน ชี้ไม้ชี้มือให้ขับตามรวิไป รวิยังคงขี่มอเตอร์ไซค์พูดคุยกับเดือนอย่างสนุกสนานโดยไม่รู้ว่าแก้วตามมา
รวิจอดมอเตอร์ไซค์ด้านหน้าวงดนตรีของเทพ แก้วรีบบอกให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดหลบๆ ก่อนที่จะถึงเล็กน้อย เดือนกับรวิเดินยิ้มเข้าไปด้านใน แก้วจะวิ่งตามมาดูแต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างดึงไว้ก่อนเพราะยังไม่ได้จ่ายเงิน
แก้วทำหน้าไม่พอใจก่อนจะควักเงินจ่ายแล้วรีบเดินตามไป แก้วเดินไปแอบตรงพุ่มไม้ข้างทาง พอเห็นทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในจึงเดินออกมามองที่ป้ายวงดนตรี “เทพ ฟ้าประทาน”

แก้วเดินร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีลอยหน้าลอยตาเข้ามาในบ้าน นั่งไขว้ห้างหยิบกระจกขึ้นมาส่อง กิมเดินเข้ามาในบ้าน นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พร้อมกับหยิบพัดขึ้นมาโบก
“แหม อารมณ์ดีจังนะนังแก้ว ร้องเพลงดังไปสามบ้านแปดบ้านได้ยินกันหมด”
แก้วหันมามองหน้ากิม แล้วหันไปส่องกระจกต่อ
“ก็คนมันอารมณ์ดีจริงๆ นี่แม่ก็ ว่าแต่แม่เหอะ วันนี้ไม่ไปขายของหรือไง ถึงมานั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ แบบนี้ แล้วเงินทองมันจะมีใช้มั๊ยเนี่ย”
“หนอย...นังลูกเวรนี่ วันนี้มันวันหวยออก ข้าหยุดโว้ย ไปขายทำไมให้มันเหนื่อย มานั่งรอลุ้นหวยดีว่า”
“ลุ้นมากี่งวดแล้วล่ะ แล้วก็หมดมากี่งวดแล้ว”
“เอ๊ะ นังนี่ปากเสีย เงินก็เงินชั้นนะโว้ย ไม่ใช่เงินแก หนอย...ทำงานไม่เคยให้แม่มึงซักบาท ชะ เดี๋ยวก็ด่าให้”
“พอ พอ เลยแม่ ไม่ต้องบ่นมาก รำคาญ เดี๋ยวอีกหน่อยชั้นก็จะมีเงินให้แม่ใช้อย่างสบายละ ตอนนี้ตัวขัดลาภก็หมดไปคนหนึ่งละที่เหลือค่อยลุยต่อ” กิมทำหน้าสงสัย
“อะไรของแกวะ ใครตัวขัดลาภ แล้วมันไปไหนยังไง”
“เฮ้อ แม่นี่ไม่รู้ซักเรื่องได้ไหม แต่ก็เอาเหอะๆ จะบอกให้ก็ได้ นังเดือนไงแม่ นังเดือนมันไปจากวงแล้ว”
กิมตบเข่าดังฉาด
“จริงเหรอวะ แล้วแกรู้ได้ไงวะ”
แก้วหันมามองกิมอย่างเหนื่อยหน่ายชี้มือชี้ที่ลูกตาของตัวเอง
“นี่ไงแม่ ชั้นเห็นเต็ม 2 ลูกตาชั้นเลย นังเดือนกับไอ้พระเอกลิเกนั่นน่ะ มันไปเข้าวงดนตรีของเทพ ฟ้าประทานไปแล้ว หึ หึ ที่นี้ก็หมดตัวปัญหาซักที”
“เออๆ ดีๆ เว้ย แหม...แบบนี้มันต้องฉลองกันหน่อย ตัวขัดลาภหมดไปซักที”
“ใช่ ไม่มีมันอยู่ละ ทีนี้ล่ะ ชั้นจะได้เด่นกว่าใครเลย แล้วคุณพิมุกก็จะต้องมาสนใจชั้น”
“เออๆ ดีๆ แกจับให้ได้เลยคุณพิมุกน่ะ เงินทองออกจะเยอะแยะ ชั้นจะได้สบายไปด้วย”
แก้วเชิ่ดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง

เดือนยืนร้องเพลงอยู่ในห้องซ้อมวงดนตรีของเทพ สีหน้าเดือนอินไปกับเพลง รวิยืนเป่าเเซ๊กโซโฟนอยู่ข้างๆ หันมาสบตากันบ้าง เทพยืนมองเดือนร้องเพลงอย่างทึ่ง ก้อง ขจร ยืนมองเดือนด้วยความพอใจและสายตาเจ้าชู้ เดือนค่อยๆ ทอดเสียงร้องเพลงท่อนจบ ทุกคนที่ดูอยู่ปรบมือให้ เดือนยิ้มหน้าบานเทพหันไปพูดกับรวิ
“เชื่อนายแล้วรวิ ตัวจริงเสียงจริงมาเองเลย”
“ใช่อย่างที่บอกมั๊ยล่ะครับ นักร้องคุณภาพตัวจริง”
เทพหันไปพูดกับเดือน
“น้องเดือน สุดยอดเลยครับ มาอยู่วงเดียวกับเราเถอะนะครับ วงเราถึงไม่ใหญ่แต่ก็ใจดีนะครับ”
เดือนหัวเราะเบาๆ หันไปสบตากับรวิก่อนจะหันมาพูดกับเทพ
“ค่ะ ถ้างั้นก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“ยินดีเลยครับ ทีนี้วงเราก็จะมีนักร้องหญิงซักที”
“เอ๊ะ แล้วที่ผ่านมาไม่มีนักร้องหญิงเลยเหรอคะ”
ขจรเดินข้ามาพูดแทรก
“มีน่ะมันมีหรอกครับ แต่เหมือนเป็นคำสาปมั้งครับ อยู่กันไม่ยืดซักคนเข้ามาแป๊บๆ ก็ออกไปแต่งงานกันหมด น้องเดือนคงยังไม่...มีแฟนใช่มั๊ยครับ”
เดือนทำหน้ายิ้มๆไม่พูดอะไร แต่แอบเหลือบตามองรวิที่มองมา
“จะมีหรือไม่มีมันไปเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ ขจร” ก้องเดินเข้ามา พร้อมกับจ้องหน้าเดือนส่งสายตาอย่างเจ้าชู้ “สวัสดีครับเดือน ก้องนะครับ”
ก้องยื่นมือไปจะจับมือกับเดือน เดือนยิ้มและพยักหน้ารับแต่ไม่ยื่นมือมาจับ
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“ฮ่าๆๆ เพล้ง เสียงอะไรแตกน้า”

ขจรยื่นหน้าเข้ามาหัวเราะเยาะก้อง

ก้องหน้าเสียเล็กน้อยดึงมือกลับ รวิเดินเข้ามายืนข้างๆ เดือนกันท่าไม่ให้ก้องกับขจรเข้ามาใกล้

