บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 11
ทิตาไม่ตอบตั้งท่าจะหนี แพรพลอยคว้าแขนดึงไว้ ทิตาสะบัด แล้วหันมาฟาดด้วยจระเข้ฟาดหางใส่
แพรพลอยเอี้ยวตัวหลบ สวนกลับด้วยศอกหลังฟันเข้าหน้าทิตาจนหงายเงิบ ทิตาเสียหลัก กระเด็นไปชนพัดลมระบายอากาศ เสื้อด้านหลังเข้าไปติดใบพัดถูกฉีกดังแคว่ก
ทิตาตกใจรีบวิ่งหนีไป
ฟากลูกน้อง 4 ลุกขึ้นเซซังหนีไป อิศร์วิ่งออกตามหา ลูกน้อง 4 คว้าสายเคเบิลหรือเชือกพันมือพันแขนตัวเองจนแน่นหนา แล้วหาจังหวะแล้วรัดคออิศร์
อิศร์แทบหายใจไม่ออก เกือบหมดลม แล้วรวบรวมลูกฮึด เงยหัวอย่างแรงเพื่อกระแทกหัวเข้าหน้าลูกน้อง 4 จนหน้าหงาย จมูกแตก เซไปทางด้านหลังใกล้ขอบตึก
ทิตาวิ่งมาจนสุดขอบตึกหนึ่ง มองเห็นตะขอเชือกที่โยนมาจากอีกมุมหนึ่ง แต่แพรพลอยโผล่มาดักหน้า
“เธอไม่มีทางหนีพ้นหรอก”
ทิตาก้าวถอยหลัง แล้วเห็นท่อแป๊ปพาดไว้ที่ปลายตา ถอยไปใกล้แล้วคว้าขึ้นมาเงื้อจะฟาดแพรพลอยรับไว้ เยื้อกันไปมา ทิตาดันท่อไปทางขอบตึกจะผลักแพรพลอยตกไป
แพรพลอยเอี้ยว มุนกลับมา แล้วออกแรงกระแทกใส่กลางอกทิตาจังๆ ทิตากระเด็นล้มลง แพรพลอยเงื้อท่อจะฟาด ทิตากลิ้งตัวหลบ แพรพลอยเห็นรอยขาดที่ด้านหลังเผยให้เห็นแผลเป็นที่หลังทิตาแว้บๆ
ทิตาดีดตัวเตะท่อแป๊บในมือแพรพลอยกระเด็นไป ทั้งสองเปลี่ยนมาบู๊กันตัวต่อตัว
แพรพลอยฉวยจังหวะกระชากทิตาด้านหลัง เสื้อฉีกขาดกว่าเดิม เห็นรอยเป็นแผลชัดขึ้นแล้วชะงัก
“เอ๊ะ แผลนี่”
ทิตาสะบัดหน้าหันมา คว้าแขนแพรพลอยจะทุ่ม แรพพลอยแก้ทาง จับขอบกางเกงทิตาแล้วเหวี่ยงหวือไป ร่างทิตากระแทกขอบปูน จุกแอ้ก ศอกเคล็ด เลือดออก ทำท่าเหมือนลุกไม่ขึ้น แต่ไปอยู่ใกล้ตรงตะขอเชือกพอดี
แพรพลอยขยับเข้าไป ทิตากระโดดเหนี่ยวเชือกแล้วคว้าที่จับ ไถลลงจากดาดฟ้า ข้ามตึกไปอีกแห่งอย่างรวดเร็ว
แพรพลอยจะถลาตามไปดูเพราะคิดว่าทิตาตกตึก แต่ได้ยินเสียงอิศร์ดังขึ้น
“จับมือฉันไว้”
แพรพลอยหันขวับ รีบวิ่งไปช่วยอิศร์
ลูกน้อง 4 ห้องต่องแต่งที่ขอบตึก มีอิศร์คว้ามือไว้ข้างเดียว ท่าทางยากลำบากเพราะน้ำหนักถ่วงมากขึ้นทุกที ตัวอิศร์ไถลออกไปเรื่อยๆ แพรพลอยมาถึง รีบดึงตัวอิศร์เอาไว้
“คุณอิศร์”
อิศร์บอกลูกน้อง 4 “จับมือฉันไว้”
ลูกน้อง 4 พยายามจะจับมืออิศร์ แต่เหงื่อเริ่มออกที่มือจนลื่นและคลายจากกัน ในที่สุดก็ไถลตกลงไป ร้องดังลั่น ต่อหน้าต่อตาอิศร์กับแพรพลอ
ทางด้านกรองทองทำความสะอาดบ้าน แล้วได้ยินเสียงไอศูรย์เอะอะโวยวายดังลั่น
“อะไรนะ ! แล้วทำไมไม่จัดการมันซะเลย”
กรองทองชะงัก หูผึ่ง สงสัยว่าเป็นเรื่องของอิศร์ขึ้นมาทันที
“เธอทำพลาดอีกแล้วนะ! แล้วของที่ฉันต้องการได้มาหรือเปล่า”
กรองทองแอบฟังนิ่ง อยากรู้ว่าไอศูรย์พูดถึงใคร แต่อริสราเดินเข้ามาด้านหลังเสียก่อน
“มาแอบฟังอะไรตรงนี้กรอง”
กรองทองสะดุ้ง ไอศูรย์หันขวับมาทันที แล้วเดินเข้ามาเห็นทั้งสอ
“คือ...กรองจะมาช่วยคุณผู้หญิงลงครัวน่ะค่ะ แต่เมื่อกี้ได้ยินคุณไอศูรย์พูดเหมือนใครเป็นอะไร กรองก็เลยอยากรู้ค่ะ” กรองทองจ้องไอศูรย์เป็นนัยๆ ว่าฉันรู้ทัน
อริสราฉงน “มีใครเป็นอะไรคะ”
ไอศูรย์อ้ำอึ้ง จ้องตากรองทองดุ
“ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น อย่ามาสู่รู้เรื่องเจ้านาย”
ไอศูรย์เดินหงุดหงิดออกไป
ที่สน.อิศร์ให้ปากคำกับตำรวจเสร็จแล้วเดินแยกมา เห็นอนุภัทรกำลังดูศพลูกน้อง 4 ที่คลุมผ้าไว้
“อิศร์ คุณแพร มาดูนี่สิครับ”
ทั้งสองเดินตามเข้ามาใกล้ที่ศพลูกน้อง 4 อนุภัทรเปิดผ้าคลุมให้ดูช่วงหัวไหล่
“ผมเจอสัญลักษณ์นี้อีกแล้ว”
แพรพลอยจ้องเพ่ง “รอยสัก”
อิศร์มองตะลึง หวนนึกถึงรอยสักของคนร้ายที่ท่าเรือในกระบี่
“ภัทร แกพาคุณแพรกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”
“อ้าว แกจะไปไหน”
อิศร์ไม่ตอบ ผลุนผลันออกไป
ส่วนที่บ้านมิสเตอร์ลีเวลาเดียวกันนั้น มิสเตอร์ลีสวมชุดคลุมอาบน้ำ นอนอาบแดดริมสระอย่างสบายอารมณ์ มีบอดี้การ์ด 2 คนคอยกางร่ม อีกคนรินเครื่องดื่มให้ ดูเป็นราชาในอาณาจักรของตัวเอง
บอดี้การ์ดอีกคนเดินตรงเข้ามากระซิบกับบอดี้การ์ดคนที่ถือร่ม บอดี้การ์ดถือร่มพยักหน้าแล้วแจ้งมิสเตอร์ลีอีกที
“มีแขกมาขอพบนายท่านครับ”
“ใคร”
“เขาบอกว่าชื่ออิศร์ เดชโชดม”
มิสเตอร์ลีทำหน้าแปลกใจ
มิสเตอร์เปลี่ยนชุดใหม่เป็นเรียบร้อยขึ้นเดินออกมา มีบอดื้การ์ดตามเป็นบริวาร ตรงมาหาอิศร์ที่รอที่ห้องรับแขก
“คุณอิศร์ ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ได้ล่ะครับ”
“อยากจะมาดูหน้าไอ้พวกเล่นสกปรกน่ะสิครับ”
บอดี้การ์ดขยับตัวทันที แต่มิสเตอร์ลียกมือห้าม ถามงงๆ
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“ก็พูดเรื่องที่คุณจ้างคนตามฆ่าผม พอไม่สำเร็จก็ส่งทีมโจรกรรมบุกไปที่บริษัทน่ะสิ”
มิสเตอร์ลีงง แล้วยิ้มหยัน “คุณอิศร์ดื่มมาหรือเปล่า” เขามองเสื้อผ้า “เดาจากเสื้อผ้าที่คุณใส่ น่าจะมาจากงานเลี้ยง ผมว่าคุณกลับบ้านไปดีกว่านะ ถ้าขับรถไม่ไหว ผมจะให้คนไปส่ง”
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะคืนสิ่งที่ขโมยผมมา”
มิสเตอร์ลีเสียงเริ่มเข้ม “ผมไม่ได้เอาอะไรของคุณไป”
“เนี่ยเหรอ นักธุรกิจใหญ่ แค่ยอมรับอย่างลูกผู้ชายก็ยังทำไม่ได้ คุณนี่มันเลวกว่าที่ผมคิด ทำตัวเป็นหมาลอบกัด”
มิสเตอร์ลีหน้านิ่งขึง พวกบอดี้การ์ดทนไม่ไหว ตรงเข้ามาคว้าแขนอิศร์
“คุณต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
“ปล่อย”
อิศร์สะบัด แล้วหันไปชกบอดี้การ์ดอย่างขาดสติ บอดี้การ์ดชกกลับ อิศร์พยายามสู้ แต่โดนรุม 3 เลยถูกเตะกอง มิสเตอร์ลีเห็นว่าสั่งสอนพอหอมปากหอมคอก็ร้องห้าม
“พอได้แล้ว”
ตำรวจพาอิศร์ออกจากห้องขังมาหาแพรพลอยและอนุภัทร ก่อนทนายแยกออกไปกับตำรวจทำเรื่องประกันตัว
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“นิดหน่อยครับ”
“แกไม่ควรทำอย่างนี้เลย ดีนะที่มิสเตอร์ลีไม่เอาเรื่องอะไรมาก บริวารเต็มบ้านขนาดนั้น เขามีสิทธิ์เอาเรื่องแกได้นะ”
“ฉันรู้ ขอโทษที่วู่วามไปหน่อย เลยยุ่งกันไปหมด แล้วนี่เรื่องที่บริษัทเรียบร้อยหรือยัง”
อนุภัทรบอก “ยังเก็บหลักฐานกันอยู่ แต่แกกลับไปพักผ่อนเถอะ ฉันก็ว่าจะกลับบ้านเหมือนกัน เหนื่อยแล้ว”
“ผู้กองกลับไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวแพรพาคุณอิศร์กลับเอง”
แพรพลอยพามิสเตอร์ลีออกมาที่หน้าโรงพัก นักข่าวที่สัมภาษณ์มิสเตอร์ลีอยู่ กรูกันเข้ามา
“คุณอิศร์ครับ คุณบุกรุกไปที่บ้านมิสเตอร์ลีเพื่อทำร้ายร่างกายจริงหรือเปล่า”
อีกคนชิงถาม “คุณทั้งสองคนมีปัญหาส่วนตัวอะไรกันครับ”
นักข่าวแย่งกันถามอิศร์เซ็งแซ่ มิสเตอร์ลีมองเย้ยๆ เดินเข้าไปเผชิญหน้า
“ไม่มีปัญหาอะไรกันทั้งนั้นแหละครับ คุณอิศร์คงจะดื่มมากเกินไปเลยครองสติไม่อยู่ ผมเองก็ไม่ได้อยากเอาเรื่องเอาราวอะไร แต่ต้องป้องกันตัวเองตามกฎหมาย”
อิศร์จ้องมิสเตอร์ลีอย่างโกรธๆ นักข่าวหันมาซักไซ้อีก แต่แพรพลอยรีบพาตัวออกมา อิศร์ยั๊วหันไปมองทางมิสเตอร์ลี ขณะที่แพรพลอยพาออกมา
“คุณได้ยินใช่ไหม มันจงใจยั่วโมโหผม”
“แต่คุณไม่จำเป็นต้องเต้นตามเขา จำที่คุณเคยเตือนฉันได้ไหม ใช้สติเยอะๆ สิคะ”
“แต่มัน...”
