xs
xsm
sm
md
lg

นางมาร ตอนที่ 28 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางมาร ตอนที่27

หลวงปู่พยักหน้าแล้วเอ่ยถามเชตะวัน

“โยมเคยเห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วไม่ใช่รึ”
“เคยครับ แต่สิ่งที่ผมเห็นทุกครั้งเวลาที่หลับฝันมันคือภาพเดิมๆที่ผมกับ วิญญาณแม่เฟื่องอยู่ร่วมกันมา มันคือความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ครับหลวงปู่”
“ถ้าโยมอยากรู้โยมต้องทำจิตให้สงบ โดยการนั่งสมาธิโยมจะเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโยมภาพที่ไม่ได้มาจากความฝัน”
“แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้ล่ะครับหลวงปู่”
“โยมจะได้รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรัก และรอคอยการกลับมาของโยมจนไม่ยอมไปผุดไปเกิด”
เชตะวันครุ่นคิดหันมองหน้าเนตรอัปสร เธอพยักหน้าให้เขาทำตามที่หลวงปู่บอก ทุกคนมองเอาใจช่วย

เชตะวันนั่งสมาธิอยู่กับหลวงปู่สองคน ภายในมุมห้องมุมหนึ่งที่เงียบสงบ เชตะวันตั้งสมาธิแน่วแน่เพื่อต้องการเห็นภาพในอดีตที่ผ่านมา แล้วภาพในอดีตก็แว่บเข้ามาในห้วงคำนึง เป็นภาพ ชุนช่วยเฟื่องใต้น้ำ...เฟื่องให้กำไลที่ร้านผ้า...เฟื่องกับชุนเจอกันงานลอยกระทง...เฟื่องแอบมาทายาให้ที่กระท่อม...เฟื่องโดนเฆี่ยนพ่อสั่งห้ามเฟื่องถูกล่ามโซ่...เฟื่องก้มลงกราบพ่อขอชีวิตชุนตอนที่ถูกโบย...ชุนกับเฟื่องหนีตายด้วยกัน...ทั้งสองสาบานรักกันก่อนโดดหน้าผา...ชุนรอดตาย แต่เฟื่องกลายเป็นศพ...เชตะวันนั่งสมาธิอยู่น้ำตาไหลทั้งที่ยังหลับตาค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ เชตะวันจำเรื่องราวในอดีตได้ รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำดีให้เฟื่อง เขาบอกกับหลวงปู่
“ถ้าในอดีตผมตายไปพร้อมกับแม่เฟื่อง แม่เฟื่องคงจะมีความสุขและไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยอยู่แบบนี้”
“บาปที่ติดตัวมาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ที่วิญญาณแม่เฟื่องต้องทนทุกข์อย่างนั้นเป็นเพราะความอาฆาตแค้นเป็นกรรมที่ติดตามตัวเขามา”
เชตะวันนิ่งคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเป็น
“งั้นการเป็นโรคที่ถูกสาปของผม คงเป็นบาปกรรมที่ติดตัวผมมาใช่ไหมครับ ที่ทำให้เวลาหลับผมมักจะเห็นภาพในอดีตอยู่ตลอดเวลา”
“นั่นเป็นเพราะดวงจิตที่ยังติดค้างมาจากอดีต ทำให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านั้น”
“ผมไม่มีทางหลุดพ้นจากเรื่องในอดีต ได้เลยเหรอครับหลวงปู่”
“การบำเพ็ญกุศลหมั่นเจริญศีลภาวนา เพื่อลดกรรมที่เคยทำไว้จะทำให้โยมหลุดพ้นจากเหตุการณ์ในอดีต”
“แล้ววิญญาณของแม่เฟื่องล่ะครับ จะต้องทำยังไงแม่เฟื่องถึงจะหลุดพ้นได้”
“ต้องปลดกรรมเก่า หยุดสร้างกรรมใหม่”
เชตะวันชะงักไม่เข้าใจ
“ปลดกรรมเก่าต้องทำยังไงล่ะครับ”
“ต้องทำพิธีตัดคำสาบาน”

