รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 6
ธรรม์กับอิทธิพลเดินออกมาจากห้องประชุม กลุ่มนายตำรวจ 4 -5 คนตามหลังออกมา
นายตำรวจ 3 นายเดินแยกไปอีกทาง นายตำรวจอีกสองนายเดินตามอิทธิพลอยู่ห่างๆ
“พ่อคิดว่า อีกไม่นานไอ้เก่งกาจต้องส่งยาอีกแน่ แกต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ อย่าให้มีอะไรมาขัดขวางการทำงานของแกได้” อิทธิพลบอก
“คุณพ่อดึงผมมาช่วยคดีสำคัญๆ อย่างนี้จะดีหรือครับ ผมเองก็เพิ่งเรียนจบ ไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาคนอื่น ไม่ใช่ผมไม่อยากเข้าร่วมทำคดีนะครับ แต่ผมไม่อยากให้มีเรื่องกระทบมาถึงคุณพ่อ”
“แกไม่ต้องห่วง ทุกคนเข้าใจดีว่า ทำไมพ่อถึงให้แกมาช่วยงานนี้ ไม่ใช่เพราะแกเป็นลูกชายพ่อ แต่เป็นเพราะแกเป็นตำรวจที่มีความสามารถ ที่พ่อบอกว่า อย่าให้มีอะไรขัดขวางการทำงานของแก ไม่ใช่เรื่องอะไรอื่นเลย นอกจากเรื่องความคิดของแกเอง เลิกคิดมาก จิตใจอย่าไขว้เขว ตอนนี้คดีนี้คือชีวิตของแก”
อิทธิพลตบไหล่ธรรม์แล้วเดินออกไป นายตำรวจ 2 นายเดินตามอิทธิพลไป ธรรม์เดินออกพลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดใหม่อีกครั้ง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อ “มาย่า” ธรรม์มองอย่างหนักใจแต่ก็กดรับ
“ฮัลโหล มาย่า..ขอโทษนะ พี่ประชุมอยู่ ถ้าไม่จำเป็น อย่าโทรมาอีก”
ธรรม์กดปิดมือถืออย่างตัดสินใจแม้ว่าจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม
มณีมันตราจ้องมองมือถือในมือตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ถ้าไม่จำเป็น อย่าโทรมาอีก” ?
มณีมันตรานิ่งอึ้งและเสียใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมธรรม์ถึงเปลี่ยนไปในช่วงแค่ข้ามคืน
ชนมนนั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่โต๊ะม้าหิน อิทธิฤทธิ์เดินตามหาชนมนพอเห็นชนมนเขาก็รีบตรงไปหาอย่างอารมณ์ดี
“อยู่นี่เอง”
ชนมนเงยหน้าจากหนังสือมามองอิทธิฤทธิ์อย่างเฉยเมย
“กฎหมายอาญามาตรา 91 92 93 ท่องได้หรือยัง” ชนมนถาม
“เธอนี่กัดไม่ปล่อยจริงๆ เมื่อกี้เธอเห็นที่ชั้นเล่นหรือเปล่า เท่ใช่มั้ยล่ะ”
“ก็..ก็โอเค”
“ชั้นเล่นเทคเดียวผ่าน เก่งกว่าไอ้ตี๋เล็กเป็นร้อยเท่า พี่ผู้กำกับเค้า อยากเพิ่มบทให้ชั้นด้วยนะ แต่เค้าบอกว่า ต้องคิดดูอีกที เพราะชั้นดันหล่อเกินพระเอก เดี๋ยวจะไปฆ่าโอเจซะเปล่าๆ”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะชอบใจแต่ชนมนไม่หัวเราะด้วย เธอเปิดหนังสือแล้วเลื่อนไปให้อิทธิฤทธิ์
“ทำตัวไร้สาระพอหรือยัง ท่องไป”
“เธอต้องยอมรับก่อนว่า ชั้นดีกว่าแน่กว่าไอ้ตี๋เล็ก”
“นายจะมาสนใจอะไรกับคำพูดของชั้น ชั้นคิดยังไง มันสำคัญกับนายมากนักเหรอ”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งไปเพราะแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ดิ้นรนพิสูจน์ตัวเองกับชนมน
“ก็..ก็ไม่สำคัญอะไร แต่ชั้นไม่ชอบให้ใครมาเปรียบเทียบชั้นกับไอ้ตี๋เล็กมันคนละชั้นกัน”
ทันใดนั้นขวดน้ำถูกโยนโครมลงกลางวงที่โต๊ะม้าหิน อิทธิฤทธิ์กับชนมนตกใจจึงลุกขึ้นออกมาทันที “เฮ้ย !!”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนหันไปมองหาว่าใครขว้างก็เห็นตี๋เล็กเดินอาดๆ เข้ามา
“ไอ้ที่ว่าคนละชั้น หมายความว่าไง”
“แกมีอะไรสู้ชั้นได้บ้างล่ะ” อิทธิฤทธิ์ถาม
“คนอย่างแกมีอะไรดี นอกจากมีพ่อเป็นตำรวจใหญ่”
อิทธิฤทธิ์เดินเข้าไปประจันหน้ากับตี๋เล็ก
“แล้วคนอย่างแกมีอะไรดี นอกจากมีเงิน”
“อย่างน้อยชั้นก็ไม่เคยโกงสอบจนถูกไล่ออก แล้วขอให้พ่อใช้เส้นยัดกลับเข้าไปเรียนใหม่หรอกวะ” ตี๋เล็กว่า
“ชั้นไม่เคยขอให้พ่อช่วย”
“นั่น ยอมรับแล้วว่า พ่อแกใช้เส้น นี่แกโกงข้อสอบตั้งแต่อนุบาลเลยหรือเปล่า เออ มีพ่ออย่างนี้ ลูกถึงได้โกงไปเรื่อย”
อิทธิฤทธิ์โกรธจัด “ไอ้ตี๋เล็ก”
“เออ..หรือว่าไม่ใช่แกเท่านั้นที่โกง คงโกงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เรียกว่าโกงมาทั้งโคตรเลย อย่างพ่อแกที่มีตำแหน่งใหญ่โต ก็คงจะโกงเค้ามาเหมือนกัน”
อิทธิฤทธิ์ปล่อยหมัดใส่หน้าตี๋เล็กอย่างจังทันที
“อิท !”
ตี๋เล็กเซถลาไป พอตั้งหลักได้ก็โผเข้าหาอิทธิฤทธิ์แล้วทั้งสองก็ชกต่อยกันนัวเนีย
ชนมนเสียงดัง “หยุดนะ !”
ชนมนเข้าไปดึงอิทธิฤทธิ์แต่ก็ถูกสลัดออกมา ชนมนเข้าไปใหม่แล้วพยายามดึงตี๋เล็กออกมา
“ชั้นบอกให้หยุด !”
ตี๋เล็กกระชากเสื้อชนมนแล้วเหวี่ยงออกไปจนชนมนกระเด็นหงายหลังมือกระแทกพื้น อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กซัดกันจนสะบักสะบอมทั้งคู่ สักพักอาม้าก็วิ่งหน้าตาเลิกลั่กเข้ามา
“หยุดนะ หยุด”
อาม้าตรงเข้าไปดึงตี๋เล็ก ส่วนชนมนเข้าไปดึงอิทธิฤทธิ์ออกมา
“ไม่หยุด ม้าจะฟ้องป๊านะ”
ตี๋เล็กชะงักหยุดมือ อิทธิฤทธิ์ต่อยเปรี้ยงใส่ตี๋เล็กเป็นหมัดสุดท้าย จนตี๋เล็กหน้าสะบัดไปตามแรง เขาเงื้อหมัดเพื่อจะเอาคืนแต่อาม้ารั้งมือไว้ทัน อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กปากแตก หน้าปื้นแดง เลือดไหลออกจมูกในสภาพพอกันทั้งคู่
อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ถนอมมองขึ้นๆลงๆ และมองซ้ายมองขวาด้วยความตกใจ
“ตายจริง ! ไปมีเรื่องอะไรมาอีกคะ ?”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนในสภาพสะบักสะบอมกระเซอะกระเซิง
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ป้าหนอม” อิทธิฤทธิ์บอก
“อย่างนี้ไม่นิดหน่อยล่ะค่ะ ตายแล้ว หนูชน เสื้อขาดด้วย”
เสียงอิทธิพลดังขึ้น “ใครตาย”
ทุกคนหันไปมองก็เห็นอิทธิพลยืนมองมาอย่างดุๆ
“คุณท่าน ! ตายแล้ว”
ถนอมกับชนมนรีบเอาตัวบังอิทธิฤทธิ์ไว้แม้จะรู้ว่าไม่ทัน
“ชั้นยังไม่ตาย ถอยไป”
อิทธิพลขยับเดินไปใกล้ ชนมนกับถนอมค่อยๆ ถอยเปิดให้เห็นสภาพของอิทธิฤทธิ์
“ชั้นสั่งแล้วใช่มั้ยว่า ห้ามไปก่อเรื่องอีก”
“ก็มีเรื่องไปแล้ว จะให้ทำไง” อิทธิฤทธิ์ว่า
“พูดง่ายดีนะ งั้นต่อไปห้ามแกออกไปจากบ้าน จะได้หมดปัญหา”
“ได้ พรุ่งนี้เปิดเรียนซัมเมอร์ ก็ไม่ต้องไปแล้วดิ ก็ดี ผมก็ขี้เกียจไปเรียนอยู่เหมือนกัน”
อิทธิฤทธิ์เดินหน้ากวนๆออกไป อิทธิพลหน้าเครียดที่สั่งสอนอะไรลูกชายไม่ได้
“เดี๋ยว..อิชั้นขอไปเอายาให้คุณอิทก่อนนะคะ” ถนอมบอก
ถนอมเห็นอิทธิพลตึงเครียดก็รีบฉากหนีออกไปตั้งหลัก อิทธิพลหันมาเล่นงานชนมนแทน
“ไง ติวไปถึงไหนแล้ว รู้ใช่มั้ยว่า ชั้นจ้างเธอให้มาติวนายอิทไม่ใช่ให้ไปเที่ยวเล่นกับมัน ไปเที่ยวยังไม่พอ ยังไปมีเรื่องมาอีก”
อิทธิฤทธิ์เดินไปไม่ไกลนักก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามอง
ชนมนพูด “อีกฝ่ายเค้ามาหาเรื่องอิทก่อนนะคะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อิทก็ไม่อยากมีเรื่องหรอกค่ะ หลังๆนี่อิทเค้าก็ตั้งใจเรียนขึ้น”
อิทธิฤทธิ์เดินกลับมาหยุดฟังอยู่ห่างๆ
“นายอิทมันตั้งใจเรียน แต่ถ้าเธอไม่ตั้งใจสอน มันก็ไม่ได้ผล ที่เธอปล่อยให้มันออกไปข้างนอกทุกวัน มันใช้ได้ที่ไหน แรกๆชั้นก็เห็นเธอขยันขันแข็งเอาใจใส่นายอิทดี หรือว่าต้องจ่ายเพิ่มอีก เธอถึงจะทำงานได้ดีกว่านี้” อิทธิพลว่า
“หนู....หนูขอโทษค่ะ ต่อไปหนูจะตั้งใจทำงานให้มากขึ้นค่ะ”
“อย่าให้ชั้นต้องไล่เธอออกเป็นครั้งที่สอง”
อิทธิพลเดินหน้าเครียดออกไปคนละทางกับที่อิทธิฤทธิ์ยืนอยู่ อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่องที่ชนมนเคยโดนไล่ออก ชนมนยืนหมดแรงอย่างเหนื่อยใจและท้อใจที่โดนดุว่าในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำ
ชนมนเดินคอตกออกมาจากบ้าน เธอมองมือตัวเองที่ถลอกเลือดออกซิบๆ ชนมนดึงชายเสื้อที่ขาดมาดูอย่างเสียดายและเศร้าใจกับสภาพของตัวเอง อิทธิฤทธิ์เดินตามมาอย่างเร็ว เขาคว้าข้อมือชนมนไว้
“มีอะไร” ชนมนถาม
“เข้าบ้านก่อน”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เออน่ะ มากับชั้น เดี๋ยวรู้เอง”
อิทธิฤทธิ์ลากตัวชนมนกลับเข้าบ้าน
อิทธิฤทธิ์วางกระเป๋ายาลงบนโต๊ะ หมูหวานเดินเข้ามาป้วนเปี้ยนแล้วเดินออกไป ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ที่หยิบขวดยาขึ้นมาดูทีละขวด อิทธิฤทธิ์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอ่านวิธีใช้ ชนมนรู้สึกสยองจึงดึงขวดยาทาแผลมาจากอิทธิฤทธิ์ทันที
“ชั้นทำเองดีกว่า”
“ไว้ใจเถอะน่า”
อิทธิฤทธิ์หยิบขวดแอลกอฮอล์ราดใส่สำลี
อิทธิฤทธิ์พูด “ต้องล้างแผลก่อน เอามือมา”
ชนมนค่อยๆยื่นมือให้อย่างกลัวๆ อิทธิฤทธิ์ดึงมือชนมนเข้ามาใกล้ทันที อิทธิฤทธิ์ค่อยๆ ใช้สำลีเช็ดแผลที่ฝ่ามือของชนมนอย่างตั้งอกตั้งใจ ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างรู้สึกดี อิทธิฤทธิ์เงยหน้าขึ้นมองชนมน ทั้งสองสบตากันนิ่ง อิทธิฤทธิ์รีบก้มหน้าเช็ดแผลต่อ ชนมนหันหน้ามองไปทางอื่น
ชนมนร้องลั่น “โอ๊ย!”
“ขอโทษ...แสบมากเลยเหรอ”
ชนมนกัดฟัน “ไม่เป็นไร ไม่แสบเท่าไหร่”
“ขอโทษนะ ..แล้ว...ชั้นก็...ขอโทษด้วย..ที่ทำให้เธอโดนพ่อด่า”
ชนมนอึ้งและเขินเล็กๆ “ไม่เป็นไร ต่อไปนี้เวลาเจอตี๋เล็กก็ห่างๆไว้ละกัน”
“ก็มันเข้ามาหาเรื่องก่อน”
“ก็ใช่ แต่...” ชนมนหยุดคิดแป๊บนึง แล้วพูดอย่างจริงจัง “...เป็นชั้น ชั้นก็ชกว่ะ”
อิทธิฤทธิ์งง “อ้าว!?”
“ก็มันด่าถึงพ่ออ่ะ”
อิทธิฤทธิ์ชี้นิ้วเห็นด้วย “ใช่มะ”
“ช่าย พ่อใคร ใครก็รัก ใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์อึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อชนมนพูดแทงใจดำเรื่องพ่อ ชนมนจับสังเกตได้
“ขอโทษชั้นแล้ว ก็ต้องไปขอโทษพ่อนายด้วยนะ”
“ทำไมต้องขอโทษ”
“นายเรียนกฎหมายไม่ใช่เหรอ นายทำร้ายร่างกายคนอื่นก่อน ยังไงนายก็เป็นฝ่ายผิด ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด”
อิทธิฤทธิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง “พ่อเคยไล่เธอออกเหรอ”
“ชั้นกำลังพูดเรื่องนายอยู่”
อิทธิฤทธิ์รู้สึกผิด “เพราะชั้นใช่มั้ย.. ต่อไปชั้นจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนอีก ชั้นสัญญา”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เธอมัวมองแต่หน้าอิทธิฤทธิ์จนไม่ทันสังเกตว่าอิทธิฤทธิ์ทำแผลไปถึงไหนแล้ว อิทธิฤทธิ์ยังคงตั้งอกตั้งใจทายาทำแผลให้ชนมนจนเสร็จ
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณนะ”
ชนมนชูมือขึ้นก็เห็นมือตัวเองถูกโปะด้วยสำลีก้อนใหญ่แล้วพันด้วยผ้าก๊อซหนามาก หมูหวานมองด้วยความฉงนสงสัย มันมองไปที่ก้อนผ้าก๊อซที่มือชนมน
ชนมนขำ “นี่มือหรือไม้ตียุง”
อิทธิฤทธิ์งอน “งั้น..แกะออกๆ”
ชนมนพูดล้อ “อย่างนี้ ตบทีเดียวคงตายคามือ”
ชนมนแกล้งยกมือที่พันผ้าก๊อซขึ้นจะฟาดหน้าอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์จับข้อมือชนมนไว้แล้วดึงชนมนมาอย่างแรง
อิทธิฤทธิ์ว่า “ไม่ตลก !”
ชนมนเซหน้าคะมำเข้าไปใกล้หน้าอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ทันตั้งตัว หน้าอิทธิฤทธิ์ใกล้กับหน้าชนมนมากจนจมูกแทบชนจมูก ทั้งสองมองตากันนิ่งและนาน ชนมนรีบรวบรวมสติดึงตัวเองกลับมา
“ชั้น..ชั้นกลับนะ อย่ารีบท่องมาตราต่อไปล่ะ”
ชนมนทำหน้าเหรอหราแล้วคว้าหมูหวานขึ้นมาอุ้มแล้วเดินออกไป
อิทธิฤทธิ์พูดออกมา “แมว...”