“คุณอิศร์ อย่าใจร้อน รู้ไหมว่าแค่นี้คุณก็เสียหายมากแล้วนะคะ ถ้าคุณไม่ระงับอารมณ์มันก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทคุณเองนะ”
อิศร์นิ่งไปอย่างคิดได้
คืนนั้นอิศร์กับแพรพลอยกำลังจะเข้าบ้าน อริสรากับเรณูรีบมา
“อิศร์คะ อริสเห็นข่าวอิศร์ในทีวี เกิดอะไรขึ้น”
“มีเรื่องนิดหน่อยครับ”
“ในทีวีบอกว่าบริษัทของอิศร์มีคนตายด้วย อริสตกใจมากเลย อิศร์ไม่เป็นไรนะคะ”
“ผมปกติดีครับ เกือบไปเหมือนกัน แต่คุณแพรช่วยไว้”
อริสราปรายตามองแพรพลอยแว่บหนึ่งอย่างขัดใจ ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยว
“ฉันจะไปดูอาหารค่ำให้นะคะ”
“อ้าว คุณ...แพร”
อิศร์อ้าปากจะรั้งไว้ แต่แพรพลอยเดินลิ่วไปอริสราเข้ามาจับเนื้อตัวอิศร์ดูบาดแผล ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย โดยไม่รู้ว่าอีกมุมหนึ่งไกลออกไป ไอศูรย์มองอยู่ หงุดหงิดที่อิศร์ยังไม่ตาย แถมเมียยังไปคลอเคลีย
กรองทองดูข่าวในทีวี เห็นข่าวบริษัทเดชโชดมสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องมีคนตาย เสียงไอศูรย์เอะอะเข้ามา
“สุนทร! ไอ้สุนทร! ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนวะ”
ไอศูรย์เดินเข้ามา พอเห็นกรองทองก็ชะงัก กรองทองวางหน้าเฉย
“พ่อไม่อยู่ค่ะ”
“ไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ”
กรองทองหันหลังเดินหนีไม่อยากยุ่ง ไอศูรย์อารมณ์เสียอยู่ เลยพาล
“กรองทอง! มันชักจะมากไปแล้วนะ เธอเป็นอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้กล้ากระด้างกระเดื่องกับฉัน”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่กรองไม่อยากอยู่ใกล้คุณ”
ไอศูรย์อึ้ง กรองทองใส่ต่ออย่างเหลืออด
“เพราะคุณเป็นคนเลว คนบาป”
ไอศูรย์ชะงักกึก “ว่าไงนะ”
“กรองรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว คุณคือคนอยู่เบื้องหลังเรื่องที่คุณอิศร์ถูกปองร้าย เหตุการณ์วันนี้ก็คงเป็นฝีมือคุณด้วย”
ไอศูรย์ตกตะลึง “กรองทอง”
“คุณทำร้ายคุณอิศร์ แย่งคนรักของเธอมายังไม่พอ ยังคิดจะฆ่าเธอ คุณอิศร์โชคร้ายจริงๆ ที่มีญาติเป็นอสรพิษอย่างคุณ ฉันขอให้เวรกรรมมันตามคุณทันไวๆ คุณอิศร์จะได้อยู่รอดปลอดภัยซักที”
“ปากดีนักนะ”
ไอศูรย์เงื้อมือตบกรองทองจนหน้าหัน กรองทองช็อก หันกลับมาตบไอศูรย์กลับ
“แก”
“มือสกปรกของคุณก็ดีแต่ใช้ทำร้ายคนอื่น เพราะอย่างนี้ไง ถึงไม่มีใครรักคุณเลย แม้แต่เมียคุณ”
ฟากอิศร์นั่งเปิดคอมพ์อ่านข่าวอยู่ในห้องนอน แพรพลอยเคาะห้องแล้วเข้ามา
“ป้าดวงให้เอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ค่ะ เผื่อคุณจะใช้”
“ไม่ต้องหรอก หนังผมหนาซะแล้ว โดนเตะโดนต่อยมาเยอะ”
แพรพลอยนั่งลงข้างๆ เห็นอิศร์เปิดคอมพ์
“คุณน่าจะนอนได้แล้ว อ่านอะไร”
“คุณพูดถูก เรื่องที่ผมบุกรุกบ้านไอ้มิสเตอร์ลีวันนี้เป็นข่าวใหญ่จริงๆ พรุ่งนี้หุ้นตกแน่ๆ เฮ้อ ผมอาจจะโดนปลดจากบอร์ดได้เลยนะเนี่ย โทษฐานทำให้เสียชื่อเสียง”
“กลุ้มไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางแก้เถอะค่ะ นอนซะ”
แพรพลอยลุกไปดึงผ้าคลุมเตียงออกให้ อิศร์มองตามอย่างใช้ความคิด
“คุณแพร ถ้าผมต้องตกงาน กลายเป็นแค่นายอิศร์ธรรมดาๆ ที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีความรับผิดชอบอะไร คุณจะยังอยู่กับผมไหม”
แพรพลอยงง แล้วยิ้มให้ “ถ้าคุณจ้างฉัน ฉันก็อยู่ได้”
อิศร์ยิ้มแป้น เดินเข้ามาใกล้ชิด
“แล้วถ้าผมไม่จ้าง แต่อยากจะขอร้องให้คุณอยู่ด้วยใจล่ะ...คุณจะอยู่ไหม”
แพรพลอยสบตาเขานิ่งๆ อิศร์จ้องรอคำตอบ แพรพลอยเขิน
“คุณไม่มีวันตกงานง่ายๆ หรอก”
อิศร์บ่น “เฉไฉจริ๊ง”
“นอนค่ะ เจอกันพรุ่งนี้เช้า”
แพรพลอยออกจากห้องไป อิศร์มองตาม แล้วเปิดลิ้กชักหยิบกล่องแหวนออกมา มันเป็นแหวนวงที่แพรพลอยลองใส่นั่นเอง
ส่วนไอศูรย์เดินรุกเข้าใส่กรองทอง
“เธอกล้ามากนะที่ตบหน้าฉัน”
“ฉันอาจจะทำยิ่งกว่านี้ก็ได้ ถ้าคุณยังไม่ลิกคิดร้ายกับคุณอิศร์”
ไอศูรย์โมโหมากขึ้นอีก “นี่เธอก็ไปต่อคิวเป็นแฟนคลับมันด้วยอีกคนสินะ ไม่ดูกำพืดตัวเอง คิดเหรอว่ามันจะชายตาแล เธอมันอยู่หางแถวโน่น”
“แค่คุณอิศร์ไม่รังเกียจความรู้สึกของฉัน ฉันก็พอใจแล้ว ฉันยอมเป็นแค่หางแถว ดีกว่าจะตะกายไปอยู่หัวแถวด้วยวิธีผิดๆ เหมือนที่คุณทำกับคุณอริส ดูสิว่าสุดท้ายคุณได้อะไร” กรองทองเหยียดยิ้ม “นอกจากความรังเกียจชิงชังของคุณอริส”
ไอศูรย์โกรธจัด “นังกรองทอง”
“ฉันไม่โทษคุณอริสเลยที่เกลียดคุณ เพราะฉันเองก็ขยะแขยงคุณเหมือนกัน”
“ขยะแขยงฉันงั้นเหรอ เธอกล้าพูดคำนี้กับฉันเหรอ”
ไอศูรย์คำรามคว้าแขนหล่อนบีบ กรองทองสะบัดหนีด้วยสัญชาตญาณ
“โอ๊ย ปล่อยฉันนะ”
“คนอย่างเธอมันต้องได้รับบทเรียน บทเรียนที่จะจำไปจนตาย”
ไอศูรย์กระชากลากถูกรองทองขึ้นบ้านไป กรองทองเจ็บหวีดร้องสุดเสียง
เช้าวันต่อมา อำพลนั่งกินอาหารเช้าเตรียมไปทำงาน เห็นไอศูรย์ใส่เสื้อตัวเก่ายับยู่ยี่ เดินเข้ามา
“อ้าว นี่แกเพิ่งกลับเข้าบ้านเหรอ ไปนอนที่ไหนมาล่ะ”
ไอศูรย์อ้อมแอ้มตอบ “แถวนี้แหละครับ”
“แล้วจะไปทำงานหรือเปล่า ฉันจะได้รอ”
“คุณพ่อไปก่อนเถอะครับ”
ไอศูรย์เดินก้มหน้าขึ้นบ้านไป อำพลมองตาม นึกแปลกใจในท่าทีของลูกชาย
กรองทองนั่งจับเจ่ากอดเข่าอยู่บนเตียง ร้องไห้สะอึกสะอื้น สภาพผมกระเซิง เครื่องนอนบนเตียงกระจายเกลื่อน กรองทองน้ำตาไหลเป็นสายไม่หยุด นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า เธอถูกไอศูรย์ขืนใจ
กรองทองทุบตีไอศูรย์ที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง
“ไอ้คนสารเลว ไอ้คนชั่ว แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง ฮือๆๆ”
“ฉันสงเคราะห์ให้ไง อยากยกระดับตัวเองเป็นเมียเจ้านายนักไม่ใช่หรือไง”
กรองทองทุบอีก “ไอ้บ้า! คอยดูนะ ฉันจะบอกคุณอริส”
ไอศูรย์เยาะหยันไม่แยแส “เชิญ! อริสไม่สนใจอยู่แล้วว่าฉันจะมีเมียอีกซักกี่คน พ่อแม่ฉันก็เหมือนกัน ไม่มีใครกล้าว่าอะไรฉันได้อยู่แล้ว หรือเธอจะไปฟ้องไอ้อิศร์ก็ได้นะว่าเป็นเมียฉันแล้ว ฉันไม่ห้าม”
กรองทองปิดหน้าร้องไห้โฮ แพ้ทุกทาง ไอศูรย์กระชากมือออก
“แต่ถ้าเธอคิดจะปากโป้งเรื่องที่เธอรู้มาจากพ่อของเธอล่ะก็ เตรียมตัวส่งพ่อเธอเข้าคุกได้เลย ถ้าฉันพังมันก็ต้องพังด้วย”
ไอศูรย์ลุกขึ้นแต่งตัว กรองทองก้มหน้าร้องไห้แทบใจจะขาด
กรองทองดึงความคิดตัวเองกลับมา ร้องไห้สะอื้นหนักขึ้น แล้วสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“กรอง! เป็นอะไรหรือเปล่า สายแล้วยังไม่ตื่นอีกเหรอ”
กรองทองได้สติ รีบหยุดร้อง ปาดน้ำตาแรงๆ สุนทรเคาะเรียกอีก
กรองทองรีบปรับสีหน้าเป็นปรกติ แล้วลุกไปเปิด แต่ยังสะอื้นเบาๆ
“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่าจ้ะ” กรองทองแก้ตัวแล้วนึกได้ว่าไม่เนียน เพราะเสียงอู้อี้ “เอ่อ กรองเป็นไข้หวัดน่ะพ่อ”
“อ้าว งั้นก็นอนพักซะ เดี๋ยวพ่อไปหายามาให้นะ”
กรองทองพยักหน้า แล้วงับประตู ก่อนจะทรุดลงร้องไห้ต่อเงียบๆ
ทางด้านอัมพาตระเวนนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างตากแดดเปรี้ยงๆ หาบ้านเพื่อทำมูลนิธิต่อ เวลานี้รถพามาจอดที่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง มีป้ายเขียนว่าให้เช่า อัมพาเดินไปกดกริ่ง สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเปิดให้
“สวัสดีจ้ะ ฉันจะมาดูบ้านน่ะจ้ะ สนใจอยากจะเช่า” อัมพาบอก
หญิงเจ้าของบ้านเปิดประตูเชิญอัมพาเข้าไป สักครู่หนึ่ง อัมพาเดินดูรอบๆ บริเวณบ้าน คุยกับเจ้าของบ้านไปด้วย
จากนั้นอัมพาแวะไปดูบ้านอีกหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านชี้ชวนให้ดูบริเวณต่างๆ อัมพายืนปาดเหงื่ออยู่หน้าบ้านอีกหลังที่ให้เช่า เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตูรับ
อัมพาเดินออกมาจากบ้านอีกหลัง หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว
อัมพาแหงนมองแดดเปรี้ยงเหนือหัว แล้วจะข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน แต่พอก้าวลงถนนไปได้ไม่กี่ก้าวก็หน้ามืดเป็นลมหมดสติไป
ต่อจากตอนที่แล้ว
โชคดีที่มีคนรู้จักไปเจออัมพาเข้า และโทร.ตามแพรพลอย โดยในเวลาต่อมาแพรพลอยประคองอัมพากินยาที่กรณ์เอามาให้
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกแพร พอเจอแดดร้อนก็เลยหน้ามืดเฉยๆ”
“ดีนะคะที่มีคนรู้จักผ่านไปเจอ ถึงได้รีบโทร.บอกแพร แม่ไปทำอะไรที่นั่นคะ ทำไมไม่ชวนกรณ์ไปด้วย”
แพรพลอยหันไปมองกรณ์เป็นเชิงถาม กรณ์อึกอัก อัมพาส่งสายตาปรามกรณ์ไม่ให้พูดเรื่องโดนไล่ที่ แล้วชิงตอบก่อน
“แม่แวะไปหาเพื่อนครูน่ะจ้ะ เพื่อนเก่า”
อัมพายิ้มอ่อนๆ กลบเกลื่อนไม่ให้แพรพลอยสงสัย
แพรพลอยออกมาคุยกับกรณ์นอกบ้าน มองดูเด็กๆ วิ่งเล่น ทำกิจกรรมต่างๆ
“แพรลาคุณอิศร์มาครึ่งวัน ตั้งใจว่าจะอยู่กับแม่”
“แม่อ่อนแอลงตามวัยน่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” กรณ์ปลอบ
“แม่คงจะเหนื่อยเต็มที บางทีแพรก็อยากให้แม่หยุด”
