สาปพระเพ็ง ตอนที่ 1
วันนี้ช่วงเวลาตอนกลางวัน ณ ห้องประชุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้คนพลุกพล่าน มีการแถลงข่าวปิดคดีดัง ส.ส.อภิมุข ยิงตัวตาย แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปของนักข่าวร่วม 10 คน เปล่งประกายวูบวาบ ที่โต๊ะแถลงข่าว นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 4-5 คนนั่งเรียงแถว โดยมี เพชรดา หญิงสาวความสวยติดลบ แถมชื่อเรียกยากว่า "เพ็ด- ชะ-ดา" นั่งใบหน้าเครียดเคร่ง เก็บกด เหมือนคนโรคจิตหน่อยๆ อยู่ตรงกลางโต๊ะแถลงข่าวในฐานะญาติส.ส. อภิมุข ผู้ตาย
เพชรดา เป็นผู้หญิงสวย ทว่าแววตาคู่นั้นของหล่อนกลับไม่มีความร่าเริง เต็มไปด้วยความทุกข์ หมกหมุ่น กังวลใจ
ตรงข้ามกับ พล.ต.อ.พรชัย ใจดี รองผู้บัญชาการสนง.ตำรวจ ถัดมาเป็น พล.ต.ท. กุญชร ศรีศักดิ์ เจ้าของคดี พล.ต.ต.ชาญ นิ่มนวล พล.ต.ต.สามารถ เรืองฤทธิ์ และ พล.ต.ต.อดิศักดิ์ ยิ่งวัฒนะ นายตำรวจทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม
พล.ต.อ.พรชัย แถลงข่าวปิดคดีด้วยสีหน้าท่าทางภูมิฐาน
“หลังจากที่เราได้ตั้งทีมสอบสวนคดีการเสียชีวิตด้วยการถูกยิงในบ้านพักของตนเองของ ส.ส. อภิมุข ศรีสิริชัย ซึ่งเป็นคดีสะเทือนขวัญเมื่อปลายปีที่แล้ว”
เพชรดานั่งนิ่งแทบไม่ขยับตัว มีเพียงนิ้วโป้งที่จิกลงไปในเนื้อนิ้วชี้ถี่ๆที่ทำให้รู้ว่า หล่อนไม่ใช่หุ่น เสียงของหล่อนลอดออกมา อย่างแผ่วเบา ราวพึมพำกับตัวเอง
“ไม่จริง....”
เสียง พล.ต.อ.พรชัย ใจดี รองผู้บัญชาการสนง.ตำรวจ ดังขึ้น...
“11 เดือนที่ผ่านมาทางตำรวจตั้งชุดสอบสวนขึ้นหลายชุด ทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ ใช้หลักฐานในที่เกิดเหตุ”
ภาพถ่ายสภาพศพส.ส.อภิมุข จากที่เกิดเหตุในวันถูกยิงถูกฉายขึ้นบนจอ
“ ใช้ความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์ การศึกษาพฤติกรรมอาชญากรด้านจิตศาสตร์ สอบปากคำพยานบุคคลสองร้อยปาก”
เพชรดาไม่ได้สนใจคำพูดยืดยาวนั้น หล่อนยังคงจมนิ่งอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
“ไม่จริง ... พี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
เสียงพล.ต.อ.พรชัย ยังอธิบายดังต่อเนื่อง
“ผลการสอบสวนเป็นที่สรุปว่า สาเหตุการตายคือกระสุนปืนขนาด.38 ทะลุกะโหลกศีรษะ ทำลายเนื้อสมอง”
เพชรดายังคงพึงพำพูดกับตัวเอง
“ไม่จริง ... พี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“ เราขอสรุปผลการสอบสวนว่า การเสียชีวิตของ ส.ส.อภิมุข เป็นการฆ่าตัวตาย” พล.ต.อ.พรชัยกล่าวสรุป
ทันใด เสียงเพชรดาก็โพล่งดังขึ้นกลางโต๊ะแถลงข่าว
“ไม่จริง... พี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
นายตำรวจที่นั่งข้างเพชรดาหันและพุ่งมองมาที่หล่อนเป็นสายตาเดียว
เพชรดาบีบมือเกร็งกำแน่น เสียงดังขึ้นอย่างหนักแน่น ยืนยันความคิดของตัวเอง อย่างไม่สนใจคำแถลงใดใด
“ไม่จริง... พี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
นักข่าวแถวหน้าสังเกตอาการเห็น และได้ยินเสียงของเพชรดาไม่ถนัดนักก็ถาม
“คุณเพชรดาว่ายังไงนะครับ”
นักข่าวคนอื่นๆหันมองตาม มีเสียงถามกัน มีอะไร ..มีอะไร ใครพูดอะไร นักข่าวคนเดิมบอกเพื่อนๆ ด้วยน้ำเสียงดัง ก่อนหันไปถามเพชรดาอีกครั้ง
“เงียบก่อน เงียบ ฟังก่อน คุณเพชรดาว่าอะไรนะครับ”
นายตำรวจหันมามองหน้ากัน นักข่าวเริ่มเงียบเสียง รอฟัง เสียงเพชรดาเอ่ยขึ้นจนได้ยินกันทั่วห้องประชุมนั้น
“ไม่จริง.... พี่ชายฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
สิ้นเสียง … บรรยากาศห้องก็เริ่มชุลมุนขึ้นทันที นักข่าวแย่งกันพุ่งตัวเข้ามาถ่ายรูปเพชรดาที่แววตายัง นิ่ง เรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้นไปด้วย ตรงข้ามกับพ.ต.อ.พรชัยที่เริ่มนั่งไม่ติด
“แต่ผลการสอบสวนและหลักฐานทุกอย่างสอดคล้องกันนะครับ ว่าส.ส.อภิมุข กดดันเรื่องแบ่งมรดก จนตัดสินใจยิงตัวตาย”
“คนอย่างพี่ดำไม่มีวันฆ่าตัวตาย” เสียงของเพชรดาย้ำเน้นหนักแน่น
นักข่าวยิ่งรุมกันซักถาม
นักข่าวชายคนหนึ่งถามว่า
“คุณเพชรดาคิดว่าตำรวจทำงานบกพร่อง”
นักข่าวหญิงอีกคนถามบ้าง
“ไม่เชื่อผลการสอบสวนใช่มั้ยคะ”
คณะนายตำรวจเริ่มนั่งไม่ติด นักข่าวต่างพากันกรูมาทางเพชรดา เพชรดามองตรงนิ่ง ไม่มีท่าทีหวาดหวั่น
ผู้หญิงรูปร่างสูงคนหนึ่ง ก้าวมาหยุดที่หน้าห้องแถลงข่าว ก่อนผลักประตูห้องแถลงข่าวเข้าไป
ภายในห้องแถลงข่าว นักข่าวกำลังรุมถ่ายภาพเพชรดา หล่อนนั่งนิ่งงันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และไม่ยอมสบตาใคร
นักข่าวคนที่ 1ถาม
“คุณเพชรดาคิดว่าใครทำครับ”
“รอยนิ้วมือบนปืนเป็นของส.ส.อภิมุขครับ” พล.ต.อ. พรชัยชิงตอบแทน
นักข่าวคนที่ 2ถาม
“ฆาตกรรมแล้วสร้างหลักฐานเท็จหรือเปล่าครับ ใครทำครับ”
เพชรดาเงยขึ้นมอง นักข่าวเงียบ ทุกคนเงียบ แทบหยุดหายใจรอฟังคำตอบ หล่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ ไม่มีวี่แววของความตื่นเต้นใดๆ
“พี่ดำกำลังจะแต่งงาน คนอย่างพี่ดำไม่มีวันฆ่าตัวตาย”
“จริงอย่างที่คุณเพชรดาบอก”
ทุกคนหันมามองตามน้ำเสียง
พบว่าเธอผู้นั้น คือ คทารัตน์ ลิขิตศิริ เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบคดีพิเศษ ซึ่งก้าวเข้ามาด้านหน้า
ภายในห้องแถลงข่าว ภูมิธรรม หัวหน้าสำนักงานสืบคดีพิเศษ เจ้านายของคทารัตน์ ที่เพื่อนร่วมงาน เรียกเธอว่า “วิกกี้” หล่อนนั่งอยู่กับ ดนัย ศิริธร และอรนุช
ทุกคนมองตามไปที่คทารัตน์ บรรดานักข่าวถ่ายต่างถ่ายรูปคทารัตน์ที่กำลังนั่งหน้าเชิด โปรยยิ้มให้กล้องข่าวทุกตัว หล่อนมายืนทางด้านหน้า หันไปทางจอภาพที่มีรูปการตายของอภิมุขที่ถือปืนมือซ้าย นั่งหัวหงายไปด้านหลัง ปืนในมือยังเหนี่ยวอยู่ในโกร่งไกบนตัก
“ดูตามหลักฐานทั้งหมด ทั้งการกระเซ็นของเลือด วิถีกระสุน อาวุธที่ใช้ พยานบุคคล ชี้ตรงกันหมดว่าส.ส.อภิมุขเครียดเรื่องแย่งมรดกหมื่นล้าน .. จนยิงตัวตาย คุณเพชรดาคะ ฉันมีคำถามค่ะ คำถามเดียว”
เพชรดามองคทารัตน์ แววตาคู่นั้นยังเรียบนิ่ง ไม่ตื่นเต้น มีแค่นิ้วโป้งที่ยังจิกลงบนนิ้วชี้เป็นจังหวะ
“พี่ชายคุณถนัดขวาใช่มั้ยคะ”
เพชรดายังไม่ทันตอบ คทารัตน์ชี้ไปที่ภาพบนจอ แล้วบอก
“ถนัดขวาแน่นอนค่ะ ดูทุกอย่างในห้องทำงานนะคะ เป็นการจัดวางสำหรับคนถนัดขวา แต่ดูอีกที ดูกันชัดๆ ... คนถนัดขวา กลับใช้มือซ้ายยิงตัวเอง”
นักข่าวฮือฮากับรูปถ่ายของคทารัตน์กันใหญ่ เธอยิ้มสวยเก๋ โพสให้กล้องทันที นายตำรวจก่อนหน้านี้นั่งกันไม่ติด จนลุกขึ้นพรวดเกือบจะพร้อมๆกัน
“ขอปิดการแถลงข่าวก่อนนะครับ น้องๆสื่อมวลชน” พล.ต.อ. พรชัยบอก
นักข่าวต่างพากันถามทางคทารัตน์ที ทางตำรวจที เสียงดังเซ็งแซ่ไปทั้งห้อง ไม่มีใครฟังใคร
“ฆาตกรรมอำพรางใช่มั้ยคะ”
“พี่น้องฆ่ากันเอง แย่งมรดกใช่มั้ยครับ”
“ตำรวจจะว่ายังไงคะ ญาติไม่เชื่อผลการสอบสวน คดีนี้ยังปิดไม่ได้”
ท่ามกลางความชุลมุนที่เกิดขึ้น ทว่าเพชรดาที่ยังคงนั่งนิ่ง นิ่งจนเหมือนสิ่งไร้ชีวิต ไม่รับรู้ความอลหม่านรอบตัว
ทางด้านหลังห้องแถลงข่าวซึ่งเป็นห้องส่วนตัว … ไม่มีนักข่าว กลุ่มเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสืบคดีพิเศษ ซึ่งมี ภูมิธรรม อรนุช ดนัย ศิริธร และคทารัตน์ ยืนเผชิญหน้ากับนายตำรวจกลุ่มที่เป็นเจ้าของคดี
คทารัตน์สีหน้ามั่นใจ สายตาไม่ยี่หระกับอารมณ์เดือดดาลของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตรงหน้า พล.ต.อ.พรชัยที่ชี้นิ้วกราด
“พัง พังเละหมด เก่งกันมากนักใช่มั้ย ถึงกล้าขัดแย้งผลการพิสูจน์ของตำรวจ”
“ผมกับลูกน้องทำตามหน้าที่ครับ ผมภูมิธรรม หัวหน้าสำนักงานสืบคดีพิเศษ” ภูมิธรรมแนะนำตัว
“ดิฉันคทารัตน์ ลิขิตศิริ เจ้าหน้าที่ค่ะ เรียกให้สั้น จำง่ายประทับใจก็ ... วิกกี้”
“ตรงนี้ไม่มีใครอยากประทับใจคุณ .. ทำไมถึงต้องมาโผล่เอาวันนี้”
“คณะกรรมการจากกระทรวงติดตามคดีนี้มานานแล้ว และเชื่อว่าการสอบสวนไม่มีความเป็นธรรม” ภูมิธรรมบอก
“พวกเราทำงานตามหลักฐานและพยานค่ะ ไม่ใช่กระแส” คทารัตน์ว่า
พล.ต.ท. กุญชร ศรีศักดิ์ เจ้าของคดีกล่าวว่า
“คดีนี้เราสอบสวนกันเป็นปี รู้มั้ยว่าพวกคุณสอดตัวเข้ามาแบบนี้ มันทำลายอะไรลงมั่ง”
“ก็ต้องขอประทานโทษค่ะ ที่ดิฉันทำให้พวกท่านเสียหน้า น่าเสียดายนะคะที่ทำงานกันมาเป็นปี แต่ผลงานไม่เข้าตากรรมการ ค้านสายตาชาวบ้านที่เค้าอยากเห็นความยุติธรรม ดิฉันค้นพบว่า หลักฐานในที่เกิดเหตุยังตรวจสอบไม่หมด แก้วน้ำบนโต๊ะทำงาน ยังไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอว่าเป็นของคนอื่นหรือเปล่า” คทารัตน์ร่ายยาว
“คุณอย่ามาดูถูกลูกน้องผม พวกเค้าทำคดียากๆมานับไม่ถ้วน ไม่เหมือนสำนักงานที่เพิ่งตั้งเมื่อวานซืน” พล.ต.อ.พรชัย ใจดี รองผู้บัญชาการสนง.ตำรวจบอก
“วิกกี้ก็ไม่ได้บอกครับ ว่าลูกน้องท่านไม่เก่ง กำลังจะชี้แจงให้ทราบว่า เราทำงานตามหลักฐานไงครับ” ภูมิธรรมว่า
“สส.อภิมุขไม่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย กำลังจะแต่งงานกับนางแบบสาวคราวลูก คดีฟ้องร้องในศาลก็ทำท่าจะชนะ ที่สำคัญนะคะ คำถามของดิฉัน ทำไมคนถนัดขวาถึงใช้มือซ้ายยิงตัวเอง” คทารัตน์พูดพลางลอยหน้าไปทางตำรวจ แล้วถามย้ำอีก
“คะ... ใครจะตอบได้บ้าง”
“รอยเลือดหลังมือผู้ตาย ยืนยันว่าไม่ใช่การบังคับให้จับมือตัวเองยิง” พล.ต.ท. กุญชรบอก
สองฝ่ายประจันหน้ากันอย่างเอาจริง เพชรดาที่เดินเงียบเข้ามานั่งที่มุมห้องมาตั้งแต่ต้น พูดด้วยเสียงราบเรียบ แม้น้ำเสียงจะไม่ได้แสดงอาการประชดประชัน แต่หนักแน่น
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ... พวกคุณทำงานหนัก หาหลักฐานกันมาเยอะแยะทั้งสองฝ่าย”
ทุกคนหันมามองเพชรดา แบบลืมไปแล้วว่ามีเธออยู่ตรงนั้น
“ทำไมถึงเอาความเก่งมาเอาชนะ มาหักล้างกันเอง แทนที่จะช่วยกันจับตัวฆาตกรฆ่าพี่ชายฉันมาลงโทษ ฉันยืนยันว่าพี่ดำไม่มีวันฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้มีการสอบสวนคดีนี้ใหม่ทั้งหมด”
เพชรดาหยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินออก … คนทั้งกลุ่มที่อยู่ในห้องนั้นต่างอึ้งสนิท แล้วมองตามหล่อนที่เดินออกไป
ภายในห้องทำงานภูมิธรรมในเวลาต่อมา คทารัตน์ยิ้มให้ภูมิธรรม
“ขอบคุณนะคะ นาย ที่วันนี้ไม่ทิ้งลูกน้อง”
“ก็อยากจะโยนทิ้งเหมือนกัน คุณนี่มันจริงๆเลยนะ วิกกี้ กล้าฉีกหน้าตำรวจระดับนั้นกลางวงนักข่าว กะจะให้สำนักงานสืบแจ้งเกิดแล้วก็ดับไปทีเดียวเลยล่ะสิ”
“นายขา ... จะกัดก็ต้องกัดให้จมเขี้ยวซิคะ ขบเล่นเบาๆ ไม่รู้สึกรู้สาหรอกค่ะ”
“กัดกับพวกหนังเหนียว เขี้ยวคุณจะหักซะก่อน”
“ไม่เคยกลัวเลยค่ะ ถ้าไม่มั่นใจวิกกี้ไม่จัดหนักแน่นอน นายก็รู้ คำว่าพลาด ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ชีวิตของวิกกี้ค่ะ”
คทารัตน์ยิ้มเชิดมั่นใจ ก่อนหมุนตัวเดินเปิดประตูห้องออกไปทันที
ภายในสนง.สืบคดีพิเศษ คทารัตน์เปิดประตูออกมาเจอกับวิวรรธน์ ภักดี เจ้าหน้าที่รุ่นน้อง ร่างสูงโปร่งหน้าตาสะอาดเข้าพอดี เธอยืนจ้องตรงเป๋งมาที่คทารัตน์
“มองทำไม สวย เริ่ด เชิด สง่ากว่าญาติเธองั้นเหรอ” คทารัตน์ถาม
“สวย ...สง่า เป็นบางเวลา ... สมอายุ สามสิบกว่าๆ ไร้ชายมาตอม” วิวรรธน์ลากเสียงคำว่าสวย แล้วพูดแดกดันต่อ
“ไอ้วิว ไอ้บ้า ไอ้ปากหมา”
วิวรรธน์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้บอก
“ไม่ต้องตะเบ็งครับ เจ๊วิกกี้ ผมยืนใกล้ๆ..ใกล้ลมหายใจเจ๊แค่นี้”
คทารัตน์ดันหน้าวิวรรธน์อย่างแรง ด้วยความรังเกียจ แล้วผละหนีไปทันที วิวรรธน์เดินตามไปติดๆ
“ถ้าแกยังอยากมีลมหายใจต่อ ช่วยไปให้พ้นๆหน้าชั้นภายในสามวิเลยนะ ไอ้วิว”
“ก็อยากไปครับ แต่ดันมีเรื่องสำคัญ”
วิวรรธน์เปลี่ยนน้ำเสียงขี้เล่นเป็นจริงจัง
“คืองี้เจ๊ ผมว่านะ ถ้าคุณเพชรดาเค้าคิดผิดล่ะ จริงๆคนที่ลั่นไกอาจจะเป็นพี่ชายเค้าเอง อย่างที่ตำรวจแถลงข่าว”
คทารัตน์เหลียวขวับมาถามวิวรรธน์
“ฉันขอความเห็นหรือยัง นายวิวรรธน์”
คทารัตน์สะบัดหน้าพรึ่ด ผมปลิวกระจาย ก้าวเท้ายาวออกเดินไป วิวรรธน์วิ่งตามอย่างไม่ลดละ
อีกด้านหนึ่งของสนง.สืบสวนคดีพิเศษ คทารัตน์เปิดประตูเปิดประตูอย่าง พอวิวรรธน์วิ่งตามเข้ามาทันก็จะปิดประตูกระแทกหน้าใส่ แต่เขาเอามือยันไว้อย่างรู้ทัน
“ต่อให้เจ๊วิกกี้จะเอาประตูกระแทกหน้าก็หยุดผมไม่ได้หรอกครับ”
“แกไปไกลๆฉันเลยนะ กลับบ้านไปเล่นเกมส์ ดูการ์ตูน กินนมนอนเลยไป้”
“ผมโตแล้วนะครับ ทั้งโต ทั้งหล่อ ฉลาดขนาดนี้ ทำไมเจ๊ไม่ใช้เลือดหนุ่มเร่าร้อนของผมให้คุ้มค่า”
“ไอ้วิว”
“อย่าเพิ่งเดือด อย่าเพิ่งเครียด คิ้วไขว้กันไปมา เดี๋ยวตีนกามันจะเหยียบย่ำใบหน้าเจ๊มากกว่านี้”
คทารัตน์รีบคลายหน้าที่กำลังถมึงทึงทันที
“ที่ผมต้องหน้าด้าน แถมาให้เจ๊ด่าเอาเด่าเอา เพราะผมหวังดีจริงๆ ผมค้นมาแล้ว แฟ้มคดีต่างประเทศ 1000 คดี มีคนถนัดขวาใช้มือซ้ายยิงตัวตาย 10 คดี คิดค่าความเป็นไปได้ ถึง 1 เปอร์เซ็นต์”
วิวรรธน์พรั่งพรูแบบไม่เว้นวรรคให้อีกฝ่ายเสียบได้เลย
“ผมว่าเจ๊อย่าเล่นประเด็นนี้เลย เราต้องหาประเด็นอื่นมางัดกับทีมสอบสวนเก่า ต้องเอาให้อยู่หมัด จะได้ไม่หน้าแตกแหลกละเอียดเหมือนเค้า”
“นี่แกใช้อะไรหายใจ ผิวหนังหรือเหงือก”
“หัวใจครับ หัวใจหล่อๆทีมีให้เจ๊คนดียว”
“เออ... เอากองไว้ที่พื้น แล้วฟัง”
คทารัตน์พูดเสียงจริงจังบอก
“สำนักงานสืบคดีพิเศษไม่ใช่สนามอวดรู้ของเจ้าหน้าที่ฝึกงาน”
“ผมค้นคว้ามาอย่างดี ไม่มีมั่ว ไม่มีเดา ไม่เข้าข้างใคร”
“แต่ฉันทำงานดีกว่าแก ฉันรวบรวมหลักฐานทุกคดีที่นี่ ก่อนแกจะเจ๋อเข้ามาเป็นน้องใหม่ เพราะฉะนั้นอะไรที่ฉันคิดมาดีแล้ว ห้ามค้าน เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุดในโลกนี้”
“โอเคครับ ... ผมเถียงเจ๊ไม่ได้ แต่เชื่อเหอะ เดี๋ยวต้องมีคนค้านเจ๊ได้แน่ๆ อย่างน้อยก็ทีมตำรวจที่ถูกส่งมาสอบคดีนี้ใหม่”
“ใคร ... ไหน ตำรวจที่ไหนจะถูกส่งมาคุมคดีนี้”
คทารัตน์หน้าตาเชิ่ด แบบไม่เห็นจะแคร์
เวลาเย็น ที่หน้าบ้านเช่าในชุมชนแออัด ร.ต.อ.พัทธยา ขาวเปี่ยม หรือ “พัทธ์” ในมือถือปืน พร้อมใส่เสื้อกันกระสุนพร้อมกำลังซุ่มรอด้านนอกประตูบ้านเพื่อจับขาใหญ่ค้ายาบ้าที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใน ไกลออกไป มีตำรวจลูกน้องนอกเครื่องแบบกระจายอยู่ พัทธยามอง ส่งสัญญาณพร้อมบุก
ขณะที่พัทธยากำลังจะเปิดประตู เท้าของ ร.ต.อ.สถบดี คืนวิสาข์ หรือ “ไผ่” ก็ถีบประตูโครมเข้าที่ ประตูจนเปิดอ้าออก
“ไอ้ไผ่”
สถบดีไม่สนใจใครทั้งนั้น ถือปืนพุ่งเข้าประตูไปทันที
ขาใหญ่ที่กำลังบรรจุห่อยาบ้าลงไปในตัวตุ๊กตา เขารีบโยนห่อยาในมือทิ้ง แล้วคว้าปืนข้างตัว ยิงสถบดีทันที นายตำรวจหนุ่มกราดยิงสวน จนข้าวของภายในบ้าน แตกกระจาย
ขาใหญ่สู้ไม่ไหว หันไปหยิบอาก้าที่ซ่อนขึ้นมา สถบดีพุ่งตัวหลบ เมื่อขาใหญ่สาดอาก้าใส่ พัทธยาที่ตามมาโดดหลบกับลูกน้องที่แตกกระเจิง กระสุนอาก้าเฉี่ยวไปมา
สถบดีลุกขึ้นจากที่ซ่อน สาดกระสุนจากปืนในมือยิงโดนแขนขาใหญ่ จนปืนอาก้าหลุดมือ ขาใหญ่รี่ตัวถอย เขาตามยิง ที่สุด ...เมื่อจนมุม ขาใหญ่ตัดสินใจพุ่งตัวโดดหนีทางหน้าต่าง
“ไอ้ไผ่ อย่าโดด... ไอ้ไผ่”
เสียงพัทธยาดังห้ามปราม แต่สถบดีไม่ฟัง กระโดดพุ่งตามทันที
ขาใหญ่กระโดดจากหน้าต่างตกลงมาที่น้ำคลองชุมชน สถบดีตกตามลงมา พัทธยาวิ่งไปชะโงกหน้ามองที่หน้าต่าง แล้วสั่งลูกน้อง
“ล้อมไว้ จับเป็น จับเป็น”
พัทธยามองไปในลำคลองเห็นขาใหญ่กำลังว่ายน้ำหนี สถบดีว่ายตามอย่างเร็ว ขาใหญ่ดำน้ำลงไป สถบดีดำตามลงไปทันทีเหมือนกัน พัทธยากับลูกน้องรีบตามมายังบริเวณริมคลอง
“ เอาตัวขึ้นมา อย่าปล่อยให้หลุดไปได้”
ไม่ทันขาดคำ สถบดีก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับหิ้วคอขาใหญ่ขึ้นมาด้วย ขาใหญ่ดิ้นจะหนี ทุกคนมอง นายตำรวจหนุ่มพยายามกระชากตัวคนร้าย แต่ขาใหญ่ถีบใส่พัลวัน สถบดีชักรำคาญ เหวี่ยงขาใหญ่ลงน้ำ แล้วตามไปกระหน่ำชกไม่ยั้งมือ
“เฮ้ย..ไอ้ไผ่”
พัทธยาลุยน้ำลงไปอีกคน สถบดีกระชากขาใหญ่มาเตะอัดเข้ากลางท้อง
“ไอ้ไผ่ ... อย่าทำมัน อย่า”
พัทธยาตะโกนก่อนถึงตัว แต่ช้ากว่าขาใหญ่ถุยน้ำลายใส่ สถบดีเดือด ควงหมัดชกหน้าขาใหญ่ หลายหมัดจนหงายผึ่งลงไปสิ้นฤทธิ์
พัทธยาถึงตัวเพื่อนพอดี สถบดีหันมา เห็นที่ฝั่ง มีนักข่าว ชาวบ้านยืนออดูกันแน่น
ภายในสนง.ตำรวจ นักข่าวช่อง 3 ยืนรายงานบริเวณที่เกิดเหตุ สถบดีกำลังลากขาใหญ่ขึ้นจากฝั่ง “จากภาพการจับกุม ถามว่านี่เป็นการทำงานที่เกินไปของตำรวจหรือเปล่า”
พัทธยา สถบดียืนตรงหน้า พล.ต.ต.เก่งกาจที่ยืนหน้าตาหงุดหงิดกับข่าวที่ออกอากาศ
“สถบดี เพราะแกอีกแล้ว หนที่เท่าไหร่แล้ววะที่ชั้นต้องตากหน้าไปหาสื่อ”
“ถามจริงๆเหรอครับ นาย”
“เออสิวะ ใครใช้ให้แกบ้าไปอัดมันต่อหน้าชาวบ้าน ... หรือว่าแกเป็นคนสั่ง...พัทธยา”
“ไอ้พัทธ์ ไม่เกี่ยวครับนาย ผมสั่งตัวเอง”
“สถบดี”
“ก็นายถาม ผมก็ตอบตรงๆ ไอ้นี่มันขาใหญ่ จับมากี่ครั้งก็หลุด เพราะมันเอาเงินชั่วปิดปาก ซื้อคนทั้งชุมชน นักข่าวก็ด่าผมได้ที่ผมอัดมัน แล้วตอนมันยกอาก้ายิงตำรวจ ไม่มีใครด่ามันสักแอะ เห็นว่าชีวิตตำรวจ รับใช้ประชาชน มันไม่มีค่าเลยเหรอครับ ที่ผมชกมันเป็นคนยาบ้า ชกแล้วก็ลากขึ้นจากน้ำ นี่ยังน้อยไปนะครับ ตอนแรกกะว่าจะเอาอาก้านั่นแหละกรอกปากมัน ลากศพไปโยนให้ฉลามกิน จะได้จบๆเรื่อง เงียบๆ เบาๆขำๆ สื่อตามไม่ทัน”
“ไอ้ไผ่ !”
เก่งกาจโวย แต่สถบดียืนหน้าตาย เฉยเมย ไม่สะทกสะท้าน
เวลากลางคืน ภายในบ้านสถบดีถังน้ำแข็งวางลงตรงหน้าพัทธยา เขาเหลือบมองเพื่อนคู่หู
“ยังมีกะใจฉลองอีกเหรอวะ เกือบจะโดนนายเด้งเพราะปากห่ามๆของเอ็ง” พัทธยาถาม
“แล้วแกจะให้ฉันทำไง ไอ้พัทธ์ ...ร้องไห้กระซิกๆเป็นนางเอกเสียตัว ย้ายก็ต้องย้าย แต่ยังไงเราก็จับไอ้เวรนั่นได้” สถบดีพูดพลางยิ้มอย่างไม่แคร์
“คิดว่าคุ้มเหรอวะ ไผ่ เอาหน้าที่การงานตัวเอง มาแลกกับชีวิตเศษสวะสังคม อย่างไอ้พวกค้ายาบ้าตัวเล็กๆ”
“คุ้ม” สถบดีตอบสั้นอย่างมั่นใจ
พัทธยามองเพื่อนที่ตอบอย่างมุ่งมั่น
“กับไอ้พวกสัตว์เลื้อยคลาน เล็กแค่ไหนก็คุ้ม เพราะเรายังมีงาน มีบ้าน มีข้าวกิน แต่ถ้าปล่อยไอ้เดรัจฉานนั่นขายยาต่อ เด็กอีกกี่ร้อยกี่พันคนที่ต้องปล้นจี้ ขายตัว หาเงินมาซื้อยา อีกกี่คนที่ต้องจบชีวิตในคุกแทนที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัย สังคมมันผุพังก็เพราะคนมัวแต่คำนวณว่า ตัวเองจะได้ไม่คุ้มเสีย คนเสียสละกำลังจะหายไปจากโลกนี้”
“โอเค ... ปีนี้ฉันจะเสนอชื่อแกเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนต่อไป” พัทธยาแสร้งพูดแดกดัน
“เออ...แล้วฉันจะตั้งเพื่อนคู่หูอย่างแกเป็นท่านรอง”
“รองเท้าซี่แก...ไอ้บ้า”
สถบดีหัวเราะ แล้วเปิดตู้เย็น เห็นตู้โล่งๆ
“เอ้ย....ของกินไปไหนหมดวะ ไอ้พัทธ์..แกรอฉันเดี๋ยว มีต้มแซ่บเจ้าอร่อยอยู่แถวตลาด แกต้องลอง เจ้านี้แซ่บ ซี้ด ถึงใจ”
พัทธยามอง สถบดีพุ่งไปสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ที่จอดหน้าบ้าน ออกไปอย่างเร็ว
ภายในห้องทำงานของคทารัตน์ในคืนเดียวกัน เธอกำลังเก็บเอกสารลงกระเป๋าทำงานใบหรู วิวรรธน์ถือกาแฟเปิดประตูเข้ามา หล่อนพูดใส่ทันที
“ถ้าจะมาพูดให้ฉันเชื่อทฤษฎีบ้าบอ มือซ้ายยิงตัวตายของแกนะ รีบกลับออกไปเลย ไอ้วิว... เวลาฉันมีค่าทุกวินาที”
“โธ่ ...เจ๊วิกกี้”
คทารัตน์ยกกระเป๋าเหมือนจะฟาดแล้วชะงัก ส่วนวิวรรธน์เตรียมหลบอย่างรู้ทัน
“อย่าดีกว่า หน้ากร้านๆของแกจะระคายกระเป๋าหนังจระเข้ของฉัน รุ่นนี้ลิมิเตดคอลเลคชั่น ทั้งโลกมีแค่ 50 ใบ”
“โห... ฝีมือประเทศเพื่อนบ้านนี่ก้าวหน้าเนอะเจ๊ ก๊อปเกรดสามเอ”
คทารัตน์สุดทน ฟาดผัวะเข้ากลางหลังเขาอย่างจัง
“คนอย่างแกนะ ไอ้วิว เป็นคนประเภทที่ฉันรังเกียจที่สุด รู้น้อยแต่อยากเด่น แล้วก็หัดมีสัมมาคารวะซะบ้าง ที่นี่ฉันเป็นรุ่นพี่ แต่แก ...เจ้าหน้าที่ฝึกงาน จะแสดงความนับถือก็เรียกฉันว่าพี่ อย่ามาเรียกฉันเจ๊ ได้ยินอีกทีคราวหน้า ชั้นตบปากฉีกถึงท้ายทอย”
คทารัตน์ก้าวเดินออกจากห้องทำงาน วิวรรธน์เดินตามทันที
บริเวณทางเดินในสนง.สืบสวนพิเศษ คทารัตน์เดินเร็วจะรีบกลับบ้าน วิวรรธน์เดินตามหลังพร้อมกับส่งเสียงคุยต่ออีก