“งั้นตกลงคุณเทพให้เดือนเริ่มงานกับเราได้เลยใช่มั๊ยครับ” เทพพยักหน้ารับ
“อือ มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวไงรวิช่วยแจ้งเวลาซ้อมแล้วก็เรื่องอื่นให้เดือนรู้ด้วยนะ ยังไงก็คนพิเศษอยู่แล้วนี่ คงคุยกันง่ายใช่มั๊ย” เทพแซวยิ้มๆ เดือนกับรวิหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มเขินๆ “โอเค งั้นเอาตามนี้ ยังไงก็พยายามกันเข้าล่ะ ทุกคนเลย ถ้ามีโอกาสเราอาจจะได้ไปงานใหญ่ๆ กันบ้างนะ”
เทพพูดจบก็เดินเลี่ยงไป รวิกับเดือนพากันไปนั่งคุยเรื่องงานที่โต๊ะ ก้องกับขจรมองตามด้วยความหมั่นไส้อิจฉา

โรจน์หันขวับกลับมามองหน้าเดือน
“อะไรนะ เธอจะลาออก หมายความว่ายังไงเดือน”
เดือนถอนหายใจแล้วพูดกับโรจน์
“ค่ะ ก็หมายความตามที่เดือนพูดนั่นล่ะค่ะ”
แก้วมองมาจากด้านหลัง ยิ้มอย่างสะใจ
“ทำไมเธอมีอะไรไม่พอใจหรือไงเดือน หรือเธออยากจะเรียกค่าตัวเพิ่ม”
“เดือนเคยบอกคุณโรจน์ไปแล้วนี่คะว่าเดือนไม่ได้อยากเป็นแดนเซอร์ เดือนอยากเป็นนักร้อง ก็ในเมื่อคุณโรจน์ไม่ให้เดือนเป็น เดือนก็ขอออกไปทำในสิ่งที่เดือนชอบดีกว่า”
ประทีปเดินเข้ามาใกล้เดือนแล้วพูด
“ใจเย็นๆ ก่อนสิเดือน นี่ชั้นก็คุยกับโรจน์ไว้แล้วว่าจะลองให้เธอได้เป็นนักร้องดู”
เดือนชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ส่ายหน้าตัดสินใจปฏิเสธ
“อย่าดีกว่าค่ะ เดือนไม่อยากถูกหลอกอีก ทั้งจากพวกคุณเองแล้วก็คนที่อยู่เบื้องหลังพวกคุณด้วย”
โรจน์กับประทีปหันมามองหน้ากัน
“โอ๊ยย จะอะไรกันนักกันหนา คนมันอยากจะไปก็ให้มันไปสิ จะรั้งไว้ทำไม” ลิ้นจี้บอก โรจน์ไม่สนใจลิ้นจี่
“แล้วเธอจะออกไปทำอะไร ออกไปช่วยแม่เธอขายผักขายปลาที่ตลาดเหมือนเดิมน่ะเหรอ หึ อยากจะใช้ชีวิตแบบนั้นหรือไง”
เดือนหันมาจ้องหน้าโรจน์อย่างโกรธกำลังอ้าปากจะเถียง แต่แก้วเสนอหน้าเข้ามาซะก่อน
“แหม คุณโรจน์ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ เดือนน่ะเค้ามีวงใหม่แล้ว เอ๊ะ ชื่อวงอะไรน้า” แก้วแกล้งทำเป็นคิด “เทพ เทพ ฟ้าประทาน อะไรนี่ล่ะค่ะ” เดือนหันมาจ้องหน้าแก้วอย่างโกรธปนสงสัย “อุ๊ย ขอโทษนะเดือน พอดีวันนั้นบังเอิญชั้นเห็นเธอกับพ่อพระเอกลิเกเข้าน่ะ แต่บังเอิญจริงๆ นะ ไม่ได้ตามไปเลยจริงจิ๊งงง”
“อย่างนี้นี่เอง” โรจน์จ้องหน้าเดือน
“อุ๊ย ขอตัวดีกว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี” แก้วแกล้งลอยหน้าลอยตาใส่เดือน ก่อนจะเดินกรีดกรายถอยไป ป้อมยืนอยู่ตรงแถวนั้นจึงแกล้งยืดขาออกมาขัดจนแก้วหงายหลัง แดนเซอร์ต่างพากันหัวเราะ “ว๊าย หนอย อี...”
ป้อมกับขำต่างยืนจังก้าจ้องหน้าแก้ว จนแก้วต้องสะบัดหน้าเดินหนีไป ประทีปหันไปมองหน้ากันกับโรจน์
“เอาอย่างนี้ดีกว่านะเดือน เรื่องลาออกน่ะกลับไปคิดซะใหม่น่ะ ส่วนเรื่องที่จะให้เธอเป็นนักร้องน่ะ ชั้นรับรองเลย งานหน้าเธอจะได้ขึ้นร้องแน่ๆ”
เดือนส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่าค่ะคุณประทีป เดือนตัดสินใจแล้ว เดือนขอลาออกตั้งแต่วันนี้เลย”
เดือนสะพายกระเป๋ายกมือขึ้นไหว้โรจน์กับประทีป แล้วเดินผ่านทั้งคู่ออกไป
“เดือน เดี๋ยวก่อนเดือน เดือน”
ป้อมกับขำเดินตามเดือนออกไป ลิ้นจี่กับแก้วยืนยิ้มอย่างสะใจ ประทีปหันไปมองหน้าโรจน์อย่างขอความเห็น โรจน์ส่ายหน้าด้วยความโมโห

เดือนเดินสะพายกระเป๋ามาเรื่อยๆ ขำกับป้อมวิ่งตามหลังมา
“เดือน เดือนโว้ย รอก่อน” เดือนหันกลับมาพอเห็นเป็นขำกับป้อมจึงหยุดรอ “แกจะรีบไปไหนของแกวะ โอย เหนื่อย”
“ใช่ๆ พี่ป้อมแกยิ่งแก่ๆ อยู่ เกิดเป็นลมเป็นแล้งตายขึ้นมาจะว่าไง”
“ฮะๆๆ ไม่หรอกจ้า พี่ป้อมยังสาวยังสวยอยู่เลย”
ป้อมทำหน้าแปลกใจ
“ชะ วันนี้มาแปลกแฮะ นังเดือน มีชงมีชมชั้นด้วย”
“โอย เค้าก็พูดไปตามมารยาทงั้นล่ะพี่ป้อม”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ วันไหนไม่กัดข้าแกจะตายมั๊ยวะไอ้ขำ” เดือนยืนหัวเราะทั้งคู่ ป้อมหันมามอง “เออ ดูแกอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยนะเดือน หน้าไม่อมทุกข์เหมือนเมื่อก่อนละ”
“ก็ตอนนี้ชั้นได้ทำในสิ่งที่ชั้นรักแล้วนี่ ถึงจะยังไม่ดังอะไรก็เหอะ แต่มันก็มีความสุขนะ”
“ว่าแต่จะไปเริ่มกับวงโน้นเมื่อไหร่ล่ะ เผื่อชั้นจะแว่บไปช่วยเชียร์”
“วันมะรืนน่ะขำ จะว่าไปเดี๋ยวถ้าเค้ารับคนเพิ่มชั้นมาชวนขำกับพี่ป้อมไปอยู่ด้วยกันดีกว่า ดีมั๊ย”
“โอย ชั้นน่ะมันแก่แล้ว จะไปเริ่มวงใหม่คงไม่ไหว อยู่กวนประสาทพวกมันอย่างนี้ละและอีกอย่างนะ ชั้นอยู่ทางนี้จะได้รู้ด้วยว่าพวกมันจะทำอะไรแกอีกหรือเปล่า บอกตามตรงนะ ชั้นไม่ไว้ใจมันเลย ว่ามันจะปล่อยแกไปง่ายๆ น่ะ”
“ใช่ๆ ชั้นกับพี่ป้อมอยู่ทางนี้ มีอะไรจะได้ช่วยเตือนเดือนกับรวิก่อน”
เดือนมองหน้าป้อมกับขำด้วยความซาบซึ้ง เดือนยกมือไหว้ป้อม
“ขอบคุณมากจริงๆ นะพี่ป้อม ขำด้วย ตั้งแต่ที่ชั้นมาอยู่วงนี้ก็มีพี่ป้อมกับขำนี่ล่ะที่คอยช่วยมาตลอด จนชั้นไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี”
“เฮ้อ คิดมากน่ะเดือน แกเป็นคนดี คนดีก็ต้องได้รับอะไรดีๆ สิวะ”
“ใช่ๆ เหมือนที่เค้าพูดกันไง คนดี ผีคุ้ม” คำว่าผีขำหันไปทางป้อม
“เอ๊ะไอ้ขำ แล้วทำไมเอ็งต้องหันมาทางข้าวะ เวลาพูดว่าผี แหมเอ็งนี่มัน ขอเขกกะโหลกซักทีเถอะวะ”