กรณ์เหม่อมองเด็กๆ รำพึงเศร้าๆ “ก็อาจจะต้องหยุดเร็วๆ นี้”
“อะไรนะ กรณ์หมายความว่าไง”
กรณ์รู้สึกตัว ยิ้มเจื่อนๆ ท่าทีอึกอักรีบแก้ตัว
“หมายถึง...ถ้าบ้านเราแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้าได้ แม่ก็คงได้พัก แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้อยู่เฉยๆ แม่ก็คงออกไปตระเวนรับเด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือมาดูแลอยู่ดี”
“นั่นสินะ แม่มักจะเป็นห่วงเด็กที่มีปัญหาเสมอ กรณ์จำกระต่ายได้ไหม”
“กระต่าย” กรณ์นึกแล้วพยักหน้า “จำได้ เขาถูกป้าทำร้าย แม่รับมาอยู่กับพวกเราได้ไม่นาน เขาก็หนีออกไป ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง
“แพรจำได้ว่ากระต่ายมีแผลเป็นที่หลัง”
แพรพลอยเอ่ยขึ้น พลางหวนนึกถึงตอนที่เห็นแผลเป็นทิตาแว้บๆ
“ใช่ แม่บอกว่าเป็นรอยถูกจี้ด้วยเหล็กเผาไฟ”
“กรณ์พอจะหารูปได้หรือเปล่า”
“จะเอาไปทำไม”
“แพรคิดว่าแพรเจอเขา”
กรณ์อึ้ง
ส่วนอิศร์อยู่ในห้องควบคุมกับผู้จัดการและตำรวจ โดยให้ตำรวจดูภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงที่ทิตาเข้ามาในตึกแล้วยิงกล้องทิ้งหมด จบที่ภาพนิ่งของทิตากับพวกที่ดูเลือนราง ไม่ค่อยชัด
อิศร์บอกตำรวจ “กล้องเสียหายหมดทุกตัวเลยครับ เราจับภาพได้แค่ช่วงที่คนร้ายเขามาในตึกทางชั้นดาดฟ้า”
“ยังไงผมคงต้องขอเทปไปตรวจสอบ เผื่อจะวิเคราะห์รูปพรรณคนร้ายได้”
“ยินดีครับ” อิศร์บอกผู้จัดการ “คุณจัดการให้ด้วยนะ”
ผู้จัดการรับคำแล้วลงมือก๊อปปี้ไฟล์ให้ตำรวจ อิศร์พาตำรวจออกไป
อิศร์ออกมาคุยข้างนอกห้อง ตำรวจเอ่ยขึ้น
“มีอีกเรื่องนึงที่ผมต้องแจ้งคุณอิศร์ ในที่เกิดเหตุบนดาดฟ้า ผมพบบัตรประจำตัวพนักงานตกอยู่ครับ คาดว่าเป็นของคนร้าย”
อิศร์ฉงน “จริงเหรอครับ ใคร”
ตำรวจไม่ตอบ เพราะเกรงใจ รู้ว่าธำรงเป็นญาติ เลยหยิบออกมาให้ดู นามบัตรใส่ในซองพลาสติกใส
อิศร์พลิกหน้าบัตร เห็นรูปธำรง “พี่ธำรง”
ต่อมาอำพลพลิกดูรูปบัตรของธำรงในซองพลาสติกใส แล้วส่งให้ไอศูรย์ โดยมีทุกคนคุยกับตำรวจอยู่กันพร้อมหน้า ในห้องรับแขกบ้านอำนวย ยกเว้นธำรง
“ตั้งแต่ธำรงถูกพักงานไป ก็ไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรในบริษัทอีก แต่บัตรพนักงานของเขายังสามารถใช้รูดผ่านขึ้นมาบนชั้นผู้บริหารได้ครับ” ไอศูรย์ว่า
“แสดงว่าบัตรอาจจะถูกคนร้ายขโมยไป” อิศร์บอก
“ฮึ ขโมยหรือว่าขายให้คนอื่นเอาไปใช้กันแน่”
อำนวยฉุน “แกหมายความว่ายังไงไอศูรย์”
ไอศูรย์ยิ้มเยาะ “คุณอาคงไม่รู้ว่าลูกชายของคุณอา กำลังติดการพนันงอมแงมใช่ไหมครับ ผมรู้แล้วก็มีหลักฐานด้วย ต้องขอบคุณยายริณที่ช่วยเป็นหูเป็นตา”
เรณูตกใจ “อะไรกันน่ะริณ ลูกไปเอามาจากไหน”
“ริณเห็นพี่ธำรงจะขโมยของเก่าคุณปู่ในบ้านพี่อิศร์ไปขายค่ะ พี่ไอศูรย์เขาก็เลยสืบจนรู้ว่าพี่ธำรงไปเล่นที่บ่อนไหน ถ้าคุณอาไม่เชื่อจะตามไปดูก็ได้ ตอนนี้มันก็คงหมกตัวอยู่ที่นั่น”
อำนวยหน้าเสีย เพราะไม่รู้มาก่อน แต่ก็เชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะรู้นิสัยธำรงดี
“แล้วเรื่องนี้มันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องเมื่อวานล่ะครับ” อิศร์งง
“ธำรงมันอาจจะขายบัตรนี้มิสเตอร์ลี เพื่อเปิดช่องให้เข้าโจรกรรมบริษัทของเรา คิดดูสิว่าโรเจอร์ ลีจะได้ประโยชน์แค่ไหน ถ้าขโมยข้อมูลเราไปได้” ไอศูรย์ชี้ช่อง
ธำรงเดินเข้าบ้านมา ชะงักที่เห็นรองเท้าถอดเต็มหน้าประตูบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องรับแขก
ทุกคนนั่งเครียดกับสิ่งที่ไอศูรย์พูด โดยเฉพาะอำนวย
“ก็จริงนะครับ เพราะธำรงก็เคยทำแบบนี้มาแล้วครั้งนึง ตอนที่ไปฮั้วประมูลกับเสี่ยทรงยศ” อำพลเสริม
ไอศูรย์คราวนี้มันอาจจะทำเพราะแค้นใจที่ตัวเองโดนลงโทษ ก็เลย...”
ไอศูรย์พูดไม่จบ ธำรงก็ผลุนผลันเข้ามา
“พูดอะไรของแกไอศูรย์ แกจะใส่ความอะไรฉัน”
ทุกคนลุกขึ้นอย่างตกใจ ไอศูรย์หัวเราะอย่างใจเย็น
“คุณตำรวจสอบสวนเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าธำรงมันร่วมมือกับมิสเตอร์ลีจริงหรือเปล่า”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันไม่รู้เรื่อง”
อำนวยหยิบซองบัตรไปชูใส่หน้าธำรง
“นี่มันของๆ แกใช่ไหม มันไปอยู่ในมือคนร้ายที่ปล้นบริษัทเราได้ยังไง แกบอกฉันมาซิ”
ธำรงเห็นบัตรตัวเองก็อึ้งๆ “ผมไม่รู้...ไม่เกี่ยวกับผมนะ” แล้วมองกราดไปทางคนอื่น “พวกแกใส่ร้ายฉันใช่ไหม ไอ้อิศร์ ไอ้ไอศูรย์ ไอ้...”
ธำรงถลันเข้าไปจะเล่นงานอิศร์กับไอศูรย์ แต่ตำรวจอีกสองคนช่วยกันดึงตัวไว้
“ขอเชิญไปให้ปากคำที่โรงพักดีกว่าครับคุณธำรง”
“เฮ้ย ปล่อย ฉันไม่ไปไป”
ธำรงดิ้นสะบัด แต่ตำรวจยึดแขนไว้แน่น
ธำรงเอะอะโวยวายลั่น พร้อมกับดิ้นรนขัดขืน ขณะถูกตำรวจคุมตัวออกมาหน้าบ้าน เรียกหาอำนวยที่ตามออกมาที่รถ
อิศร์ยืนมองอยู่ไกลๆ ด้วยความสลดหดหู่ใจ ป้าดวงเดินเข้ามาจับแขนอย่างเป็นห่วง
“คุณอิศร์”
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมพี่ธำรงถึงความผิดซ้ำอีก ทำไมถึงทำร้ายครอบครัวเดียวกันได้”
“เพราะความโลภไงคะ” ป้าดวงบอก
“แต่ผมก็ให้ทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว มันยังไม่มากพออีกเหรอครับ”
“ในหัวใจของคนโลภไม่มีคำว่าพอหรอกค่ะ ต่อให้คุณอิศร์ยกทุกอย่างให้เขาจนหมดตัว เขาก็จะเรียกร้องเอาอีก เพราะเคยตัวว่าได้อะไรมาง่ายๆ คนแบบนี้ต้องให้คนอื่นหยุดเขา เพราะเขาหยุดตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ”
อิศร์มองธำรงที่นั่งรถตำรวจออกไปอย่างเศร้าสลด
ส่วนไอศูรย์กับอำพลคุยกันอย่างสะใจ
“แกก็แน่เหมือนกันนี่ไอศูรย์ ทำให้ไอ้ธำรงมันเป็นแพะไปพร้อมกับมิสเตอร์ลี”
“งานนี้ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสามตัว ต่อไปคุณพ่อก็คอยดูความพินาศของไอ้อิศร์แล้วกันครับ”
อีกฟากหนึ่ง ขณะที่มิสเตอร์ลีนั่งทำงานอยู่ เลขาเคาะประตูแล้วเข้ามา
“มีอะไร”
“มีเมล์แปลกๆ ส่งมาครับ แจ้งว่ามาจากบริษัทเดชโชดมกรุ๊ป”
มิสเตอร์ลีฉงน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา”
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เห็นมีข้อมูลที่ท่านอยากจะอยากทราบ”
เลขาวางแฟ้มที่ปริ้นท์อีเมล์ลงบนโต๊ะ มิสเตอร์ลีหยิบมาเปิดอ่าน ขมวดคิ้วแล้วค่อยคลายลง ราวกับว่าสาสมใจกับอะไรบางอย่าง
แพรพลอยช่วยเด็กๆ ตากผ้าอยู่ที่ลาน เปี๊ยกโผล่หน้ามาจากด้านบน แกล้งปาจรวดลงมา แล้วแอบ
“เปี๊ยกปาอะไรลงมา อย่าซนนะ”
“ตีเลยค่ะพี่แพร”
เปี๊ยกโผล่หน้าออกมาปาจรวดกระดาษ
“เดี๋ยวเถอะเปี๊ยก”
เปี๊ยกสะดุ้ง “ขอโทษคร้าบ ไม่ปาแล้วครับ”
เปี๊ยกผลุบหายไป แพรพลอยส่ายหน้า ก้มลงเก็บเศษกระดาษจรวดที่เกลื่อนกลาด แล้วเจออันหนึ่งเหมือนไม่ใช่กระดาษเปล่า เลยหยิบมาคลี่ดู แพรพลอยพบว่าเป็นจดหมายไล่ที่ สีหน้าแพรพลอยเปลี่ยนไปทันที เงยหน้าเรียกเปี๊ยก
แพรพลอยเงยหน้าเรียก “เปี๊ยก! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เปี๊ยกค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจ๋อยๆ แพรพลอยมองจ้องเครียด ชูกระดาษขึ้น
“เปี๊ยกไปเจอกระดาษแผ่นนี้ที่ไหน”
ต่อมาไม่นาน กรณ์กับอัมพามองหน้าสบตากันท่าทางอึดอัดใจที่แพรพลอยรู้เรื่องแล้ว
“ใช่จ้ะ มิสเตอร์ลีอะไรเนี่ยเขาซื้อที่ดินของคุณนายเนื้อทอง เตรียมจะทำคอนโด เลยต้องไล่พวกเราออกไป”
“ทำไมไม่บอกแพรล่ะคะ เห็นแพรเป็นคนอื่นหรือไง”
กรณ์แย้ง “ไม่ใช่นะแพร เราแค่ไม่อยากให้แพรเดือดร้อนไปด้วย”
“มันเป็นหน้าที่ของแพรที่จะต้องเดือดร้อน ถ้าครอบครัวของแพรมีปัญหา”
อัมพาเสริม “แม่กลัวว่าถ้าแพรรู้ คุณก็ต้องรู้ แล้วคุณอิศร์ก็จะต้องมายุ่งเรื่องนี้ แม่เกรงใจ”
“แพรคงไม่รู้ว่าตอนที่แพรกับคุณอิศร์ไม่อยู่ มีคนที่บ้านนั้นมาต่อว่าแม่ หาว่าพวกเราเป็นกาฝากเกาะคุณอิศร์”
คำพูดกรณ์ทำเอาแพรพลอยอึ้ง สายตาอ่อนลง เข้าใจทั้งสองคนมากขึ้น
“นี่ใช่ไหมคะคือเหตุผลที่แม่ต้องออกไปตระเวนหาบ้านจนเป็นลม”
อัมพาน้ำตาคลอๆ “แม่ไม่มีทางอื่นนอกจากพยายามหาบ้านใหม่ให้เร็วที่สุด แต่การจะหาบ้านที่เลี้ยงเด็กยี่สิบคนได้ มันก็ยากเหลือเกิน”
แพรพลอยทอดสายตามองอัมพากับกรณ์อย่างเห็นใจ
“งั้นแพรจะไปคุยกับมิสเตอร์ลีค่ะ”
ฝ่ายวีนัดกับเพื่อนมานั่งสังสรรค์กินข้าวเมาท์มอย เพื่อนคนหนึ่งหยิบกล่องนาฬิกาออกมาโชว์
“นี่ๆ ฉันซื้อนาฬิกาให้แฟนในโอกาสครบรอบสองปี สลักชื่อไว้ใต้นี้ด้วยนะ”
“ฉันถักผ้าพันคอให้เขาย่ะ” เพื่อน 2 หยิบมาโชว์
เพื่อน 1 ว่า “เชย” แล้วหันไปหามายาวี “แล้วเธอล่ะเมย์ ได้ทำหน้าที่คู่หมั้นข้าวใหม่ปลามันยังจ๊ะ”
มายาวีงงๆ “ต้องทำด้วยเหรอ”
เพื่อน 2 บอก “อ้าว เป็นแฟนกันต้องเอาอกเอาใจกันบ้าง เดี๋ยวเขาก็เบื่อหรอก”
มายาวีมองเพื่อนทั้งสองอย่างงุนงงๆ
มายาวีเดินอยู่ในร้านหนังสือตรงมุมงานฝีมือ คำพูดของเพื่อนลอยมาในหู
“หมั้นกันแล้วก็ยิ่งต้องรักษาความสัมพันธ์ไว้ ลงทุนทำอะไรให้เขาบ้าง เขาจะได้ดีใจ”
มายาวีเหลือบมองไปที่ชั้นคู่มือทำอาหาร เจอหนังสือทำเบนโต๊ะเซ็ทน่ารักๆ หยิบมาดู แล้วยิ้ม