“อ้าว...จะกลับซะแระ แล้วไม่กินกาแฟฝีมือหนุ่มหล่อปากกล้าหน่อยเหรอ คิดว่าคุณพี่วิกกี้คงทำงานดึก เลยเอากาแฟมาให้”
เธอหันมา เห็นเขายกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ คทารัตน์มองแล้วยิ้ม
“ขอบใจนะ”
วิวรรธน์ยิ้มดีใจที่เห็นรุ่นพี่รับไมตรี
“แต่แกเก็บไว้กินเองเถอะ วิว .. ลิ้นฉันไม่เคยแตะกาแฟกากๆแบบนี้ เปลืองปลายประสาทว่ะแก”
พูดจบหล่อนก็เดินหน้าเชิดออกไป
วิวรรธน์มองตามด้วยสีหน้าจ๋อยๆ แล้วยกกาแฟขึ้นซดเสียงดัง
อ่านต่อหน้า 2
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ตลาดเวลาต่อมา สถบดีเอาถุงอาหารคล้องแฮนด์มอเตอร์ไซค์แล้วขับออกมาตามถนน
เขาขับรถไปเรื่อย ๆ เพลิดเพลินกับการพระจันทร์กลมโต สุกสว่างสาดแสงนวล บริเวณสี่แยก ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นแดงแล้ว แต่เขามัวแต่เพลินเพลินกับอารมณ์ และไม่ทันมองสัญญาณไฟจราจร พุ่งรถไป
รัดเกล้าใส่หมวกปั่นเสือหมอบมา มอเตอร์ไซค์สถบดีผ่ามากลางคัน เธอหักหลบอย่างเร็ว จนกลิ้งล้มไปกับถนน สถบดีรีบจอดมอเตอร์ไซค์เข้าข้างทาง วิ่งลงมาประคองเธอ
“คุณ ... เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
สถบดีประคองรัดเกล้าขึ้น หมวกรัดเกล้าหล่น เผยใบหน้าที่สวยกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์นวล
“คุณ... คุณ”
สถบดีมองแล้วเขย่า แต่รัดเกล้าสลบแน่นิ่ง
“อูย...ซวยซ้ำซวยซ้อนอีกแล้วกู”
สถบดีอุ้มรัดเกล้าขึ้นทันที
บริเวณแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลในเวลาต่อมาสถบดีอุ้มรัดเกล้าเข้ามาวางลงบนเตียง เจ้าหน้าที่เข็น พยาบาลเข้ามาดู
"เป็นอะไรมาคะ"
"รถชนครับ ผมครับ...ผมเป็นคนขับรถชนเค้าจนสลบ ผมชนเอง"
สถบดีที่วิ่งตามเตียงรัดเกล้าที่ถูกเข็นไปตามทางเดินยาวในโรงพยาบาล
ภายในห้องคนไข้ ร่างรัดเกล้านอนนิ่งบนเตียง น้ำเกลือหยดไหลมาตามสาย สถบดียืนเฝ้า มองจ้องประชิดด้วยความเป็นห่วง พัทธยาเปิดประตู เดินมายืนข้างเตียง
"ฉันบอกโรงพยาบาลว่าแกเป็นตำรวจ มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วแกก็จะไม่หนี เดี๋ยวร้อยเวรจะมาสอบปากคำที่นี่"
"ขอบใจมาก ไอ้พัทธ์"
พัทธยามองรัดเกล้าที่นอนอยู่บนเตียง
"เป็นไงมั่ง"
"แย่ว่ะ เค้ายังไม่ฟื้นเลย สมองต้องฟั่นเฟือนตลอดชีวิตแน่ๆ" สถบดีว่า
"ปากเสียน่ะ แก หมอยังไม่ได้สรุปอะไรเลย ให้การเสร็จก็กลับก่อนได้"
สถบดีมองรัดเกล้าด้วยสายตากังวล เกิดความรู้สึกเป็นห่วงจับในอย่างรุนแรง
"ไม่ได้ ฉันต้องเฝ้า ... จนกว่าเค้าจะตื่น"
สถบดีจ้องรัดเกล้า พัทธยามองแล้ว... ท่าจะยาว
"แกจะเฝ้าเค้าจนกว่าฟื้นแน่นะ"
"เออ...เฝ้าจนกว่าจะฟื้น"
"งั้นเดี๋ยวฉันออกไปหาอะไรร้อนๆมาให้ จะได้รอร้อยเวรเป็นเพื่อนแกด้วย"
พัทธยาเดินออกไป ปล่อยให้สถบดีอยู่กับรัดเกล้า สถบดีขยับตัวเข้ามามองรัดเกล้า แล้วเรียกขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใย
"คุณ คุณ ได้ยินผมมั้ย"
สถบดีมองใบหน้านวลเนียน กระจ่างตาของรัดเกล้า
"อย่าเป็นอะไรนะ...คุณเป็นใคร ผมยังไม่รู้เลย"
สถบดีขยับเข้ามาใกล้
"ตื่นมาเถอะนะ ... ผมอยากรู้จักคุณ"
สถบดีเลื่อนมือมาแตะที่แขนรัดเกล้าเหมือนอยากจะบอก แต่พลันที่มือสถบดีแตะโดนร่างรัดเกล้า
ก็บังเกิดแสงวาบขึ้นระหว่างสัมผัสของคนทั้งคู่ ประกายแสงแรงเรืองรองส่องเข้าตา เขารู้สึกประหลาดกับเหตุการณ์ตรงหน้า ใจหวิววาบ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถดึงมือให้หลุดออกมาได้ ทั้งๆที่พยายามสุดขีด ส่วนใบหน้า ดวงตาภายใต้เปลือกตารัดเกล้าเคลื่อนไหวคล้ายคนฝันร้าย
ขณะนั้นแสงแรงขึ้นจนสถบดีทนไม่ไหว หลับตาแน่น หมดสติฟุบลงข้างเตียง
รัดเกล้าที่นอนสลบอยู่บนเตียง ... เคลิ้มฝันล่องลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง... เธอเหมือนโดนผลักอย่างแรงออกมายืนงงท่ามกลางความมืดมิดรอบๆตัว
"ที่ไหน"
รัดเกล้าขยับขาจะวิ่งไปข้างหน้า แต่เหมือนโดนพลังบางอย่างดูดเข้าไปในอุโมงค์แห่งเวลา หล่อนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
สายตาเพ่งมองไปด้านล่าง ด้วยสีหน้าตกใจกับภาพอดีตพันปีที่เห็นตรงหน้า
เพลิงที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำ ทหารคนหนึ่งถูกธนูพุ่งเข้าปักคอ ล้มขาดใจตายคนหนึ่ง เหล่าทหารเมืองมินโล อีก 4 คนกรูเข้ามา วาเร ทหารจากเมืองปุระอมร ร่างกายสูงใหญ่บรรเลงเพลงดาบกระชากวิญญาณ ฆ่าทหารทั้งสี่คน ละอองเลือดสาดสีแดงฉานดุจพระอาทิตย์ ... ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ภายในวัง เจ้ามินโลวัย 50 ปียืนอยู่กับชายาและลูก มีทหารคอยคุ้มกัน
"พาลูกกับเมียเราหนีไป"
ทหารคน 1เร่ง
"ท่านต้องไปด้วย"
"ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้นรสิงห์ยกกองทัพปุระอมรมาย่ำยีแผ่นดินมินโลของข้า"
ภายในวังมินโลสีหสา แม่ทัพหญิงผู้ห้าวหาญ แข็งแกร่งเยี่ยงชายขององค์นรสิงห์สีหบดี ถีบบานประตูแตก ล้มทับทหารมินโล หลายคนล้มกลิ้งไปกับพื้น
แม่ทัพหญิงย่ำบนร่างทหารที่ล้มกลิ้งพร้อมกับตวัดดาบ แทงทะลุร่างทหารขาดใจตายทั้งหมด ทหารอีก 6 คนกรูเข้ามา แต่ถูกสีหสากวัดแกว่งดาบจนล้มตายในพริบตา
เจ้าเมืองมินโลยืนตะลึง ที่ด้านหลัง ชายากรีดร้องเนื่องด้วยโดนวาเรต้อนมาจากด้านหลัง สีหสาก้าวเข้ามา เจ้าเมืองมินโล ล่วงรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมในครั้งนี้ จึงชักมีดสั้นประจำพระองค์ขึ้น หมายจะปาดคอตัวเอง วาเรตีลังกาแปดตลบด้วยความว่องไว พรวดเข้ามายื้อมีดสั้นด้ามที่จ่อเกือบถึงคอเจ้าเมืองมินโลไว้
"จะรักษาศักดิ์ศรีกษัตริย์ด้วยมีดอันแค่นี้ มันไม่สมเกียรติหรอกกษัตริย์มินโล"
สีหสาแผดเสียงจ้องเจ้าเมืองมินโลด้วยสายตาเยาะหยัน ก่อนกระชากเจ้าเมืองออกไป
กำแพงข้างวังมินโล เจ้าเมืองมินโลกับชายาถูกมัดมือ ทหารลากตัวผ่านซากศพทหารและชาวเมืองที่นอนล้มตายเป็นอันมาก ควันไฟจากการเผาเมืองพวยพุ่งคละคลุ้งไปทั้งบริเวณ เจ้าเมืองมินโลมองสภาพซากศพทหารและชาวเมืองจำนวนมากมายก่ายกอง ด้วยสีหน้าสลดใจเป็นที่สุด
"ซากศพนี่หรือ... ความยิ่งใหญ่ที่ไอ้นรสิงห์ ราชาของเจ้าต้องการ"
"วาจายังสามหาว โอหัง กระทั่งในยามที่ใกล้เป็นผีไร้บัลลังก์"
เจ้าเมืองมินโลหันไปมองตามเสียง เงาขององค์นรสิงห์สีหบดีประทับอยู่บนหลังช้างที่กำลังเคลื่อนเข้ามา มีคชาเป็นองครักษ์ เจ้าเมืองมินโลเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้นด้วยความเกรงกลัวบารมีองค์นรสิงห์ ราชาแห่งปุระอมร ที่แววตาเหี้ยมเกรียม คลี่ยิ้มโหดเยือกเย็น
"นับจากเพลานี้ ธุลีดินใต้ฝ่าเท้าของกูจงสดับ แสงเดียวที่จะสาดส่องไปทุกอาณาจักร คือแสงอาทิตย์แห่งกู.... องค์นรสิงห์สีหบดี"
องค์นรสิงห์มองจ้อง เจ้าเมืองมินโลตกใจกลัวที่เห็นเท้าช้างกำลังย่ำลงมาที่ร่าง เจ้าเมืองร้องลั่น เสียงกรีดร้องของเหล่าชายาดัง เลือดกระเซ็นอาบร่างสีหสา และวาเรดูอำมหิตน่ากลัว
องค์นรสิงห์ยิ้มเหยียด มองไกลด้วยสีหน้าผู้กำชัยชนะ
ด้านหน้าของวังปุระอมร ขบวนถวายเครื่องบรรณาการจากดินแดนน้อยใหญ่ตั้งเป็นแถวยาว ขบวนนั้นพราวพร่างด้วยสีสรรของดอกไม้หลากชนิด เหล่าเครื่องทอง พร้อมขบวนนางรำที่โปรยดอกไม้ตลอดเส้นทาง
รัดเกล้ายืนมองริ้วขบวนอันยาวเหยียดที่สวยงามอลังการ เทวีงามสะคราญจาก 20 เมืองแต่งกายงดงาม ประดับประดาด้วยเครื่องทอง พร้อมถวายตัว กำลังเดินแถวเข้ามา รัดเกล้าเดินตามริ้วขบวนอลังการ เทวีสะคราญ ด้วยความตื่นเต้น ตื่นตา
ขบวนเทวี และเครื่องบรรณาการทั้งหมดทั้งมวลกำลังเคลื่อนสู่วิหารปุระอมรขององค์นรสิงห์สีหบดี
ขบวนแถวของเทวีที่เป็นบรรณาการกับนางรำ และกลุ่มนักดนตรีที่บรรเลงกลอง เป็นขบวนนำ
ตามด้วยขบวนเครื่องบรรณาการทั้งเครื่องประดับทอง และสัมฤทธิ์ ผ้าไหม ทุกอย่างจัดเรียงซ้อนสูงท่วมหัว
คนถือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพสูงสุด ตามมาด้วยขบวนรูปปั้นสิงห์สัมฤทธิ์ และสัตว์อื่นที่มีรูปร่างแปลกตามความเชื่อโบราณ แจกันที่ทำจากแก้วสี หีบสมบัติที่อัดแน่นด้วยแก้วแหวนเงินทอง ทุกอย่างเหล่านี้ มีทหารแบกลากเข้ามา
เสียงกลองตีดังก้องไปทั้งวิหารปุระอมรด้วยจังหวะหนักแน่น ทางด้านหน้าเหล่าเทวีงามหมอบรอ
องค์นรสิงห์ย่างก้าวเดินเข้ามา เงาที่ทอดยาวเคลื่อนทาบทับเหนือหัวทุกคนที่หมอบกราบแทบเท้าตรงหน้า ทุกชีวิตแทบหยุดหายใจ เสียงกลองเงียบลง ความมืดดำของบรรยากาศปกคลุมบริเวณนั้นทันที
องค์นรสิงห์ยืนตระหง่าน สีหสาผู้เป็นแม่ทัพยืนอยู่ด้านหนึ่ง อีกข้างคือ สุเลวินโหราหนุ่มที่แม้นัยน์ตาจะมืดสนิท แต่มีความหยั่งรู้อยู่เหนือทุกสิ่ง ถัดมาคือ คชา องครักษ์ของนรสิงห์ และ วาเร ทหารคู่ใจของสีหสา
ทุกคนก้มลงคำนับองค์นรสิงห์
"เพราะความยิ่งใหญ่ของกองทัพองค์นรสิงห์สีบดี อาณาจักรปุระอมร จึงรวบรวมทุกแคว้นเป็นปึกแผ่นได้เช่นวันนี้" สุเลวินโหราจารย์กล่าว
"เจ้าเห็นอะไรต่อไปอีก สุเลวินโหรา"
"ถึงดวงตาข้าจะมืดบอด แต่ญาณของข้ากำลังเห็นความระยิบระยับของบรรณาการทั้งหมดทั้งมวล สุดจะหาใครเทียบเทียมได้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับบารมีกษัตริย์แห่งข้า ที่จะแผ่ขยายไปในภายภาคหน้า เสียงแซ่ซ้องจากเหนือจรดใต้จะสรรเสริญราชาเพียงองค์เดียว คือลูกพระอาทิตย์ .. องค์นรสิงห์สีหบดี"
องค์นรสิงห์หน้าตาเปี่ยมสุข ลำพองใจที่เป็นเจ้าของดินแดนทั้งหมดยอมสวามิภักดิ์ ก้าวมากระชากเทวีที่อยู่แถวหน้า สองคนมากอดจูบซ้ายขวา
เทวีคนหนึ่งกลัวจนเนื้อตัวสั่นรีบเบี่ยงตัวออก องค์นรสิงห์โมโห เหวี่ยงกระเด็นลงไปกับพื้น
"อีหญิงเลว ข้าแตะเนื้อตัวเจ้าก็เป็นบุญเท่าไหร่แล้ว ... คชา เอามันไปกุดหัว"
เทวีกรีดร้อง คชาเข้ามากระชากออกไปด้วยสีหน้าไร้ความเมตตา
ที่ตรงนั้น เงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ
องค์นรสิงห์ก้าวลงมามองเครื่องบรรณาการด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
"เจ้าเมืองทุกแคว้นต่างรักตัวกลัวตาย ศิโรราบยกแผ่นดินให้เป็นฝุ่นผงใต้ฝ่าเท้าข้า"
"ยกเว้น ... ศรีพิสยา" สีหสาเอ่ยขึ้น ...
