เวียงร้อยดาว ตอนที่ 12
มาร์คกับน่านฟ้าช่วยร้อยดาวกดดันบังหนั่น
“โธ่...นายจ๋า...บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น...”
“ท่าทางมีพิรุธอย่างนี้ ต้องรู้แน่ๆ จะบอกดีๆหรือต้องให้ใช้กำลัง”
มารุตหักนิ้วมือเป๊าะๆขู่บังหนั่น
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะนายจ๋า เห็นใจบังหนั่นบ้างเถอะ พูดไม่ได้จริงๆ”
“ไม่บอกใช่ไหม ? นี่แน่ะๆๆๆ....จี๋ๆๆๆๆ จี๋ให้ตายเลย !!!
“อย่าทำฉันเลย....” บังหนั่นหัวเราะ “อย่าทำฉัน !!! ให้ตายฉันก็พูดไม่ได้”
มารุตเข้าไปจี้เอวบังหนั่นจนเขาขำไม่ยอมหยุด
“มาร์ค ! พอได้แล้ว” ร้อยดาวบอก
มารุตยอมหยุด บังหนั่นหอบจนลิ้นห้อย
“ถ้าบังหนั่นไม่ยอมบอกว่าศพของคุณแม่เวียงแก้วอยู่ที่ไหน คนในบดินทร์ธรอาจจะต้องมีอันเป็นไปไม่รู้อีกกี่ศพต่อกี่ศพ”
“บังหนั่นอยากให้มีคนตายอีกหรือไง มันบาปนะ”
บังหนั่นเริ่มกลัวขึ้นมาจึงอึกๆอักๆ
“ฉันพูดไม่ได้จริงๆ คุณท่านสั่งเอาไว้ให้ปิดปากให้สนิท”
น่านฟ้ายิ้มเจ้าเล่ห์เพราะคิดแผนบางอย่างออก
“ถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ! อ่ะ.. นี่ !!”
น่านฟ้ายื่นปากกากับสมุดโน้ตเล่มแล็กจากกระป๋าสะพายให้บังหนั่น
“คราวนี้คงไม่มีปัญหาอีกนะ”
บังหนั่นมองสมุดโน้ตกับปากกาในมือด้วยความหนักใจ
สิบทิศตามหาร้อยดาวแล้วก็เริ่มหงุดหงิด สิบทิศมองนาฬิกาข้อมือเพราะเลยเวลาที่นัดหมายกับร้อยดาวนานมากแล้ว
“ไม่รู้จักเวล่ำเวลาบ้างเลย นัดไม่เป็นนัด”
สิบทิศตามหาร้อยดาวจนกระทั่งตามมาถึงที่หน้าประตูรั้วที่บังหนั่นยืนยามอยู่ บังหนั่นส่ายหัวเพราะหนักใจที่พลาดท่ายอมเขียนบอกร้อยดาวไปว่าศพเวียงแก้วถูกฝังอยู่ไหน
“ไม่น่าเลย....นายท่านรู้เข้า ต้องเอาตายแน่ๆ”
สิบทิศเรียก “บังหนั่น !”
บังหนั่นสะดุ้งเฮือกเพราะนึกว่าเป็นเสียงดำรง เขายกมือไหว้ท่วมหัวแล้วละล่ำละลักอย่างร้อนตัว
“บังหนั่นผิดไปแล้วจ้ะนายจ๋า.... ฉันแก่แล้ว ลูกหลานก็ไม่มี นายท่านอย่าไล่ฉันออกเลยนะจ๊ะนาย”
“บังหนั่น ! นี่ฉันเอง !”
สิบทิศยืนทำหน้าฉงน
“โธ่ ! คุณชายนี่เอง นึกว่าคุณท่านเสียอีก ! หัวใจจะวาย !”
สิบทิศถาม “เห็นร้อยดาวไหม ?”
บังหนั่นอึกอักที่ถูกคาดคั้นอีกแล้ว
มารุตเอาจอบขุดดินที่โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆเวียงร้อยดาว มารุตเหงื่อท่วมทั้งตัวจึงยกมือปาดเหงื่อ
“ขุดมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเจอสักที สงสัยจะโดนคนแก่ต้มซะล่ะมั้ง”
“ขุดไปเถอะน่า... บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้ น่ารำคาญ” น่านฟ้าว่า
เสียงจอบกระทบฝาโลงไม้ดังกึก !
“ต้องเป็นโลงศพใบเดียวกับที่บังหนั่นบอกแน่ๆ... รีบเอาขึ้นมาเร็ว” น่านฟ้าบอก
“ก็มาช่วยกันสิ หัดออกแรงเสียบ้าง ไม่ใช่ดีแต่ชี้นิ้ว” มารุตบอก
“เป็นผู้ชายอกสามศอก ให้ผู้หญิงออกแรงได้อย่างไร ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ใครได้นายเป็นแฟนมีหวังซวยทั้งชาติ”
มารุตเขม่นน่านฟ้าแต่ก็ยอมทำตามเพราะกลัวจะเสียฟอร์ม มารุตเอาโลงศพขึ้นมาจากพื้นดินได้สำเร็จ ก็หอบลิ้นห้อย
“จะให้ทำยังไงต่อก็ว่ามา”
“เปิดฝาโลง แล้วเอาศพของคุณแม่เวียงแก้วออกมาเผา”
“ห๊า ! ยูจะให้ไอเป็นสัปเหร่อเนี่ยนะ” มารุตร้องเสียงหลง
“เอาเถอะน่า...ไหนนายบอกว่า” ร้อยดาวดัดเสียงล้อเลียนมารุต“มีอะไรให้ช่วยก็บอกมา ไอยินดีทำเพื่อยูทุกอย่าง” ยังไงล่ะ แค่นี้ทำเป็นบ่น”
มารุตขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงเอาชะแลงงัดตะปูฝาโลงออกมาสำเร็จ ฝาโลงถูกเปิดออก มารุตกับน่านฟ้าชะโงกลงมามอง ทั้งสองเห็นว่าเป็นโลงเปล่า ไร้ศพของเวียงแก้ว
“ไหนล่ะศพ ? นี่มันโลงเปล่าชัดๆ ตาลุงนั่นคงเล่นตลกกับพวกเรา” มารุตว่า
“ไอเชื่อว่าบังหนั่นไม่ได้โกหก แต่ศพของคุณแม่เวียงแก้วถูกย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว” ร้อยดาวบอก
น่านฟ้าสงสัย “ใครย้ายเหรอคะ ?”
ทันใดนั้นร้อยดาวก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเวียงแก้ว ท้องฟ้าเกิดแปรปรวน เมฆทะมึนเคลื่อนครอบคลุมทั่วท้องฟ้าจนมืดมิด ลมแรงพัดฝุ่นฟุ้งตลบจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
มารุตตะโกนแข่งกับลม “นี่มันดีเปรสชั่นหลงฤดูหรือไง”
“ฉันไม่ใช่นักพยากรณ์อากาศ จะไปรู้ไหม ?” น่านฟ้าว่า
ทันใดนั้นพายุที่กรรโชกมาอย่างแรงก็สงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป ไอล่ะงงกับลมฟ้าอากาศที่นี่จริงๆ”
น่านฟ้านึกขึ้นได้ “พี่ร้อยดาวล่ะ ? พี่ร้อยดาวหายไปไหน ?”
“ซวยแล้วไง !!!! รีบแยกย้ายกันตามหาเร็ว”
มารุตกับน่านฟ้าแยกย้ายกันตามหาร้อยดาว
ร้อยดาวรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าอยู่ในโลงศพแคบๆ ที่อยู่ในคุกใต้ดิน
ร้อยดาวเอามือทุบฝาโลงปังๆ แล้วเรียกให้คนช่วย
“ช่วยด้วย !! ใครก็ได้ช่วยฉันที ฉันอยู่ในนี้”
กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นก่อนสลายกลายเป็นเวียงแก้ว
“อย่าร้องไปเลย ไม่มีใครช่วยลูกแม่ได้หรอก...”
“คุณแม่จะทำอะไรหนูคะ ?” ร้อยดาวถาม
“ลูกดื้อ แม่ก็ต้องสั่งสอนเสียบ้าง จะได้หลาบจำ ไม่กล้าขัดคำสั่งฉันอีก”
“ถึงอย่างไรหนูจะต้องหาศพคุณแม่ให้พบและปลดปล่อยคุณแม่ให้ได้”
เวียงแก้วหัวเราะ “ก็เอาสิ ! ลองเล่นซ่อนหากันดูสักตั้ง ! ดูซิว่าลูกกับแม่ ใครมันจะแน่กว่ากัน แกคงอยากรู้สินะว่าศพฉันหายไปได้อย่างไร ฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้”
เวียงแก้วเล่าเหตุการณ์เพื่อเฉลยเรื่องราวให้ร้อยดาวฟัง
ภาพเหตุการณ์ในอดีตแวบขึ้นมาตามที่เวียงแก้วเล่า
ตอนที่วีระวิทย์ที่ถูกเวียงแก้วเข้าสิงกระโดดตูมลงไปในบึงบัวแล้วหายไป
วีระวิทย์โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำที่เกาะกลางบึงบัวฝั่งที่ตั้งของเวียงร้อยดาว
วีระวิทย์เดินร่างแข็งทื่อไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ บริเวณที่บังหนั่นฝังศพเวียงแก้วเอาไว้
วีระวิทย์ขุดดินเอาโลงศพขึ้นมา วีระวิทย์เปิดฝาโลงที่มีซากโครงกระดูกของเวียงแก้วนอนอยู่ในโลงนั้น
เวียงแก้วเล่าให้ร้อยดาวฟัง
“ฉันก็เลยให้มันย้ายศพฉันไปฝังที่อื่นแล้ว ที่ที่ไม่มีใครรู้ นอกจากฉัน...ก่อนที่จะพามันมาหาน้องสาวสุดที่รักของมันที่นี่ ปล่อยให้มันฆ่ากันเอง โดยที่ฉันไม่ต้องลงมือ น่าสนุกดีไหมล่ะ ?”
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่จะเลือดเย็นได้ถึงขนาดนี้ ... พอเสียทีเถอะนะคะ การแก้แค้นยิ่งทำให้คนอื่นยิ่งทวีความแค้น มีแต่การให้อภัยเท่านั้น ที่จะทำให้คนอื่นสำนึกได้”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ นังตัวดี !! สำหรับฉัน เลือดมันต้องล้างด้วยเลือด ถ้าแกไม่ช่วย ก็อย่าแส่มาขวาง ถ้าห้ามแล้วยังไม่ฟัง ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับแก”
“ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ หนูจะคอยขัดขวางทุกวิถีทาง ไม่ยอมให้คุณแม่ก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นอีกต่อไป”
“ยังอวดดีไม่หาย ก็จงตายทั้งเป็นอยู่ในโลงนี่แหละ” เวียงแก้วว่า
เวียงแก้วพูดจบก็สลายร่างไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ใครก็ได้ !!! ช่วยฉันที ฉันอยู่ในนี้”
ร้อยดาวพยายามเอามือทุบฝาโลง เธอพยายามดันแต่ฝาโลงก็ไม่ยอมเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
เสียงทุบโลงปึงๆๆๆ ดัง มารุตหันควั่บไปทางที่จะลงไปยังห้องใต้ดิน มารุตเดินไปทางนั้นและเกือบจะคลำทางถูกอยู่แล้วว่าร้อยดาวอยู่ที่ไหน น้ำหยดหนึ่งหยดลงมาใส่บ่ามารุต มารุตแหงนหน้าขึ้นไปมองจนเห็นร่างเวียงแก้วลอยอยู่บนเพดานขนานกับพื้น มารุตผงะ ตาเหลือกค้างที่เจอผีเวียงแก้วจะจะ
น่านฟ้าเข้ามาตามหาร้อยดาวภายในเวียงร้อยดาวซึ่งมีบรรยากาศวังเวงชวนขนลุก
“พี่ร้อยดาว !!! อยู่ข้างในนี้หรือเปล่าคะ ?”
ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงตุ๊กแกตัวเขื่องร้องตั๊บแกชวนให้ขวัญผวา น่านฟ้าหันหลังเตรียมถอยไปตั้งหลัก สิบทิศจับที่บ่าของน่านฟ้าทำให้เธอตกใจ
“กรี๊ด !!! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยหญิงด้วย”
สิบทิศจับแขนน่านฟ้าเขย่าให้เธอรู้สึกตัว
“หญิง !!! พี่เอง !!!”
น่านฟ้าลืมตา “พี่ชาย !!! หญิงกลัว”
สิบทิศกอดน่านฟ้าเพื่อปลอบขวัญ
“ไม่ต้องกลัว พี่อยู่นี่แล้ว” สิบทิศมองหา “ร้อยดาวล่ะ ?”
น่านฟ้าส่ายหน้าเพราะไม่รู้ว่าร้อยดาวหายไปไหน
“พี่ร้อยดาวหายไปไหนไม่รู้ หญิงกับนายมาร์คกำลังตามหาอยู่ค่ะ”
สิบทิศร้อนใจเพราะเป็นห่วงร้อยดาวขึ้นมาจับใจ
ร้อยดาวเริ่มหมดแรงกับการทุบโลงศพ อากาศภายในโลงเหลือน้อยลงทุกที
เสียงร้อยดาวเริ่มอ่อนแรง “ช่วยด้วย....ช่วยฉันที”
ร้อยดาวหมดแรงที่จะทุบต่อไปจนสลบไป
โลงศพลอยคว้างอยู่กลางอากาศที่มืดมิดและเงียบสงัด ร้อยดาวที่อยู่ในโลงปรือตาขึ้น เธอเห็นแสงสว่างส่องคล้ายปลายอุโมงค์ แล้วค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกทีๆ ทันใดนั้น ร้อยดาวก็แว่วได้ยินเสียงนาคปกรณ์กำลังกล่าวคำขออุปสมบทก้องกังวานจากที่แผ่วเบาพึมพำแทบฟังไม่ได้ศัพท์ค่อยๆดังชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ
“อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อนุโมทามิ”
ร้อยดาวเห็นพระปกรณ์ห่มจีวรเหลืองอร่าม แต่พร่าพรายเลือนลางมากจนมองไม่ชัดว่าเป็นภาพของใครเนื่องจากเป็นภาพย้อนแสง แสงสว่างนั้นเจิดจ้าขึ้นจนร้อยดาวแสบตา
ร้อยดาวเห็นแสงสว่างจ้า เงาตะคุ่มย้อนแสงของสิบทิศที่เปิดฝาโลงมาช่วยไว้ได้ทัน
สิบทิศเสียงก้อง “ร้อยดาว... ร้อยดาว....”
ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลง ร้อยดาวได้ยินเสียงสิบทิศตะโกนเรียกดังอยู่ไกลๆ
เสียงปกรณ์ดังแทรกเสียงสิบทิศ “สัพเพสัตตา อะเวราโหนตุ...”
ร้อยดาวลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าสิบทิศจ้องมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
สิบทิศถามเสียงดุ “เธอเข้าไปทำอะไรที่นั่น ?”
“ศพคุณแม่เวียงแก้วไม่ได้ถูกเผา แต่ยังอยู่ที่ไหนสักที่ที่เวียงร้อยดาว” ร้อยดาวบอก
“เธอรู้ได้อย่างไร ใครบอกเธอ” สิบทิศถาม
“ดิฉันสัมผัสได้ ดิฉันรู้ว่าศพคุณแม่ยังอยู่ในนั้น... ต้องหาให้เจอ”
ร้อยดาวลุกพรวดขึ้นจากเตียงจะกลับไปที่เวียงร้อยดาว แต่สิบทิศจับข้อมือร้อยดาวไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่ให้เธอไป เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายจากสิ่งที่มองไม่เห็น”
“อย่าห้ามดิฉันเลยค่ะ ! ดิฉันเป็นผู้ปลดปล่อยให้วิญญาณคุณแม่เวียงแก้วออกมา ทำให้คนหลายคนในบดินทร์ธรต้องตายศพแล้วศพเล่า ดิฉันต้องรับผิดชอบ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ดิฉันก็ยอม” ร้อยดาวบอก
ทั้งสองจ้องตากัน สิบทิศใจหายวาบเมื่อคิดว่าถ้าร้อยดาวจะต้องตายขึ้นมา ร้อยดาวค่อยๆชักมือออก เพราะจะออกนอกประตูห้อง
“เดี๋ยว !”
ร้อยดาวชะงัก ขณะเอื้อมมือกำลังจะเปิดประตูออกไปแต่ยังไม่หันกลับมามองเพราะนึกว่าสิบทิศจะห้าม
สิบทิศยื่นไม้เท้าให้ “ไม่เอาไม้เท้าของเธอไปด้วยเหรอ ?”
ร้อยดาวรู้สึกตัว เธอหันกลับมามองหน้าสิบทิศอีกครั้งอย่างเต็มๆตา ร้อยดาวเห็นสิบทิศที่ยืนอยู่ น้ำตาของเธอค่อยๆรื้นที่สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
“ฉันเห็น....” ร้อยดาวแตะที่ตาตัวเองอย่างไม่แน่ใจ “ฉันมองเห็นจริงๆหรือนี่...”
“ไหนเธอลองเดินเข้ามาหาฉันซิ”
ร้อยดาวค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆ ก่อนโผเข้าไปกอดสิบทิศด้วยความดีใจ เธอยิ้มด้วยน้ำตาแห่งความยินดี
“ดิฉันมองเห็นแล้วค่ะ คุณชาย...”
