xs
xsm
sm
md
lg

ธิดาพญายม ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธิดาพญายม ตอนที่ 7

ทายาททุกคนมองออกมาทางด้านนอกก็เห็นเท้าช้างมหึมาหยุดอยู่ด้านนอกเดินไปมา ช้างเดินห่างออกไปไกลจนเห็นช้างเต็มตัว ที่แท้เป็นลูกช้างตัวหนึ่งวิ่งเล่นไปมาตามประสาของมัน

“โธ่เอ๊ย ที่แท้เป็นลูกช้างวิ่งเล่น มันไม่เห็นพวกเราซะหน่อย”
“ก็เพราะไม่เห็นน่ะซิ เราถึงต้องเผ่นก่อนที่จะถูกเหยียบตาย”
ทุกคนต่างหัวเราะขำกันที่รอดมาได้
“เราจะทำยังไงดี หลงก็หลง แถมยังตัวเล็กอีก แค่มดก็เหยียบเราได้แล้ว”
“เราต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้นานที่สุด เพื่อที่องค์หญิงจะได้หาเราพบ”
ทันใดนั้นมีเสียงดังซื่อซ่าเข้ามาจนทุกคนต้องตกใจ ต่างขยับตัวเตรียมพร้อม
“เสียงอะไรอีกล่ะเนี่ย”
เสียงเริ่มดังขึ้นดังขึ้น ทันใดนั้นเจ้าของเสียงก็ปรากฏ มันคือมดตัวมหึมาอยู่กำลังเดินสะเปะสะปะอยู่ตามลำพัง
“พี่นาฬิกาไม่น่าบ่นถึงเลย มาจนได้”
“มดมันจะมาเป็นฝูง รีบไปจากที่นี่เร็วเข้า ไม่ยังงั้นเราไม่รอดแน่”
ทุกคนเริ่มขยับตัวหลบเข้าหลังต้นไม้ใบหญ้า มดตัวนั้นเดินใกล้เข้ามาทุกที

ณัชชาวิ่งนำปาระนังกับราเชนเข้ามาในราวป่า ทั้งสามคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานลมพัดครู่หนึ่งราเชนก็หยุด ทำให้ทุกคนหยุดด้วย
“เราหยุดรอผู้กองก่อนดีกว่า”
ทั้งหมดหยุดแล้วมองไปทางด้านหลังเห็นเอกภพกำลังวิ่งตามมาอย่างอ่อนแรงเต็มทีจนมาถึงทุกคน
“ไหวมั๊ยผู้กอง”
“ผมว่าพวกคุณแวบไปก่อนดีกว่าไม่ต้องรอผม ก่อนที่พวกทายาทจะถูกไส้เดือนกิ้งกือทับตายซะก่อน”
“เราใช้พลังไม่ได้เด็ดขาด อาคินมีพลังแข็งแกร่งขึ้นภูตสังหารสามารถจับพลังเราได้และสามารถมาถึงเราได้
ทุกเวลาโดยที่เทพอาคินไม่ต้องมาด้วยซ้ำไป”
“งั้นผมรออยู่ที่นี่ พวกคุณรีบไปผมจำได้ว่าอยู่ตรงไหน”
“พวกเราไป”
ณัชชาวิ่งพรวดออกไป ปาระนังกับราเชนวิ่งตามติด เอกภพขยับตัวลุกขึ้นแข็งใจดีดตัวตามไป

ทายาททั้งสี่ค่อยๆ เคลื่อนกายอย่างระมัดระวังหลบเลี่ยงมดแดงที่เดินใกล้มาทุกที
“เดี๋ยวก่อน”
ทุกคนหยุด
“มดใกล้เข้ามาแล้วนะพี่นาฬิกา”
“เราเอาเสบียงออกมาทิ้งไว้ให้มันกินสกัดมันไว้ก่อน”
“ใช่เลย สุดยอด”
ไกรยุทธ์รีบเปิดย่าม ทุกคนรีบทำตาม ต่างเปิดย่ามแล้วเอาเสบียงออกมาโยนกลับไปให้มดแดงที่กำลังเดินใกล้เข้ามา แต่แล้วทุกคนก็คาดไม่ถึงเมื่อเสบียงตกที่พื้นได้ชั่วครู่ เสบียงก็ค่อยๆ จางหายไป
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเสบียงหายไป”
“รู้แล้ว เสบียงของเราเป็นเสบียงที่ท่านธิดาจัดให้ด้วยมนต์ ถ้าไม่กินก็จะสลายตัวไปเอง”
“งั้นเรารีบเผ่นกันได้แล้ว”
ทั้งหมดวิ่งออกไป อึดใจก็เห็นมดแดงยักษ์เดินเข้ามาแล้วผ่านตามทายาททั้งสี่ไป

ณัชชากับปาระนังและราเชนพรวดเข้ามาในราวป่าที่ต่อสู้กับอาคินครั้งหลังสุด
“ถึงแล้วคิดว่าผ้าเช็ดหน้าที่ห่อทายาททั้ง 4 หายที่นี่ตอนที่ถูกพลังของเทพอาคินปะทะ”
ร่างของนาชะปรากฏ
“นาชะสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเพคะ ขนปีกนะชะถูกย่อส่วนจนเล็กเกินไป จับสัญญาณไม่ได้แล้วมั๊ง”
“ทุกคนระวังด้วย ทายาททั้ง 4 อาจอยู่ในพงไม้ที่หนึ่งที่ใดในบริเวณนี้เราอาจเหยียบได้”
ทุกคนต่างค่อยๆ ค้นหาอย่างระมัดระวัง เสียงแปร๋นดังขึ้น ทุกคนหันไปก็เห็นลูกช้างหลงแม่เดินไปมาอยู่ในระยะห่าง
“ลูกช้าง รีบไล่ไปก่อนที่แม่มันทั้งฝูงจะเข้ามาตามหาที่นี่”
“เราจัดการเอง”
ราเชนดีดตัวพุ่งไปทางด้านของลูกช้างทันที

ทายาททั้งสี่ต่างวิ่งมาและหยุดพักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต่างเงยมองเห็นต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้า เสียงช้างแปร๋นห่างออกไปไกล
“เฮ้อ ลูกช้างไป มดมาเกือบไปแล้ว”
บีมเดินไปมามองสำรวจเพ่งมองต้นไม้อย่างสนใจ
“ว้าว ต้นไม้ยักษ์”
“ใครบอกว่าต้นไม้ ต้นหญ้าตะหาก ดูใบไม่รู้เหรอ เราน่ะจิ๋วมากสุดๆ”
ทั้งหมดต่างขำนั่งลง และเปิดย่ามเอาเสบียงออกมานั่งดื่มกิน
“อย่างน้อยเสบียงของเราก็ไม่มีวันหมด”
“หวังว่าไอ้มดแดงตัวนั้นคงหลงไปที่อื่นแล้ว”
แต่แล้วเสียงซวบซ่าของเท้ามดแดงเคลื่อนไหวดังขึ้นมาอีก ทุกคนหยุดกินขยับตัวทันที
“ผมว่ามันไม่ยอมหลงมากกว่า”
เสียงซวบซ่าดังขึ้น และดังขึ้น
“ทำไมเสียงดังกว่าเดิม”
“เพราะว่ามันมีหลายตัวน่ะซิ”
ทั้งหมดมองฝ่าดงไม้ไปข้างหน้า มดแดงยักษ์หลายตัวกำลังพากันเดินมุ่งหน้าเข้ามา

ณัชชา ปาระนังและราเชนรวมทั้งนาชะ ต่างแยกย้ายกันค้นหาอย่างระมัดระวัง
“เราควรจะเสี่ยงใช้มนต์ให้ทายาทตัวใหญ่เหมือนเดิมนะคะองค์หญิง”
“ไม่ได้ ภูตสังหารจะปรากฏตัวทันที ชีวิตของทุกคนจะเป็นอันตรายมากกว่าเดิม” ทั้งหมดต่างมองหน้ากันสีหน้ากังวล “เราใช้มนต์เสกทายาทให้เล็กลง ถ้าเราปล่อยมนต์ออกไปรอบๆ เพื่อให้ทายาทตัวใหญ่เท่าเดิมทุกอย่างทั่วบริเวณนี้ก็จะใหญ่ไปด้วย เช่นต้นไม้หรือสัตว์ต่างๆ”
“ยิ่งเละกันไปใหญ่”
เสียงสวบสาบร่างของเอกภพก้าวเข้ามาจากแนวป่า
“ได้ร่องรอยหรือยังครับ”
“ยัง เดินระวังด้วยคุณอาจเหยียบทายาทได้”
เอกภพหยุดยกขาค้าง สอดส่ายสายตาไปรอบๆ แล้วค่อยๆ วางเท้าลง สอดส่ายสายตาอีกก่อนที่จะเคลื่อนตัว

ทายาททั้งสี่เร่งฝีเท้า แต่มดหลายตัวดูเหมือนจะเร็วเกิดคาด พวกมันใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา ไกรยุทธ์หยุดรอทุกคนให้ผ่านไป
“เร็ว เร่งฝีเท้าเร็วเข้า”
ทุกคนวิ่งผ่านไกรยุทธ์ออกไป ไกรยุทธ์หันมาแต่ต้องคาดไม่ถึงเมื่อมดพวกนั้นใกล้อยู่ตรงหน้า ไกรยุทธ์รีบวิ่งออกไปทันที มดวิ่งตามและใกล้เข้ามา
“คุณไกรยุทธ์ ระวัง”
ทันใดนั้นมีรองเท้าคู่หนึ่งก้าวลงมาขวางระหว่างมดกับไกรยุทธ์ไว้พอดี ดังสนั่นไกรยุทธ์และทายาทล้มกระจัดกระจาย

เอกภพหยุดยืนอยู่ กราดสายตาไปรอบๆ เท้าของตัวเอง
“เฮ้อ เหยียบไปหรือยังก็ไม่รู้”
เอกภพก้มลงมองรอบๆ บริเวณเท้าแต่ไม่เห็นอะไร
ทายาททั้งสี่เห็นใบหน้ามหึมาของเอกภพก้มลงมาต่างตื่นเต้น
“พี่เอกภพ”
ทุกคนรีบยืนต่างร้องเรียกเสียงดัง แต่แล้วใบหน้าของเอกภพก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไป
“เดี๋ยว”
แต่เอกภพไม่ได้ยินแน่นอน
“เราตัวเท่าเชื้อโรค ใครจะมองเห็น ใครจะได้ยิน”
“รองเท้า เกาะรองเท้าเร็ว”
ทุกคนวิ่งไปที่รองเท้าของเอกภพ แต่แล้วเอกภพก็ยกเท้าก้าวพอดี ทำให้เปิดทางออก มดแดงหลายตัวอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย”
“ถอยกลับ เร็วเข้า”
ทุกคนหันกลับต่างวิ่งกันสุดชีวิต พวกมดวิ่งใกล้เข้ามา ทุกคนวิ่งไปหลบที่ต้นไม้ พวกมดต่างวิ่งใกล้เข้ามา ไกรยุทธ์ตวัดปืนออกมายิงใส่มัน แต่ลูกปืนทำอะไรไม่ได้
“มีซอกเขาอยู่ทางด้านโน้น เร็วเข้า”
ปิงปองชี้แล้ววิ่งนำไปที่เหนือเชิงเขา ทุกคนวิ่งตามไปติดๆ ทั้งหมดพรวดเข้าไปในซอกเขา ในขณะที่เห็นหัวมดผลุบโผล่อยู่ข้างหน้าเข้าไม่ได้ ทุกคนต่างถอนใจโล่งอกจ้องมองหัวมดที่ผลุบโผล่อยู่อย่างตื่นเต้น

ณัชชา ปาระนัง ราเชน เอกภพและนาชะ ต่างก้มลงตรวจตราตามพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง ทันใดณัชชาขยับตัวหันไปอีกด้านหนึ่ง
“มีคนกำลังมาทางด้านนี้”
“เราจะปล่อยให้พวกมันเข้ามาไม่ได้”
“ผมจะล่อพวกมันไปเอง”
“เดี๋ยว”
ณัชชาสะบัดมือมีถุงติดมาหนึ่งใบ
“ในถุงมีเพชรนิลจินดา อาจใช้หล่อหลอกพวกมันได้”
ณัชชาสะบัดมือถุงปลิวไปยังเอกภพ เอกภพคว้าไว้
“ผมนึกว่าใช้พลังหรือเวทมนต์ไม่ได้ซะอีก”
“นี่คือสมบัติติดตัวเรามาด้วยมนต์แค่เรียกออกมาใช้ไม่ได้ใช้พลังอะไรมากพอที่อาคินจะสัมผัสได้”
“แล้วพบกันครับ”
เอกภพขยับตัวดีดพุ่งไปขึ้นไปบนกิ่งไม้ตรงหน้า แล้วดีดตัวต่อไปหายเข้าไปในแนวป่า ทุกคนมองตามอย่างกังวล
“นาชะ เจ้าลองย่อส่วนบินตามหาทายาทดูซิ เผื่อจะเห็นชัดขึ้น”
“เพคะ”
นาชะกระพือปีกออกมาจากทางด้านหลังบินขึ้นสูงแล้วหมุนตัวพลันกลายเป็นตัวเล็กบินร่อนเข้าไปในดงไม้
“เราต้องรีบ ก่อนที่ใครต่อใครจะเข้ามาที่นี่ เหยียบย่ำทายาททั้ง 4”
“ที่น่าเป็นห่วงคือ ทายาทอาจจะหลุดเข้าประตูกลไปยังแดนอื่น”
“ยากที่จะตามหาได้อย่างแน่นอน”
ณัชชามีสีหน้าเป็นกังวล