ชนมนเดินถอยกลับมา
“แมวอะไร หมูหวานเหรอ ตะกี้เห็นอยู่นี่”
อิทธิฤทธิ์พยักเพยิดไปที่ชนมน ชนมนก้มลงมองเห็นหมูหวานอยู่ในอ้อมกอด
“อุ๊ย ขอโทษ หยิบผิด”
ชนมนรีบส่งหมูหวานคืนให้อิทธิฤทธิ์แล้วรีบคว้าถุงผ้าเดินออกไป,
“ยัยเบ๊อะเอ๊ย”
อิทธิฤทธิ์มองตามพลางลูบหัวหมูหวานอย่างขำๆ
ชนมนเดินเร็วๆ มาที่จักรยานที่จอดหน้าบ้าน อิทธิฤทธิ์เดินตามออกมา
“ขี่รถกลับไหวหรือเปล่า ให้ชั้นไปส่งมั้ย”
“ไหว นายสภาพแย่กว่าชั้นอีก ไปล้างแผลทายาซะ แล้วถ้ารู้สึกตัวร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้ ก็กินยาแก้ปวดกันไว้ก่อนเลยนะ”
“โดนมาหนักกว่านี้ ก็เคยมาแล้ว แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก กลับบ้านดีๆล่ะ เอ้านี่ เงินที่ชั้นเคยยืมเธอ”
อิทธิฤทธิ์ยัดซองเงินใส่ถุงผ้าของชนมน
“เงินอะไร?” ชนมนถาม
“เงินห้าร้อยบาทที่เคยยืมไง งกๆอย่างเธอเนี่ย ไม่น่าจะลืมเลยนะ”
“นายไม่ได้ติดชั้นแค่ห้าร้อยนะ นายติดเงินชั้นห้าร้อย”
“..แปดบาท นึกแล้วเชียว”
อิทธิฤทธิ์ดึงมือชนมนมาแล้ววางเหรียญห้าเหรียญบาทแปดเหรียญลงบนฝ่ามือของชนมน อิทธิฤทธิ์รวบมือชนมนให้กำเหรียญไว้แล้วกุมมือชนมนไว้อย่างนั้น
“ชั้นใช้หนี้เธอหมดแล้วนะ เงินห้าร้อยนี่เป็นเงินค่าตัวประกอบของชั้น ชั้นดีใจนะ ที่ได้ใช้หนี้เธอด้วยเงินก้อนแรกที่ชั้นหามาได้”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์
ชนมนพลิกอ่านหนังสือแล้วปิด เธอเอื้อมมือไปหยิบหนังสืออีกเล่มอย่างไม่ถนัด ชนมนหยุดมองผ้าก๊อซก้อนใหญ่ที่พันที่มือแล้วก็ยิ้มขำ
ชนมนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา อิทธิฤทธิ์ใกล้ชิดกับชนมน อิทธิฤทธิ์ทำแผลใส่ยาให้ชนมนอย่างตั้งอกตั้งใจ ชนมนมองหน้าอิทธิฤทธิ์ ทั้งสองสบตากันนิ่ง
ชนมนยกมือจะฟาดหน้าอิทธิฤทธิ์แต่เขาจับมือชนมนไว้ ทั้งสองมองตากันนิ่ง
เสียงชินพัฒน์ถามขึ้น “ฝันถึงใครอยู่เหรอ”
ชนมนที่กำลังยิ้มหวานเหมือนคนกำลังฝันดีถึงกับสะดุ้ง ชินพัฒน์โผล่มายืนตรงหน้าชนมน มือของเขาฉีกน่องไก่ทอดกินไปด้วย
“ไม่ได้ฝัน แค่พักสายตา”
“ไม่ได้ฝันอะไร เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มอย่างนี้ ต้องฝันหวานถึงผู้ชายแหงๆ”
ชินพัฒน์ขยับเข้าไปใกล้ชนมนก่อนจะกระซิบที่ข้างหูโดยเอาน่องไก่ป้องปากตัวเองไว้
“ผมรู้นะว่า พี่ชนแอบไปมีแฟน ผมไม่บอกพ่อหรอก ถ้าพี่ชนจะยอมพาผมไปหาพี่มาย่า โอเคป่าว?”
ชนมนผลักหัวชินพัฒน์ออกไปอย่างแรง
“ไอ้นี่ อายุเท่านี้ หัดขู่กรรโชกแล้วเหรอ”
“เพื่อความรักของผมแล้ว ผมยอมทำทุกอย่าง”
ชูชัยถือตะกร้าพริกชี้หนูเดินออกมา เขามองไปที่มือของชนมน
“เฮ้ย ก้อนอะไรวะเนี่ย”
“หนูหกล้มน่ะ พ่อ เลยได้แผลมานิดหน่อย” ชนมนบอก
“แกเจ็บตัวเพราะไอ้เด็กแว้นนั่นอีกใช่มั้ย”
ชูชัยส่งตะกร้าพริกขี้หนูให้ชินพัฒน์
ชูชัยพูดกับชินพัฒน์ “เด็ดพริกไป พริกน้ำปลาหมดแล้ว”
ชินพัฒน์ขี้เกียจ “พ่ออะ”
“ไม่ต้องอะไม่ต้องแอะ สั่งให้ทำอะไรก็ทำไป”
ชินพัฒน์หน้ามุ่ยแต่ก็รับตะกร้าพริกมาโดยดี เขามองชูชัยด้วยความแปลกใจ
“วันนี้มามาดเข้ม”
ชูชัยนั่งลงที่โต๊ะชนมนแล้วมองอย่างเอาเรื่อง
“มีเรื่องไม่เว้นแต่ละวันอย่างนี้ เลิกติวให้ไอ้ลูกตำรวจนั่นเถอะ” ชูชัยว่า
“ถ้าเลิก เราก็ไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ห้าหมื่นนะ พ่อ”
ชูชัยรู้สึกขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาดึงมือชนมนเข้ามา
“จะทำอะไร พ่อ”
“ทำแผลให้ใหม่ไง”
ชนมนดึงมือกลับมาแต่ชูชัยดึงมือชนมนเข้ามา ชนมนรั้งมือไว้ ทั้งสองยื้อกันไปมา
“ไม่ต้องๆ พ่อ มันโอเคแล้ว” ชนมนบอก
“โอเคอะไร ดูซิ ยังกับรังดักแด้ยักษ์” ชูชัยว่า
“ไม่เป็นไร พ่อ พ่อดูอะไร อย่าดูแต่ภายนอก เราต้องดูไปลึกๆที่ข้างใน ที่ดูแย่ๆร้ายๆ ที่จริงอาจจะดีก็ได้” ชนมนยิ้มพึมพำ “แบดบอยก็กลับใจได้เนอะ”
“นี่เรากำลังพูดถึงแผลของแกใช่มั้ย”
ชนมนนึกถึงอิทธิฤทธิ์แต่รีบกลบเกลื่อนไปเรื่องอื่น
“หนูพูดถึงพ่อต่างหาก หน้าตาพ่อดูดุๆเหี้ยมๆแต่จริงๆแล้ว พ่อเป็นคนมีจิตใจดี พ่อน่ะเป็นพระเอกของหนูเลยนะ”
ชูชัยคิดถึงเรื่องเก่าของตัวเอง “อย่างพ่อเป็นพระเอกกับเค้าไม่ได้หรอก”
“ไงพ่อก็เป็นฮีโร่..เป็นพระเอกของหนู”
ชนมนกอดชูชัยไว้
ชินพัฒน์เข้ามาอ้อน “ของหนูด้วย”
ชินพัฒน์เข้าไปกอดชูชัยแล้วเอาหน้าซบพุงพ่อ
“ไอ้ชิน ! กินไก่ทอดน่ะ เช็ดปากหรือยัง”
ชินพัฒน์เอาหน้าเกลือกกลิ้งอยู่บนพุงชูชัยแล้วก็ชะงักเงยหน้าขึ้นในสภาพปากสะอาดเกลี้ยง
“เช็ดแล้ว พ่อ”
ชนมนหัวเราะแล้วผลักชินพัฒน์ออกไป ทั้งสองแย่งกันกอดชูชัย ชูชัยนั่งนิ่งๆให้ลูกๆ แย่งกันกอดพร้อมกับยิ้มขำๆ
แฟ้มคดีของชาติชายวางเปิดอยู่บนโต๊ะ เอกสารกองเกลื่อน รูปแอบถ่ายชาติชายใส่แว่นดำอยู่กับเก่งกาจและลูกน้อง 3- 4 รูปวางอยู่ใกล้กัน
อิทธิพลพลิกอ่านคดีเก่าๆ ไปแล้วหยิบรูปชาติชายขึ้นมาดู เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา !”
อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงาน อิทธิพลเงยหน้า,เห็นว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ก็แปลกใจ เขาวางรูปชาติชายลง
“มีอะไร”
อิทธิฤทธิ์ตัดสินใจพูด “ผม...ผมขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
อิทธิพลรู้ว่าอิทธิฤทธิ์มาขอโทษเรื่องอะไรแต่ก็ยังวางฟอร์มใส่ อิทธิฤทธิ์ไม่อยากขยายความมากเพราะไม่อยากให้รู้ว่าชกตี๋เล็กเพราะตี๋เล็กมาด่าพ่อ
“ก็ที่ผมไปมีเรื่องวันนี้ไง พ่อต้องเข้าใจหน่อย บางทีเราไม่ได้ไปหาเรื่อง เรื่องก็มาหาเราเอง”
“การใช้กำลังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา รู้จักอดกลั้นบ้าง”
อิทธิฤทธิ์ฉุนจึงพลั้งปาก “ใครจะอดกลั้นได้ ไอ้ตี๋เล็กมันเล่นถึงพ่อ เออๆ ผมจะพยายามไม่ให้มีเรื่องอีกก็แล้วกัน”
อิทธิฤทธิ์จะเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงัก
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
อิทธิฤทธิ์หันกลับมา “อะไรอีกล่ะ”
“ชั้นเข้าใจเหตุผลที่แกไปมีเรื่องชกต่อย แต่อย่าทำอีก คนเรามีปากมันจะพูดอะไรก็ได้ แกจะไปสนใจทำไม แล้วเป็นไง เจ็บตัวด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“ผมทำไปเพราะปกป้องศักดิ์ศรีให้พ่อนะ เออ ดี ทีหลังผมจะให้ไอ้ตี๋เล็กมันด่าพ่อตามสบายเลย อย่างนี้โอเคใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
อิทธิพลยิ้ม “เออ มันรู้จักทำเพื่อพ่อด้วย”
อิทธิพลอดรู้สึกดีไม่ได้ที่อิทธิฤทธิ์ไปมีเรื่องเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีให้เขา
ถนอมเดินนำมณีมันตราเข้ามาในบ้าน
“ขอบคุณนะคะที่มา ป้าก็เห็นคุณมาย่าคนเดียวที่เตือนคุณอิทได้”
“หนูไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะค่ะ ป้าหนอม”
“เห็นว่า คนที่มีเรื่องกับคุณอิท เป็นแฟนคลับคุณมาย่าด้วย เราป้องกันอะไรได้ ก็ต้องรีบทำนะคะ”
อิทธิฤทธิ์เดินหงุดหงิดออกมาจากทางห้องทำงาน
“อิท !”
ถนอมพยักเพยิดให้มณีมันตราแล้วรีบเดินแยกออกไป
อิทธิฤทธิ์หันมาเห็น “มาย่า มีอะไร”
“ถามได้ว่ามีอะไร ไปทำอะไรมาล่ะ หน้าตาถึงได้เป็นแบบนี้”
“ขอร้องเลย ย่า ไม่ใช่ตอนนี้”
มณีมันตราไม่ฟัง “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่า เธอกับตี๋เล็กมีเรื่องอะไรกัน แต่เธอหัดใจเย็นๆ บ้างได้มั้ย”
“ไม่ได้ ! เธอไม่เข้าใจ ! เอะอะอะไรก็หาว่า ชั้นเป็นฝ่ายผิด ไม่คิดบ้างล่ะว่า ไอ้ตี๋เล็กมันเป็นฝ่ายผิด”
“ผิดด้วยกันทั้งคู่แหละ ชั้นขอร้องล่ะ ถ้าเกลียดหน้ากันนัก ก็อยู่ห่างๆกันไว้ แล้วก็หัดคิดก่อนทำ เจ็บตัวคนเดียวไม่พอ ยังทำให้พี่ชนต้องเจ็บตัวไปด้วย”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งเพราะเรื่องชนมนเจ็บตัวก็ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“ชั้นขอโทษเค้าแล้ว พ่อก็ขอโทษไปแล้ว จะต้องให้ชั้นขอโทษใครอีกมั้ย ขอโทษเธอ ขอโทษทุกคนในกองถ่าย หรือต้องขอโทษไอ้ตี๋เล็กด้วย “ขอโทษนะครับ ที่ผมต้องต่อยหน้าคุณ เพราะคุณมาด่าพ่อผม” ต้องอย่างนี้ใช่มั้ย เธอถึงจะพอใจ”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างมีอารมณ์
“อิท !”
ธรรม์เดินหอบแฟ้มเข้ามาก็ชะงักเมื่อเห็นมณีมันตรายืนอยู่ มณีมันตราหันหลังกลับจะเดินออกก็ชะงักเมื่อเห็นธรรม์
“พี่ธรรม์..”
ธรรม์กับมณีมันตรานิ่งอึ้งไปทั้งคู่
ธรรม์เดินออกมาส่งมณีมันตรา
“ไม่ต้องมาส่งหรอกค่ะ งานเยอะไม่ใช่เหรอคะ ไปทำงานเถอะค่ะ”
“มาย่า..พี่..”
มณีมันตราหันมามองธรรม์ตรงๆ
“มีอะไรก็พูดมาค่ะ พี่ธรรม์ ถ้าย่ารบกวนเวลาหรือทำอะไรให้พี่ธรรม์รำคาญใจ ก็บอกมา ย่าจะได้รู้ว่า ควรทำตัวยังไง”
“ตอนนี้พี่มีคดีสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ”
“ย่าเข้าใจค่ะ งานต้องมาก่อน แต่พี่ธรรม์ไม่มีเวลามาสอนย่าอีกแล้วจริงๆเหรอคะ หรือว่าช่วยได้แต่ไม่อยากช่วย”
“พี่..” ธรรม์ตัดใจพูด “พี่ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับงานของย่าแล้ว มันยุ่งวุ่นวาย ไม่เหมาะกับพี่ ตอนนี้ชีวิตพี่มีแต่งานตำรวจเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มีความสำคัญอะไรกับพี่”
“ขอบคุณค่ะที่บอกกันตรงๆ ย่าเข้าใจแล้วค่ะ ว่า ย่าเป็นส่วนเกินในชีวิตพี่ธรรม์ไปซะแล้ว ถ้าชีวิตพี่ธรรม์มีแต่งาน จนไม่มีเวลาให้ใครแล้ว ทีหลังก็อย่าไปรับปากใครว่า จะให้เวลาเค้าทั้งชีวิตนะคะ พี่ธรรม์ มันเสียความรู้สึกค่ะ”
มณีมันตราเดินออกไปด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด ธรรม์มองตามและรอจนมณีมันตราเดินลับสายตาไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
บ้านอิทธิฤทธิ์ในยามเช้าที่แสนจะแจ่มใส ธรรม์กับอิทธิพลนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร
ถนอมเดินนำแดงที่ยกหม้อข้าวต้มตามมา ถนอมเริ่มตักข้าวต้มใส่ชามเพื่อให้แดงยกไปเสิร์ฟให้อิทธิพลและธรรม์ตามลำดับ
อิทธิฤทธิ์อยู่ในชุดนักศึกษา หน้าตาของเขามีร่องรอยฟกช้ำ อิทธิฤทธิ์เดินปึงๆมานั่งที่โต๊ะอาหาร
ถนอมยิ้มปลื้ม “ตั้งแต่คุณธรรม์เรียนจบกลับมาอยู่บ้าน วันนี้วันแรกเลยนะคะที่ทุกคนได้ทานข้าวพร้อมหน้ากัน”
อิทธิฤทธิ์จ้องหน้าธรรม์อย่างเบื่อหน้าเต็มทน
อิทธิฤทธิ์พูดเซ็งๆ “ก็ไม่ได้อยากกินข้าวด้วยนักหรอกนะ”
“คุณอิท อย่าทำลายบรรยากาศดีๆซิคะ” ถนอมว่า
อิทธิฤทธิ์สวน “ดีตรงไหน?”