สิบทิศยิ้มออกมาโดยเป็นรอยยิ้มแห่งความยินดีที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ
สิบทิศมองตาร้อยดาว “ไม่น่าเชื่อ... เธอหายแล้วจริงๆด้วย”
ร้อยดาวมองสิบทิศแล้วยิ้มทั้งน้ำตาเพราะดีใจจนพูดอะไรไม่ออก
มารุตผมตั้งเด่เพราะถูกผีเวียงแก้วหลอก เขายังกลัวไม่หาย
“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เพิ่งเคยเห็นผีจะๆเต็มๆตาก็คราวนี้ บรื๋อ... พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” มารุตเอามือลูบแขน
“พี่ร้อยดาวเข้าไปอยู่ในโลงศพนั่นได้ยังไง โชคดีนะที่พี่ชายไปช่วยไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้น... โอ๊ย ! ไม่อยากคิดสภาพ” น่านฟ้าหวาดเสียว
“ต้องเป็นฝีมือผีผู้หญิงตัวเดียวกับที่ไอเห็นที่บ้านร้างนั่นแน่ๆ” มารุตว่า
“ฉันก็เข้าไปที่เวียงร้อยดาว แต่ไม่ยักเจอผีที่นายว่า แน่ใจนะ นายฝรั่งขี้นกว่าไม่ได้ตาฝาด ทึกทักเอาเอง” น่านฟ้าถาม
“ผมบนหัวฉันเป็นพยาน คนที่ไหนจะลอยอยู่กลางอากาศได้ ถ้าไม่ใช่ผี”
“แล้วทำไมผีมันต้องหลอกนายคนเดียวด้วยล่ะ ทำไมฉันไม่โดนหลอก”
น่านฟ้าขมวดคิ้วครุ่นคิด
รัตนากรยิ้มด้วยความยินดีเมื่อรู้ว่าร้อยดาวตาหายเป็นปกติ
“พ้นเคราะห์พ้นโศกกันเสียทีนะ หนูร้อยดาว... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยังไม่ทันได้รักษา อยู่ๆตาที่มองไม่เห็นก็หายได้เองราวปาฏิหาริย์”
“หวิดเป็นหวิดตายมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ทุกที แมวเก้าชีวิตแท้ๆแม่คนนี้ ! เข้ามาใกล้ๆฉันนี่ซิ” ดำรงบอก
ร้อยดาวค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาดำรง ดำรงเอามือช้อนคางของร้อยดาวขึ้นมาพิศดูหน้าอย่าชัดๆ
ดำรงพูด “ถ้าพ่อแม่ของหล่อนยังอยู่ก็คงจะดี”
ร้อยดาวมีสีหน้าหม่นเศร้าลงเพราะคิดถึงดิลกกับจันทร์ฉายขึ้นมา
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว จะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไม...” รัตนากรตัดบท “พูดเรื่องงานรับขวัญหลานตัวที่กลับมามองเห็นดีกว่า ป้าว่าจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ที่เวฬุมาศ เชิญแขกเหรื่อมาร่วมยินดีกับหนูร้อยดาว เอาให้เอิกเกริกยิ่งกว่างานหมั้นเสียอีก ดีไหม ?” รัตนากรหันมาถามร้อยดาว
“อย่าต้องให้สิ้นเปลืองเลยเพคะ ตาของหม่อมฉันหายดี กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว หม่อมฉันขอประทานอนุญาตทำบุญเลี้ยงพระที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แทนการจัดงานเลี้ยงฉลองจะดีกว่า”
“ฉันมองคนไว้ไม่มีผิด ! เห็นทีคงต้องรีบอุ้มสมให้สิบทิศกับหลานตัวร่วมเรียงเคียงหมอนกันให้ไวเสียแล้วกระมัง ขืนมัวแต่มะงุมมะงาหรา หนุ่มที่ไหนฉวยคว้าไป ฉันคงเสียดายแย่”
สิบทิศกับร้อยดาวมองหน้ากันกระอักกระอ่วน
ดำรงกับรัตนากรเดินคุยกันในสวนร่มรื่น
“อาการประชวรของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง กระหม่อม ?” ดำรงถาม
“มะเร็ง รักษาให้หายได้ด้วยหรือ ? มีแต่ยื้อลมหายใจไปมื้อๆเท่านั้น เราถึงอยากอุ้มเหลนก่อนที่จะหมดโอกาส” รัตนากรบอก
“อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินพระทัย กระหม่อมอยากให้ดูกันไปนานๆ”
“ไม่ทันไรก็กลืนน้ำลายตัวเองเสียแล้ว... ใครนะที่เคยให้สัญญาว่า หากแม้มิได้เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกันในชาตินี้ อย่างน้อยก็ขอให้มีลูกหลานได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ขอเพียงแค่เราตรัส ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ขัดทั้งนั้น”
“ไหนฝ่าบาททรงห้ามกระหม่อมไม่ให้รื้อฟื้นเรื่องที่แล้วไปแล้ว ?”
“แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องรื้อฟื้น ! แก่แล้วยังทำตัวเป็นพ่อปลาไหลอีก”
ดำรงกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
“บอกเราให้หายข้องใจก่อนตายซิ ! ทำไมวันนั้นตัวถึงได้สะบั้นรักเราแล้วไปแต่งงานกับคนอื่น”
“กระหม่อมต่ำต้อย มิอาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้าหรอกฝ่าบาท จะพลอยดึงของสูงล้ำค่าให้ลงมาต่ำเสียเปล่าๆ” ดำรงว่า
“ความรักไม่มีพรมแดนหรอกนะ ไม่มีชาติ ไม่มีชั้น ไม่มีวรรณะศักดินา ถ้าคิดจะรักใครก็ต้องลืมเงื่อนไขต่างๆให้หมด แล้วจงซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง อย่าปล่อยให้ร้อยดาวหลานตัวต้องทรมานใจกับการเฝ้ารอใครสักคนเหมือนที่เรารอเลยนะ”
ดำรงสะท้อนใจที่ปล่อยให้รัตนากรรอมาทั้งชีวิต
สิบทิศนั่งตรวจดวงตาของร้อยดาวดูอาการอีกครั้งแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“ที่ดวงตาของเธอกลับมามองเห็น อาจเป็นเพราะวิญญาณคุณเวียงแก้วยอมยกโทษให้เธอแล้วก็ได้” สิบทิศบอก
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณแม่เวียงแก้วไม่มีวันยกโทษให้ดิฉัน เช่นเดียวกับคนที่เคยทำกับท่านไว้ในอดีต”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกล้มความตั้งใจของเธอซะ เพราะถึงอย่างไรเธอก็หยุดความอาฆาตแค้นพยาบาทของคุณเวียงแก้วไม่ได้อยู่ดี”
“จะให้ดิฉันนิ่งดูดาย รอดูผู้คนในบดินทร์ธรล้มตายตรงหน้าอย่างนั้นน่ะหรือคะ ดิฉันทำไม่ได้”
“แต่สิ่งที่เธอกำลังสู้ด้วย ไม่ใช่คน เชื่อฉัน...ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ซะแล้วกลับไปใช้ชีวิตที่อังกฤษตามเดิม”
“ดูเหมือนคุณชายอยากผลักไสไล่ส่งดิฉันให้ไปจากที่นี่เหลือเกิน ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ภารกิจของดิฉันเสร็จสิ้นเมื่อไร ดิฉันไปแน่”
ร้อยดาวพูดจบก็เดินจากไป
สิบทิศจะห้ามแต่ก็ปากหนัก เขาเจ็บใจตัวเองที่เผลอพลั้งปากพูดออกไปอย่างนั้น
จงจิตยืนมองร้อยดาวอยู่ที่ระเบียงข้างๆสร้อยฟ้า
“นังร้อยดาวมันคงได้ยาดีจากคุณชาย ตามันถึงได้หายเป็นปลิดทิ้งไม่รู้รักษากันอีท่าไหน” จงจิตว่า
“มันคงร่านตั้งแต่อยู่ในท้องแม่….โอ๊ย...”
สร้อยฟ้ายังพูดไม่ขาดคำเด็กผีที่อยู่ในท้องของเธอก็ถีบท้องเธอเต็มแรง สร้อยฟ้าเอามือกุมท้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกเพราะปวดอย่างแรง
“ใครเสกหนังควายเข้าท้องหรือไง ทำท่าจะเป็นจะตาย” จงจิตว่า
“ช่วยฉันด้วย !!! มันอยู่ในท้อง....” สร้อยฟ้าบอก
“อะไร ?”
“ไอ้เด็กผี ลูกอีนังกระถิน”
“จะบ้าไปแล้วหรือไง ทารกปีศาจนั่น หล่อนเอามันใส่หม้อไปฝังแล้วไม่ใช่เหรอ ?”
สร้อยฟ้าส่ายหน้า “ยัง !!! มันยังไม่ตาย... มันกลับเข้ามาอยู่ในท้องฉัน !!! ผีอีเวียงแก้วส่งมันมา !!! มันยังอยู่ !!! มันกลับมาแล้ว”
“ว่าไงนะ”
สร้อยฟ้าจับมือจงจิตแล้วพูดหนักแน่น “ผีอีเวียงแก้วมันกลับมาแล้ว”
ทันใดนั้น เต็มเดือนในชุดขาวเพราะเตรียมจะไปวัดก็เดินเข้ามา
“กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ?”
สร้อยฟ้ากับจงจิตใจหายวาบเมื่อได้ยินเสียงเต็มเดือน
“แม่สร้อยฟ้าน่ะสิคะ อยู่ๆก็ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ” จงจิตบอก
“หายาธาตุมากินซะ หรือไม่ก็ให้คนไปตามหมอ” เต็มเดือนพูด
อาการปวดท้องของสร้อยฟ้าค่อยทุเลาลง
“ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างแล้วค่ะ คุณพี่....”สร้อยฟ้าบอก
“เออดี !!! นึกจะหายก็หายซะดื้อๆ ! แล้วนี่คุณพี่จะออกไปไหนคะ ?”
“ไปวัด !”
เต็มเดือนตอบห้วนๆ แล้วรีบเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้าตึกก่อนจะบึ่งออกไปทันที
“คนอย่างนังเต็มเดือนเข้าวัดเข้าวา ดูท่าน้ำคงจะท่วมหล็งเป็ด”
“โธ่เอ๊ย... ทำเป็นพูดดี ที่แท้ก็กลัวผีอีเวียงแก้วจนขี้ขึ้นสมอง จนต้องหันหน้าเข้าหาวัดนั่นแหละว๊า...”
จงจิตประหวั่นใจว่าผีเวียงแก้วจะกลับมาอาละวาดอีกครั้งจริงๆหรือ
จงจิตรื้อตามลิ้นชักตามกำปั่นใบเล็กๆ เพื่อหาเบี้ยแก้ให้ขวั่ก จนพบในกำปั่นเล็กๆใบหนึ่ง จงจิตหยิบขึ้นมาจบแล้วอาราธนาท่วมหัวก่อนจะคล้องคอเอาไว้ เธอหวนคิดถึงลูกขึ้นมา
“ยัยดา !”
จงจิตฉุกคิดถึงลูกจึงรีบตามหาด้วยความเป็นห่วงทันที
พระประธานในอุโบสถสวยงามและยิ้มด้วยความเมตตา เต็มเดือนนุ่งขาวห่มขาว ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์พระอย่างสวยงามแล้วอธิษฐานต่อพระประธาน
“ขอให้วิญญาณชั่วร้ายของเวียงแก้ว จงพินาศย่อยยับ พ่ายแพ้ต่ออำนาจพระพุทธคุณที่ปกปักรักษา”
จิ้งจกตกลงมาตรงหน้าเต็มเดือนคล้ายจะเป็นลาง เต็มเดือนไม่พอใจจึงหยิบเอาเชิงเทียนที่จุดบูชาพระ ขึ้นมาแล้วเอาน้ำตาเทียนเทราดจิ้งจกจนตาย เต็มเดือนยิ้มอย่างโหดเหี้ยมก่อนหลับตานั่งสมาธิเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จงจิตตามหาดารกาด้วยความเป็นห่วงจนทั่วแต่หาเท่าไรก็ไม่พบ จนกระทั่งมาที่หลังตึก ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของดารกามาจากในบ่อน้ำ
จงจิตใจหายวาบ “ยัยดา”
จงจิตรีบปราดเข้าไปชะโงกหน้ามองในบ่อทันที เธอเห็นดารกานั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ที่ก้นบ่อ จงจิตไม่รอช้า เธอเหลียวซ้ายแลขวาหาเชือก แล้วรีบโยนลงไปช่วยทันที
“จับเชือกไว้ !!! เร็วเข้า”
ดารกาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ โดยยังสะอื้นตัวสั่นน้อยๆ จงจิตตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าพอผู้หญิงที่ก้นบ่อเงยหน้าขึ้นมากลับไม่ใช่ดารกาแต่เป็นเวียงแก้วที่มีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ระเบิดหัวเราะลั่น
“ลงมาอยู่ด้วยกันกับข้าเจ้าในบ่อนี่สิเจ้า ฮ่าๆๆ”
จงจิตผงะ “อีเวียงแก้ว”
จงจิตถอยหลังกรูดด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันหลังกลับ จงจิตตาเบิกโพลงเมื่อเห็นดารกายืนนิ่งอยู่ด้านหลัง จงจิตถอยหลัง ปากสั่นเพราะกลัวว่าเป็นดารกาตัวปลอม
ดารกาเอ่ยถาม “คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“ยัยดา... ใครใช้ให้แกมาทำอะไรที่นี่ ?”
“แถวนี้เงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน ดาชอบมานั่งเล่นคนเดียวที่นี่”
“อย่ามาแถวนี้อีกเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ ทำไมถึงมาไม่ได้”
“ฉันสั่ง แกมีหน้าที่ทำตาม ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น !!! อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าแกยังมาที่นี่อีก !!! ไป !!! กลับห้องกับแม่เดี๋ยวนี้”
จงจิตฉุดกระชากดารกาออกไป
กลุ่มดาวนายพรานส่องสว่างบนท้องฟ้าคล้ายรอยกากบาทปริศนาทั้ง 4 รอยบนเพดานโถงกลาง ร้อยดาวแหงนมองรอยกากบาทแล้วก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี
“เหลืออีกตั้ง 4 รอยเลยเหรอ ?”
เสียงตวาดของเวียงแก้วดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“เหลืออีกแค่ 4 รอยต่างหาก”
ร้อยดาวสะดุ้งหันกลับไปก็เห็นเวียงแก้วยืนจ้องเขม็งอยู่ทางด้านหลัง
“การจองล้างจองผลาญของฉันกำลังใกล้จะสิ้นสุดแล้ว” เวียงแก้วบอก
“ไม่มีทาง เพราะผลกรรมที่คุณแม่ทำไว้จะส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ผลัดกันเป็นเจ้ากรรมนายเวร ต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น” ร้อยดาวว่า
“ตาหายไม่ทันไร ก็ปากกล้าขึ้นมาเชียว ! ถ้าฉันไม่เห็นว่าแกมีสายสัมพันธ์กับฉัน ฉันฆ่าแกที่กล้าตบตาฉันตั้งนานแล้ว...แม่ร้อยดาว”
ร้อยดาวสะดุ้งเฮือกเพราะกลัวว่าผีเวียงแก้วจะรู้ความจริง
“รอยกากบาททั้ง 7 รอยนั่นเป็นตราบาปที่พวกมันต้องชดใช้...รอยแรกสำหรับไอ้สัตว์นรกทั้งหกที่รุมข่มขืนฉัน... รอยที่ 2 เป็นของไอ้หมอผีชั่วที่สะกดวิญญาณฉัน ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด... ส่วนรอยที่ 3” เวียงแก้วหัวเราะ “จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนหูเบา โง่เขลา และเห็นแก่ตัวอย่างพ่อแก”
“แล้วอีก 4 รอยที่เหลือล่ะคะ ? คุณสร้อยฟ้า...แล้วใครอีก” ร้อยดาวว่า
“เฉลยตอนนี้ก็หมดสนุกกันน่ะสิ ! รอดูสิ่งที่ฉันตอบแทนนังแพศยากาลีกับลูกๆของมันดีกว่าว่าจะสาสมสักแค่ไหน”
เวียงแก้วหัวเราะลั่น แล้วหายตัวไป
“ดาราเรศ... อย่านะคะคุณแม่”
นมแสงได้ยินเสียงร้อยดาวก็รีบเข้ามาดู
“มีอะไรเหรอคะ คุณหนู ?”
“นม !!! ไปกับฉัน”
ร้อยดาวนึกเป็นห่วงสร้อยฟ้ากับดาราเรศขึ้นมาทันที
สร้อยฟ้าปวดท้องอย่างแรงในขณะยืนเคาะประตูหน้าห้องดาราเรศโดยหวังให้ลูกมาช่วยดูแล
“ยัยเรศ !!! แม่ปวดท้อง !! เปิดประตูให้แม่หน่อยซิลูก ยัยเรศ”
ผีวีระวิทย์ที่อยู่ในห้องจ้องเขม็ง เขาลอยอยู่เหนือตัวดาราเรศบนเตียงในลักษณะเหมือนดาราเรศถูกผีอำ ทำให้กระดุกกระดิกหรือกระทั่งร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้ ดาราเรศน้ำตาไหลพราก สร้อยฟ้าขยับประตูแต่ประตูล็อคจากข้างใน
“ยัยเรศนะยัยเรศ ทำไมถึงได้นอนขี้เซาอย่างนี้นะ”
ทันใดนั้น ประตูห้องดาราเรศก็เปิดออกมาเองอย่างช้าๆ สร้อยฟ้าผลักประตูเข้าไปภายใน สร้อยฟ้า ไม่พบแม้แต่เงาของดาราเรศ
“ลูกนะลูก ! ดีแต่ออกไปตะลอนๆนอกบ้าน ไม่เคยนึกเป็นห่วงแม่มั่งเลย โอ๊ยย !!”
สร้อยฟ้าปวดท้องจนตัวงอ เธอค่อยๆปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องดาราเรศไป ผีวีระวิทย์แสยะยิ้ม ที่ดาราเรศอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่สร้อยฟ้ากลับมองไม่เห็น
สร้อยฟ้ากลับมาที่ห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งด้วยความปวด
“ซี๊ดส์... ทำไมถึงได้ปวดอย่างนี้นะ”
สร้อยฟ้าเอามือบีบที่ท้องตัวเองเพื่อจะระงับปวด เลือดสดๆทะลักออกมาไหลรดต้นขาลงแล้วนองที่พื้น
สร้อยฟ้าตาเหลือกลานด้วยความช็อค
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 12 (ต่อ)
ร้อยดาวพานมแสงเปิดประตูเข้ามาภายในห้องดาราเรศ แต่เธอเห็นห้องดาราเรศว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่
“คุณหนูดาราเรศยังไม่กลับหรอกค่ะ นมไม่เห็นเธอตั้งหลายวันแล้ว” นมแสงบอก
ดาราเรศนอนอยู่บนเตียง โดยผีวีระวิทย์บังตาอยู่ทำให้มองไม่เห็น
ดาราเรศพยายามขยับนิ้ว เธอกระดิกได้เล็กน้อยก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ
ดาราเรศร้องเสียงเบามาก “ช่วย...ด้วย...”