พวกโจรนับสิบเดินมาตามแนวป่า มีชาวบ้านหญิงชาย 4-5 คนแต่ตัวแบบทาสสมัยกรุงศรีถูกมัดติดกันเดินอยู่กลางขบวน พวกโจรมีดาบสะพายครบ บ้างสะพายย่ามข้าวของประจำตัว แต่แล้วหัวแถวก็หยุด มันจ้องไปข้างหน้า ซึ่งร่างของเอกภพนั่งห้อยเท้าอยู่บนกิ่งไม้ที่ล้มขวางอยู่
“สวัสดีทุกคน”
เอกภพกราดสายตามองพวกมันและเห็นพวกนักโทษชายหญิงที่ถูกมัด ต่างมีสายตาที่หวาดกลัว เอกภพกราดสายตาสังเกตการณ์วางแผนต่อสู้สายตาจ้องการเคลื่อนไหวถึงทุกคน
“พวกพี่ๆ จะพาทาสไปขายเหรอ”
“โชคดีเจอทาสอีกคนแล้ว จับมัน”
พวกมันกรูกันเข้ามาล้อมเอกภพไว้ เอกภพยังนั่งเฉย
“โธ่พี่ ฉันอุตส่าห์มาดักรอ”
“เอ็งดักรอข้าทำไม”
“ข้ามีเรื่องเพชรนิลจินดาจะมาบอก”
หัวหน้าสนใจ
“ว่ามา”
“มีพ่อค้า ฉันเห็นเพียบ ฉันผ่านขบวนของมันมา”
พวกมันต่างมองหน้ากัน
“ทำไมข้าต้องเชื่อเองด้วย”
เอกภพยิ้มยกสร้อยมุกขึ้นมาสองสามสาย พวกมันตาวาว
“ฉันขายทาสให้พวกมันไป ได้มานิดหน่อย”
หัวหน้าพยักหน้าด้วยความพอใจ
“งั้นเอ็งรีบพาข้าไป”
“ได้ แต่พี่ต้องแบ่งให้ฉันมั่ง ค่าส่งข่าว”
หัวหน้ามองเอกภพยิ้มเยือกเย็น
“ได้ ข้าจะแบ่งให้เอ็ง”
เอกภพยิ้มดีดตัวลงมาจากกิ่งไม้
“ว่าแต่พวกพี่มาจากไหนกันล่ะ”
“จากกรุงศรี”
“อ้อ มาตามมาพี่”
เอกภพเดินนำพวกมันไป หัวหน้ามองตาม มันกระซิบ
“เอ็งคอยดูมันไว้ พอเจอขบวนพ่อค้า เอ็งฆ่ามันแล้วเอาสร้อยมุกมา”
ชายพยักหน้า มันเดินตามเอกภพไป

ทายาททั้งสี่หลบอยู่ในซอก มองออกไปเห็นมดป้วนเปี้ยนอยู่จำนวนหนึ่ง ต่างเดินกลับมานั่งลงพิงด้านหนึ่งของซอกเขา บีม ปิงปอง นาฬิกาแล้วก็ไกรยุทธ์นั่งอยู่ด้านนอกสุดใกล้กับซอกเขา
“ปกติเห็นมดไปได้ทุกซอกทุกมุมเพิ่งมาคราวนี้แหละ”
“ก็มดมันตัวใหญ่กว่าเราไงพี่ยุทธ์ก็”
“พี่รู้ เฮ้อ...ชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือจะได้เห็นอะไร ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ”
“สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน”
“โห วิ่งหนีมดหน่อยเดียวเห็นสัจธรรมเลยเหรอ”
ทุกคนต่างขำ
“สุดยอดจริงๆ”
“อะไรสุดยอดพี่ สัจธรรมเหรอ”
“ไม่ใช่ ก็สิ่งที่เราทำอยู่นี่ไง เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยป้องกันสงครามล้างโลก”
“อืม จริงแฮะเสียสละเพื่อคนอื่น ดีกว่าโกงกินเพื่อความร่ำรวยเป็นไหนๆ”
“แต่บีมว่ามีซักเจ็ดแปดหมื่นล้านน่าจะดีกว่า”
ปิงปองทุบเข้าให้บึกหนึ่ง
“เอ้าเพี้ยนกันเข้าไป”
ทันใดนั้นมดโผล่หัวเข้ามาตรงซอก ปิงปองร้องดังด้วยความตกใจ ทุกคนสะดุ้งแล้วต่างก็หัวเราะกันอีก
“เฮ้อ ถ้าโดนมดกัดตายคงเสียดายชีวิตแย่”
“ทำไม อย่างบีมมีอะไรให้เสียดายเหรออยู่ไปก็เท่านั้น” ทุกคนต่างยิ้มขำ
“เสียดาย ที่ยังไม่มีความรัก”
“แหวะ”

ทุกคนต่างขำ แต่แล้วทุกคนถึงกับนิ่งไป ต่างมองหน้ากันถอนใจจริงอย่างที่บีมว่า ต่างกำลังคิดเรื่องความรักในใจ ไกรยุทธ์จ้องนาฬิกา นาฬิกามองแล้วยิ้มให้

ณัชชา ปาระนัง ราเชนเหมือนคนบ้าที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้พื้นอยู่ห่างกันออกไปด้วยความระมัดระวัง ต่างมองหน้ากัน
“เราจะลองหาอีกซักพัก ถ้ายังไม่พบเห็นทีจะต้องเสี่ยงใช้พลังดู เราจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว”
“ใช้พลังใช่ว่าจะได้ผล ทายาทอาจจะหลุดไปยังแดนอื่นแล้ว”
“รอถึงคืนนี้แล้วลองจุดไฟดู ทายาทอาจจะเห็นแล้วเดินทางเข้าหากองไฟ”
“ท่านราเชนมีความคิดที่เลิศล้ำอีกแล้ว”
“ถือว่าเป็นการแก้ตัวต่อความคิดแรกที่ให้ย่อตัวทายาททั้ง 4 จนเกิดเรื่อง”
“นั่นเป็นความผิดของเราเองไม่ใช่ของท่าน”
“ป่านนี้ไม่รู้ผู้กองล่อผู้คนพวกนั้นไปถึงไหนแล้ว”
“เท่าที่รู้จักผู้กอง เราคงได้ยินเสียงปืนในไม่ช้า”
“ไม่มีใครรู้จักผู้กองดีกว่าองค์หญิง”
ปาระนังยิ้มพลางสบตากับราเชน ทั้งสองต่างยิ้มให้ณัชชา ณัชชายิ้มเขินเพิ่งรู้ตัวว่าถูกล้อ

เอกภพเดินนำพวกกองโจรโบราณมาจนคิดว่าไกลพอสมควรจึงหยุด
“ไหนวะ ขบวนพ่อค้า”
“สงสัย มันจะไปกันหมดแล้ว”
“เอ็งหลอกข้า เฮ้ยฆ่ามัน”
“เดี๋ยวๆ เอาล่ะ เป็นความผิดของฉันเอง เอางี้” เอกภพดึงถุงเพชรนิลจินดาที่ณัชชาให้ขึ้นมา “เอาเป็นว่าฉันขอแลกทาสทั้งหมดกับของมีค่าในถุงนี้” หัวหน้ากระดิกนิ้วเป็นเชิงให้เอกภพโยนถุงไปให้ เอกภพยิ้มอึดใจแล้วโยนถุงไปให้มัน มันรับไว้แล้วตรวจดูสายตาวาวด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าพี่จะพอใจ งั้นปล่อยคนมาให้ฉัน”
“ฆ่ามัน”
หัวหน้าสั่ง พวกมันกระชากดาบกรูเข้าหาเอกภพ เอกภพหลบแล้วปล่อยหมัด หมุนตัวถีบ หันกลับมาศอก
พวกมันกระเด็นเข้าไม่ติด เอกภพยกมือสองข้างขึ้น
“พี่เลวสุดขั้วจริงๆ รีบถอยไปซะ ฉันเตือนแค่ครั้งเดียว”
“ฆ่ามัน”
พวกมันร้องเสียงดัง ถือดาบพุ่งเข้าใส่พร้อมฟันอย่างไม่เลี้ยง เอกภพตวัดมือมาจากทางด้านหลังปืน สองกระบอกติดมือขึ้นมาเหนี่ยวไก เสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกมันกระเด็นกลับไปล้มตายจนหมด เหลือแต่หัวหน้ายืนหน้าซีดอยู่ เอกภพยิ้มมองหน้ามัน มันถอยแล้วหันหลังวิ่ง เอกภพยกปืนขึ้นเล็งแต่แล้วก็ปล่อยมันไป
“ท่านน่าจะฆ่ามัน ไอ้นี่มันเลวสุดๆ”
“ฉันยิงคนข้างหลังไม่ได้หรอกลุง คนแบบนี้อยู่ไม่นานหรอก”
“อาวุธปืนของท่านร้ายแรงมาก”
“ใช่ ร้ายแรงกว่าของพวกฝรั่งที่มาค้าขายในกรุงศรีซะอีก”
“ท่านมาจากไหนเหรอ”
“เอ้อ ก็แถวนี้นั่นแหละลุง”
ทาสชายหญิงต่างมองเอกภพอย่างพิจารณาไม่แน่ใจ

ณัชชา ปาระนัง ราเชน ต่างหยุดค้นหาทายาท
“องค์หญิงคาดการณ์ได้ถูกต้องจริงๆ”
ทันใดนั้นนาชะโผล่มา
“เกิดอะไรขึ้นเพคะ นาชะบินอยู่หูแทบแตก”
“ใช่แล้ว เสียงปืนดัง พวกทายาทต้องได้ยินและรู้ว่าเราอยู่ใกล้ๆ”
“ทายาททั้ง 4 ฉลาดอาจพยายามส่งสัญญาณให้เราได้เห็น”
“นาชะ เจ้ารีบย่อตัวกลับลงไปดู”
“เพคะ”
นาชะแวบเป็นตัวเล็กบินดิ่งเข้าไปในพงไม้ ณัชชากับทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น

ทายาททั้งสี่เอามืออุดหู แล้วค่อยๆ เอาลงกระโดดอย่างตื่นเต้น
“เสียงปืน”
“พี่เอกภพ อย่างน้อยเราก็อยู่ในบริเวณใกล้ๆ”
“พี่ไกรยุทธ์มีปืนนี่ ยิงตอบไปซิ”
ไกรยุทธ์รีบเปิดย่ามหยิบปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้าเปรี้ยงไปหนึ่งนัด ทุกคนต่างลุ้นรอเสียงตอบ

ณัชชากราดสายตามองไปที่พื้นรอบๆ ตัว แล้วเงยหน้าขึ้นหันไปทางปาระนัง ที่ยืนห่างออกไปอีกด้านหนึ่ง ถัดไปคือราเชน
“เห็นอะไรมั๊ย ได้ยินอะไรมั๊ย”
“ยังเลยเพคะองค์หญิง” ณัชชาถอนใจ
“สงสัยคงต้องรอจุดกองไฟตอนกลางคืน”

ปาระนังยิ้มให้เป็นการปลอบใจ ณัชชากราดสายตามองหาต่อไป ปาระนังหันไปมองราเชน ทั้งสองต่างมองณัชชาอย่างเห็นใจและช่วยค้นหาต่อไป

อ่านต่อเวลา 17.00น.