ขณะที่อนุภัทรนั่งทำงานง่วนอยู่ที่ห้องในสำนักงานสืบ ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เชิญครับ”
มายาวีในชุดกิโมโนเปิดประตูเข้ามา แต่งหน้าแบบเกอิชา โค้งคำนับ
“ไฮ้ คอนนิจิวะ”
อนุภัทรลุกขึ้น คำนับตอบ จำมายาวีไม่ได้ มายาวีเดินซอยเท้าเข้ามาใกล้
มายาวีพูดสั้นๆ แบบญี่ปุ่น “ฉัน เอา ข้าว กลางวัน มา ให้ ค่ะ”
อนุภัทรรับเบนโตะแล้วจ้องหน้ามายาวีแบบคุ้นๆ
“คุณเมย์”
มายาวีขำ หัวเราะพรวดออกมา “นึกว่าจะจำไม่ได้แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย จะแต่งแฟนซีไปงานที่ไหน”
“ไม่ได้ไปงานไหนหรอก แค่อยากสร้างบรรยากาศ ฉันเอาเบนโตะมาฝากคุณ ฝีมือฉันเองเลยนะ ชิมให้หน่อยสิ”
อนุภัทรมองดูเบนโต๊ะที่ปั้นเป็นการ์ตูน แต่งโน่นนี่ให้ดูน่ารัก
“ได้ เดี๋ยวจะลองชิมดู ขอผมทำงานก่อน”
อนุภัทรวางกล่องเบนโตะลงที่โต๊ะ แล้วกลับมานั่งทำงาน มายาวีตื๊อ
“ก็ทำไปกินไปสิคะ ฉันจะได้รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า”
“มือไม่ว่าง ผมต้องพิมพ์งาน”
อนุภัทรพิมพ์งานไป พูดไป ตาเพ่งมองที่คอมพ์ตลอดเวลา มายาวีนั่งลง
“งั้นฉันป้อน” มายาวีเปิดกล่องเอาตะเกียบคีบจะป้อน “อ้าปากสิคะ”
อนุภัทรหันมาเห็นมายาวีคีบข้าวปั้นมาตรงหน้า ทำหน้าน่ารักอาโนเนะ จึงหันไปกินแบบไม่สนใจอะไรมาก มายาวียิ้มดีใจ
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” มายาวีคีบให้อีก “เอาอีกนะ”
มายาวีคีบข้าวปั้นชิ้นใหญ่ จะป้อน แต่ดันทำหล่นลงบนเอกสารตรงหน้าอนุภัทร
“เฮ้ย... นี่มันเอกสารสำคัญถึงท่านอธิบดีนะ”
อนุภัทรตกใจ รีบหยิบมาปัด แต่เป็นรอยเปื้อนเศษข้าว
มายาวีหน้าเสีย “ฉ...ฉันขอโทษ”
“ผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวค่อยกิน คุณก็คะยั้นคะยออยู่ได้”
“ก็ฉันกลัวคุณจะหิว”
“หิวผมก็หากินเอง ที่จริงคุณไม่ต้องลำบากเลย”
มายาวีจ๋อย อุตส่าห์ทำมาเอาใจ ดันเจอคำพูดไม่มีเยื่อใย เลยประชดซะ
“ฉันแค่อยากทำหน้าที่คู่หมั้น เดี๋ยวคนจะหาว่าเราไม่เนียน”
“โธ่เอ๊ย ไม่มีใครสนใจหรอกคุณ หมั้นกันแล้วเรื่องมันก็จบแล้ว แล้วคุณจะไปคิดมากทำไม เราหมั้นกันก็แค่ในนามเท่านั้นแหละ”
อนุภัทรหันไปทำงานต่อ มายาวีน้ำตาซึม ความน้อยใจแล่นขึ้นมา ปิดกล่องเบนโตะทันที เสียงดัง
“ใช่สิ ฉันลืมไป เราแค่หมั้นกันในนาม”
มายาวีเก็บเบนโตะ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที อนุภัทรมองงงๆ
มายาวีเดินน้ำตาไหลออกมา เครื่องสำอางเลอะเทอะ จนคนมอง แต่ไม่แคร์ อนุภัทรวิ่งตามมาดักหน้า พอเห็นมายาวีร้องไห้ก็ยิ่งตกใจ
“คุณร้องไห้ทำไม”
มายาวีสะอื้นเบาๆ แต่ไม่ตอบ หันหน้าหนี
“หรือว่าร้องเพราะผมไม่กินข้าวกล่องนี่ ผมก็ให้ก็ได้ เดี๋ยวกินให้หมดเลย”
อนุภัทรจะเอาคืน มายาวีดึงกลับ
“ไม่ต้อง”
“ทำไมล่ะ ก็ผมจะกินให้คุณจะได้หยุดร้อง”
อนุภัทรกับมายาวีแย่งกัน กล่องเบนโตะหลุดมือหล่นกระจาย มายาวียิ่งเสียใจ โกรธกว่าเดิม
“คุณมันไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย”
มายาวีพูดใส่หน้าแล้ววิ่งหนีออกไป อนุภัทรงง ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด
สุนทรเช็ดตัวให้กรองทองที่นอนซม แล้วเอาผ้าหมาดๆ แปะหน้าผากให้
“กรองต้องดูแลตัวเองมากกว่านี้รู้ไหม พ่อมีลูกสาวคนเดียว ถ้ากรองเป็นอะไรขึ้นมา พ่อจะอยู่ยังไง”กรองทองมองพ่อน้ำตาคลอ ทั้งซึ้งและอัดอั้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ไม่กล้าพูด เลยขยับไปกอดแขนสุนทรซบ
“พ่อจ๋า...เรากลับต่างจังหวัดดีไหมจ๊ะ”
“นึกยังไงขึ้นมา”
“ก็...กรุงเทพฯมันวุ่นวาย กรองเบื่อ กรองไม่อยากอยู่ที่นี่ เรากลับไปทำไร่ไถนาที่บ้านเก่าของพ่อดีกว่า”
“กรองก็รู้ว่าพ่อทิ้งนายไปไม่ได้ นายมีบุญคุณท่วมหัวเราสองคน”
กรองทองเสียงเครือ รู้สึกผิดหวัง “เราจะต้องอยู่รับใช้เขาไปตลอดชีวิตเหรอจ๊ะพ่อ เราไม่ใช่ทาสนะ กรองเองก็มีความรู้ กรองเลี้ยงพ่อได้”
กรองทองน้ำตาซึม เสียใจที่ดึงพ่อไปจากบ้านนี้ไม่ได้ แต่สุนทรคิดว่ากรองทองอยากมีอิสระ อ่อนลง
“อดทนอีกนิดนะกรอง ให้นายได้ทุกอย่างที่ต้องการก่อน แล้วพ่อจะหาทางบอกกับนาย”
สุนทรลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู ทิลส่วนกรองทองร้องไห้อย่างอัดอั้น
แพรพลอยยืนอยู่กลางที่ดินว่างเปล่าผืนหนึ่ง ที่อิศร์เตรียมไว้ก่อสร้างโปรเจ็คท์ สายตาทอดยาวไปไกล สีหน้าแพรพลอยดูเครียด เป็นกังวล นึกถึงการเจรจากับมิสเตอร์ลีก่อนหน้านี้
มิสเตอร์ลีนั่งสบายอยู่ที่เก้าอี้ ทอดสายตามองแพรพลอยยิ้มๆ
“แปลกใจล่ะสิที่ผมให้คุณพบง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง” มิสเคอร์ลีหัวเราะพอใจ “เพราะผมรู้ว่าคุณมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร”
แพรพลอยงั้นคุณก็คงเข้าใจความจำเป็นของดิฉัน
“เข้าใจ แล้วผมก็อาจจะพอยืดหยุ่นให้ได้”
แพรพลอยยิ้มมีความหวัง กระตือรือร้นขึ้นทันที
“จริงเหรอคะ”
“จริง แต่ก็ต้องมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน...ข้อเดียวเท่านั้น”
ความคิดของแพรพลอยสะดุดลงเมื่อเสียงอิศร์ดังขึ้น
“คุณแพร”
แพรพลอยหันไปมอง เห็นอิศร์เดินเข้ามาหา
“คุณนัดให้ฉันมาเจอที่นี่ทำไมเหรอคะ”
“ผมขี้เกียจอยู่บ้าน ก็เลยแวะมาดูที่ ที่นี่แหละที่ผมจะใช้สร้างกรีนซิตี้ของเรา”
“ของเราเลยเหรอคะ”
“ใช่ ของเราทั้งสองคน” อิศร์จับมือแพรพลอยมากุม “เพราะแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งก็มาจากคุณ มาจากบ้านเก่าของคุณที่อยู่กลางสวนที่กระบี่”
แพรพลอยทำหน้าลำบากใจ เพราะยังคาราคาซังกับเรื่องที่คุยกับมิสเตอร์ลีอยู่
เสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง อิศร์หันไปมอง เห็นรถกระบะขายต้นไม้แล่นมาจอด
“มาพอดี”
อิศร์จูงมือแพรพลอยไปที่รถขายต้นไม้
คนขายต้นไม้ช่วยยกกระถางต้นไม้มาวาง เป็นต้นไม้ ขนาดไม่ใหญ่ ไม่เล็ก อิศร์จ่ายเงินค่าต้นไม้
“คุณจะเอาต้นไม้มาปลูก”
อิศร์ยิ้มรับ “ก่อนจะเป็นสีเขียวได้ทั้งเมือง ก็ต้องเริ่มจากต้นไม้ต้นแรกก่อน คุณว่างั้นไหม” เขามองไปรอบๆ “ตรงนี้ผมตั้งใจว่าจะปลูกบ้านของตัวเอง ไม่ต้องใหญ่โตเหมือนบ้านของคุณปู่ แต่ขอให้ร่มเย็น อบอุ่น จะได้อยู่กันอย่างมีความสุข”
อิศร์มองซึ้งๆ อย่างมีความหมาย แพรพลอยลำบากใจ พยายามฝืนยิ้มตอบ
“ถ้าคุณย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วบ้านหลังนั้นล่ะคะ”
“ผมอาจจะตัดปัญหายกให้ใครซักคน เผื่อจะทำให้พวกเขาเลิกทะเลาะกันได้ ก็เลยต้องรีบมาจองที่สร้างบ้านใหม่เอาไว้ก่อน มาช่วยผมปลูกต้นไม้นะคุณแพร พอถึงวันที่เปิดโครงการ ต้นไม้ของเราจะได้โตกว่าใคร”
อิศร์ยื่นเสียมเล็กๆ ให้แพรพลอย แล้วนั่งลงช่วยกันขุดหลุมลงต้นไม้
แพรพลอยมองอิศร์ที่ขุดหลุม มุ่งมั่น ด้วยความเศร้า แล้วแอบถาม
“แล้วถ้าถึงวันนั้น คุณเกิดเหม็นหน้าฉัน คุณจะไม่ตัดต้นไม้นี้ทิ้งเหรอคะ”
อิศร์หัวเราะก๊าก “เป็นไปไม่ได้ ผมจะเหม็นหน้าคุณได้ยังไง หน้าคุณเหม็นเหรอ ไหนขอดมซิ”
อิศร์ยื่นหน้าใส่แพรพลอย แพรพลอย เบี่ยงตัวหนี เอาเสียมที่เปื้อนดินป้ายหน้าอิศร์ แล้วหัวเราะ
อิศร์แต้มดินที่แก้มมาดม “ทีนี้ละ หน้าผมเหม็นเลย”
แพรพลอยหัวเราะ อิศร์มองๆ แล้วป้ายดินที่แก้มอีกที พุ่งเข้าป้ายใส่แพรพลอย
“คุณอิศร์”
“จะได้เหม็นด้วยกันไง”
แพรพลอยค้อนอิศร์ แล้วขุดดินต่อ ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นหน้ามอมกันทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา
เวลาผ่านไปสักระยะ แพรพลอยกับอิศร์ช่วยกันประคองต้นไม้ลงหลุม กลบดิน รดน้ำ
สุดท้ายสองคนนั่งมองต้นไม้ที่ปลูกอยู่บนพื้นดิน แบบชื่นใจ
“เสร็จไปแล้วหนึ่งต้น เหลืออีกกี่ร้อยต้นก็ไม่รู้ แต่ผมก็ดีใจนะที่ได้ลงมือทำอะไรที่มาจากสมองตัวเองจริงๆ ซักที ไม่ต้องให้ใครคอยชี้บอกให้ทำโน่นทำนี่”
“ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณ”
“ผมโชคดีที่มีคุณนะคุณแพร เพราะคุณทำให้ผมเป็นผมวันนี้ได้” อิศร์สบตาซึ้งๆ
แพรพลอยมองอิศร์อย่างซาบซึ้งใจ น้ำตาซึมเพราะกำลังชั่งใจกับบางอย่าง
“ถึงไม่มีฉันคุณก็มีวันนี้ได้ จำไว้นะคะ”
อิศร์สะดุดหู “คุณพูดแปลกๆ นะวันนี้ แล้วก็ดูเศร้าๆ ด้วย มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันก็พูดไปเรื่อยน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
แพรพลอยฝืนยิ้ม หลบสายตา
กลับถึงบ้านอิศร์แพรพลอยทรุดนั่งลงบนเตียง สายตาอ้างว้าง ใจลอย กลัดกลุ้ม นึกถึงเรื่องมิสเตอร์ลีอยู่
โดยตอนนั้นแพรพลอยช็อก มองดูมิสเตอร์ลีที่นั่งยิ้มสบายใจ
“อะไรนะคะ คุณว่าอะไรนะ”
“ผมบอกว่าเงื่อนไขข้อเดียวก็คือ คุณ-ต้อง-มา-ทำงาน-กับ-ผม”
มิสเตอร์ลีพูดจบก็ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มใจเย็น ขณะที่แพรพลอยยังไม่หายช็อก
“ทำไม”
“เพราะผมมั่นใจว่าตอนนี้บริษัทผมมีทุกอย่างที่เหนือกว่าเดชโชดมกรุ๊ป ยกเว้นอย่างเดียว คือบอดี้การ์ดสาวมากฝีมือ ที่ช่วยให้คนอย่างอิศร์ เดชโชดม รอดตายมาหลายครั้ง ผมเองก็มีศัตรูไม่น้อย อยากจะได้คนเก่งๆ มาไว้ใกล้ตัว เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”
“แต่ดิฉัน...”