ร้อยดาวหันควับมาทางเตียงนอนที่ว่างเปล่า
“นมได้ยินเสียงไหม ?”
“เสียงอะไร ไม่มีนี่คะ ?”
ร้อยดาวเดินมาหยุดที่เตียงแล้วมองอย่างสงสัย เธอเห็นบนเตียงแบนราบว่างเปล่า มีเพียงผ้าคลุมเตียงบางๆอยู่ผืนเดียว รอยผ้าปูที่นอนที่บริเวณนิ้วของดาราเรศขยับเล็กน้อย ร้อยดาวมองอย่างประหลาดใจ ก่อนตัดสินใจกระชากผ้าคลุมเตียงผืนนั้นออก ทันใดนั้นนมแสงก็ตาค้าง เมื่อเห็นดาราเรศนอนอยู่ใต้ผ้าคลุมเตียงบางๆผืนนั้น
“คุณหนูดาราเรศ !”
ผีวีระวิทย์หายวับไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถบังตาได้สำเร็จ ดาราเรศร้องไห้ละล่ำละลักก่อนจะโผเข้ากอดร้อยดาวอย่างเสียขวัญ
“ร้อยดาว ! ช่วยฉันด้วย ! ฉันกลัว”
ร้อยดาวค่อยโล่งใจที่สามารถช่วยดาราเรศเอาไว้ได้
เลือดจากช่องคลอดสร้อยฟ้าไหลนองพื้นทะลักราวท่อประปาแตก ทันใดนั้นท้องของสร้อยฟ้าก็โป่งนูนราวกับคนท้อง 9 เดือน สร้อยฟ้าเบิกตาโพลงด้วยความกลัว เวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นแล้วเดินก้าวออกมาจากกระจกบานยาวที่ตั้งพื้น
“ตกใจมากหรือเจ้า ?”
เวียงแก้วเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าสร้อยฟ้า
“แก...แกจะทำอะไรฉัน ห๊า ! อีผีบ้า”
“ข้าเจ้าก็ทำเหมือนอย่างที่คุณสร้อยฟ้าเคยทำกับข้าเจ้านั่นแหละ”
สร้อยฟ้าหวนคิดถึงกรรมที่เคยทำกับเวียงแก้วในอดีต
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เวียงแก้วท้องแก่กำลังนอนอยู่บนเตียงที่เวียงร้อยดาวทั้งน้ำตา
ภาพตอนที่ปกรณ์ถูกสร้อยฟ้าทำเสน่ห์จนหลงรักจนหัวปักหัวปำแวบขึ้นมา
สร้อยฟ้าก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบแล้วค่อยๆย่องเข้ามาหาเวียงแก้วที่กำลังหลับอยู่ เวียงแก้วรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นสร้อยฟ้ายืนอยู่ที่ปลายเตียง
เวียงแก้วตกใจ “คุณสร้อยฟ้า”
สร้อยฟ้าปรี่เข้าไปหาแล้วกดท้องเวียงแก้วอย่างแรงหมายจะทำให้แท้ง
“โอ๊ยย.... ข้าเจ้าเจ็บ....”
“เออสิ ! ถ้าไม่เจ็บ ฉันจะทำไปทำไม !!! ฉันอยากจะรู้นัก อ้ายอีที่อยู่ในท้องแก มันลูกหมาหรือผีห่าซาตานที่ไหนชิงมาเกิด”
สร้อยฟ้าข่มท้องหนักมือขึ้นจนเกิดภาวะเลือดซึม
เวียงแก้วร้องลั่น “อ๊ายย.....”
“โผล่หัวออกมาซะดีๆ !!! ไอ้เด็กนรก”
ทันใดนั้น นมแสงได้ยินเสียงเวียงแก้วร้องจึงรีบวิ่งเข้ามา
“นั่นใครน่ะ !” นมแสงถาม
นมแสงเห็นสร้อยฟ้าหันมาให้เห็นหน้าเต็มๆตา
“คุณสร้อยฟ้า !!”
สร้อยฟ้าหันมาแล้วก็รู้สึกขัดใจที่นมแสงเข้ามาขวางจึงเข้าไปขู่ตะคอกใส่หน้านมแสง
“ปิดปากให้สนิทนะอีแก่ !! ถ้าไม่อยากฟันร่วงหมดปาก”
สร้อยฟ้าเดินกระแทกเท้าปึงปังจากไป
“คุณเวียงแก้ว”
นมแสงรีบเข้าไปดูเวียงแก้วกับลูกในท้องว่ายังปลอดภัยดีหรือไม่
เมื่อนุกถึงเหตุการณ์ในอดีต สร้อยฟ้าก็ถึงกับเหงื่อผุดเพราะพอจะรู้แล้วว่าวียงแก้วจะทำอะไรกับตน
“คุณสร้อยฟ้าคงผิดหวังมากสินะเจ้า ที่คืนนั้นร้อยดาวลูกข้าเจ้าดวงแข็ง ไม่แท้งออกมาเสียก่อน...คืนนี้เป็นทีของข้าเจ้าบ้าง อยากจะรู้นัก ไอ้ที่อยู่ในท้องคุณสร้อยฟ้า มันลูกหมาหรือผีห่าซาตานที่ไหนชิงมาเกิด”
เวียงแก้วออกแรงข่มท้องสร้อยฟ้าอย่างแรง
สร้อยฟ้าร้องลั่น “อ๊าย...”
ทันใดนั้น ร่างเด็กผีก็หลุดผลัวะออกมาจากท้องของสร้อยฟ้าโดยมีสายรกระโยงระยางเต็มไปหมด
“ดูสิเจ้า !!! หลานคุณสร้อยฟ้าหน้าตาเหมือนย่าไม่มีผิด”
เด็กผีที่เวียงแก้วอุ้มหัวเราะเอิ้กอ้าก
“ย่าจ๋า... มาเล่นกันเถอะ...มาเล่นกันเถอะ” เด็กผีหัวเราะ
สร้อยฟ้าปรือตาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเนื่องจากเสียเลือดมาก
ร้อยดาวพาดาราเรศมานั่งที่เตียง
“คืนนี้ คุณดาราเรศพักกับฉันที่ห้องนี้ก่อนนะคะ”
ดาราเรศยังหวาดกลัวและเสียขวัญอยู่
“ผีพี่วีระวิทย์ จะไม่ตามมาแน่นะ” ดาราเรศถาม
“ก่อนนอน ลองสวดแผ่เมตตาให้พี่ชายคุณดูสิคะ ดวงวิญญาณของเขาจะได้สงบ ไม่ทุรนทุรายตามมาหลอกหลอน”
ดาราเรศกุมมือร้อยดาวไว้แล้วมองอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบใจเธอมากนะ ร้อยดาว”
ร้อยดาวยิ้มก่อนจะรู้สึกปวดหัวอย่างแรง เธอเห็นภาพพร่าเลือนเหตุการณ์ในอดีตวูบหนึ่งแล้วหายไป เลือดกำเดาของร้อยดาวค่อยๆไหลออกจากจมูก
ดาราเรศถาม “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เลือดกำเดาเธอไหล”
ร้อยดาวเอามือแตะที่จมูกแล้วเอามาดูก็เห็นเลือดแดงสด
“เดี๋ยวฉันมานะคะ” ร้อยดาวบอก
ร้อยดาวพรวดพราดออกไปจากห้อง ดาราเรศมองตามด้วยความแปลกใจ
ร้อยดาวเอาผ้าเช็ดหน้าซับเลือดกำเดาที่จมูกแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องสร้อยฟ้า
ร้อยดาวเปิดประตูห้องสร้อยฟ้าเข้ามา เธอเห็นสร้อยฟ้านอนสลบหน้าซีดอยู่ที่พื้นคล้ายคนที่ตายไปแล้ว ร้อยดาวเข้าไปเขย่าตัวสร้อยฟ้า
“คุณสร้อยฟ้าคะ ! คุณสร้อยฟ้า”
ร้อยดาวเห็นสร้อยฟ้านอนนิ่ง ไม่ไหวติงจึงเอานิ้วค่อยๆไปจ่อที่จมูกสร้อยฟ้า ทันใดนั้น สร้อยฟ้าก็รู้สึกตัวพรวดพราดขึ้นมาจนร้อยดาวตกใจผงะออก สร้อยฟ้าเลิ่กลั่กก่อนจะเอามือจับท้องเพราะหายแล้วแต่ใจยังเต้นไม่หาย
“ท้องฉัน ! ไอ้เด็กผี ! อีเวียงแก้ว”
สร้อยฟ้าไม่เห็นทารกผีหรือเลือดสักหยด
“ฉันเห็นคุณหมดสติอยู่ที่พื้น คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
ร้อยดาวเห็นที่หน้าผากของสร้อยฟ้ามีกากบาทสีดำปรากฏอยู่วูบหนึ่งแล้วจางหายไป ร้อยดาวถึงกับช็อคเพราะรู้ดีว่าสัญญาณปรากฏหมายถึงสร้อยฟ้าจะต้องตายเป็นรายต่อไป
ร้อยดาวพูดออกมา “คุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”
สร้อยฟ้าปัดมือร้อยดาวออกด้วยอาการหวาดระแวงเพราะไม่เข้าใจว่าร้อยดาวจะสื่ออะไร
“อย่ามายุ่งกับฉัน !” สร้อยฟ้าตวาด “ออกไป ! ยังจะมาจ้องหน้าฉันอีก ! ไป๊”
สร้อยฟ้าผลักร้อยดาวกระเด็นแล้วเอาของที่อยู่ใกล้ๆปาใส่ ร้อยดาวออกจากห้องสร้อยฟ้าไปอย่างงงๆ
สร้อยฟ้ารีบล็อคประตูห้องแล้วส่องกระจกดูหน้าตัวเองเพราะยังช็อคกับเรื่องผีเวียงแก้วไม่หาย
เช้าวันใหม่ เต็มเดือนยื่นถ้วยยาบำรุงให้ดำรง
“ได้เวลารับประทานยาบำรุงแล้วค่ะ คุณพ่อ”
ดำรงทำท่าจะดื่มยาบำรุงแต่กะจะลอบเททิ้งเหมือนอย่างเคย เต็มเดือนนั่งจ้องตาเขม็งทำให้ดำรงไม่มีโอกาสเทยาทิ้ง
“เอาไว้ก่อน ฉันยังไม่อยากกินตอนนี้” ดำรงบอก
ดำรงวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ เต็มเดือนหยิบถ้วยยาขึ้นมา
เต็มเดือนพูดแกมบังคับ “คุณพ่อต้องรับประทานค่ะ ไม่อย่างนั้นจะไม่หาย”
เต็มเดือนใช้ช้อนตักยาจ่อที่ปากของดำรงแล้วใช้แววตาจ้องเขม็ง แต่ฉาบด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ปรมัตถ์เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“มาก็ดีแล้ว พ่อปรมัตถ์ ฉันกำลังอยากคุยด้วยพอดี นั่งสิ” ดำรงบอก
ปรมัตถ์นั่งลงตรงข้ามเต็มเดือนแล้วมองอย่างรู้เช่นเห็นชาติ เต็มเดือนวางถ้วยยาบนโต๊ะโดยแอบไม่พอใจแต่ก็เก็บอาการไว้
“คุณพ่อคงมีธุระสำคัญมากสินะคะ ถึงได้เรียกปรมัตถ์ให้มาพบแต่เช้า”
“ใช่ สำคัญมาก ! เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกันตามลำพังเท่านั้น”
เต็มเดือนรู้ว่าดำรงไล่อยู่ในทีจึงลุกออกจากห้องไปอย่างกลั้นโทสะ พอเต็มเดือนออกไปจากห้องแล้ว ดำรงจึงพูดกับปรมัตถ์
“อีก 7 วัน ตามทวีปให้มาที่นี่ ฉันจะเปิดพินัยกรรมของเจ้าดิลก”
“แล้วกระผมจะเรียนให้คุณพ่อทราบครับ”
ประตูเปิดแง้ม เต็มเดือนซึ่งแอบฟังอยู่รู้เรื่องก็ยิ้มพราย
สามสะใภ้นั่งจิบชาอยู่ในสวน สร้อยฟ้ายังอยู่ในอาการหวาดระแวงผิดกับเต็มเดือนที่ดูแจ่มใสผิดปกติ จนจงจิตต้องทัก
“นั่งหน้าบานแปดกลีบสิบสองกลีบเชียวนะคะ มีเรื่องอะไรน่ายินดีสำหรับคุณพี่ไม่ทราบ”
“คุณพ่อกำลังจะเปิดพินัยกรรมส่วนของดิลก” เต็มเดือนบอก
“ดิลกเสียชีวิตครบร้อยวันแล้วเหรอคะ” จงจิตถามต่อ
“อีก 7 วัน” เต็มเดือนยิ้ม “ดิลกกับจันทร์ฉายไม่มีลูกไว้สืบสกุลสักคน สมบัติพัสถานที่มีอยู่ทั้งหมดจะยกให้ใคร หากไม่ใช่พ่อของตัวเอง”
จงจิตตาโต “ก็เท่ากับว่าถ้าคุณพ่อเกิดสิเน่หาทำพินัยกรรมยกมรดกให้ใคร คนๆนั้นก็จะได้สมบัติทั้งหมดของดิลกด้วยน่ะสิคะ”
“ลืมอีนังร้อยดาวไปแล้วเหรอ ถึงอย่างไรดิลกก็ได้ชื่อว่าเป็นอามัน คงไม่ใจจืดใจดำกับหลานตัวหรอก ขี้หมูขี้หมาก็ตกยกสมบัติให้มันบ้าง” สร้อยฟ้าว่า
“คนตายไม่มีสิทธิ์ได้มรดกหรอกนะ แม่สร้อยฟ้า...” เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนยิ้มเย็นๆ จนน่าขนลุกแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างรู้ดีว่าดำรงเขียนพินัยกรรมยกสมบัติให้ตัวเอง
สร้อยฟ้ากลับไม่รู้สึกยินดีกับสมบัติอย่างที่ควรจะเป็น
ปรมัตถ์เดินคุยกับร้อยดาวอยู่ตามทางเดินโดยร้อยดาวจะไปส่งปรมัตถ์ที่ด้านหน้าตึก
“ก่อนที่คุณดิลกจะเดินทางไปอยู่ที่อังกฤษ ได้มอบหมายให้คุณพ่อดูแลผลประโยชน์ทั้งค่าเช่าที่ดินและตึกแถวทั้งหมดที่กรุงเทพฯ แล้วโอนเข้าบัญชีเงินฝากของคุณดิลกที่โน่นทุกเดือน”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณพ่อดิลกติดต่อกับคุณลุงทวีปมาโดยตลอด ไม่เคยรู้สักเรื่องที่เกิดขึ้นในบดินทร์ธร จนกระทั่งฉันได้เข้ามาอยู่ที่นี่” ร้อยดาวว่า
“คุณดิลกคงเกรงว่าคุณหนูจะอยากกลับมาที่นี่ จึงปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ”
“ถ้าคุณลุงทวีปไม่ส่งจดหมายตามให้ฉันบินมาเปิดพินัยกรรมของคุณพ่อปกรณ์ในฐานะทายาทคนหนึ่งของบดินทร์ธร ฉันก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่องในอดีตที่เก็บงำอำพรางมาถึงยี่สิบห้าปี... ฉันต้องสะสางมันให้จบก่อนที่จะบินกลับไปใช้ชีวิตที่โน่นตามเดิม”
“จะบินกลับไปอังกฤษ ! แล้วเรื่องงานแต่งงานระหว่างคุณหนูกับคุณชายสิบทิศล่ะครับ ?”
ร้อยดาวยังคิดไม่ตกเรื่องแต่งงานกับสิบทิศว่าจะเอาอย่างไรดี
ดาราเรศยังนอนไม่ตื่น ขอบตาของเธอดำคล้ำเนื่องจากอดนอนมาหลายวัน ดาราเรศพลิกตัวมานอนตะแคงแล้วรู้สึกเหมือนคนนอนอยู่ข้างๆ จึงค่อยๆลืมตาขึ้น ดาราเรศเห็นผีวีระวิทย์ที่มีใบหน้าสยดสยองนอนอยู่ ก็ผงะตกใจ ถอยกรูดจนตกเตียง เธออยากจะตะโกนร้องดังๆ แต่ก็ไม่มีเสียงและรู้สึกจุกไปหมด ดาราเรศวิ่งไปเปิดประตูแต่เปิดเท่าไรก็เปิดไม่ออก
“เปิดสิ เปิด !!”
วีระวิทย์เดินย่างสามขุมเข้ามาหาช้าๆ
“จะไปไหน อยู่กับพี่นี่แหละ เราเป็นพี่น้องกัน จะทิ้งกันได้อย่างไร”
ดาราเรศยกมือไหว้ปลกๆ แล้วก็น้ำตาเล็ดก่อนจะขอชีวิต
“อย่าเข้ามา ! เรศกลัวแล้ว ! เรศไม่ได้อยากฆ่าพี่ นังผีร้ายมันสั่งให้ฆ่า”
“ผีร้ายไหนๆที่ว่าน่ากลัว มันก็ไม่เหมือนผีชั่วที่อยู่ในใจแกหรอก”
“พี่อยากได้อะไรก็ว่ามา เรศจะทำบุญกรวดน้ำไปให้”
“คนตายแล้วยังจะอยากได้อะไร พี่ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจาก...”