ธิดาพญายม ตอนที่ 7 (ต่อ)

ทายาททุกคนต่างลุ้นรอเสียงตอบ
“ยิงอีกซิพี่ยุทธ์”
“เก็บกระสุนไว้ป้องกันตัวดีกว่า ปืนนี่ถูกย่อส่วนลงมาด้วยเสียงคงดังไม่พอ”
“เริ่มจะมืดแล้ว โอย...แย่แน่ๆ”
“มืด ใช่แล้วมืด” ทุกคนหันมามองนาฬิกาอย่างแปลกใจ “พี่ณัชชาต้องก่อไฟแน่ๆ เราต้องเห็น”
“ใช่กองต้องใหญ่บิ๊ก สุดๆ ยังไงเราก็ต้องเห็นแน่ๆ”
“เย้”
ทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ทันใดนั้นมดโผล่หัวเข้ามายังซอกเขา ทุกคนรีบตกใจรีบถอย ต่างขำกัน
“ฉันกลับสภาพตัวใหญ่เมื่อไหร่ละก็จะตืบให้”
“บาปกรรม”
“อ้าว ทีมันจะกินบีมล่ะ”
“มันเป็นสัตว์ไม่ใช่คนไม่รู้เรื่อง ไม่มีความผิด”
“งั้นไอ้พวกที่พูดไม่รู้เรื่องก่อกวนทำลายบ้านเมืองก็ไม่มีความผิดยังงั้นซิ”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ใช่คนก็ไม่มีความผิด”
“โห เถียงแบบนี้ออกไปให้มดกินดีกว่าเรา”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างมองบีมกับปิงปองอดขำไม่ได้

ชาวบ้านต่างยกมือไหว้เอกภพ
“ข้าขอบใจพี่ท่าน”
ไไม่เป็นไร รีบกลับบ้านไป เอ้า นี่ไปแบ่งกันซื้อความเป็นไทให้กับทุกคน” ชายรับถุงเพชรและจินดาจากเอกภพ
“จำไว้ ช่วยใครได้ก็ช่วยอย่าเห็นแก่ตัว”
“จ้ะ พวกเราจะไปช่วยไถ่ตัวพวกทาสจ้ะ”
“ระวังตัวด้วย โชคดี” พวกทาสต่างรีบออกไป เอกภพมองร่างของพวกโจรที่นอนตายเกลื่อนกลาดอยู่ “ต้องเป็นลูกหลานของไอ้คนพวกนี้แน่ๆ ที่โกงกินบ้านเมืองเราอยู่ตอนนี้”
เอกภพเดินกลับไปทางด้านณัชชาและทุกคน

ทายาททุกคนต่างถือไฟฉายอยู่ในมือ สาดไปสาดมาไปยังซอกเขา ทุกอย่างเงียบสงบ
“พวกมดหายไปแล้ว”
“สงสัยมันกลัวบีมตืบ”
ปิงปองทุบบีมตุ๊บ ทั้งหมดช่วยกันสาดไปออกไปมองดูเพื่อความแน่ใจเห็นแต่ความว่างเปล่า
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว”
“เก็บไฟฉายไว้ก่อน ใช้แค่ของพี่อันเดียว”
ไกรยุทธ์บอก ทุกคนเก็บไฟฉายไว้ในเป้
“แสงไฟ” ปิงปองตะโกน
ทุกคนมองตามปิงปองก็เห็นม่านแสงสว่างจางอยู่ห่างออกไปทางด้านหน้าเหมือนท้องฟ้าเป็นสีแดง เต้นไปมาเหมือนไฟไหม้ป่าอยู่ในระยะไกล
“เย้”
ทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นกัน ยกเว้นไกรยุทธ์สีหน้าเคร่งเครียด
“แสงไฟอยู่ไกลมาก ทุกคนเตรียมพร้อมเดินทางอย่าประมาท กลางคืนมีสัตว์นาๆ ชนิดออกมาหากิน” ทุกคนต่างเงียบเสียงลง เริ่มตั้งใจจริงใจ ไกรยุทธ์เปิดเป้ดึงปืนมาเหน็บไว้ที่เอวแล้วดึงขดเชือกขึ้นมา “เราจะเอาเชือกคล้องตัวกันไว้กันหลง”
ทุกคนสีหน้าตื่นเต้นต่างรับเชือกมาผูกไว้กับเอวของตนกันวุ่นวาย

เอกภพ ณัชชา ปาระนัง ราเชนและนาชะล้อมกันอยู่ที่กองไฟ
“นาชะบินจนทั่ว ยังไม่พบอะไรเลยแปลกมาก”
“ไม่แปลกหรอก พอตัวเล็กแค่พื้นที่นิดเดียวก็กลายเป็นใหญ่เท่าโลกหนึ่งใบ”
“คำว่ากบอยู่ในกะลา เป็นแบบนี้เอง”
“ยังไง พวกทายาทต้องเห็นไฟกองนี้แน่ๆ”
“ห่วงแค่พวกสัตว์ที่ออกมาหากินกลางคืนเท่านั้น”
“เราจะคอยอยู่ระวัง ไม่ให้พวกมันเข้ามาในบริเวณนี้”
“เราต้องเปลี่ยนเวรกันเฝ้าตลอดเวลา”

ทุกคนต่างพยักหน้า สีหน้าไม่สามารถซ่อนความกังวลไว้ได้

ที่รังของกำจร กำจรเดินไปมา มีพวกมือปืนเต็มไปหมด
“ทุกคนต้องสลายตัวไปก่อน ไอ้เทพบ้านั่นพลังมันร้ายมาก รอคำสั่งจากข้า”
พวกมือปืนต่างแยกย้ายกันวุ่นวาย
อีกด้านหนึ่งที่องค์กรของอาคิน อาคินนั่งอยู่ที่บัลลังก์ อำนาจเข้ามารายงาน
“พวกนายกำจรสลายตัวหายไปหมดแล้วครับ”
“ตามล่าหาพวกมันให้พบ แล้วลากตัวพวกมันมาพวกมันทั้งหมดต้องเป็นทาสของข้า”
อำนาจรีบโค้งแล้วออกไป
“ท่านมีแผนบางอย่างเกี่ยวกับโลกมนุษย์”
“เราแค่ชอบโลกมนุษย์ มนุษย์อ่อนแอ ส่วนใหญ่ยังโง่และไม่มีการศึกษา จูงจมูกได้โดยง่าย งานสำเร็จเราจะเลือกโลกมนุษย์เป็นที่พักผ่อนของเรา” อาคินหัวเราะก้อง ทันใดนั้นร่างของอาคินมีกลุ่มควันปรากฏล้อมอยู่ “พวกเจ้าแบ่งกำลังออกไปตามหาทายาทให้พบ”
กลุ่มควันกระจายแล้วพุ่งออกไปหลายทิศทาง อาคินหัวเราะก้อง

แสงไฟฉายหนึ่งลำวอบแวบมาตามพุ่มไม้. ไกรยุทธ์เดินนำพวกทายาททั้งหมดต่างเอาเชือกผูกเอวติดกัน ไกรยุทธ์หยุดเดินทำให้ทุกคนหยุดไปด้วย
“ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อย แต่เราจะหยุดไม่ได้ ระยะทางอีกไกล ถ้าเช้าเมื่อไหร่ เราจะมองไม่เห็นแสงไฟ”
“พวกเราไหวค่ะพี่ยุทธ์”
“โอเค งั้นเราลุยต่อ”
ทันใดนั้นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
“ทุกคนอุดหู” ทุกคนรีบเอามืออุดหู เสียงฟ้าร้องดังสนั่น “แย่แล้ว”
“โห ให้มันได้ยังงี้ซิ”
“อย่าบอกนะว่าฝนจะตกตอนนี้”
“เราต้องหลบเข้าไปในถ้ำก่อน”
“ทุกคนไฟฉายออกมาช่วยกันหาถ้ำเร็วเข้า”
“โธ่เอ๊ยฝนตกนิดหน่อย..กลัวไปได้”
ทันใดนั้นบีมวิ่งเข้าชนปิงปองล้มออกไปหลบทำให้ไกรยุทธ์กับนาฬิกา เซล้มระเนระนาดไปด้วยเพราะผูกเชือกที่เอวติดกันอยู่ มีเม็ดฝนเป็นหยดน้ำใหญ่เบ้อเร่อตกลงมาที่พื้นเสียงดังสนั่น น้ำกระจายเปียกทุกคน
“ไง คนไม่กลัวน้ำฝน เกือบโดนหยดน้ำทับตายไปแล้ว”
“รีบหาที่หลบก่อนที่ฝนจะตกแรงกว่านี้”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างกราดไฟฉายไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ไกรยุทธ์เห็นถ้ำเล็กๆ พอดี
“ทางนี้ เร็วเข้า”
ไกรยุทธ์ดึงนาฬิกาลุกขึ้นขณะที่บีมดึงปิงปองให้ลุกขึ้น ไกรยุทธ์ออกวิ่งนำ ตามด้วยนาฬิกาบีมกับปิงปองวิ่งตามออกไป ฝนเม็ดใหญ่ตกกระแทกพื้นดินดังสนั่นๆ ตูมๆๆ

ไกรยุทธ์วิ่งนำทุกคนพรวดเข้ามาในถ้ำ ต่างยืนหอบกันวุ่นวาย
“นึกไม่ถึงว่าเกือบถูกน้ำทับตาย”
“จำไว้ อย่าอวดเก่งท้าทายธรรมชาติ”
“แย่แล้ว ฝนตกอย่างนี้กองไฟต้องดับแน่ๆ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมเชื่อว่าพี่เอกภพ องค์หญิง และทุกๆ คนต้องหาทางที่จะส่งสัญญาณให้เราเห็นอีก”
ทุกคนต่างมองออกไปด้านนอกที่ฝนยังตกกระหน่ำอยู่

ท้องฟ้าแลบแปบปลาบ ฝนเทกระหน่ำ เอกภพ ณัชชา ปาระนัง ราเชน ยืนมองท้องฟ้าสีหน้ากังวลต่างถือใบไม้กันฝนยกเว้นปาระนังคนเดียว
“เชื่อเลย”
“ถ้าฝนตก ไฟดับ ทายาทมองไม่เห็นกองไฟแน่ๆ”
ทันใดนั้นร่างของนาชะขนาดเล็กบินแวบออกมาจากราวป่าแล้วกลายเป็นใหญ่ขึ้น
“โห เสียงดังสนั่นน่ากลัวมาก”
“ถ้าไฟดับผมยังพอมีไฟฉาย แต่กลัวว่าน้ำฝนนิดเดียวจะกลายเป็นกระแสน้ำท่วมพวกทายาทได้”
“เราต้องเสี่ยงใช้มนต์ให้ทายาทใหญ่ขึ้นเท่าเดิม”
“ใจเย็นก่อนครับองค์หญิง น้องปาระนังสามารถควบคุมน้ำได้ โดยไม่ต้องใช้พลังเทพ”
ณัชชาหันมาทางปาระนังอย่างมีความหวัง
“องค์หญิงอย่าได้กังวลเพคะ”
ปาระนังก้าวกางแขนออกแล้วหมุนตัวรอบๆ น้ำฝนกระจายออกไปนอกบริเวณจนหมด ตกแต่ด้านนอกบริเวณ”สุดยอดเลยครับท่านธิดา”
“ด้วยความยินดีค่ะผู้กอง”

ทั้งหมดต่างยิ้มให้กัน

ทายาททั้งสี่อยู่ในถ้ำมองออกมาด้านนอก
“ฝนหยุดแล้ว” ปิงปองยกมือพนม “สาธุ”
ไกรยุทธ์รีบปราดไปที่ปากถ้ำ กราดสายตาออกไปด้านนอก
“กองไฟยังอยู่ครับ”
“เย้”
ทุกคนวิ่งตามมาต่างมองด้วยความดีใจ
“แต่บีมยังได้ยินเสียงฝนตกอยู่เลย”
“อาจจะตกที่อื่นอยู่ เรารีบไปกันดีกว่า ก่อนที่จะกลับมาตกที่นี่อีก”
ไกรยุทธ์รีบเปิดย่ามเอาไฟฉายออกมา กราดไฟฉาย แล้วนำทางออกไป ทุกคนต่างเดินตาม

ในที่สุดฝนก็หยุดตกเอกภพเอาฟืนมาเติมเข้ากองไฟ ในขณะที่ทุกคนเอาฟืนมากองไว้ข้างๆ
“เราน่าจะมีฟืนก่อไฟได้ทั้งคืน”
“ตอนนี้เราคงทำได้แต่รอ”
“ใช่ ถ้าเราจะค้นหาตอนนี้เสี่ยงต่อการเหยียบพวกทายาทมากกว่า”
“ผมกลัวพวกสัตว์หากินกลางคืนมากกว่า”
“ผมจะระวังไม่ให้สัตว์เข้ามาป้วนเปี้ยนในบริเวณ”
“ผมจะมารับช่วงตอนดึกต่อจนถึงเช้า”
“งั้นนาชะขอนอนก็แล้วกัน จะได้ไม่เกะกะใคร”
นาชะพยายามพูดตลก แต่ไม่มีใครยิ้มด้วย นาชะหน้าหุบเดินออกไป

เอกภพกราดสายตาไปรอบๆ ภายนอก ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันไปมอง
“เอ ผมจำไม่ได้ว่านัดองค์หญิงไว้”
ร่างของณัชชาเดินเข้ามาในขณะที่เอกภพก็หันมามองณัชชาที่เดินเข้ามาใกล้
“เปล่า แต่ถ้าเป็นการรบกวนฉันกลับดีกว่า”
“โน มาแล้วผมไม่ยอมให้กลับง่ายๆ หรอก”
“ระวังจะเจอข้อหา กักขังหน่วงเหนี่ยวอาจถูกจำคุกหัวโต”
“ถ้ากักองค์หญิงไว้ได้ ติดคุกตลอดชีวิตก็ยอมครับ”
ณัชชาจ้องเอกภพ เอกภพสบตานิ่ง ณัชชาส่งยิ้มให้
“ถ้างั้นฉันไปดีกว่า ไม่อยากให้ใครต้องติดคุก”
“แต่ผมเต็มใจ” ณัชชาสบตายิ้มให้แล้วค่อยเดินเข้าหาเอกภพ เอกภพตื่นเต้น ณัชชาเดินเข้ามาใกล้และซบที่อก
“องค์หญิง”
“อยู่เฉยๆ”
“เอ้อ...ครับ”
“มีคนจำนวนมากล้อมเราอยู่”
เอกภพนิ่งสัมผัสอึดใจ แล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“เฮ้อ มีแต่ก้างขวางคอ” ณัชชายิ้ม