องค์นรสิงห์หันขวับมามองจ้องประสานสายตากับสีหสา ผู้เป็นแม่ทัพหญิง
"ศรีพิสยา เมืองเล็กเพียงด้วงเพียงแมลง ทำไมมันถึงไม่คลานมาอยู่แทบเท้ากู" เสียงองค์นรสิงห์เอ่ยขึ้นราวเสียงคำราม
ร่างรัดเกล้าเคว้งคว้างท่ามกลางดาวระยิบ ล่องลอยไปสู่ดินแดนแห่งจันทร์ ที่ชื่อ ศรีพิสยาในเวลาต่อมา
บรรยากาศเมืองริมน้ำยามค่ำคืน ชาวเมืองศรีพิสยาต่างพากันเดินกึ่งวิ่งกันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แสงจันทร์ส่องกระทบ เงาจันทร์สวยกระจ่างอยู่บนสายน้ำ
บริเวณลานกลางเมือง นางระบำกำลังร้องรำ ชาวบ้านต่างพากันล้อมวง มองไปที่พระจันทร์เต็มดวงที่สวยสว่างกระจ่างนัยน์ตา
ภายในตำหนัก เจ้านางอินยาที่กำลังยืนอาบน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อ นางลูบไล้เนื้อตัวให้ต้องแสงจันทร์ เผยใบหน้าสวย คมเข้ม ยิ้มแย้มด้วยความสุข
"จะไม่มีหญิงใดในศรีพิสยาที่ผุดผ่องงดงามเกินข้า ... ที่ได้อาบน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อท่ามกลางแสงจันทร์"
ทางด้านหลัง นางสนมซึ่งรอรับใช้ก้มหน้าลงกับพื้น
รัดเกล้าโผล่หันมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มองไปยังร่างเจ้านางอินยามอง ที่เธอกลับแปลกใจที่ใบหน้าของนางสนมนั้นเหมือนกับตัวเองราวถอดพิมพ์กันมา
เจ้านางอินยาจ้องเห็นใบหน้างดงามของสนม มรันมาเห็นสายตาดุกร้าวของเจ้านางอินยา ก็รีบก้มหน้างุดทันที เมื่อนางก้าวพรวดมา มรันมารีบส่งเสื้อคลุมให้ นางรับมาตวัดใส่ร่าง มรันมากำลังจะถอยไป"มรันมา สายตาเจ้าอิจฉาที่ข้าสวยกว่าแม่เจ้า นังลูกสนมไร้บัลลังก์ เจ้าอิจฉาข้า"
มรันมาไม่พอใจ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธทันที เจ้านางอินยาบีบคอมรันมา สร้อยทับทิมสีแดงก่ำเลือดนกในคอโดนมือเจ้านาง จนนางต้องผละออก จ้องมองสร้อยทับทิมเส้นนั้น
"ทำไมไม่ถอดสร้อยทับทิมเส้นนี้ออก .. หรือว่าจะเก็บไว้ระลึกถึงแม่ที่อยู่ในหลุม"
มรันมาเก็บกดความโมโห ก้มหน้า ไม่เงยขึ้นสบตา เพราะรู้ว่าจะยิ่งทำให้เจ้านางกราดเกรี้ยวยิ่งขึ้น
"อเลยา แม่เจ้ามันก็แค่ทาสที่ข้าส่งไปให้เจ้าศรีพิสยาลิ้มรสแปลกใหม่ อย่าได้คิดว่าตัวเองก็เป็นลูกเจ้าศรีพิสยาคนนึง ลูกหญิงรับใช้อย่างเจ้า มันต้องเป็นขี้ข้า รองมือรองตีนข้าไปจนวันตาย"
เจ้านางอินยาจ้องมองมรันมาอย่างเอาเรื่องก่อนตวาดเสียงสูง
"ไสหัวออกไป"
มรันมาก้มลงเก็บผ้าเช็ดร่างเจ้านางอินยา เดินหอบออกไป รัดเกล้ารู้สึกเหมือนอยากจะเรียกรั้งไว้ แต่ไม่อาจเอ่ยเสียงออกมาได้
เจ้านางอินยามองตามมรันมาที่เดินออกไปด้วยสายตาสะใจ
มรันมากำผ้าในมือแน่น แววตากดดัน เดินออกมายังด้านนอกของห้อง อุตลากับนางข้าหลวงที่รออยู่ด้านนอก พอเห็นมรันมา ก็ปราดเข้ามาหาทันที
"ได้ยินเสียงเจ้านางอินยาดังมาถึงนี่ แกทำอะไรให้เจ้านางโกรธอีก มรันมา ทาสไพร่" อุตลาถามมรันมาหันขวับมาจ้องอุตลา ข้าหลวงคนสนิทของอินยาอย่างไม่เกรงกลัว
"ถ้าข้าไม่ตอบ เจ้าจะไปถามเจ้านางเองเลยหรือเปล่า อุตลา"
"มรันมา เจ้ามันขี้ข้า"
"ที่ยืนอยู่ตรงนี้ มันก็ขี้ข้าทุกคน"
"นังมรันมา"
"ไม่ต้องขึ้นเสียงแสดงอำนาจหรอก อุตลา ... เดี๋ยวเจ้านางอินยาจะสงสัยว่า ใครแผดเสียงได้ดังกว่า ขี้ข้าหรือเจ้านาย"
"เจ้าด่าเจ้านาง"
อุตลาคว้ากระชากมรันมา เงื้อมือ แต่มรันมาโยนผ้าทั้งกองใส่หน้าจนอีกฝ่ายเซไป
ข้าหลวงอีก 4 คนพุ่งเข้ามาช่วยกันจับ มรันมาหมุนตัว เหวี่ยงทุกคนกระแทกผนัง จนข้าหลวงทั้ง 4 คนกระเจิงไป อุตลาที่กำลังจะลุกขึ้น เจอข้าหลวงที่เซ ชนล้มไป อุตลาผลักออก แล้วบอก
"ข้าจะฟ้องเจ้านางอินยา"
"ไปเลย...ในคืนบูชาเพ็งที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ใครเข้าไปทำให้เจ้านางอารมณ์เสียหลังอาบแสงจันทร์ เจ้านางเคยสั่งว่า...ยังไง"
อุตลากับพวกชะงักไปเมื่อนึกถึงคำที่มรันมายกมาขู่ มรันมาเดินเข้าหาทุกคน ถามซ้ำ
"ว่ายังไง"
"เจ้าไม่ต้องขู่"
"ไม่กลัวเลยล่ะสิ"
มรันมามองรู้แล้วว่าเป็นต่อ จึงกวาดสายตา จ้องมองทุกคน
"ใครทำให้เจ้านางอารมณ์ไม่ดีในคืนบูชาเพ็ง จะถูกเฆี่ยนจนตาย"
มรันมาจงใจเน้นทุกคำก่อนเชิดหน้าเดินออกไป
อุตลามองตามอย่างเจ็บใจ
มรันมาเดินเร็วมาหยุดในบริเวณสวนดอกไม้ ด้วยอารมณ์โมโหและกดดัน มรันมาขยำใบไม้แหลกคามือ
"โกรธใครมานักหนา มรันมาคนสวย"
มรันมาหันขวับไปทันที เห็นเจ้าปันแสง ลูกชายคนเดียวของเจ้านางอินยา
เจ้าปันแสงหน้าตาหล่อ คมคาย สูงโปร่ง เดินเข้าหา แต่มรันมากลับก้าวถอย
"เจ้าปันแสง"
เจ้าปันแสงคว้ามือไว้ มรันมาพยายามดึงกลับแต่สู้แรงไม่ไหว
"ทำไมต้องดีดดิ้นให้ข้าออกแรง เป็นทาสของแม่ ข้าจะให้รับใช้อะไร ก็อย่าขัดขืน"
ปันแสงก้มมาใกล้ มรันมาพูดขึ้น
"เป็นถึงลูกชายเจ้านางอินยา มาเกลือกกลั้วทาสอย่างข้า ใครรู้เข้าจะหาว่า เจ้าปันแสงเป็นผู้ชายไร้ปัญญา หาหญิงงามศักดิ์ศรีเท่ากันมาเชยชมไม่ได้"
"เพราะข้ารู้น่ะสิ มรันมา ว่าเจ้าก็มีศักดิ์ ศักดิ์ที่เป็นลูกเมียทาสกับเจ้าศรีพิสยา พ่อข้า ... เลยไม่มีใครยกย่องให้เป็นเจ้าหญิง"
มรันมาจ้องปันแสงที่จี้จุดใจดำ
"สุดท้ายก็เป็นได้แค่เจ้าหญิงทาสในตำหนัก คอยบำเรออารมณ์ข้า"
เจ้าปันแสงรวบร่างมรันมามาใกล้ นางพยายามผลักออกแต่เจ้าปันแสงไม่ยอมปล่อย กลับก้มลงซุกไซร้ นางจิกเล็บลงบนเนื้อปันแสง จนอีกฝ่ายร้อง สะบัดออกด้วยความเจ็บ มรันมาจะวิ่งหนีไป แต่เจ้าปันแสงคว้ากระชากจนนางล้มลง เจ้าปันแสงกดไหล่มรันมาลงกับพื้น เงื้อมือจะตบ
พลัน ลูกธนูถูกยิงแล่นลงมาเฉียดมือเจ้าปันแสงที่กำลังจะตบหน้ามรันมาพอดี
"ใคร ... ใครวะ"
ธนูพุ่งลงมาอีกเฉียดร่างเจ้าปันแสง เขาตกใจ ลุกพรวดถอยหลัง ธนูพุ่งมาตามาปักล้อมตัวเจ้าปันแสงไว้
"แก..แกตายแน่"
ธนูพุ่งเฉียดหน้าไปอีกดอก เจ้าปันแสงกลัวตาย วิ่งหลบหนีหายไปในความมืด ธนูลำนั้นแล่นไปปักไปที่ต้นไม้ทางด้านหลัง มรันมารีบลุกขึ้น มองหาเจ้าของลูกธนู
"ใคร ... ใครช่วยเรา ... พี่ชายหรือเปล่า"
ติสสาถือคันธนู นั่งพรางตัวในเงามืดบนกำแพง ยิ้มหล่ออย่างพอใจ
"ออกมาให้ข้าเห็นเถอะ ... พี่ชายใช่มั้ย"
ติสสาอมยิ้มแล้วแกล้งพลิกตัวหมุนพลิ้วกลางอากาศ วิ่งไปที่กำแพงอีกด้าน
มรันมาเห็นก็วิ่งตามทันที ติสสาหลบวูบ นางแกล้งเข่าอ่อน ล้มลงกับพื้นร้องเสียงดัง
"โอ๊ย เจ็บ .. ช่วยด้วย"
ติสสาหันขวับทันที มรันมาชะเง้อ ขยับมองหน้าในเงามืด
"มีอะไรกัน"
มรันมาหันมา ปรันมาก้าวเข้ามามองธนูที่ปักอยู่บนพื้น นางก้มหน้าลงกับพื้น ทำความเคารพปรันมาทันที ติสสาหลบวูบไปหลังกำแพงด้วยความตกใจ
"เจ้าปรันมา"
ในเขตพระราชฐานชั้นใน เจ้าปรันมายืนมองมรันมา
"เล่าให้ฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นในสวน" ปรันมาถาม
จันทเทวีเดินเข้ามาอย่างเร็วจากทางด้านหลัง ตรงมายืนข้างมรันมา
"ใครที่ทำร้ายพี่หญิง เห็นหน้ามันใช่มั้ย คนจากตำหนักอื่นหรือเปล่า"
"เจ้าจะหมายถึงตำหนักของข้าใช่มั้ย จันทเทวี"
ทุกคนหันไปมองเจ้านางอินยาที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางวางอำนาจ มรันมามองเจ้านางอินยาที่จ้องมองมาแล้วหลบสายตาไปทางอื่น
"บอกไปสิ มรันมา ใครทำร้ายเจ้า"
"ไม่ต้องกลัว บอกมาเลย พี่หญิงมรันมา"
จันทเทวีจับแขนมรันมาด้วยความเป็นห่วง แต่เธอกลับดึงแขนออกทันที
"เจ้านางจันทเทวี อย่าเรียกข้าว่าพี่หญิง"
"ทำไมจะเรียกไม่ได้ พวกเราก็เป็นลูกพ่อทั้งนั้น"
มรันมาสวนขึ้นทันที
"ข้าไม่ใช่"
เจ้านางอินยาหัวเราะบาดใจขึ้นทันที
"ดีจริงๆ มรันมา ดีที่เจียมกะลาหัว จำใส่กะโหลกหนาๆเอาไว้ว่า ลูกเจ้าศรีพิสยามีแต่ เจ้าปรันมา เจ้านางจันทเทวี แล้วก็ เจ้าปันแสงลูกข้า คนอื่นไม่ใช่"
มรันมามองเจ้านางอินยาด้วยความกดดัน แล้วค้อมตัวทำความเคารพทุกคนแล้วออกไปอย่างเร็ว
สายตาติสสาลอบมองตามมรันมาด้วยความห่วงใย
"ยังไงข้าก็ถือว่ามรันมาเป็นพี่หญิงของข้า"
"เป็นเจ้าก็ให้รู้ศักดิ์ของตัวเองบ้าง จันทเทวี เสียดายที่เจ้านางฝ่ายขวาสิ้นบุญเร็วไปหน่อย เลยไม่ได้มีโอกาสสั่งสอนลูกสาว"
"ใช่ .. ถ้าแม่อยู่ แม่คงสอนข้าให้นิสัยดีกว่าเจ้าปันแสง"
อินยาหันขวับ แทบจะฆ่า
"จันทเทวี"
"จันทเทวี ขอโทษเจ้านางอินยาเดี๋ยวนี้"
จันทเทวีนิ่ง ปรันมาเอ่ยซ้ำแบบบังคับ
"จันทเทวี"
"ขอโทษ เจ้านาง" จันทเทวีเอ่ยปากอย่างจำใจ
จันทเทวีหันหลัง เดินเร็วออกไป เจ้านางอินยายิ้มสะใจ
ปรันมามองแล้ว เดินแยกไปทางที่มรันมาเดินออกไป ติสสามองเจ้านางอินยาแล้วเดินหนี ทิ้งให้เจ้านางอินยาอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วย
อีกด้านเขตพระราชฐานชั้นใน มรันมาเดินอย่างเร็ว ปรันมาตามมาอย่างเร็วพร้อมเรียกขึ้น
"มรันมา"
มรันมาหยุดเดิน ปรันมาก้าวมาตรงหน้า
"สร้อยทับทิมในคอ คือสิ่งที่พ่อมอบรับขวัญเจ้ามาตั้งแต่เกิด แสดงให้รู้ว่า เจ้าก็เป็นหนึ่งในสายเลือดของศรีพิสยา"
มรันมากำสร้อยในคอ
"ข้าไม่ใช่ลูกของเจ้าศรีพิสยาองค์ก่อน แม่อเลยาของข้าเป็นแค่ทาสในตำหนักเจ้านางอินยา"
ปรันมาเห็นแววตาเศร้าของมรันมาก็เอ่ยเตือน
"มรันมา อย่าจดจำคำดูถูกของเจ้านางอินยา มาลดเกียรติตัวเอง"
"เปล่าเลย เจ้าปรันมา เกียรติของข้าคือลูกแม่อเลยา ท่านไม่จำเป็นต้องยกย่องให้เกียรติลูกข้าทาสเลยสักนิด ปล่อยให้ข้าอยู่ในชาติกำเนิดที่ติดตัวมา ดีที่สุด"
มรันมาประสานสายตากับเจ้าปรันมาตรงๆ แล้วย่อตัวถวายความเคารพ เดินเร็วออกไป ปรันมามองตามนิดเดียวแล้วเอ่ยขึ้น
"ติสสา"
ติสสาที่หลบอยู่หลังต้นไม้
"ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น"
ติสสาก้าวออกมา
"ไปส่งมรันมา น้องสาวเราให้ถึงตำหนักเจ้านางอินยา"
ติสสารีบถอยออกไปอย่างเร็ว
ที่ตำหนักเจ้านางจันเทวี ในเวลาต่อมา จันทเทวีสะบัดหน้าแง่งอนด้วยอารมณ์เด็กสาวต่อว่าพี่ชายที่ยืนอยู่
"ถ้าพี่รับพี่หญิงมาอยู่ตำหนักเดียวกับน้อง พี่หญิงก็คงไม่เสียใจแบบนี้"
"จันทเทวี... อย่าลืมสิว่า มรันมาเป็นคนของตำหนักเจ้านางอินยา เราจะใช้สิทธิ์อะไรไปบังคับ"
"สิทธิ์ที่พี่ปรันมาเป็นเหนือหัว เจ้าศรีพิสยาตอนนี้"
จันทเทวีหน้าตาไม่สบอารมณ์ ปรันมาส่ายหน้าอ่อนใจกับน้องสาว
"เราต้องเคารพเจ้านางอินยา เทียบเท่าแม่คนนึงของเราเหมือนกัน"
"แม่ไม่เคยใจร้าย ไม่ว่ากับใคร ข้าเบื่อ ข้าไม่ฟังแล้ว กี่ทีกี่ทีพี่ก็พูดแบบนี้ น่าสงสารพี่หญิงมรันมาที่สุด"
จันทเทวีสะบัดหน้าอย่างแง่งอน
มรันมาเดินเร็วมา แล้วดึงสร้อยทับทิมสีเลือดนกในคออย่างแรงจนขาดติดมือ พลางยกสร้อยเส้นนั้นขึ้นจะปาทิ้งลงพื้น
เสียงนกแสกร้องดังขึ้น มรันมาชะงัก หันไปมองรอบๆ ติสสาแกล้งเป่ามือ ทำเสียงนกร้องอีกที มรันมามองไปรอบๆ นิ่งฟังเสียงนกแสกนั้น
"ใคร ...พี่ชาย...พี่ชายใช่มั้ย พี่ชายหรือเปล่า"
ติสสายิ้ม แอบหลบมองมรันมาที่มองหา
"หรือว่า"
ติสสาแกล้งทำเสียงนกร้องขึ้นอีก มรันมาตกใจ กำสร้อยวิ่งหนีออกไปทันที เขาค่อยๆโผล่ออกมามองด้วยสีหน้ายิ้มๆ
มรันมาเดินเข้าห้องมาในห้องนอนข้าหลวง ตำหนักอินยา อุตลากับคนอื่นๆนอนหลับแล้ว
เธอไปที่มุมของตัวเอง มองสร้อยทับทิมเลือดนกที่กำไว้ในมือ แล้วนึกถึงคำพูดของปรันมา
"สร้อยทับทิมในคอ คือสิ่งที่ท่านพ่อมอบรับขวัญเจ้ามาตั้งแต่เกิด แสดงให้รู้ว่า เจ้าก็เป็นหนึ่งในสายเลือดของศรีพิสยา"
มรันมาเอาสร้อยวางในหีบเหล็ก ปิด ไม่สนใจมองอีกแล้วเหม่อมองไปที่พระจันทร์ด้วยแววตาเศร้าหม่นหมอง
ภายในวังปรันมา ติสสาก้าวเข้ามาตรงหน้าปรันมา
"ข้าส่งน้องนางมรันมา ถึงตำหนักเจ้านางอินยาโดยปลอดภัยแล้ว"
"ขอบใจ"
ปรันมามองทอดสายตาไปไกล สีหน้ามีแววกังวล ติสสาสังเกตเห็นก็เอ่ยถาม
"สีหน้าท่านดูมีกังวล"
"ศรีพิสยาไม่ต้องการความแตกแยก สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ น้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวศรีพิสยาทุกคน"
"ท่านหมายถึง ..."