อิทธิพลพูดเสียงเข้ม “ธรรม์ เมื่อคืนมาย่ามาหาแกทำไม”
อิทธิฤทธิ์ยิ้ม “เออ..เริ่มดีแล้ว”
“คุณมาย่ามาหาคุณอิทน่ะค่ะ คุณท่าน” ถนอมตอบแทน
“มาย่าเค้าคุยกับผมแป๊บเดียว” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “มาย่าคุยอะไรกับนายต่อเหรอตั้งนานกว่าชั้นจะได้ยินเสียงรถมาย่าไปน่ะ”
“คงไม่ได้คุยเรื่องงานถ่ายหนังนะ สั่งอะไรต้องเป็นไปตามที่สั่ง งานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานตำรวจ ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอีก”
“ครับ คุณพ่อ”
อิทธิฤทธิ์มองธรรม์ที่นิ่งจ๋อยเพราะรู้สึกกดดัน อิทธิฤทธิ์ยิ้มขำแล้วหัวเราะพรึ่ดออกมา
อิทธิพลถาม “เป็นอะไร”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะ “สะใจ เอ๊ย ดีใจที่วันนี้จะได้ไปเรียนซัมเมอร์น่ะครับ ฮ่าๆ”
อิทธิฤทธิ์มองเยาะเย้ยธรรม์พร้อมกับหัวเราะสะใจ
ธรรม์เดินหน้าเครียดอออกมาเพื่อจะไปที่รถ อิทธิฤทธิ์รีบเดินตามออกมากอดคอธรรม์อย่างอารมณ์ดี
“เสียใจด้วยว่ะ พ่อห้ามอย่างนี้ นายก็อดเจอมาย่าแล้วล่ะซิ มีอะไรฝากถึงมาย่ามั้ย”
อิทธิฤทธิ์กดโทรศัพท์มือถือหามณีมันตราแค่เป็นวอยส์เมล์ อิทธิฤทธิ์แกล้งทำเป็นคุยสายด้วย
“ตอนนี้มาย่ารับสายไม่ได้ มีอะไรฝากข้อความไว้นะคะ” เสียงวอยส์เมลดัง
อิทธิฤทธิ์เดินห่างออกมาจากธรรม์โดยทำเป็นคุยโทรศัพท์กับมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดัง “ฮัลโหล มาย่าเหรอจ๊ะ คิดถึงซิ ทำไมไม่คิดถึงล่ะ ได้ เดี๋ยวเจอกันที่คณะนะ บายๆ”
อิทธิฤทธิ์ทำเสียงจุ๊บใส่มือถือแล้วกดปิด
“ได้เรียนซัมเมอร์ด้วยกัน อย่างนี้ชั้นก็ได้เจอมาย่าทุกวัน ชีวิตทำไมดีอย่างนี้”
ธรรม์ไม่สนใจฟัง เขาเดินไปเปิดประตูรถ อิทธิฤทธิ์ตามไปปิดประตูรถโดยยังไม่ให้ธรรม์ขึ้นรถ เขาจ้องหน้าธรรม์อย่างเอาเรื่อง
“ชั้นต้องรีบไปทำงาน”
“ดี ตั้งใจทำงานดีๆล่ะ นายมันเป็นความหวังเดียวของพ่อนี่ ก็ขอให้เป็นลูกที่ดีให้ตลอด พ่อสั่งอะไร อย่าได้ขัดคำสั่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับมาย่าอีก”
อิทธิฤทธิ์แปลงสารเล็กน้อยเพราะอิทธิพลแค่สั่งไม่ให้ไปช่วยเรื่องงานหนังของมณีมันตรา
ธรรม์จะค้าน “คุณพ่อไม่ได้...” แต่แล้วธรรม์ก็เปลี่ยนใจหยุดพูดไปเสียเฉยๆ
อิทธิฤทธิ์เดินผิวปากออกไปอย่างสะใจ ธรรม์เก็บอาการโดยการนิ่งเงียบ
กลุ่มนักศึกษาที่มาเรียนซัมเมอร์พากันเดินขึ้นตึกนิติศาสตร์ อิทธิฤทธิ์นั่งอยู่หน้าโต๊ะตุลา เขายิ้มกริ่มอย่างมีความสุข มณีมันตรานั่งนิ่งด้วยความเคร่งขรึม ตุลานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางเอาเรื่องแต่ยังมีความเมตตาต่อลูกศิษย์อยู่
ตุลาพูดกับอิทธิฤทธิ์ “ผมคงไม่ต้องย้ำกับคุณอีกใช่มั้ย แต่ก็ขอเน้นย้ำซักหน่อยล่ะ คุณจะต้องสอบวิชาของผมให้ได้เอและทำรายงานพิเศษส่งด้วย คุณถึงจะเรียนจบ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ ผมทำได้แน่ ‘จารย์ไม่ต้องเป็นห่วง”
ตุลาพูดกับมณีมันตรา “ส่วนคุณ.. ‘จารย์ เอ๊ย ผมเสียดายแทนจริงๆ เทอมที่แล้วเกรดดร๊อปไปหน่อยนะ ไม่งั้นคุณน่าจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รอลุ้นวิชาที่ลงซัมเมอร์นี่แหละ ถ้าได้เอ ก็น่าจะได้อันดับสอง”
“ได้อันดับสองก็เจ๋งแล้ว มาย่าเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยนะ ‘จารย์”
“ผมรู้ มาย่าทำงานหนักม๊าก แล้วคุณล่ะ ที่หายๆไปน่ะ ไปทำอะไร สี่ปีมานี่ เกรดถึงได้ร่อแร่ๆ อย่างนี้”
“โธ่ ‘จารย์ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่ารื้อฟื้นมันเลยนะ เนอะมาย่าเนอะ”
อิทธิฤทธิ์เอาศอกกระทุ้งมณีมันตราเพื่อหาพวก มณีมันตราที่เหม่อลอยเพราะคิดเรื่องธรรม์อยู่ถึงกับสะดุ้ง
“ค่ะๆ หนูจะพยายามอย่างเต็มที่ค่ะ อาจารย์”
อิทธิฤทธิ์กับตุลามองมณีมันตราด้วยความงงที่เธอตอบช้าไปหนึ่งสเต็ป
ณ ร้านตี๋เล็กซึ่งเป็นร้านตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ตี๋เล็กที่ใบหน้าฟกช้ำหนักกว่าอิทธิฤทธิ์เดินหยิบจับชื่นชมของแต่งรถที่ได้มาใหม่ บ๊วยที่เดินตามประกบตี๋เล็กยื่นหน้าไปพิจารณาร่องรอยแผลบนใบหน้าของลูกพี่
“โอ้โห ยับเยินเหมือนถูกพิทบูลฟัดมาเลย ลูกพี่”
“เยินอะไร แผลแค่นี้เอง มันไม่ได้กินชั้นหรอก ได้แต่เฉียดไปเฉียดมา”
“แค่เฉียดหน้ายังเละขนาดนี้ ถ้าโดนเต็มๆ คงต้องไปอัพหน้าใหม่ที่เกาหลีแน่”
ตี๋เล็กกลบเกลื่อน “แกต้องไปดูหน้าไอ้อิทมันก่อน หึๆๆ” ตี๋เล็กหัวเราะกลบเกลื่อน
“ขาวใส..” บ๊วยว่า
“เออใช่ ขาวใสอมชมพู เฮ้ย ไม่ใช่ เละจนพ่อมันจำหน้าไม่ได้เลยล่ะ ฮ่าๆๆ” ตี๋เล็กหัวเราะเกินจริง “โอ๊ย !!”
ตี๋เล็กเก๊กหัวเราะมากไปจนเจ็บแผลที่หน้า
“แต่แค่นั้นยังไม่สะใจนะ ลูกพี่ เราต้องกลับไปเล่นงานมันให้หนัก มันจะได้ไม่กล้าหือกับลูกพี่อีก”
“จะดีหรือวะ ชั้นก็สู้กับมันตัวต่อตัว แมนๆ ไปแล้ว”
“อยากให้น้องมาย่าหันมาสนใจพี่ป่าวล่ะ”
ตี๋เล็กพยักหน้าหงึกๆ
“งั้นพี่ก็ต้องแสดงให้น้องมาย่าเห็นว่าพี่เจ๋งกว่าไอ้อิท วิธีไหนทำลายชีวิตมันได้ ทำไปเลย พี่”
ตี๋เล็กนิ่งคิดตามบ๊วยเหมือนคนที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย บ๊วยเห็นตี๋เล็กเผลอก็เอื้อมมือฉกถุงมือหนังราคาแพงแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงหลังอย่างรวดเร็ว
“เอาวะ เอาไงก็เอา”
ตี๋เล็กตกลงใจจะไปราวีอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเดินออกมาจากทางห้องอาจารย์ตุลา
นักศึกษาหญิง 2 คนที่เดินสวนทางมาส่งยิ้มให้มณีมันตราและเรียก “มาย่าๆ” แต่ก็ต้องยิ้มเก้อเพราะมณีมันตราเหม่อลอยจึงไม่ทันได้มอง เธอเดินผ่านไปกับอิทธิฤทธิ์โดยไม่สนใจใคร
“ดังแล้วหยิ่งว่ะ”
“นึกว่าสวยนักรึไง”
นศ.หญิงหนึ่งในนั้นรีบหยิบไอโฟนขึ้นมาโพสข้อความในเวปไซด์ทันที
“เจอมาย่าตัวจริงแล้ว ผิดหวังมาก หยิ่งโคตรๆ”
นศ.หญิงอีกคนกดโพสข้อความในมือถือตัวเองบ้าง
“คอนเฟิร์มค่ะ เราเรียนที่เดียวกับนาง ทำตัวเป็นซุป’ตาร์ตลอดเว”
นักศึกษาทั้งสองเดินหัวเราะคิกคักออกไปอย่างสาแก่ใจ อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเดินต่อไปตามทางเดิน
“เลิกเรียนแล้วเจอกันนะ มาย่า”
อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราที่ยังเหม่อลอยและไม่สนใจฟังใคร
อิทธิฤทธิ์พูดออกมา “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
นักศึกษาหญิงอีกคนเดินเข้ามาหามณีมันตรา
“พี่มาย่าคะ ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย”
อิทธิฤทธิ์พูด “ไม่เห็นเหรอไง คนกำลังคุยกัน”
มณีมันตราปราม “อิท !”
มณีมันตราปรับสีหน้าให้ร่าเริงแล้วยิ้มให้รุ่นน้องนักศึกษา
“ได้ค่ะ น้อง มาๆ มาถ่ายรูปกัน เดี๋ยวพี่มาย่าเรียนจบ ก็ไม่ได้เจอกันแล้วเนอะ”
นักศึกษาหญิงถ่ายรูปกับมณีมันตราด้วยมือถือสองสามรูป
“ขอบคุณนะคะ พี่มาย่า พี่มาย่าน่ารักจริงๆ เลย”
นักศึกษาหญิงเดินออกไปด้วยความดีใจ อิทธิฤทธิ์มองตามอย่างหน่ายๆ
“เธอเป็นอย่างนี้ พวกแฟนคลับถึงได้ใจ”
“เธอเป็นอย่างนี้ ถึงไม่มีใครคบเป็นเพื่อน” มณีมันตราว่า
มณีมันตราเดินออกไปอย่างเบื่อหน่าย
“มาย่า !”
อิทธิฤทธิ์รีบตามมณีมันตราไปทันที
มณีมันตราเดินเร็วมาที่หน้าห้องเรียน อิทธิฤทธิ์เดินตามมาดึงตัวมณีมันตราไว้
“ใครบอกชั้นไม่มีใครคบ ชั้นเลือกคบเพื่อนต่างหาก”
“เลือกมากไปหรือเปล่า ถึงได้มีชั้นคบเธออยู่คนเดียว”
“ชั้นมีไอ้เจ๋งไง”
“นายเจ๋งเป็นลูกไล่ของเธอ ไม่เรียกว่า เพื่อนหรอก เธอต้องเลิกคิดถึงแต่ตัวเอง หัดคิดถึงคนอื่นบ้าง “ มณีมันตราพูดแล้วก็ชะงักไป “ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ควรยุ่งกับเรื่องของเธอ เดี๋ยวมาโมโหปึงปังใส่ชั้นอีก”
มณีมันตรายังโกรธเรื่องเมื่อคืนที่อิทธิฤทธิ์อาละวาดใส่เธอ เธอจะเดินออกแต่อิทธิฤทธิ์ดึงตัวเธอไว้
“เรื่องเมื่อคืน..ชั้นขอโทษ..ชั้นอารมณ์เสียจากพ่อมาน่ะ”
“ก็เลยมาลงที่ชั้น”
“ชั้นผิดไปแล้ว อย่าโกรธชั้นเลยนะ..เธอพูดถูก..ชีวิตชั้นไม่มีใครแล้วจริงๆ นอกจากเธอคนเดียว ถ้าเธอไม่อยากคบชั้น ชั้นก็เข้าใจ”
อิทธิฤทธิ์ปล่อยมือจากมณีมันตราอย่างหงอยๆ มณีมันตราเริ่มใจอ่อน
“ถ้าชั้นเลิกคบเธอ ชั้นจะไปหาเพื่อนที่ไหนอย่างเธอได้อีกล่ะ” มณีมันตราบอก
อิทธิฤทธิ์ยิ้มดีใจที่รู้ว่ามณีมันตรายอมยกโทษให้แล้ว
“นั่นดิ เพื่อนดีๆอย่างชั้นจะไปหาที่ไหนได้”
“ดีตายล่ะ ชั้นเหนื่อยกับเธอมากแค่ไหน เธอรู้มั้ย”
“บ่นอย่างกับป้าแก่ๆ บ่นมากหน้าเหี่ยวไม่รู้ด้วยนะ”
“บ่นไม่ได้ใช่มั้ย”
มณีมันตราเอานิ้วจิ้มไปที่แผลตรงหน้าของอิทธิฤทธิ์
“โอ๊ย เฮ้ย เจ็บนะ ไปเอาเชื้อโหดมาจากไหนเนี่ย ต้องยัยชนแน่ๆ ยัยป้าแว่นแพร่เชื้อให้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พูดถึงพี่ชนดีๆ เค้าเป็นรุ่นพี่เรานะ”
มณีมันตราจิ้มไปที่แผลอีก อิทธิฤทธิ์เบี่ยงหน้าหลบพลางถอยหลังอย่างไม่สู้ด้วย ชนมนเดินเข้ามาหยุดมองมณีมันตราที่ไล่แกล้งอิทธิฤทธิ์
มณีมันตราตามไปจิ้มหน้าอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์จึงรวบมือมณีมันตราไว้ทั้งสองมือ
อิทธิฤทธิ์ทำเสียงผู้ร้าย “เธอเสร็จชั้นแน่ หนีไม่รอดหรอก !”
มณีมันตรายิ้มขำ อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราด้วยความดีใจที่เห็นมณีมันตรายิ้มออก ชนมนค่อยๆแกะผ้าก๊อซก้อนใหญ่ที่พันมือเธออยู่ออกอย่างช้าๆ
อิทธิฤทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนท่ามกลางนักศึกษาเต็มห้องเรียน ตุลาเดินเข้ามา โดยที่ชนมนเดินตามหลังมา อิทธิฤทธิ์เงยหน้าจากหนังสือแล้วส่งยิ้มไปให้ชนมน ชนมนทำเมินเหมือนมองไม่เห็น ตุลาเขียนชื่อวิชาบนกระดาน “กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา LW223”
ชนมนเดินแจกชีทตัวอย่างคดีให้นักศึกษาตามโต๊ะ ชนมนเดินมาถึงโต๊ะอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ยื่นมือรอรับชีท ชนมนวางชีทลงบนโต๊ะทำเหมือนอิทธิฤทธิ์ไม่มีตัวตน แล้วจึงเดินต่อไป อิทธิฤทธิ์เหลียวหลังมองชนมนอย่างไม่เข้าใจ
ชนมนกับกับอิทธิฤทธิ์อยู่ห่างกันคนละมุมห้องราวกับคนแปลกหน้าต่อกัน
ในห้องเรียนที่มณีมันตราเรียน มณีมันตรานั่งเรียนอย่างตั้งใจ เธอจดเล็คเชอร์ยิกๆ ไม่หยุด เสียงมือถือในระบบสั่นดังขึ้น มณีมันตรารีบหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นหน้าจอเป็นชื่อ “พี่เมนี่” มณีมันตราอดผิดหวังไม่ได้ เธอกดตัดสายทิ้ง มณีมันตรากดดูรูปในมือถือซึ่งเป็นรูปที่เธอถ่ายคู่กับธรรม์ มณีมันตรามองนิ่งแล้วกดปิดมือถือไปเลย เธอเงยหน้าฟังอาจารย์ที่สอนหน้าห้องอย่างตั้งใจ
ตี๋เล็กกับบ๊วยเกาะผนังตึกลัดเลาะมาเรื่อยๆ บ๊วยโผหลบไปที่มุมซ้ายที ขวาที ตี๋เล็กโผตามหลังไปตลอด
“ชั้นขอถามอีกที เรามาที่นี่ทำไมวะ” ตี๋เล็กถาม
“ก็มาตามดูไอ้อิทไง พี่ เราต้องหาจุดอ่อนมัน เราจะได้เล่นงานมันถูก” บ๊วยว่า
“เออใช่ อาป๊าเคยสอนไว้ว่า.. ท่านซุนวูกล่าวไว้ว่า…”
“ใครเหรอ พี่”
ตี๋เล็กคิดไม่ออก “ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะเป็นเพื่อนอาป๊า ท่านซุนวูกล่าวไว้ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
“อ๋อ ได้ยินบ่อย ว่าแต่...มันแปลว่าไรวะพี่”
ตี๋เล็กพูดมั่วแต่น่าเชื่อถือสุดๆ “ก็...เราก็ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจเขา เขาก็ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจเรา ถ้าหากรู้จักเห็นใจซึ่งกันและกัน รบกี่ครั้งก็ชนะ ทีนี้โลกเราก็จะได้สงบสุขปราศจากสงคราม”
“โอ้ว” บ๊วยงงอย่างหนัก
บ๊วยมองตี๋เล็กแล้วก็หน้าเหวอกับการตีความประหลาดๆของตี๋เล็ก
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรานั่งท่องหนังสือกันอยู่ มณีมันตราท่องไปใช้มาร์คเกอร์ไฮไลท์ข้อความไปอย่างเด็กบ้าเรียน
อิทธิฤทธิ์บังคับตัวเองให้มีสมาธิ เขาเปลี่ยนท่าตลอด เดี๋ยวนอนท่อง เดี๋ยวเดินท่อง เดี๋ยวนั่งท่องไป
ชนมนเดินเข้ามานั่งด้วยหน้าตาเฉยเรียบผิดปกติ และมีท่าทางเอาการเอางานมาก ชนมนส่งชีทข้อสอบให้มณีมันตรา
“นี่ข้อสอบเก่า ลองไปทำดู ให้เวลาสองวัน”
มณีมันตราพลิกข้อสอบแล้วลงมือทำข้อสอบทันที ชนมนหันมาทางอิทธิฤทธิ์
“คิดหัวข้อรายงานได้ยัง” ชนมนถาม
“ยัง” อิทธิฤทธิ์ตอบเรียบๆ
“ถ้านายไม่ส่งหัวข้อรายงานภายในอาทิตย์นี้ ก็เตรียมตัวโบกมือลาใบปริญญาได้เลย”
“อย่าพูดเป็นลางได้ป่าว เธอก็ช่วยคิดหน่อยซิ”
“เรื่องอะไร ไม่ใช่รายงานชั้นซะหน่อย”
“แล้วชั้นจะเริ่มตรงไหน เคยทำเองที่ไหน”
ชนมนไม่สนใจ เธอหยิบหนังสือกฎหมายขึ้นมาเปิดแล้วเริ่มสอนทันที
“เรื่องโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา ได้ระบุโทษไว้มีอะไรบ้าง”
“ง่ายไปป่าว”
“ยากก็บ่น ง่ายก็บ่น อยากได้ยากๆ ใช่มั้ย ได้ ท่องกฎหมายอาญาภาค 1 หมวด 8 มาตรา 92 93 94 หมวด 9 มาตรา 95 ถึง 101 มา อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ไม่งั้นเริ่มต้นใหม่หมด ยากพอหรือยัง”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนด้วยความแปลกใจ เพราะเมื่อวานเธอหน้าแบ๊วน่ารักแต่วันนี้มามาดดุ
ตี๋เล็กผุดๆโผล่ๆ จากหลังพุ่มไม้ใกล้คณะนิติศาสตร์ ส่วนบ๊วยคลานต่ำแบบทหารเข้ามาหาตี๋เล็กที่กำลังนั่งยองๆแอบซุ่มดูอิทธิฤทธิ์ที่ติวกับชนมน บ๊วยหยุดในท่าคลานต่ำ เขาขยับไปใกล้ตี๋เล็กอย่างลำบากลำบน
“ได้เรื่องแล้ว ลูกพี่ ไอ้อิทกับน้องมาย่ามาเรียนหนังสือ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องบอก ก็รู้โว้ย”
ตี๋เล็กมองไปเห็นอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรานั่งติวอยู่กับชนมน
“แล้วยัยแว่นนั่นใครวะ” ตี๋เล็กนึก “ชั้นเคยเห็นที่ไหน”
“ยัยป้านั่นชื่อ ชน-มน เป็นติวเตอร์ไอ้อิทกับน้องมาย่า ก็ที่ไอ้อิทมันสอบตกไง พ่อมันเลยหาติวเตอร์มาให้ ถ้ามันสอบไม่ผ่าน มันก็ไม่จบ” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กเผลอชื่นชม “เออ..มันก็รักเรียนเหมือนกันนะ เรียนเสร็จแล้วยังมาติวต่ออีก”
“แต่มันไม่มีทางสอบผ่านหรอก” บ๊วยว่า
ตี๋เล็กพูดเซ่อๆ “เพราะมันโง่ใช่มั้ย”
บ๊วยเหนื่อย “ไม่ใช่... เพราะเราจะขัดขวางมันต่างหาก”
ตี๋เล็กนิ่งคิดนานเพราะยังตามความคิดของบ๊วยไม่ทัน
“เราต้องหาทุกวิถีทางไม่ให้มันสอบผ่าน มันโดนไล่ออก มันก็กลายไอ้ขี้แพ้ ไอ้หน้าโง่ แล้วทีนี้น้องมาย่าคงไม่อยากคบมันต่อไป”
ตี๋เล็กพูดแก้เกี้ยว “เออ..ชั้นก็คิดไว้อย่างนั้นเหมือนกัน ชั้นนี่ฉลาดเป็นปรอทเลยว่ะ”
“ฉลาดเป็นกรด ไวเป็นปรอท พี่ .. เฮ้ย ลูกพี่ มันจะไปแล้ว”
“ตาม!”