ไกรยุทธ์นำขบวนทุกคนมา แล้วหยุด จ้องมองข้างหน้า ทุกคนหยุดตามคาดไม่ถึงเพราะตรงหน้าเห็นเป็นเหมือนทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาล
“โห...จบ เราจะข้ามไปได้ยังไงเนี่ย”
“เราต้องไปให้ได้ แสงไฟอยู่ข้างหน้า”
ทุกคนมองไปที่แสงไฟสาดจ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ
“ทะเลสาบมาอยู่ในป่าได้ยังไง เซ็งสุดๆ”
“พี่คิดว่าเป็นรอยเท้าสัตว์มากกว่าฝนตกน้ำขังพวกเราตัวเล็กก็เลยเห็นใหญ่เท่าทะเลสาบ”
“สุดยอด ให้มันได้ยังงี้ซิ”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันสายตากังวลหมดหวัง

ณัชชายังอยู่ในอ้อมกอดของเอกภพ
“ผมจะออกไปจัดการกับพวกมันเอง”
“พวกมันมาใกล้เกินไปแล้ว เราต้องแยกกันป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาในรัศมีเขตของพวกทายาท”
“เราสองคนจะระวังทางด้าน เหนือกับตะวันออก” ราเชนบอก
“งั้นฉันกับผู้กองจะระวังทางด้าน ตะวันตกกับด้านใต้”
นาชะแวบมาตรงหน้าของ ณัชชากับเอกภพ
“จะให้นาชะทำอะไรเพคะองค์หญิง”
“เจ้าหลบไปตามหาพวกทายาท”
“ด้วยความยินดีเพคะ”
นาชะแวบหายไป ณัชชาถอยออกจากอกของเอกภพ ทั้งสองคนขยับตัวหันไปทางด้านนอกก็เห็นคบไฟหลายคบล้อมเข้ามาใกล้จนเห็นหน้าพวกมัน คนนำคือหัวหน้าทหารที่หนีรอดเงื้อมมือของเอกภพไปเมื่อตอนกลางวันนี้เอง
“ไง...เอ็งคิดว่าข้าจะปล่อยให้เอ็งรอดไปเรอะ” เอกภพยิ้ม
“ข้าไม่คิดว่าเอ็งจะโง่กลับมาหาที่ตายต่างหาก”
“ป่านี้กว้างใหญ่ เราต่างคนต่างแยกไปดีกว่า” ณัชชาบอก
“พูดง่าย แต่ทำยาก”
“ท่านต้องการอะไร”
หัวหน้ายกดาบชี้ที่เอกภพ
“ตอนแรกข้าต้องการแต่ไอ้นี่...แต่ตอนนี้ ข้าจะเอาพวกเอ็งเป็นทาส”
“ก็ได้ เรายอมไปกับพวกท่าน”
เอกภพหันมามองณัชชา ณัชชาสบตาเป็นเชิงให้เงียบ ราเชนกับปาระนังต่างสบตากัน หัวหน้าคาดไม่ถึงมันกราดสายตาสำรวจไม่ไว้ใจ
“เชิญท่านนำไปได้”
“เดี๋ยว ดูท่านเร่งร้อนจะไปจากที่นี่หรือว่าซ่อนของมีค่าไว้พวกข้าต้องตรวจดู”

ณัชชากับเอกภพต่างสบตากันสีหน้าเคร่งเครียด ราเชนกับปาระนังต่างเตรียมพร้อม

ทางด้านของทายาท ทั้งหมดต่างกราดไฟฉายไปมา เพื่อมองหาฝั่งอีกด้านหนึ่ง
“รอยเท้าตัวอะไรก็ไม่รู้ ใหญ่เป็นบ้า”
“สงสัยลูกช้างตัวที่วิ่งไล่ตืบเรา”
“เร็วเข้า ทุกคนลองใช้ของที่ติดตัวมา เผื่อว่าจะช่วยให้เราข้ามได้”
ทั้งหมดต่างเอาของประจำตัวออกมา บีมใส่ถุงมือข้างขวา นาฬิกาสะบัดผ้าเช็ดหน้าไปมา ปิงปองถือสมุดกับดินสอ ไกรยุทธ์ม้วนเชือกของตนเป็นขดอย่างเดิมถือไว้ในมือ ทันใดนั้นปิงปองร้องขึ้น
“ดินสอปิงปองวาดรูปแล้ว”
มือที่ถือดินสอของปิงปองวาดไปมาบนหน้าสมุดแล้วหยุด ปิงปองยกให้ทุกคนดู ทุกคนต่างส่องไฟไปที่สมุดก็พบว่าดินสอวาดเป็นรูปแพ
“เร็วปิงปอง รีบฉีกออกมาวางไว้บนพื้น”
ปิงปองฉีกกระดาษออกมา กระดาษหลุดมือลอยไปที่ชายฝั่งของทะเลสาบ พอถึงผิวน้ำก็กลายเป็นแพขึ้นมา มีไม้สำหรับดันพร้อม
“ทุกคนขึ้นแพ”
ทุกคนต่างรีบขยับตัวไปที่ริมน้ำอย่างตื่นเต้น

เอกภพกับณัชชากราดสายตามองพวกมัน ปาระนัง ราเชนขยับตัวเตรียมพร้อม พวกมันเริ่มตีวงล้อมเข้ามาในบริเวณ
“เดี๋ยว”
“เอ็งจะทำไม”
“ข้าไม่ไปกับพวกเอ็งแล้ว แต่จะส่งพวกเอ็งไปลงนรกแทน” หัวหน้าแสยะยิ้ม
“พวกเรา บุกเข้าไปดูซิว่าพวกมันซ่อนอะไรไว้”
พวกมันบุกเข้าหาทุกคน หมายฝ่าด่านเข้ามา
“แยกกันสกัด อย่าให้พวกมันผ่านเข้ามาได้”
ณัชชาบอกแล้วดีดตัวออกไป ดาบในมือปรากฏเป็นแสงรังสีแดงสาดไปทั่ว พวกมันถึงกับชะงัก เอกภพตวัดมือขึ้นปืนอยู่ในมือทั้งสอง ราเชนตวัดมือมีมีดสั้นปรากฏ ปาระนังสะบัดดาบปลายแหลมไปมา
“ผู้กอง อย่าใช้ปืน เสียงดังจะทำให้ทายาทตกใจ”
เอกภพสะบัดมือไปทางด้านหลังเก็บปืน ตวัดมือไปที่เอวดึงมีสั้นที่เหน็บไว้ขึ้นมา สถานการณ์ตึงเครียด
ทายาททุกคนอยู่บนแพ บีมยืนอยู่หน้าสุดมือขวาที่ใส่ถุงมือยกไปข้างหน้าเป็นลำแสงสว่าง ไกรยุทธ์ นาฬิกาและปิงปองต่างช่วยกันใช้ไม้ยันให้แพลอยไปยังจุดหมายข้างหน้าคือม่านไฟลิบๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

พวกโจรแบ่งออกเป็นสองแถว แถวแรกยืนเป็นวงกลมอยู่รอบนอกถือคบไฟส่องสว่าง อีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามารอบด้าน ณัชชาตวัดดาบใส่พวกมันสี่ห้าคนที่บุกเข้ามากระจัดกระจายออกไป เอกภพหลบพวกมันคนหนึ่งที่ฟันดาบข้ามหัวไปตวัดมีดผ่านลำตัวของมันไปมันทรุด ปาระนังตวัดดาบปลายแหลมใส่พวกมันกระเด็นถอยออกไป ราเชนใช้ดาบสั้นสกัดพวกมันเข้าไม่ติด ทั้งหมดตั้งหลักสกัดไม่ให้พวกมันผ่านเข้าไป
ไกรยุทธ์ นาฬิกา ปิงปอง ต่างช่วยกันยันแพไปโดยมี บีมคอยใช้มือขวาใส่ถุงมือส่องเป็นแสงไปข้างหน้า
“ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า”
“เสียงเหมือนการต่อสู้ ในสมรภูมิสงคราม”
ทันใดนั้นเสียงแคร๊งดังขึ้นสนั่น แล้วมีดาบวิ่งลงมาปักลงตรงหน้าแพ เสียงดังสนั่นน้ำกระจายใส่ทุกคนตกลงไปในน้ำ ทุกคนต่างส่งเสียงร้องกันโวยวาย
“ทุกคนรีบขึ้นแพ”
ทุกคนต่างตะเกียกตะกายว่ายน้ำขึ้นบนแพจนได้ ต่างตั้งตัวใหม่ช่วยกันดันแพมุ่งไปยังจุดหมาย บีมยกมือส่องทางทุกคนก็ถึงกับตื่นเต้นเมื่อแพผ่านเห็นด้ามดาบขนาดยักษ์ที่โผล่อยู่กลางน้ำ
“เราอยู่กลางสงครามจริงๆ”
“โห...ถ้าโดนเข้าดับแน่”
“เร็วเข้า เราต้องรีบเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด”

ทั้งหมดรีบจ้ำท่อไม้กันวุ่นวาย

อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.

ธิดาพญายม ตอนที่ 7 (ต่อ)

พวกโจรไม่ยอมถอยง่ายๆ พยายามบุกเข้ามาทุกด้าน แต่แล้วก็ไม่สามารถผ่านณัชชากับทุกคนไปได้
ในที่สุดพวกมันถอยห่างออกไปรวมกับพวกที่ถือคบเพลิง
“ท่าทางไม่ดีซะแล้ว”
“เผาพวกมัน”
พวกมันกวาดคบไฟไปมาตรงหน้าแล้วจี้จุดเข้ากับหญ้าตรงหน้า ไฟลุกขึ้นรอบๆ บริเวณพรึบขึ้นมาทันที
“องค์หญิง ไฟรอบทิศ พวกทายาทหลงแน่”
“มนุษย์พวกนี้ สมควรตาย”
ณัชชาแววตาดุดันน่ากลัว
ทายาททุกคนกำลังช่วงกันพายแพไปยังไฟที่เห็นตรงหน้า แต่แล้วทุกคนก็ต้องตื่นเต้น
“ไฟรอบไปหมด เราจะไปทางไหน”
ทุกคนต่างมองไปรอบๆ ทะเลสาบเห็นแสงไฟสาดจ้ารอบๆ จนจับทิศไม่ถูก ต่างมีสีหน้ากังวล
 
ณัชชาจ้องมองพวกโจรดวงตาดุราวมัจจุราช พวกมันต่างโห่ร้อง แล้วขว้างคบไฟเข้ามาในวงเขตที่ป้องกัน  
“อย่าให้คบไฟตกถึงพื้น”
เอกภพดีดตัวขึ้นตวัดมือตบคบไฟที่อยู่ใกล้ตัวสองสามอันกระเด็นออกไปใส่พวกมันกระเด็นไปสองคนร้องเหมือนควายถูกเชือด ณัชชาตวัดดาบคบไฟที่อยู่ใกล้สองสามอันหลุดลอยไปใส่พวกมันถูกพวกมันหนึ่งคน ที่เหลือหลบรอดไปได้ ปาระนังตวัดดาบ ปัดเอาคบไฟสองสามคบกระเด็นออกไปใส่พวกมัน ที่หลบหนีตาย ราเชนดีดตัวใช้มือตบคบไฟที่อยู่ใกล้สองสามอันกระเด็นออกไปจนหมด พวกมันต่างเริ่มถอย ณัชชาควงดาบพร้อมจะปล่อยพลังออกไปเพื่อดับไฟ ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏ
“อย่าเพคะองค์หญิง ถ้าใช้พลังพวกภูตสังหารจะมาทันที”
“เราไม่มีทางเลือก เจ้าหลบไป”
นาชะต้องแวบหายไป ณัชชาควงดาบแต่แล้วทันใดนั้นร่างของราเชนปรากฏขึ้นตรงหน้า
“องค์หญิง ไฟคือเรา เราคือไฟ ท่านไม่ต้องใช้พลัง” ณัชชาลดดาบลง
“เชิญท่านราเชน”
ราเชนดีดตัวออกไปนอกวงล้อมของไฟข้ามหัวของพวกมัน พวกมันคาดไม่ถึง ทันใดนั้นไฟที่ไหม้ล้อมอยู่พุ่งเป็นแนวไปที่ร่างของราเชนจนมารวมกันอยู่ที่ร่างของราเชนจนหมด ร่างของราเชนลุกเป็นไฟ พวกมันต่างตกใจตื่นกลัว
ราเชนหัวเราะก้อง
“พวกเจ้าชอบเล่นกับไฟ เราจะสนองให้”
ราเชนยกมือออกไปที่พวกมัน ไฟพุ่งไปหาพวกมัน พวกมันบางคนถูกไฟร้องโหยหวนที่เหลือต่างวิ่งหนีหายเข้าแนวป่าไปในที่สุด
“อย่าหวังว่าจะหนีพ้น”
ปาระนังดีดตัวตามพวกมันออกไป ไฟที่ร่างของราเชนค่อยๆ ลดลงและหายไปในที่สุด
“เรามีโทสะขาดความยั้งคิด เกือบใช้พลังออกไปทำให้ทุกคนเกือบตกอยู่ในอันตรายจากเทพอาคิน”
“องค์หญิงทำเพื่อป้องกันทายาทเท่านั้น”
“ท่านควรจะตามท่านธิดาไป”
“ลำพังท่านธิดาพวกมันย่อมไม่มีใครรอดชีวิต”
 