เดือนมองป้อมกับขำแหย่กันแล้วหัวเราะออกมา

เสียงโทรศัพท์ดังลั่น พิมุกนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงควานหามือถืออย่างสะลึมสะลือจนเจอและหยิบขึ้นมา ข้างๆ มีผู้หญิงเปลือยท่อนบนนอนอยู่ พิมุกกดรับโทรศัพท์เสียงงัวเงียทั้งที่ตายังไม่ลืม

“ฮัลโหล ใครวะ โทรมาดึกดื่นป่านนี้ โรจน์ โรจน์ไหนวะ อ๋อ ว่าไง มีอะไร น้องเดือน น้องเดือนทำไม หา อยากกินปลากรอบ แกก็ไปซื้อให้สิวะ แค่ปลากรอบจะโทรมาบอกทำไม หา ไม่ใช่ ลาออก อืมๆ น้องเดือนลาออกไปอยู่วงเดียวกับรวิ อืมๆ แล้วไงๆ เหรอๆ แค่นี้นะ”
พิมุกกดวางสายนอนต่อ พิมุกค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นิ่งไปครู่และเหมือนนึกขึ้นได้ ตาเหลือกโพลง สะดุ้งลุกพรวดขึ้น
“น้องเดือนลาออก” ที่พิมุกรีบหยิบโทรศัพท์กดกลับไปหาโรจน์ “รับเร็วๆ สิเว้ย ฮัลโหล ตะกี๊แกว่าไงนะ หา! น้องเดือนลาออกจากวง แถมไปอยู่วงเดียวกับไอ้ลิเกนั่น โธ่โว้ย แล้วทำไมแกไม่รีบบอกชั้นเล่า ปัดโธ่! แค่นี้นะ”
พิมุกกดวางสายโยนโทรศัพท์อย่างโมโห ผู้หญิงที่นอนข้างๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นมาออดอ้อนพิมุก
“เสียงดังอะไรกันคะพี่ มามะ มานอนกับลอร่าต่อเถอะ”
พิมุกหันมาตวาดผู้หญิงอย่างแรง
“ไม่นงไม่นอนอะไรมันแล้วโว้ย แกรีบกลับบ้านแกไปเลยไป นังคำหล้าไป”
“ว้าย”
ผู้หญิงลุกขึ้นอย่างลนลาน คว้าเสื้อผ้ามาปิดตัวก่อนจะวิ่งออกไป พิมุกมีสีหน้าโกรธแค้น ชกลงที่เตียง
“โธ่เว้ย ไอ้รวิ แกอีกแล้ว สงสัยคราวนี้ต้องเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยมั้ง ถึงจะสะใจ” พิมุกหันไปหยิบโทรศัพท์ที่ทิ้งลงไปกับพื้นขึ้นมากดเบอร์แล้วโทรออก “ฮัลโหล เออ ชั้นเอง มีงานให้ช่วยจัดการหน่อย เออ พรุ่งนี้มาหาชั้นด้วย” พิมุกกดวางโทรศัพท์ แล้วโยนลงที่เตียง พิมุกเชิ่ดหน้าสีหน้าโหดเหี้ยม “คราวนี้อย่าหวังเลย ว่าแกจะได้เป็นนักดนตรีหรือแม้แต่พระเอกลิเก ไอ้รวิ”

รวินั่งขัดเช็ดแซ็กโซโฟนอยู่ที่บ้านพร้อมกับร้องเพลงคลอๆ ไปด้วย รวิหยิบแซ็กโซโฟนขึ้นมาดูอย่างพอใจก่อนจะเริ่มลองเป่าเทสเสียง รวิเป่าเพลงซึ้งๆ ภาพเดือนในท่าทางต่างๆ ลอยเข้ามาในความคิด จบเพลงรวินั่งยิ้ม คิดถึงเดือน ระหว่างนั้นมีเสียงเหมือนใครทำอะไรอยู่ด้านนอก รวิรีบลุกขึ้นดูที่หน้าต่างแต่ไม่เห็นอะไร รวิทำหน้าแปลกใจ
รวิขี่มอเตอร์ไซค์สะพายกระเป๋าใส่แซ็กโซโฟนมาตามถนน รวีร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ไปเรื่อยๆ ตามทาง
รวิเลี้ยวรถจนถึงทางเปลี่ยวเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างๆ มีรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ รวิรีบจอดรถ เดินเข้าไปกะว่าจะช่วย
“ป้าๆ ป้าเป็นไงมั่ง”
รวิก้มลงไปประคองผู้หญิงคนนั้นให้หันกลับมา ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นเตี้ยที่ใส่วิก หันมายิ้มแสยะอย่างเจ้าเล่ห์
“เฮ้ย! ไอ้...”
รวิปล่อยเตี้ยกระแทกพื้น รวิลุกขึ้นหันหลังกลับมาเจอพิมุกกับบ่างยืนยิ้มเหี้ยมเกรียมอยู่
“ไงพ่อพระเอก ไม่คิดจะช่วยซะหน่อยเหรอ”
เตี้ยค่อยลุกขึ้นมือกุมก้นตัวเอง
“โอยย นั่นสิฮ้า ทิ้งเค้าซะแรงเลยตัว”
รวิมองพิมุกกับลูกน้อง รู้แล้วว่าเป็นแผน
“พวกแกมีอะไร”
พิมุกหัวเราะ เตี้ยกับบ่างหัวเราะตาม พิมุกเดินเข้ามาวนรอบๆ ตัวรวิพร้อมกับเอามือลูบกระเป๋าแซ็กโซโฟนของรวิ
“จุ๊ๆๆ เป็นลิเกอย่างเดียวไม่พอกิน ต้องไปเล่นดนตรีเสริมด้วยนะเนี่ย” รวิปัดมือของพิมุกออก พิมุกหันมาจ้องหน้ารวิ “อยากเปลี่ยนอาชีพก็ทำไปคนเดียวสิ นี่แกกล้าดียังไง พาน้องเดือนของชั้นไปอยู่วงกระจอกๆ กับแก”
“เดือนจะอยู่ที่ไหนมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย”
“ตอนนี้ไม่เกี่ยวอีกหน่อยก็ต้องเกี่ยว ส่วนแก ขอตอบแทนความหวังดีที่สะเออะพาน้องเดือนไปหน่อย ไอ้เตี้ย ไอ้บ่าง” เตี้ยกับบ่างวิ่งเงื้อหมัดเข้ามาคนละทาง รวิหลบ เตี้ยกับบ่างชนกันเอง พิมุกส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ “กูนึกแล้ว ใช้ไอ้พวกนี้ทีไร” พิมุกตบมือสองครั้ง ลูกน้องในค่ายมวยตัวใหญ่ๆ สองคนก็ออกมาจากที่ซ่อนตัว “จับมัน วันนี้ละไอ้ลิเกจะทำให้แกทั้งรำทั้งเล่นดนตรีอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”