ดาราเรศมุนตัวกระถดถอยจนกระทั่งชิดกับหน้าต่างกระจกด้านหนึ่ง
“อะไร ? พี่อยากได้อะไร ? บอกมา เรศยอมให้พี่ทุกอย่าง !!”
วีระวิทย์แสยะยิ้มอย่างพอใจ “ไปอยู่กับพี่เถอะ...”
วีระวิทย์แสยะยิ้มก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาหาดาราเรศที่ยืนตัวสั่นอย่างจนตรอก ดาราเรศนัยน์ตาเหลือกและอ้าปากค้าง
ดาราเรศพุ่งทะลุกระจกแตกและกระเด็นออกมาจากห้องปกรณ์ที่อยู่ชั้นบนสุด ร้อยดาวกับปรมัตถ์ที่ยืนคุยกันอยู่แปลกใจที่ได้ยินเสียงกระจกแตก ร่างดาราเรศตกลงมาที่โต๊ะกลางวงจิบน้ำชาของสามสะใภ้ สามสะใภ้มองแล้วช็อคจนตาค้างต่อภาพสยดสยองตรงหน้า โดยเฉพาะสร้อยฟ้า ดาราเรศตาเหลือกค้าง เลือดออกปาก ออกจมูก และขาดใจตายคาที่
สร้อยฟ้าตกใจ “ยัยเรศ !!”
ร้อยดาวกับปรมัตถ์รีบวิ่งมาดูที่เกิดเหตุ
“คุณดาราเรศ”
“ยัยเรศ !!! ลุกขึ้นมาคุยกับแม่สิลูก !!! ยัยเรศ”
สร้อยฟ้าร้องไห้จนแทบขาดใจ เธอคร่ำครวญขณะกอดศพดาราเรศที่ตายต่อหน้าต่อตา
ร้อยดาวคุยกับปรมัตถ์ที่แต่งชุดไว้ทุกข์ทั้งคู่
“น่าสงสารคุณสร้อยฟ้า ! เสียลูกชายไปไม่ทันไรก็ต้องมาเสียลูกสาวไปอีกคน หัวอกคนเป็นแม่คงแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจลงความเห็นว่าคุณหนูดาราเรศเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงผิดกับกรณีของคุณวีระวิทย์ที่ถูกฆาตกรรม”
“แล้วใครล่ะที่เป็นฆาตกร ? กระถินน่ะเหรอจะกล้าทำ ?” ร้อยดาวสงสัย
“ไม่ใช่ครับ กระถินไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่เป็นคุณหนูดาราเรศ” ปรมัตถ์บอก
“ดาราเรศฆ่าพี่ชายตัวเองงั้นเหรอ ? จะเป็นไปได้อย่างไร ?”
“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ลายนิ้วมือแฝงที่อยู่บนด้ามมีดเล่มนั้นเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณหนูดาราเรศเป็นคนฆ่าคุณวีระวิทย์”
ร้อยดาวช็อคแล้วก็หวนคิดถึงภาพนิมิตที่ตนเห็นวีระวิทย์กับดาราเรศยื้อแย่งมีดกันที่คุกใต้ดิน
ปรมัตถ์พูดต่อ “แต่ที่น่าแปลกก็คือ ถ้าคุณหนูดาราเรศเป็นคุณฆ่าวีระวิทย์จนเสียชีวิตแล้วศพกลับมาอยู่ที่ห้องได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครสักคนรู้เห็น แม้แต่คืนนั้นกระถินก็ยังยืนยันว่าได้ร่วมหลับนอนกับคุณวีระวิทย์”
ร้อยดาวแน่ใจว่าเวียงแก้วเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด
เสียงพระสงฆ์สวดอนุโมทนาบุญดังขึ้นมาก่อน
เต้ากรวดน้ำหลั่งน้ำลงในที่รอง พระสงฆ์นั่งสวดให้พร
พระสงฆ์พรมน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมงคล
ร้อยดาวกับสิบทิศช่วยกันปล่อยนกที่อยู่ในกรงเป็นทาน นกบินออกจากกรง โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ร้อยดาวมองตามด้วยใจที่เปี่ยมสุข สิบทิศลอบชำเลืองมองแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
ร้อยดาวเดินคุยกับสิบทิศในวัดในมุมเดียวกับในรูปถ่ายของดิลกและจันทร์ฉาย
“ดิฉันตั้งใจจะนำอัฐิของคุณพ่อดิลกและคุณแม่จันทร์ฉายมาไว้ที่วัดนี้ตามเจตนารมณ์ของท่านที่อยากหวนกลับมายังแผ่นดินถิ่นเกิด”
“เมื่อไรเธอจะ “เปิดเผย” เรื่องของเธอให้ทุกคนรู้เสียที”
“ไม่ทราบสิคะ บางทีดิฉันอาจปล่อยให้มันเป็นความลับอย่างนี้ตลอดไป เรื่องบางเรื่องก็ยุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจ”
“แต่ความลับไม่มีในโลกถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้เรื่องของเธออยู่ดี”
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ตอนนี้ดิฉันคิดเพียงแค่จะหาทางช่วยคุณสร้อยฟ้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคุณแม่เวียงแก้วได้อย่างไร”
“เลิกยุ่งเรื่องของคนอื่นเสียทีได้ไหม เธอลิขิตชีวิตใครไม่ได้หรอก”
“ถ้ามีคนป่วยกำลังใกล้ตายอยู่ตรงหน้า คุณชายจะทำอย่างไรคะช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ หรือปล่อยเขาสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา ?”
สิบทิศนิ่งอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก เขาจนต่อคำพูดของร้อยดาว
สิบทิศขับรถพาร้อยดาวกลับมาส่งที่บดินทร์ธร ร้อยดาวหันมาบอกสิบทิศก่อนที่จะลงจากรถ
“ขอบพระคุณคุณชายมากนะคะที่กรุณามาส่ง”
สิบทิศเก๊กขรึม “ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่อยากได้ยินคำครหาว่าเป็นคนรักประสาอะไร เพราะถึงยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับฉันอยู่ดี”
“จะจัดพิธีแต่งงานหลอกๆเหมือนงานหมั้นน่ะหรือคะ พอทีเถอะค่ะ เท่านี้ดิฉันก็ละอายแก่ใจมากพอแล้ว”
ร้อยดาวลงจากรถไปด้วยความน้อยใจที่ดูเหมือนสิบทิศจะไม่มีใจให้ตัวเองเลยแม้แต่น้อย สิบทิศรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปจับมือร้อยดาวเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน !”
ร้อยดาวหันมามองตาสิบทิศแล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร พอเห็นหน้าร้อยดาวสิบทิศกลับไม่กล้าจะบอกความในใจว่าเขาก็มีใจให้เธอเหมือนกัน
ทันใดนั้น ปรมัตถ์ก็เข้ามาขัดจังหวะทำให้สิบทิศต้องรีบปล่อยมือจากร้อยดาว
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ คุณหนู !”
ร้อยดาวหันไปมองปรมัตถ์ด้วยความสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไร ?
สิบทิศกับร้อยดาวประหลาดใจเมื่อรู้เรื่องจากปรมัตถ์
“หายไปทั้ง 3 ศพเลยเหรอ ?”
“ครับ... ทั้งศพของคุณวีระวิทย์ คุณหนูดาราเรศ แล้วก็กระถิน หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆกัน ตอนนี้เจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลกำลังตามหากันให้วุ่นไปหมด”
“มีใครรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง” ร้อยดาวถาม
“ยังครับ แม้แต่คุณท่านเอง ผมก็ยังไม่กล้าเรียนให้ทราบ รอให้ทางโรงพยาบาลยืนยันให้แน่ชัดเสียก่อนว่าไม่พบ”
“ศพอยู่ในห้องดับจิตจะหายไปได้ยังไง ! คนที่ไหนจะกล้าขโมย ?”
“บางทีอาจจะไม่ใช่ฝีมือของ “คน” ก็ได้ค่ะ คุณชาย”
สิบทิศกับร้อยดาวมองตากันอย่างเข้าใจความหมาย ปรมัตถ์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงว่าร้อยดาวหมายถึงอะไร
สร้อยฟ้านั่งดูรูปถ่ายของวีระวิทย์กับดาราเรศที่ถ่ายคู่กันแล้วยกขึ้นมาแนบอก สร้อยฟ้าร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจที่เสียลูกชายและลูกสาวในเวลาไล่เลี่ยกัน ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ของเวียงแก้วร้องก็ดังล้อเลียนสร้อยฟ้า
“ฮืออ...../ ฮือ.....”
สร้อยฟ้าแปลกใจที่มีเสียงร้องไห้ดังผสานขึ้นมา ผีเวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกรีดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยสร้อยฟ้า
“หัวใจแม่คงแทบสลายเมื่อลูกรักต้องมาตายไปต่อหน้า”
“มึงฆ่าลูกกูใช่ไหม”
“ข้าเจ้าเปล่า... พวกมันนั่นแหละฆ่ากันเอง... โถ...ยังไม่ทันได้ฝากผีฝากไข้ ลูกๆก็มาตายซะหมด ช่างน่าเวทนา คุณสร้อยฟ้ายังคิดจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ถ้าเป็นข้าเจ้าคงจะฆ่าตัวตายตามลูกไปให้รู้แล้วรู้รอด”
เวียงแก้วพูดจบก็หัวเราะลั่นยั่วโทสะสร้อยฟ้าก่อนหายตัวไป ทันใดนั้น สร้อยฟ้าที่ร้องไห้อยู่ก็กลับเดือดดาลด้วยความแค้นจนตัวสั่น
“อีเวียงแก้ว ! มึงกับกูคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”
ดวงตาแดงช้ำของสร้อยฟ้ากลับแข็งกร้าวขึ้นกลายเป็นความแค้นจนไม่กลัวตายอีกต่อไป
คมขวานเงาวับอยู่ในมือสร้อยฟ้าที่ยืนอยู่ด้านหน้าเวียงร้อยดาว
สร้อยฟ้าบ้าเลือดเพราะไฟแค้นแน่นอก เธอย่างสามขุมเข้าไปในเวียงร้อยดาว อีกาที่เกาะอยู่บินแตกฮือ
สร้อยฟ้าเอาขวานกวัดแกว่งอยู่ภายในเวียงร้อยดาวแล้วตะโกนท้าผีเวียงแก้ว
“แน่จริง มึงก็ออกมาสิ ! อีผีบ้า ! มัวมุดหัวอยู่ทำไม !!! วันนี้มึงกับกูต้องตายกันไปข้าง !!! ออกมาสิโว๊ย !!! กูจะสับมึงให้ตายโหงตายห่าอีกรอบ”
ผีเวียงแก้ววูบผ่านด้านหลังสร้อยฟ้าไป สร้อยฟ้าหันหลังควับแล้วเอาขวานจามอากาศสะเปะสะปะ เสียงเวียงแก้วหัวเราะลั่นดังมาจากรอบทิศทางแต่ไม่รู้ดังมาจากทิศไหน ขวานเลื่อนหลุดจากมือสร้อยฟ้า เหมือนว่าเธอไม่มีแรง
เสียงเวียงแก้วหัวเราะ “เป็นบุญของเวียงร้อยดาวเหลือเกินเจ้าที่คุณสร้อยฟ้าอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเยือน”
สร้อยฟ้าอุดหูเพราะเสียงหัวเราะของเวียงแก้วดังปวดประสาทจนทำให้เธอตาพร่าลายไปหมด
“ออกมาสิ !!! ออกมา !! อีผีนรก”
ทันใดนั้นเวียงแก้วใบหน้าเน่าเฟะก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าสร้อยฟ้า สร้อยฟ้าตกใจจนผงะ ปากคอสั่น
เวียงแก้วตบหน้าสร้อยฟ้าอย่างแรงจนถลาลงที่พื้น สร้อยฟ้าเลือดกลบปาก ฟันหลายซี่หลุดออกมา เวียงแก้วเข้าไปจิกผมสร้อยฟ้าหมับแล้วกระชากขึ้นมาจนหน้าหงาย
“อยากพบข้าเจ้านักไม่ใช่รึ ! ข้าเจ้าอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง”
เวียงแก้วมองไปยังประตูลับห้องใต้ดิน พลันประตูก็เปิดอ้าออกเอง เวียงแก้วจิกหัวสร้อยฟ้าแล้วลากในสภาพหน้าทิ่มกับพื้นลงไปยังห้องใต้ดิน หน้าของสร้อยฟ้าครูดกระแทกไปตามสันบันไดทุกขั้นที่ทอดยาวลงไปยังห้องใต้ดิน
ร้อยดาวเขย่าแขนนมแสงถามด้วยความร้อนรน
“คุณสร้อยฟ้าไปไหน นม ?”
“นมไม่ทราบจริงๆค่ะ คุณสร้อยฟ้าไม่ได้สั่งไว้ มีอะไรหรือคะ คุณหนู ?”
ร้อยดาวร้อนใจเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับนมแสงอย่างไรดี
“ทำอย่างไรดีล่ะคะ คุณชาย ?”
ทันใดนั้น ร้อยดาวก็รู้สึกปวดหัวอย่างแรง เธอเห็นภาพพร่าเลือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสร้อยฟ้าวูบหนึ่งแล้วหายไป ร้อยดาวเลือดกำเดาไหลออกจากจมูกอีกแต่คราวนี้มากกว่าคราวที่แล้ว
นมแสงตกใจ “คุณหนู”
“เธอคงเครียดมาก เส้นเลือดฝอยในจมูกก็เลยแตก ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” สิบทิศบอก
ร้อยดาวเห็นว่าไม่มีเวลาแล้วจึงรีบวิ่งไปยังเวียงร้อยดาวทันที
“จะไปไหนคะ คุณหนู ?”
สิบทิศรีบวิ่งตามร้อยดาวไปด้วยความเป็นห่วง
สร้อยฟ้าลืมตาขึ้น เลือดข้นไหลออกมาจากศีรษะไหลย้อยเข้าตา สร้อยฟ้าพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยถูกมัดมือมัดเท้าติดกับพนักเก้าอี้แน่นหนาทำให้จะลุกก็ลุกไม่ได้ สร้อยฟ้านั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเก่าๆ รอบๆมีศพของลูกๆและกระถินอยู่บนเก้าอี้
“ตาวิทย์... ยัยเรศ... นังกระถิน”
สร้อยฟ้าน้ำตารื้นขึ้นมาแบบทั้งหวาดกลัว ทั้งเสียใจ ทั้งสลดหดหู่ ระคนกันจนจุกอก
บนโต๊ะอาหารมีอาหารจีนอยู่ในชามเก่าๆ เป็นอาหารจีนชุดเดียวกับที่เวียงแก้วเคยกินในอดีต แต่เป็นอาหารเน่าๆ ที่มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยน่าขยะแขยง
เวียงแก้วปรากกตัวขึ้นพร้อมกับหม้อดินเผามีฝาปิดอยู่ เวียงแก้ววางลงตรงหน้าสร้อยฟ้าอย่างใจเย็น
“มากันพร้อมหน้าแล้วสินะ... ได้เวลาอาหารค่ำแล้วเจ้า... ยังจำอาหารมื้อนี้ได้หรือไม่เจ้า ข้าเจ้าเตรียมไว้เป็นพิเศษ สำหรับต้อนรับคุณสร้อยฟ้า...ลูกชาย...ลูกสาว...แล้วก็ลูกสะใภ้โดยเฉพาะ”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา เต็มเดือนยิ้ม ใช้ช้อนตักปลิงน้ำแดง ใส่ถ้วยให้เวียงแก้ว
“ลองนี่สิจ๊ะ.... ปลิงทะเลน้ำแดง เธอน่าจะชอบ”
“เวียงแก้วต้องชอบอยู่แล้วล่ะค่ะ คุณพี่ เพราะหล่อนกับ “ปลิง” ก็มีค่าไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก” จงจิตว่า
“แต่น้องว่าเวียงแก้วน่าจะชอบปูผัดผง “กะหรี่” ซะมากกว่า จริงมั้ย ?” สร้อยฟ้าบอก
เวียงแก้วเปิดฝาหม้อดินออก ปลิงควายตัวอ้วนยั้วเยี้ยตัวเป็นๆ อยู่ในเลือดแดงข้นคลั่ก เวียงแก้วเอาช้อนตักปลิงตัวเป็นๆ จะป้อนใส่ปากสร้อยฟ้าที่เบือนหน้าหนีด้วยความสะอิดสะเอียน
“ลองนี่สิเจ้า.... ปลิงน้ำแดง น่าจะเหมาะกับคุณสร้อยฟ้า... ผู้หญิงแพศยา คอยจ้องแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อล้างผลาญอย่างแกกับ “ปลิง” พวกนี้ ก็มีค่าไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นักหรอก” เวียงแก้วหัวเราะ “กินเข้าไป !”