ทางด้านทายาททุกคนต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นไฟรอบตัวหายไป ต่างเฮ
“รีบไปพวกเรา”
ทุกคนต่างถ่อแพมุ่งตรงไปยังแสงไฟเบื้องหน้า
พวกโจรวิ่งเตลิดเข้ามาในป่า แต่แล้วร่างของปาระนังก็พุ่งข้ามหัวพวกมันไปยืนขวางทางอยู่ พวกมันเบรกกึก
“พวกเจ้าชอบเผานัก เราจะส่งพวกท่านไปเล่นกับไฟในนรก”
“ปากมาก พวกเราจับนางนี่มาให้ข้าทำเมีย”
พวกมันต่างกรูเข้าหาปาระนัง ปาระนังพลิ้วตัวเข้าหาพวกมันตวัดดาบฟาดไปมา พวกมันร้องครวญครางล้มตายจนหมดภายในพริบตา ไอ้ตัวหัวหน้าหน้าซีด มันหันหลังกลับวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ทันใดนั้นลูกธนูไฟโลกันต์วิ่งมาเสียบมันดังตึบ มันมองอย่างคาดไม่ถึง ไม่เข้าใจว่ามาได้อย่างไร มันร้องเสียงดังร่างของมันระเบิดเป็นจุลไป ปาระนังตวัดดาบเก็บ ร่างของราเชนก้าวเข้ามา
“ท่านราเชนคิดว่าปาระนังไม่สามารถจัดการกับมนุษย์เลวพวกนี้ ถึงได้ตามมายุ่ง”
“พี่เกรงว่าน้องปาระนังจะใจดีปล่อยพวกมันไปมากกว่าก็เลยต้องมาดูเพื่อความแน่ใจ”
“ดูอย่างเดียวก็ได้นี่ ทำไมต้องลงมือด้วย”
“อ้อ มนุษย์เลวคนนั้น ต้องเจอลูกธนูโลกันต์ของพี่ถึงจะสาสม” ปาระนังค้อน ราเชนยิ้ม “เรากลับไปหาองค์หญิงกับผู้กองดีกว่า”
ทั้งสองเดินออกไป

ฟืนถูกส่งเข้ากองไฟ ณัชชา เอกภพ ปาระนัง ราเชนและนาชะนั่งอยู่รอบกองไฟ
“ต้องขอบใจเจ้าด้วยนาชะ ที่มายับยั้งข้าไว้”
“ทรงมีรางวัลให้ นาชะก็ไม่ว่า” ทุกคนยิ้ม
“หวังว่า ทายาทคงจับทิศของกองไฟได้”
“เรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง ถึงตอนนั้นคาดว่าทายาทควรจะอยู่ใกล้พอที่เราจะพบได้”
“หวังว่าคงเป็นเช่นนั้น เราช้ามากแล้ว”
 
ทางด้านทายาททั้งหมดจ้ำแพมา
“เห็นฝั่งแล้ว”
บีมยกมือขวาสาดไปข้างหน้าเห็นต้นไม้เป็นเงาทะมึนอยู่ตรงหน้า ไกรยุทธ์ยกนาฬิกาขึ้นดู
“เพิ่งตีหนึ่ง เรามีเวลาอีก 4 ชั่วโมงก่อนจะเช้า”
“เราน่าจะใกล้ไฟกองใหญ่พอที่พี่ณัชชาจะมองเห็นได้”
“เย้”
“ทุกคนเร่งมือ เร็วเข้า”
ทุกคนต่างจ้ำแพพุ่งตรงเข้าไปยังฝั่งที่เห็นตรงหน้า
 
ที่องค์กรของอาคิน อาคินนั่งอยู่ที่บัลลังก์ เทพซ้ายขวาเข้ามา
“นายอำนาจรายงานว่าพวกกลุ่มมาเฟียที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ขณะนี้กบดานหายเงียบไปหมด”
“เพิ่มกำลังตามหาพวกมัน”
“แล้วทางด้านองค์หญิง”
“ภูตสังหารออกตามล่าอยู่ พบเมื่อไหร่ ข้าจะรู้ทันที”
 
ฟืนเข้าสู่กองไฟสว่างขึ้น เอกภพนั่งบนขอนไม้ตรงข้ามกับณัชชาและนาชะ ราเชนเอนร่างพิงต้นไม้หลับอยู่ ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นร่างของปาระนัง
“อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์จะขึ้น ถึงตอนนั้นกองไฟคงช่วยอะไรมากไม่ได้”
“พวกทายาทล้วนฉลาด ผมเชื่อว่ากำลังมุ่งหน้าเข้าหาเรา”
“ถ้าเช้านี้ยังไม่มีร่องรอย ฉันจะใช้มนต์ให้ทายาทปรากฏ”
“นั่นหมายถึงเราต้องบู๊กับเทพอาคินแน่นอน”
“เราไม่มีทางเลือก เราช้าไปสองวันแล้ว”
“นาชะว่านาชะลองบินวนดูซักรอบสองรอบดีกว่า”
นาชะพลันกลายเป็นตัวเล็กละอองสีชมพูกระจาย แล้วบินหายแวบไป เอกภพได้แต่สบตากับณัชชาไม่มีใครพูดอะไร ออกมาสีหน้าบ่งบอกถึงความหนักใจ
 
ทายาททั้งสี่พยายามดันแพให้ใกล้ฝั่ง
“เอ๊ะ ทำไมดูเหมือนฝั่ง ขยับไปมา”
“บีม ขอยกมือขวาหน่อย”
บีมยกมือขวาขึ้นสูง แสงจากถุงมือสาดไปยังริมฝั่งของทะเลสาบ ทันทีที่แสงสาดกระทบ ทุกคนถึงกับหน้าซีดคาดไม่ถึง บนชายฝั่งฝูงมดแดงเดินป้วนเปี้ยนไปมาเต็มไปหมด
“เราไม่รอดแน่นอน”
นาฬิกาทรุดตัวลงกับแพ สิ้นแรง ปิงปองกับบีมทรุดตัวลงนั่งลงกับแพคิดไม่ตก ไกรยุทธ์ทรุดตัวลงนั่งใกล้นาฬิกา
“อย่าเพิ่งท้อครับ ผมจะทำทุกอย่างที่จะพาคุณนาฬิกาไปถึงให้ได้ แม้ว่าจะแลกด้วยชีวิตก็ตาม”
นาฬิกาจ้องสายตาไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์จ้องตอบสายตามุ่งมั่นจริงใจ นาฬิกาซึ้งใจในที่สุดขยับตัวซบเข้าสู่อ้อมกอดของไกรยุทธ์ ไกรยุทธ์โอบนาฬิกาไว้ในอ้อมแขน ปิงปองกับบีมต่างมองด้วยความซึ้งใจทั้งสองสบตากัน
“บีมก็เหมือนกัน จะไม่ให้ปิงปองเป็นอันตราย”
ปิงปองฝืนใจยิ้มหวานให้ ทันใดนั้นร่างของนาชะปรากฏจนแพไหว
“พี่นาชะ มาได้ยังไง”
“ที่ไหนมีความรัก ที่นั่นมีนาชะ”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างยิ้ม ทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจ
เพราะความรักที่ไกรยุทธ์กับนาฬิกามีต่อกันทำให้นาชะตามหาทุกคนพบ
“พี่จะโผล่ขึ้นไปตามทุกคนมาที่นี่ เดี๋ยวมา” นาชะบอก
“แน่ใจนะว่าพี่นาชะกลับมาถูก”
“แน่อยู่แล้ว แต่ถ้ากลัวพี่หลงละก็ เลิฟเลิฟกันมากๆ เดี๋ยวพี่ก็มาถึงเองนั่นแหละ”
นาฬิกายิ้มเขินกับไกรยุทธ์ นาชะบินพุ่งขึ้นไปด้านบนยอดหญ้า
ณัชชาและทุกคนต่างยืนระวังรอบๆ บริเวณ ทันใดนั้นร่างของนาชะบินขึ้นมาจากยอดหญ้าแล้ววนไปบินอยู่ตรงหน้าณัชชาส่งเสียงบอกด้วยความตื่นเต้นลืมไปว่าตนตัวเล็กเสียงจึงออกมาแค่วี๊ดๆ แหลมเบาๆ เหมือนยุงณัชชาเหล่
“พูดเป็นเสียงยุงใครจะฟังรู้เรื่อง”
นาชะฟุบขึ้นมาเป็นตัวเท่าจริง
“เจอทายาทแล้วเพคะองค์หญิง ทุกคนปลอดภัยดีเพคะ”
ณัชชาตาโตด้วยความตื่นเต้น

ทายาททั้งสี่นั่งอยู่ที่กองไฟตรงข้ามกับนาชะ ณัชชา เอกภพ ปาระนังและราเชน
“เป็นความผิดของพี่เอง แต่ทุกคนเก่งมากสามารถผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาได้”
“เกือบโดนมดงาบไปแล้วครับ” ทั้งหมดต่างยิ้ม
“ความจริงก็ดีเหมือนกันค่ะ เราจะได้เห็นความสำคัญของชีวิตที่เล็กๆ ของผู้อื่นบ้าง”
ปิงปองพูดพลางเหล่ที่บีม
“เค้าว่าผมครับ เพราะผมจะตืบมด” ทั้งหมดต่างยิ้มกัน
“เก่งมากนาชะ ที่หาพวกทายาทพบ” ปาระนังบอก
“นาชะไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ แค่...ความรักอยู่ที่ไหน นาชะอยู่ที่นั่น”
“ยังไงเหรอนาชะ”
ปาระนังกับราเชนต่างมองหน้ากันยิ้ม
            “โอ๊ะ โอ...”
เอกภพมองหน้านาฬิกากับไกรยุทธ์ นาฬิกายิ้มเขิน คนอื่นๆ ต่างยิ้ม
 
หน้าโรงงานแห่งหนึ่ง รถแล่นเข้ามาจอดสองสามคัน อาคินกับเทพซ้ายขวาปรากฏพร้อมควันดำล้อมรอบแล้วจางลงตรงด้านหน้า อำนาจกับมือปืนนับสิบพรวดออกมาจากรถทั้งสอง อำนาจเข้ามารายงาน
“สายของเราบอกว่าพวกมันมากบดานที่นี่”
อาคินสีหน้าเยือกเย็น
ภายในโรงงาน กำจรเดินไปเดินมาสีหน้ากังวล มือปืนเข้ามารายงาน
“พวกมันส่งคนออกตามล่าทุกกลุ่ม พวกเรากำลังแย่”
“แต่หัวหน้าไม่ต้องกลัว ที่นี่ปลอดภัยแน่นอน”
แต่แล้วเสียงปืนดังสนั่นเข้ามา
“บ้าที่สุดต้องเป็นไอ้เทพอาคินปีศาจนั่น มันรู้ไปหมด”
“เฮ้ย พวกเอ็งออกไปสกัดไว้ หัวหน้ามาทางนี้กับผม”
พวกมือปืนออกไป มือปืนพากำจรไปอีกทางหนึ่ง แต่พอพ้นหลังกำจรเสียงปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหว พวกมือปืนที่ออกไปต่างถอยเข้ามาถูกยิงล้มตาย ร่างของอำนาจกับมือปืนก้าวเข้ามา
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก้องร่างของอาคินปรากฏพร้อมมีกลุ่มควันดำรอบตัว พร้อมกับเทพซ้ายขวา
“นายกำจรหนีไปได้ แต่พวกมันที่เหลือยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน”
อาคินพยักหน้าสีหน้าเคร่ง
“ตามล่าพวกมันให้ถึงที่สุด”
อำนาจพยักหน้ารับ อำนาจกับมือปืนออกไป
“อีกไม่นาน พวกมันทั้งหมดต้องสยบกับข้า”
“แล้วทางด้านองค์หญิง ท่านจะ”
“เราจัดการได้ ไม่ต้องการความเห็นจากท่าน” เทพซ้ายขวาเงียบถอยห่างออกไป “องค์หญิงณัชชา ท่านหนีเราได้ไม่นานหรอก” อาคินหลับตาท่องมนต์ทันใดนั้นควันดำปรากฏล้อมตัวอาคิน ล่องลอยอยู่รอบๆ “ออกไปทั่วทุกแดน ทุกกาลเวลาปลุกชีพวิญญาณร้ายทุกตัวให้สกัดพวกขององค์หญิงให้ได้”
ทันใดนั้นควันดำกลายเป็นอีกาดำฝูงใหญ่บินกระจายออกไปจากร่างของอาคินส่งเสียงกึกก้อง อาคินหัวเราะก้อง
 