อีกด้านหนึ่งที่บ้านเดิน เดือนยืนจิกยิ้ม ทำท่าให้สัมภาษณ์โดยมีมือคนยื่นไมค์มาสัมภาษณ์
“ค่ะ สำหรับซิงเกิ้ลใหม่ของเดือนอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ MV อยู่น่ะค่ะ”
“น้องเดือนครับ แล้วที่มีข่าวกุ๊กกิ๊กกับพระเอก MV นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ”
“นั่นสิคะ แล้วเรื่องที่มีมือที่สามเป็นนางเอกงิ้วคอยมาโพสต์แขวะนั่นอีกละคะ”
“เอ่อ เรื่องนี้ เดือนขอไว้แถลงข่าวทีเดียวนะคะ”
“ช่วยตอบหน่อยสิครับ น้องเดือน แฟนคลับเค้าอยากรู้กันนะครับ”
เดือนแกล้งทำหน้าอาย ไม่อยากตอบ
“น้องเดือน ตอบเค้าไปสิคะ” กระจาดผลไม้ลอยมาดังโครม ทั้ง 3 คนวงแตก เผยให้เห็นเดือนในชุดกางเกงสามส่วนเก่าๆ กับเสื้อยืด มีเฟลอสีชมพูพันไว้รอบคอ ขำกับป้อมถือไมค์เก่าๆ ที่สายขาด กระเจิงไปคนละทาง ช้อยเดินเข้ามาในบ้าน “ตอบเค้าไปสิคะน้องเดือน หนอย ว่างกันมากนะพวกเอ็ง แล้วนั่นไปเอาของมาจากในวงเขาใช่มั๊ยละนั่นน่ะ หา”
“โธ่ ป้าช้อย ไมค์อันนี้มันพังแล้ว ชั้นเลยขอเข้ามาน่ะ”
“ใช่จะป้า ส่วนไอ้นี่ ของชั้นเองตั้งแต่สมัยสาวๆ แล้ว”
“หึ บ้ากันเข้าไป”
“โธ่แม่ เดือนก็ซ้อมไว้ก่อนไง เผื่อดังจะได้ทำตัวถูก แบบในทีวีเนี่ย”

เดือนชี้มือไปที่ทีวี เป็นนักร้องคนหนึ่งกำลังยืนให้สัมภาษณ์ โดยมีนักข่าวรุมล้อมมากมายชุลมุน

อ่านต่อหน้า 4

หางเครื่อง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ภาพนักร้องที่ให้สัมภาษณ์ในจอทีวีถูกกดเปลี่ยนไปอีก 2-3 ช่อง เป็นช่องที่มีนักร้องกำลังร้องเพลงพร้อมกับเต้นอย่างสนุกสนาน ศิริพรนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือถือรีโมท สายตามองทีวีอย่างขะมักเขม้น

“นักร้องงั้นเหรอ” ศิริพรทำท่าครุ่นคิดจริงจัง

แซ็กโซโฟนของรวิกระเด็นอยู่ที่พื้นถนนมีร่องรอยเสียหาย รวิค่อยๆ เดินโซซัดโซเซหน้าตาเขียวช้ำเข้ามา มือกุมแขนอีกข้างเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงเก็บชิ้นส่วนของแซ็กโซโฟนใส่กระเป๋า เดินไปยกมอเตอร์ไซค์ที่ล้มอยู่ขึ้นอย่างทุลักทุเล รวิมองซ้ายมองขวาอยู่ที่ถนน ขณะนั้นเทพนั่งขับรถไปพร้อมกับเปิดเพลงไป เทพขับผ่านรวิที่ยืนโซเซอยู่ เทพขับเลยไปแล้วแต่เบรกรถดังเอี๊ยด ก่อนจะถอยกลับมาตรงที่รวิยืน
“รวิ” เทพรีบเปิดประตูรถลงไปดู “เฮ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับนายเนี่ย”
“เรื่องมันยาวครับคุณเทพ”
“เอาเหอะๆ เดี๋ยวค่อยเล่า ไปๆ ขึ้นรถชั้นก่อน รถนายเดี๋ยวค่อยให้เด็กมาเอา”
เทพพยุงรวิขึ้นรถก่อนจะขับออกไป

เทพพารวิมาที่วง รวินั่งเอาผ้าพันมือข้างที่เจ็บ หน้าตามีพลาสเตอร์แปะไว้ ขจรนั่งข้างๆ คอยส่งนู่นนี่ให้
เทพยืนพิงกำแพงมองรวิอย่างเห็นใจ ก้องเดินเข้ามาเห็นสภาพรวิเลยแกล้งแซว
“อ้าว เพื่อนรวิ ไปฟัดกับใครมาล่ะครับนั่น”
รวิเงยหน้าขึ้นมอง พยักหน้าให้ทีหนึ่งแต่ไม่ตอบอะไร
“รวิเอ๊ย แล้วงานที่จะถึงนี่จะไหวเร้อ”
“คิดว่าไหวนะครับ”
“เอาเหอะๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เอ่อ ว่าแต่วันนี้เดี๋ยวประชุมกันหน่อยนะ”
“คุณเทพจะขึ้นค่าตัวให้พวกเราเหรอครับ”
“จะหักค่าตัวน่ะ” ก้องหัวเราะแห้งๆ หน้าเสีย เทพส่ายหัวแล้วยิ้มๆ “จะแจ้งให้ทุกคนรู้น่ะ ตอนนี้นอกจากเดือนแล้ว เราจะมีนักร้องหญิงคนใหม่อีกคน”
ก้องตาลุกขึ้นทันที
“ว้าวๆๆ สุดยอดเลยครับคุณเทพ สวยหรือเปล่า ไปหามาจากไหนน่ะ”
“หามาจากไหนเหรอ อืม ก็ใช้วิทยายุทธ์นิดหน่อยน่ะ”
ทุกคนหันมามองหน้ากัน เทพยักไหล่ไม่พูดอะไร