บ๊วยคลานต่ำไป ตี๋เล็กก้าวขาเดินทั้งๆที่อยู่ในท่านั่งยอง
“เฮ้ย! มันยังไม่ไป ลูกพี่”
บ๊วยคลานต่ำกลับมา ตี๋เล็กขยับตัวถอยหลังในท่านั่งยองเหมือนเดิม
ชนมนลุกขึ้นเก็บหนังสือใส่ถุงผ้าอย่างเงียบๆ อิทธิฤทธิ์หน้านิ่วคิ้วขมวด เขาพยายามท่องให้ได้เพราะอยากเอาชนะชนมน
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป ชั้นจำได้แล้ว หมวด 9 มาตรา 95 ในคดีอาญา ถ้ามีการฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิด”
“ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายในกำหนด” ต่างหากล่ะ ตัวบทกฎหมายน่ะ ผิดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ผิดคำเดียว ความหมายเปลี่ยนทันที นี่นะ ถ้าใครได้นายเป็นทนายให้ มีหวังติดคุกหัวโตแน่”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่ดูดุเคร่งเครียดผิดปกติ
“วันนี้เป็นไร กินยาผิดมาเหรอไง หรือกินน้ำตาลมากไป”
“หาว่าชั้นดุเหมือนหมาเหรอ”
“เฮ้ย ตีความไปโน้น วันนี้เธอดูอารมณ์ไม่ดีเลย เป็นอะไร”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร ชั้นกลับล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ฉวยจับมือชนมนรั้งไว้
“เดี๋ยวดิ ยังไม่หมดชั่วโมงเลย”
ชนมนสะดุ้งเพราะเจ็บแผล “โอ๊ย !”
“โทษทีๆ ลืมไป เออ มือเป็นไงบ้าง”
“หายดีแล้ว” ชนมนพึมพำ “เพิ่งมาถาม”
มณีมันตราหน้ามุ่ยถือโทรศัพท์มือถือเดินเข้ามา
“พี่เมนี่โทรมาตามอีกแล้ว ชั้นบอกแล้วว่า วันไหนมีเรียน จะไม่รับงานนี่รับงานอีเว้นท์มาอีกแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ถาม “ต้องไปกี่โมง”
“ต้องไปสแตนด์บายตอนสองทุ่ม” มณีมันตราบอก
อิทธิฤทธิ์มองนาฬิกาข้อมือ
“งั้นยังมีเวลา ไป”
อิทธิฤทธิ์หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วจับมือมณีมันตราลากไปจนมณีมันตราคว้าหนังสือและกระเป๋าแทบไม่ทัน
“จะลากชั้นไปไหน พี่ชน ไปด้วยกัน”
มณีมันตราหันมาดึงมือชนมนให้เดินไปด้วย อิทธิฤทธิ์มองชนมนอย่างแอบดีใจที่มณีมันตราลากชนมนไปด้วย
วัยรุ่น 4-5 คนลอยตัวด้วยสเก็ตบอร์ดขึ้นกลางอากาศสวนทางกันไปมา
อิทธิฤทธิ์ยืนอยู่บนทางลาดลงพริบตาเดียวเขาก็สไลด์ตัวลงด้วยสเก็ตบอร์ดมาตามทางลาดที่โค้งครึ่งวงกลมก่อนจะลอยขึ้นสูงกลางอากาศอย่างเท่แล้วทิ้งตัวลงบนพื้น ชนมนกับมณีมันตรายืนมองดูอยู่ข้างสนามทั้งทึ่งและตื่นตาตื่นใจทำให้ลืมอารมณ์ขุ่นมัวไปชั่วขณะ
“นี่ขนาดทิ้งไปนานนะ ฝีมือยังเหมือนเดิม” มณีมันตราบอก
ชนมนรีบปรับสีหน้าทำเป็นไม่สนใจ
“เก่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
ชนมนถอยไปนั่งก่อนจะหยิบหนังสือจากถุงผ้ามาอ่าน แต่แอบเหลือบมองอิทธิฤทธิ์เป็นระยะ อิทธิฤทธิ์เล่นสเก็ตบอร์ดโชว์ลีลาเจ๋งๆ ไปบนม้านั่งไปทีละตัวโดยไม่ลงพื้น อิทธิฤทธิ์ไถสเก็ตบอร์ดลงมาตามขั้นบันได มณีมันตราตบมือให้ ชนมนเงยหน้ามองอิทธิฤทธิ์แล้วก้มอ่านหนังสือต่อ อิทธิฤทธิ์ยืนโพสท่าเท่โชว์มณีมันตราแต่แอบเหลือบมองชนมนอย่างไม่เข้าใจ
ตี๋เล็กกับบ๊วยเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้สนามเพราะกำลังซุ่มดูเหตุการณ์อยู่
“ดูมัน ลูกพี่ !! ดูมัน”
“เห็นแล้ว ! น้องมาย่าไปปลื้มอะไรมัน ชั้นก็ทำได้วะ”
ตี๋เล็กเผลอยกมือขึ้นโพสท่าตามจนเกือบเสียหลักตกลงมาหัวทิ่มแต่ก็กอดกิ่งไม้ไว้ทัน
อิทธิฤทธิ์ไถสเก็ตบอร์ดมาหยุดตรงหน้าชนมนและมณีมันตรา อิทธิฤทธิ์ใช้เท้าเกี่ยวสเก็ตบอร์ดขึ้นมาแล้วคว้ามาถือไว้อย่างเท่
อิทธิฤทธิ์พูดกับมณีมันตรา “มาเล่นด้วยกันดิ”
“ไม่เอา ยาก หัดกี่ทีก็เล่นไม่ได้”
“รับรอง คราวนี้เล่นได้แน่”
อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตราไปและชะงักหันมามองชนมน
“อยากลองเล่นบ้างมั้ย”
ชนมนตอบทันที “ไม่ !”
ชนมนก้มหน้าอ่านหนังสือทำเป็นไม่สนใจ อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตราให้เดินไป ชนมนเงยหน้าขึ้นจับตามองทั้งสองคน
อิทธิฤทธิ์จับมือมณีมันตราไว้ มณีมันตราไถไปบนสเก็ตบอร์ดอย่างกล้าๆกลัวๆ มณีมันตราหัวเราะสนุกทุกครั้งที่เเล่นไปได้แต่แล้วเธอก็กลัวจึงกระโดดลงจากสเก็ตบอร์ดเอง
มณีมันตราเริ่มเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นมากขึ้น อิทธิฤทธิ์แกล้งวิ่งตามไล่จับตัว มณีมันตราเสียหลักหกล้มแต่มือเกี่ยวอิทธิฤทธิ์ไปด้วย ทั้งสองกลิ้งกอดไปบนพื้น มณีมันตราลุกขึ้นมานั่งแล้วทุบอิทธิฤทธิ์ ทั้งสองหัวเราะสนุกสนาน
ตี๋เล็กกับบ๊วยยังเกาะอยู่บนต้นไม้
“น้องมาย่า ! ทำไมทำกับพี่ตี๋เล็กอย่างนี้ ไอ้บ๊วย แผนการต่อไปของเราคืออะไร”
บ๊วยกระซิบข้างหูตี๋เล็ก
“ดี ! ไอ้อิท คราวนี้แกเสร็จชั้นแน่”
ตี๋เล็กแค้นใจจึงเอามือทุบต้นไม้จนตัวเองเสียหลักร่วงไปจากต้นไม้แต่มือเหนี่ยวกิ่งไม้ไว้ทัน
ตี๋เล็กกลัว “ช่วยด้วย ไอ้บ๊วย ช่วยชั้นด้วย”
บ๊วยช่วยจับดึงตัวตี๋เล็กเอาไว้ แต่ตี๋เล็กก็ยังห้อยต่องแต่งอยู่ที่กิ่งไม้
ชนมนยืนมองอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราที่กำลังเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างสนุกสนาน ชนมนเก็บหนังสือใส่ถุงผ้าแล้วลุกเดินออกไปอย่างเงียบๆ มณีมันตราเล่นสเก็ตบอร์ดโดยไถไปไกลจากอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์นึกขึ้นได้ก็หันไปมองแต่ก็เห็นเพียงด้านหลังชนมนที่เดินออกไปไกลแล้ว
ชนมนเดินคอตกออกไปเงียบๆ แบบรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจอย่างไม่เข้าใจตัวเอง อิทธิฤทธิ์มองตามชนมนอย่างไม่สบายใจพิกล
ธรรม์กำลังเล็งปืนยิงใส่เป้าด้วยหน้าตาเคร่งเครียดและเก็บกด เขายิงรัวเร็วเป็นชุดจนหมดแม็ค
ธรรม์กับนายตำรวจอีก 4-5 นายมาซ้อมยิงปืนเพราะเตรียมตัวก่อนปฏิบัติงาน ธรรม์นิ่งคิดเรื่องมณีมันตราที่สลัดไปจากหัวไม่ได้
เขานึกถึงตอนที่ตัวเองพยายามตัดสัมพันธ์กับมณีมันตรา
“ขอบคุณค่ะที่บอกกันตรงๆ ย่าเข้าใจแล้วค่ะ ว่า ย่าเป็นส่วนเกินในชีวิตพี่ธรรม์ไปซะแล้ว ถ้าชีวิตพี่ธรรม์มีแต่งาน จนไม่มีเวลาให้ใครแล้ว ทีหลังก็อย่าไปรับปากใครว่า จะให้เวลาเค้าทั้งชีวิตนะคะ พี่ธรรม์ มันเสียความรู้สึกค่ะ”
มณีมันตราเดินออกไปด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด ธรรม์เล็งปืนขึ้นแล้วยิงรัวอีกชุด นายตำรวจ 4-5 คนที่ยิงปืนกันเสร็จเรียบร้อยหันมามองธรรม์เป็นทิวแถว ธรรม์ได้ระบายความอึดอัดก็สบายใจขึ้นมาบ้าง เขาถอดที่ปิดหูออกอย่างนิ่งสงบและมีสมาธิมากขึ้น
แผนที่ปฏิบัติการจับกุมอยู่บนบอร์ดหน้าห้อง พร้อมกับรูปเก่งกาจ รูปบ๊วยและวัยรุ่นติดยา 3 คนที่อยู่บนบอร์ด สารวัตรยืนอธิบายแผนการจับกุมอยู่ที่หน้าบอร์ด
“นี่คือแผนที่ปฏิบัติการ เราจะตั้งจุดตรวจตรงนี้กับตรงนี้”
สารวัตรชี้ไปที่จุดตรวจบนแผนที่ปฏิบัติการ อิทธิพลนั่งฟังในฐานะประธานในที่ประชุม ธรรม์และนายตำรวจ 10 นายนั่งร่วมประชุมอยู่ก็จดรายละเอียดไปฟังไปด้วย
“เราทำตามแผนตามขั้นตอนทุกอย่าง ห้ามไม่ให้ใครทำอะไรนอกเหนือคำสั่งเป็นอันขาด ส่วนนี่คือนายเก่งกาจ”
สารวัตรชี้ไปที่รูปเก่งกาจ
“มันเป็นเอเยนต์ขายยารายใหญ่ที่เราจะต้องจับตัวมันในครั้งนี้ให้ได้ ส่วนที่เหลือคือลูกน้องของมัน แต่ตามวิธีการของมัน นายเก่งกาจมักจะใช้คนส่งยาไม่ซ้ำหน้า เด็กแว้นที่เคยมีประวัติเคยส่งยาในท้องที่เรา มีนายบำรุง นายสัจจา นายมงคล นายเฉลิม นายเก่งกาจน่าจะใช้ไอ้เด็กพวกนี้”
รูปถ่ายขยายจากบัตรประชาชนของบ๊วยและรูปวัยรุ่นติดยา 3 รูป
“เราต้องมุ่งเป้าจับตัวนายเก่งกาจให้ได้ เพราะนายคนนี้เกี่ยวโยงกับคดีสำคัญๆหลายคดีที่ยังปิดไม่ได้ ทั้งคดีค้ายาและคดีฆาตกรรม ไอ้นี่เข้าคุกเมื่อไหร่ แผ่นดินก็จะสูงขึ้นเมื่อนั้น ฉะนั้นงานครั้งนี้สำคัญมาก อย่าให้มีอะไรพลาดได้”
สารวัตรกับนายตำรวจทุกคนรับฟังอย่างเคร่งเครียด อิทธิพลหันไปมองธรรม์ ธรรม์พยักหน้ารับด้วยท่าทางมุ่งมั่น แล้วธรรม์ก็มองรูปเก่งกาจอย่างจดจำ
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชนมนนั่งนิ่งอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ชูชัยกำลังใส่ยาที่มือให้ชนมนอยู่
“แสบหน่อยนะ” ชูชัยบอกลูกสาว
ชนมนเบ้ปากแล้วทำหน้าเบี้ยวเล็กน้อย
“เจ็บมากเหรอ”
“ไม่รู้ซิ พ่อ รู้สึกมันชาๆ ที่เค้าว่าเจ็บจนชา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ชนมนบอก
ชูชัยพันผ้าปิดแผลให้ชนมนต่อ เขาฟังลูกสาวพูดอย่างไม่เข้าใจ
“แผลแค่นี้ เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ”
ชินพัฒน์โผล่พรวดมาที่ข้างๆชนมน เขาจ้องไปที่ตาแล้วจ้องไปที่แผลที่มือของชนมน
“อย่างนี้ไม่ได้เจ็บที่แผลหรอก เจ็บที่หัวใจใช่มั้ยล่ะ สงสัยจะถูกแฟนทิ้ง”
ชนมนรู้สึกแทงใจดำ “ไอ้ชิน !”