ทายาทต่างพักผ่อนกัน มีนาชะและณัชชาอยู่ใกล้ๆ ราเชนและปาระนังยืนระวังอยู่ด้านหนึ่ง นาฬิกาลุกขึ้นมา
แล้วเดินมาที่เอกภพซึ่งยืนระวังรักษาการอยู่อีกด้านหนึ่ง นาฬิกาเดินเข้ามาหา เอกภพหันมาต่างยิ้มให้กัน
“พี่คงไม่ให้อภัยตัวเองถ้าคุณนาฬิกาเป็นอะไรไป”
“นาฬิการู้ว่าพี่เอกต้องตามหานาฬิกาจนได้”
เอกภพดึงนาฬิกาเข้ามาโอบไว้นาฬิกายิ้มกอดพี่ชาย อึดใจนาฬิกาก็ถอยออก    
“แล้วที่ว่า ความรักอยู่ที่ไหนนาชะอยู่ที่นั่น หมายถึงคุณนาฬิกาหรือเปล่า”
“นาฬิกายังไม่แน่ใจ คือคุณไกรยุทธ์ปกป้องนาฬิกา”
“พี่เข้าใจ ถ้าคุณไกรยุทธ์ตุกติกพี่อัดแน่”
“ไม่ต้องถึงมือพี่เอกหรอกค่ะ นาฬิกาอัดก่อน”
ทั้งสองต่างขำ เอกภพกอดนาฬิกาไว้ในอ้อมอก

เช้าวันรุ่งขึ้น กองไฟดับแล้วแต่ยังเห็นควันอยู่ ณัชชนั่งอยู่และล้อมรอบด้วยทุกคน
“ต่อไปนี้ทุกย่างก้าวต้องระวัง พี่เชื่อว่าไม่ใช่แต่เพียงภูตสังหารเท่านั้นที่ออกตามล่าเรา”
“อาคินต้องจัดโปรโมชั่นเต็มที่”
“ท่านธิดา ท่านราเชน ต่อไปนี้พวกเราคงใช้ได้แต่อาวุธประจำกายและชั้นเชิงในการต่อสู้เท่านั้นถ้าใช้พลังมนต์ออกไปเมื่อไหร่เกรงว่าพวกมันจะรู้ตำแหน่งของเราทันที”
ปาระนังกับราเชนพยักหน้ารับ ทุกคนต่างมองหน้ากันสีหน้ากังวล
            “ใช้มนต์ไม่ได้เลยเหรอคะ”
“มนต์ธรรมดาทั่วไปน่ะใช้ได้ แต่ถ้าใช้พลังต่อสู้จะกลายเป็นพลังรุนแรงที่แตกต่างปรากฏออกมา ง่ายต่อการสัมผัสติดตาม” นาชะบอก
“แล้วของวิเศษที่พวกทายาทมีล่ะพี่ณัชชา”
“ของแต่ละสิ่งจะแสดงพลังเองเพื่อช่วยเรา พี่คิดว่าคงไม่เป็นผลร้าย”
“มนต์อื่นใช้ไม่ได้ไม่เป็นไร ขอแค่มนต์เสกของกินใช้ได้ก็พอ”
“โห ของกินในย่ามกินไม่มีวันหมด ยังกลัวอดอีกเหรอ”
“เฮ่...มีเยอะไว้ไม่เสียหาย”
ทุกคนต่างยิ้มขึ้นมาได้ บรรยากาศผ่อนคลาย          
“เอาล่ะเราจะออกเดินทางภายในครึ่งชั่วโมง”
ทุกคนต่างลุกขึ้นแยกย้ายกันไป     
 
ณัชชายืนกราดสายตารอบๆ สัมผัสสิ่งรอบตัว เอกภพเดินเข้ามา ณัชชาหันมา
“ผมมีเรื่องหนึ่งสงสัยอยู่ครับ”
“เชิญค่ะ”
“เรื่องภูตสังหารของอาคิน ผมจำได้ว่าธนูไฟของท่านราเชนทำให้อาคินถอยไป”
“ใช่ค่ะ”
“อย่างนี้เราก็มีทางสู้อาคินได้” ณัชชาส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก ฉันขู่ไปเท่านั้นเองคราวที่แล้วอาคินแค่ตกใจ คราวหน้าอาคินคงใช้พลังดับไฟของท่านราเชนได้อย่างง่ายดาย”
“อย่างนี้เราก็ได้แต่หนีอย่างเดียว”
“ถูกต้อง โล่ห์ที่ติดอยู่ตรงหน้าอกของภูตสังหารยังไม่มีอาวุธใดฝ่าเข้าไปได้ ภูตสังหารถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีพลังเหนือเทพทั้งมวล ยกเว้นเจ้าสวรรค์”
“คุณเป็นเทพปราบมารถามเจ้าสวรรค์ไม่ได้เหรอว่าอาวุธที่ทำลายโล่ของภูติสังหารคืออะไร”
“บางเรื่องเจ้าสวรรค์ไม่สามารถเกี่ยวข้องได้”
“เจ้าสวรรค์จะปล่อยให้อาคินได้กุญแจแล้วก่อสงครามสี่โลกยังงั้นเหรอครับ”
“ใจคอคุณจะให้เจ้าสวรรค์ทำหมดทุกอย่างเลยเหรอไง”
เอกภพยิ้มพยักหน้าเข้าใจ
“ผมว่าผมหยุดถามดีกว่า ขอตัวครับ”
เอกภพเดินออกไป ณัชชามองตามอดยิ้มไม่ได้
 
ทุกคนเดินทางในแนวป่ามาถึงลานแห่งหนึ่ง ทุกคนก็หยุดพัก
“ท่านธิดาคิดว่ายังไง” ณัชชาหันไปถามปาระนัง
“ตามแผนที่จากพลังของทายาท บ่งบอกเพียงแต่ว่าให้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จนกว่าพระจันทร์จะเปล่งเสียง
จึงจะปรากฏเป็นปริศนาขึ้น”
“โห...พระจันทร์เปล่งเสียง ชาตินี้คงเจอหรอก”
“เล่นมัดมือชกแบบนี้ เราคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำตาม”
“เสียงคนมา”
“นาชะ เจ้าพาทายาทหลบไป”
“ทายาท ตามมาเร็วเข้า” นาชะแวบไปโผล่ที่พุ่มไม้หนาอีกด้านหนึ่ง “ทางนี้”
ทายาทต่างวิ่งตามกันไปยกเว้นไกรยุทธ์
“พี่ราเชน เราไปทางด้านโน้นดีกว่า”
“เราสองคนจะไปซุ่มตัวคอยระวังพวกมัน”
“รบกวนท่านทั้งสองด้วย”
ปาระนังกับราเชนดีดตัวหลบออกไป เหลือเอกภพกับณัชชาและไกรยุทธ์
“ผมอยากจะอยู่ช่วยต้านอีกแรงหนึ่งครับ”
“คุณอยู่นี่แล้วใครจะดูแลทายาทล่ะ โดยเฉพาะแฟนคุณ”
“ได้ครับ”
ไกรยุทธ์วิ่งไปที่พวกทายาทคอยอยู่
“เฮ้อ...ความรัก ทำให้คนอยากซ่า”
“ก็แค่อยากโชว์พาวให้แฟนดูมั่งเท่านั้นเอง เหมือนคุณ” ณัชชาบอกยิ้มๆ
“ผมเหรอ”
“ใช่ ชอบโชว์พาว”
เอกภพเดินใกล้เข้ามาหาณัชชา ณัชชามองหน้า
“เอ ส่วนมากผมมักจะโชว์พาว ต่อหน้าองค์หญิงงั้นก็แปลว่า”
ณัชชาเหล่ แต่ทันใดนั้นณัชชาผลักเอกภพกระเด็นออกไป ขณะที่ลูกธนูปลิวผ่านมาปักต้นไม้ดังตึบ พร้อมด้วยเงาร่างนับสิบเข้ามาล้อมไว้ เอกภพกราดสายตามองพวกมัน
“ต้องมีขัดจังหวะทุกที”
ทั้งสองมองไปตรงหน้าก็พบกับนายทหารกรุงศรีท่าทางดุดัน และรอบๆ ถูกล้อมด้วยทหารนับสิบ

ธิดาพญายม ตอนที่ 7 (ต่อ)

สายตาของณัชชาและเอกภพ กราดสายตาไปรอบๆ มองพวกทหารที่ล้อมอยู่
“พวกเจ้ายอมแพ้ซะดีๆ”
“พวกท่านต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”
“เชอะ ไอ้พวกโจรชั่วทิ้งอาวุธ”
“ท่านทหาร นี่คือองค์หญิ...”
ณัชชารีบแทรกเข้ามา
“เราไม่ใช่พวกโจรเด็ดขาด”
“พวกโจรบุกเข้ามาในเขตตำหนักที่พำนักของท่านหลวงภูผาลักลอบจับคนของท่านไป เราตามรอยพวกโจรมาทางนี้ ถึงได้พบพวกท่าน”
“ใช่ แต่เราจัดการพวกมันให้ท่านเรียบร้อยแล้ว”
“เหลวไหล ทหารนำตัวพวกมันไป”
ทันใดนั้นลูกธนูปลิวมาปักตรงพื้นด้านหน้าของทหาร ทหารถอยไปก้าวหนึ่งกราดสายตา พวกทหารที่ล้อมอยู่ต่างขยับตัวเตรียมพร้อมที่จะจู่โจม สถานการณ์ตึงเครียด พวกทหารต่างกราดสายตาไปรอบๆ ไม่เห็นร่องรอยที่มาของดอกธนู นาชะกับทายาททั้งสี่ ต่างมองลุ้นตื่นเต้น
“เราว่าเป้าหมายต่อไปต้องเป็นที่หน้าอกของท่าน”
ทหารยืนนิ่งอึดใจ ทันใดนั้นร่างของชายชราพรวดออกมาจากดงไม้เข้ามาขวาง
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่ช่วยเราจากพวกโจร”
ทหารต่างกราดสายตามองชายชรา เอกภพยิ้มอย่างโล่งใจ
            “ที่แท้เป็นท่านลุงนี่เอง”
สถานการณ์ดีขึ้น ทุกคนต่างโล่งใจ ทายาทซุ่มดูอยู่ต่างยิ้มออก
            “เฮ้อ โล่งอก”
เรือนพักของท่านหลวงภูผา ท่านหลวงภูผานั่งอยู่ที่ชานบ้าน ข้างๆ มีคุณหญิง และจำเรียงคนใกล้ชิดวัยกลางคนของคุณหญิง
“นี่คือคุณหญิงจันทร์เพ็ญ” คุณหญิงพยักหน้าให้แต่ไม่พูดอะไร ทายาทต่างยกมือไหว้ ปาระนังกับราเชนลอบสบตากัน “ตั้งแต่บุตรชายของเราขุนเดชา ถูกพวกโจรลอบกัดพรากจากเราไป ท่านหญิงก็ไม่ยอมพูดจาอีกเลย เราต้องขออภัยด้วย”
ทุกคนต่างมองท่านหญิงด้วยความเห็นใจ
“พวกเรามากกว่าที่ต้องขออภัยท่าน ที่บุกรุกเข้ามารบกวนครับผม”
“เราต้องขอบใจพวกท่านที่ช่วยชีวิตคนของเรา ขอให้ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของพวกท่าน”
ทั้งหมดต่างมองพยักหน้ารับ คุณหญิงเหมือนพยักหน้าให้น้อยๆ แต่สีหน้าสงบนิ่ง
“บ้านเมืองไม่มีสงคราม ทำไมถึงมีโจรชุกชุมครับ”
“เป็นเพราะขุนนางชั่วโกงกินไม่ทะนุบำรุงบ้านเมือง”
ทุกคนต่างยิ้มเป็นเชิงรู้กันว่าแน่อยู่แล้ว
“ที่แท้ไอ้พวกนี้เองออก ลูกหลานกินยาวไปถึงสมัยเรา” บีมบอกเบาๆ พวกทายาทต่างยิ้ม
“ถ้ายังงั้นคงไม่ใช่โจรธรรมดา ที่มาบุกบ้านของท่าน”
“พวกมันย่อมเป็นคนของขุนนางชั่วพวกนั้น”
“พวกมันคิดโค่นคุณหลวงเจ้าค่ะ”
หลวงภูผาหันไปมองจำเรียง จำเรียงเงียบเสียงลง
“เราไม่กลัวพวกมัน เราจะบั่นหัวมันให้หมด”
“สุดยอด เราชวนคุณหลวงไปสมัครเป็น ส.ส.สมัยหน้าดีกว่า”
ปิงปองเหล่ให้บีมเงียบ นาฬิกากับไกรยุทธ์ยิ้มขำทันใดนั้นเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่าง ทหารเข้ามารายงาน
“มีกำลังของพวกโจรกำลังมุ่งมาทางนี้ขอรับ”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันเตรียมพร้อม
“จำเรียงเจ้าพาคุณหญิงเข้าไปด้านใน ทหารจัดกำลังป้องกันคุณหญิงกับท่านเหล่านี้” หลวงภูผาบอก
จำเรียงพาคุณหญิงออกไป มีนักสู้เอาดาบมาให้ท่านภูผา อีกห้าคนแยกกันประจำตามจุดต่างๆ รอบลานบ้าน
“พวกเราจะช่วยท่านหลวงบั่นหัวพวกมัน”
“ถ้ายังงั้นตามข้ามา” หลวงภูผาลุกควงดาบดีดตัวนำลงไปข้างล่าง เอกภพหันมาทางนาชะกับทายาท
“พวกเราคอยดูคุณหญิงด้วย”
ทายาททุกคนพยักหน้ารับ เอกภพ ณัชชา ปาระนัง ราเชน ดีดตัวลงไปจากเรือน
“ลองคิดดู” บีมบอก
“อะไรอีกล่ะ” ปิงปองถามอย่างแปลกใจ
“ถ้าท่านหลวงจัดการพวกมันได้หมดตอนนี้ลูกหลานพวกมันที่กำลังโกงกินบ้านเมืองอยู่ๆ ก็หายฟุบ ฟุบๆๆ คงมันหน้าดู”
“โห ฝันมากไปแล้ว”
ไกรยุทธ์กับนาฬิกาต่างขำ
“พี่ว่าเรามาเตรียมพร้อมกันดีกว่า”
“พี่จะไปตรวจดูรอบๆ” นาชะบอกแล้วแวบหายไป ทุกคนกระจายกำลังแยกกันออกไปยืนกับพวกนักสู้ที่ยืนตามจุดต่างๆ  บีมกับปิงปองเดินไปยังนักสู้คนหนึ่ง
“สู้ๆ”
บีมยกมือกำ นักสู้มองหน้าเคร่งไม่ตอบ บีมจ๋อย ปิงปองอั้นขำ
 