“ผมเข้าใจ คุณคงคาดไม่ถึงกับข้อเสนอนี้ ผมยินดีจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าที่คุณได้รับจากคุณอิศร์สองเท่า ลองคิดดูนะ ค่าจ้างแพงขึ้น แถมมูลนิธิของแม่คุณก็ยังอยู่ที่เดิม คุณไม่เสียอะไรเลย นอกจากต้องเสียคนชื่ออิศร์”
มิสเตอร์ลียิ้มเป็นต่อ
คิดแล้วแพรพลอยถอนใจยาวอย่างหนักหน่วง แล้วนึกไปถึงเรื่องมิสเตอร์ลีที่ได้ยินจากคนอื่น
ทั้งจากไอศูรย์กับอำพลช่วยกันเสี้ยมอิศร์เรื่องมิสเตอร์ลี ซึ่งแพรพลอยได้ยินด้วย
“ก็แกเป็นลูกชายอาอำนาจ แล้วใครๆ ในวงการธุรกิจก็รู้ว่าอาอำนาจคือคนที่บุกเบิกเดชโชดมกรุ๊ปมากับคุณปู่ พอทายาทอย่างแกจะมารับช่วงต่อ บริษัทเราก็พลอยได้รับความเชื่อถือ จนราคาหุ้นเราดีดตัวแซงหน้าบริษัทมันไปแล้ว”
“มิสเตอร์ลีถึงได้เริ่มให้ข่าวดิสเครดิตโรงแรมของเรา แล้วก็คงจะมีเล่ห์กลอื่นๆ ตามมาอีก ลุงไม่อยากจะใส่ความ แต่มันก็น่าคิด”
เหตุการณ์ตอนอนุภัทรชี้ให้ดูรอยสักที่ศพคนร้าย
“ใช่ครับ อักษรจีนแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ของแกงค์มาเฟียแกงค์หนึ่งของฮ่องกงซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลับๆ กับมิสเตอร์โรเจอร์ ลี เราพบรอยสักนี้ที่หัวไหล่ของคนร้ายทุกศพ”
สุดท้ายเป็นตอนที่แพรพลอยเห็นรอยสักเดียวกันจากคนร้ายที่ตกตึกตาย
แพรพลอยครุ่นคิด เริ่มเห็นช่องทางว่าการเข้าใกล้ตัวมิสเตอร์ลีจะได้อะไร
ตกตอนกลางคืน กรองทองกำลังเก็บจานใส่ตู้ ไอศูรย์เดินเข้ามาพอดี กรองทองตกใจทำจานแตกเพล้งสนั่น
“ไม่ต้องกลัวฉันขนาดนั้นก็ได้”
“ฉันไม่ได้กลัวค่ะ แต่รังเกียจ”
กรองทองก้มลงเก็บเศษจาน มือสั่นระริก ยังสะเทือนใจไม่หาย ไอศูรย์โมโห ตรงเข้าฉุดให้ลุกขึ้น
“เธอนี่มันท่าจะไม่เข็ดนะ หรือว่าจะยั่ว ติดใจแล้วใช่ไหม เพราะฉันกับไอ้อิศร์ก็ไม่ต่างกันหรอก”
“ต่างสิ เพราะคุณอิศร์เขาเหนือกว่าคุณเยอะ ฉันถึงได้รังเกียจคุณไง ปล่อยนะ”
ไอศูรย์โมโห จับตัวกรองทองเขย่า อริสราเดินเข้ามา
“กรอง...อ้าว มีอะไรกันเหรอคะ”
ไอศูรย์ตกใจ รีบผละออก ทำไม่รู้ไม่ชี้ กรองทองรีบก้มลงเก็บเศษแก้ว
“ผมกำลังด่ามันที่ซุ่มซ่ามทำของแตก มันน่าหักเงินเดือนนัก”
ไอศูรย์รีบเดินออกไป กรองทองก้มหน้างุดเก็บเศษจานตัวสั่นสะท้าน อริสราผิดสังเกต แต่ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร
เช้าวันนี้ อิศร์ยืนอยู่หน้าจอขนาดใหญ่ ในห้องประชุมบริษัท ด้านหลังของเขาเป็นภาพผังโครงการ
“ผมได้ยินว่าบริษัทลีเดเวลอปเมนท์เตรียมจะเปิดตัวโครงการในช่วงใกล้ๆ กับเราครับคุณอิศร์” ทีมงานถาม
“เราจะเลื่อนวันเปิดตัวโครงการให้เร็วขึ้น” อิศร์หันมาทางมายาวี “คุณเมย์ประสานเรื่องสถานที่ด้วย แล้วก็แจ้งนักข่าวว่าในงาน ผมจะมีเซอร์ไพรส์ใหญ่”
ทีมงานฉงน “อะไรเหรอครับ”
อิศร์ยิ้มมีเลศนัย “แล้วทุกคนจะได้รู้พร้อมกันวันนั้นครับ”
มายาวีเดินตามอิศร์เข้ามาในห้องทำงาน
“ตกลงเซอร์ไพรส์ใหญ่ของนายคืออะไร อิศร์”
“ก็บอกแล้วไงว่าทุกคนจะได้รู้วันนั้นเลย”
มายาวีโวย “แต่ฉันเป็นเลขานะยะ ฉันควรจะรู้ล่วงหน้า จะได้ช่วยจัดการให้มันเป็นเซอร์ไพรส์อลังการไง”
“ถ้าเธอจะช่วย ก็ติดต่อดีไซเนอร์เก่งๆ งานเร็วๆ ให้ฉันซักคนก็พอ”
มายาวีจดบันทึกตาม
เวลาเดียวกันแพรพลอยยืนอยู่กับกรณ์เห็นอัมพานั่งคุยเครียดกับเจ้าหน้าที่สองคน แต่งตัวดี
“ใครมาเหรอกรณ์”
“เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์น่ะ แม่โทร.ไปแจ้งเรื่องที่อาจจะต้องหยุดทำมูลนิธิ”
กรณ์กับแพรพลอยมองอย่างหนักใจ เปี๊ยกกับเด็กกลุ่มหนึ่งเดินออกมา ตาแดงๆ เสียงสั่นเครือ
“พวกเราจะไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ใช่ไหมคะพี่แพร พี่กรณ์ เขาจะพาพวกเราไปไหน เราไม่อยากไปเลย เราอยากอยู่ที่นี่กับแม่กับพี่ๆ”
“เปี๊ยกก็ไม่อยากไป” เปี๊ยกโผเข้าไปกอดแพรพลอยร้องไห้ “ให้เปี๊ยกอยู่กับพี่แพรนะ เปี๊ยกสัญญาว่าจะไม่ดื้อ จะไม่ซน อย่าไล่เปี๊ยกไปนะพี่แพร”
เปี๊ยกสะอื้นฮักๆ คนอื่นพากันร้องไห้ตาม เข้ามากอดแพรพลอยกับกรณ์ ร้องไห้ระงม
แพรพลอยกับกรณ์กอดปลอบเด็กๆ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
กลับถึงบ้านอิศร์ แพรพลอยถูกป้าดวงลากเข้ามาในห้องรับแขก ที่ดีไซเนอร์กับลูกน้องผู้ช่วยรออยู่
“มาแล้วค่าๆ คุณแพรมานี่เร้ว”
“อะไรกันคะป้า
“คุณอิศร์ เธอให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวตัดชุดให้คุณแพรสำหรับใส่งานเปิดตัวโครงการของบริษัทไงคะ”
“ทำไมต้องตัดล่ะคะ เปลืองเงินเปล่าๆ”
“งานนี้คุณอิศร์ยอมทุ่มค่ะ สั่งให้พี่เร่งงานด้วย เพราะอยากให้คุณน้องสวยที่สุดในงานค่ะ คุณน้องกางแขนนิดนึงค่ะ”
แพรพลอยทำตามงงๆ ลูกน้องเข้ามาวัดตัว ป้าดวงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
แพรพลอยกังวลหนัก เพราะเริ่มคิดแล้วว่ายังไงคงต้องรับข้อเสนอมิสเตอร์ลี
ขณะแพรพลอยยืนเหม่อลอยอยู่ เสียงอิศร์เรียกแว่วๆ แล้วดังขึ้น แพรพลอยสะดุ้งหันมา เห็นอิศร์ยืนสวมเป้าล่อรออยู่
“คุณแพร ทำไมไม่ชกล่ะครับ เหม่ออะไรอยู่”
แพรพลอยฝืนยิ้มให้ แล้วเริ่มชกใส่อิศร์ที่ยกเป้าล่อ คุยกันไปเรื่อยๆ
“คุณชอบชุดที่ผมให้ไหม”
“ก็สวยดีค่ะ”
“งั้นพอถึงวันงาน คุณต้องใส่นะ ห้ามแต่งชุดอื่นเป็นอันขาด เดี๋ยวเสียฤกษ์”
“ฤกษ์อะไรคะ”
อิศร์อึกอัก “ฤกษ์...ก็...ฤกษ์เปิดตัวโครงการไง ผมให้คุณพักงานหนึ่งวัน แต่งตัวสวยๆ ห้ามพกปืน เข้าใจไหมครับ”
แพรพลอยฝืนยิ้ม “ฉันจะพยายาม”
แพรพลอยต่อยตีเนือยๆ แล้วหมดอารมณ์ เพราะรู้ว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ที่งาน
“อ้าว เหนื่อยแล้วเหรอ อะไรกันคุณ ไม่ฟิตเลย”
แพรพลอยถอนใจ ปาดเหงื่อ “ใช่ ฉันไม่ค่อยฟิต แต่คุณต้องฟิตให้มากๆ เอามานี่ แลกกัน” แพรพลอยถอดนวมแลกกับเป้าซ้อม “คุณต้องอย่าทิ้งสิ่งที่ได้เรียนรู้ จะได้เอาไว้ใช้ป้องกันตัวเองได้”
“คร้าบ คุณครู”
แพรพลอยตั้งการ์ดให้อิศร์ชกใส่เป้า หลุดปากรำพึงออกมา
“เผื่อวันหนึ่งที่ฉันไม่อยู่...”