ที่ออฟฟิศวงดนตรีของโรจน์ โรจน์ตบโต๊ะเสียงดังพร้อมกับยืนขึ้น
“จะลาออก”
ประทีปรีบเดินเข้าไปหานภากาศที่ยืนหันหลังอยู่
“เดี๋ยวก่อนนะนภา ใจเย็นๆ ก่อน นี่มันเรื่องอะไรกัน”
นภากาศหันหลังกลับมามองหน้าประทีปแล้วเลยไปมองโรจน์ที่ยืนโมโหอยู่
“ชั้นว่าชั้นพูดชัดแล้วนะ”
“ทำไม เธอมีเรื่องอะไร จู่ๆ ก็มาขอลาออกแบบนี้ หรือว่า...” โรจน์จ้องหน้านภากาศจับผิด “เธอจะย้ายไปอยู่วงอื่นใช่มั๊ย”
“ชั้นจะไปทำอะไรมันก็เรื่องของชั้น เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ ชั้นจะไม่อยู่วงนี้แล้ว”
“นภา ชั้นว่าเธอใจเย็นๆ แล้วลองกลับไปคิดใหม่อีกทีนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวชั้นจะลองปรึกษากันเรื่องเพิ่มค่าตัวให้เธอดีมั๊ย”
นภากาศส่ายหน้า หันมาจ้องหน้าประทีปสลับกับโรจน์
“ชั้นตัดสินใจแล้ว คงไม่มีอะไรต้องอธิบายเพิ่มนะ”
นภากาศพูดจบเดินออกไป ประทีปร้องตาม
“เดี๋ยวก่อนสิ นภา นภา”
“ช่างมัน มันอยากไปก็ให้มันไป”
“แต่ตอนนี้วงเราก็มีนภานะที่เป็นเบอร์หนึ่งนะ แล้วจะหาใครมาแทนกันล่ะ” โรจน์ถอนหายใจนั่งลง สีหน้าครุ่นคิด “นี่ถ้าเดือนยังอยู่ ก็จะให้ร้องแทนหรอก แต่นี่...”
“ไม่ต้องไปพูดถึงมัน นังคนทรยศแบบนั้น ยัยนภานี่ก็เหมือนกัน ชั้นต้องรู้ให้ได้เลยว่าไอ้วงไหนที่มาซิ่วของเราไป”

แก้วเดินร้องเพลงอารมณ์ดีเข้ามาในห้องซ้อมเห็นพวกแดนเซอร์ต่างจับกลุ่มเมาท์กันอยู่ แก้วรีบเสนอหน้าเข้า
ไปอย่างสอดรู้
“นี่ๆ มีอะไรกันเหรอ”
ป้อมกับขำ ยืนอยู่ใกล้พูดลอยๆ ขึ้น
“ไอ้ขำโว้ย กินขนมมั๊ย แถวนี้มีตัวเผือกอยู่ เดี๋ยวข้าเอาไปต้มให้กิน”
“ไม่ดีกว่าพี่ป้อม ดูท่ากินไปแล้ว สงสัยจะไม่ย่อย ท้องจะเสีย ขี้แตกป่าวๆ”
แก้วหันมามองขวับเห็นป้อมกับขำยืนหัวเราะอยู่
“พี่ป้อมว่าใครเผือก ชั้นก็แค่อยากรู้ก็แค่นั้นเอง”
“โถๆๆ ใครจะไปว่าน้องแก้วกันจ๊ะ พี่รู้ว่าหนูน่ะแค่สอดรู้สอดเห็นก็เท่านั้นเอง”
“เอ๊ะ! พี่ป้อม พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“โอ๊ย หนวกหู เลิกกัดกันซะที ทำงานทำการกันมั่งได้แล้ว”
แก้วรีบหันขวับมาหาลิ้นจี่
“ทีกะพี่นภาไม่เห็นไปเร่งมั่ง”
“ทีหลังถ้าอยากรู้อะไรก็หัดมาซ้อมให้มันไวๆ หน่อยนะ นังนภาน่ะมันลาออกแล้ว”
“อ้าว...ลาออก ไปไหนล่ะ แล้วลาออกทำไมล่ะ”
ลิ้นจี่หันมายืนเท้าเอวจ้องหน้าแก้ว
“ถ้าแกยากรู้มาก แกก็แล่นไปถามมันเองสิ หรือแกอยากจะออกตามมันไปอีกคนมั๊ยล่ะ”
“แหม พี่ลิ้นจี่น่ะ แก้วก็แค่”
ป้อมกับขำพูดแทรกตัดหน้า
“อยากรู้แค่นั้นเอง”

แก้วหันมาจ้องหน้าขำกับป้อมที่แกล้งเดินลอยหน้าลอยตาผ่านไป

ฟากก้องพูดไปด้วยปรับระดับขาไมค์ไปด้วย

“สรุปก็คือคุณเทพดึงนักร้องมาจากวงฟ้างาม”
เทพมองก้องยิ้มๆ และพยักหน้ารับ “ใช่”
“แล้วก็เป็นวงเดียวกับวงเก่าของเดือน”
“ก็ใช่อีก” เทพมองก้องยิ้มกว้างกว่าเดิมและพยักหน้ารับ ก้องหันไปมองรวิที่พยายามจะจับแซ็กโซโฟน ด้วยมือข้างที่พันแผลมา
“แล้วไอ้นักเลงที่มันมาซ้อมนายก็เป็นพวกเดียวกับวงฟ้างาม”
“ถูกต้อง” รวิพยักหน้าชัดเจน ก้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปประจำที่กลองที่อยู่ด้านใน
“แล้วมันจะตามมาถึงนี่มั้ยง่ะ”
รวิยิ้มอย่างรู้ทัน
“ทำไม กลัวโดนลูกหลงเหรอไง”
ก้องแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ควงไม้กลองเล่น
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” เทพบอกแต่รวิรู้สึกหวั่นอยู่เหมือนกัน
“ใช่ ไม่งั้นชั้นคงกล้าไม่พาเดือนออกมาหรอก”
เดือนเปิดประตูเข้ามาพอดียกมือไหว้ทุกคน
“อายุยืนแฮะ พูดถึงก็มาปั๊บเลย”
“พี่รวิ” เดือนมีสีหน้าตกใจเมื่อหันไปเห็นรวิ รีบเดินเข้าไปหาจับมือ จับหน้าดูร่องรอยต่างๆ “นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมพี่เป็นแบบนี้ ใครทำพี่ แล้วนี่เจ็บมากมั๊ยนี่ แล้วโดนตรงไหนอีก ไหนหันมาให้ดูหน่อยซิ”
รวิยิ้มดีใจที่เดือนเป็นห่วง ก่อนจะจับมือเดือนทั้งสองข้าง
“ใจเย็นๆ เดือน พี่ตอบไม่ทันแล้ว ฮะๆๆ พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ไปฟัดกับหมามานิดหน่อย”
“พี่บอกชั้นมาตรงๆ ดีกว่า พี่ไปมีเรื่องกับใครกันแน่ แล้วใครทำพี่ พี่บอกชั้นมาสิ”
เสียงเปิดประตูห้องเข้ามา
“ขอโทษนะคะ ชั้นมาตามที่นัดไว้ค่ะ”
เทพยิ้มให้และหันไปพูดด้วย
“อ้าว มาพอดีเลย คราวนี้ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันละ”
เดือนหันไปมองแล้วก็ตกใจ
“พี่นภา”
นภากาศยืนนิ่งวางท่า เชิดเล็กน้อย