เวียงแก้วเอาปลิงยัดใส่ปากสร้อยฟ้าแล้วเอามือปิดปากให้สร้อยฟ้ากลืนเข้าไปไม่ให้คายออกมา สร้อยฟ้าจำใจต้องกลืนปลิงเป็นๆเข้าไปในคอแล้วทำท่าเหมือนจะโก่งคออาเจียน เวียงแก้วหัวเราะลั่นอย่างสะใจ
สร้อยฟ้าด่า “อีผีระยำ มึงฆ่าลูกกู ! กูขอสาปแช่งมึงให้ตกนรกหมกไหม้ขุมที่ลึกที่สุด ขอให้มึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกร้อยชาติพันชาติ อย่าได้ผุดอย่าได้เกิด”
“กำลังจะตายยังไม่วายปากพล่อย ดูสิว่า แกยังจะพ่นวาจาถ่อยๆ ได้อีกนานสักแค่ไหน” เวียงแก้วเอามือบีบปากสร้อยฟ้าเอาไว้
“มึงจะทำอะไรกู อีเวียงแก้ว”
เวียงแก้วเอาเข็มเย็บกระสอบชูขึ้นมาต่อหน้าสร้อยฟ้า สร้อยฟ้าตาค้างเพราะพอจะรู้แล้วว่าเวียงแก้วกำลังจะทำอะไร
ร้อยดาวกับสิบทิศบุกเข้ามายังเวียงร้อยดาว
“เธอแน่ใจนะว่าคุณสร้อยฟ้าอยู่ที่นี่ ?” สิบทิศถาม
“คุณแม่เวียงแก้วจับตัวคุณสร้อยฟ้าไปทรมานที่ห้องใต้ดิน ดวงตาคู่นี้บอกดิฉันว่าอย่างนั้น”
“เลือดกำเดาของเธอยังไหลไม่หยุด” สิบทิศบอก
สิบทิศเอาผ้าเช็ดหน้าจะซับเลือดให้ร้อยดาว ร้อยดาวเบือนหน้าหนีแล้วเอามือตัวเองปาดเลือดกำเดาที่ยังไหลไม่หยุดแทน
“ที่นี่ไม่มีคนอื่น คุณชายไม่จำเป็นต้องทำฝืนใจตามหน้าที่ เพราะเกรงคำครหา”
“ไม่มีใครบังคับใจฉันได้ทั้งนั้น ถ้าฉันไม่อยากทำ”
สิบทิศเอาผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ร้อยดาวจนหมด เลือดกำเดาหยุดพอดี ร้อยดาวลืมตัวตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ก่อนได้สติ
“รีบไปช่วยคุณสร้อยฟ้าเถอะค่ะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
สิบทิศพยักหน้า เขาจับมือร้อยดาวแล้วพาเข้าไปในเวียงร้อยดาวด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 12 (ต่อ)
ผีเวียงแก้วเอาเข็มกระสอบค่อยๆเย็บปากสร้อยฟ้าทีละเข็มๆ อย่างใจเย็น
“ปากสกปรก ชอบด่าทอคนอื่นสาดเสียเทเสีย มิหนำซ้ำยังชอบตอแหลใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น มันก็ต้องได้รับกรรมแบบนี้แหละเจ้าถึงจะสาสม”
สร้อยฟ้าทั้งเจ็บทั้งกลัวจนน้ำตาไหล แต่ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด
“เจ็บนักหรือ...นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับสิ่งที่แกเคยทำกับฉัน”
สร้อยฟ้าหวนรำลึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีต
ตอนที่สร้อยฟ้าด่าทอและตบเวียงแก้วไม่เลี้ยง กลั่นแกล้งตอนที่ถูกเต็มเดือนส่งให้เวียงแก้วมารับใช้
ตอนที่สร้อยฟ้าเฆี่ยนเวียงแก้ว ใส่ร้ายว่าเวียงแก้วทำเสน่ห์ใส่ปกรณ์
ตอนที่สร้อยฟ้าใส่ร้ายว่าเวียงแก้วมีชู้ ให้ท่าบ่าว 6 คนให้มาสมสู่บนเวียงร้อยดาว
ผีเวียงแก้วแสยะยิ้มเพราะสาแก่ใจ
“ยก...โทษ...ให้...ฉัน...”
“ข้าเจ้าคงหูฝาดไป ที่ได้ยินคนใจเด็ดอย่างคุณสร้อยฟ้าเอ่ยขอขมาขี้ข้าชั้นต่ำอย่างข้าเจ้า”
“ยก...โทษ...ให้...ฉัน...ด้วย...”
เวียงแก้วหัวเราะ “รักตัวกลัวตายเลยมาสำนึกเอาตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหน่อยหรือเจ้า คุณสร้อยฟ้า”
เวียงแก้วหัวเราะอย่างสะใจแต่ยังคงค่อยๆเย็บปากสร้อยฟ้าต่อไป เวียงแก้วเงยหน้าขึ้นไปข้างบนเพราะรับรู้ถึงการมาของร้อยดาว ดวงตาของเวียงแก้ววาวโรจน์
ร้อยดาวก้าวเข้ามาภายในเวียงร้อยดาว ในเวียงร้อยดาวเต็มไปด้วยหมอกสีดำลอยจัด
“ในนี้มีแต่หมอกสีดำเต็มไปหมด... ระวังตัวให้ดีนะ” สิบทิศเตือน
สิบทิศกุมมือร้อยดาวแล้วกระชับแน่นขึ้น ทำให้ร้อยดาวค่อยคลายความกลัวลงบ้าง เสียงเวียงแก้วหัวเราะเย็นๆลอยอยู่ในอากาศแต่จับไม่ได้ว่าดังมาจากทางไหน ร้อยดาวเริ่มรู้สึกมึน วิงเวียน หน้ามืดคล้ายจะเป็นลมแต่ก็พยายามฝืนเอาไว้ หมอกสีดำลงจัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ร้อยดาวค่อยๆหลับตาแล้วจูงมือสิบทิศเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ
“ทางนี้ค่ะ คุณชาย”
“มืดขนาดนี้ เธอรู้ได้อย่างไรว่าทางลับที่ลงไปห้องใต้ดินอยู่ตรงไหน”
ร้อยดาวหลับตาแล้วจูงสิบทิศเดินไปเรื่อยๆ
“ดิฉันเคยตาบอดมาก่อน เลยชินที่จะใช้ประสาทสัมผัสอื่นช่วยนำทาง”
ร้อยดาวพาสิบทิศค่อยๆเดินจนใกล้จะถึงทางลงไปยังห้องใต้ดิน ทันใดนั้น มือเน่าเฟะของเวียงแก้วก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นแล้วกระชากขาร้อยดาวลงไปยังข้างล่างทันที
ร้อยดาวร้องลั่น “อ๊ายย !!”
สิบทิศตกใจร้องลั่นก่อนจะหันรีหันขวางเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้อยดาว
ร้อยดาวหล่นพรวดลงมาที่ห้องใต้ดินแล้วกระแทกพื้นจนเจ็บไปทั้งร่าง
“ร้อยดาวลูกแม่...ช่างมาได้จังหวะพอดี ดูซิว่าแม่พาใครมาที่นี่บ้าง”
ร้อยดาวเห็นศพของวีระวิทย์ ดาราเรศ กระถิน ที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้น่าสยดสยอง สร้อยฟ้าที่ถูกเย็บปากจนเกือบจะทั้งปากทำให้ร้องไม่ได้กำลังนั่งส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลืออยู่
ร้อยดาวตกใจ “คุณสร้อยฟ้า !!”
ร้อยดาวปราดจะเข้าไปช่วยแก้มัดให้สร้อยฟ้า เวียงแก้วผลักร้อยดาวไปชิดที่ผนังแล้วกระแทกอย่างแรงจนเจ็บไปทั้งร่าง โซ่เหล็กที่ใช้ล่ามนักโทษ ล็อคที่ข้อมือทั้งสองของร้อยดาวไว้คล้ายพระเยซูถูกตรึงกางเขน
“ชอบแส่เรื่องของฉันนัก ฉันก็ให้แกอยู่ดูการแก้แค้นของฉันให้เต็มๆตา” ผีเวียงแก้วว่า
“คุณแม่ขา... อย่า !”
ผีเวียงแก้วเอาเข็มกระสอบเย็บที่ปากสร้อยฟ้าต่อไปพร้อมกับยิ้มอย่างสบายอารมณ์เหมือนกำลังปักสะดึง ร้อยดาวหวาดกลัวภาพที่เห็นจนแทบจะเบือนหน้าหนี
สิบทิศเดินสะเปะสะปะตามหาร้อยดาว แต่ไม่พบก็ยิ่งเป็นห่วง
“เธออยู่ที่ไหน ? ได้ยินฉันหรือเปล่า ?”
สิบทิศเหยียบขวานของสร้อยฟ้าที่ทำตกเอาไว้ เขาก้มลงเก็บขวานขึ้นมาเอาไว้ป้องกันตัว สิบทิศค่อยๆคลำทางมาจนกระทั่งถึงประตูลับทางลงห้องใต้ดินจนได้ สิบทิศพยายามเปิดประตูกลแต่เปิดเท่าไรก็เปิดไม่ออก เขาตัดสินใจเอาขวานสับทำลายประตูเพื่อจะลงไปช่วยร้อยดาว
ร้อยดาวดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดเพราะโซ่ที่มือรัดแน่นมาก มือสร้อยฟ้าที่ถูกมัดอยู่ กำเกร็งด้วยความเจ็บปวด
“ทนอีกนิดเถอะนะเจ้า อีกนิดเดียว ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว...” ผีเวียงแก้วบอก
สร้อยฟ้ากลอกไปมาด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด เธอมองมายังร้อยดาวเพื่อขอความช่วยเหลือ ร้อยดาวเห็นความตายรออยู่ตรงหน้าจึงหลับตา ท่องบทสวดมนต์เป็นที่พึ่งด้วยเสียงสั่นๆ
“อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา...”
เสียงสวดมนต์ของปกรณ์ดังซ้อนทับกับเสียงสวดมนต์ของร้อยดาว
“พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ...”
โซ่ที่ข้อมือของร้อยดาวเลื่อนหลุดออกอย่างง่ายดายทำให้ร้อยดาวเป็นอิสระ ร้อยดาววิ่งทะลุผ่านร่างของเวียงแก้วเข้าไปช่วยแก้มัดให้สร้อยฟ้าได้สำเร็จ
“ไปค่ะ คุณสร้อยฟ้า”
ร้อยดาวประคองร่างสร้อยฟ้าที่กะปลกกะเปลี้ยเดินไม่ไหวให้ขึ้นขี่หลังของเธออย่างทุลักทุเล
ผีเวียงแก้วด่า “อีนังทรยศ !!! คิดเหรอว่าจะช่วยมันได้ ห๊า !!”
ลมแรงพัดวูบจากด้านหลังเวียงแก้วพุ่งไปยังร้อยดาวจนผมยาวสยายรุงรังปิดหน้าปิดตา ทันใดนั้น ร่างของสร้อยฟ้าก็แหมือนถูกพลังบางอย่างดึงกระชากกลับไปอย่างแรง
สร้อยฟ้าร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ “อ๊าย....”
“คุณสร้อยฟ้า !!”
เวียงแก้วคว้าหมับไปที่ต้นคอของสร้อยฟ้าโดยใช้เล็บจิกจนเลือดซึม
“จะหนีไปไหน !!! ถ้าฉันไม่อนุญาตให้ไป ก็ไม่มีหน้าไหนออกไปจากที่นี่ได้ทั้งนั้น นอกจากคนที่ตายแล้ว”
ร้อยดาววิ่งกลับมาเผชิญหน้ากับเวียงแก้วด้วยนัยน์ตากร้าวกว่าทุกครั้ง
“ปล่อยคุณสร้อยฟ้าเดี๋ยวนี้”
“แกกล้าขึ้นเสียงกับฉันรึ อีลูกชั่ว !!”
เวียงแก้วใช้หลังมืออีกข้างตบปากร้อยดาวจนเลือดซิบ
เวียงแก้วกระซิบ “แค้นของแม่กำลังจะได้รับการสะสาง คอยดูให้ดีนะลูก อย่ากะพริบตา”
เวียงแก้วค่อยชักมีดออกจากศพวีระวิทย์อย่างช้าๆ
“คุณสร้อยฟ้า จำมีดเล่มนี้ได้ไหมเจ้า”
ภาพตอนที่สร้อยฟ้ายื่นมีดเล่มนี้ให้เวียงแก้วฆ่าตัวตายแวบขึ้นมา
ผีเวียงแก้วพูด “ทนเจ็บแค่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็จะได้ไปสบาย... ข้าเจ้ายังจำประโยคนี้ได้ดี ก็เลยเก็บรักษามีดเล่มนี้ไว้เพื่อจะได้คืนสนอง...กับเจ้าของมัน”
เวียงแก้วเอามีดเชือดที่คอสร้อยฟ้าจนเลือดกระเซ็นสาดใส่หน้าร้อยดาว
ร้อยดาวร้องลั่น “อย่า !!”
ร่างสร้อยฟ้าทรุดฮวบแล้วดิ้นเหมือนไก่ที่ถูกเชือดคอในสภาพเลือดนอง ก่อนจะขาดใจตายแทบเท้าเวียงแก้ว เวียงแก้วหัวเราะลั่นอย่างบ้าเลือดก่อนสลายร่างไป
สิบทิศเอาขวานจามพังประตูลับได้สำเร็จจึงลงไปยังข้างล่าง สิบทิศลงมายังห้องใต้ดิน เขาเห็นร้อยดาวนั่งตัวสั่นเพราะช็อคตาค้างต่อภาพที่เห็นตรงหน้า สิบทิศเห็นศพเกลื่อนกลาดน่าสยดสยอง ร้อยดาวร้องไห้ ละล่ำละลักอย่างเสียขวัญ
“ฉันช่วยเขาไว้ไม่ได้...คุณสร้อยฟ้าถูกฆ่าตายแล้ว... ตายกันหมดเลย”
“ไม่เป็นไร... เธอพยายามแล้ว... ทำดีที่สุดแล้ว”
ร้อยดาวปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กเพราะรู้สึกผิดลึกๆในใจ
สิบทิศกอดร้อยดาวเอาไว้แน่นแล้วปลอบอ่อนโยนด้วยความสงสารจับใจ
จงจิตเมื่อรู้ว่าสร้อยฟ้าตายอย่างน่าสยดสยองก็ถึงกับสติแตก
เธอเขย่าแขนเต็มเดือนอย่างร้อนลน
“ผีนังเวียงแก้วมันยังอยู่ ! มันตามจองเวรไล่ฆ่าทุกคนที่เคยทำกับมันไว้เราจะทำยังไงดีล่ะคะคุณพี่ ผีนังเวียงแก้วมันไม่ปล่อยเราไว้แน่ น้องกลัว น้องยังไม่อยากตาย”
“หล่อนไปทำอะไรกับแม่เวียงแก้วไว้รึ ถึงได้กลัวเขาตามมาเอาชีวิต”
จงจิตหน้าซีดและกลัวจนปากสั่น เธอพูดอะไรไม่ออกเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งมัดตัว เต็มเดือนบีบมือจงจิตไว้แน่นแล้วจ้องตาเขม็งเพื่อปรามให้หุบปากเดี๋ยวนี้
เต็มเดือนดุ “ใจเย็นๆไว้ !” เต็มเดือนกลบเกลื่อน “สร้อยฟ้าอาจจะยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เพิ่งเสียลูกๆไป เลยคิดสั้นฆ่าตัวตายตามก็ได้”
“ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างแม่สร้อยฟ้าจะคิดฆ่าตัวตายด้วยวิธีทรมานอย่างนี้”
ปรมัตถ์พูดพลางมองไปทางเต็มเดือนอย่างไม่วางตาเพื่อจะหลอกด่า แต่เต็มเดือนรู้ตัว
“ฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญแบบนี้ได้ต้องใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตมาก”
สิบทิศพูดต่อ “ไม่มีร่องรอยเบาะแสคนร้าย แม้กระทั่งรอยนิ้วมือสักรอยในที่เกิดเหตุ ฆาตกรอาจจะไม่ใช่ “คนธรรมดาๆ” อย่างที่คิดก็ได้”
ทุกคนต่างขนหัวลุกเพราะรู้ดีว่าคนที่ฆ่าสร้อยฟ้าคือผีเวียงแก้วแต่ก็ไม่กล้าพูด จงจิตสติแตก เธอผุดลุกขึ้นยืนแล้วโวยลั่น
“ฉันไม่เอาด้วยแล้ว ! ฉันยังไม่อยากตายอย่างน่าทุเรศเหมือนสร้อยฟ้า” จงจิตพูดกับเต็มเดือน “จะอยู่รอให้มันมาฆ่าหรือไง ทำไมไม่ไปซะให้พ้นๆ”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเวียงแก้วก็ดังขึ้นรอบทิศทาง
“กงเกวียนกรรมเกวียนมันหนีกันไม่พ้นหรอกนะเจ้า...”
จงจิตเห็นบางอย่างกำลังชำแรกออกมาจากเพดานก็ถึงกับตาค้าง บนเพดานค่อยๆ ปรากฏรอยนูนลอยออกมาจนเห็นชัดว่าเป็นรูปใบหน้าของเวียงแก้ว ทุกคนแหงนมองตามร้อยดาวขึ้นไป อยู่ๆ ลมก็พัดกรรโชกแรงจนข้าวของปลิวกระจัดกระจายไปหมด
“แม่เวียงแก้ว หล่อนแค้นใจอะไรนักหนา บอกฉันมา ฉันสัญญาว่าจะให้ความเป็นธรรมกับหล่อนเอง”
“มาให้ความเป็นธรรมกับข้าเจ้าตอนนี้ มันสายไปแล้ว ในเมื่อทุกคนในบดินทร์ธรต่างนิ่งดูดาย ปล่อยให้คนชั่วช้ายังนั่งลอยหน้าเสวยสุข ข้าเจ้าก็จะอาสาลากคอพวกมันมาชำระความเองให้สาแก่ใจ” ผีเวียงแก้วบอก
“ฉันไม่เกี่ยวนะ !!!! ฉันไม่ได้ทำ” จงจิตสติแตก
ทุกคนหันไปมองจงจิตเป็นตาเดียวกัน
“หล่อนทำอะไร ห๊า !!! แม่จงจิต”
เต็มเดือนแค้นจนอยากจะเข้าไปตบปากจงจิตที่พูดพล่อยๆออกมา เวียงแก้วหัวเราะลั่นอย่างสมใจ ก่อนที่ใบหน้าบนเพดานจะหายไปพร้อมกับลมแรงที่สงบลง ทุกคนในเหตุการณ์หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ แม้กระทั่งสิบทิศก็ไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ดูนั่นสิคะ !”