“อะไรกัน คบกันได้กี่วันเอง พี่ตำรวจเค้าบอกเลิกยังไงล่ะ คุณดีเกินไปสำหรับผม หรือตอนนี้ผมอยากโฟกัสเรื่องงานก่อน หรือผมกับคุณ เราแตกต่างกันเกินไป”
“ชั้นไม่ได้เป็นแฟนพี่ธรรม์ ชั้นไม่ได้ถูกทิ้ง”
“แต่ทำไมหน้าพี่ชนเหมือนคนอกหักรักคุด”
“พี่เค้าบอกว่า ไม่มีแฟนก็ไม่มีซิวะ” ชูชัยว่า
“ไม่มีแฟนไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครนะ พ่อ” ชินพัฒน์บอก
ชินพัฒน์มองชนมนอย่างจับสังเกตและจับผิดสุดฤทธิ์
“มันต้องมีใครซักคนแน่ ที่ทำให้พี่ชนเปลี่ยนไป”
ชูชัยหันมาเหล่มองชนมนอย่างสำรวจตรวจตรา ชนมนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
รถยนต์สีดำแล่นมาจอดที่หน้าโกดังร้าง ธรรม์กับจ่าสมหมายที่อยู่นอกเครื่องแบบนั่งซุ่มรออยู่ในรถที่จอดห่างออกไป ธรรม์ขยับตัวหยิบปืนขึ้นมาทันที
ธรรม์แปลกใจ “มันมาก่อนเวลา”
ธรรม์และจ่าสมหมายลงจากรถแล้วลัดเลาะไปหาที่ซุ่มใกล้ๆ
บ๊วยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดข้างรถยนต์ ชายคนหนึ่งลงจากรถยนต์ บ๊วยใส่หมวกแก๊บกับแว่นดำอันใหญ่ มีผ้าแบบคาวบอยปิดปากก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์
ชายคนนั้นเดินไปหา บ๊วยมองซ้ายขวาอย่างระแวงระวังเพราะเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ธรรม์กับจ่าสมหมายซุ่มอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์
“สายเราได้ข่าวมาผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การส่งยาล็อตใหญ่แน่” สมหมายบอก
“ไอ้เก่งกาจมันหลอกให้เราหลงทาง ! ตอนนี้มันคงไปส่งยาที่อื่นอยู่” ธรรม์ว่า
ธรรม์ขยับจะออกไปแต่จ่าสมหมายรั้งตัวไว้
“เดี๋ยวครับ หมวด รอฟังคำสั่งสารวัตรก่อน”
“มันมาแค่สองคนเอง จ่า ผมจัดการได้” ธรรม์บอก
ชายคนนั้นยืนรอบ๊วยอย่างรำคาญ บ๊วยหยิบถุงยาบ้าที่มีอยู่100 เม็ดมาส่งให้ ชายคนนั้นส่งซองเงินปึกใหญ่ให้ ทันทีที่บ๊วยรับซองเงินมา ธรรม์ก็โผล่มาพร้อมเล็งปืนอย่างเตรียมพร้อม
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธ และยอมมอบตัวแต่โดยดี”
ชายคนนั้นคว้าปืนจากเอวแล้วยิงใส่ธรรม์ทันที ธรรม์โผเข้าหาที่กำบังตัว บ๊วยตกใจรีบวิ่งหาที่หลบซ่อนตัว
จ่าสมหมายเข้ามาช่วยธรรม์ ชายคนนั้นยิงใส่ จ่าสมหมายยิงโต้ตอบอย่างมีประสบการณ์ ธรรม์วิ่งออกไปจากที่กำบัง
“หมวด จะไปไหน”
บ๊วยโผล่จากที่ซ่อนแล้ววิ่งหนีขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ไป ธรรม์ตามหาบ๊วยอยู่ พอเขาหันไปเห็นก็วิ่งไล่ตาม มอเตอร์ไซค์บ๊วยแล่นติดๆขัดๆ จนเหมือนเครื่องจะดับ ธรรม์วิ่งแล้วกระโจนเข้าไปหาบ๊วย
“หยุดนะ !”
บ๊วยละล้าละลังไม่กล้าแต่ตัดสินใจคว้าปืนออกมาหลับหูหลับตายิงออกไป ธรรม์ผงะเพราะโดนกระสุนถากเข้าที่หัวไหล่ เขาเซล้มลงคลุกฝุ่น
“โอ๊ย!”
บ๊วยเร่งเครื่องอีกครั้งแล้วซิ่งออกไป ธรรม์นอนหน้าคว่ำจมกองฝุ่นอยู่ที่พื้น
ตี๋เล็กกำลังเช็ดรถมอเตอร์ไซค์อย่างทนุถนอม เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามา ตี๋เล็กเงยหน้าขึ้นมองแล้วพยักหน้าทักทายก่อนจะยิ้มขำ
“แกไปปล้นธนาคารมาเหรอไง ถึงได้ปิดหน้าปิดตาอย่างนี้”
บ๊วยที่ใส่หมวกแก๊บ แว่นดำ พร้อมผ้าปิดปากดึงผ้าปิดปากออก ถอดแว่นดำและถอดหมวกแก๊บมาโบกแก้เก้อ
“แฟชั่นใหม่น่ะ ลูกพี่”
“ไอ้บ้าเอ๊ย แฟชั่นอะไรของแก เหมือนไอ้เด็กติดยาที่อายุไม่ถึง 18 แล้วโดนจับไปออกข่าวทีวี เออ...มาก็ดีแล้ว เช็ดรถให้หน่อย”
ตี๋เล็กผละออกไปแล้วนึกได้
“นี่แกไม่ได้ไปทำงานแบบเก่าอีกใช่มั้ย” ตี๋เล็กถาม
บ๊วยสะดุ้ง “งานแบบเก่าแบบอะไร พี่”
“ก็งานรับแทงบอลน่ะซิ แกไปช่วยงานเฮียเล้งอีกใช่มั้ย แล้วไปติดหนี้ใครมาอีก ติดเท่าไหร่ แกถึงได้ปิดหน้าปิดตาหลบเจ้าหนี้อย่างนี้”
“ผมไม่ได้ไปช่วยเฮียเล้ง แต่ก็..ก็ติดหนี้ค่าเช่าห้องมาสามเดือนแล้วก็เลย..ก็เลยต้องคอยหลบๆ หน้าเจ๊นกแก”
“ยืมเงินชั้นไปก่อนก็ได้ มีเมื่อไหร่ค่อยใช้คืน แล้วถ้าไม่อยากตายเร็ว ขี่มอไซด์น่ะ ใส่หมวกกันน็อคด้วย เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ ขอบคุณลูกพี่มากเลย ลูกพี่จะให้ผมทำอะไรเป็นการตอบแทนบุญคุณล่ะก็ ผมทำทุกอย่าง”
ตี๋เล็กตบไหล่ “ดีมาก”
ตี๋เล็กเดินกลับเข้าไปในร้าน บ๊วยโล่งใจ จู่ๆตี๋เล็กก็เดินกลับออกมา
“เฮ้ย!”
บ๊วยสะดุ้งแล้วรีบเปลี่ยนท่าที “ครับ ครับ ว่าไงครับลูกพี่”
“แผนการณ์ทำลายไอ้อิทน่ะ เรามาเริ่มกันเลย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยยิ้มร้ายกาจเมื่อคิดถึงแผนที่วางไว้อย่างสนุก
ธรรม์เปิดประตูเข้ามาในห้องที่สารวัตรยืนคุยกับอิทธิพลอยู่ก่อนแล้ว
“ครับ ผู้การ”
สารวัตรทำความเคารพอิทธิพลก่อนจะมองธรรม์แวบเดียวแล้วรีบเดินออกไป
“คุณพ่อครับ ผมอธิบายได้นะครับ” ธรรม์บอก
อิทธิพลมองธรรม์ที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บ
“แกจะอธิบายว่ายังไง แกไม่รอฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ตรงเข้าจับกุมผู้ต้องหาเอง แกพาตัวไปเสี่ยงตายไม่พอ ยังพาลูกน้องไปเสี่ยงกับแกด้วย ถ้าจ่าสมหมายเป็นอะไร แกจะรับผิดชอบไหวไหม”
“ผมจำเป็นต้องเสี่ยงครับ ถึงไอ้เก่งกาจไม่ได้มาส่งยาเอง ผมก็ต้องจับลูกน้องมันให้ได้ เราจะได้สาวไปถึงตัวไอ้เก่งกาจไงครับ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว แกถูกถอดจากทีมคดีพิเศษแล้ว”
“คุณพ่อ ! วันนี้ผมเกือบจะจับลูกน้องไอ้เก่งกาจได้อยู่แล้วนะครับ”
“เมื่อสิบห้าปีก่อน พ่อแกก็เกือบจับชาติชายได้เหมือนกัน แล้วสุดท้ายเป็นยังไง แกก็รู้”
ธรรม์มองอิทธิพลอย่างผิดหวังและเสียใจ
เช้าวันใหม่ อิทธิฤทธิ์ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนเทน้ำมันพืชเทใส่กระทะแบนไปครึ่งขวด
อิทธิฤทธิ์ควงตะหลิวอยู่หน้าเตาอย่างสนุกสนาน แดงมองอิทธิฤทธิ์อย่างหวาดหวั่น
“ใส่น้ำมันเยอะไปแล้วค่ะ จะทำข้าวตังหรือข้าวผัดคะ”
“ใส่อะไรก่อน”
“กระเทียมค่ะ เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่ง”
แดงเตือนไม่ทันเพราะอิทธิฤทธิ์ขว้างกระเทียมสับลงไปในกระทะแล้ว กระเทียมกระเด็นกระดอนใส่อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์เต้นเหย็งๆ
“โอ๊ยๆ”
แดงมองอิทธิฤทธิ์อย่างเหนื่อยใจ
“ใส่อะไรต่อ บอกมาเร็วๆ ใส่มันลงไปหมดนี่แหละ”
อิทธิฤทธิ์โยนหมูชิ้นลงไปหนึ่งกำมือ ตามด้วยหอมใหญ่หั่น ผักคะน้า,ผักกะหล่ำ,ผักชีแล้วตามด้วยข้าวสวยสองถ้วยใหญ่ก่อนจะตอกไข่เพิ่มไปสองฟอง
“คุณอิทขา หรี่ไฟลงหน่อย”
อิทธิฤทธิ์เปิดเร่งไฟให้สูงขึ้นด้วยความไม่รู้
“ไม่ใช่ค่ะ บิดไปทางซ้ายค่ะ”
แดงถอยหลังอย่างกลัวๆ
อิทธิฤทธิ์ไม่สนใจฟัง เขาปล่อยกระทะทิ้งไว้บนเตาอย่างนั้นก่อนจะหันมาจัดผักตกแต่งจาน
“ได้กลิ่นข้าวผัดฝีมือชั้นมั้ย” อิทธิฤทธิ์สูดกลิ่น “หอมน่ากินจริงๆ”
อิทธิฤทธิ์ชะงักแล้วทำจมูกฟุดฟิดๆ ก่อนจะหันไปมองที่กระทะบนเตาเพราะข้าวผัดในกระทะเริ่มมีควันขโมง
“ปิดไฟก่อนค่ะ ปิดไฟ”
“ชั้นได้สูตรเด็ดมา ถ้าให้ข้าวผัดอร่อย ต้องเหยาะบรั่นดีหน่อย”
แดงร้องลั่น “อย่าค่า”
อิทธิฤทธิ์เทถ้วยใส่เหล้าลงจนหมดถ้วยทำให้ไฟลุกพรึ่บบนกระทะ !
อิทธิฤทธิ์ตื่นเต้นดีใจ “ไฟลุกเหมือนในทีวีเลย”
แดงตกใจ “เค้าเรียก ไฟไหม้ค่ะ” แดงตะโกน “ไฟไหม้ค่ะ ไฟไหม้”
ถนอมวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจสุดขีด
“ดับไฟซิ ดับไฟ แดง เอาน้ำมา”
แดงส่งขวดน้ำให้ถนอม ถนอมเตรียมสาดน้ำใส่กรทะ
เสียงชนมนดังขึ้น “อย่าค่ะ !”
ชนมนถลันเข้ามาช่วย
“เดี๋ยวทำให้ไฟยิ่งลุกใหญ่”
ชนมนคว้าฝาครอบใบใหญ่ได้ก็ครอบปิดกระทะไป ทุกอย่างเงียบลง ถนอมกับแดงโล่งใจแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ชนมนพูดกับอิทธิฤทธิ์ “นี่นายทำอะไรเนี่ย”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ที่ยังไม่รู้สึกว่าทำอะไรพลาดไป
ชนมนนั่งหน้าเซ็งอยู่ที่โต๊ะอาหาร อิทธิฤทธิ์วางจานข้าวผัดเขลอะๆไหม้ๆแฉะๆลงบนโต๊ะ
“ชั้นตั้งใจทำให้เธอเลยนะ”
“คิดจะวางยาชั้นเหรอไง”
“จะกินหรือไม่กิน !”
“ใครจะกินลง”
“ชั้นไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครเลยนะ”
“แล้วใครขอให้ทำ”
“ที่ทำให้ก็เพราะ..เออ..เพราะสงสาร เห็นผอมเหลือเกิน สงสัยที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน ก็เลยทำอะไรอร่อยๆให้กิน”
“ไม่ต้องมาสงสาร ชั้นทำกินเองได้ นายเอาเวลาทำเรื่องอย่างนี้ไปท่องหนังสือจะดีกว่ามั้ย ชั้นให้เวลาห้านาที รีบตามไปล่ะ”
ชนมนเดินออกไป ถนอมถือแก้วน้ำเดินเข้ามาทำหน้าเหรอหราที่เห็นชนมนเดินโกรธออกไป อิทธิฤทธิ์มองดูหลังมือของตัวเองที่แดงเพราะถูกน้ำมันกระเด็นใส่
“เจ็บตัวแล้วยังโดนด่าอีกเว้ย”
“แล้วคุณอิทนึกอะไรขึ้นมาล่ะคะ”
“ก็เมื่อวานผมเห็นเค้าเศร้าๆเครียดๆ ก็เลยอยากทำอะไรดีๆ ให้”
“อยากเอาใจหนูชน ว่างั้นเถอะ ไปทำอะไรผิดอีกล่ะคะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ ป้าหนอม ไม่ได้อยู่กับมาย่าจนลืมเค้า”
อิทธิฤทธิ์ชะงักเพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงแคร์ชนมนนัก
“อ๋อ....ง้อผู้หญิงไม่ยากหรอกค่ะ ป้าจะบอกเคล็ดลับให้”
อิทธิฤทธิ์ฟอร์มจัด “ง้ออะไร ทำไมต้องง้อ ป้าหนอมก็เพ้อเจ้อ ไม่กินก็ไม่ต้องกินกินเองก็ได้ แล้วจะต้องเสียดาย”
อิทธิฤทธิ์ทำกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง เขาจ้วงข้าวผัดใส่ปากแล้วก็ชะงักหน้าเหยเก อิทธิฤทธิ์อมข้าวคาในปากพร้อมกับมองถนอมแบบไม่กล้าคายทิ้งเพราะกลัวเสียฟอร์มแต่ก็เสียลุ๊คมาก
ชนมนมองกระดาษในมือที่เป็นหัวข้อรายงาน อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามา ชนมนรีบสอดกระดาษเข้าไปในหนังสือแต่มีปลายกระดาษแลบออกมา อิทธิฤทธิ์นั่งลงทำหน้าหมางเมินใส่
อิทธิฤทธิ์ท่องปาวๆ “กฎหมายอาญา หมวด 9 มาตรา 95 ในคดีอาญา ถ้า” อิทธิฤทธิ์เน้นอย่างประชด “มิได้และได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายในกำหนดต่อไปนี้”
“ยังไม่ต้องท่อง ! มาคุยเรื่องหัวข้อรายงานก่อน คิดออกหรือยัง” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบทันที “ยัง”
“คิดไม่ออกหรือไม่ได้คิด”
“ก็คิดไม่ออกไงก็เลยไม่คิด”
“ไม่มีประเด็นกฎหมายอะไรที่น่าสนใจเลยเหรอ”
“ไม่มี”
“หรือประเด็นอะไรในกฎหมายที่เราไม่เห็นด้วย”
“ไม่มี ก็ช่วยหน่อยดิ เธอเป็นติวเตอร์ชั้นไม่ใช่เหรอ”
ชนมนเริ่มโกรธ “เป็นติวเตอร์ไม่ได้หมายความจะต้องคอยรับใช้ ทำให้นายทุกอย่าง หัดคิดเองซะบ้าง ก่อนที่สมองจะฝ่อมากไปกว่านี้ แล้วถ้านายสอบผ่าน นายก็จะรู้สึกภูมิใจ”
อิทธิฤทธิ์พาล “ไม่ช่วย ก็ไม่ต้องพูดมาก พ่อจ้างเธอมาติว เธอก็กะจะติวอย่างเดียวใช่มั้ย ถ้ามีงานงอกเกินหน้าที่ เธอก็จะไม่ทำ อย่างนี้ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ บอกมา พ่อชั้นจ่ายให้ได้อยู่แล้ว ว่าไง ต้องการเงินเท่าไหร่”
ชนมนโกรธจัดคว้าถุงผ้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยลืมทิ้งหนังสือที่มีกระดาษจดหัวข้อรายงานเอาไว้
“พูดอะไรออกไป...โธ่เว้ย !”