"เราต้องเตรียมตั้งรับกองทัพทมิฬของนรสิงห์ เพราะเหลือเพียงศรีพิสยาที่ไม่ยอมอยู่ใต้อุ้งเท้าปีศาจชั่วในคราบกษัตริย์"
ติสสาแววตาลุกโชนด้วยความคั่งแค้น เจ็บใจ
"มันคงเตรียมรุกรานเราเต็มที่ ขอให้ยกทัพมาเถอะ เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ ข้า...แม่ทัพติสสาจะเอาเลือดเนื้อพวกมันชโลมแผ่นดินศรีพิสยา ให้นรสิงห์มันรู้ว่า เมืองพระเพ็งอย่างศรีพิสยา ไม่มีวันให้มันเหยียบเข้ามาได้"
เวลากลางคืนต่อเนื่องมา ภายในห้องบูชาหลวงปุระอมร มีอาทิตย์สัมฤทธิ์ดวงใหญ่ตั้งเด่นดั่งแท่นบูชาอยู่กลางห้อง เงาจากแสงไฟวับไหวในความมืดทะมึน เงานั้นทาบทับเสี้ยวหน้าองค์นรสิงห์ที่แท่นทำพิธี
มีอาวุธทั้งหอก ดาบ รูปร่างน่าประหวั่น พรั่นพรึงด้วยความแหลมคมของโลหะที่เปล่งประกายวาววับตั้งเรียงราย
"กองทัพข้าจะบดขยี้ศรีพิสยาได้เมื่อไหร่" องค์นรสิงห์ถาม
"เวลานี้ยังไม่เหมาะสมเลย" สุเลวินโหราบอก
"ข้าต้องการคำตอบว่าเมื่อไหร่"
"ตอนนี้แผ่นดินศรีพิสยาถูกกั้นกำบังไว้ด้วยเมฆหมอก ไม่ยอมให้ข้ามองเห็นสิ่งใด"
"หาวิธีสิ สุเลวิน นิมิตรญาณทิพย์ของเจ้าที่อยู่เหนือดวงตา จะต้องมองเห็นว่าข้าจะมีชัยชนะเหนือศรีพิสยาเมื่อไหร่"
ประตูห้องบูชาถูกผลักออก สีหสาเดินเข้ามาใกล้องค์นรสิงห์
"สั่งมาเถอะ องค์นรสิงห์ ไม่ต้องรอฤกษ์ดีจากสุเลวิน ยังไงข้าก็จะลากเจ้าปรันมาลงมาคุกเข่าขอชีวิตแทบเท้าท่าน"
"แม่ทัพสีหสาคงมั่นใจว่า กำลังตัวเองเป็นใหญ่ เหนืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ของดวงดาว"
"ที่ผ่านมา ฤกษ์ของเจ้าก็ไม่ได้ช่วยให้ข้าบั่นคอใครได้ ดาบของข้าต่างหากที่ดื่มกินเลือดเจ้าเมืองทุกคน"
"แต่ดาบของท่านอาจจะทื่อ หมดคมที่ศรีพิสยาก็ได้ สีหสา"
"สุเลวิน"
"องค์นรสิงห์ ศรีพิสยาเป็นเมืองเล็ก หากไม่มีสิ่งคุ้มครอง คงไม่กล้าแข็งขืนต่อกองทัพของท่าน"
องค์นรสิงห์นิ่งคิด
"สิ่งใดคุ้มครองศรีพิสยา"
องค์นรสิงห์กวาดสายตา สุเลวินนิ่ง ตอบไม่ได้เพราะยังไม่รู้
"ข้าถามว่าสิ่งใดคุ้มครองศรีพิสยา"
ในหอขวัญเมืองศรีพิสยา ติสสาที่ก้มลงกราบเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ มีภาพเขียนสีธรรมชาติเป็นดวงจันทร์ดวงใหญ่อยู่ด้านบนของวิหาร อีกด้านหนึ่ง เมืองมาส โหรหญิงประจำราชวงศ์ และนักบวชแห่งหอขวัญเมืองศักดิ์สิทธิ์นั่งทำสมาธิ เงียบ นิ่ง อยู่ในฌาณของตน
แสงจันทร์สาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง อาบไล้ใบหน้าของติสสาให้ดูมีพลัง ดวงจิตแน่วแน่
"ข้าขอเอาจิต เลือดเนื้อและวิญญาณคุ้มครองศรีพิสยา ข้า... ติสสา ... ขอสาบาน ต่อให้ความตายอยู่ตรงหน้า ข้าจะไม่มีวันทรยศต่อแผ่นดิน"
ภายในห้องนอนองค์นรสิงห์ บนเตียงกว้าง เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของสีหสา ภายใต้หนังเสือขาวที่ห่มร่างไว้ มือขององค์นรสิงห์เอื้อมมาลูบไล้ไปบนแผ่นหลัง
สีหสาพลิกตัวมา มองสบตา องค์นรสิงห์เอนตัวนอนอยู่ข้างๆ
"ให้ข้าเป็นคนหาคำตอบให้ท่าน"
สีหสาขยับตัวมาใกล้จนใบหน้าทั้งคู่ไม่ห่างกัน
“ศรีพิสยาไม่มีอะไรคุ้มครอง ไม่มีอะไรที่จะปกป้องมันจากบารมีอันยิ่งใหญ่ของท่านได้ องค์นรสิงห์ …ข้าขอสัญญา เพื่อความสำราญของท่าน...ข้าจะทำลายศรีพิสยาให้เร็วที่สุด”
รอยยิ้มเลือดเย็นของสีหสาและนรสิงห์ต่างมีเป้าหมายตรงกัน
อ่านต่อหน้า 3
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ เห็นทางปูลาดด้วยศิลาแลงยาว ขึ้นสู่ยอดปราสาทที่เป็นพระราชฐานชั้นใน ตระหง่านอยู่ตรงหน้า สีหสาเดินนำวาเรมา ตลอดสองข้างทางคือ ทหารศรีพิสยาที่ยืนอยู่เป็นระยะตามแนวทางเดิน
เมฆา ทหารศึกคู่ใจติสสา ร่างกายกำยำ ท่าทางเอาจริงเอาจังพร้อมหอกในมือ เดินนำ สีหสากับวาเร ท้ายขบวนยังมี มารุต ทหารคู่ใจติสสาอีกคน แววตาขี้เล่นกว่ามารุต พร้อมทหารปิดท้ายอีก 2 นาย
สีหสาส่งสายตาไปรอบๆ สังเกตเห็นข้าหลวงวัยสาว 5-6 คนทยอยเดินกันออกมาจากเขตพระราชฐานชั้นใน ข้าหลวงเหล่านั้นพูดคุย หยุดมอง ยิ้มแย้ม ชาวศรีพิสยามีแต่ความสุขสดชื่นในใบหน้า
สีหสาเดินอย่างองอาจมาบนทางทอดยาว มองไปที่ยอดปราสาทของศรีพิสยา
ภายในท้องพระโรง เจ้าปรันมายืนอยู่หน้าบัลลังก์ มีติสสายืนอยู่ใกล้ๆ พรั่งพร้อมด้วยเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ มารุตนำสีหสาเข้ามา วาเรยืนถัดมาทางหลัง ส่วนเมฆากับมารุตถอยมายืนด้านข้าง
สีหสาแย้มยิ้มจริงใจเสมือนมิตร
"ข้าแม่ทัพสีหสานำความปรารถนาดีจากองค์นรสิงห์สีหบดีมาเยือนศรีพิสยา"
"ความปรารถนาดีของนรสิงห์เป็นเยี่ยงใด ที่ข้าได้ยินมา…ไม่อาจเรียกว่าความปรารถนาดี เพราะมันเป็นไมตรีที่คละคลุ้งไปด้วยคาวเลือดและความตาย"
"องค์นรสิงห์เสียสละตนเพื่อความเป็นปึกแผ่นของดินแดนน้อยใหญ่ในแถบนี้ คิดถึงแต่ความสุขของทุกเมืองที่ท่านได้ยกทัพไปเยี่ยมเยือน ไม่เคยต้องการให้เสียเลือดเสียเนื้อกันเลย นอกจากว่า เมืองเล็กๆเหล่านั้นประเมินกำลังตัวเองสูงไป ข้าเลยต้องเตือนให้รู้ว่า กองทัพขององค์นรสิงห์ยิ่งใหญ่แค่ไหน"
"ถึงเมืองจะเล็ก แต่หัวใจก็เปี่ยมอิสระ ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อุ้งมือคนชั่วช้าสามานย์ โหยหิวอำนาจให้แก่ตัวเอง"
"เจ้าปรันมา ความห้าวหาญของท่าน น่าสรรเสริญ แต่คิดดูให้ดี ศรีพิสยาเมืองเล็กเพียงนี้ องค์นรสิงห์กำลังให้โอกาสสุดท้ายที่ท่านจะรักษาหัวของทุกคนให้อยู่บนบ่า"
"ชาวศรีพิสยาไม่เคยกลัวตาย และจะจงรักภักดีกับเหนือหัวผู้เปี่ยมคุณธรรมของเราเท่านั้น จะไม่มีศรีพิสยาคนไหนยอมอยู่ใต้อุ้งเท้านรสิงห์" ติสสาว่า
"กลับไป สีหสา เอาคำพูดของข้ากลับไปบอกนายเจ้า ข้า...เจ้าปรันมาจะไม่ยกศรีพิสยาให้มัน ... แม้แต่ดินสักกำมือ"
สีหสามองด้วยความโกรธ ติสสาขยับมาเผชิญหน้ากับสีหสาอย่างไม่กลัวเกรง
เวลาต่อเนื่องมา สีหสา วาเรเดินอย่างเร็วออกมา เมฆากับมารุตยังคุมตัวออกมาเหมือนตอนเข้าไป
สีหสาเอ่ยกับวาเร
"ข้าจะทำลายที่นี่ให้ป่นปี้ ดินศรีพิสยาจะมีไว้กลบหน้าพวกมันทุกคนW
สีหสาสีหน้าโกรธจัด เดินก้าวเร็วออกไปจากตรงนั้นด้วยความอยากเอาชนะศรีพิสยาให้ได้
ภายในเขตพระราชฐานชั้นใน ปรันมายืนเคร่งเครียด ติสสาอยู่ใกล้ เจ้านางอินยาพรวดเข้ามา สีหน้ากราดเกรี้ยว
"จะสู้อย่างคนกล้า แล้วถูกนรสิงห์ฆ่าตายทั้งราชวงศ์ เผาบ้านเผาเมือง ยึดทรัพย์สมบัติหรือ ปรันมา"
ติสสามองอินยาด้วยสายตาตำหนิ แต่ไม่อาจแสดงความเห็นอะไรได้
"เจ้านางอินยา นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง"
"ข้าต้องเกี่ยวในฐานะเจ้านาง"
"เจ้านางองค์ก่อน ไม่ใช่เจ้านางองค์ปัจจุบัน"
"ปรันมา... ข้าเป็นชายาของพ่อเจ้า"
"ข้าให้ความเคารพเจ้านางเสมอมา แต่เรื่องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ปันแสงต่างหากที่สมควรมาอยู่ตรงนี้ เค้าก็เป็นลูกเจ้าพ่อคนนึง"
"ปันแสงต้องมาแน่ๆ มาในเวลาสำคัญที่สุด มาเพื่อปกป้องบัลลังก์ศรีพิสยาให้พ้นจากผู้ปกครองโง่เง่า"
อินยาจ้องปรันมา อย่างไม่ละสายตา
"บัลลังก์ศรีพิสยามีไว้สำหรับผู้นำที่รู้จักเอาตัวรอด ไม่ใช่หยิ่งผยอง อวดความเก่งจนผู้คนล้มตาย ทรัพย์สมบัติถูกปล้น เชื่อข้า ปรันมา รีบยกแผ่นดินศรีพิสยาให้นรสิงห์"
องค์นรสิงห์ เดินเร็วเข้ามาหาสีหสาที่ยืนรายงานอยู่ที่วิหารปุระอมร
"ข้าต้องการมากกว่าแผ่นดิน ข้าจะเอาชีวิตมัน ชีวิตพี่น้องมัน ชาวเมืองของมัน หัวของคนศรีพิสยาทั้งหมดจะถูกตัด เสียบประจานที่กำแพงเมือง"
"ข้ายังไม่เห็นว่าอะไรที่ทำให้ปรันมามั่นใจ จะสู้กับกองทัพของเรา ลำพังติสสา แม่ทัพใหญ่กับกองทหารของมัน ก็เล็กซะจนเราจะทำลายเมื่อไหร่ก็ได้"
"ถ้าข้าเหยียบแผ่นดินมันได้เมื่อไหร่ ข้าจะลบชื่อราชวงศ์ศรีพิสยาด้วยเท้าของข้า ไม่เหลือใครให้สืบเผ่าพันธุ์ของมันเลยสักคนเดียว"
สิ้นคำองค์นรสิงห์ เปลวไฟทั้งวิหารดับลงทั้งหมด เหลือใบหน้าองค์นรสิงห์ในเงามืดดูโหดเหี้ยม
ภายในสวนดอกไม้ เจ้าปันแสงยืนหัวเราะ เมื่อเห็นมรันมาที่โดนล้อมด้วย อสุนี ทหารคนสนิท ปันแสงยืนขวางหน้าเธออยู่
"ไอ้คนเมื่อวานที่มันช่วยเจ้าน่ะ อยู่ไหน เรียกมาช่วยสิ เรียกมา ข้าอยากเห็นหน้ามันชัดๆ"
"ข้าไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร"
"โกหก... แอบนัดผู้ชายข้างนอกให้เข้ามาหาถึงในวัง สันดานเดียวกันทั้งแม่ทั้งลูก"
"เจ้าปันแสง"
"ใครๆก็จำได้ แม่แกโดนลงโทษจนตายเพราะคบชู้"
มรันมาโมโหสุดขีด ผลักอกอสุนี พุ่งเข้าไปหาเจ้าปันแสง
เจ้าปันแสงกระชากแขนเธอ แล้วย้ำ
"แม่แกทรยศเจ้าพ่อ แม่แกมันมีชู้"
ปันแสงเหวี่ยงเธอจนกลิ้งไปกับพื้นตรงหน้า นันทวดีเดินมาพอดี
"มรันมา"
นันทวดีประคองมรันมา แล้วมองเจ้าปันแสง
"ท่านทำอะไรน่ะ เจ้าปันแสง"
"ลงโทษลูกผู้หญิงแพศยา ข้าหลวงอย่างเจ้าไม่เกี่ยว หลบไป นันทวดี"
มรันมาลุกขึ้น นันทวดีมองอย่างสงสาร แล้งหันไปทางเจ้าปันแสง
"ข้าหลวงอย่างข้าไม่เกี่ยวก็จริง แต่เจ้านางจันทเทวีคงไม่พอใจแน่ๆที่มีคนทำร้ายพี่หญิงของนาง"
ปันแสงมองนันทวดีที่ออกโรงขวางด้วยความโมโห
ในตำหนักจันทเทวี มรันมายืนอยู่หน้าจันทเทวี ด้านข้างคือนันทวดี
"ส่งข้ากลับตำหนักเจ้านางเถอะ เจ้านาง...ข้าไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน"
จันทเทวีมอง มรันมาที่มีสีหน้าอึดอัดลำบากใจมาก
ในตำหนักอินยา เจ้านางอินยาที่กำลังโบยตี เฆี่ยนด้วยแส้ที่ทำขึ้นพิเศษ พอฟาดลงไป คมของโลหะจะกรีดเนื้อให้ปริออก เลือดพุ่งออกมาจากเนื้อข้าหลวงสาวที่ทรุดลงด้วยความเจ็บ เจ้านางอินยากระชากข้าหลวงขึ้นมา เสียงโอดโอยจากคนที่ถูกเฆี่ยนดังระงม
"ลุกขึ้นมา ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเจ็บ ลุกขึ้นมา"
เจ้านางอินยาจับข้าหลวงร่างบางที่น่าสงสาร กระชากขึ้นแล้วโบยกลางหลังอีก ข้าหลวงกรีดร้อง แล้วทรุดไปกับพื้น
"อุตลา"
อุตลาที่หลบหลัง สะดุ้ง รีบคลานไปหยิบโถเกลือเม็ดมายื่นส่งให้ เจ้านางอินยาควักเกลือออกจากโถ แล้วกด กรีดลงไปบนแผลเลือดซิบบนหลังข้าหลวงที่แสบจนกรีดร้องโหยหวน สลบ แน่นิ่งไปกับพื้น
ปันแสงนั่งจิบน้ำจัณฑ์ มองด้วยรอยยิ้มเหมือนเห็นการละเล่นให้สำราญใจ ข้าหลวงที่เหลือพากันหลบ เจ้านางอินยาชี้นิ้วกราด
"เข้ามา...เข้ามาตรงหน้าข้า"
ข้าหลวงต่างพากันผลักเพื่อนให้ไปแทน
"หรือพวกเจ้าอยากตายทั้งหมด"
ทุกคนพากันหมอบคลานมาด้วยความเจ็บ เจ้านางอินยาฟาดลงไป เสียงร้องดัง เจ้านางอินยาหัวเราะสะใจ
"ร้องสิ ร้องดังๆ ได้ยินเสียงพวกมันมั้ย ปันแสง"
ปันแสงหัวเราะ
"ไม่ได้ยินเลย เจ้านาง"
เจ้านางอินยาฟาดลงอย่างแรง
"ข้าบอกให้ร้อง"
ข้าหลวงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เจ้านางอินยาหัวเราะ แววตาเหมือนคนบ้า ยิ่งฟาดแรง
"ร้องให้ดังกว่านี้ ร้อง ร้องสิ ร้อง...เสียงของพวกเจ้าต้องดังให้มันสองพี่น้องได้ยิน ให้มันรู้ว่าข้าคือเจ้านางอินยา ที่พวกมันต้องเคารพ ไม่ใช่ท้าทาย"
เจ้าปันแสงยิ้ม มองไปทางวังปรันมาด้วยสายตาเกลียดชัง เจ้านางอินยาหัวเราะแล้วฟาดแส้ลงหลังข้าหลวง บางคนสลบไปแล้ว แต่เจ้านางก็ยังไม่หยุดเฆี่ยน
เสียงร้องดังโอดโอยของนางข้าหลวงมาถึงเขตพระราชฐานชั้นใน ติสสาที่ยืนอยู่ ได้ยินเสียงก็ทนไม่ไหว
"ข้าหลวงพวกนั้นกำลังจะตาย ให้ข้าไปห้ามเจ้านางอินยาเถอะ"
"ไม่ต้อง ติสสา ข้ามีงานสำคัญกว่าให้เจ้าทำ"
ติสสามองปรันมา
เสียงร้องโอดโอยของข้าหลวงยังดังมาถึงตำหนักจันทเทวี มรันมาทนไม่ไหว หันไปบอกจันทเทวี กับนันทวดี
"ได้ยินหรือไม่ ความกรุณาที่ท่านให้ กำลังฆ่าผู้หญิงคนอื่นให้ตายทั้งเป็น"
มรันมาสีหน้ากังวล และกดดันมาก
ในเขตพระราชฐานชั้นใน ปรันมามองน้องสาว มรันมายืนอยู่ห่างออกไป
"น้องจะไม่ส่งพี่หญิงกลับไป พี่ต่างหากต้องห้ามเจ้านางอินยา"
"หยุดเรื่องนี้ก่อน จันทเทวี ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องคนๆเดียว"
จันทเทวีชะงัก แต่มรันมาแววตาน้อยใจขึ้นมาทันที
ติสสา นำเมฆากับทหารมาซุ่มมองลงไปจากซะง่อนผาสูง เห็นสีหสา วาเร กับทหารส่วนหนึ่งกำลังควบม้า มองบริเวณรอบๆที่ติดริมน้ำ
"ตรงนี้เหมาะจะตั้งค่ายเพื่อบุกศรีพิสยา"
ติสสาดึงลูกธนูเล็งไปที่สีหสา ลูกธนูวิ่งมาตรงที่ร่างสีหสาด้วยความแม่นยำ ลูกธนูแล่นเร็วกำลังจะปักเข้าที่คอสีหสา แต่วาเรแกว่งดาบปาดหน้าสีหสาไปปัดลูกธนูไปอย่างฉิวเฉียด
สีหสาหันไปเห็นติสสาบนที่สูง
"ตรงนั้น"
ติสสาโผล่ขึ้นมายิงธนูลงมาอีกจนปักคอทหารของสีหสาล้มตายกันหลายคน เมฆานำทหารที่เหลือลงมาสู้กับทหารของสีหสาอย่างดุดัน วาเรพุ่งเข้ามา วาเรกับเมฆาดวลหอกกันตัวต่อตัว สีหสากระโดดลงจากหลังม้า ติสสาชักดาบสู้กับสีหสา สองคนประดาบกันอย่างดุเดือด ฝ่ายทหารทั้งสองฝ่ายสู้กันจนล้มตาย เหลือแค่วาเรกับเมฆาที่ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ
สีหสาประดาบกับติสสา ชั้นเชิงของแม่ทัพหญิงหลบได้ไวกว่า ควงดาบสองมือ ฟันลงที่แขนซ้ายติสสาทันที สีหสาจะฟันซ้ำ แต่อีกฝ่ายหลบ แม่ทัพหญิงถีบลงที่กลางอก ติสสาดาบหลุดมือ
สีหสาไล่ฟัน ติสสากลิ้งหลบไปกับพื้น สีหสาโมโห คำราม ยกดาบคู่เตรียมปักลงร่าง ติสสาพลิกตัวอีกครั้ง ดึงธนูจากศพทหาร หงายพุ่งเข้าปักเหนือไหล่ขวาสีหสาที่เงื้อดาบ สีหสาเซ วาเรหันมาเห็น
"แม่ทัพ"
เมฆาได้จังหวะ ม้วนตัวหนี วิ่งไปดึงม้า ควบมาดึงติสสา พุ่งขึ้นหลังม้าออกไปจากตรงนั้น
ธนูยังปักอยู่เหนือไหล่ขวาของสีหสา แม่ทัพหญิงเจ็บใจที่ติสสารอดไปได้
ส่วนเมฆาเร่งควบม้าข้ามแม่น้ำ พาเจ้านายที่บาดเจ็บ...เลือดทะลักจากแขนซ้ายกลับเข้าเมืองอย่างเร็ว
มรันมาหลบออกมาถึงด้านหน้าตำหนัก เสียงร้องของข้าหลวงยังดังระงม อุตลามองมาเห็นมรันมา ก็พุ่งเข้ามาจับข้อมือไว้
"มานี่ นังตัวดี"
มรันมาหน้าเชิด สะบัดมือแรงด้วยความถือตัวกับคนอย่างอุตลา
"เข้าไปรับโทษของเจ้าสิ หรืออยากให้พวกมันตายแทน"
มรันมาเดินเข้าไป สีหน้าเข้มแข็งไม่แสดงความกลัวออกมาให้เห็น
เข้าเขตพระราชฐานชั้นใน เมฆาบังคับม้าให้หยุด ติสสาโดดลงจากหลังม้า แล้วล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บ เลือดไหลทะลักจากแผลที่แขนซ้าย เมฆาเข้ามาดู
"แม่ทัพ"
"ข้าไหว"
อีกด้านหนึ่งจันทเทวีเดินเร็วมากับนันทวดี
"พี่หญิงหนีกลับไป เท่ากับว่ายอมถูกเจ้านางอินยาเฆี่ยน"
จันทเทวีกับนันทวดีเดินเร็วผ่านไป ไม่ทันเห็นติสสากับเมฆา
ติสสาที่ได้ยิน ฝืนเจ็บลุกขึ้น เลือดไหลเลอะเต็มตัว เมฆามองอย่างเป็นห่วง ติสสาหันไปสั่ง
"เมฆา ไปรายงานเจ้าปรันมาเรื่องสีหสาก่อน ... ไป ... เร็ว"
เมฆารีบวิ่งไปทางวังปรันมา ติสสามองไปทางตำหนักเจ้านางอินยา
"มรันมา"
ติสสาวิ่งออกไปอีกทางทันทีแบบไม่ห่วงตัวเอง
ด้านหน้าตำหนักเจ้านางอินยา จันทเทวี นันทวดี ยืนอยู่หน้าอุตลาที่ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"มรันมา เอ๊ะ!! ยังไม่เห็นกลับมา"
จันทเทวีมองเลยไปที่ข้าหลวงหลายคนที่กำลังใส่ยาบริเวณแผลโดนเฆี่ยนด้วยความเจ็บปวด
ภายในห้องปันแสง มรันมาที่ถูกมัดปาก มัดมือกับเสาเตียง เจ้าปันแสงที่เดินเข้ามาใกล้
"ดีแล้วที่กลับมา มรันมาคนสวย ... ทั้งศรีพิสยา ไม่มีใครเอ็นดูเจ้ามากเท่าข้ากับแม่อีกแล้ว"
มรันมามองเจ้าปันแสงด้วยความขยะแขยง
สวนด้านหลังตำหนักอินยา เจ้านางอินยาถือมีดในมือ เดินวนมองข้าหลวงสองคนที่ถูกมัดโยงกับต้นไม้
"ข้าควรจะให้รางวัลอะไรดี กับพวกทนมือทนไม้อย่างเจ้าสองคน"
ข้าหลวงสองคนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวถึงที่สุด ตรงข้ามกับเจ้านางที่หัวเราะร่า
"สักแผลสองแผลที่หน้าพวกเจ้าแล้วกัน มองกระจกเมื่อไหร่จะได้สำนึกบุญคุณข้า"
เจ้านางอินยากำลังจะกรีดหน้าข้าหลวงที่ร้องลั่นด้วยความกลัว
ติสสาพรวดเข้ามายืนตรงหน้า เจ้านางอินยาหันไปมอง
"แม่ทัพติสสา เจ้ากล้าบุกรุกตำหนักข้า"
เจ้านางอินยามองติสสาที่เลือดเลอะร่างก็รู้ว่า แม่ทัพหนุ่มต้องมาเรื่องสำคัญมาก เจ้านางมองส่งสัญญาณให้ทหารใช้มีดตัดเชือกที่รัดมือ ร่างข้าหลวงร่วงลงพื้น ทหารรีบลากข้าหลวงที่เลือดเต็มแผ่นหลังออกไป คงเหลือแค่เจ้านางอินยากับติสสาเพียงสองต่อสองเท่านั้น
"เจ้าก็รู้ โทษบุกรุกตำหนักเจ้านาง ตายสถานเดียว"
"ข้ายินดีตาย แต่ขอให้ปล่อยมรันมาออกไปจากที่นี่ก่อน"
อินยาเดินตรงมาหาติสสา ด้วยรอยยิ้มยั่วยวน เต็มไปด้วยเสน่ห์ แววตาของเจ้านางมองไล้ไปที่เรือนร่างกำยำของติสสาตรงหน้า ก่อนวางมีดลงบนอกหนุ่มฉกรรจ์ คมมีดวาววับน่าหวาดเสียว แต่แววตาของนักรบหนุ่มกลับนิ่ง ไม่กลัว
"เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรองให้ลูกสาวนังอเลยา"
"ข้าไม่ได้ต่อรอง ข้ามาขอความปรานี ...หากเจ้านางจะมีหลงเหลือ"
ทั้งคู่มองประสานสายตา เจ้านางอินยาเอื้อมมือมือไปแตะเลือดที่เลอะบนอกติสสาก่อนทอดเสียง
"ใครกันทำร้ายเจ้าได้ถึงเพียงนี้... เจ็บมั้ย...ติสสา"
"เจ้านางก็รู้ เจ็บใดจะเท่าเจ็บที่กรีดลงบนใจ"
เจ้านางมองจ้องติสสาตาวาววับ
"เจ็บเพราะไม่เป็นที่รัก เจ็บจนทำได้ทุกสิ่ง ให้คนที่มาแย่งชิงรัก พินาศลงไปกับตา"
เจ้านางสะบัดมือออกจากอกติสสา
แววตาแม่ทัพมีความหมายนึกย้อนไปถึงอดีตที่เจ้านางเคยลงมือทำเรื่องเลวร้าย
ทางด้านปันแสงกำลังก้มลงซุกไซร้มรันมาที่ปัดป้อง อินยาเปิดประตูเข้ามากระชากปันแสงออกห่างจากมรันมาทันที
"เจ้านาง"
"ปล่อยมัน"
"มันเป็นของข้า"
อินยาตบหน้าลูกชายดัง ผัวะ ! ปันแสงหยุดถาม รีบเข้าไปแกะมือมรันมาจากเสาเตียง
"วันนี้โชคเจ้ายังดี ...มรันมา"
มรันมาลุกขึ้น วิ่งพรวดออกไปจากห้องทันที อินยามองตามด้วยความแค้นที่ต้องปล่อยมรันมาไป
บริเวณสวนดอกไม้ มรันมาวิ่งออกมาสงบสติอารมณ์ อีกด้านหนึ่ง ติสสาแอบมอง ยิ้มดีใจ กำลังจะเดินหันหลังไป แต่เสียเลือดจนทรุด หมดสติ มรันมาหันไปเห็นเข้าพอดี
"ใครน่ะ"
ติสสาพยายามหลบ แต่มรันมารีบวิ่งเข้าไปดู เห็นเลือดเต็มตัวบนเรือนร่างของนักรบหนุ่ม
"พี่ชาย... พี่ชายโดนฟัน"
"น้องน้อย"
รันมาที่พยุงร่างติสสาไว้
"พี่ชายจ๋า...ใครทำอะไรพี่ชาย"
ติสสาไม่ยอมตอบ มรันมาพูดเสียงเง้างอด
"พี่ชายจ๋า... ทำไมไม่ตอบน้องน้อย หรือไม่ใส่ใจมรันมาคนนี้ คนที่ท่านดูแลปกป้องมาตั้งแต่เล็ก พี่ชายไม่อยากให้มรันมาเป็นน้องน้อยอีกแล้ว"
ติสสาพ่ายแพ้แก่เสียงออดอ้อนอันอ่อนหวานและแววตาตัดพ้อกลมโตของมรันมา
"ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดเลยว่าน้องน้อยเป็นคนอื่น...พี่ชายขอโทษ"
"ใครทำอะไรพี่ชายมาจ๊ะ แผลลึกเหมือนโดนดาบ"
ติสสามองมรันมาแล้วหลบตา
"พี่ชายมาจากตำหนักเจ้านางอินยาหรือเปล่า"
"เปล่าจ้ะ พี่ชายไปสืบข่าว เพิ่งกลับเข้ามา"
ติสสาโกหกไม่อยากให้รู้ มรันมามองแผลนั้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"นิ่งๆนะจ๊ะ ....อย่าเพิ่งขยับ"
ติสสาจะขยับตัวลุก
"พี่ต้องไปเฝ้าเจ้าปรันมา"
"น้องน้อยบอกว่า พี่ชายอย่าเพิ่งขยับ"
ติสสาแม่ทัพผู้ห้าวหาญกลายเป็นหนุ่มน้อยเชื่อฟังคำสั่งมรันมาโดยดีทันที
"จ้ะ จ้ะ ไม่ขยับแล้วจ้ะ"
"ให้น้องน้อยดูแผลพี่ชายก่อนนะจ๊ะ"
มรันมาก้มลงใกล้ดูบาดแผล ติสสามองหน้ามรันมาด้วยแววตาที่รักที่เกินพี่ชายมาเนิ่นนานแล้ว
แต่ไม่อาจแสดงออกให้รู้ได้
ในวิหารปุระอมร องค์นรสิงห์มองธนูที่ปักอยู่เหนือไหล่สีหสาที่เลือดไหลไม่หยุด องค์นรสิงห์กระชากธนูออก สีหน้าสีหสาเจ็บแต่ไม่มีเสียงร้อง องค์นรสิงห์มองหยดเลือดที่ไหลออกจากแผล แล้วก้มลงจูบ สีหน้าของแม่ทัพสาวที่ได้รับสัมผัสจากองค์นรสิงห์ เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย รัญจวนใจ
สีหสาหายใจแรง เหนี่ยวรอบคออีกฝ่ายไว้ องค์นรสิงห์ดันร่างสีหสาติดผนังเข้าเบียดชิด
"ให้ข้าเจ็บเพื่อท่านมากกว่านี้ ข้าก็เต็มใจ"
สีหสาทอดสายตาอย่างมีความหมาย องค์นรสิงห์ผลักร่างสีหสาลงแนบพื้น ร่างสูงของสุเลวินก้าวเข้ามา
"มีอะไร สุเลวิน"
"ข้าไม่ได้มาหาพระองค์ ข้าเอายารักษาแผลมาให้แม่ทัพสีหสา เห็นที คงมียาดีอยู่แล้ว"
สุเลวินหันหลังกลับไปทันที องค์นรสิงห์ผละจากร่างแม่ทัพอย่างหมดอารมณ์ สีหสามองเจ็บใจที่โหราจารย์เข้ามาขัดจังหวะ
บริเวณสวนดอกไม้ มรันมาที่กำลังเอาผ้ามัดเหนือแผลที่แขนซ้ายของติสสา ใบหน้าทั้งคู่วนเวียนอยู่ใกล้ๆกันด้วยรอยยิ้มชื่นใจ ครั้นมรันมาเงยขึ้นมอง ติสสาก็รีบทำหน้าเคร่งขรึมทันที
"เรียบร้อยแล้วจ้ะ พี่ชายจะได้ไม่เสียเลือด เป็นลมกลางทาง"
มรันมายิ้มหวานน่ารัก ติสสายิ้มมองเพลิน
"ลุกไหวมั้ยจ๊ะ"
"ถ้าไม่ไหว น้องน้อยจะอุ้มพี่ชายไปส่ง"
"น้องน้อยไม่อุ้มหรอก น้องน้อยจะเรียกเมฆากับมารุตมาแบกพี่ชายไป"
"เฮ้อ...ให้ไอ้สองคนนั้นมาแบก พี่ยอมคลานไปดีกว่า เจ้านาง"
มรันมามองดุติสสา
"อย่าเรียกน้องน้อยแบบนั้น พี่ก็รู้ ทั้งรู้ทั้งเห็นมาตั้งแต่น้องน้อยเกิด ไม่ใช่สายเลือดเจ้าศรีพิสยา น้องน้อยไม่เสียใจ ให้เป็นแค่มรันมาเป็นน้องน้อยของพี่ชายใจดี ที่คอยปกป้อง แค่นี้ก็พอ"
ติสสาเลื่อนมือไปชิดจนแตะมือกับมรันมาแล้วมองสบสายตา ฝ่ายมรันมาหลบตาอาย ติสสาเลื่อนมือไปเด็ดดอกไม้กะจิดริดใกล้ๆ มาส่งให้
"ขอบใจมากที่ช่วยทำแผลให้พี่ชาย"
มรันมารับดอกไม้มาแล้วยิ้มเศร้า
"ดอกหญ้า ... เหมือนตัวน้อง"
"ทำไมน้องน้อยถึงชอบดูถูกตัวเองนัก"
"ก็ดีกว่าให้คนอื่นมาเย้ยหยัน"
มรันมาทอดสายตามองไปไกล คิดถึงสภาพตัวเอง
"ชีวิตที่ไม่เคยถูกเหยียบย่ำ ไม่ต้องเติบโตอยู่ใต้คำกดขี่อย่างพี่ชาย จะไม่มีวันรู้ว่า ความเจ็บที่แทรกอยู่ทุกอณูในกาย ในลมหายใจ มันเจ็บปวดสาหัสเพียงใด ให้มีดกรีดร่างร้อยเล่มพันเล่มยังเจ็บน้อยกว่า"
มรันมาน้ำตาเอ่อ หยดหยาดลงมาด้วยความเจ็บช้ำที่โดนเจ้านางอินยา กับเจ้าปันแสงทารุณจิตใจมาตลอด ติสสาเลื่อนมือไปแตะน้ำตาที่หยดลงมา
"ยังมีคนเห็น ... มีคนห่วงใย"
ทั้งสองหัวใจกำลังสื่อความรู้สึกที่ดีต่อกัน ติสสาขยับเข้าใกล้แล้วหักห้ามใจ ดึงตัวออกห่าง มรันมาเก้อเขินรีบลุกขึ้น หันกลับไปทางตำหนักเจ้านางอินยา
"น้องน้อย จะไปไหน"
"กลับไปตำหนัก หายมานาน เดี๋ยวเจ้านางอินยาจะไม่พอใจ"
"พี่ชายจะพาไปตำหนักเจ้านางจันทเทวี อย่ากลับไปตำหนักเจ้านางอินยาอีกเลย อย่าไปให้เจ้าปันแสง... มาอยู่ใกล้ๆ"
มรันมาหันขวับมามองหน้าติสสา
"พี่ชายนี่เองที่คอยช่วยน้องน้อยจากเจ้าปันแสง"
ติสสาเงียบอึ้ง ไม่ตอบ
อ่านต่อหน้า 4
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ตำหนักอินยา ปันแสงยืนอยู่ด้านหลังมองแม่ที่ปักมีดลงที่ต้นไม้ใหญ่
"พวกมันจะอยู่เหนือเราได้อีกไม่นานหรอก ปันแสง"
เจ้านางอินยาปักแรงขึ้น แรงขึ้น แววตากร้าว
"โดยเฉพาะนังมรันมา มันจะไม่ได้เฉียดใกล้บัลลังก์ศรีพิสยา นังอเลยาแม่มันเคยแย่งชิงหัวใจเจ้าศรีพิสยาไปจากข้าครั้งนึงแล้ว ลูกมันจะไม่มีสิทธิ์มาแย่งอะไรไปจากเราอีก ที่ๆเดียวที่มันสองคนแม่ลูกสมควรอยู่ คือสุสานฝังศพ"
เจ้านางอินยาจะจ้วงมีดลงอีก แต่ปันแสงจับข้อมือแม่ ดึงมีดออก
"ใครที่ขวางทางเรา ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ... มันต้องมีจุดจบเดียว"
ปันแสงกำมีดไว้แล้วปาออกไป ปักเข้าที่คอทหารยาม ล้มขาดใจตายคาที่ สองแม่ลูกแค่ปรายตามองทหารยามเป็นแค่เศษชีวิตที่กำลังถูกลากออกไปอย่างเร็ว สองแม่ลูกต่างยิ้มให้กันอย่างเลือดเย็น
"ข้าจะทำทุกอย่างให้ศรีพิสยาเป็นของเจ้า...ปันแสง ของเจ้าคนเดียว"
องค์นรสิงห์ก้าวมายืนมองไปเหนือระเบียงในวิหารปุระอมรที่สูงใหญ่ ด้านหลังคือสีหสา ถัดไปคือสุเลวิน วาเรกับคชายืนอยู่หลังสุด
เงาของร่างสูงทั้งหมดทอดยาวบนพื้นดูทะมึน
"ทำทุกอย่างที่ข้าจะได้ศรีพิสยา ใครหรือสิ่งใดที่มันปกป้องศรีพิสยาอยู่ ทำลายให้หมด"
องค์นรสิงห์แววตากร้าวกระด้าง ทะนงในอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง สีหสามองอย่างเทิดทูนบูชา
"แสงเดียวที่จะสาดส่องเหนือทุกอาณาจักรบนโลกนี้ ต้องเป็นแสงอาทิตย์ขององค์นรสิงห์สีหบดี ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันปี ชื่อขององค์นรสิงห์สีหบดีจะต้องเป็นอมตะ"
พลันเห็นเมฆดำลอยผ่าน แสงสีฟ้าเข้มวาบขึ้นทาบทับเสี้ยวหน้าขององค์นรสิงห์
บริเวณสวนดอกไม้ มรันมามองติสสาอย่างอยากรู้
"พี่ชายคอยช่วยน้องน้อย เมื่อคืนก่อนในสวนใช่มั้ย"
ติสสามองสบตา
"ไม่ใช่พี่ชายหรอก... เจ้าปรันมาสั่งทหารคนนึงให้คอยติดตามน้องน้อย"
"ทหารคนไหน ชื่ออะไร"
"พี่ชายก็ไม่รู้ เจ้าปรันมาเป็นห่วงน้องน้อยมากนะ เป็นห่วงอย่างน้องสาวคนนึง"
"น้องสาวเจ้าปรันมามีเพียงคนเดียว คือเจ้านางจันทเทวี น้องไม่ใช่ .. น้องน้อยไม่อยากเป็นเจ้านาง ถ้ากรีดเลือดทุกหยดของเจ้าศรีพิสยาออกมาจากตัวได้ น้องน้อยก็จะทำให้เหลือเพียงเลือดของแม่อเลยา น้องน้อยไม่เคยต้องการเลือดสูงส่งของราชวงศ์ศรีพิสยามาอยู่ในตัว"
ติสสาเอามือปิดปากมรันมาทันที ชั่วขณะทั้งคู่สบตากัน ความรู้สึกใกล้ชิดแล่นเข้าหัวใจสองดวง
"อย่าพูดอย่างนั้น น้องน้อย... อย่าปฏิเสธสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีพิสยา"
ณ ที่แห่งหนึ่ง รัดเกล้าเหมือนถูกผลักให้กลับมาในที่สว่าง พร้อมอาการเจ็บแปลบที่อก จนตัวงอ
เสียงติสสายังดังก้องตามหลังมา
"น้องน้อย... อย่าปฏิเสธสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แห่งศรีพิสยา"
เช้าวันใหม่ ในห้องคนไข้ รัดเกล้าลุกพรวดจากที่นอนบนเตียง สถบดีซึ่งเผลองีบไปที่เก้าอี้ สะดุ้งตกใจ รัดเกล้าลุกขึ้นนั่ง จับหน้าอกตัวเอง สถบดีรีบลุกเดินเร็วเข้ามา
"คุณ .. คุณ"
รัดเกล้าเห็นหน้าสถบดีเต็มๆ ถึงกับอึ้ง
"คุณ ..."