นภากาศยืนร้องเพลงอยู่กับวง เดือนยืนมองด้วยความสงสัยที่นภากาศมาร้องที่วงของเทพ นภากาศร้องเพลงจบ ยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะเดินออกมาสลับให้เดือนขึ้นซ้อมแทน พอเดินผ่านเดือนยิ้มให้นภากาศอย่างเกรงๆ
“ดีใจจังค่ะ ที่พี่นภามาอยู่ด้วยกันที่นี่”
นภากาศมองเดือนหัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มหยิ่งๆ
“อืม เดือนเองก็เก่งนี่ ได้เป็นนักร้องแล้ว”
“เดือนยังมือใหม่ค่ะ ยังไงพี่นภาก็ช่วยสอนเดือนด้วยนะคะ”
“เดือนจำหลักๆ ไว้ข้อเดียวก็พอจ้ะ” นภากาศยื่นหน้ามากระซิบ “อย่าพยายามเทียบชั้นกับมืออาชีพ”
นภากาศยิ้มหยิ่งๆ ไม่พูดอะไร เดินเลี่ยงไป เดือนหน้าถอดสีก่อนจะเดินไปประจำที่ ดนตรีขึ้นซ้อมตามปกติ
นภากาศนั่งอยู่ที่เก้าอี้มองเดือนหน้านิ่งเหมือนกับคิดอะไรอยู่

แผ่นเนื้อเพลงหลายแผ่นที่วางกระจายๆ กันอยู่บนเตียง ศิริพรนั่งฮัมเพลงในมือถือแผ่นเนื้อเพลง ที่หูเสียบหูฟังอยู่ ศิริพรเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะข้างๆ เตียงมาดื่มก่อนจะวางกลับไปที่เดิม ด้านข้างๆ มีหนังสือการฝึกร้องเพลงวางอยู่ใกล้ๆ กันและมีรูปของเดือนที่มีรอยปากกาสีแดงขีดกากบาททับอยู่

วันต่อมาเดือน ป้อม เดินดูเสื้อผ้าตามร้านในตลาด ขำเดินตามถือลูกชิ้นกินไปด้วย
“แล้วรวิเป็นไงมั่งล่ะเดือน หนักมั๊ย”
“ก็มีแต่แขนล่ะจ้ะที่หนักหน่อย คุณเทพว่าจะให้พัก แต่เจ้าตัวก็ดันทุรังจะเล่นให้ได้”
“ไอ้พิมุกนี่มันหมาลอบกัดจริงๆ สงสัยต้องซื้อตะกร้อไปฝากมันซักหน่อยแล้ว”
“เออ นั่นสิวะ อุ๊ย เดือน ชุดนี้ก็สวยนะ”
ป้อมจับชุดที่แขวนอยู่ให้เดือนดู เดือนเดินมาดูพร้อมกับยิ้มอย่างชอบใจ หยิบเอามาลองทาบกับตัวเอง
“พอดีเลย ใส่ไปร้องเพลงในงานนายทหารวันมะรืน”
“วันไหนนะ”
“วันมะรืนจ้ะ”
“อย่าบอกนะว่าเป็นงานวันเกิดของนายพลนั่นน่ะ”
เดือนหยักหน้ารับแล้วมองป้อมกับขำที่หันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
“เอาล่ะเว้ย สนุกกันละงานนี้ แถมงานนี้เจ้าภาพรวยซะด้วย เชิญแขกยังกะงานฝังลูกนิมิต”
เดือนขมวดคิ้วสงสัย
“แล้ว ยังไงเหรอขำ”
ป้อมถอนหายใจก่อนจะจับไหล่เดือน
“ยังไงน่ะเหรอ ก็มันงานเดียวกับที่วงน่ะสิ”
เดือนหน้าถอดสี
“แย่ล่ะสิ แบบนี้คุณโรจน์เค้าก็ต้องรู้สิว่าพี่นภามาอยู่ที่วงด้วย”
“อะไรนะ นภาน่ะเหรอ ไปอยู่วงเดียวกับเดือน”
ป้มกับขำถามออกมาพร้อมกัน แก้วที่ยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงก็ชะงัก ชะเง้อชะแง้มองหา พอเห็นเป็นพวกเดือนก็รีบเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แอบฟังอยู่หลังราวเสื้อผ้า
“เบาๆ สิพี่ป้อม ขำ”
“งานนี้ข้าว่าได้เห็นหัวหน้าวงเราหัวใจวายตายแน่เลยพี่ป้อม”
“เออ ถ้าเป็นงั้นได้ก็ดี แต่ก็นะเดือน ระวังนภาไว้บ้างก็ดีนะ คนคนนี้ก็ใช่ย่อย”
“ทำไมล่ะจ๊ะ ดูๆ ก็ไม่เห็นเค้าจะอะไรนี่”
“เออ มันไม่อะไรกับใครหรอก ถ้าไม่มีใครไปดังเกินมันน่ะ”

แก้วยืนแอบฟังอยู่ทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้ ก่อนจะรีบหันหลังเดินกลับไป

ที่ห้องซ้อมวงของโรจน์ แดนเซอร์กำลังซ้อมเต้นกันอยู่ มีลิ้นจี่คอยชี้นิ้วสั่ง โรจน์ ประทีป ยืนมองการซ้อมเต้นสีหน้าเคร่งเครียด

“แล้วนี่ตกลงเราจะไปหานักร้องที่ไหน งานมันก็วันมะรืนนี้แล้ว”
โรจน์นั่งหน้าเครียดทำท่าครุ่นคิด ลิ้นจี่เดินเข้ามาหา
“ถ้าไม่มีจริงๆ เดี๋ยวชั้นร้องแทนเองก็ได้ สมัยสาวๆ ชั้นก็เคยร้องมาบ้าง”
โรจน์หันมามองลิ้นจี่หัวจดเท้าก่อนจะเบะปาก
“หึ ชั้นกลัวคนฟังเค้าจะอ้วกก่อนจบเพลงน่ะสิ”
ลิ้นจี่มองโรจน์อย่างไม่พอใจ
“หรือเราจะลองไปตามนภากลับมา”
“พี่เค้าคงไม่กลับมาหรอกค่ะ”
แก้วบอกแล้วหันมาโพสท์ท่าตามเพลงก่อนจะเดินออกมาจากที่ซ้อมมาที่โรจน์
“เธอรู้ได้ยังไงแก้ว”
“ก็วงใหม่ที่ไปอยู่เห็นว่าดูแลดีจะตาย ค่าตัวก็ให้เยอะกว่าที่นี่อีก”
“นี่เธอรู้เหรอ นภาไปอยู่วงไหน”
แก้วแกล้งทำลีลา ก่อนจะตอบ
“ก็พอจะรู้ล่ะค่ะ”
“งั้นก็อย่าทำลีลา รีบๆ บอกมา”
“แหม อย่าใจร้อนสิคะก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไง เห็นว่าไปอยู่วงเดียวกับเดือนนี่ล่ะ จริงๆ นะคะ แก้วเห็นกับตา”
“วงไอ้เทพ อีกแล้วเหรอ นี่ๆ มันคิดจะลองดีกับชั้นใช่มั๊ยเนี่ย”
“ที่สำคัญกว่านั้น งานวันมะรืน เห็นทางเจ้าภาพเค้าก็จ้างวงมันมาด้วยนะ”
“โธ่เว๊ย! และจะทำยังไงดีวะเนี่ย”
แก้วเขยิบตัวเข้ามาใกล้ ทำท่ายั่วยวนเล็กๆ ลิ้นจี่มองตาเขียวปั้ด
“เอ่อ ถ้าคุณโรจน์ไม่รังเกียจ จะให้แก้วลองซักหน่อยมั๊ยล่ะคะ”
โรจน์กับประทีปหันมามองหน้าแก้ว
“เธอน่ะเหรอ ร้องได้เหรอ”
“เรื่องเสียงน่ะ แก้วอาจจะสู้เดือนกับพี่นภาไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องลีลาล่ะก็นะ” แก้วชายตาทำท่าเซ็กซี่ขึ้นอีก ลิ้นจี่เบะปากมองอย่างหมั่นไส้ “แล้วอีกอย่าง ถ้าเรากลัวว่าจะร้องสู้เค้าไม่ได้ เราก็ทำให้เค้าร้องไม่ได้สิคะ”
แก้วพูดทิ้งท้ายชายตามอง โรจน์กับประทีปมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองหน้าแก้ว แสยะยิ้ม
“หึ เอาสิ ถ้าเธอทำให้ไอ้วงนั้นเจ๊งได้นะ ชั้นมีรางวัลใหญ่ให้แน่”