อิทธิฤทธิ์พูดไปแล้วก็รู้ตัวว่าไม่ควรพูดดูถูกชนมน อิทธิฤทธิ์โกรธตัวเองแล้วก็เดินปึงปังออกไปชนโต๊ะจนหนังสือหล่นพื้น กระดาษจดหัวข้อรายงานหล่นพร้อมหนังสือจนกระจุยกระจาย อิทธิฤทธิ์เดินออกไปแล้วหันกลับมามองที่พื้นใหม่
ชนมนขี่จักรยานมาจากทางบ้านอิทธิฤทธิ์ เธอปั่นจักรยานอย่างหน้าดำหน้าแดงด้วยอารมณ์โกรธ
ตี๋เล็กกับบ๊วยที่ใส่หน้ากากโผล่พุ่งเข้ามาขวางทางไว้ ชนมนเบรกรถจักรยานตัวโก่ง เธอมองตี๋เล็กกับบ๊วยด้วยความตกใจ ตี๋เล็กกับบ๊วยยืนโพสท่าผู้ร้าย ชนมนรีบเลี้ยวรถจักรยานกลับไปทางเดิมแล้วก็ต้องชะงัก
ลูกน้อง 2 คนที่ใส่หน้ากากเหมือนกันเดินโทงๆ เข้ามาขวางทางไว้ ชนมนยืนอยู่กลางวงล้อมของตี๋เล็ก บ๊วยและลูกน้อง
อิทธิฤทธิ์มองกระดาษหัวข้อรายงาน 3-4 แผ่นในมืออย่างคาดไม่ถึง
อิทธิฤทธิ์มองไปที่พื้นซึ่งมีกระดาษอีกนับสิบแผ่นกระจายอยู่ ทุกแผ่นเขียนด้วยลายมือจนเต็มแผ่น
“หัวข้อรายงาน...ทำไมมันเยอะอย่างนี้”
ลายมือชนมนเขียนยาวเป็นพรึ่ดเต็มหน้า
หัวข้อ: หลักความยินยอมทางอาญา
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
- มนุษย์มีข้อขัดแย้ง ฯลฯ จึงมีวิธียุติข้อขัดแย้งโดยการยินยอม ปัญหาคือ ความยินยอมนั้ๆ มีขอบเขตเพียงใด ฯลฯ
ผู้จัดทำรายงานจึงจัดทำรายงานนี้เพื่อศึกษาถึงความรู้เกี่ยวกับความยินยอมและปัญหาดังกล่าว (ประมาณ 3- 4 หน้า)
2.ทฤษฎีและข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
-หลักกฏหมายอาญา
-ตัวบทกฏหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประนีประนอมยอมความ ฯลฯ (ค้นหามา)
- ทั้งนี้ให้อธิบายด้วยว่า ทฤษฎี หรือกฏหมายที่ผู้ทำรายงานยกมา เกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษาอย่างไร (ประมาณ 5-10 หน้า)
3. วิเคราะห์
-จากทฤษฏี-ข้อกฏหมายที่ยกมา ผู้ทำรายงานเห็นว่า ดี/ไม่ดี เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย (ประมาณ 4-5 หน้า)
4.สรุปและเสนอแนะ
-จากที่กล่าวมาจึงสรุปได้ว่าความยินยอมคือ...ปัญหาคือ...ทางแก้คือ...
-ผู้จัดทำรายงานมีข้อเสนอแนะว่า 1-2-3
ตัวอย่างหัวข้อรายงานวิชากฎหมาย
-หลักความยินยอมทางอาญา
-บทบาทและอิทธิพลของกฎหมาย ล้มละลายไทยในเชิงเศรษฐกิจ
-ความแตกต่าง และข้อดี - ข้อเสีย ของกฎหมายยอมความของไทยและอเมริกา
-กฎหมายการเอาผิดการพนันบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
-กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล Data Protection
-การให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่ซอฟต์แวร์ The Protection of Software
-กฎหมายแรงงานสำหรับแรงงานต่างด้าว
-การปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของประเทศไทย
-การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการตรากฎหมายและการดำเนินการตามกฎหมาย
อิทธิฤทธิ์หยิบกระดาษหัวข้อรายงานขึ้นมาเก็บจนครบทุกแผ่นเพราะรู้ว่าชนมนเตรียมให้เยอะมาก
หมูหวานเดินช้าๆ มานั่งจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์
“ชั้นรู้ๆ ชั้นผิดเอง”
อิทธิฤทธิ์คว้าตัวหมูหวานขึ้นมาอุ้ม
“แล้วจะให้ทำไง เค้าไปแล้ว”
อิทธิฤทธิ์จ้องมองหมูหวานอย่างหาคำตอบ
ชนมนยังอยู่ในวงล้อมของตี๋เล็ก บ๊วยและลูกน้อง ชนมนเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆพลางมองทางหนีทีไล่อย่างมีสติ
“ต้องการอะไร” ชนมนถาม
ตี๋เล็กดัดเสียงบี้ๆ “เลิกติวให้ไอ้อิทซะ”
“มีเหตุผลอะไร”
“ไม่ต้องถาม ทำตามที่ชั้นสั่ง”
“ทำไมต้องทำตามที่แกสั่ง”
ตี๋เล็กงง เพราะไม่คิดว่าชนมนจะถาม เขาจึงตอบไปส่งๆ “ก็เพราะชั้นสั่ง ถึงต้องทำไงล่ะ”
ชนมนเหนื่อยใจแต่ไม่กลัวจึงกวนกลับ “แล้วถ้าไม่ล่ะ”
“น้องคงไม่อยากเจ็บตัว”
“เป็นผู้ชายหรือเปล่า รังแกผู้หญิง” ชนมนว่า
“พี่ไม่รังแกน้องหรอกจ๊ะ แต่..ให้ลูกน้องทำแทน ไอ้บ๊วย !”
บ๊วยเหนื่อยใจ “จะเรียกชื่อทำไม...”
ตี๋เล็กนึกได้และลืมทำเสียงบี้ “ไอ้โรเบิร์ต ไอ้ไมเคิล ไอ้อดัม ลุย”
บ๊วยโผเข้าไปเล่นงานชนมน ชนมนหลบได้ทุกหมัดแล้วถีบบ๊วยออกมาจนหงายหลังล้มลง ลูกน้อง 2 คนยืนมองชนมนอย่างทึ่งๆ
ตี๋เล็กพูดกับลูกน้อง “ยืนดูปาหี่อยู่รึไง จัดการมันเซ่”
ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาล็อคตัวชนมนไว้ ลูกน้องอีกคนรี่เข้าอย่างเงอะงะเพราะไม่เคยรุมผู้หญิง
ชนมนกระโดดถีบสองขาใส่ลูกน้องคนที่สองจนเซออกไปก่อนจะกระทืบเท้าใส่ลูกน้องอีกคนพร้อมถองศอกใส่ ตี๋เล็กยืนมองชนมนจัดการลูกน้องตัวเองอย่างตื่นตะลึง
“พ่อมันเป็นเฉินหลงป่าวเนี่ย”
ตี๋เล็กโผเข้ามาเล่นงานชนมนแล้วกระดอนออกมา
“นี่มันจีจ้าชัดๆ”
บ๊วยกับลูกน้อง 2 คนตามเข้าไปติดๆ ชนมนใช้ท่าไม้ตายคือการกระโดดหมุนตัวเตะใส่บ๊วยและลูกน้อง 2 คนโดยใช้เท้าเสยปลายคางจนร่วงลงพื้นทีละคนๆ บ๊วยกับลูกน้อง 2 คนนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
ตี๋เล็กเห็นแล้วสยองจึงรีบวิ่งหนี ชนมนตามไปจับคอเสื้อไว้ ตี๋เล็กถองศอกและถีบใส่ชนมนมั่วๆ
“เฮ้ย ปล่อย !”
ตี๋เล็กหันมาผลักชนมนเต็มแรงจนชนมนเสียหลักล้มลงและหน้าสะบัดจนแว่นกระเด็นหลุดออกไป“โอ๊ย!”
ชนมนมองเห็นไม่ชัด เธอมองซ้ายส่ายขวามองหาแว่นแล้วก็รีบคลำที่พื้นเพื่อหาแว่น
“ลูกพี่ มันไม่มีแว่น มันก็หมดฤทธิ์” บ๊วยบอก
“แล้วไง”
“กระทืบแว่นมันทิ้งซิ” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กเพิ่งเก็ต “เออใช่”
ชมมนกับตี๋เล็กหันไปมองแว่นตาพร้อมกัน ชนมนเห็นแว่นเลือนลางอยู่บนพื้น ชนมนเอื้อมมือเกือบจะถึงแล้วแต่ในนาทีเดียวกันนั้นเท้าตี๋เล็กก็เหยียบลงบนแว่นจนแตก
ชนมนด่า “ไอ้เลว!!! แกต้องชดใช้”
“พี่ก็มาชดใช้ให้น้องอยู่นี่ไงจ๊ะ”
ชนมนมองทุกอย่างเบลอไปหมดจึงเริ่มไม่มีความมั่นใจ เธอถอยหลังไปเรื่อยๆ ตี๋เล็กค่อยๆเดินเข้าใกล้ชนมนอย่างผู้ชนะ บ๊วยและลูกน้อง 2 คนเข้ามารุมล้อมชนมน
“ตกลงจะเลิกติวให้ไอ้อิทมั้ย”
“พวกแกเป็นใครจะมาสั่งชั้น ไม่มีทาง!” ชนมนว่า
“อย่างนี้ต้องตบสั่งสอน” บ๊วยบอก
“แต่ชั้นว่า จูบสั่งสอนดีกว่า มามะ จุ๊บๆ” ตี๋เล็กว่า
ลูกน้อง 2 คนมาจับตัวชนมนเอาไว้ ตี๋เล็กหลับตาพริ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปจะประทับจูบชนมน อยู่ๆ ตี๋เล็กก็ถูกถีบที่สีข้างจนเซออกไป บ๊วยถูกถีบตามไป
“ใครผลักวะ” ตี๋เล็กว่า
“ไม่ได้ผลัก ลูกพี่ เค้าเรียกถีบ” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กกับบ๊วยตั้งหลักได้ก็หันมามองเห็นว่าอิทธิฤทธิ์เป็นคนถีบ ชนมนได้จังหวะก็สะบัดหลุดจากลูกน้องทั้ง 2 แล้วก็ตีศอกและกระโดดถีบจนทั้ง 2 มึนไป อิทธิฤทธิ์รีบเข้ามาหาชนมน ทั้ง 2 ยืนเอาหลังชนกันแล้วตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้
“พวกมันเป็นใคร” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ไม่รู้” ชนมนตอบ
“อยู่ใกล้ๆชั้นไว้นะ”
ชนมนหันมองอิทธิฤทธิ์อย่างรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ ตี๋เล็กกับกลุ่มแก๊งยืนกลัวๆ กล้าๆ
“ลุยซิวะ อย่าไปกลัว ลุย !” ตี๋เล็กบอก
ทั้งสี่เข้าไปรุมชนมนและอิทธิฤทธิ์ แต่ทั้ง 2 ก็ป้องกันตัวเองไว้ได้จากทุกทิศทาง ตี๋เล็ก บ๊วยและลูกน้องอีกสองคนกระเด็นออกมานอนซ้อนกันเป็นขนมชั้น
“แน่จริง เข้ามาเลย !” อิทธิฤทธิ์ว่า
ตี๋เล็ก บ๊วยและลูกน้องสองคนลุกขึ้นตั้งหลักแต่ตัวก็โงนเงนและอ่อนแรงมาก
“ยังไหวมั้ย”
“ไหว”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนทำหน้าดุดันมุ่งมั่น ตี๋เล็ก บ๊วยและลูกน้องสองคนถอยห่างออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่มั่นใจ
ตี๋เล็กถามลูกน้อง “ไหวมั้ย”
บ๊วยกับลูกน้องพูดเสียงอ่อย “ไม่ไหว”
ตี๋เล็กตกใจ “เฮ้ย!” ตี๋เล็กเสียงดังด้วยความโกรธ “ไหวมั้ย!”
บ๊วยกับลูกน้องเสียงอ่อย “ไหว...ก็ได้”
ตี๋เล็กสั่งทันที “ลุย !”
แก๊งตี๋เล็กทำท่าจะพุ่งชน อิทธิฤทธิ์กับชนมนลุยเข้าไปสู้
“ลุย!” อิทธิฤทธิ์กระโดดเตะลมขู่ 1 ทีแบบเฉียดหน้าตี๋เล็กไปนิดเดียว
ตี๋เล็กตกใจกระโดดหลบ “เฮ้ย!” ตี๋เล็กกลัวมากจึงตัดสินใจสั่งลูกน้อง “เผ่น!”
พวกตี๋เล็กพร้อมใจกันถอยหลังหนีแตกกระเจิง
อิทธิฤทธิ์ว่า “โธ่! ไม่แน่จริงนี่หว่า”
ชนมนทรุดตัวลงคลำหา “แว่น แว่นชั้น”
อิทธิฤทธิ์เดินไปหยิบแว่นของชนมนที่เหลือแต่เลนส์แตกๆ ขึ้นมา ชนมนดึงแว่นจากอิทธิฤทธิ์มาใส่ไว้ แม้ขาแว่นจะหักไปข้าง เลนส์ร้าวเหลือครึ่งเดียวก็ตาม อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่หมดสภาพอย่างเจ็บใจแทน
เจ๋งกำลังซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ อิทธิฤทธิ์ประคองชนมนเข้ามา เจ๋งหันไปเห็นก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น พี่อิท ไปถูกใครรุมกระทืบมา พี่ชน ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”
“อย่าเพิ่งถาม ไปเอายามา”
เจ๋งยังรีรอและมองชนมนอย่างเป็นห่วงมาก เขาเข้าไปรวบมือชนมนไว้
“พี่ชน เจ็บมากหรือเปล่าครับ ใครทำพี่ชน บอกเจ๋งมา เดี๋ยวเจ๋งจะไปแก้แค้นมันให้”
อิทธิฤทธิ์เสียงดัง “ไอ้เจ๋ง !”
อิทธิฤทธิ์มองเจ๋งดุๆ เจ๋งรีบถอยออกไปหายา
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหอบแฮ่กๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านค้า ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมามองตี๋เล็กกับบ๊วยที่เหมือนตัวประหลาด
“มองอะไรกัน” ตี๋เล็กงง
“นั่นดิ ไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีหรือไง” บ๊วยบอก
“หรือว่าวันนี้เราจะหล่อกว่าทุกวัน”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันมามองหน้ากันแล้วผงะออกเพราะเห็นว่ายังใส่หน้ากากอยู่
“เฮ้ย !”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันไปมองชาวบ้านที่มองพวกเขาเป็นตาเดียว
“ทำไงดีวะ คนมองใหญ่แล้ว”
“ก็ถอดออกสิ พี่”
“ถอดออก คนก็จำหน้าเราได้สิ ถอดไม่ได้”
บ๊วยเหนื่อยใจ “ก็ไม่เป็นไรนี่ ไอ้อิทกับกับป้าแว่นคงไม่ตามมาแล้ว”
“เออ..จริง เราใส่ไม่ให้ป้าแว่นจำหน้าเราได้นี่นา คนอื่นไม่ได้รู้อะไรด้วย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยรีบถอดหน้ากากออก ตี๋เล็กเสยผมให้เข้าที่แบบยังมั่นใจผิดๆอยู่
“พวกมันไม่กล้าตามมาแล้ว ถูกเล่นงานซะน่วมขนาดนั้น”
“เราต่างหากที่ถูกเล่นงานจนน่วม” บ๊วยบอก
“น่วมที่ไหน ที่ถอยมานี่ ถอยมาตั้งหลักก่อน พักเอาแรง แล้วเดี๋ยวกลับไปเล่นงานมันต่อ ไป ไอ้บ๊วย ไปกันได้แล้ว”
ตี๋เล็กเดินนำออกไป
“นั่นมันทางกลับบ้าน” บ๊วยว่า
“รู้แล้ว ! กลับไปพักเอาแรงที่บ้านโว้ย”
ตี๋เล็กทำมั่วเดินออกไปอย่างเนียนๆ
“ไม่กล้ากลับไปเล่นงานมัน ก็บอกเหอะ มาทำเนียนใส่”
บ๊วยเดินตามตี๋เล็กไปแบบปวดหัวกับลูกพี่คนนี้จริงๆ
อิทธิฤทธิ์เอาผ้าชุบน้ำในอ่างแล้วบิดน้ำออกอย่างเก้ๆกัง อิทธิฤทธิ์ถือผ้าเปียกหันมาจะเช็ดหน้าให้ชนมน
“ไม่ต้อง ทำเองได้” ชนมนว่า
“อยู่เฉยๆ”
เจ๋งที่กำลังจัดเตรียมเรียงขวดยาวางไว้เอาหน้าเข้ามาแทรก
“หรือจะให้เจ๋งเช็ดให้ก็ได้นะ”
อิทธิฤทธิ์ผลักหน้าเจ๋งออกไป
อิทธิฤทธิ์ไล่ “แกไปได้แล้ว ไป”
“จะให้เจ๋งไปไหน นี่มันบ้านเจ๋ง”
“ไปสืบทีว่า ใครที่มาดักเล่นงานชน”
ชนมนพูดแก้ให้ “พี่ชน..ชั้นเป็นรุ่นพี่นายนะ นายอิท”
อิทธิฤทธิ์ไม่ฟัง “ไปดิ”
“โหย แล้วเจ๋งจะไปสืบที่ไหน”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองเจ๋งอย่างดุๆ
“ต่อไปพี่ชนต้องระวังตัวให้ดีนะ เจ๋งเป็นห่วง” เจ๋งบอก
เจ๋งเดินออกไปอย่างเสียดายที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดชนมน
“เจ๋งจะสืบได้เหรอว่า พวกมันเป็นใคร”
อิทธิฤทธิ์ถอดเศษซากแว่นออกแล้วค่อยๆ เช็ดหน้าให้ชนมน
“ไม่ได้หรอก แค่อยากกำจัดให้มันไปไกลๆ ชั้นมีเรื่องจะพูดกับเธอ...ทำไมถึงยอมเจ็บตัว ชั้นได้ยินนะ พวกมันบังคับให้เธอเลิกติวให้ชั้น”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้เราควรสืบหาดีกว่าว่าพวกมันเป็นใคร”
อิทธิฤทธิ์โมโหหน่อยๆเพราะเป็นห่วงชนมน “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ชั้นมันโจทก์เยอะอยู่แล้ว เรื่องเธอต่างหากที่สำคัญกว่า ทำไมไม่บอกไปล่ะว่าจะ เลิกติว?”