เชตะวันฟังที่หลวงปู่บอกอย่างตั้งใจ

เช้ามืดของวันใหม่...น้ำตาเทียนหยดลงในขันน้ำมนต์
 
หลวงปู่หยดเทียนพร้อมท่องคาถาลงในน้ำมนต์...หลวงปู่เริ่มทำพิธีตัดคำสาบาน เชตะวันนั่งอยู่ด้านหน้ากับหลวงปู่นั่งพนมมือถือสายสิญจน์ต่อมาจากหลวงปู่ เนตรอัปสร ปารมี หมอก้อง คุณสรวงนั่งอยู่ถัดมาทุกคนถือสายสิญจน์เส้นเดียวกันที่โยงมาจากหลวงปู่ ทุกคนหลับตาสวดอธิฐาน สวดจากนะโม 3 จบ...เชตะวันเริ่มสวด
“หากข้าพเจ้าได้เคยประมาท พลาดพลั้งล่วงเกินต่อคนรักในอดีตชาติ จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ข้าพเจ้าขอโทษขอขมากรรม ขออโหสิกรรมต่อท่านและขอให้คำสัญญา คำสาบาน และคำอธิฐานจิตที่เคยได้อธิฐานไว้ในทุกภพทุกชาติขอให้เป็นโมฆะให้จบให้ขาดสิ้นกันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
ผีเฟื่องได้ยินเสียงสวดก็โกรธแค้น พายุพัดแรงกระหน่ำขึ้นด้วยฤทธิ์จากความโกรธ คุณสรวงละมือจากสายสิญจน์เพราะรู้สึกได้ว่าผีเฟื่องโกรธแค้น จึงออกไปต้านไว้ก่อน

ผีเฟื่องมองด้วยสายตาที่โกรธแค้น
“กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด...”
คุณสรวงออกมายืนมองดูผีเฟื่องด้วยความสงสาร
“หยุดทำร้ายใครต่อใครซะเถอะลูกเฟื่อง”
ผีเฟื่องจ้องมาที่คุณสรวงดุดัน
“บาปที่ลูกทำมา มันจะทำให้ลูกยิ่งออกห่างจากคนรักของลูกเข้าไปอีก”
ผีเฟื่องไม่ฟัง เกรี้ยวกราด สะบัดกิ่งไม้หักลงมาเกือบโดนคุณสรวง กิ่งไม้ลงมาพาดอยู่ที่หน้าประตู คุณสรวงเห็นผีเฟื่องอาละวาดไม่ยอมจึงจำเป็นต้องกันผีเฟื่องไม่ให้เกรี้ยวกราดไปกว่านี้
คุณสรวงลงนั่งพนมมือตั้งสมาธิบริกรรมคาถาคุ้มภัย ไม่ให้ผีเฟื่องเข้าใกล้โบสถ์ ทันใดนั้นมีแสงเรืองรองครอบกั้นระหว่างผีเฟื่องกับโบสถ์ ผีเฟื่องมองสิ่งที่คุณสรวงทำอย่างเครียดแค้น

เนตรอัปสร ปารมี หมอก้อง หันมองหน้ากันเมื่อรู้สึกว่าเสียงแผดคำรามของผีเฟื่องเงียบไป
เชตะวันยังคงสวดทำพิธีต่อ เขาอธิฐานจิตอย่างแน่วแน่
“ข้าพเจ้าขอชดเชยความผิดด้วยบุญกุศล ผลความดีที่ได้สั่งสมมาและการทำบุญทำทานโปรดยกโทษ และอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย และขอให้ชีวิตข้าพเจ้าหลุดพ้นจากวิบากกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น”
หลวงปู่หันบอกกับเนตรอัปสร ปารมี หมอก้อง
“โยมจงไปตามหากระดูกแม่เฟื่องกลับมาเพื่อทำพิธีอีกครั้ง”
เนตรอัปสรหน้าเครียด
“กระดูกนั่นอยู่ที่ไหนเหรอคะ หลวงปู่”
“อยู่ในป่าไม่ไกลจากที่นี่นัก รีบไปตอนนี้เพราะวิญญาณแม่เฟื่องยังพุ่งมาที่คำสวดอธิฐานของโยมเชตอยู่”
“ค่ะหลวงปู่”

เนตรอัปสรรับคำแล้วจะลุกไป

นางมาร ตอนที่ 27 (ต่อ)
 