รอยกากบาทบนเพดานรอยที่ 4 เลือนหายไปจนเหลือแค่ 3 รอย จงจิตรู้ดีว่าตัวเองเป็นเหยื่อรายต่อไป ก็ถึงกับเป็นลมสติขาดผึงจนล้มพับไป
สิบทิศกับร้อยดาวนั่งคุยกันที่ศาลาในสวนด้วยสีหน้าจริงจัง
“รอยกากบาทแต่ละรอยคือสัญลักษณ์ของคนที่ถูกคุณแม่เวียงแก้วหมายหัวเอาไว้ว่าต้องชดใช้ด้วยชีวิต เมื่อแก้แค้นคุณสร้อยฟ้าได้แล้ว กากบาทนั่นถึงได้เลือนหายไปด้วย”
“แต่ยังเหลือรอยกากบาทบนเพดานอีก 3 รอย หมายความว่ายังมีอีก 3 คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อถูกฆ่าเหมือนคุณสร้อยฟ้าอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ความขมขื่นในอดีตของคุณแม่เวียงแก้วกลายเป็นความเคียดแค้นชิงชังที่ใครก็หยุดยั้งเอาไว้ไม่ได้ จนกว่าจะได้คิดบัญชีแค้นคนที่เหลือ”
“ถ้าไม่เห็นกับตา ฉันคงไม่มีวันเชื่อว่าภูตผีปีศาจในนิยายจะมีอยู่จริง...เธอคิดว่าต่อจากคุณสร้อยฟ้าจะเป็นใคร ?”
“ไม่ทราบค่ะ แต่หนึ่งในสามนั้นน่าจะเป็นคุณจงจิต... ดวงตาคู่นี้ทำให้ดิฉันเห็นสิ่งที่เธอเคยทำไว้กับคุณแม่เวียงแก้วในอดีต”
“ดวงตาเธอบอกหรือเปล่า คุณจงจิตจะเป็นอย่างไรต่อไป”
ร้อยดาวส่ายหน้า “ดิฉันมองเห็นเท่าที่คุณแม่เวียงแก้วสั่งให้เห็นเท่านั้น ไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้มากกว่านี้”
“วิญญาณคุณเวียงแก้วจะลงมือแก้แค้นใครและเมื่อไร เธอไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลย แล้วอีก 3 คนที่เหลือ เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องช่วยใครก่อนใครหลัง บางทีเหยื่อรายต่อไปอาจจะยังไม่ใช่คุณจงจิตก็ได้”
“ตอนนี้ดิฉันคิดแต่เพียงจะหยุดคุณแม่เวียงแก้วได้อย่างไรเท่านั้น ถ้าหาศพคุณแม่เวียงแก้วพบแล้วเผาได้สำเร็จ คนที่เหลือก็พอมีทางรอด”
ร้อยดาวครุ่นคิดว่าศพเวียงแก้วอยู่ที่ไหนกันแน่
มารุตพาน่านฟ้ามารับประทานอาหารด้วยกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์คู่นี้
“หาศพ !!! จะให้ไปหาที่ไหน ห๊า ยัยบ๊อง”
“เชื่อฉันเถอะน่า ! ศพคุณน้าเวียงแก้วจะต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ที่เวียงร้อยดาวนั่นแหละ”
“ขอเคลียร์ๆชัดๆกว่านี้หน่อยได้ไหม บอกพิกัดตำแหน่งมาเลยดีกว่าว่าอยู่ซอกไหน มุมไหน ไม่ใช่เดาสุ่มไปเรื่อย ใครจะไปหาเจอ”
“เอ๊ะ ! ตาทึ่ม !! ฉันไม่ใช่แม่หมอญานทิพย์นะยะ จะได้มีจิตสัมผัสหยั่งรู้ว่าวิญญาณคุณน้าเวียงแก้วเอาศพตัวเองไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ถ้าผีซ่อนศพจริงอย่างที่ยูว่าก็จบเกม !! หมดหวังแน่นอน เพราะผีคงไม่ใจดี ยอมให้เราหาเจอง่ายๆหรอก ดีไม่ดีเสี่ยงถูกผีผู้หญิงที่ไอเห็นวันนั้นหลอกจับไข้หัวโกร๋นเสียเปล่าๆ...พูดแล้วยังขนแขนสแตนด์อัพ”
“ปอดแหก ! เป็นผู้ชายประสาอะไรไร้น้ำยา กลัวผีขี้ขึ้นสมอง”
“ใครบอกว่ากลัว ! ไอแค่เกรงใจ....ถ้าไม่จำเป็น ก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”
น่านฟ้าเบ้ปากเพราะหมั่นไส้มารุตเต็มทน
จงจิตเข้ามาปรึกษาเต็มเดือนที่ห้องด้วยสภาพกลัวจนลนลาน
“มันกลับมาแล้วค่ะ คุณพี่ ! เราจะทำอย่างไรกันดีคะ ! ขนาดพ่อปู่มีคาถาอาคมแก่กล้าขนาดนั้น ยังพลาดท่าตายด้วยน้ำมือผีนังเวียงแก้ว แล้วเราล่ะคะ เราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน”
“หุบปาก ! แล้วอย่าตื่นตูมให้มันมากนัก ถ้าไม่อยากถูกลากคอเข้าไปนอนในคุกก็อย่าทำตัวให้ผิดสังเกต ไอ้ปรมัตถ์มันยิ่งจับตาดูเราอยู่” เต็มเดือนบอก
“น้องไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ทรัพย์สินศฤงคาร คุณพี่อยากได้นักก็เอาไปเถอะค่ะ น้องไม่เอาอะไรทั้งนั้น ลำพังแค่มรดกที่คุณพี่ปกรณ์ยกให้ ก็มีกินมีใช้ไปทั้งชาติแล้ว อยู่ไปก็ไม่เป็นสุข สู้หอบสมบัติหนีไปอยู่ที่อื่นดีกว่า น้องยังไม่อยากตายเหมือนแม่สร้อยฟ้าค่ะคุณพี่”
“ฟังฉันให้ดีนะ แม่จงจิต ! ผีก็แค่คนที่ตายไปแล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชลุกขึ้นมาทำร้ายเราได้ทั้งนั้น หากจิตใจเข้มแข็งพอ ผีนรกที่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้ากลัวนักก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญทำทานให้มากๆจะได้มีบารมี ทำถึงขนาดนี้แล้ว คุณพระคุณเจ้าจะไม่ช่วยคุ้มครองบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ”
จงจิตกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นเพราะจิตใจไม่เข้มแข็งอย่างเต็มเดือน
“ฉันจะไปนั่งวิปัสสนาที่วัด เย็นๆถึงจะกลับ ฉันไม่อยู่ คอยดูแลที่นี่ให้ดี”
เต็มเดือนสั่งกำชับจงจิตก่อนเดินออกจากห้องไป
จงจิตรู้สึกกระอักกระอ่วนและไม่สบายใจอย่างประหลาด
ดารกานั่งหน้ากระจกแล้วถอนเส้นผมตัวเองทีละเส้นๆ
ดารกาคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างตนกับปรมัตถ์
ภาพตอนที่ดารกาเฝ้าชะเง้อรอคอยปรมัตถ์ พอเห็นปรมัตถ์มาก็วิ่งไปรับด้วยความดีใจ
ภาพตอนที่ดารกาปักผ้าเช็ดหน้าให้ปรมัตถ์
ภาพตอนที่ปรมัตถ์ปฏิเสธดารกาอย่างไร้เยื่อใย ว่าเป็นได้แค่น้องสาว
พอคิดถึงภาพเหล่านั้นดารกาก็ซบหน้าฟุบลงหน้ากระจกระบายออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เวียงแก้วปรากฏขึ้นคล้ายกลุ่มควันบางเบา เวียงแก้วเข้ามากระซิบที่ข้างหูดารกาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“สิ่งที่แย่เสียกว่าการถูกลืม ก็คือการไม่เคยถูกจดจำ...ในเมื่อรักแล้วช้ำแสนรันทด จะทนฝืนเก็บกดไว้ทำไม...ทำให้เขารู้สิ ! ว่ารักเขามากแค่ไหน...มากจนแม้กระทั่งชีวิตตัวเองก็ยอมสละเพื่อเขาได้”
เวียงแก้วยุยงเสร็จก็แสยะยิ้มแล้วสลายร่างไปในอากาศ ดารกาเงยหน้าขึ้นมองกระจก คำพูดของเวียงแก้วก้องอยู่ในหัว เธอหยิบบางสิ่งออกมาจากลิ้นชัก ดารกาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักเกือบเสร็จแล้วโดยเหลือเพียงกลีบสุดท้ายขึ้นมามอง
ร้อยดาวเดินใจลอย ขณะคุยกับปรมัตถ์ที่หน้าเรือนรับรอง
“คุณท่านสั่งให้พวกคนงานในไร่ช่วยกันกันตามหาร่างคุณเวียงแก้วที่หายไปจากหลุมศพอย่างลึกลับ แต่จนป่านนี้ก็ยังไร้วี่แวว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาถรรพ์ของเวียงร้อยดาวหรือวิญญาณคุณเวียงแก้วกันแน่ที่บดบังไว้ทำให้หาเท่าไรก็หาไม่พบ เราจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะครับคุณหนู”
ร้อยดาวเหม่อใจลอยครุ่นคิดเรื่องอื่นจนไม่ได้ฟังที่ปรมัตถ์ถาม
“คุณหนูครับ... คุณหนู...”
ร้อยดาวตกใจและรู้สึกตัว “หือ...ว่ายังไงนะ ?”
“หมู่นี้ดูคุณหนูใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...คุณหนูกลัวหรือเปล่าครับ”
ร้อยดาวมองหน้าปรมัตถ์แล้วพยักหน้า
“ยอมรับว่าฉันกลัว...กลัวว่าจะมีใครในบดินทร์ธรจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก”
“คุณหนูอย่ากลัวเลยครับ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม นายปรมัตถ์คนนี้จะอยู่เป็น “เพื่อน” คุณหนูเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“ขอบใจมากนะ นายปรมัตถ์ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเดินทางมาถึงประเทศไทยจนกระทั่งถึงวันนี้ นายเป็น “เพื่อนที่ดีที่สุด” ของฉัน”
ร้อยดาวจับมือปรมัตถ์กุมไว้แทนคำขอบคุณ ปรมัตถ์ยิ้มอบอุ่นให้ ดารกาเดินเข้ามาเห็นภาพบาดตาเข้าพอดี ร้อยดาวเห็นดารกามาเห็นเข้าก็รีบปล่อยมือจากปรมัตถ์ทันที
“คุณหนูดารกา !”
ดารกาแค่นหัวเราะ “น่าขำ ! ความรักมักเล่นตลกกับเราเสมอ...คนที่ใช่ก็ไม่รัก ส่วนคนที่รักก็ไม่ใช่... จะว่าไปก็เหมือนเครื่องยืนยันให้ยิ่งแน่ใจว่า...“ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีทุกข์”
ปรมัตถ์งุนงงว่าดารกาต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ดารกายื่นผ้าเช็ดหน้าที่ปักเสร็จแล้วยื่นให้ปรมัตถ์
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ดาตั้งใจปักให้พี่ เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย พี่ปรมัตถ์ช่วยรับไว้ทีเถอะนะคะ”
ปรมัตถ์มองผ้าเช็ดหน้าอย่างแปลกใจว่าดารกาว่ามาไม้ไหนกันแน่ ปรมัตถ์หยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือดารกาเผยให้เห็นมีดคมกริบอยู่ในมือดารกา ปรมัตถ์ตกใจเพราะเข้าใจว่าดารกาจะมาทำร้ายร้อยดาว จึงเอาตัวเองบังร้อยดาวเอาไว้
“คุณหนู ระวังครับ”
ดารกาน้อยใจจนน้ำตาร่วงเผาะ
“ดาไม่ได้มาเพื่อที่จะทำร้ายใครอย่างที่พี่คิดหรอกนะคะ ดาแค่จะมาลาพี่ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้พี่ปรมัตถ์มีใจให้ดาบ้าง รักดาแค่ครึ่งหนึ่งของที่ดารักพี่เท่านี้ก็พอ...ลาก่อนค่ะ”
ดารกาพูดจบก็เอามีดปักที่หน้าอกตัดขั้วหัวใจตัวเองหวังจะฆ่าตัวตายต่อหน้าปรมัตถ์
ปรมัตถ์ร้องห้าม “คุณหนู !! อย่า !”
ปรมัตถ์เข้าไปชาร์จดารกาทำให้มีดพลาดจากหน้าอกลงมาปักที่บริเวณท้อง ร่างดารการ่วงผล็อยลงในอ้อมแขนของปรมัตถ์
“ทำไมคุณหนูถึงทำแบบนี้ !”
ดารกายิ้มแบบเพลียๆ เลือดไหลจากหน้าอกไม่ยอมหยุด
ดารกาแผ่วเบา “ดารักพี่ค่ะ...ไม่มีพี่ ดาก็อยู่ไม่ได้...”
ปรมัตถ์อึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าดารกาจะตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะตนเองเป็นต้นเหตุ ร้อยดาวตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
จงจิตนั่งกุมขมับอยู่คนเดียวในห้องด้วยความกลุ้มใจเพราะคิดไม่ตกเรื่องผีเวียงแก้ว จงจิตเอามือกุมเบี้ยแก้ที่คอแน่นเพราะเป็นที่พึ่งสุดท้าย นมแสงเดินเข้ามาหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณจงจิตคะ !!! แย่แล้วค่ะ”
“มีเรื่องอะไรแย่ยิ่งกว่าผีนังเวียงแก้วลุกขึ้นมาอาละวาดอีกล่ะ ?”
“คุณหนูดารกา...”
จงจิตพอได้ยินชื่อดารกาก็หูผึ่งทันที เธอหันมาถามด้วยอาการใจหายวูบ
“ยัยดา ! ยัยดาทำไม ?”
จงจิตคาดคั้น นมแสงได้แต่อึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรดี
ปรมัตถ์ผุดลุกผุดนั่งด้วยความเป็นห่วง ร้อยดาวนั่งอยู่ใกล้ๆ ปรมัตถ์มองผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดในมือ
เสียงดารกาดังแว่วในหัว “ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ดาตั้งใจปักให้พี่ เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย พี่ปรมัตถ์ช่วยรับไว้ทีเถอะนะคะ”
ปรมัตถ์คิดถึงคำพูดของดารกาแล้วก็รู้สึกเสียใจจนบอกไม่ถูก จงจิตกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา พอเห็นหน้าร้อยดาวเธอก็เบือนหน้าหนีด้วยความชิงชัง
จงจิตถามปรมัตถ์ “ยัยดาล่ะ ?”
“คุณหนูดารกาอยู่ในห้องฉุกเฉิน คุณชายสิบทิศกำลังผ่าตัด ยังไม่ออกมาเลยครับ”
จงจิตปราดสายตาดุมองไปยังร้อยดาวเพราะรู้สึกว่าเธอเป็นต้นเหตุเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในบดินทร์ธร
จงจิตพูดกับร้อยดาว “เพราะแก...นังตัวซวย !”
ร้อยดาวได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่โต้ตอบ เธอเข้าใจว่าจงจิตคงเป็นห่วงลูกสาวจึงอยากระบาย สิบทิศออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเครียด ทุกคนกรูเข้าไปถามอาการดารกาด้วยความเป็นห่วง
“อาการยัยดาเป็นอย่างไรบ้างคะ ?”
“บาดแผลไม่เท่าไรแต่เสียเลือดมาก การเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ ต้องรับการให้เลือดทดแทนเป็นการด่วน ไม่อย่างนั้นอาจจะช็อคได้” สิบทิศว่า
“เอาเลือดฉันไป !!! ขอให้ยัยดาปลอดภัย เสียเลือดเท่าไรฉันก็ยอม”
“ดารกาต้องการเลือดกรุ๊ปเอบีเนกาทีฟซึ่งเป็นกลุ่มเลือดที่หายากมาก คุณเลือดกรุ๊ปนี้หรือเปล่าล่ะ ?”
จงจิตหน้าซีดเผือดและเข่าอ่อนเพราะรู้ดีว่าตัวเองเลือดกรุ๊ปบีเป็นคนละกรุ๊ปกับที่ดารกาต้องการ
ร้อยดาวเอ่ยขึ้น “ฉันเลือดกรุ๊ปนี้ค่ะ”
จงจิต ปรมัตถ์ และสิบทิศต่างมองร้อยดาวเป็นตาเดียวกัน
“เอบีเนกาทีฟ กรุ๊ปเดียวกับดารกา...ห้องตรวจเลือดไปทางไหนคะ”
สิบทิศเดินนำร้อยดาวไปยังห้องตรวจเลือดก่อนรับการบริจาค “ทางนี้ !”
จงจิตมองตามหลังร้อยดาวอย่างรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของหลานสาวคนนี้
ถุงเลือดที่ถูกถ่ายมาตามสายยางจากแขนร้อยดาวที่กำลังบีบลูกยางให้เลือดไหลได้สะดวก
ผีเวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นข้างๆเตียงแล้วยื่นหน้าที่เน่าเฟะมาใกล้ๆร้อยดาว
“ใจพระซะเหลือเกิน ช่วยเหลือกระทั่งศัตรู ไม่ช้าก็คงเหมือนนิทานชาวนากับงูเห่า”
ร้อยดาวตกใจ “คุณแม่เวียงแก้ว !”
“อยากเสนอหน้าเป็นคนดี ช่วยชีวิตมันคิดหรือว่ามันจะสำนึก”
“หนูทำไปก็เพราะอยากช่วยดารกา ไม่ได้หวังว่าเธอจะต้องสำนึกหรือตอบแทนบุญคุณ”
“นังดารกามันเคยทำเจ็บแสบกับแกแค่ไหน ลืมไปแล้วหรือไง”
“หนูไม่เคยลืมเรื่องที่ทำให้เจ็บปวด แต่หนูไม่เก็บมันมาใส่ใจ ยอมให้เหตุการณ์ร้ายๆเหล่านั้นย้อนกลับมาเล่นงานทำร้ายตัวหนูเองเด็ดขาด”
“นังหน้าโง่ !!! ใครสั่งใครสอนให้แกมีความคิดโง่ๆแบบนี้ ห๊า”
“คุณแม่จันทร์ฉายค่ะ ! คุณแม่จันทร์ฉายสอนให้หนูรู้จักการชำระใจให้สะอาด ไม่จมปลักอยู่กับความอาฆาตมาดร้าย ยกโทษให้เขาก็เท่ากับปลดปล่อยตัวเราจากคุกแห่งความเคียดแค้น”
“คำก็คุณแม่จันทร์ฉาย สองคำก็คุณแม่จันทร์ฉาย ! แล้วฉันล่ะ แกเคยเห็นหัวฉันบ้างไหม นังทรยศ ! แกอยากไปอยู่กับแม่จันทร์ฉายของแกไหมล่ะ !! ฉันจะได้ช่วยสงเคราะห์”
ร้อยดาวตกใจเมื่อเห็นผีเวียงแก้วเหมือนจะเข้ามาทำร้าย ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เวียงแก้วหายตัวไป สิบทิศเข้าห้องมาถามร้อยดาวด้วยความแปลกใจ
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเธอคุยอยู่กับใคร ?”