ในห้องของศิริพร เด็กในบ้านกำลังขนชุดงิ้ว ชุดกี่เพ้าออกจากตู้เสื้อผ้าของศิริพรไปจนหมด ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“พวกลื้อขนลงไปไว้ในห้องข้างล่าง แล้วถ้าไม่ได้เรียกก็ไม่ต้องเข้ามาแล้วนะ”
ศิริพรลุกขึ้นหยิบถุงเสื้อผ้าที่เพิ่งไปตัด เอาเสื้อผ้าแขวนเข้าตู้ เป็นชุดแบบสมัยใหม่แรงๆ ศิริพรหยิบออกมาชุดหนึ่ง เป็นชุดแบบนักร้องสีจัดจ้าน ศิริพรเอามาเทียบกับตัวยืนส่องกระจก ศิริพรยิ้มออกมาอย่างพอใจ

เดือนต้องซ้อมร้องซ้อมเพลงอย่างหนัก พอกลับถึงบ้านเธอถึงกับหมดแรง เดือนทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนที่ตักของช้อย
“โอ๊ย เหนื่อยจังเลยแม่”
“อะไรของเอ็งวะเนี่ย มาทำอ้อน ข้ายังไม่หายเคืองเอ็งหรอกนะ”
“โธ่แม่ หายโกรธชั้นได้แล้ว นี่ๆ พรุ่งนี้ชั้นจะไปร้องเพลงแล้วนะ เดี๋ยวถ้าได้ทิปมานะ ชั้นจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แม่ด้วยเอามั๊ย”
“เฮอะ เอ็งจะให้ข้าใส่ไปโชว์ใครวะ ขายของอยู่ในตลาดจะใส่อะไรใครเค้าจะมาสนใจ”
“แหม ก็ชั้นอยากให้แม่มีอะไรใหม่ๆ ไปอวดชาวบ้านเค้ามั่งนี่”
“โอ๊ย ข้าไม่อวดอะไรใครทั้งนั้นล่ะ แค่มีกินไปวันๆ ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เดือนลุกขึ้นนั่งมองหน้าช้อยในตาเป็นประกาย
“โธ่ แม่จ๋า ชั้นไม่ปล่อยให้แม่เป็นแม่ค้าไปตลอดหรอก ซักวันชั้นจะให้แม่นั่งเป็นคุณนายคอยเก็บเงินอย่างเดียว ดีมั๊ย”
“กว่าจะถึงวันนั้น ข้าคงไปอยู่ในหลุมแล้วล่ะมั้ง”
“แม่อ่ะ พูดอะไรแบบนั้น แม่ต้องอยู่กับหนูไปจนหนูแก่เท่าแม่ก่อน”
ช้อยหัวเราะออกมาแล้วมองเดือนอย่างอ่อนโยน ซึ้งในความกตัญญู ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัว
“เดือน ข้านะไม่ขออะไรมากหรอก แค่ขอให้เอ็งมีความสุข มีชีวิตที่ถูกที่ควร แค่นี้ข้าก็ตายตาหลับแล้ว”
เดือนเข้าไปกอดช้อย ช้อยกอดเดือนไว้ สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

โรจน์กับประทีป ยืนคุมเด็กขนของขึ้นรถ
“เอ้า ให้มันไวๆ กันหน่อยพวกเอ็ง เออ มัวแต่เดินบิดกันอยู่นั่น”
“งานนี้ คงต้องขายความสวยไว้ก่อนล่ะ เพราะนักร้องก็คงสู้เค้าไม่ได้”
แก้วเดินมาหาประทีปกับโรจน์
“แหม คุณประทีป อย่าเพิ่งดูถูกแก้วสิคะ คนอย่างแก้วน่ะไม่ค่อยชอบแพ้ใคร ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยนม เอ๊ย กล”
“เออ เอาให้ได้อย่างที่พูดเหอะ ว่าแต่เธอเตรียมจะรับมือสองคนนั้นแล้วใช่มั๊ย”
แก้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูด
“พี่นภาน่ะไม่ค่อยห่วงหรอก เพราะแกแก่แล้ว ร้องแต่เพลงช้าๆ ไม่มีอะไรดึงดูด แต่ที่ต้องห่วงน่ะคือนังเดือน คงต้องหาทางให้มันร้องไม่ได้”
“จะทำอะไรก็อย่าให้เดือดร้อนมาถึงพวกชั้นละกัน”
“โฮะๆๆ แก้วไม่ทำอะไรมากมายหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เอาแค่พอขำๆ แต่ก็นะไม่รู้ว่าเดือนเค้าจะขำออกหรือเปล่า”

ทุกคนขึ้นั่งบนรถตู้ของวง เทพนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถ
“โอเคไม่ลืมอะไรกันแล้วนะ” ภายในรถทุกคนนั่งยิ้ม ไม่ตอบแสดงว่าไม่ลืมอะไร “งั้นก็ไปกันเลย ไปก่อนจะได้มีเวลาเตรียมตัว”
“จะได้มีเวลานั่งดริ๊งค์กันก่อน”
เทพมองและส่ายหน้าก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถ
“เออ แล้วเดือนกับพี่นภาไม่เปลี่ยนชุดเหรอ” รวิถามขึ้นมา
“เดี๋ยวพี่ไปเปลี่ยนที่นู่นน่ะ แป๊บเดียวก็เสร็จ”
“พี่นภาคงชินน่ะสิ ผ่านงานมาเยอะ”
“จ้ะ พี่ไม่ใช่พวกมือใหม่” นภากาศชายตามามองเดือน
“โอ๊ย ไม่เห็นจะต้องอะไรมากมายเลย วงเราง่ายๆ แต่งตัวสวยๆ ก็พอละ ไม่ต้องลูกทุ่งจ๋า ติดขนติดหางอะไรนั่นหรอก” ก้องบอก