ปารมีคว้ามือเนตรอัปสรพยักหน้าไปด้วย

“ฉันไปด้วย”
เนตรอัปสรลังเล หมอก้องลุกขึ้นตามพยักหน้าอีกคน
“ผมไปด้วย”
ปารมีหันไปยิ้มให้หมอก้อง เนตรอัปสรยิ้ม
“ขอบใจนะทุกคน”
ทั้งสามยิ้มให้กัน และรีบออกไปอีกทาง หลวงปู่กับเชตะวันยังคงมุ่งมั่นทำพิธีกันอยู่

เนตรอัป ปารมี หมอก้อง เดินเข้ามาในป่าหาห่อผ้าใส่กระดูกแต่ไม่มีวี่แววทั้งหมดเหนื่อยอ่อน เนตรอัปสรหันไปบอกเพื่อน
“เราควรแยกกันหาจะดีกว่า”
ปารมีเห็นด้วย
“จริงด้วย เรามีเวลาไม่มากนัก รีบไปกันเถอะ”
“โอเคครับระวังตัวนะครับ”
ทั้งสามคนแยกเป็นสามทาง เนตรอัปสรเดินมองหาอย่างตั้งใจ ปารมีแหวกพงหญ้ามองหา หมอก้องเดินหาจนหันไปเจอห่อผ้าสีขาว เขารีบเข้าไปดูใกล้ๆเห็นว่าใช่ห่อกระดูก จึงตะโกนบอก
“เจอแล้ว...อยู่นี่เอง”
ปารมีกับเนตรอัปสร รีบวิ่งเข้ามาสมทบ สามคนมองที่ห่อผ้าดีใจ

หมอก้องถือห่อผ้า ปารมีกับเนตรอัปสร เดินอย่างรีบออกมาจากในป่า ทั้งสามคนเดินมาเห็นกลุ่มอาสาปอเต็กตึ๊ง และตำรวจ ยกห่อศพมากองรอขึ้นรถ ปารมีตกใจ
“อ๊าย...มีคนตายแถวนี้ด้วย คงไม่ใช่ฝีมือผีแม่เฟื่องนะ”
ปารมีกลัวๆขยับมาใกล้หมอก้อง เนตรอัปสรมองดูได้ยินเสียง วอ. ของเจ้าหน้าที่
“วอ.2 เกิดเหตรถเก๋งสีดำ...พุ่งชนโกดัง”
“มีผู้เสียหายมั้ย”
“มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ชื่อ นายพายัพ เปลี่ยน”
ทุกคนที่ได้ยินอึ้งไปตามๆกัน เนตรอัปสรพึมพำ
“คุณพายัพ...”
หมอก้องรีบดึงทุกคนออกจากตรงนั้น
“รีบไปเถอะ”
หมอก้องดึงสองสาวให้รีบออกไป จากที่เกิดเหตุ

หน้าโบสถ์...คุณสรวงเริ่มอ่อนแรงมีเลือดไหลออกทางจมูก ผีเฟื่องขอร้อง
“ปล่อยลูกไปเถิด ลูกเจ็บปวดเหลือเกิน”
เนตรอัปสร ปารมี หมอก้องกลับมาเห็นจากด้านข้างว่าคุณสรวงอ่อนล้าเต็มที่ เนตรอัปสรเป็นห่วง
“แม่สรวง...”
เนตรอัปสรรีบวิ่งเข้าไป ปารมีกับหมอก้องรีบตามไป จังหวะที่สรวงอ่อนแรงพอดี เนตรอัปสรรีบเข้าไปประคองคุณสรวง ปารมีรีบเข้าไปช่วย เนตรอัปสรเห็นคุณสรวงมีเลือดไหลออกทางจมูกก็สงสารที่ต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะตัวเอง เนตรอัปสรมองผีเฟื่องโกรธลุกขึ้นไปตรงหน้า
“ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายนัก ทำไมต้องทำให้คนอื่นๆต้องมารับเคราะห์กรรมนี้ด้วย...ทำไม...”
ผีเฟื่องมองจ้องเนตรอัปสร
“ใครที่มันขวางข้า ข้าจะไม่ปล่อยมันไปโดยเฉพาะเจ้า อีนวล”

ผีเฟื่องจ้องเนตรอัปสรก่อนที่ผีเฟื่องจะหายตัวไป

ปารมี หมอก้อง คุณสรวง มองเห็นผีเฟื่องหายไปมองงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
 