“ก็ชั้นไม่เลิกไง!” ชนมนว่า
“โกหกก็ได้! พูดเอาตัวรอดไปก่อนสิ! ไม่กลัวว่ามันจะทำร้ายเหรอ ทำไมไม่โกหกไปล่ะ”
“ชั้นไม่รู้ ชั้นรู้แต่ ชั้นต้องช่วยนายสอบผ่านให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งไป แม้ชนมนจะโกรธอิทธิฤทธิ์ยังไงแต่ก็ยังยอมเจ็บตัวช่วยเขาอยู่
“นายอิท ! เงียบไป มีอะไร” ชนมนถาม
ชนมนเห็นอิทธิฤทธิ์เป็นภาพเบลอๆ จนต้องหยีตายื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าอิทธิฤทธิ์
“นายเป็นอะไร”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชนมนแล้วเพ่งพินิจดวงตาสวยคู่นั้นเป็นครั้งแรกเมื่อไม่มีกรอบแว่นมาบัง แล้วเขาก็เริ่มตระหนักได้ว่าชนมนช่วยเขามาตลอด ชนมนงงแต่ก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อิทธิฤทธิ์อีก หน้าทั้งสองใกล้กันจนจมูกเกือบจะแตะกัน ชนมนเห็นอิทธิฤทธิ์ชัดขึ้น
อิทธิฤทธิ์ซึ้งใจ “เธอทำเพื่อชั้นเหรอ..”
ชนมนตกใจมาก “เปล่า !”
ชนมนตกใจที่เกือบจะเอาจมูกชนจมูกอิทธิฤทธิ์อยู่แล้ว
ชนมนพูดกลบเกลื่อน “ชั้นทำเพื่อเงินต่างหาก ชั้นติวให้นายคนเดียวได้เงินมากกว่าติวให้คนอื่นทั้งเดือน โดนซ้อมแค่นี้ ถือว่า คุ้ม ! ชั้นกลับล่ะ”
ชนมนลุกขึ้นอย่างตุปัดตุเป๋ เธอฉวยแว่นแตกๆมาใส่แล้วเดินชนโน่นนี่ล้มไปตลอดทาง อิทธิฤทธิ์เดินไปจับมือชนมนไว้ด้วยท่าทางของผู้ชายอบอุ่นที่ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวได้อย่างง่ายดาย ชนมนยืนนิ่งตัวแข็งด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอหันไปมองอิทธิฤทธิ์ทั้งที่เห็นไม่ชัดนัก
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้แน่นแล้วเดินไปด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ที่ห้างสรรพสินค้าเล็กๆ แต่มีบรรยากาศร่มรื่นอบอุ่น อิทธิฤทธิ์จูงมือชนมนมาที่กลางลานหน้าห้างฯ ซึ่งมีน้ำพุและต้นไม้สวย
ชนมนยืนมึนงงเพราะไม่รู้จะมาทำไม ชนมนเดินหนีก็เดินไปชนคนที่เดินเข้ามา
อิทธิฤทธิ์เข้าไปดึงชนมนกลับมาแล้วจับมือเธอไว้มั่นแบบไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ
อิทธิฤทธิ์พาชนมนก้าวขึ้นบันไดเลื่อน เมื่อยืนบนบันไดแล้ว ชนมนก็บิดข้อมือให้หลุดออกจากมืออิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ยึดมือชนมนไว้มั่นแล้วพาจูงขึ้นไปจนถึงชั้นบน
อิทธิฤทธิ์จูงชนมนเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้า อิทธิฤทธิ์จูงชนมนออกมาในชุดเดรสใหม่ อิทธิฤทธิ์พาชนมนเดินเข้าร้านเสื้ออีกสองสามร้าน อิทธิฤทธิ์พาชนมนเดินออกมาโดยในมือถือถุงเสื้อมากขึ้นเรื่อยๆ
อิทธิฤทธิ์จูงมือชนมนเข้าไปในร้านแว่น อิทธิฤทธิ์ถือถุงชอปปิ้งเดินออกมาก่อน ชนมนที่ไม่ใส่แว่นตาแตกๆแล้วเพราะใส่คอนแทคเลนส์เผยตาสวยใสปิ๊ง อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่ดูแปลกตาไปด้วยความถูกใจจนถอนสายตาไปไม่ได้
อิทธิฤทธิ์ถือถุงชอปปิ้ง 2-3 ใบจูงมือชนมนเดินลิ่วๆมาที่ลานสวย ชนมนหยุดชะงักรั้งมืออิทธิฤทธิ์ไว้ก่อนจะมองที่มืออิทธิฤทธิ์
“ไม่ต้องจูง ชั้นมองเห็นแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ปล่อยมือชนมนอย่างเก้อๆ
“ก็..ก็ชั้นกลัวว่า เธอยังไม่คุ้นกับคอนแทคน่ะ” อิทธิฤทธิ์แก้ตัว
“ก็ยังไม่คุ้น แต่ตอนนี้เห็นทุกอย่างชัดแจ๋วเลย ชัดกว่าเดิมด้วยซ้ำ เออ..ค่าคอนแทคเนี่ย พรุ่งนี้ค่อยใช้คืนนะ” ชนมนบอก
“ไม่ต้อง ถ้าไม่ใช่เพราะชั้น เธอก็ไม่ต้องเจ็บตัว”
“แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ล่ะ”
“ก็ที่ชั้นทำกระโปรงเธอขาดไง ซื้อคืนให้”
ชนมนแอบดีใจ “ยังจำได้เหรอ”
“จำได้ ชั้นจำได้หมดแหละว่า ชั้นเคยทำเธอเจ็บตัวกี่ครั้ง แต่ชั้นจำไม่ได้ว่า ชั้นทำอะไรให้เธอโกรธ สองวันนี้เธอถึงได้เหวี่ยงใส่ชั้นนัก”
ชนมนปากแข็ง “ชั้นไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้เหวี่ยงด้วย”
ชนมนนึกถึงตอนที่อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเล่นสเก็ตบอร์ดกันอย่างใกล้ชิด
แล้วชนมนก็เก้อๆเขินๆทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้ว่าอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เห็นอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราใกล้ชิดกัน อิทธิฤทธิ์วิเคราะห์ต่ออย่างพยายามจับผิดชนมน
“ชั้นก็ตั้งใจเรียนแล้วนะ เรื่องรายงาน ก็ไม่น่าจะโกรธขนาดนั้น หรือว่าวันนั้นชั้นไม่ค่อยสนใจเธอ”
ชนมนหลุดโพล่งออกมา “อย่ามาสำคัญตัวเองผิด ชั้นอารมณ์ไม่ดี เพราะเธอท่องมาตรา 95 ไม่ได้ต่างหาก เธอกับมาย่าจะไปเล่นสนุกที่ไหน ชั้นไม่สนใจหรอก ไม่ใช่เรื่องของชั้น แต่วันหลังอย่าลากชั้นไปด้วย ไม่ชอบเป็นส่วนเกิน เข้าใจป่าว?”
อิทธิฤทธิ์ยิ้ม “โกรธเพราะเรื่องนี้จริงๆ ด้วย โอเค ทีหลังชั้นจะสนใจเธอมากกว่านี้นะ”
“ชั้นบอกว่า..ชั้นไม่ได้สนใจ”
อิทธิฤทธิ์ก้มลงจ้องหน้าชนมนโดยจ้องไปในลูกตาโตๆ และสวยใสของชนมน
“โกหกไม่เป็น ก็อย่าฝืน เหนื่อยเปล่าๆ” อิทธิฤทธิ์ล้อขำๆ “หวงชั้นเหรอ..หรือว่า..หึง..”
ชนมนจ้องอิทธิฤทธิ์อย่างทั้งโกรธทั้งอาย
“หยุด ไม่งั้นมีต่อย” ชนมนว่า
“กล้าก็ต่อยดิ ต่อยดิ”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ชนมน ชนมนหมั่นไส้จึงง้างหมัดจะต่อย อิทธิฤทธิ์จับหมัดชนมนไว้ทัน ชนมนนิ่งอึ้งแล้วค่อยๆลดมือลง อิทธิฤทธิ์มองไปในลูกตาของชนมนอย่างเต็มตานิ่งๆ ในบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ราวกับหยุดเวลาไว้
“ป้าแว่นถอดร่างแล้วก็...”
“...ก็อะไร” ชนมนถาม
“ก็....”
ชนมนหงุดหงิดขึ้นมา “ก็อะไร!”
“..ก็...น่ารักดีนะ”
ชนมนเก้อเขินที่สุดในชีวิต เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงและไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน อิทธิฤทธิ์ขยี้ผมชนมนอย่างขำๆ เหมือนเป็นรุ่นพี่แกล้งรุ่นน้องทั้งๆที่เขาเด็กกว่า
อิทธิฤทธิ์ชมต่อ “ยิ่งเขิน ยิ่งน่ารัก”
ชนมนทำแมนเพื่อแก้เขิน “เฮ้ย...อย่าเล่นหัว ชั้นแก่กว่านะ”
“แก่กว่าแล้วไง?”
อิทธิฤทธิ์ขยี้ผมชนมนแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินออกไป ชนมนยืนนิ่งอึ้งเพราะไปต่อไม่ถูก
เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวสดใสและเป็นประกายวิบวับ
ตี๋เล็กนั่งหงอกอดอาม้าอยู่ที่โซฟา ในขณะที่อาป๊ายืนด่าเขาฉอดๆ
“ไอ้ตี๋เล็ก มีวันไหนมั้ยที่ลื้อจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนกับเค้าบ้าง ไม่ซิ่งรถ ก็ไปต่อยตีกับคนอื่น ตกลงลื้ออยากเป็นนักเลงใช่มั้ย ซวยเกี้ย (ลูกเวร)”
“อาตี๋เล็กเป็นผู้ชาย มีเรื่องต่อยตีก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือลื้ออยากให้อีทำตัวเป็นตุ๊ดนั่งพับเพียบอยู่บ้าน หา”
ตี๋เล็กรีบเสริม “ใช่ๆ ผมไม่ใช่ตุ๊ดเนอะม้าเนอะ”
“อั๊วไม่ได้ให้ลื้อนั่งพับเพียบอยู่บ้าน แต่อยากให้ลื้อไปช่วยงานที่ปั๊ม”
“จะไปได้ไง ผมก็ต้องดูร้านของผมสิ”
“ไอ้ร้านขายท่อไอเสียน่ะนะ” อาป๊าว่า
ตี๋เล็กรีบบอก “ขายของแต่งมอไซด์ต่างหากล่ะ ป๊า”
“จะไปรู้เหรอ เห็นมีแต่คนไปเปลี่ยนท่อไอเสียที่ร้านลื้อ เสียงดังเบิ้ลๆทั้งวัน หนวกหูตายชัก ปิดร้านไปซะ แล้วมาช่วยงานที่ปั๊มแทน”
“ไม่เอานะ ป๊า!” ตี๋เล็กพูดกับอาม้า “ม้าช่วยด้วย ร้านผมกำลังไปได้สวยอยู่นะ”
“วันๆขายได้ที่ไหน เห็นมีแต่เพื่อนลื้อมาเอาของฟรี ไม่เห็นมีใครซื้อซักคน”
“ก็ลูกอีมีน้ำใจกับเพื่อนกับฝูง”
“เพื่อนเลวๆชวนกันไปซิ่งรถ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ คบไปทำไม ปิดเลยปิด เลิกกิจการ ไม่มีร้านให้มั่วสุม ก็ไม่ต้องไปมีเรื่องกับใครอีก”
“ที่ผมมีเรื่องวันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร้านผมเลยนะ ป๊า”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้โว้ย อั๊วหมดความอดทนกับลื้อแล้ว วันนี้มีเรื่องชกต่อย พรุ่งนี้จะมีเรื่องอะไรอีก ปิดร้านซะ เลิกคบเพื่อนเลวๆ เลิกขี่มอเตอร์ไซค์ เลิกๆๆ”
อาป๊าเดินปึงปังออกไป
ตี๋เล็กตกใจ “อาม้า ทำไงดีๆ ช่วยผมด้วย ผมไม่ปิดร้านนะ ม้า”
อาม้ารีบตามอาป๊าออกไป เสียงอาป๊าอาม้าทะเลาะกันดังลั่น
“ปิดร้านตี๋เล็กไม่ได้นะ เฮีย ลื้อจะทำร้ายจิตใจลูกไปถึงไหน อีเจ็บตัวมาแทนที่จะปลอบ กลับด่าว่าอี รู้เปล่าอีเสียใจแค่ไหน หา”
“เสียใจก็ดีกว่าเสียคนมากไปกว่านี้ ถ้ามันไม่ปิดร้าน ก็ไม่ต้องไปให้เงินมันใช้”
“อั๊วจะให้ มีอะไรหรือเปล่า ลูกของอั๊ว อั๊วเลี้ยงได้”
ตี๋เล็กฟังอาป๊าอาม้าทะเลาะกันแล้วยิ่งโมโหอิทธิฤทธิ์
“ไอ้อิท เพราะแกคนเดียว”
ตี๋เล็กแตะหน้าตัวเองที่ถูกอิทธิฤทธิ์ต่อยมาก็นึกโกรธพาลกับอิทธิฤทธิ์อย่างมาก
อิทธิฤทธิ์เดินนำชนมนมาที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ อิทธิฤทธิ์ขึ้นคร่อมรถมอเตอร์กำลังจะใส่หมวกกันน็อค เขาหันไปเห็นชนมนยืนทำหน้าเก้อเขินอยู่ ชนมนละล้าละลังไม่ขึ้นรถสักทีเพราะเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆกับอิทธิฤทธิ์ทำให้รู้สึกขัดเขิน
“รออะไร ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่ง”
ชนมนอึกอัก “ชั้น..ชั้นกลับเองได้”
“บอกไปส่ง ก็ไปส่งสิ”
อิทธิฤทธิ์เอื้อมมือจะไปดึงชนมนเข้ามาแต่ชนมนขยับหนีโดยอัตโนมัติ
“เป็นอะไรของเธอ ขึ้นรถ !”
อิทธิฤทธิ์ลงจากรถไปลากชนมนมาใกล้ๆ แล้วใส่หมวกกันน็อคให้
ชนมนรีบบอก “ไม่ต้อง”
อิทธิฤทธิ์ดึงดันใส่หมวกกันน็อคให้ชนมนแล้วติดสายรัดใต้คางให้ ชนมนยืนนิ่ง เธอมองหน้าอิทธิฤทธิ์แล้วหลบตาเพราะหัวใจเต้นตึกตัก ชนมนทำหน้าไม่ถูกที่ยืนอยู่ใกล้ชิดกับอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์มองชนมนด้วยความแปลกใจ
อิทธิฤทธิ์ขำแกมรำคาญ “เป็นอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน อย่าถามมาก”
ชนมนรีบเดินออกไปอย่างโกรธตัวเองที่มีอาการแปลกๆ อิทธิฤทธิ์ดึงตัวชนมนกลับมา
อิทธิฤทธิ์ขำ “จะไปไหน รถชั้นอยู่นี่”
อิทธิฤทธิ์ขึ้นคร่อมรถทอเตอร์ไซต์แล้วใส่หมวกกันน็อค ชนมนรีๆรอๆ แล้วหลับตาขึ้นซ้อนท้ายรถไป
ชนมนเกาะที่เบาะไว้แน่น อิทธิฤทธิ์เหลือบไปมองก่อนจะจับมือชนมนให้มาเกาะที่เอวของเขา ชนมนกระตุกกลับอย่างตกใจ อิทธิฤทธิ์ยึดมือชนมนไว้ให้เกาะที่เอวของตัวเอง ชนมนเกร็งตัวไม่ให้ตัวใกล้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ออกรถอย่างแรงทำให้ตัวชนมนเด้งไปข้างหน้าจนแก้มแนบหลังของอิทธิฤทธิ์ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์ก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ชนมนถือถุงเสื้อผ้าเดินเร็วเข้ามา อิทธิฤทธิ์เดินตามมาติดๆ
“นายจะตามมาทำไม กลับไปได้แล้ว ชั้นถึงบ้านแล้ว”
“ก็ชั้นอยากรู้จักบ้านเธอ บ้านนี้ถึงร้อยปียังเนี่ย ชั้นว่าบ้านไอ้เจ๋งโทรมแล้วนะ บ้านเธอโทรมยิ่งกว่า บ้านผุๆอย่างนี้ จามเบาๆก็พังแล้ว”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ตาขวาง อารมณ์โรแมนติคของเธอหายแว้บไปทันที อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง มีป้ายเมนูข้าวผัด
“บ้านเธอเป็นร้านข้าวผัดเหรอเนี่ย ไม่เห็นเคยบอกเลย”
“แล้วเคยถามมั้ยล่ะ” ชนมนย้อน
“งั้นก็ถามตอนนี้เลยล่ะกัน บ้านเธอมีใครบ้าง”
“จะรู้ไปทำไม” ชนมนถาม
เสียงชินพัฒน์ดังขึ้น “อย่าเล่นตัวมาก เจ๊”
ชินพัฒน์โผล่พรวดออกมาจากใต้โต๊ะ ในมือของเขาถือน่องไก่มาด้วยหลังจากที่มุดโต๊ะไปหยิบน่องไก่ที่หล่นมากิน
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ประจันหน้ากันอย่างจัง
อิทธิฤทธิ์ตกใจ “เฮ้ย!ไอ้เด็กเพี้ยน”
“อ้าว! พี่มอไซด์ ! มาได้ไง จีบกันต่อเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ชินพัฒน์ปัดฝุ่นที่ติดมากับน่องไก่พอเป็นพิธีแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ไอ้ชิน ! อย่ามาพูดบ้าๆ” ชนมนว่า
ชินพัฒน์สั่งสอน “พี่ชน..ถ้าผู้ชายอยากรู้จักบ้าน อยากรู้จักครอบครัวของผู้หญิงก็แสดงว่า อยากจีบแล้วล่ะ”
“อย่าบอกนะว่า ไอ้เด็กคนนี้เป็นน้องเธอ”
“ไม่เห็นจะต้องถามเลย หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ พี่อยากรู้อะไรอีก ถามผมได้เลย บ้านนี้ก็อยู่กันสามคน มีพ่อ มีพี่ชนแล้วก็ผม ว่าแต่พี่ชื่ออะไรเป็นใคร ไปรู้จักพี่ชนได้ยังไง พ่อมา จะได้เล่าถูก”
ชนมนรีบผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปทันที
“กลับไปได้แล้ว ไป”
“แล้วตกลงคนไหนตัวจริงล่ะเนี่ย พี่ตำรวจหรือพี่วินมอไซด์คนนี้” ชินพัฒน์ถาม
ชนมนรุนหลังให้อิทธิฤทธิ์ออกไปเร็วๆ แต่อิทธิฤทธิ์ยังเหลียวหน้ามาตอบ
“เฮ้ยๆ พี่ไม่ได้เป็นวินมอไซด์ พี่ชื่ออิท แล้ววันหลังมาใหม่” อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “เธอเคยมีตำรวจมาจีบด้วยเหรอ จ่าแก่ๆที่ไหนมาจีบล่ะ”
ชนมนไล่ “กลับไป๊ ไป”
ชนมนผลักอิทธิฤทธิ์อย่างเต็มแรงเพราะเริ่มมีอารมณ์ฉุน
ชนมนรุนหลังอิทธิฤทธิ์ให้เดินออกมานอกบ้าน
“เดินเร็วๆหน่อยได้มั้ย”
“พ่อหวงมากเลยเหรอ ถามจริง?”