เงาร่างของพวกมันออกมาจากราวป่าเข้าเขตพื้นที่ของหลวงภูผา ทหารนับสิบของท่านหลวงกระจายกำลังกันป้องกันรอบข้าง หลวงภูผาอยู่ด้านหน้าตรงกลางณัชชา ปาระนัง เอกภพ  ยืนอยู่ด้านหลังของหลวงภูผา เอกภพหันมาทางปาระนัง
“ท่านราเชนล่ะ”
“ระวังอยู่ใกล้ตำหนัก เผื่อว่าพวกมันเล็ดลอดเข้าไปได้”
“ท่านราเชนรอบคอบดีมาก”
ทันใดนั้นร่างหนึ่งก้าวออกมา มีสมุนจีนแต่งตัวเหมือนกังฟูสองคนยืนขนาบข้างด้านหลังมีดาบสะพาย    
“นึกว่าโจรที่ไหน ที่แท้ท่านโกสินกับหุ้นส่วนนี่เอง”
“คุณหลวง  มีคนร้องเรียนว่าท่านส่งคนของท่านไปรุกรานประชาชน”
“คนที่เราส่งไปล้วนเพื่อบั่นหัวพวกโจรที่มาปล้นสะดมชาวบ้านตะหาก”
โกสินกราดสายตามองพวกณัชชา
“ที่แท้มีพวกโจรหนุนหลังต่อสู้กับทางการนี่เอง”
“บอกตามตรงเมื่อเราเห็นท่าน เราอยากกำจัดท่านขึ้นมาทันที”
“ท่านสองคนช่วยจัดการนางนั่นให้เราหน่อย”
เสียงปืนดังเปรี้ยงโกสินหน้าหัน แก้มตรงมุมปากมีลอยเลือดซิบๆ มันตาวาว
“นายกำลังล่วงเกินองค์...” เอกภพบอกแต่ณัชชาเอามือขวางไว้
“ฉันจัดการได้ ขอบใจ”
เอกภพพยักหน้าจ้องโกสินประมาณว่านายซวยแน่
“พวกเอ็งรออะไรอยู่”
ชายจีนสองคนดีดตัวตีลังกาออกมายืนตรงหน้า ท่าทางคล่องแคล่วดุร้าย ณัชชาจ้องมันสายตาเยือกเย็น

โกสินยิ้มอย่างมั่นใจ มองชายจีนสองคนที่ตั้งท่าอยู่ตรงหน้าณัชชา พวกทหารนับสิบที่ยกมาต่างขยับตัว
“กรีดหน้าสั่งสอนให้หลาบจำ”
“ผู้กอง ปืนยังมีกระสุนพอใช่มั๊ย”
“เหลือเฟือ”
“ดี”
ณัชชาดีดตัวออกไปตรงหน้าชายกังฟูทั้งสอง  ทันทีที่เท้าแตะพื้น  ชายกังฟูสองคนดีดตัวเข้ามาฟันอย่างไม่ยั้งมือ ณัชชาดีดตัวตีลังกาหลบหลีกอย่างว่องไว หลวงภูผามองคาดไม่ถึง ทันใดนั้นได้ยินเสียงแคร๊งสองครั้ง พวกมันหยุดนิ่ง เห็นณัชชามีมีดสั้นอยู่ในมือ ร่างของกังฟูสองคนค่อยๆ ล้มลง       
“ฆ่าพวกมัน”
โกสินร้องสั่ง พวกทหารของโกสินต่างส่งเสียงโห่ร้องวิ่งกันเข้ามา
“ผู้กอง ตาคุณ”
“ด้วยความยินดี”
เอกภพก้าวออกไปหนึ่งก้าว กราดสายตามองพวกมันเตรียมพร้อม
           
บนบ้านหลวงภูผา ทหารห้านายต่างกราดสายตาคอยเฝ้าดูเหตุการณ์ ทายาทต่างเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ  ทันใดนั้นเสียงควับๆ ดังขึ้นเป็นมีดสั้นปลิวเข้ามาปักที่อกของทหารสองนายกระเด็นคว่ำไป ร่างของทหารจีนหนึ่งคนกับทหารของโกสินอีกสามคนพรวดขึ้นมา เป้าหมายคือประตูเข้าด้านในทหารสามคนที่เหลือของหลวงภูผาดาหน้าเข้ามาขวางพวกมัน ร่างของนาชะแวบกลับมา
“อย่าให้พวกมันเข้าไปด้านใน”
บีมกับปิงปองพรวดเข้าไปยืนหน้าประตู ไกรยุทธ์กับนาฬิกาตามเข้ามายืนตรงหน้าบีมกับปิงปอง ทั้งสองตั้งท่าพร้อมไกรยุทธ์ตวัดมือไปทางด้านหลังแล้วตวัดกลับมีปืนติดมือขึ้นมา สายตาจ้องอยู่ที่พวกมันที่กำลังดาหน้าเข้าหาทหารของหลวงภูผาสามคนที่เป็นด่านแรกก่อนจะถึงพวกทายาท
ด้านล่างทหารของโกสินตั้งท่าควงดาบดุดัน ทันใดนั้นโห่ร้องก้องวิ่งเข้าใส่ เอกภพสะบัดมือขึ้นมาสองข้างปืนในมือสาดกระสุนออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พวกมันล้มทรุดร้องครวญคราง  ทุกคนถูกยิงที่ไหล่ ต้นขา เข้าไม่ถึงตัว โกสินถึงกับถอยหลัง พวกมันเข้าไม่ติดถอยกรูด โกสินคาดไม่ถึง แค้นใจ
“บุกเข้ามาอีกครั้ง ถือว่าพวกท่านเต็มใจที่จะตายถือว่าเราไม่บาป”
พวกมันต่างหยุดชะงัก
“ท่านภูผา ท่านชักนำผู้อื่นให้คร่าชีวิตทหารหลวง เราจะลากตัวท่านไปรับโทษ”
“ท่านมัวแต่ถอยจะลากตัวเราได้ยังไง”
“จับมัน”
เสียงปืนดังเปรี้ยง หมวกที่อยู่บนหัวโกสินปลิวหลุดกระเด็นไป
            “อุ๊บ นิ้วของเราคันพอดี”
“ท่านภูผา ท่านจะต้องเสียใจ”
โกสินยิ้มเยาะ ณัชชาจ้องอย่างสงสัย แต่แล้วรู้ทันหันมาทางเอกภพ
            “แย่แล้ว มันส่งคนไปที่ตำหนัก”
“ท่านราเชนรอพวกมันอยู่”
ณัชชายิ้มอย่างพอใจ
“เราเกรงว่าคนของท่านไปไม่ถึงตำหนักท่านภูผา”
“เพราะมียมทูตคอยรับพวกมันอยู่”
หลวงภูผาสีหน้าเคร่งเครียด
“ไอ้โกสิน เอ็งก็ได้แต่ลอบกัด” โกสินยิ้มเยาะ
“ท่านภูผาเราจะกลับมาแน่นอนพวกเราถอย”
โกสินถอยก้าวออกไปพวกมันถอยไปจนหมดในที่สุด
            “ท่านไม่ต้องกังวล ผมรับรองว่าคุณหญิงปลอดภัย”
“พวกท่านควรรีบไปจากที่นี่จะดีกว่า มันกลับมาคราวนี้ยากที่พวกท่านจะพ้นมือของมัน”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากัน
“ท่านหลวงภูผาเราจะอยู่เคียงข้างท่าน เราไม่กลัวพวกมัน เรามั่นใจว่า สวรรค์ต้องอยู่ข้างเรา” ณัชชาบอก ทุกคนมองณัชชาต่างยิ้มเพราะรู้ว่าณัชชาคือสวรรค์ หลวงภูผามองอย่างสงสัย
 
บนบ้าน ทหารของโกสินสามคนกับทหารจีนบุกเข้าหาด่านทหารหลวงภูผาสามคน ต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด อึดใจทหารสามคนของหลวงภูผาก็เสียเปรียบ แต่แล้วร่างของไกรยุทธ์กับนาฬิกาพรวดเข้ามาพวกมันแสยะยิ้ม ตั้งท่าดาบแล้วฟันพรวดเข้ามา ไกรยุทธ์หลบวูบ แล้วตวัดปืนยิงเปรี้ยงมันกระเด็นไป
อีกคนหนึ่งพรวดเข้าหานาฬิกา แต่นาชะปล่อยผงสีชมพูใส่หน้ามัน มันยืนยิ้มหวานเลยเจอลูกถีบเทควนโด้ของนาฬิกาโครมเข้าให้ลอยห่างออกไป อีกคนที่เหลือตวัดดาบโกรธแค้น เคลื่อนตัวเข้าหา แต่แล้วเสียงดึบมันแอ่นหงายร้องลั่นล้มลงมีมีดปักอยู่ที่หลัง ร่างของราเชนปรากฏยืนอยู่ทางด้านหลังของมันในมือมีไฟติดอยู่ ทหารจีนเห็นราเชนมันตาเหลือกแล้วพุ่งตัวลงจากระเบียงวิ่งหายเข้าแนวสวนไป
“เย้...พี่ราเชนสุดยอด”
ทั้งหมดต่างเฮ ราเชนยิ้ม ไฟในมือค่อยสลายไปประตูด้านในเปิด จำเรียงพาคุณหญิงออกมา ทหารทั้งสามที่เหลือต่างเข้าไปดูทหารพวกที่บาดเจ็บคุณหญิงกราดสายตามองทุกคนด้วยความซึ้งใจ มีเสียงดังแว่วมา              “ท่านภูผากลับแล้ว”
ทุกคนต่างมองไปที่ด้านนอกอย่างตื่นเต้น
                                                                       
นักสู้ของหลวงภูผายืนเรียงรายอยู่บนลานบ้านเป็นจุดๆ  ในห้องพักที่จัดไว้ให้ ทุกคนต่างนั่งพักตรวจสัมภาระกัน
“องค์หญิงมีแผนยังไงครับ” เอกภพหันไปถามณัชชา
“เวลาเราเหลือน้อยเต็มที เราไม่มีทางเลือกเราต้องรีบออกเดินทาง”
“เราจะไม่ช่วยท่านภูผาก่อนเหรอครับ”
“ท่านต้องถูกไอ้พวกนั้นยัดเยียดความผิดให้แน่ๆ”
“พี่ณัชชา”
ณัชชากราดสายตามองทุกคน  ทุกคนเงียบ ไม่ออกความเห็น เอกภพเดินเข้ามาใกล้ณัชชา
            “เราดั้นด้นหากุญแจเพื่อไม่ให้อาคินยึดครองโลกไม่ให้เกิดสงครามแต่เราจะปล่อยให้คนดีต้องเผชิญชะตากรรมเหรอครับ”
“ก็ได้ เราจะช่วยท่านภูผาบั่นคอคนชั่วโกสินแต่เมื่อไหร่ที่พระจันทร์เปล่งเสียงตามที่ปริศนาบอกไว้ เราจะเดินทางทันที”
“เย้”
“องค์หญิงทำดีที่สุดแล้วเพคะ”
“องค์หญิงทรงมีความยุติธรรม ที่เหลือย่อมแล้วแต่ฟ้าลิขิต”
ทายาททุกคนต่างยิ้มโล่งใจมองณัชชาอย่างยกย่อง
“พูดถึงฟ้าลิขิต เอ้อ ไม่ทราบว่าองค์หญิงพอจะตรวจดูได้หรือเปล่าว่าขุนเดชา ลูกชายของคุณหญิงกับท่านภูผา
เสียชีวิตหรือยัง”
“คุณเอกภพ นี่คุณกำลังจะโกงกฎสวรรค์”
“แค่ตรวจดูเท่านั้นนี่ครับ ไม่ได้มากกว่านั้น”
ณัชชาเหล่ ทุกคนจ้องมาที่ณัชชาเป็นตาเดียว