นภากาศมีสีหน้าไม่พอใจแต่ไม่พูดอะไร

บริเวณสถานที่จัดงานกำลังวุ่นวายได้ที่ เด็กกำลังจัดโต๊ะเตรียมงานขันแข็ง พวกเด็กคอนวอยวงของโรจน์กำลังขนของทยอยลง รถของเทพขับเลี้ยวเข้ามาจอดใกล้ๆ กับรถของวงโรจน์ เทพกับเพื่อนๆ เปิดประตูลงมา ทยอยขนของลง คนดูแลงานเดินเข้ามาหาเทพ

“วงของคุณเทพใช่มั้ย เดี๋ยวเตรียมอะไรเสร็จแล้ว กินข้าวที่โต๊ะด้านหลังก่อนเลยนะครับ เราจัดเอาไว้ให้แล้ว ข้างๆ โต๊ะของวงฟ้างามนั่นน่ะครับ”
เทพเหลือบไปมองทางโรจน์ โรจน์เองก็ยืนจ้องมาที่เทพเช่นกัน
“ขอบคุณนะครับ ว่าแต่วันนี้มีมากี่วงล่ะครับ”
“อ๋อ มีแค่ 2 วงน่ะครับ ที่เหลือก็เป็นการแสดงอย่างอื่นไปน่ะครับ”
เด็กวัยรุ่นสองสามคนที่อยู่แถวนั้นเดินเข้ามามองๆ และแซว
“โห มาอีกวงแล้วเว้ย ว่าแต่วงนี้มีแค่นี้เองเหรอ เครื่องก็ดูเก่าๆ จัง จะไหวเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆ”
ก้องจะเดินเข้าไปหาเพราะโมโห แต่เทพกันไว้
“ถึงจะเก่า แต่วงพี่ก็เจ๋งนะครับน้อง อยากได้เพลงอะไรเราจัดให้ได้ทั้งนั้น”
“จริงป่าว เดี๋ยวจะคอยดู ว่าแต่ เห้ย แต่มีสาวสวยมาด้วยว่ะ ทำอะไรในวงจ๊ะน้องคนสวย”
เด็กวัยรุ่นพยายามจะเดินเข้ามาหาเดือนแต่เทพกันไว้ รวิรีบดึงเดือนเข้าไปอยู่ใกล้ๆ
“เดี๋ยวเอาไว้ดูตอนเราขึ้นโชว์ดีกว่านะครับ ไปพวกเรา เอาเครื่องไปตั้งแล้วไปกินข้าวกัน เดือนกับพี่นภาจะเอาชุดไปเลยมั้ย”
“เดี๋ยวเดือนไปช่วยพวกพี่ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวค่อยเดินมาเอาก็ได้”
เทพพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไป

“แหมไอ้เด็กพวกนั้นนี่มันน่าตบเกรียนจริงๆ”
ก้องบ่นอย่างโมโหขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“เอาน่า อย่าไปถือเลย พวกลูกหลานเจ้าภาพทั้งนั้นล่ะ ทำอะไรไปเดี๋ยวอดได้ตังค์กันพอดี”
“ก้อง นายก็ดื่มให้มันน้อยๆ หน่อย ยังไม่ทันเล่นเลย เดี๋ยวจะร่วงซะก่อน ยิ่งมีคนคอยจะกัดอยู่ พูดถึงก็เดินมาเลยแฮะ”
โรจน์เดินเมาเล็กๆ ถือแก้วมาจากโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ กัน มองมาที่นภากาศที่แกล้งหลบหน้าหันไปทางอื่น
“ไง คุณเทพ เห็นวงเล็กๆ แบบนี้ แต่ซิ่วเด็กผมไปตั้งสองคนเลยนะ”
“อย่างคุณโรจน์ หาเด็กใหม่ๆ ได้ไม่ยากหรอกมั้งครับ”
“ยากไม่ยากไม่รู้นะ แต่คนในวงการเดียวกัน เค้าไม่ทำแบบนี้กันหรอก”
เทพหันกลับไปจ้องหน้าโรจน์ กำลังจะอ้าปากพูด แต่รวิแทรกขึ้นก่อน
“คนเราถ้าอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจก็อยากจะอยู่ที่นั่น แต่ถ้าอยู่แล้วต้องถูกเอาเปรียบก็ไม่มีใครอยากอยู่กันหรอก”
โรจน์หันมาจ้องหน้ารวิ พยักหน้าอย่างเอาเรื่อง ชี้หน้ารวิแล้วเดินกลับไป ป้อมกับขำเห็นโรจน์เดินกลับไปแล้วก็รีบเดินมาหาเดือนที่โต๊ะ
“ไอ้แก่นั่นมันมาหาเรื่องเหรอวะเดือน”
“ช่างเขาเถอะจ้ะ เอ่อ คุณเทพคะ นี่พี่ป้อม,ขำ เพื่อนเดือนเองค่ะ” ป้อมกับขำยกมือไหว้ เทพพยักหน้ายิ้มรับ “ว่าแต่ที่วงตอนนี้เค้าทำยังไงกันล่ะ”
“ลองเดาดูสิ”
เดือนส่ายหน้า หันไปมองคนอื่นเหมือนขอความเห็น
“เค้าก็ให้เพื่อนรักของเดือนมาร้องแทนไง”
“พี่ป้อมหมายถึง...”
“ใช่ นังแก้วไง ไม่รู้มันจะมาขายเสียงหรือขายอะไร นั่นไงยืนแด๊ะแด๋อยู่นั่น อ้าวไปไหนแล้ววะ”
ป้อมชี้มือไปที่โต๊ะ แต่แก้วไม่รู้หายไปไหน
“คงไปหาลำไพ่เสริมมั้ง เออ เดี๋ยวชั้นกับพี่ป้อมไปที่โต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวจะแว่บมาใหม่”
ป้อมกับขำเดินกลับไปที่โต๊ะ เดือนกับรวิมองหน้ากัน นภากาศเบะปากส่ายหน้า
“นังแก้วงั้นเหรอ”

แก้วเดินย่องหันซ้ายหันขวามาที่รถตู้ของเทพ เห็นว่าไม่มีใครจึงค่อยๆ เปิดประตูรถออก แก้วมองหาของในรถ เห็นถุงเสื้อผ้าของเดือนพอดี แก้วหยิบถุงออกมาล้วงลงไปหยิบชุดของเดือนขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างสะใจ
“ชุดนั้นมีอะไรเหรอ”
เสียงศิริพรดังขึ้น แก้วตาโตตกใจหันขวับกลับมามือซ่อนชุดเดือนไว้ข้างหลัง ศิริพรมองมาอย่างรู้ทัน เดินเข้ามาหาแก้ว
“นี่เธอ”
“จะทำอะไรก็รีบๆ เข้า นังเดือนมันกำลังจะลุกมาละ”
พูดจบศิริพรก็เดินเชิดหน้าไป แก้วมองตามอย่างสงสัย แต่ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรหันกลับมามองชุดของเดือน ล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือกรรไกรขึ้นมา คำรามในลำคอ

“แก้ผ้าขึ้นไปร้องแล้วกัน นังเดือน”

อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น