“ทำไมพ่อชั้นจะหวงชั้นไม่ได้เหรอไง”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนขึ้นๆลงๆอย่างพิจารณา
“ถ้าตอนนี้ก็พอน่าหวงหน่อย แต่ถ้าเป็นป้าแว่นอย่างเมื่อก่อน ก็ไม่รู้ว่าพ่อเธอจะหวงเธอไปทำไม”
“ปากอย่างนี้ น่าจะปล่อยให้เจอพ่อ” ชนมนว่า
“พ่อเธอน่ากลัวนักเหรอ ฟังแล้วชักอยากเจอแล้วล่ะ” อิทธิฤทธิ์ว่า
อิทธิฤทธิ์แกล้งทำท่าว่าจะเดินกลับไป
“ถ้านายอยากเจ็บตัว ก็กลับเข้าไปเลย พ่อชั้นก็คงอยากเจอนายอยู่เหมือนกัน ชั้นไปติวนายทีไร เป็นได้เจ็บตัวกลับมาทุกที ดูสภาพวันนี้สิ...แต่ก็ดี! วันนี้พ่อจะได้เคลียร์กับนายซะเลย”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งเพราะเริ่มไม่ขำกับการแหย่ชนมนแล้ว
อิทธิฤทธิ์พูด “...เธอต้องมาเจ็บตัวเพราะชั้นอีกแล้ว ชั้นขอโทษนะ แล้วก็..ขอบคุณสำหรับตัวอย่างหัวข้อรายงานด้วย”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าอิทธิฤทธิ์จะเจอหัวข้อรายงานได้
ชนมนพูดเก้อๆ “หัวข้อรายงาน.. นายไปเจอได้ไง ที่จริงชั้นก็..ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก ก็แค่เซิร์ชหาทางเน็ต..ไม่กี่นาทีก็ได้แล้ว”
“ชั้นรู้ว่า เธอเหนื่อยกับชั้นมาเยอะแล้ว เธอตั้งใจมากที่จะติวให้ชั้นสอบผ่านให้ได้ ต่อไปชั้นก็จะตั้งใจเรียนกว่าเดิม ชั้นจะทำรายงานให้ได้เอ แล้วก็จะสอบผ่านให้ได้ด้วยตัวของชั้นเอง”
ชนมนยิ้มอย่างพอใจเพราะเริ่มรู้สึกภูมิใจในตัวอิทธิฤทธิ์แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักกึก อิทธิฤทธิ์หยิบแว่นอันเก่าเยินๆของชนมนขึ้นมาใส่
“รับรองชั้นจะไม่ให้ติวเตอร์ชนเสียชื่อ” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์ตะเบ๊ะให้ชนมนอย่างขึงขัง
“เฮ้ย แว่นชั้น”
ชนมนกระโดดจะแย่งแว่นคืนมาแต่อิทธิฤทธิ์เอนตัวหลบหลีกไม่ยอมให้ชนมนคว้าไปได้
อิทธิฤทธิ์หัวเราะ “ขอไม่ได้เหรอ เก่าเก็บอย่างนี้ ขอเก็บไว้เป็นเครื่องรางใส่ไปสอบนะ นะ”
“เอาคืนมา”
ชนมนพยายายามแย่งคืน อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้ทั้งสองมือไม่ให้แย่งแว่นคืนไปได้ ชนมนชะงักกึกก่อนจะกระชากมือตัวเองออกมา
“อยากได้ ก็เอาไป ขับรถดีๆล่ะ”
ชนมนก้มหน้าเดินงุดๆออกมา อิทธิฤทธิ์มองตามแล้วยิ้มขำๆ
“เป็นอะไรไปอีก” อิทธิฤทธิ์ถาม
อิทธิฤทธิ์ถอดแว่นของชนมนเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ชนมนเดินตรงหันหลังให้อิทธิฤทธิ์โดยไม่หันไปมองอีก
“ทำไมหัวใจเต้นแรงอีกแล้ว ไม่มีอะไรน่า ไม่มีอะไร ควบคุมสติหน่อยซิ ชนมน มีสติหน่อยๆ”
ชนมนเดินก้มหน้าพึมพำเรียกความเป็นตัวเองกลับคืนมา แล้วเธอก็เผลอเดินไปชนเข้าใครบางคนที่ยืนขวางอยู่หน้าร้าน ชนมนเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นชูชัยที่ยืนจ้องมาด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“พ่อ!!!”
“ไอ้หมอนั่น มันเป็นใคร?”
ชนมนยืนนิ่งอึ้งตอบอะไรไม่ถูก
ชนมนเทน้ำปลาพริกใส่ถุงเล็กๆ แล้วมัดด้วยหนังยางรวมกับกองถุงน้ำปลาพริก ชนมนก้มหน้าก้มตาทำงานไปโดยไม่กล้าสบตาชูชัยที่กำลังใช้มีดปอกหอมใหญ่พร้อมกับมองมา
“ตกลงไอ้หมอนั่นเป็นไอ้เด็กแว้นที่แกไปติวงั้นหรือ”
“จ้ะ พ่อ” ชนมนตอบสั้นๆ
ชินพัฒน์โผล่เข้ามานั่งข้างชูชัยแล้วหยิบมีดขึ้นมาช่วยปอกหอมใหญ่ในท่าเดียวกับชูชัย
“พี่อิทคนนี้นี่เอง ที่เป็นลูกนายตำรวจใหญ่ที่ยอมจ่ายเงินเป็นแสน ให้พี่ชนไปเป็นติวเตอร์ให้ แล้วตกลงพี่ชนไปปราบเด็กแว้น หรือโดนเด็กแว้นปราบมาเนี่ย”
“พูดอย่างงี้ หมายความว่าไง พูดให้มันดีๆนะ”
“ก็วันนี้พี่ชนดูหงอๆยังไงไม่รู้ ดูไม่เป็นเจ๊ชนขาโหดคนเดิมเลย พี่เปลี่ยนไปจริงๆนะเนี่ย เกิดอะไรขึ้นอะ”
ชินพัฒน์มองชนมนอย่างค้นหา
“ไอ้นี่เองน่ะเหรอ ไอ้ลูกนายตำรวจคนดัง แล้วตกลงพ่อมันชื่ออะไร” ชูชัยถาม
“พ่ออิทก็ผู้การมือปราบที่ออกทีวีบ่อยๆไง พ่อ ชื่อผู้การ...”
ชินพัฒน์พูดเสียงดังเว่อร์ “รู้แล้ว ! พี่ชนไม่ได้ใส่แว่นนี่เอง”
ชูชัยหน่าย “เพิ่งเห็นเรอะ”
“ก็ผมมัวแต่ต้อนรับแฟนพี่ชน ก็เลยไม่ทันมอง พี่ชนไม่ใส่แว่นนี่ ดูสวยขึ้นเยอะนะ พ่อ แล้วนี่นึกยังไงถึงเปลี่ยนมาใส่คอนแทค อ๋อ..เพราะแฟนคนใหม่ที่พามาให้ดูตัววันนี้ใช่มั้ยล่ะ”
“เฮ้ย อิทไม่ใช่แฟนชั้น ทำไมแกต้องเหมาว่าผู้ชายทุกคนที่มาที่บ้านเป็นแฟนชั้นด้วย ชั้นกับอิทไม่ได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”
“แต่ที่พ่อเห็น ดูสนิทกันนะ ห่างๆผู้ชายคนนี้ไว้ พ่อเห็นแล้วไม่ถูกชะตา”
“ก็..ก็ห่างๆกันอยู่แล้ว เดี๋ยวพอติวจนเค้าสอบเสร็จ ก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ พ่อ ถ้าต้องมาซักกันวุ่นวายอย่างนี้ วันหลังจะไม่ให้ใครมาส่งแล้ว”
ชนมนตัดบทรีบยกตะกร้าถุงน้ำปลาพริกออกไปทันที ชินสะกิดชูชัยเบาๆ
“พ่อๆ ตะกี้พ่อถามอะไรพี่ชนนะ” ชินพัฒน์ถาม
“จำไม่ได้แล้ว ก็ดันมีไอ้อ้วนดำมาขัดจังหวะ” ชูชัยบอก
“อ้วนดำไหนหรือ พ่อ แถวนี้มีแต่ตี๋ขาวหล่อ ไหนๆไอ้อ้วนดำไหน”
ชูชัยเขกหัวชินพัฒน์เบาๆ เพื่อสั่งสอน
ตี๋เล็กทุบโต๊ะดังปังด้วยความเจ็บใจ
“ไอ้อิท ! เพราะแกคนเดียว”
บ๊วยสะดุ้งตกใจ มือบ๊วยที่กำลังเอื้อมมือไปจิ๊กเงินจากลิ้นชักรีบหดกลับมาทันที
“ลูกพี่โดนไอ้อิทซ้อมจนน่วมแล้ว ยังโดนอาป๊าด่ายับอีกด้วย ซวยจริงๆเลย” บ๊วยว่า
“เออ! ไม่ต้องย้ำ”
“แค้นนี้ยังไงก็ต้องชำระนะ ลูกพี่ เพราะลูกพี่คือ T-Rex ฆ่าได้ หยามไม่ได้”
“ถูกต้อง แล้วเราจะจัดการยังไงต่อ”
“เหมือนเดิม ลูกพี่ เราต้องทำให้ไอ้อิทมันสอบตก เราต้องหาทางไม่ให้ยัยป้าแว่นไปสอนพิเศษมันได้”
“เฮ้ย แต่ยัยนั่นมันโหดมาก สี่รุมหนึ่งยังทำอะไรมันไม่ได้เลย”
“งั้นเราก็เล่นงานครอบครัวมันแทนซิ ลูกพี่”
ตี๋เล็กชะงักคิดแล้วมองหน้าบ๊วยอย่างเห็นด้วย แล้วทั้งสองก็หัวเราะแบบตัวร้ายเสียงดังลั่น
เช้าวันใหม่ ตี๋เล็กกับบ๊วยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดตรงฝั่งตรงข้ามบ้านชนมน บ๊วยชี้ไปทางหน้าบ้านชนมนเพื่อให้ตี๋เล็กดู
“นี่แหละ บ้านของยัยป้าแว่น ...นั่นพ่อมัน แล้วนั่นก็น้องมัน”
ชูชัยกำลังผัดข้าวอยู่หน้าเตา ในขณะที่ชินพัฒนืกำลังเก็บจานตามโต๊ะอยู่
“ดีมาก รังแกเด็กและคนชราเนี่ย ขอให้บอกเหอะ ถนัด” ตี๋เล็กว่า
ตี๋เล็กพยักหน้ากับบ๊วยก่อนจะหยิบแว่นดำอันใหญ่ใส่แล้วเดินกร่างข้ามถนนไปที่ร้าน ตี๋เล็กกับบ๊วยเดินแบบท่านักเลงที่คิดเองว่าเท่มากๆ
ชูชัยตักข้าวผัดใส่จานแล้วจัดวางแตงกวากับผักชีอย่างประณีต ชินพัฒน์มารับจานข้าวผัดจากพ่อแล้วหยิบช้อนส้อมวางโครมลงไป ชูชัยได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะหันไปเห็นตี๋เล็กกับบ๊วยเดินกร่างเข้ามา
“เชิญนั่งครับ” ชูชัยพูด
“ไม่ต้องเชิญก็ต้องนั่งอยู่แล้ว จะให้ยืนกินรึไง” ตี๋เล็กว่า
ชูชัยชะงักมองว่าพวกตี๋เล็กเป็นใครเพราะดูทรงก็รู้ว่าเป็นนักเลงกระจอก ตี๋เล็กและบ๊วยไปที่โต๊ะหน้าร้านที่มีเด็กและผู้หญิงนั่งอยู่ บ๊วยถีบเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มไป
“ลุกเด๊ะ จะนั่งตรงนี้”
ผู้หญิงรีบจูงเด็กลุกขึ้นอย่างกลัวๆ
ผู้หญิงคนนั้นพูดกับชูชัย “ข้าวผัดไม่เอาแล้วนะ ลุง”
ผู้หญิงรีบจ้ำจูงเด็กออกไป ชินพัฒน์ถือจานข้าวผัดมาเสิร์ฟแต่ยังถือจานค้างไว้ ตี๋เล็กกับบ๊วยนั่งลงที่โต๊ะแทนผู้หญิงคนนั้น
“จะกินอะไร” ชินพัฒน์ถาม
“ข้าวผัดกุ้งจาน” ตี๋เล็กสั่ง
“ลูกพี่เราไม่ได้มากินข้าวผัด” บ๊วยบอก
ชินพัฒน์วางจานข้าวผัดลงบนโต๊ะทันที
“ข้าวผัดกุ้งเหรอ งั้นเอาจานนี้ไปเลย”
“เฮ้ย ได้ไงวะ เอาข้าวผัดเหลือๆจากคนอื่นมาให้”
“ข้าวผัดเหลือๆที่ไหน พ่อเพิ่งผัดเมื่อกี้เอง ก็พวกพี่ไล่ลูกค้าไป ลูกพี่ก็กินแทนแล้วกัน”
“เฮ้ย ไม่เอาโว้ย ต้องไปผัดมาใหม่” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กรีบบอก “เออใช่ ต้องไปผัดมาใหม่”
“ไปๆ ไปบอกพ่อแกให้ผัดมาใหม่” บ๊วยย้ำ
บ๊วยเอามือผลักหัวชินพัฒน์ ชินพัฒน์เอามือปัดออกอย่างแรง
“เฮ้ย ทำงี้กับลูกค้าได้ไงวะ” บ๊วยบอก
ชูชัยเดินมาดึงชินพัฒน์ออกไป
ชูชัยพูดนิ่งๆ “ขอโทษแทนเด็กด้วย ถ้าไม่พอใจ ไปกินร้านอื่นดีกว่า”
“ไล่เหรอ! ไม่ไปเว้ย อยากไล่ใช่มะ ต้องเจออย่างงี้”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันไปพยักหน้าให้กันแล้วเริ่มพังข้าวของ บ๊วยหยิบเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มลงพื้น ตี๋เล็กหยิบเก้าอี้มาบ้างแต่ยังมีท่าทางกล้าๆกลัวๆ บ๊วยพยักหน้าส่งเสริม ตี๋เล็กค่อยทุ่มเก้าอี้ลงกับพื้นอย่างออมแรง จากนั้นก็ล้มโต๊ะจนจานข้าวตกกระจาย
ชินพัฒน์ร้องห้าม “หยุดนะ หยุด”
ชินพัฒน์กระโดดกอดขึ้นขี่หลังตี๋เล็ก ตี๋เล็กเหวี่ยงชินพัฒน์ยังไงก็ไม่หลุด
“ไม่หยุดเว้ย ถ้าจะให้หยุด ไปบอกพี่สาวแกให้เลิกทำงานซะ”
บ๊วยเข้ามาดึงชินพัฒน์ออกไปแล้วเหวี่ยงชินพัฒน์ลงไปกับพื้น
“ไอ้อ้วนดำนี่ ต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว”
ตี๋เล็กทำท่าเหี้ยมพร้อมกับเงื้อมมือขู่จะเบิร์ดกะโหลก แต่ชูชัยจับมือตี๋เล็กไว้ด้วยมาดนิ่งๆ
ชูชัยพูดนิ่งๆ “พอได้แล้ว!”
ตี๋เล็กประสานสายตาชูชัยแล้วก็รู้สึกกลัวจึงหดมือกลับไป
“อย่าไปกลัว ลูกพี่ พังร้านมันเลย” บ๊วยบอก
บ๊วยยกเก้าอี้จะทุ่มใส่ตู้กระจกที่ใส่ผักต่างๆสำหรับทำข้าวผัด ทันใดนั้นธรรม์ในชุดตำรวจก็วิ่งเข้ามา
“หยุดนะ!”
ตี๋เล็กกับบ๊วยเห็นตำรวจก็ตกใจกลัว บ๊วยกลัวมากจึงวิ่งหนีหน้าตั้งไปก่อน
“ตำรวจ เผ่นเร็ว” บ๊วยว่า
“เฮ้ย รอด้วย” ตี๋เล็กวิ่งตาม
ตี๋เล็กรีบวิ่งตามไป ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนธรรม์ไม่ทันจะเห็นหน้าตี๋เล็กชัดๆ ตี๋เล็กวิ่งชนกับชนมนที่ถือถุงผักเข้ามาจนชนมนกระเด็นไปไม่ทันได้เห็นหน้าตี๋เล็ก
“เฮ้ย ! จะรีบไปไหน” ชนมนถาม
ชนมนหันมามองในร้านที่โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด
“เฮ้ย ! เกิดอะไรขึ้น”
ชนมนยืนมองสภาพในร้านด้วยความตกใจ
อ่านต่อตอนที่ 7