อิศร์ซักทันที “คุณจะไปไหน”
แพรพลอยอึกอักหน่อยๆ “ฉันก็พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ ชกมาสิคะ แรงๆ หน่อย คิดว่าฉันเป็นผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ที่คุณอยากต่อยให้ปากแตกสิ”
“งั้นผมจะคิดว่าคุณเป็นไอ้มิสเตอร์ลี ไม่เกรงใจล่ะนะ ย๊ากกก”
อิศร์รัวหมัดเข้าใส่ แพรพลอยยิ่งหน้าเจื่อนขณะยกการ์ดรับหมัด ทุกข์ใจที่ต้องหักหลังอิศร์
คืนนั้นมายาวียืนคุยกับทีมงาน เรื่องการจัดเตรียมสถานที่จัดงาน แล้วเหลือบไปเห็นอนุภัทรเดินเข้ามา
ทีมงานรับบรีฟแล้วแยกย้ายไปทำงานต่อ เหลือมายาวีเผชิญหน้ากับอนุภัทรตามลำพัง
มายาวีทักเสียงเย็นชา “คุณมาทำอะไรที่นี่”
“อิศร์วานให้ผมมาช่วยดูเรื่องรักษาความปลอดภัยในงาน”
“ก็ไปทำสิ”
มายาวีสะบัดบ๊อบใส่ แล้วเดินหนีออกจากห้อง
มายาวีเดินหน้าตูมออกมา อนุภัทรเดินตาม
“เดี๋ยวคุณเมย์ อะไรกัน นี่คุณยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ”
มายาวียังไม่หยุดเดิน อนุภัทรไปดักหน้า
“โอเคๆ ถ้าคุณยังเคืองเรื่องเบนโตะนั่นอยู่ งั้นวันนี้เราไปทานอาหารญี่ปุ่นกัน ผมเลี้ยง” อนุภัทรจับมือจูง
มายาวีสลัด “ไม่ คุณจะมาแคร์ที่ฉันโกรธทำไม ในเมื่อเราก็เป็นแค่คู่หมั้นในนาม”
“ไม่เอาน่า คุณอย่าโมโหหิวสิ ไปๆ ผมจะพาไปกินเบนโตะ”
มายาวีสะบัดสุดแรง “ปล่อยฉันนะ”
อนุภัทรยื้อยุดกับมายาวี นักข่าวออกมาจากงานเลี้ยงอีกงาน เห็นทั้งคู่เข้าก็รีบปรี่เข้ามา
นักข่าว 1 ทัก “อุ๊ย คุณมายาวี ลูกสาวท่านรัฐมนตรีบรรเลงใช่ไหมคะ แหม วันนี้ควงคู่หมั้นมาทำอะไรคะ
นักข่าว 2 “อย่าบอกนะคะว่าจะมาดูสถานที่จัดงานแต่งงาน”
มายาวียิ้มเจื่อนๆ จะปฏิเสธ แต่อนุภัทรโอบเอวหมับ ทำท่าใกล้ชิด
“ช...ใช่ครับ เรามาดูห้องบอลรูมของโรงแรม กำลังเลือกดูหลายๆ ที่น่ะครับ”
นักข่าวรีบจดบันทึกอย่างสนใจ
นักข่าว 1 ถาม “แสดงว่าใกล้จะมีข่าวดีแล้ว”
นักข่าว 2 ซัก “แบบนี้ที่เขาซุบซิบว่าคุณสองคนหมั้นกันบังหน้าก็ไม่เป็นความจริงสิคะ”
“โอ๊ะ ไม่จริงครับ ไม่จริง เรารักกันมาก ยังไงเราก็จะแต่งงานกันปีหน้าแน่น จริงไหมจ๊ะที่รัก”
อนุภัทรกอดมายาวีแน่นทำตาหวาน มายาวีทำตาเขียวใส่
“งั้นขอรูปหวานๆ ไปแก้ข่าวหน่อยค่า” นักข่าว 1 ขอ
อนุภัทรโน้มตัวมาใกล้ชิดมายาวี ก้มลงเหมือนจะหอม แต่แอบกระซิบข้างหู มายาวีถลึงตาใส่
“ดีๆ หน่อยสิคุณ เดี๋ยวเขาก็ยิ่งเชื่อข่าวลือหรอก”
มายาวียิ่งโมโห แต่เห็นนักข่าวเตรียมถ่ายรูปก็ฝืนยิ้ม แล้วรีบผลักอนุภัทร
“ขอตัวนะคะ ฉันอยากอาเจียนค่ะ”
มายาวีวิ่งออกไป นักข่าวตกใจตาโต คิดว่ามายาวีท้องก่อนแต่ง อนุภัทรรีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ คือ อากาศในโรงแรมนี้คงจะอุดอู้เกินไป คงต้องเลือกที่อื่น ขอตัวนะครับ”
อนุภัทรยิ้มเจื่อนๆ แล้วรีบตามมายาวีออกไป
มายาวีเดินจ้ำพรวดๆ ออกมา เจอซุ้มจัดงานแต่งงานอยู่ที่ห้องในโรงแรม หยุดดู เห็นคนเข้าไปในงานแล้ว เลยเผลอเดินเล่นดูซุ้ม ดูรูปถ่ายวานๆ แอบยิ้มมีความสุข
อนุภัทรเห็นเข้า เดินตามมาแซว
“ชอบเหรอครับ”
มายาวีสะดุ้ง พอเห็นอนุภัทรก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
“คุณอยากได้งานแบบนี้ล่ะสิ”
“ใครบอก”
“ก็ผมเห็นคุณยิ้ม”
มายาวีทำไก๋ “ไม่ได้ยิ้มซะหน่อย”
“คุณยิ้ม เมื่อกี้ผมเห็นคุณทำหน้าอย่างนี้” อนุภัทรจับแก้มมายาวีฉีกยิ้ม
มายาวีรีบปัดมือออก เห็นประตูห้องจัดงานเปิดออก เจ้าสาวกับเพื่อนๆ ในงานกรูกันออกมา ให้เห็นว่าถึงเวลาจะโยนช่อดอกไม้ มายาวีกับอนุภัทรรีบเดินเลี่ยงออกมา อนุภัทรตามแซวต่อ
“ถ้าคุณชอบ ผมจะแอบไปถามเจ้าภาพมาให้ว่าเขาเว้ดดิ้งที่ไหนจัด จะได้...”
“จะได้เอามาจัดงานแต่งงานปลอมๆ ของเราน่ะเหรอ ไม่มีทาง ฉันยอมเป็นคู่หมั้นจอมปลอม แต่ฉันจะไม่เป็นเจ้าสาวจอมปลอมของใคร”
ระหว่างที่มายาวีโวยอนุภัทร ด้านหลังก็เห็นพวกเจ้าสาวเตรียมจะโยนช่อดอกไม้ พอมายาวีพูดจบเจ้าสาวก็โยนช่อดอกไม้หวือข้ามมาตกตรงหน้ามายาวีพอดี
มายาวีเอามือรับด้วยสัญชาตญาณ แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นว่าเป็นช่อดอกไม้ พอหันกลับไป เห็นเจ้าสาวและเพื่อนๆ มองมาด้วยความช็อก ใครเนี่ย
อนุภัทรอมยิ้ม “สงสัยคุณต้องเป็นแล้วล่ะ”
มายาวีเจื่อน มองพวกเจ้าสาวกับเพื่อนๆ แล้วรีบคืนช่อดอกไม้ให้
“ข...ขอโทษค่ะ”
มายาวีเดินหน้าเจื่อนๆ ออกมา พอเห็นอนุภัทรยิ้มขำก็สะบัดหน้าเดินหนีไป อนุภัทรเดินยิ้มตาม
เช้าวันต่อมา ขณะที่อิศร์แต่งตัวหล่ออยู่หน้ากระจก เตรียมออกไปงาน ป้าดวงเคาะประตู แล้วเข้ามาสำรวจอย่างเอ็นดู
“หล่อแล้วค่ะคุณอิศร์ ตอนนี้รถรออยู่ข้างล่างนะคะ”
อิศร์ยังส่องกระจกอยู่ขณะถาม “แล้วคุณแพรล่ะครับ เสร็จหรือยัง”
“ตายจริง ป้าก็ลืมไปตามคุณแพร เดี๋ยวนะคะ”
ป้าดวงหายออกจากห้องไป อิศร์ล่วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท หยิบกล่องแหวนออกมาเปิดดูอีกครั้ง แล้วยิ้มกับตัวเอง เสียงป้าดวงดังขึ้น
“คุณอิศร์คะคุณอิศร์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
อิศร์ชะงัก รีบออกไป
อิศร์เข้ามาในห้องแพรพลอย ป้าดวงยืนหน้าตาตื่นอยู่
“คุณแพรไม่อยู่ในห้องค่ะ”
“บอกใครไว้หรือเปล่าว่าจะออกไปไหน”
“ไม่นะคะ เมื่อเช้าป้าก็ไม่เห็นลงมาออกกำลังกายด้วย”
อิศร์เดินไปที่ระเบียง ชะโงกหน้ามองออกไป
“รถคุณแพรก็ไม่อยู่ด้วย หรือว่าคุณแพรจะเซอร์ไพรส์ผม” อิศร์ยังอารมณ์ดีอยู่ เลยไม่ได้คิดในทางร้าย “จริงสิ คุณแพรต้องแกล้งอะไรผมแน่ๆ เขารู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตผม”
ป้าดวงลังเล “งั้นเหรอคะ”
“ป้าไม่ต้องห่วงนะครับ ป่านนี้คุณแพรคงอยู่ที่งานแล้ว”
อิศร์เดินยิ้มย่องอารมณ์ดีออกไป ป้าดวงยังงงๆ อยู่
อิศร์มาถึงที่จัดงาน ทีมงานเตรียมความพร้อมอยู่ใกล้ๆ กับโพเดียมเปิดงาน เห็นด้านหลังมีจอมอนิเตอร์ใหญ่ ตรงกลางมีโมเดลโครงการขนาดยักษ์ แต่คนในงานโหรงเหรง
ด้านหน้ามีทีมงานแจกโบรชัวร์ แต่คนมาร่วมงานโหรงเหรงมาก นักข่าว 2-3 คน
อำพลกับไอศูรย์เดินผ่านเข้ามาในงาน มองบรรยากาศเจื่อนๆ แบบเยาะๆ
“ทำไมงานมันถึงได้เงียบเป็นป่าช้าอย่างนี้วะอิศร์ แขกเหรื่อก็โหรงเหรง”
อิศร์หน้าเจื่อน ไม่อยากจะตอบ อำพลแหย่ซ้ำ
“ลุงได้ยินว่ามิสเตอร์ลีเลื่อนจัดงานเปิดตัวโครงการขึ้นมาชนกับเราพอดี”
“ครับ เขามีเครือข่ายสื่อในมือมากกว่าเรา ก็เลยดึงนักข่าวไปหมด”
ไอศูรย์ยิ้มหยัน “เจอสอนมวยเข้าแล้วไงไอ้อิศร์ เอาเถอะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้นะ”
ไอศูรย์ยิ้มกริ่ม แล้วพาอำพลออกไปรอ
อิศร์สีหน้าไม่ดี เริ่มกระสับกระส่าย หันไปเห็นอนุภัทรเดินเข้ามา เลยรีบเข้าไปหา
“ภัทร คุณแพรมาหรือยัง มีใครติดต่อได้ไหม”
“ไม่เห็นเลย ติดต่อไม่ได้ด้วย”
มายาวีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เรียกอิศร์ดังลั่น ทุกคนหันไปมอง
“อิศร์! งานเปิดตัวโครงการของมิสเตอร์ลีมีถ่ายทอดสดทางเคเบิลทีวีด้วย”
อนุภัทรดุเบาๆ “คุณเมย์ นี่มันไม่ใช่เวลานะ”
“ฉันรู้ แต่นายต้องไปดูเดี๋ยวนี้” มายาวียืนกราน
อิศร์ทำหน้างง ไม่รู้ว่าอะไรยังไง
อิศร์ มายาวี อนุภัทร และทีมงานยืนดูมิสเตอร์ลีแถลงข่าวในทีวีอยู่หลังเวที
“มิสเตอร์ลีเอาแนวคิดโครงการของนาย ไปดัดแปลงเป็นที่พักอาศัยเชิงอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน แล้วก็มีแผนการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการเหมือนเราเกือบทุกอย่าง” มายาวีบอก
อิศร์อึ้งๆ มองมิสเตอร์ลีในทีวีที่ยังพูดอยู่
อีกฟากหนึ่ง มิสเตอร์ลีพูดอยู่บนโพเดียม
“ผมต้องขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานแถลงข่าวโครงการ Eco Park ของเราในวันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทุกท่านจะให้เกียรติมาเป็นเพื่อนบ้านในสังคมสีเขียวเล็กๆ ของเรานะครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นภายในห้องแถลงข่าว มิสเตอร์ลีออกจากโพเดียมจะก้าวลงเวที มีแพรพลอยนำทีมบอดี้การ์ดเข้าตามประกบอารักขาให้
อิศร์มองเห็นแพรพลอยในทีวีเต็มตา ก็อึ้งไป
“คุณแพร”
มายาวี และอนุภัทรพลอยอึ้งอ้าปากค้างไปด้วย
อิศร์งุนงง “ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
ภาพจากจอทีวี เป็นมิสเตอร์ลีที่แวะทักทายพวกนักธุรกิจใหญ่ด้วยกัน ใกล้กันมีแพรพลอยประกบตลอด
“เป็นไปไม่ได้ คุณแพรจะไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง” มายาวีไม่เชื่อ
อิศร์ล้วงหาโทรศัพท์อย่างร้อนรน รีบกดโทร.หาแพรพลอยมือไม้สั่น แต่ติดต่อไม่ได้
“โธ่โว้ย”
อนุภัทรปลอบ “อิศร์ ใจเย็นๆ สิวะ”
อิศร์โวยวาย อย่างอัดอั้น “แกบอกฉันสิว่าฉันตาฝาดไปเอง ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แพรพลอย ไม่ใช่บอดี้การ์ดของฉันที่กำลังตามประกบไอ้มิสเตอร์ลีอยู่ที่นั่น”
“ฉันว่าเรารอให้คุณแพรกลับมาดีกว่านะ คุณแพรคงจะมีคำอธิบาย” มายาวีปลอบ
“ไม่ ฉันรอไม่ได้”
อิศร์ผลุนผลันออกไป ท่ามกลางเสียงเรียกของมายาวีกับอนุภัทร
ไม่นานต่อมา อิศร์เดินดุ่มๆ เข้ามาในตึก ตรงไปที่แผนกต้อนรับ
“ผมมาพบมิสเตอร์ลี”
พนักงานต้อนรับถาม “นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัด แต่ผมมีธุระด่วน”
พนักงานฝืนยิ้ม “ต้องรบกวนโทรนัดกับเลขาท่านก่อนค่ะ ถึงจะเข้าพบได้”
“ผมรู้ว่ามันอยู่ที่นี่ แล้วมันก็ต้องว่างพบผมด้วย” อิศร์ทุบโต๊ะปัง ใจร้อนมาก “คุณไม่รู้เหรอว่าผมเป็นใคร โทรไปเรียกมันลงมาสิ”
“ไม่ได้ค่ะ คุณต้องโทร.นัด เชิญกลับไปก่อนนะคะ”
“ไม่กลับ”
อิศร์ตะคอกดุดัน พนักงานต้อนรับกลัวๆ หันไปพยักหน้าเรียกรปภ.เข้ามาจับตัวอิศร์
“เฮ้ย อะไร ปล่อย” อิศร์ขัดขืนสุดชีวิต