ร้อยดาวหนักใจเพราะไม่รู้จะตอบสิบทิศว่าอย่างไรดี
ปรมัตถ์เผลอเอามือปัดกระเป๋าสตางค์ของร้อยดาวที่วางอยู่บนม้านั่งตกพื้น กระเป๋าร้อยดาวเปิดอ้าออกจนเห็นบัตรประชาชนด้านใน ปรมัตถ์ก้มลงเก็บกระเป๋าขึ้นมาดู ปรมัตถ์เห็นบัตรประชาชนของอังกฤษในยุคนั้นระบุชื่อ “MEDA BODINTHORN”
ปรมัตถ์อ่าน “เมดา บดินทร์ธร ?”
ปรมัตถ์แปลกใจที่ผู้หญิงที่เห็นไม่ใช่คุณหนูร้อยดาว
จงจิตเดินใจลอยออกมาเรื่อยๆจนถึงหน้าโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงลูกและชีวิตตัวเอง ยายแก่ขอทานคนหนึ่งถือขัน แต่งตัวมอมแมม นั่งขอเศษเงินคนที่ผ่านไปผ่านมาอย่างน่าสงสาร
“ทำบุญทำทานคนยากคนจนด้วยเถอะนะจ๊ะ”
จงจิตคิดถึงคำพูดของเต็มเดือนแวบเข้ามาในหัว
“ถ้ากลัวนักก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญทำทานให้มากๆจะได้มีบารมี ทำถึงขนาดนี้แล้ว คุณพระคุณเจ้าจะไม่ช่วยคุ้มครองบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ”
จงจิตควักแบงก์ร้อยออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วใส่ลงในขันของยายแก่ขอทานคนนั้น ยายขอทานเงยหน้าขึ้นกลายเป็นใบหน้าของเวียงแก้ว
“นึกเหรอว่าเศษบุญเศษทานแค่นี้จะช่วยชีวิตมึงได้ !!” ผีเวียงแก้วหัวเราะ
จงจิตผงะตกใจแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที ผีเวียงแก้วกลับคืนเป็นยายแก่ขอทานคนเดิมที่มองตามจงจิตที่อยู่ๆก็วิ่งหนีเตลิดไปอย่างงงๆ
จงจิตวิ่งข้ามถนนด้วยความหวาดกลัวตัดหน้ารถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็ว เสียงแตรบีบลั่นดังสนั่น จนคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นหันมามองด้วยความเสียวไส้ จงจิตเข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้นถนนพลางนึกในใจว่าตายแน่แล้วคราวนี้ ล้อรถเบรกเอี๊ยดครูดกับพื้นถนนอย่างแรงจนได้กลิ่นไหม้แต่ก็เบรกได้หวุดหวิด
คนขับรถบรรทุกด่าลั่น “จู่ๆก็วิ่งทะเล่อทะล่าตัดหน้ารถ อยากตายนักหรือไง”
จงจิตยังใจสั่นไม่หายจึงพูดอะไรไม่ออก เธอรีบวิ่งข้ามถนนไปทันที
ร้อยดาวเดินออกมาจากห้องตรวจเลือด เธอเห็นปรมัตถ์ยืนดักรอสีหน้าเครียดอยู่แล้ว ปรมัตถ์ยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ร้อยดาวด้วยท่าทีที่ห่างเหินไป
“ฉันนี่ซุ่มซ่ามจริง ลืมของสำคัญได้ ขอบใจมากนะ ปรมัตถ์”
“ไม่เป็นไรครับ... คุณเมดา”
ร้อยดาวหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าปรมัตถ์รู้ว่าตนเป็นใคร
ปรมัตถ์พูดต่อ “ความลับไม่มีในโลกเห็นท่าจะจริง... เราคงมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”
ร้อยดาวหลบสายตาปรมัตถ์เหมือนคนที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้
เมดาเดินคุยกับปรมัตถ์ในสวนหย่อมโดยสารภาพเรื่องตัวเองหมดเปลือก
“ฉันชื่อเมดา ย่อมาจากอันโดรเมดา กลุ่มดาวบนท้องฟ้าต้นฤดูหนาว ฉันเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณพ่อดิลกกับคุณแม่จันทร์ฉาย”
“ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าคุณดิลกมีทายาทกับเขาด้วย”
“ก่อนเดินทางไปอยู่ที่อังกฤษ คุณแม่จันทร์ฉายกำลังตั้งท้องอ่อนๆ คุณพ่อจงใจปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับมานานกว่ายี่สิบปี ไม่ยอมส่งข่าวคราวเรื่องฉันให้ทุกคนที่เมืองไทยรู้ แม้กระทั่งคุณปู่ของฉันเองก็ตาม...เพราะท่านอยากจะลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างครอบครัวที่อังกฤษ”
“แล้วคุณหนูร้อยดาว ลูกสาวของคุณปกรณ์กับคุณเวียงแก้ว ที่คุณดิลกพาไปอังกฤษด้วยเมื่อ 25 ปีก่อนล่ะครับ”
ภาพร้อยดาวนั่งถักโครเชต์อยู่บนเตียงพลางไอป่วยกระเสาะกระแสแวบขึ้นมา
เมดาเล่าต่อ “ตั้งแต่ฉันจำความได้ ก็เห็นพี่ร้อยดาวป่วยกระเสาะกระแสะจึงถูกเลี้ยงไม่ต่างจากไข่ในหิน แต่ถึงอย่างไรเราก็อยู่ด้วยกันมีความสุขเสมอมา ไม่เคยรู้สึกอึดอัด พี่ร้อยดาวเป็นคนเงียบๆ ขี้อาย ชอบเย็บปักถักร้อยเหมือนคุณแม่จันทร์ฉาย ต่างจากฉันที่ไม่เอาไหนสักอย่าง”
เมดายิ้มเศร้าๆเมื่อพูดถึงร้อยดาว พี่สาวผู้ล่วงลับ
เมดานั่งลงที่ม้านั่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ปรมัตถ์นั่งลงข้างๆ ฟังเรื่องจากปากเมดาอย่างตั้งใจ
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ร้อยดาวไม่ใช่พี่สาวพ่อแม่เดียวกันกับฉัน จนกระทั่งฉันได้อ่านสมุดบันทึกของคุณพ่อภายหลังจากที่ท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ฉันตัดสินใจเดินทางบินมาที่นี่ เพื่อค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นในบดินทร์ธร”
“คุณชายสิบทิศทราบเรื่องแล้วหรือยังครับว่าคุณไม่ใช่...คุณหนูร้อยดาว” ปรมัตถ์ถาม
เมดาพยักหน้าแล้วหวนคิดถึงเมื่อตอนที่เล่าความจริงให้สิบทิศฟัง
ภาพในอดีตย้อนมา เมดาที่ยังตาบอดอยู่เล่าความจริงในสิบทิศฟังเมื่อตอนที่สิบทิศเอาสมุดไดอารี่มาคืน
“ถ้าเธอคือเมดาลูกสาวของคุณดิลก แล้วร้อยดาวตัวจริงไปไหน ทำไมถึงยอมปล่อยให้เธอมาสวมรอยได้”
“พี่ร้อยดาวป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่ตอน 5 ขวบ คืนนั้นหมอโทรศัพท์มาบอกว่าพี่ร้อยดาวหัวใจล้มเหลว คุณพ่อรีบขับรถพาคุณแม่กับดิฉันไปที่โรงพยาบาล แต่ดันเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางเสียก่อน เลยไม่ทันได้ดูใจพี่ร้อยดาวเป็นครั้งสุดท้าย”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่รถดิลกประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำแวบขึ้นมา
“อุบัติเหตุในคืนนั้นทำให้ดิฉันต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างเนื่องจากเศษกระจกกระเด็นเข้าตา”
สิบทิศสงสัย “แต่ตาเธอก็ไม่ได้บอด ?”
ภาพตอนที่ร้อยดาวที่นอนอยู่บนเตียงเซ็นหนังสือมอบอวัยวะให้กับทางโรงพยาบาลแวบขึ้นมา
“ก่อนพี่ร้อยดาวจะเสียชีวิต ได้บริจาคดวงตาและอวัยวะในร่างกายมอบให้ทางโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่รู้เลยว่าดวงตาคู่นั้นจะช่วยให้น้องสาวอย่างดิฉันพ้นจากโลกอันมืดมิดกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
พอพูดถึงเรื่องนี้เมดาก็น้ำตาคลอด้วยความซึ้งในน้ำใจของพี่สาวแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 12 (ต่อ)
เมดาน้ำตาคลอแล้วเอ่อไหลออกมาจนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ภายหลังการผ่าตัดดวงตา ฉันกลับมาเห็นอีกครั้ง แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียพ่อ แม่ และพี่สาวในคราวเดียวกัน”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่หมอโรเบิร์ตแกะผ้าพันแผลและเมดากลับมามองเห็นอีกครั้งย้อนกลับมา
เมดาพูดต่อ “แต่ใครจะรู้ล่ะว่าหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาครั้งนั้น ฉันก็เริ่มเห็นสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก และหญิงสาวในชุดขาวที่เรียกฉันว่าลูกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณลุงทวีปพ่อของคุณส่งจดหมายจากเมืองไทยตามให้ฉันเดินทางมาเปิดพินัยกรรมของคุณลุงปกรณ์ที่นี่ในฐานะทายาทคนหนึ่งของบดินทร์ธร”
“แสดงว่าคุณพ่อผมท่านทราบเรื่อง “คุณ” มาโดยตลอด”
“ค่ะ... คุณลุงทวีปเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คุณพ่อฉันไว้วางใจยอมเล่าทุกเรื่องให้ฟังอย่างไม่ปิดบังอำพรางและขอร้องให้ช่วยเก็บเป็นความลับให้ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่บดินทร์ธรตายไปพร้อมๆกับท่าน”
“ตอนนี้คุณดิลกกับคุณจันทร์ฉายก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมเปิดเผยเรื่องของคุณให้ทุกคนทราบ โดยเฉพาะ...คุณท่าน”
“คุณปู่ทราบเรื่องของฉันแล้ว ท่านเองนั่นแหละที่สั่งกำชับให้ฉันปิดบังไว้” เมดาบอก
ปรมัตถ์สงสัยว่าดำรงสั่งให้ปิดคนอื่นๆทำไม
ภาพตอนที่ดำรงรู้ความจริงจากปากเมดาย้อนกลับมา
“หล่อนอย่าเพิ่งปริปากบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เข้าใจไหม ?” ดำรงกำชับ
“ทำไมล่ะครับท่าน ? มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้เมดาเล่นละครตบตาหลอกคนอื่นว่าเป็นร้อยดาวด้วย”
เมดาสงสัยไม่แพ้สิบทิศ
“ที่แม่ม้าดีดกะโหลกนี่อยู่รอดปลอดภัยในบดินทร์ธรได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะใครๆต่างรู้ว่าหล่อนเป็นลูกชู้แม่เวียงแก้ว ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกองมรดก แต่ถ้าวันใดทุกคนรู้ว่าหล่อนเป็นลูกของเจ้าดิลก คิดเหรอว่าพวกบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรด มันจะปล่อยให้หล่อนลอยนวล”
ดำรงสบสายตาในทำนองเตือนเมดาว่าให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี
ปรมัตถ์เข้าใจเรื่องทุกอย่างกระจ่างชัด
“คุณปู่ยังกำชับฉันอีกว่าเมื่อเปิดพินัยกรรมของคุณพ่อดิลกแล้ว ความลับจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถึงตอนนั้นให้ฉันรีบเก็บเสื้อผ้าบินกลับไปอยู่ที่อังกฤษทันที” เมดาบอก
“คุณท่านคงเป็นห่วงเกรงว่าคุณจะเป็นอันตราย บดินทร์ธรมีทั้งภัยที่มองเห็นและมองไม่เห็นเต็มไปหมด คุณเองก็ต้องระวังตัวให้ดีนะครับ”
เมดาพยักหน้าแล้วยิ้มแทนคำขอบคุณ
สิบทิศเดินเข้ามาแล้วแกล้งกระแอมดังๆขัดจังหวะเพราะรู้สึกหึงอยู่เล็กน้อย
“ดารกาเป็นยังไงบ้างคะ ?”
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ต้องพักรักษาตัวที่นี่สักระยะ หายเป็นปรกติเมื่อไร ฉันจะส่งตัวดารกาไปโรงพยาบาลในเมือง เพื่อรักษาต่อที่แผนกจิตเวช”
“ขอบพระคุณคุณชายนะคะที่ช่วยกรุณาเป็นธุระให้... ถ้าว่างเมื่อไร ดิฉันจะทำอาหารเลี้ยงคุณชายสักมื้อ ถือเป็นการตอบแทน รับรองค่ะว่าจะปรุงให้สุดฝีมือเลย”
“ม้าดีดกะโหลกอย่างเธอ รู้จักเข้าครัวทำกับข้าวกับปลาเป็นกับเขาด้วยเหรอ กินได้หรือเปล่ายังไม่รู้”
เมดายิ้มหน้าระรื่น “คุณชายก็ต้องลองเสี่ยงวัดดวงชิมดูสิคะ”
สิบทิศแกล้งตีหน้าขรึมแต่ก็อดยิ้มในใจไม่ได้ ปรมัตถ์ยิ้มด้วยความยินดี
ดำรงมองถ้วยยาบำรุงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาเอายาบำรุงเททิ้งใส่กระถางบอนไซที่ตั้งไว้บนโต๊ะ เสียงเต็มเดือนดังแหวขึ้นมา
“ทำอะไรคะ คุณพ่อ !”
ดำรงสะดุ้งเฮือกหันกลับมาเห็นเต็มเดือนในชุดขาวกำลังมองตาเขียวปั้ด เต็มเดือนจ้องดำรงตาเขม็งเพราะรู้สาเหตุที่ดำรงไม่ยอมตายด้วยยาพิษอย่างที่ตั้งใจ
“เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณพ่อถึงได้ไม่ “หาย” สักที”
“อยากให้ฉันหายหรืออยากให้ฉันตายไวๆกันแน่ แม่เต็มเดือน”
“พูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้นคะ คุณพ่อ.... เต็มจะไปอยากให้คุณพ่อด่วนสิ้นบุญไปทำไมกัน”
เต็มเดือนพูดพลางเดินไปหยิบซองพินัยกรรมที่ดำรงซ่อนไว้ที่ใต้หมอน
“หล่อนจะเอาไปไหนน่ะ แม่เต็มเดือน ?”
“ในเมื่อคุณพ่อกรุณายกบ้านหลังนี้แล้วก็ทรัพย์สินทั้งหมดในบดินทร์ให้เต็มแล้ว พินัยกรรมฉบับนี้ เต็มขอเก็บรักษาไว้ให้เองนะคะ”
เต็มเดือนพูดพลางลอยหน้าและกำลังจะก้าวออกจากห้องดำรง
“ต่อให้หล่อนเอาไป ฉันก็จะให้ทวีปร่างขึ้นมาใหม่อีกฉบับ ดูสิว่าคราวนี้ยังจะมีชื่อหล่อนอยู่หรือเปล่า ?”
เต็มเดือนโกรธจนตาลุกเพราะเจ็บใจเหมือนงูถูกตีที่ขนดหาง เธอก้าวออกไปจากห้องดำรงอย่างไม่แยแส ดำรงมองตามด้วยความแค้นที่เต็มเดือนทำเหมือนไม่เห็นหัว เขากำมือแน่น
“นึกแล้ว สักวันหล่อนจะต้องเผยสันดานออกมาให้รู้เช่นเห็นชาติ”
เสียงเต็มเดือนที่ตกใจสุดขีดดังขึ้น
“ตายแล้ว !!!! หนูร้อยดาว”
ดำรงตกใจและเป็นห่วงหลานจึงรีบลุกตามออกจากห้องไปทันที
ดำรงวิ่งออกมาดูที่บันไดด้วยความตกใจและเป็นห่วงเมดา
เขากวาดตามองที่บันไดแต่ก็ไม่เห็นใคร เต็มเดือนเดินย่างสามขุมเข้ามาทางด้านหลังดำรงด้วยรังสีอำมหิต ดำรงหันกลับมาเห็นเต็มเดือนเข้าก็ตกใจ
“คุณพ่อจะยกบ้านหลังนี้ให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากเต็ม”
เต็มเดือนยิ้มเย็นๆ ก่อนผลักดำรงให้ตกบันได ดำรงกลิ้งลงบันไดหลายขั้นจนกระทั่งลงไปหมดสติที่พื้นด้านล่าง เต็มเดือนยิ้มด้วยดวงตาวาวโรจน์ก่อนเดินลอยหน้าจากไป นมแสงได้ยินเสียงโครมครามจึงวิ่งเข้ามาดู นมแสงเห็นร่างดำรงนอนกองที่พื้นสลบอยู่ก็ตกใจสุดขีด
“คุณท่าน !”
ดำรงนอนนิ่งอย่างไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
สิบทิศขับรถมาส่งเมดาที่หน้าตึก แต่เมดายังไม่ทันจะลงจากรถดีนมแสงก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแล้วละล่ำละลักด้วยความตกใจ
“คุณหนู ! คุณชาย ! ช่วยคุณท่านด้วยค่ะ !”
“คุณท่านเป็นอะไรหรือจ๊ะ นม ?” เมดาถาม
“คุณท่านพลัดตกบันไดค่ะ” นมแสงบอก
เมดาตกใจ “อะไรนะ !!”