รัดเกล้าคลับคล้ายคลับคลาใบหน้าสถบดีกับภาพติสสา
" นักรบ... ฝัน เหมือนฉันเห็น ความตาย" รัดเกล้าพึมพำพลางส่ายหัว สถบดีมองอย่างงงๆ
"ฉันจำอะไรไม่ได้"
"ความจำเสื่อมหรือเปล่า คุณ จำผมได้มั้ย ผมขับรถชนคุณ แล้วคุณก็สลบไป ผมไม่หนี ผมพาคุณมาโรงพยาบาล ร้อยเวรมาสอบปากคำผมแล้ว แต่คุณไม่มีเอกสารอะไรติดตัวเลย นอกจากเงินในกระเป๋า ผมรับผิดชอบทุกอย่างนะ ไม่ต้องห่วง คุณเป็นอะไรมากมั้ย" สถบดีว่า
เขายื่นมือไปจะแตะหน้าผากเธอด้วยความเป็นห่วง แต่รัดเกล้าปัดมืออย่างแรง
"ไม่ต้อง... ฉันจะกลับบ้าน"
รัดเกล้าพยายามดึงสายน้ำเกลือออก
"จะกลับไปได้ไง คุณสลบไป 6 ชั่วโมงรวด"
"6 ชั่วโมง เวรแล้ว โอ๊ย ... ฉันตายแน่ๆ" " รัดเกล้าลุกพรวดจากเตียงทันที
"ใช่ ผมนึกว่าคุณจะตายแน่ๆ"
รัดเกล้าจ้องหน้า สถบดีรู้ตัวว่าพูดผิด
"ขอโทษ... ปากเสียไปหน่อยใช่มั้ย คือผมกลัวคุณจะสมองกระทบกระเทือน ยังไงคุณอยู่ให้หมอเช็คหน่อยนะ"
"ไม่ได้ ฉันต้องกลับบ้าน กลับเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันต้องตาย ตายจริงๆอย่างที่คุณพูด"
รัดเกล้ากระชากเข็มน้ำเกลือออกอย่างแรง สถบดีมองอึ้ง
"อะไรอ่ะ คุณ ... ใครจะฆ่าคุณ"
รัดเกล้าลุกขึ้นวิ่งไปทางประตู
"เอ้ย คุณ ... ใครจะฆ่าคุณ บอกผมได้นะ ผมช่วยได้"
พอดีกับพัทธยาเปิดประตูเข้ามาพร้อมถุงโจ๊ก รัดเกล้าวิ่งสวนออกไป ชนถุงโจ๊กหลุดจากมือพัทธยา
"อ้าว คุณ...ฟื้นแล้ว"
"เออว่ะ ... ฟื้นปั๊บก็ร้องกระจองอแง เป็นเด็กอยากกลับบ้าน"
สถบดีรีบร้อนวิ่งตามออกไปทันที
บริเวณทางเดินในโรงพยาบาล รัดเกล้าวิ่งมากดลิฟต์ แต่ลิฟต์ยังไม่มา รัดเกล้าตัดสินใจวิ่งลงบันไดไป สถบดีวิ่งตามมาที่บันได ชะโงกมองเห็นเธอตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลงบันไดอย่างเร็ว ไร้ร่องรอยคนป่วย
"คุณ คุณชื่ออะไร ถ้าจะเอาเรื่อง ก็จำชื่อผมไว้นะ สถบดี ผมชื่อสถบดี"
รัดเกล้าวิ่งพ้นไป ไม่สนใจฟัง สถบดีหน้าตาเซ็ง
มอเตอร์ไซค์ลงมาจอดที่หมู่บ้านของรัดเกล้า เธอแทบจะกระโดดลงมา จ่ายเงิน เปิดประตู วิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน เธอก็ค่อยๆย่อง มองซ้ายมองขวากำลังจะขึ้นบ้าน คทารัตน์ยืนตระหง่านอยู่เหนือบันได
"แกหายไปไหนมาทั้งคืน รัดเกล้า"
รัดเกล้ายังไม่ทันตอบ แต่คทารัตน์ใส่เป็นชุด
"หายไปไหน ทำไมไม่โทรบอก รู้มั้ยว่าคนที่บ้านเป็นห่วง ให้ออกไปซื้อของหน้าปากซอยหน่อยเดียว ฉันนึกว่าแกไปซื้อถึงเชียงใหม่ หายไปไหน ... หายไปเลย 6 ชั่วโมง ... 6 ชั่วโมง 12 นาทีด้วยนะที่ฉันนั่งจับเวลาที่ติดต่อแกไม่ได้ แล้วไหน ข้าวขาหมูที่ฉันให้ไปซื้อ"
ภายในบ้าน สถบดีนั่งลงอย่างเพลียๆ พัทธยาวางกาแฟให้
"ขอบใจมาก ที่รัก แกนี่ดีเหมือนเมียเลยว่ะ พัทธ์"
สถบดีแกล้งเอนไปเกาะแขนพัทธยา
"เปลี่ยนรสนิยมเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกฉันคนแรกนะ"
"ได้สิจ๊ะ ที่รัก" พัทธยาบอก
พัทธยาจับหัวสถบดีโยกไปชนเสา สถบดีร้อง พัทธยาหัวเราะ
"เดี๋ยวฉันจะไปหานาย" พันธยาบอก
"เออ... ฉันว่าจะขอนอนสักงีบ แล้วจะแวะไปโรงพัก ไปสมน้ำหน้าไอ้เวรที่เราลากมันเข้าคุกสักหน่อย"
"เรื่องเด็กคนนั้น ... แกแน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหาตามมา"
"ไม่แน่ใจว่ะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง วิ่งเปิดแน่บไปอย่างงั้น ถ้าจะมีก็ต้องมี ซวยมาขนาดนี้ จะซวยอีกหน่อย... ชีวิตชินซะละ เอาไว้ถ้าฟ้าประทานเจอกันคราวหน้า ฉันจะรวบหัวรวบหางเค้าเลยดีมั้ย... หมดเรื่อง ปิดคดี"
"เออดี หน้าอย่างแก นิสัยอย่างแก เหมาะมากกับข้อหานี้ ลวนลาม ขืนใจ กระทำชำเรา... จะได้พักผ่อนยาวๆ"
"สาธุ้ ... เอ้ยยย ไอ้เพื่อนเวร แช่งดีจริงๆ"
พัทธยายิ้มหล่อหัวเราะสถบดีที่ยิ้มกะล่อน
ภายในห้องนั่งเล่น รัดเกล้าวางกาละมังแช่เท้า แล้วจับข้อเท้าคทารัตน์ลงมาแช่อย่างเอาใจ
"เกล้าไม่ได้แว่บไปไหนเลยนะคะ คือไอ้ยอด ไอ้ยอดชายมันโทรตามเกล้าไปช่วยกู้ข้อมูล คอมมันเออเร่อ"
"ฉันโทรหาแกเป็นร้อยรอบ"
คทารัตน์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ปล่อยให้รัดเกล้าหลบตานวดเท้าเอาใจ
"แบตหมดน่ะค่ะ ไม่มีที่ชาร์จ ไอ้ยอดมันก็ใช้คนละยี่ห้อกับเกล้า"
"ไอ้ยอดชาย เพื่อนเนิร์ดของเธอน่ะเหรอ คบใครก็ให้ดูๆหน่อยนะ เอาที่มันไม่ประหลาดนัก เดี๋ยวพ่อกับน้าต้อย แม่เธอจะมาว่าพี่ หาว่าไม่ดูแลน้อง น้าต้อยแม่เธอเค้าก็เลี้ยงพี่มา"
"เกล้ารู้ค่ะว่า พี่กี้รักเกล้าที่สุด"
"วิกกี้ ไม่ใช่กี้ ...ฟังยังกะลูกหมา"
รัดเกล้าลูบเท้าเอาใจพี่
"สบายมั้ยคะ"
"สบาย... รู้จักเอาใจ กลบเกลื่อนความผิด อย่างนี้ลดโทษกึ่งหนึ่ง"
รัดเกล้ายิ้มประจบ คทารัตน์หันไปหยิบกระเป๋าสะพายใบสวยส่งให้
"มิดไนท์เซลล์ เห็นสวยดีเลยซื้อมาฝาก"
"สวยจัง จะเหมาะกับเกล้าเหรอคะ"
"ไม่เหมาะก็ต้องใช้ อยู่มหาวิทยาลัยแกจะแต่งตัวเซอร์แค่ไหน พี่ไม่ว่า แต่ตอนไปฝึกงาน ต้องดูดีหัวจรดเท้า สมเป็นน้องสาวคุณวิกกี้"
รัดเกล้าชะเง้อมองคทารัตน์ที่พลิกแฟ้มคดีมาดู
"คดีอะไรคะ"
"สส.ยิงตัวตาย"
"อ๋อๆ... ที่ดังๆ พี่น้องแย่งสมบัติกันอีรุงตุงนัง งานนี้พี่วิกกี้ก็ปวดหัวแย่"
รัดเกล้าเอาโลชั่นนวดมือให้วิกกี้
"โนจ้ะ ...เธอลืมแล้ววิกกี้แปลว่าอะไร วิกกี้ชื่อพี่น่ะ ..มาจากวิกตอรี่ แปลว่าชัยชนะ วิกกี้คนนี้ต้องชนะทุกสิ่ง ถ้าพี่ทำคดีปริศนานี่สำเร็จ ก้อออกพ็อกเก็ตบุ๊คก่อนอย่างแรก แล้วก็มีรายการมาสัมภาษณ์ ออกทอล์คโชว์สัก 4-5 ช่อง ทีนี้ก็ขายเรื่องไปทำหนัง ... เฮ้อ...ได้ไปบรรยายถึงเมืองนอก ฉันจะชอปให้เพลินเลย"
คทารัตน์วาดฝันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เสียงนาฬิกาปลุกดัง สถบดีที่นอนหลับตกใจลุกขึ้น แต่รีบร้อนจนขาพันผ้าห่ม หล่นจากเตียงดังพลั่ก สถบดีมองนาฬิกา 8 โมงเช้า
"บ้าเอ้ย.... หลับเพลินได้ไงวะ"
สถบดีลุกขึ้นวิ่งไปทางห้องน้ำ
บริเวณสนามหน้าบ้านรัดเกล้า เวลาเช้าต่อเนื่องมา รัดเกล้าถือกระเป๋าทำงานใบหรูตามหลังคทารัตน์ที่กำลังเดินมาที่รถ เพื่อไปทำงาน
"พี่กี้เชื่อมั้ยคะว่า คนเราอาจจะหลับ..หลับฝันถึงอดีตเป็นเรื่องยาวๆ เห็นทุกอย่าง แต่ได้แค่มอง ทำอะไรไม่ได้ พูดกับใครตรงนั้นก็ไม่ได้"
"อย่าบอกนะว่าที่หายไปเนี่ยะ แกนั่งยานแม่ ทะลุมิติไปอดีต"
"ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทะลุหรือเปล่า แต่เป็นแบบหลับ ฝันเห็น แต่พอตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้"
"เค้าเรียกฝันเป็นตุเป็นตะแล้วย่ะ แกอ่านนิยายมากไปหรือเปล่า ยายเกล้า คิดว่ามีผู้ชายรออยู่อีกภพ ถ้าจะข้ามไปหาอีกเมื่อไหร่ก็บอกด้วยนะ ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ ไปเป็นเพื่อน เผื่อจะได้เจอผู้ชายดี หล่อ รวย แบบคุณหลวง หรือ ไม่ก็เจ้าชายรูปหล่อที่รอรักแท้อะไรเงี้ยะ"
คทารัตน์หัวเราะชอบใจความคิดตัวเอง ก่อนจะก้าวขึ้นรถ รัดเกล้ามองตามสีหน้าม่อย
"เกล้าไม่ได้บ้านะคะ"
"เออ ฉันรู้ว่าแกไม่ได้บ้า แต่ว่าอาจจะเบลอ จะบอกให้นะ ยายเกล้า มันไม่มีจริงหรอก ภพนี้ ภพหน้า ภพไหนน่ะ ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน ถ้าคนเรามันจะหลุดอดีต โดดไปโดดมาได้ขนาดนั้นนะ ฉันว่าคนแรกที่คิดทำทัวร์อดีตได้น่ะ จะต้องรวยกว่าทัวร์ไปดวงจันทร์ซะอีก"
คทารัตน์หัวเราะอย่างไม่สนใจ ตรงข้ามกับรัดเกล้าที่สีหน้ากังวลถึงสิ่งที่เห็น
เวลากลางวัน ภายในบ้านหมอดู ท่ามกลางควันธูปที่ลอยอยู่ตรงหน้าหิ้งบูชาที่ตั้งเต็มอยู่ทั้งห้อง ในบรรยากาศขรึมขลัง รัดเกล้าก้มลงกราบหมอดูวัยกลางคน ที่มองเธอด้วยสายตาพินิจ
ยอดชายนั่งลูบขนแขนที่ลุกตลอดเวลาด้วยความเกรงในบรรยากาศ
"นี่มันบ้านหรือห้องเย็น ไม่ได้ลบหลู่นะครับ กุมาร อย่าตามไปด้วย ผมชอบอยู่คนเดียว"
รัดเกล้าหันไปมองยอดชายทำนองให้เงียบ ยอดชายมองไปรอบๆ รัดเกล้าหันไปถามหมอดู
"ที่หนูฝันเห็นมันคืออะไรคะ"
"ไม่ใช่ความฝัน"
รัดเกล้าสีหน้ากังวล มองหมอดูที่ค่อยๆหลับตาลง
"เรื่องจริงเหรอคะ แล้วทำไมหนูถึงเห็น"
หมอดูลืมตามองเธอแล้วตอบ
"จิตที่ผูกพัน กี่ร้อยกี่พันปี ตัดกันไม่ขาด ถึงมาให้เห็น ให้รู้"
"จิตผูกพัน... หนูกับใครคะ ผู้ชายนักรบ หรือว่า ผู้ชายคนที่เป็นอมตะ"
ลมพัดแรงเปลวเทียนดับวูบ ยอดชายนั่งเบียดเพื่อนทันที รัดเกล้ามองไปรอบๆ หมอดูรู้ด้วยญาณ ว่าห้ามพูดบางเรื่อง
"ฉันเตือนได้แค่ระวัง"
"ระวังอะไรคะ"
"ศัตรู"
"ไอ้เกล้าเหรอครับ มีศัตรู เพื่อนผมเป็นคนดีนะครับ"
"ศัตรูอยู่รายรอบ ยิ่งรักยิ่งทุกข์ แต่ต้องรักเพราะหนีกันไม่พ้น"
รัดเกล้าฟังแล้วสีหน้ากังวล ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ในร้านกาแฟในเวลาต่อเนื่องมา ยอดชายเลื่อนกาแฟให้รัดเกล้าที่นั่งหน้าเครียดอยู่
"แกอย่าซีเรียสสิวะ หมอดูเค้าว่าคู่กับหมอเดา บอกกำกวมอย่างงั้น แกมาถาม ฉันก็ทายได้"
"แต่ฉันเชื่อที่หมอดูทาย"
"อ่ะ งั้นแกลองเล่าให้ฉันฟังสิว่าแกเห็นอะไร ตอนที่รถชนสลบไป"
"ก็บอกว่าจำไม่ได้ มันลางๆ มันไม่เป๊ะเหมือนตอนที่เห็น ตอนที่อยู่ตรงนั้น"
"อืมม แต่ที่เป๊ะมากคือจำหน้าผู้ชายได้ 2 คน"
"ฉันจำด้วยความรู้สึก จะอธิบายยังไง รู้สึกว่าจำได้ รู้สึกว่ากลัวคนนี้ รู้สึกว่าเกลียด แกไม่เข้าใจหรอก ไอ้ยอด"
"เออ ใจเย็น... จักรวาลนี้มีอะไรที่คนเรายังพิสูจน์ไม่ได้อีกเยอะ"
"แกว่าฉันไม่ได้ฝันใช่มั้ย"
"ฉันว่าแกฝัน ฝันพันๆๆๆเอาไปล้านเปอร์เซ็นต์เลย แล้วแกก็ควรจะลืมซะ เพราะชาตินี้แกจะไม่มีวันเจอผู้ชายในฝันคนนั้นอีกแล้ว"
รัดเกล้าฟังเพื่อน หน้าตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เวลากลางวัน สถบดีกำลังเดินขึ้นโรงพักมา นักข่าวพากันกรูมาถ่ายรูป สถบดียิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
นักข่าว1 ถาม
"คิดว่าคดีจะเป็นยังไงครับ ผู้กองไผ่ ทางตำรวจมั่นใจในหลักฐานการจับกุมพ่อค้ายาบ้ารายนี้แค่ไหนครับ"
"มั่นใจสิครับ มั่นใจมาก จับกุมรายใหญ่แบบนี้ได้ คดียาบ้าต้องลดลง"