ด้านแพรพลอยยืนอยู่บนตึก มองลงไปด้านล่าง เห็นอิศร์ถูกรปภ.ลากมา
“ปล่อยสิโว้ย ปล่อย” อิศร์ร้องตะโกนเรียก “คุณแพร” รปภ.เข้ามาจับตัวอีก “ปล่อยฉัน”
อิศร์เอะอะโวยวายเอากับรปภ. แต่ก็ถูกหิ้วปีกออกไป แพรพลอยมองเศร้าๆ หันมาอีกทีเจอบอดี้การ์ดมิสเตอร์ลียืนอยู่
“นายท่านเรียกเธอไปพบ”
อิศร์โดนเหวี่ยงลงไปกับพื้นอย่างไม่ปรานีปราศัย
“อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ ไม่งั้นคราวนี้ได้ติดตะรางแน่”
รปภ.ขู่ แล้วเดินกลับเข้าไป อิศร์มองเจ็บใจ แล้วฉวยโอกาสตอนทั้งสองหันหลัง กระโจนเข้าใส่แย่งกระบอง
รปภ.ทั้งสองตกใจ อิศร์บ้าดีเดือดฉวยกระบองได้ ฟาดหัวรปภ.1ที่ท้ายทอยจนสลบเหมือด แล้วหันมาชกอีกคนหน้าหงาย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าตึกไป
อิศร์วิ่งเข้ามาในตึกตรงไปที่ลิฟต์ พนักงานต้อนรับเห็น ก็ตกใจ
“คุณ! ขึ้นไปไม่ได้นะคะ”
อิศร์ไม่สนวิ่งไปกดลิฟต์ พนักงานเดินออกมา อิศร์จับเหวี่ยงให้พ้นทางแล้วรีบวิ่งเข้าไป
พนักงานต้อนรับตกใจ รีบกดโทรศัพท์แจ้งขึ้นไปบนห้องมิสเตอร์ลี
บอดี้การ์ดคนหนึ่งรับโทรศัพท์ แล้วหันมาบอกกับทุกคนในห้อง
“ข้างล่างบอกว่านายอิศร์กำลังขึ้นมาบนนี้”
มิสเตอร์ลีฉุน “มาได้ยังไง ทำไมรปภ.ไม่ขัดขวางไว้”
“เขาคงต้องการพบดิฉัน ให้ดิฉันไปคุยกับเขานะคะ”
แพรพลอยบอกแล้วรีบร้อนออกไป
อิศร์รีบออกมาจากลิฟต์ มองกราดไปรอบๆ ตะโกนดังลั่น
“ไอ้โรเจอร์ ลี แกอยู่ไหน ออกมาสิ”
พนักงานบนชั้นเห็นอิศร์ ตรงเข้ามาจะห้ามไม่ให้เข้าไป แต่อิศร์บ้าพลังแล้วจับตัวเหวี่ยงล้มระเนระนาด
“ออกมา ไอ้มาเฟีย ออกมาสิโว้ย”
“คุณอิศร์”
อิศร์เหลียวขวับ เมื่อเห็นแพรพลอย ก็ชะงักอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“คุณแพร...คุณอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” เขาเริ่มรู้สึกผิดหวัง “คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามคุณว่ามาทำอะไรที่นี่”
“แต่ผมถามคุณก่อน คุณไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ คุณจะอยู่กับผมในงานของเรา”
“ไม่มีงานของเราอีกต่อไปแล้วค่ะ” แพรพลอยข่มความรู้สึก แล้วกลั้นใจพูดอย่างลำบาก “เพราะงานของฉันอยู่ที่นี่ ฉันต้องรับหน้าที่คุ้มกันมิสเตอร์ลี”
อิศร์งงปนตกใจ “คุณพูดอะไร”
“ฉันขอโทษที่ไม่ได้แจ้งลาออกกับคุณอย่างเป็นทางการ เพราะเพิ่งตัดสินใจเมื่อคืนนี้ แล้วก็ถูกเรียกตัวมาเลย”
อิศร์แทบช็อก มองแพรพลอยอย่างงุนงง ปรี่เข้าไปจับมือ
“คุณล้อผมเล่นใช่ไหม ไม่เอานะคุณแพร ผมไม่สนุกด้วยนะ เรากลับกันเถอะ”
แพรพลอยดึงมือออก “ไม่ค่ะ ฉันกลับไปไม่ได้”
“ทำไม”
“เพราะฉันตกลงรับงานนี้แล้ว ฉันต้องอยู่ที่นี่” แพรพลอยเน้นคำตอนท้ายประโยค “กับนายจ้างของฉัน”
อิศร์อึ้ง “แล้วผมล่ะ”
“ฉันขอลาออก แล้วก็ขอไม่รับเงินเดือนงวดสุดท้าย”
อิศร์อึ้งหนัก ปากคอสั่น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณไม่พอใจอะไรผม เราคุยกันได้นะคุณแพร หรือว่ามันบังคับคุณ คุณบอกผมมาสิ ผมจะจัดการมันให้”
มิสเตอร์ลีเดินออกมาจากในห้อง พร้อมกับบอดี้การ์ด 3 คน
“ไม่มีใครบังคับใจใครทั้งนั้น แพรพลอยตัดสินใจมาทำงานกับผมเอง”
อิศร์สวนทันควัน “ฉันไม่เชื่อ”
มิสเตอร์ลียิ้มเยาะ “ท่าทางคุณจะเป็นคนเข้าใจอะไรยากนะ แบบนี้ละมั้งแพรพลอยถึงได้เบื่อ”
อิศร์บันดาลโทสะ ชี้หน้าโกรธๆ “แก! แกมีแผนอะไร บอกฉันมานะโว้ย! แกเอาตัวแพรพลอยมาทำไม”
“คุณอิศร์”
แพรพลอยพยายามห้าม อิศร์คว้าแขน
“งั้นคุณกลับไปกับผม”
“ไม่”
“คุณต้องกลับแพรพลอย ผมไม่ยอมให้คุณอยู่ที่นี่”
อิศร์ฉุดแขนแพรพลอย บอดี้การ์ดเข้าไปดึงตัวแพรพลอยออก แล้วยืนขวางเอาไว้
อิศร์เจ็บใจ กวาดตามองมิสเตอร์ลีที่ยืนกอดอกใจเย็น
“แก ไอ้โรเจอร์ ลี! ไอ้หมาจิ้งจอก”
แพรพลอยร้องห้าม อิศร์ไม่ฟัง พุ่งเข้าจะชกมิสเตอร์ลี บอดี้การ์ดเข้าชาร์จ แล้วอัดโครม อิศร์ล้มลงไปนอนกอง บอดี้การ์ดจะเข้าซ้ำ แต่มิสเตอร์ลีห้ามเสียก่อน
“พอแล้ว เอาตัวลงไป แล้วให้พวกข้างล่างระวังไว้ อย่าให้ขึ้นมาได้อีก”
บอดี้การ์ดตรงเข้ามาหิ้วปีกอิศร์ที่จุกจนหมดฤทธิ์ออกมา แพรพลอยมองตามอย่างสงสาร
อำพลเอะอะโวยวายใส่มายาวีที่ตัวลีบเล็กไม่อยากมีเรื่องลุกลาม
“อะไรกัน อิศร์มันหายหัวไปไหนไม่มีใครรู้”
“เมย์พยายามโทรตามแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ค่ะ”
“ทิ้งงานแบบนี้ได้ยังไง งานเปิดตัวโครงการพังไม่เป็นท่า พรุ่งนี้ได้เป็นข่าวใหญ่แน่ๆ”
“ค่ะๆ เมย์จะรีบตามตัวให้ค่ะ”
มายาวีรีบร้อนออกไป อำพลกับไอศูรย์มองตามแล้วเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้ม
“หรือว่ามันจะไปโดดตึกตาย นี่ผมก็เพิ่งรู้ว่านอกจากมิสเตอร์ลีจะเอาข้อมูลที่เราส่งให้ไปใช้ทำโครงการตัวเอง มันยังซื้อตัวนังแพรพลอยไปเป็นบอดี้การ์ดด้วย ไอ้อิศร์เสียสองเด้งเลย” ไอศูรย์หัวเราะสะใจ
“ดูเหมือนอะไรๆ จะเป็นใจให้เรานะ”
สองพ่อลูกยอดชั่ว อำพลกับไอศูรย์ หัวเราะกระหยิ่มยิ้มย่องยกใหญ่
มายาวีเดินหน้ายุ่งออกมา เจออนุภัทรที่สวนเข้ามา
“ผู้กอง เจอนายอิศร์หรือเปล่า”
อนุภัทรส่ายหน้า “ผมไปที่บริษัทมิสเตอร์ลี รปภ.บอกว่ามันไปที่นั่นจริง แต่ถูกไล่ออกไปแล้ว”
“แล้วเขาหายไปไหนเนี่ย ยุ่งกันใหญ่แล้ว”
“เราแยกกันหาดีกว่า คุณไปที่บริษัทนะ ผมจะไปดูมันที่บ้าน”
มายาวีพยักหน้าเห็นด้วย แล้วรีบแยกกับอนุภัทรไป
ด้านมิสเตอร์ลี แพรพลอย บอดี้การ์ดเดินออกมาจากบริษัทหลังเลิกงาน เห็นรถตู้ประจำตัวจอดรอพร้อมกับคนขับ
แต่ขณะที่เดินไปจะถึงรถ ก็มีเสียงบีบแตรดังสนั่นมาทางด้านหลัง ทุกคนหันไปมองตกใจ เห็นอิศร์ขับรถตัวเองพุ่งเข้ามาอย่างจงใจจะชน
บอดี้การ์ดกระชากตัวมิสเตอร์ลีหลบ บางคนหลบรถ ล้มระเนระนาด แพรพลอยยืนนิ่งอย่างตกใจ
“คุณอิศร์”
อิศร์รีบลงจากรถ ตรงมากระชากแพรพลอยที่กำลังงง
“ขึ้นรถ”
อิศร์ลากตัวแพรพลอยขึ้นรถ บอดี้การ์ดของมิสเตอร์ลีขยับตัวจะคว้าปืนขัดขวาง อิศร์ถอยหลังมา เหมือนจะทำ พวกบอดี้การ์ดรีบกระโจนหนีอย่างตกใจ ก่อนที่อิศร์จะเร่งเครื่องจากไป
มิสเตอร์ลีโมโหที่โดนลูบคม “ตามมันไป”
พวกบอดี้การ์ดรีบพามิสเตอร์ลีขึ้นรถ
แพรพลอยพยายามเปิดประตู แต่ติดล็อคไว้ หันมาโวยอิศร์
“คุณบ้าไปแล้วหรือไงคุณอิศร์ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ”
“ใช่ ผมมันบ้าไปแล้ว บ้าเพราะหลงเชื่อใจคุณ”
“ปล่อยฉันลงนะ คุณกำลังหาเรื่องใส่ตัว”
“ผมไม่กลัว! มันจะทำอะไรผมก็เอาเลย มาเลย”
อิศร์พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังเปรี้ยงมาจากข้างหลัง อิศร์ตกกใจรีบกดหัวแพรพลอยหลบ แล้วพยายามขับรถส่ายหนี
บนถนนตอนนี้ เห็นรถตู้ของมิสเตอร์ลีขับตาม บอดี้การ์ดโหนตัวออกมา ยิงขู่ไปที่รถอิศร์ เปรี้ยงๆ อิศร์ขับรถส่ายไปมา หลบกระสุน
“คุณอิศร์ คุณต้องจอดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณเดือดร้อนแน่”
“นี่คุณห่วงผมหรือว่าคุณกำลังขู่ผมอยู่”
แพรพลอยอึ้ง ไม่กล้าบอกว่าห่วง อิศร์เสียงอ่อนลงอย่างอ้อนวอน
“ทำไมล่ะคุณแพร มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ทำไมอยู่ๆ คุณถึงได้เปลี่ยนไป คุณไปจากผมยังไม่พอ คุณยังไปอยู่ร่วมกับศัตรูที่ได้ชื่อมันพยายามฆ่าผม”
อิศร์พูดจบเสียงปืนก็ดังไล่หลังมาอีกเป็นชุด
แพรพลอยเห็นท่าไม่ดี กลัวอิศร์จะโดนมิสเตอร์ลีเอาถึงตาย จึงตัดสินใจพุ่งเข้าแย่งพวงมาลัย
“เอ้ย จะทำอะไร ปล่อยนะ”
“จอดรถเดี๋ยวนี้”
“คุณแพร อย่า”
แพรพลอยไม่ฟัง แย่งพวงมาลัยกับอิศร์จนรถเสียการทรงตัวเบี่ยงออกจากเลน อิศร์เหยียบเบรกตัวโก่ง
รถของมิสเตอร์ลีจอดจ่อด้านหลัง พวกบอดี้การ์ดกรูกันลงมา ตรงไปเปิดประตูรถฝั่งอิศร์ แล้วยกปืนขึ้นเล็งตะคอกขู่
“ลงมาจากรถ”
แพรพลอยตกใจ กลัวอิศร์เป็นอันตราย
อิศร์ถูกบอดี้การ์ดคนหนึ่งจับรวบแขนไว้ด้านหลัง แล้วลากตัวเข้าไปในโกดังร้างย่านชานเมือง
“แกจะทำอะไรฉัน”
“ปกตินายท่านไม่ชอบให้ใช้กำลัง แต่ท่าทางแกมันพูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง” บอดี้การ์ด 1 บอก
“ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ” บอดี้การ์ด 2 ว่า
อิศร์มองไปทางแพรพลอย ท่าทีอึ้งๆ แพรพลอยเองก็ทำหน้าตกใจ คาดไม่ถึง
บอดี้การ์ดทั้งสองคนถกแขนเสื้อ แล้วชกเปรี้ยงที่หน้าอิศร์เต็มแรง อิศร์สะบัดหน้าด้วยความเจ็บ ขณะที่ยังถูกรวบแขนไว้ด้านหลัง
“หมัดเดียวยังน้อยไป ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ” บอดี้การ์ด 1 ว่า
บอดี้การ์ดอีกคนเข้ามาซ้ำอีกเปรี้ยง แพรพลอยเครียดจัด แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องเก็บอาการไว้
บอดี้การ์ดทั้งสองสลับกันซัดคนละหมัดไปเรื่อย ทั้งชกหน้า ตุ๊ยท้อง อิศร์เริ่มสะบักสะบอมเลือดไหลนอง ถูกจิกหัวขึ้นมา ใบหน้าบอบช้ำของอิศร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับแพรพลอยและมิสเตอร์ลี
อิศร์ครางเสียงแผ่ว เพราะเจ็บปวดไปทั่วร่าง “แกจะทำอะไรฉันก็ได้ แต่ฉันขอ...ขอแพรพลอยคืน”
“ยังไม่เข็ดใช่ไหม”
บอดี้การ์ดสลับกันซัดอิศร์ต่อเสียงดังผัวะๆ แพรพลอยเริ่มทนไม่ได้
“พอเถอะ”
บอดี้การ์ดทั้งสองชะงักมือมองแพรพลอยอย่างระแวง
“นายก็คงไม่อยากทำให้เขาตายหรอก” แพรพลอยทำเสียงเย็นชาใส่ “เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปกันใหญ่
บอดี้การ์ดทั้งสองลังเล มองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเห็นด้วย คนที่จับอิศร์อยู่ปล่อยมือ ร่างอิศร์ร่วงผล็อยลงนอนกับพื้นอย่างหมดแรง สภาพสะบักสะบอม
บอดี้การ์ด 1บอก “งั้นก็ทิ้งมันไว้ที่นี่”
ทั้งสามคนเดินออกไป แพรพลอยมองอิศร์อย่างสงสาร อิศร์พยายามลืมตาเรียก
“คุณแพร...”