หลวงภูผาเดินตรวจรอบบ้านมีนักสู้เดินอยู่ด้วยสองคน เอกภพกับณัชชาเดินเข้ามาพบ
“ผมมีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านทราบ”
หลวงภูผาโบกมือ นักสู้สองคนเดินออกไป หลวงภูผามองณัชชาอย่างพิจารณา
“ข้ายังไม่เคยพบหญิงพูดจาฉลาดฉะฉานชาญศึกอย่างเจ้า”
“ยามใดที่ชาติต้องการ หญิงเราก็พร้อมเจ้าค่ะ”
เอกภพยิ้ม หลวงภูผาพยักหน้าอย่างพอใจ
“พวกท่านมีเรื่องประการใด”
“เราคิดว่าขุนเดชาบุตรชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ”
หลวงภูผาสีหน้าเคร่งเครียด
“พวกเจ้าเห็นว่าเราขาดสติหรืออย่างไรถึงเอาเรื่องงมงายเรื่องเสี่ยงทายทำนายโชคมาล้อเล่นกับข้า”
“แต่ว่า...”
“คุณหญิงจันทร์เพ็ญยังทำใจไม่ได้ อย่าเอาความหวังลมๆ แล้งๆ มาบั่นทอนจิตใจของคุณหญิงอีก”
“คือ”
“เราขออภัยท่านภูผา  พวกเราทำเกินกว่าเหตุ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าทำเพราะหวังดี อย่าถือสาอารมณ์ของข้า”
หลวงภูผาเดินออกไป เอกภพกับณัชชาได้แต่มองหน้ากันถอนใจ
           
เอกภพ ณัชชากลับเข้าห้องพักและคุยเรื่องนี้กับทุกคน
“ผมคาดไม่ถึงจริงๆ ท่านภูผาไม่ยอมรับฟัง”
“ท่านภูผาเป็นลูกผู้ชายนักสู้มีความหยิ่งทรนงย่อม ไม่ยอมเอ่ยปากหรือปล่อยให้ใครมาช่วยท่าน”
“เฮ้อ อุตส่าห์ค้นข้อมูลสวรรค์มาแทบตาย กลายเป็นเรื่องซะอีก”
“เราต้องทำอย่างลับๆ ไม่ให้ท่านภูผารู้”
ปาระนังกับราเชนต่างมองหน้ากันอึดใจต่างพยักหน้าให้กัน
            “ปาระนังกับท่านพี่ราเชนขออาสาทำงานครั้งนี้”
ทุกคนต่างมองปาระนังและราเชน
            “เรามีเวลาไม่มาก ต้องจัดการอย่างรวดเร็วไม่ยืดเยื้อ ณัชชาคิดว่าเราสี่คนไปด้วยกันให้นาชะดูแลทายาท รออยู่ที่นี่ ดีที่สุด”
“ด้วยความยินดีเพคะ”
“เราจะช่วยกันดูแลคุณหญิงด้วยค่ะ”
“เก่งมากทุกคน “
ทุกคนต่างยิ้มอย่างพอใจในแผนงาน
“เราจะบุกชิงตัวท่านขุนเดชา บั่นหัวคนชั่วให้หมด เงียบที่สุดและเร็วที่สุด”
 
ในค่ายของโกสิน พวกทหารนับสิบยืนรายล้อมหมู่บ้านอย่างหละหลวมเพราะคิดว่าไม่มีใครกล้าหือกับนายโกสิน ร่างของณัชชาและทุกคน เคลื่อนตัวกันเข้ามา
“อย่าลืมห้ามใช้พลัง”
ทุกคนต่างพยักหน้า สายตาจ้องที่พวกทหารของโกสินนับสิบที่ยืนรายล้อมค่ายอยู่ ทั้งหมดต่างปรากฏตัวก้าวเข้าไป พวกทหารต่างขยับตัว นายกองสั่งการ
“ตัดหัวพวกมันให้หมด”
พวกทหารนับสิบวิ่งเข้าใส่คนทั้งสี่ เกิดการต่อสู้ประชิดตัว กันอย่างดุเดือด แต่ชั่วอึดใจ ทหารทุกคนก็บาดเจ็บร้องครวญครางทรุดลงกับพื้นหมดทุกคน
“แยกกันค้นหาขุนเดชา”
ทั้งหมดแยกย้ายกันไปตามกระท่อมหลังต่างๆ เอกภพกับณัชชาพรวดเข้ามาที่กระท่อมหลังหนึ่ง ทั้งสองพรวดเข้าไปพบกับชายคนหนึ่งถูกมัดอยู่ใบหน้าแขนขามีร่องรอยบาดเจ็บ จ้องมาด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว                        
“ท่านขุนเดชา”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ เอกภพกับณัชชาต่างยิ้มให้กันอย่างพอใจ
 
ขุนเดชานั่งอยู่บนแคร่ตรงลานหมู่บ้าน ณัชชาลอบสะบัดมือ มีกระบอกน้ำติดมือขึ้นมาโดยขุนเดชาไม่เห็น แล้วยื่นส่งให้ขุนเดชารับมาดื่มน้ำอึกใหญ่ กราดสายตามองทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“พวกท่านคือ...”
“พวกเราเป็นสหายของท่านภูผาและคุณหญิงจันทร์เพ็ญ”
ขุนเดชาเพ่งมอง ทุกคนต่างพยักหน้าทักทาย
“ท่านทั้งสองไม่เชื่อว่าท่านยังมีชีวิตอยู่” ขุนเดชาพยักหน้า
“พวกมันสร้างข่าวเท็จหวังให้บิดามารดาตรอมใจ”
“เราจะนำตัวท่านกลับไป”
“ส่วนเราทั้งสามคนจะมุ่งหน้าบั่นหัวหลวงโกสินไม่ให้รุกรานพวกท่านอีก”
ขุนเดชาผลุดยืนขึ้น
“มีข้อแม้เพียงข้อเดียว”
“พวกเราพร้อมที่จะรับฟัง”
“เราจะไปบั่นหัวหลวงโกสินกับท่านด้วย”
ทุกคนต่างหันมามองณัชชาเป็นเชิงให้ณัชชาเป็นคนตัดสินใจ ณัชชาจ้องขุนเดชานิ่งอึดใจ
“ด้วยความยินดี”
ขุนเดชายิ้มกร้าว ดวงตาเป็นประกาย

ขุนเดชาเดินนำหน้าปาระนังกับราเชนตามหลัง ปิดท้ายด้วยเอกภพกับณัชชา
“ขุนเดชาถูกจับตัวไว้แบบนั้น ร่างกายน่าจะยังไม่ฟื้นตัวนะครับ ผมเกรงว่าท่านอาจจะยังต่อสู้ไม่ไหว”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันให้ดื่มน้ำทิพย์ไปแล้ว ท่านไหวแน่นอน” ณัชชาบอก
“อืม...ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว”
“แต่เพื่อความไม่ประมาทคุณคอยประกบท่านขุนไว้ก็แล้วกัน”
เอกภพเหล่ ณัชชายิ้ม ทั้งสองเดินตามทุกคนไป
 
ตำหนักของหลวงโกสิน โกสินนั่งอย่างสบายบนแท่นรองนั่ง ข้างๆ ถัดไปคือหลวงเดชศักดิ์ตรงหน้าคือโต๊ะเตี้ยเล็กๆ ตั้งอยู่มีผลไม้และอาหารตั้งอยู่ตรงหน้า มีนางกำนัลนั่งปรนนิบัติด้านข้างๆ ของหลวงทั้งสองด้านละสองคน
ส่วนตรงหน้าห่างออกไป มีสาวฟ้อนรำอยู่ตรงหน้าสามคน
“ท่านแน่ใจนะว่าท่านภูผาจะไม่หลุดจากคดี” หลวงเดชศักดิ์ถามขึ้นมา
“แน่ใจที่สุด ทั้งหลักฐานและพยาน จัดไว้เรียบร้อย” โกสินบอกอย่างมั่นใจ ทั้งสองต่างหัวเราะอย่างสะใจ
“แล้วถ้าหลวงภูผาบุกมาล่ะ”
“ข้ามีขุนเดชาลูกชายมันอยู่ในมือ ข้าไม่กลัวหรอก”
“อ้าว ข้านึกว่าขุนเดชา ตายแล้วซะอีก”
“ข้าหลอกให้ไอ้หลวงภูผามันแค้นใจ ข้าเก็บลูกชายมันเอาไว้ เผื่อมันหาญบุกมา ข้าก็จะใช้ลูกชายมันหักมันให้อยู่คามือ”
สองคนต่างหัวเราะกันทันใดนั้นมีลูกธนูดอกหนึ่งมาปักบนพื้นตรงหน้าตึบ นางรำหยุด พวกทหารต่างกระชากดาบออกมายืนระวัง โกสินยิ้มดวงตาวาว โบกมือให้หญิงฟ้อนรำถอยออกไป หญิงฟ้อนรำรีบออกไปอย่างรวดเร็ว โกสินมองที่ลูกธนูสีหน้าเคร่งเครียด
โกสินกราดสายตาโดยรอบ
            “คิดว่าธนูดอกเดียวจะข่มขวัญข้าได้ยังงั้นหรือ” ทันใดนั้นดอกธนูลุกติดไฟพรึบขึ้นมา ร่างของขุนเดชาก้าวเข้ามา ด้านหลังคือพวกของณัชชา โกสินคาดไม่ถึง “ทหารที่ปล่อยให้พวกมันเข้ามาจะต้องถูกบั่นหัว”
“พวกเราจะมาบั่นหัวท่านตะหาก ใครไม่เกี่ยวถอยออกไป”
หลวงเดชศักดิ์ขยับตัวรีบถอยออกไปกับนางกำนัลอย่างรวดเร็ว พวกทหารเข้ามาล้อมทั้งหมดไว้ ส่วนหนึ่งคอยระวังโกสิน
“ที่แท้นางไพร่นี่เอง”
ทันใดนั้นเอกภพมือขึ้นปืนในมือติดมาเสียงดังเปรี้ยง โกสินหน้าหัน มันหันมาเอามือจับที่ใบหู เห็นใบหูของมันอยู่ในมือ มันหน้าซีดเผือด
“ฆ่ามัน”
พวกทหารตั้งกำแพงเดินกันเข้ามา โกสินถอยหนีไปในสวนข้างหลัง
            “หัวไอ้โกสินเป็นของข้า”
ขุนเดชาพรวดตามออกไป ที่เหลือแยกเข้าต่อสู้กับพวกทหารที่ดาเข้ามา
            “คุณเอกภพ”
“รู้น่า”
เอกภพดีดตัวตามขุนเดชาไปอย่างรวดเร็ว ณัชชายิ้มแล้วหันไปต่อสู้กับพวกทหารด้วยมือเปล่า สุดท้ายแย่งดาบมาได้ลุยไปทางไหนกระจายบาดเจ็บที่นั่น ปาระนังกับราเชน ลุยพวกมันกระจัดกระจายเช่นกัน
 
โกสินวิ่งหน้าตาตื่นลนลาน ขุนเดชาตามมา แต่แล้วก็เจอกับทหารนับสิบที่กรูเข้ามาสกัด จนขุนเดชาต้องถอย แต่แล้วเอกภพมาถึงตวัดปืนออกไป เสียงปืนดังเปรี้ยงๆๆ ทหารทรุดล้มแตกกระจายเปิดทางให้ขุนเดชาตามโกสินไป เอกภพเข้าลุยทหารที่เหลือไม่ให้ตามขุนเดชาไป มีการต่อสู้ประชิดตัวอย่างดุเดือด อึดใจเอกภพก็จัดการพวกทหารได้หมด เงาแวบเข้ามาเอกภพหันไปเป็นณัชชากับทุกคนก้าวเข้ามา
“ท่านขุนเดชาล่ะ”
“อยู่โน่น”
ทั้งหมดหันไปก็เห็นขุนเดชายืนเด่นอยู่ตรงหน้า สีหน้าเยือกเย็น
            “สีหน้าแบบนี้หลวงโกสินไม่มีทางรอด”
“นรกได้ต้อนรับอีกหนึ่งวิญญาณชั่ว”
ทั้งหมดต่างจ้องขุนเดชาที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเยือกเย็นสะใจ
                                   
            ขุนเดชาก้มลงกราบที่ตักของคุณหญิงจันทร์เพ็ญ คุณหญิงจันทร์เพ็ญจ้องหน้าขุนเดชาอย่างพิจารณา
“ขุนเดชาลูกชายท่านไงล่ะท่านหญิง”
หลวงภูผาบอก ทุกคนต่างนั่งรอบๆ จ้องมองอย่างใจเต้นระทึกใจ
“ท่านแม่”
คุณหญิงจันทร์เพ็ญจ้องขุนเดชาแล้วดวงตามีน้ำใสค่อยๆ เอามือโอบกอดขุนเดชาแต่ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“ข้าขอบใจพวกเจ้าทุกคน พวกเจ้าต้องการอะไรบอกข้ามา”
“กำจัดคนชั่วเป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้วครับท่าน”
“พวกเราเพียงแต่จะขอลาท่านและคุณหญิง”
“ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ทุกคนลุกขึ้นยืน
“เราขอบใจพวกท่านทุกคน”
คุณหญิงจันทร์เพ็ญบอก ทุกคนต่างยิ้มอย่างสุขใจที่คุณหญิงกลับมาพูดได้อีกครั้ง ดีใจที่เห็นคุณหญิงมีความสุข  หลวงภูผาถึงกับน้ำตาซึมคาดไม่ถึง ต่างมองทุกคนพยักหน้าให้ด้วยความซึ้งใจ ทุกคนพยักหน้าตอบแต่แล้วทันใดนั้นร่างของทุกคนก็เริ่มจางลง ต่างมองกันด้วยความแปลกใจ ในที่สุดร่างของทุกคนก็จางหายวูบเป็นสีขาวจ้า
จบตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น