นักค้ายาบ้าใส่สูท แต่งตัวดีเดินออกมากับทนาย นักข่าวพากันถ่ายรูป สถบดียืนจ้อง
"ลูกความผมได้ประกันตัวนะครับ ไม่ให้สัมภาษณ์นะครับ ได้ประกันตัวแล้วครับ"
สถบดีเข้าไป ทนายรีบพานักค้าออกห่าง นักค้ายาหัวเราะแทงใจ สถบดีพรวดตาม
"แกไม่รอดแน่ คราวหน้าฉันจะเอายานรกยัดปากแก ดูสิแกจะรอดยังไง ไอ้ชั่ว"
นักข่าวกรูกันถ่ายรูปสถบดี
"ถ่ายมันสิ ถ่ายแล้วลากไส้ขบวนการมันออกมา ปล่อยมันไปคนนึง เด็กต้องติดยาอีกเท่าไหร่"
สถบดีอาละวาด พัทธยาพุ่งเข้ามาห้าม
"พอแล้วไผ่"
"ปล่อยฉัน ไอ้พัทธ์ มันรอดไปได้ยังไง ฉันจะไปถามนาย"
สถบดีสะบัดแรงด้วยความโมโห
"ไม่ต้องถามแล้ว นายเพิ่งบอกฉัน คำสั่งด่วน... ย้ายเราไปช่วยราชการหน่วยอื่น"
พัทธยาบอก สถบดีตะโกนโวยลั่น
"เฮ้ย อะไรวะ ไอ้เลวนั่นมันมีอิทธิพลมากขนาดย้ายตำรวจได้ด้วยเหรอ บ้านเมืองมันกลียุคแล้วโว้ย ให้พ่อค้ายาบ้าสั่งย้ายตำรวจ กลับดำเป็นขาว เอาสีมาป้ายคนดีให้เป็นคนเลว สังคมมันจะอยู่ยังไงถ้าความยุติธรรมมันเอียงเพราะพวกมากลากไป"
"พอแล้ว ไอ้ไผ่"
สถบดีมองเห็นนักค้ายาบ้าที่ยิ้มเยาะ ก็ยิ่งเดือด
"กร่างนักเหรอมึง อย่าให้ถึงวันที่นายมึงคุ้มหัวไม่ได้แล้วกัน วันนั้นมึงจะไม่มีแผ่นดินกลบหน้า"
"ไอ้ไผ่ หยุดได้แล้ว อย่าหาเรื่องใส่ตัวอีก เรายังต้องทำงาน"
"ทำงาน ทำอะไร ทำไปทำไม... มันไม่มีที่ไหนให้แกกับฉันรักษาความยุติธรรมแล้ว"
สถบดีระเบิดออกมาด้วยความคับแค้นใจ
ในสนง.สืบสวนคดีพิเศษเวลากลางวันต่อเนื่องมา คทารัตน์กอดอกยืนอยู่หน้า วิวรรธน์ ดนัย อรนุช และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กับกองแฟ้มเอกสาร ภาพหลักฐานในที่เกิดเหตุ
ศิริธรวิ่งรี่หน้าเริ่ดมา
"คำสั่งล่ามาด่วนสุดๆ ... หัวหน้าทีมสอบสวนของเรากำลังจะมาประชุมด้วย"
"ใคร... เปลี่ยนหัวหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครรายงานฉัน" คทารัตน์ว่า
"เค้าคงลืมไปน่ะสิ ว่าเจ๊วิกกี้เป็นผีบ้านผีเรือนประจำสำนักงานสืบ" ศิริธรบอก
"นั่นสิ ...ศิริธร ทำไมฉันถึงไม่หักคอเธอ"
ศิริธรถอยห่างจากคทารัตน์ในทันที
"เค้าถูกส่งมาคุมงานเราอีกทีค่ะ ถูกส่งหรือถูกเด้งมา อันนี้ก็ไม่คอนเฟิร์ม" อรนุชบอก"เห็นสำนักงานสืบของเราเป็นอะไร ที่นี่มันที่รวมของคนฉลาดๆ อัจฉริยะ ไม่ใช่ถังขยะหรือส้วม กทม.ที่จะเอาของเสีย กลิ่นฉาวเน่าโชยตั้งแต่หน้าประตูมาโยนทิ้ง"
พัทธยาเดินเข้ามา ทุกคนหันไปมอง คทารัตน์ถึงกับตะลึงในความหล่อของเขา พัทธยาได้ยินคำพูดของเธอทุกคำ แต่ยังยิ้มนิ่ง
"แต่บางครั้ง โชคชะตาก็นำพาสิ่งดีๆ กลิ่มหอมยั่วยวนใจมามอบให้เช่นกัน" คทารัตน์บอก
"ผม ร.ต.อ.พัทธยา .. สำนักงานตำรวจส่งมาช่วยคดีส.ส.อภิมุขครับ"
สาวในห้องถึงกับเพ้อ ตาลอย กับรอยยิ้มหล่อบาดใจของพัทธยา
คทารัตน์เสียฟอร์มมาก แต่ยังวางมาด อรนุชรีบชิงแนะนำตัว
"อรนุชค่ะ ผู้กอง เรียกใช้ง่าย บริการฉับไว 24 ชั่วโมง"
คทารัตน์ถลึงตาปราม แต่ไม่มีสาวคนไหนเกรงแล้ว รีบแย่งแนะนำตัวกับผู้กองรูปหล่อกันเป็นแถว ศิริธรยิ้มหวาน
"ศิริธรค่ะ"
"ดนัยครับ"
"วิวรรธน์ครับ ฝ่ายข้อมูล เรียกวิวก็ได้ครับ สั้นดี"
"ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ"
คทารัตน์ยิ้มมีมาด แนะนำตัว
"คทารัตน์ค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ ที่นี่เราทำงานกันเข้มข้น ตื่นเต้นค่ะที่จะได้ร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ มีอะไรที่ผู้กองพัทธ์อยากทราบ ถามวิกกี้ได้ทุกเรื่องเลยค่ะ ถึงไม่รู้ วิกกี้ก็จะหาคำตอบมาให้ผู้กองได้อยู่ดี"
วิกกี้หันไปยิ้มหวานกับพัทธยาจนน่าหมั่นไส้
ภายในห้องน้ำสนง.สืบสวนพิเศษ ศิริธร อรนุชกำลังปัดขนตา แต่งหน้าเพิ่มหน้ากระจก
"เห็นหน้ายัยเจ๊วิกกี้มั้ย สายตาหวานหยด" อรนุชพูดขึ้น
"โหนคานจนกล้ามแขนปูดขนาดนั้น ก็ต้องออกตัวแรงอยู่แล้ว" ศิริธรบอก
"ไม่รู้หรือไง ผู้ชายสมัยนี้เค้าเลือกกินจะตาย เหนียวจนคางยาน เค้าก็ไม่กิน"
อรนุช/ ศิริธรต่างหัวเราะประสานเสียง
"มันไม่แซ่บ"
คทารัตน์ออกจากห้องน้ำ เดินมายืนที่หน้ากระจกข้างๆ สองสาวพากันเก็บลิปสติกมือไม้สั่น
"ไม่ต้องรีบหรอกจ้ะ เก็บนอให้เรียบร้อยก่อนสิ"
สองสาวนึกจะโต้แต่ไม่ทัน คทารัตน์ยิ้มหวานให้
"ยังไงฉันก็ไม่ลงสนามแข่งกับพวกเธอแน่นอน มันคนละ level"
คทารัตน์ทำเป็นหน้าเชิด จัดทรงผมแล้วหันไปยิ้ม สองสาวรีบออกไปจากห้องน้ำทันที คทารัตน์มองเงาตัวเองในกระจก
"ใสๆแอ๊บๆอย่างพวกหล่อน เค้าเอาไว้เคี้ยวเล่นคั่นเวลา ตัวจริง รักจริง มีสินสอดมากองพันล้านน่ะ ต้องฉลาด เพอร์เฟ็คท์แบบฉัน"
คทารัตน์หน้าเชิด สูดลมหายใจให้กำลังใจตัวเองแล้วกดมือถือ
"ยายเกล้าเหรอ ..พี่มีเรื่องให้ช่วย ด่วนมาก ด่วนที่สุดในชีวิตแก"
ในห้องทำงานพัทธยา คทารัตน์ อรนุช ศิริธรพากันเข้ามาเทกแคร์พัทธยายืนอยู่ตรงกลาง "วิกกี้บอกให้เค้าจัดห้องนี้สำหรับผู้กองพัทธ์"
"ขอบคุณมากครับ"
คทารัตน์หันไปบอกอรนุช ศิริธร
"อรนุช ศิริธร... ถ้าเตรียมประชุมเรียบร้อยก็ควรรู้หน้าที่ ว่าระดับหัวหน้า เค้าจะคุยกันก่อน"
ศิริธร อรนุชทำเป็นยังอ้อยอิ่ง คทารัตน์ตาขวางก่อนจะรีบปรับสีหน้า หันมาบอกพัทธยา
"โต๊ะผู้กองโล่งไป เดี๋ยววิกกี้หากรอบรูปมาให้ดีกว่านะคะ เผื่อผู้กองจะวางรูปครอบครัว"
พัทธยายิ้มบอก
"ผมยังไม่ได้แต่งงาน โสดครับ"
อรนุช ศิริธรยิ้มหวานทันที แต่คทารัตน์ยังวางมาด
"วิกกี้ไม่ได้จะซักเรื่องส่วนตัวนะคะ ถ้าโอเคแล้ว งั้นเราไปประชุมกันดีกว่า"
คทารัตน์แกล้งหันไปหยิบแฟ้มแล้วทำแฟ้มหล่น เธอก้มลงหยิบ เผยกระโปรงผ่าสูงเห็นเรียวน่อง
พัทธยาก้มลงช่วยเก็บแฟ้ม เธอก้มลงให้คอเสื้อต่ำ เขามองแล้วหันไปทางอื่นด้วยมารยาท ยื่นมือไป คทารัตน์แกล้งวางมือซ้อนลงไปให้มือพัทธยาโดนมือตัวเอง
"อุ๊ย"
สองสาวที่เห็นแทบจะกรี๊ด
คทารัตน์รีบทำเป็นดึงมือออก พัทธยารีบวางแฟ้มให้บนโต๊ะ เขาอมยิ้มเขินๆ ยิ่งดูดีในสายตาเธอ
ภายในห้องทำงานรวม เวลาต่อมา วิวรรธน์นั่งเสิร์ชหาข้อมูลอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดนัยมองไปทางห้องพัทธยาแล้วพูดขึ้นแบบปนอิจฉา
"ดูๆไป ผู้กองพัทธ์ก็ไม่เห็นหล่อตรงไหน" ดนัยว่า
"พี่หล่อกว่า ว่างั้น"
"ฉันว่าหล่อคนละแบบว่ะ"
วิวรรธน์มองดนัยแล้วลุกขึ้นอย่างเซ็งๆ อรนุช กับศิริธรหอบแฟ้มเดินออกมาจากห้อง กระแทกแฟ้มปึงปังลงกับโต๊ะด้วยอารมณ์หึง
"เจ๊นะเจ๊ ปาดหน้าเค้กตลอด ไหนว่าไม่ลงสนาม แล้วไอ้ที่ทอดสะพานสร้างมอเตอร์เวย์ให้ผู้กองพัทธ์เมื่อกี๊... เค้าเรียกอะไร อะไร อะไร"
สองสาวกลับมานั่งโต๊ะด้วยความหมั่นไส้ วิวรรธน์มองเข้าไปข้างใน ด้วยสายตาอยากรู้
ภายในห้อง พัทธยากำลังอ่านเอกสาร คทารัตน์คอยเอื้อมมือไปพลิกให้ดูเอกสารแผ่นโน้นแผ่นนี้
"มีผลการสอบอีกแฟ้มนึง อยากให้ผู้กองอ่านก่อนประชุมน่ะค่ะ"
เขาชะโงกมาดูใกล้ๆ เธอแอบมองหน้าเขาแบบดื่มด่ำ มือถือของคทารัตน์ดังขึ้น เธอมองหน้าจอแล้วบอก
"น้องสาวน่ะค่ะ ว่าไงจ๊ะ น้องเกล้า"
พัทธยามองคทารัตร์ที่ส่งเสียงอ่อนหวาน
รัดเกล้ากำลังถือถุง เดินเข้ามายังทางเดินหน้าตึกสำนักงานสืบสวนพิเศษเพื่อไปยังตึก
"เกล้ามาถึงแล้วค่ะ พี่วิกกี้จะให้เอารองเท้าแอโรบิค ขึ้นไปให้เลยหรือเปล่าคะ"
ภายในห้อง คทารัตน์กำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ เห็นวิวรรธน์กำลังเอากาแฟร้อนมาเสิร์ฟ
"ไม่เป็นไรจ้ะ พี่กำลังประชุม เดี๋ยวพี่ให้เด็กลงไปรับของนะจ๊ะ"
วิวรรธน์มองคทารัตน์ที่กำลังตัดสาย ส่งยิ้มหวาน ชี้ที่วิวรรธน์ รุ่นน้องชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ทำนองว่าผมน่ะเหรอ
"วิวจ๊ะ ลงไปเอาของให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ"
"ครับ...ได้ครับ กาแฟนี่ ผมชงมาให้ผู้กองกับคุณวิกกี้"
"จ้ะ ..เห็นแล้ว รีบลงไปเลยนะจ๊ะ น้องสาวพี่รออยู่ชั้นล่างน่ะจ๊ะ"
"ครับ ครับ"
วิวรรธน์จำใจเดินออกไป คทารัตน์ส่งยิ้มให้พัทธยา
"มีอะไรเรียกใช้ได้ตลอด วิวเด็กหัวอ่อน ว่าง่าย ใช้คล่องค่ะ น่ารัก"
"อ๋อ...ครับ"
เธอชวนเขาคุยต่อ
"พอดีเมื่อเช้ามัวคิดเรื่องคดี เลยลืมหยิบรองเท้ากีฬาออกมาน่ะค่ะ วิกกี้ชอบออกกำลัง ผู้กองพัทธ์ไปฟิตเนสที่ไหนประจำหรือยังคะ วิกกี้มีที่แนะนำนะคะ"
รัดเกล้าก้าวเท้ารีบเดิน กำลังจะข้ามตรงมายังหน้าตึก บนถนน สถบดีขับมอเตอร์ไซค์กำลังจะเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ระหว่างที่เธอก้าวเท้าลงบนถนนพอดี เขาเห็นเข้าพอดีก็เบรกรถดังเอี๊ยด สาวๆแถวนั้นร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ
รัดเกล้ายืนตะลึง รถสถบดีห่างจากร่างแค่คืบ เขาถอดหมวกกันน็อก
"เฮ้ย คุณ"
รัดเกล้ามองอึ้ง ตกใจ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเจอกับเขาอีก
"คุณ...นักรบ"
เขาดีใจที่เห็นเธอ รีบวิ่งเข้ามาถึงตัวเธอทันที
"เจอจนได้"
รัดเกล้าจะถอยหนี สถบดีตามไปดักหน้า
"อย่าๆ อย่าเพิ่งไปไหน... คราวนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง"
"ฉันไม่มีอะไรจะคุย"
"ไม่ต้องกลัว ผมไม่เอาเรื่องที่รถชน โอเคมั้ย"
"ไม่โอเค ฉันรู้ว่าฉันไม่ผิด คุณขับรถชนฉัน คุณประมาท คุณนั่นแหละ ผิดเต็มประตู"
"ก็ใช่ไง ผมถึงห่วงคุณ ผมอยากรู้ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"
รัดเกล้าจะหนี สถบดีไม่ยอมปล่อยโอกาส
" ไหน... มาดูหน่อยสิ สมองไม่เสื่อมใช่มั้ย"
เขาคว้าแขนดึงแรง ไม่ยอมปล่อย จนเธอเซมาปะทะกับหน้าอกแน่นๆของสถบดีพอดี ต่างคนต่างร้อง "โอ๊ย"
เมื่อสองร่างสัมผัส พลันเกิดเป็นแสงแรงวาบวามขึ้นอีกครั้งในทันที ราวกับว่าห้วงเวลาของสองภพได้มาบรรจบกันอีกครา
สถบดีกุมหน้าอกที่โดนหัวรัดเกล้าโขกอย่างแรง ส่วนเธอเองก็กุมหัว ผงะถอย สองร่างเซห่างจากกัน
มือข้างหนึ่งสถบดีแตะอกที่เจ็บ อีกมือเปะปะมาตรงหน้า เช่นเดียวกับรัดเกล้าที่มือข้างหนึ่งกุมหัว อีกมือยื่นมา
สองมือที่ยื่นมาแตะกัน ต่างฝ่ายต่างทาบมือลงมือของอีกฝ่าย
ทันใดนั้น ปรากฏแสงสีขาวระหว่างสองมือ เพิ่มพลังความแรงกล้าขึ้นจนสายตายากจะต้านทานไหว
อ่านต่อตอนที่ 2