แพรพลอยตัดใจ หันหลังกลับแล้วรีบเดินตามทั้งสามออกไป ทิ้งอิศร์ไว้ตรงนั้น
คืนนั้นป้าดวงคุยกับมายาวีและอนุภัทรอย่างร้อนใจ
“คุณอิศร์ยังไม่กลับมาเลยค่ะ แล้วนี่คุณแพรก็หายตัวไปด้วย เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะป้า”
“โถ คุณอิศร์ วันนี้เป็นวันสำคัญของเธอแท้ๆ ทำไมถึงเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้”
“ใจเย็นๆ นะครับป้า บางทีอิศร์มันอาจจะเครียดเลยหลบไปตั้งหลัก ผมว่ายังไงมันก็ต้องกลับมา มันต้องรู้ว่าพวกเราทุกคนเป็นห่วง”
ทั้งสามมีสีหน้ากลัดกลุ้มพอกัน
กรองทองกวาดเก็บบ้านอยู่ เหลือบมองไปเห็นไอศูรย์เดินเข้ามาก็ชะงัก รีบวิ่งไปขวางประตู
“พ่อเธออยู่หรือเปล่า”
“ไม่อยู่ เชิญคุณกลับไปได้แล้ว”
กรองทองจะปิดประตูใส่หน้า ไอศูรย์เริ่มโมโห ดึงประตูไว้
“นี่กรองทอง! อย่าจองหองให้มันมากนักนะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอเป็นใคร ฉันเป็นใคร”
กรองทองไม่ตอบ จะปิดประตูอีก ไอศูรย์กระชากออก ยิ้มเยาะ
“อย่าคิดว่าการเป็นเมียฉันแค่คืนเดียว มันจะทำให้เธอมีราคาจนต้องผยองแบบนี้ เธอไม่ใช่อริสรา”
“ฉันไม่เคยคิดจะเอาเรื่องชั่วๆ ที่คุณทำกับฉันมาสร้างราคา เพราะมันเป็นตราบาปในชีวิตฉัน”
“ตราบาปงั้นเหรอ จะมากไปแล้ว”
ไอศูรย์เงื้อมือจะตบหน้ากรองทอง กรองทองรีบงับประตูใส่ หนีบมือไอศูรย์อย่างแรง ไอศูรย์รีบชักมือออกสะบัดเร่าๆ
“โอ๊ย กรองทอง! นังบ้า”
กรองทองปิดประตูปัง ไอศูรย์จับมือตัวเองที่โดนหนีบ แล้วเตะประตูระบายโมโห ขู่ทิ้งท้าย
“ระวังตัวไว้นะ กำแหงกับฉันมากๆ แกกับพ่อจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
ไอศูรย์เดินออกไปอย่างฉุนๆ หลังต้นไม้หน้าบ้าน อริสราค่อยๆ โผล่ออกมา ได้ยินทุกอย่าง
ขณะที่กรองทองนั่งกอดเข่าร้องไห้เสียใจ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น กรองทองนึกว่าเป็นไอศูรย์
“ไป๊ ไปให้พ้น! คนเลว”
เสียงเคาะยังดังขึ้นอีก กรองทองโมโห ลุกขึ้นคว้าไม้กวาด แล้วเดินไปเปิดประตูไง
“ฉันบอกให้ไป”
กรองทองชะงักตกใจเมื่อเห็นอริสรายืนอยู่ พอได้สติก็รีบเช็ดน้ำตา ปรับเสียงเป็นปกติ
“คุณอริส...มีอะไรเหรอคะ”
อริสราเดินวนเวียนอยู่ในห้อง สีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่ไปคุยกับกรองทองเมื่อครู่
อริสรานั่งอยู่บนเก้าอี้ มีกรองทองพับเพียบสะอึกสะอื้น
“ฉันได้ยินหมดแล้ว เรื่องที่ไอศูรย์พูดกับเธอเมื่อกี้”
กรองทองเงยหน้ามองอริสราอย่างตกใจ แล้วปิดหน้าร้องไห้โฮ
“กรองขอโทษ…กรองไม่ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ กรองไม่เต็มใจนะคะคุณอริส กรองขอโทษจริงๆ”
กรองทองก้มลงกราบเท้า อริสรารีบประคองไว้ พูดอย่างเมตตา
“ไม่ต้องขอโทษ ฉันไม่ได้โกรธเธอ” อริสราเสียงเข้ม “ฉันควรจะโกรธผู้ชายมักมากคนนั้นมากกว่า”
“ช่วยกรองด้วยนะคะคุณอริส อย่าให้เขามายุ่งกับกรองอีก กรองไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
กรองทองยกมือไหว้อริสราอย่างมีความหวัง สะอึกสะอื้น อริสราทอดสายตามองอย่างเห็นใจ
อริสรานึกถึงกรองทองที่อ้อนวอนหวังเป็นที่พึ่ง แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาทีละนิด ก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำๆ อย่างเลือดเย็น เมื่อคิดแผนจัดการไอศูรย์ขึ้นมาได้
อิศร์นอนซมครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะสลบไป อากาศเย็นลงทำให้เริ่มหนาวสั่น แต่ก็ยังไม่มีแรงลุกขึ้น ได้แต่กอดตัวเองไว้
รับเท้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหน้าโกดัง เป็นแพรพลอยที่แอบกลับมา พร้อมกับอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
แพรพลอยมองเห็นอิศร์ยังนอนที่เดิม ก็รีบวิ่งเข้าไปประคองไว้
“คุณอิศร์ คุณอิศร์คะ”
อิศร์เหมือนยังไม่มีสติ เพราะเริ่มเป็นไข้ ได้แต่ครางเบาๆ
“โธ่ คุณอิศร์”
แพรพลอยประคองใบหน้าอิศร์ที่บวมช้ำ น้ำตาคลอ สงสารสุดหัวใจ
“ฉันจะทำแผลให้คุณนะ อดทนหน่อยนะคะ”
แพรพลอยรีบเปิดกล่องยา หยิบยาหม่องมาทาแผลให้
อิศร์ร้องเบาๆ แต่ตายังลืมไม่ขึ้นเลยไม่เห็นว่าเป็นแพรพลอย
แพรพลอยทาไปก็น้ำตาร่วงไป รู้สึกผิดที่ทำให้อิศร์ต้องเจ็บตัวขนาดนี้ หล่อนถอนสะอื้นเบาๆ
“ฉันขอโทษนะคะคุณอิศร์”
แพรพลอยประคองให้อิศร์นอนหนุนตัก เปิดเสื้อดูรอช้ำที่ตัว แล้วค่อยๆ ทาแผล แต่จังหวะที่อิศร์พลิกตัว กล่องแหวนที่อยู่ในกระเป๋าอิศร์ก็กลิ้งตกลงมา
แพรพลอยสังเกตเห็นเลยหยิบขึ้นมาเปิดดู อึ้งไป เพราะจำแหวนได้ เหตุการณ์ตอนอิศร์คะยั้นคะยอให้ตนลองใส่แหวนผุดขึ้นมา
“แหวนหมั้นมันต้องใส่ติดนิ้ว น่าจะให้ดูสะดุดตา แต่ถ้าคุณชอบวงนี้จริงๆ ก็โอเค”
“ลองใส่ดูได้ค่ะ”
“เอ้อ ฉันไม่ใช่...”
“เอาเถอะน่า จะได้เห็นว่ามันใส่สวยหรือเปล่า”
แพรพลอยหยิบแหวนออกมาจากกล่อง เอามาดูใกล้ เริ่มเข้าใจว่าอิศร์แอบซื้อไว้ให้ตน
แพรพลอยกำแหวนในมือ น้ำตาร่วงพรูอย่างสะเทือนใจ
อิศร์ขยับตัว พึมพำ “คุณแพร...ทำไม...ทำไม”
แพรพลอยได้สติ รีบเก็บแหวนเอาใส่กระเป๋ากางเกงอิศร์ตามเดิม
“ซักวันนึงนะคะคุณอิศร์...วันนึงคุณจะเข้าใจเหตุผลของฉัน”
แพรพลอยลูบหัวอิศร์ด้วยความรัก น้ำตานองหน้า แล้วรีบถอดเสื้อคลุมตัวเองห่มเพื่อให้ร่างกายของอิศร์อบอุ่น
เช้าวันต่อมา มายาวีรีบร้อนเข้ามาที่ล็อบบี้รีสอร์ทชานเมืองแห่งนั้น พูดเสียงดังลั่น
“ขอโทษค่ะ ฉันมาพบเพื่อน” หล่อนชะงักเมื่อเห็นอนุภัทรที่เคาน์เตอร์ก่อนแล้ว “อ้าวผู้กอง”
“คุณมาได้ยังไง” อนุภัทรงง
“ฉันได้รับข้อความจากนายอิศร์ บอกว่าอยู่ที่นี่” มายาวีหยิบโทรศัพท์ให้ดู
“ผมก็ได้รับเหมือนกัน”
พนักงานต้อนรับเปิดดูข้อมูล
“คุณอิศร์ เดชโชดมใช่ไหมคะ พักอยู่ที่ห้อง 2047 ค่ะ”
อิศร์กับมายาวีรีบเปิดประตูเข้าไป เห็นอิศร์นอนซมอยู่บนเตียง รีบตรงไปหา
มายาวีเรียกสติ “อิศร์...อิศร์”
อิศร์ค่อยๆ พลิกตัวหันมา สีหน้าดีขึ้นจากเมื่อคืน เพราะได้พักผ่อนเต็มที่
อนุภัทรฉงนมาก “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง รู้ไหมว่าพวกเราตามหาแทบตาย”
อิศร์มองสถานที่งงๆ “ที่นี่ที่ไหน”
“อ้าว ยังจะมีหน้ามาถาม ก็นายเป็นคนส่งข้อความบอกเราเอง” มายาวีบอก
อิศร์ทำหน้ามึนงง ด้วยตัวเองไม่ได้ส่ง แต่เป็นแพรพลอยส่ง พอขยับตัวก็เจ็บแปลบ
“โอ๊ย”
อนุภัทรสังเกตเห็นรอยช้ำ “เฮ้ย แกเป็นอะไรเนี่ย”
“ตายแล้ว ช้ำไปหมดทั้งตัวเลย ไปทำอะไรมา”
อิศร์กัดฟันฝืนเจ็บลูบตามเนื้อตัวตัวเอง แล้วดมที่มือ
“ใครทำแผลให้ฉัน”
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าแกไปทำอะไรมาถึงสะบักสะบอมขนาดนี้ แกเมาหรือเปล่าเนี่ย จำอะไรก็ไม่ได้ซักอย่าง”
อิศร์มีสีหน้าสับสน เขาค่อยๆ ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วสีหน้าขรึมลง
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อิศร์ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ ทำไมไม่กลับบ้าน แล้วคุณแพรล่ะ ได้เจอกันหรือเปล่า”
อิศร์ยิ่งเศร้าลง แต่เขาไม่ยอมตอบ พลันนึกได้ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกล่องแหวนออกมา แล้วตัดสินใจไม่เล่าอะไรอีก
“ยัง...ฉันยังไม่ได้เจอคุณแพรเลย”
อ่านต่อตอนต่อไป