เมดาตกใจอ้าปากค้าง เธอหันไปมองหน้าสิบทิศ
สิบทิศกับปรมัตถ์ช่วยกันค่อยๆประคองร่างดำรงให้เอนตัวลงนอนบนเตียง ดำรงนอนเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ แต่รู้สึกตัว เต็มเดือนแสร้งร้องไห้เพื่อเล่นละครตบตาคนอื่น เธอกอดที่เท้าของดำรงแล้วพูดอย่างน่าสงสาร
“เต็มผิดเองที่ดูแลคุณพ่อไม่ดี ยกโทษให้เต็มด้วยนะคะคุณพ่อ ถ้าตอนนั้นเต็มไม่ไปนั่งวิปัสสนาที่วัดปล่อยให้คุณพ่ออยู่เพียงลำพังจนหน้ามืดตกบันได คุณพ่อก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้...”
ดำรงกลอกตามองเต็มเดือนอย่างโกรธแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณเต็มเดือน... ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั้งนั้น ตอนนี้เราช่วยกันดูแลคุณปู่ให้ดีที่สุดจะดีกว่า”
นมแสงรู้สึกหมั่นไส้เต็มเดือนเต็มทน
“คุณท่านจะกลับมาเหมือนเดิมได้ไหมครับ”
“คนไข้บางคนอาจฟื้นตัวได้เร็ว แต่บางคนก็ฟื้นตัวได้ช้าหรือพิการตลอดไป ขึ้นอยู่กับกำลังใจของท่านเองว่าจะสู้หรือยอมแพ้”
จงจิตเห็นสภาพดำรงแล้วก็คิดว่าเป็นฝีมือเวียงแก้วก็หน้าซีด จงจิตลนลานชนข้าวของในห้องตกหล่น แล้วพรวดพราดออกจากห้องไป เมดามองตามด้วยความแปลกใจ
เมดาเดินมาส่งสิบทิศที่หน้าตึก
“วันเปิดพินัยกรรมของคุณพ่อดิลกคงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าคุณปู่จะอาการดีขึ้น”
“ถ้าท่านไม่หาย เธอไม่ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยเหรอ” สิบทิศถาม
“ดิฉันไม่มีทางเลือก คุณปู่ไม่เหลือใคร แม้แต่ดาหลาที่ท่านเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม หวังฝากผีฝากไข้ ก็จากโลกนี้ไปแล้ว ดิฉันเป็นหลานแท้ๆจะทอดทิ้งท่านไปได้อย่างไร”
“ฉันไม่เชื่อว่าที่ท่านพลัดตกบันไดจะเป็นอุบัติเหตุ”
เมดาตกใจ “หมายความว่าอย่างไรคะ คุณชาย ?”
“ฉันแค่ตั้งข้อสันนิษฐาน ยังไม่มีอะไรมายืนยัน”
“หากไม่ใช่อุบัติเหตุ แล้วคุณปู่จะตกลงมาได้อย่างไร มีคนผลักคุณปู่ให้ตกลงมาอย่างนั้นน่ะหรือคะ... ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“เธอจะเชื่อหรือไม่มันก็เรื่องของเธอ แต่ฉันอยากให้เธอคอยจับตาดูคนที่อยู่ใกล้ตัวท่านเอาไว้ให้ดี”
สิบทิศจ้องหน้าเมดาจริงจังเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเต็มเดือนเป็นคนทำ ก่อนขึ้นรถไป
“คุณชายหมายถึงใคร หรือว่า....”
เมดามองตามอย่างสงสัยโดยเดาว่าอาจจะเป็นฝีมือเวียงแก้ว
จงจิตสีหน้ากระวนกระวาย ต่างจากเต็มเดือนนั่งถักหมวกไหมพรมอย่างสบายอารมณ์
“จะอะไรถ้าไม่ใช่ผีนังเวียงแก้วที่ผลักคุณพ่อตกบันได คุณพี่ว่าไหมคะ !” จงจิตถาม
เต็มเดือนตอบห้วนๆ “คงงั้นมั้ง”
“ยิ่งนับวันมันก็ยิ่งอาละวาดหนักข้อ นังเวียงแก้วมันอำมหิตมากขึ้นทุกที ขนาดคุณพ่อมันก็ยังไม่ละเว้น ! นังผีเนรคุณ”
เต็มเดือนรู้สึกแสลงใจเหมือนถูกจงจิตด่า
เต็มเดือนดุ “จงจิต !!! เลิกพูดเรื่องนี้เสียที ฉันไม่อยากฟัง”
จงจิตหน้าเสียเพราะไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดหูเต็มเดือนขึ้นมาอีก จงจิตเหลือบเห็นเต็มเดือนถักหมวกไหมพรมก็สงสัย
“ถักหมวกไหมพรมตั้งมากมาย จะเอาไปทำอะไรคะคุณพี่”
“ใกล้หน้าหนาวแล้ว ฉันจะเอาไปถวายพระป่าตามวัดที่กันดาร อานิสงส์ผลบุญจะได้ช่วยคุ้มกันภัยให้ฉันรอดพ้นทั้งจากน้ำมือคนและผี”
เต็มเดือนยิ้มมั่นใจในวิธีนี้ว่าจะทำให้ผีเวียงแก้วทำอะไรตนไม่ได้
เมดาเดินคุยกับนมแสงที่ระเบียง
“เชื่อนมเถอะค่ะ ! คุณท่านตกบันไดไม่ใช่ฝีมือของคุณเวียงแก้วอย่างแน่นอน”
“ทำไมนมถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจนักล่ะ ? หรือว่านมรู้เห็นอะไร ?”
ภาพตอนที่เต็มเดือนแสร้งร้องไห้ เล่นละครตบตาคนอื่นแวบขึ้นมาในหัวนมแสง
“ถ้าตอนนั้นเต็มไม่ไปนั่งวิปัสสนาที่วัดปล่อยให้คุณพ่ออยู่เพียงลำพังจนหน้ามืดตกบันได คุณพ่อก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้...”
นมแสงเล่าให้เมดาฟัง
“ตอนที่เกิดเรื่อง คุณเต็มเดือนกลับมาจากวัดแล้วค่ะ นมเห็นคุณเต็มเดือนเข้าไปในห้องของคุณท่าน ก่อนที่คุณท่านจะพลัดตกบันได”
“นมสงสัยว่าคุณเต็มเดือนจะ...เป็นคนผลักคุณปู่งั้นเหรอ ?” เมดาถาม
นมแสงพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“คุณเต็มเดือนเธอเป็นคน “น่ากลัว” มากนะคะ”
ร้อยดาวไม่อยากจะเชื่อว่าเต็มเดือนจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ เต็มเดือนที่แอบอยู่ได้ยินสิ่งที่นมแสงพูดทุกอย่าง เต็มเดือนดวงตาวาวโรจน์เพราะเจ็บใจนมแสง
จงจิตหย่อนเท้าลงไปในอ่างอาบน้ำที่กำลังอุ่นได้ที่ เธอนอนหลับตาแช่น้ำอุ่น สบายตัวแต่ใจกลับคิดฟุ้งซ่านไม่เป็นสุข ผีเวียงแก้วเดินออกมาจากผนังห้องน้ำด้านหนึ่ง
“กำลังคิดไม่ตกเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้า ?” ผีเวียงแก้วถาม
“นังเวียงแก้ว !!”
จงจิตใจหายวาบแล้วจับที่คอเบี้ยแต่ไม่อยู่ จงจิตนึกขึ้นได้ว่าถอดวางเอาไว้ที่หัวเตียงก่อนเข้ามาอาบน้ำ
จงจิตทำใจดีสู้เสือ “แก...แกต้องการอะไร...”
เวียงแก้วเอามือราน้ำในอ่าง
“น้ำอุ่นพอแล้วหรือยังเจ้า ? ข้าเจ้าว่าน่าจะร้อนอีกสักนิด...”
ทันใดนั้น น้ำในอ่างก็ควันลอยกรุ่นขึ้นทำให้จงจิตร้อนจนแสบผิว จงจิตจะลุกขึ่นจากอ่าง แต่ผีเวียงแก้วเอามือกดจงจิตไว้ไม่ยอมให้ลุก
“น้ำกำลังร้อนได้ที่ อย่าเพิ่งรีบไปสิเจ้า อยู่รำลึกความหลังกันสักนิด”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่จงจิตนั่งแช่เท้าอยู่ในอ่างน้ำอุ่น โดยมีเสงี่ยมยืนดูอยู่ข้างๆ
“ยังร้อนไม่พอ ! ไปต้มน้ำมาเติมอีก !”
เวียงแก้วรีบกุลีกุจอยกกาต้มน้ำค่อยๆเติมรินใส่ลงในอ่าง
“โอ๊ย !!!! นี่แกแกล้งเอาน้ำร้อนมาลวกฉันใช่มั้ย !!! ห๊า”
“ขอสุมาเต๊อะเจ้า...ข้าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจ หรือแกจงใจกันแน่ !”
จงจิตจิกผมเวียงแก้วขึ้นมาแล้วกดหัวเวียงแก้วลงในอ่างล้างเท้า
“แกอยากจะลองดีกับฉันใช่ไหม ! ห๊า !”
เวียงแก้วถูกกดจนสำลักน้ำหายใจไม่ออก จงจิตกระชากผมเวียงแก้วขึ้นมาจากอ่างน้ำ
“จำใส่กะลาหัวเอาไว้ ! ใครที่คิดจะมา “เล่น” กับฉัน ฉันไม่มีวันปล่อยให้ลอยนวลอยู่เป็นสุขหรอก”
จงจิตถูกผีเวียงแก้วเอาหัวกดลงไปในอ่างน้ำที่ร้อนจัดแล้วกระชากผมขึ้นมาจากอ่าง
“เห็นสิ่งที่แกเคยทำกับฉันแล้วหรือยัง ห๊า ! นังจงจิต” เวียงแก้วว่า
“ฉันกลัวแล้ว... อย่าทำอะไรฉันเลยนะเวียงแก้ว...ฉันสำนึกผิดแล้ว...”
“คนที่เลวจนเข้าไส้ จะกลับใจสำนึกได้ชั่วข้ามคืน ไม่มีหรอก นอกจากตายแล้วไปเกิดใหม่เท่านั้น”
เวียงแก้วกดหัวจงจิตลงในอ่างน้ำกะจะให้สำลักตาย ทันใดนั้น เสียงเมดาสวดแผ่เมตตาก็ดังขึ้น
“สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย”
เวียงแก้วหันควับไปทางห้องของปกรณ์แล้วก็รู้สึกรำคาญจนร้อนรนจึงหายตัวไป
เมดานั่งสวดแผ่เมตตาอยู่ในห้อง
“อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียน....”
เวียงแก้วปรากฏตัวเข้ามาด้วยอาการกราดเกรี้ยว
“หยุด...หยุดเสียที ฉันรำคาญเสียงสวดชุ่ยๆนี่เต็มทนแล้ว ! เอาเวลาแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้คนอื่น มาสวดภาวนาให้ตัวเองรอดตายยังจะดีกว่า”
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หนูก็จะทำ...หนูจะสวดแผ่เมตตาอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีใครห้ามหนูได้” เมดาบอก
“นังหัวดื้อ !!! คิดว่าทำแบบนี้แล้วแกจะชนะหรือไง”
“การเอาชนะด้วยเมตตาเป็นชัยชนะที่ถาวร เพราะเป็นการลบความ เคียดแค้นชิงชังที่อยู่ในใจเรา ตรงข้ามกับความอาฆาตพยาบาทที่รังแต่จะสร้างรอยบาดหมาง ให้ต่างฝ่ายต่างหาทางแก้แค้นไม่รู้จักจบจักสิ้น” เมดาบอก
“งั้นแกก็จงสวดต่อไป ดูสิว่าบทสวดของแกจะช่วยให้นังจงจิตมันรอดพ้นเงื้อมือฉันไปได้อีกนานสักแค่ไหน”
เวียงแก้วระเบิดหัวเราะก่อนหายตัวไป
“คุณจงจิต !”
เมดาใจหายวาบเพราะนึกถึงจงจิตขึ้นมาทันที
จงจิตเก็บเสื้อผ้า ทรัพย์สมบัติที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยท่าทางร้อนรน
จงจิตคว้าเบี้ยแก้ที่หัวนอนมาสวมไว้ เธอกำลังจะออกจากห้องแต่มาพบกับเมดาที่มาหาพอดี
“คุณจงจิตจะไปไหนคะ”
“ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องฉัน แกอย่าแส่ หลีกไป”
จงจิตผลักร้อยดาวแล้วรีบขนสัมภาระก่อนจะก้าวฉับๆไป เมดาเห็นที่หน้าผากของจงจิตมีรอยกากบาทก็ใจหายวาบแล้วรีบวิ่งตามจงจิตไปทันที
จงจิตโยนกระเป๋าสัมภาระโครมไว้ที่เบาะหลัง เมดาวิ่งตามจงจิตเพื่อมาห้ามไว้
“คุณจงจิตคะ !!! อย่าไปเลยค่ะ”
จงจิตไม่ฟังเสียงจึงสตาร์ทรถแล้วขับบึ่งออกไปทันที เมดาเห็นผีเวียงแก้วใบหน้าเน่าเฟะนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆจงจิตก่อนจะหันมาแสยะยิ้มให้ เมดาวิ่งตามแต่ไม่ทันรถของจงจิต เมดาเหลียวซ้ายแลขวาจนเห็นจักรยานของบังหนั่นคันเก่าๆ จอดพิงที่ข้างกำแพง เมดาไม่รอช้าจึงปั่นจักรยานตามรถของจงจิตไปทันที
นมแสงเห็นห้องจงจิตเปิดประตูแง้มอยู่ก็แปลกใจจึงผลักประตูเข้าไปดู นมแสงเห็นห้องจงจิตว่างเปล่า ตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าซ่าและเหลือเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัว
“ดึกๆดื่นๆ คุณจงจิตออกไปไหนของเธอนะ ?”
นมแสงแปลกใจพอหันกลับมาก็เห็นเต็มเดือนยืนอยู่ก็ถึงกับผงะ
“ตกใจอะไรหรือจ๊ะ นมแสง”
“ปละ...เปล่าค่ะ...”
“นมแสงเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง อยู่ที่นี่มานานต้องรู้จักนิสัยใจคอของแต่ละคนในบดินทร์ธรเป็นอย่างดี...นมแสงคิดว่าฉันเป็นคนยังไงหรือจ๊ะ ?”
นมแสงเหงื่อแตกซิกและน้ำท่วมปากไม่กล้าตอบจึงได้แต่อึกๆอักๆ
เต็มเดือนหัวเราะเบาๆ “คงเห็นฉันน่ากลัวนักกระมัง ถึงได้ไม่กล้าพูด”
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
นมแสงขอตัวด้วยความรู้สึกตะครั่นตะครออย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยว !! ยังไปไหนไม่ได้”
นมแสงชะงักและก้าวขาไม่ออก เต็มเดือนเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“มีเรื่องหนึ่งที่นมแสงจะต้องรู้ไว้ ! เผอิญฉันได้ยินที่นมแสงบอกกับหนูร้อยดาวเมื่อเย็นนี้”
นมแสงสะดุ้งเฮือกใจหายวาบ
“อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าได้พูด คนที่อายุยืนคือคนหูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้เท่านั้น ส่วนคนพูดมากฉันเห็นอายุไม่ค่อยยืนสักราย... ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย จำเอาไว้ให้ดี ! ฉันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่นมคิดหรอกนะ....”
เต็มเดือนค่อยๆหยิบเชิงเทียนทองเหลืองที่ตั้งอยู่ใกล้ๆขึ้นมา
“แต่ฉันน่ากลัวยิ่งกว่าที่แกคิด”
เต็มเดือนเอาเชิงเทียนขึ้นมากระชับในมือหมายจะฟาดที่กลางกะโหลกของนมแสง นมแสงหลับตาปี๋ พร้อมกับคิดถึงพ่อแก้วแม่แก้ว เธอคิดว่าต้องตายแน่ๆ เสียงปรมัตถ์ดังขัดจังหวะ
“คุณนมครับ !”
เต็มเดือนวางเชิงเทียนไว้ที่เดิมก่อนจะหันมาเห็นปรมัตถ์ยืนอยู่
“คุณท่านให้ผมมาตามไปพบที่ห้องครับ” ปรมัตถ์บอก
นมแสงรับคำ “ค่ะๆๆ”
นมแสงรีบเดินไป เต็มเดือนมองหน้าปรมัตถ์ ปรมัตถ์มองสู้ตาเพื่อประกาศตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
เมดาปั่นจักรยานตามจงจิตไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิบทิศขับรถตามมาด้านหลังเพราะเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล พอเห็นว่าเป็นเมดาสิบทิศก็ขับไปจอดใกล้ๆ แล้วลดกระจกลง
“ดึกแล้ว จะไปไหน ?”
เมดาหอบ “คุณชายมาก็ดีแล้ว ช่วยพาดิฉันตามรถคุณจงจิตไปที”
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“คุณจงจิตกำลังตกอยู่ในอันตราย” เมดาบอก
เมดาทิ้งจักรยานแล้ววิ่งไปขึ้นรถสิบทิศก่อนจะออกรถตามไปทันที
จงจิตรีบขับรถฝ่าไปในความมืด ทันใดนั้นก็มีเงาของอะไรบางอย่างคล้ายๆหมาดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้ารถไปอย่างรวดเร็ว จงจิตหักพวงมาลัยหลบลงข้างทางจนไปชนกับต้นไม้ใหญ่ ศีรษะจงจิตกระแทกพวงมาลัยจนเลือดอาบ เธอมึนไปหมด จงจิตลงมาดูรถ เธอเห็นรถชนกับต้นไม้ควันขึ้นทำให้ไปไหนไม่ได้
“โธ่เว๊ย !!! ซวยจริงๆ คนยิ่งรีบๆอยู่”
จงจิตกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นแสงไฟจากบ้านคนส่องอยู่ไกลๆ จงจิตตัดสินใจเดินตามแสงไฟนั้นไป
อ่านต่อตอนที่ 13