เนตรอัปสรหันกลับมาด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไปมองจ้องในโบสถ์ เพราะวิญญาณเฟื่องเข้าสิงในตัวเนตรอัปสรแล้ว
“ถ้าชุนยังคิดที่จะทำกับข้าแบบนี้ นังนวลมันจะต้องตายเหมือนชาติที่แล้ว”
ปารมี หมอก้อง คุณสรวง ตกใจที่เนตรอัปสรถูกผีเฟื่องสิง
“กูจะตามจองล้างจองผลาญติดตามทุกชาติไปไม่รู้จบ”
เนตรอัปสรจ้องมองในโบสถ์ ด้วยดวงตาแห่งความแค้นของผีเฟื่อง

ด้านในยังคงสวดทำพิธีต่อ เชตะวันยังคงอธิฐานจิต
“ข้าพเจ้าขอถอนคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็น อิสระ หากผู้ใดสร้างเวรสร้างกรรมต่อข้าพเจ้าไม่ว่าชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าขอถอนคำพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกภพทุกชาติและขอให้ตัวข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งทั้งปวง ของเจ้ากรรมนายเวรและขอให้ดวงวิญญาณนั้นหลุดพ้นจากนรกภูมิ ขอให้ พบแสงสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ สาธุ”
เชตะวันก้มกราบพระประธาน เมื่อทำพิธีถอนคำสาบานเสร็จ เขานั่งนิ่งอย่างกังวลใจ
“ผมได้ยินแต่เสียงของแม่เฟื่องที่ปฏิเสธบุญทั้งหมด แบบนี้ แม่เฟื่องจะหลุดพ้นบ่วงกรรมได้ยังไงครับหลวงปู่”
หลวงปู่คิดๆก่อนที่จะตอบอย่างจริงจัง
“แรงอาฆาตในดวงจิตของแม่เฟื่องมีมากจนไม่ยอมรับบุญใดๆ มีอีกทางที่จะทำได้คือการแลกบุญด้วยตัวโยมเอง”
เชตะวันคิดๆ แล้วได้ยินเสียงกรีดร้องเรียกของเนตรอัปสร
“ชุน...ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากให้นังนวลตาย เจ้าต้องออกมา”
เนตรอัปสรเอามือทุบที่อกตรงหัวใจ มีพลังที่ผีเฟื่องสิงอยู่ทำร้ายตัวเอง
“ไปอยู่กับข้าเถอะชุน ถ้าเจ้าปฏิเสธข้านังนี่จะต้องขาดใจตาย ด้วยความเจ็บปวดที่ใจของมัน...ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะก้องกังวาน เนตรอัปสรยังคงเอามือทุบที่อกข้างซ้าย ทุกครั้งที่มือทุบลงมันคือความเจ็บปวด จนกระอักเลือดออกมา คุณสรวง ปารมี หมอก้องมองตะลึง คุณสรวงที่กำลังหมดแรงมองเห็นสร้อยที่คอปารมี
“ปาน...”
ปารมีหันมาเห็นคุณสรวงมองที่สร้อย เธอมองตาม
“คะแม่”
“ช่วยนะโมก่อนลูก”
ปารมีรู้รีบถอดสร้อยพระวิ่งเข้าไป เนตรอัปสรหันมาด้วยดวงตาอำมหิตใช้พลังเลื่อนกิ่งไม้มาขัดขา ปารมีหกล้มสร้อยพระหลุดมือไปอีกทาง เนตรอัปสรมองหมายจะทำร้ายปารมี มองที่กิ่งไม้ใหญ่ที่หักอยู่ใช้พลังยกกิ่งไม้ลอยจะร่วงใส่ หมอก้องรีบเข้าไปดึงปารมีหลบจนตัวเองโดนกิ่งไม้หล่นใส่ซะเอง ปารมีรีบเข้าดูหมอก้องด้วยความเป็นห่วง
“หมอ...หมอเป็นไงบ้างคะหมอ”

หมอก้องเลือดไหลที่ขมับด้านที่โดนกิ่งไม้เฉี่ยว

นางมาร ตอนที่28

ปารมีรีบช่วยออกมาจากกิ่งไม้ เนตรอัปสรมองตรงมา
 
ปารมีมองที่สร้อยพระที่หล่นอยู่จะวิ่งเข้าไปเอา เนตรอัปสรสะบัดมือทำเอาปารมีโดนสะบัดล้มกลับมาชนหมอก้องที่เจ็บอยู่ เนตรอัปสรมองอาฆาต
“ใครที่ทำร้ายข้า ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”
ปารมีกับหมอก้องตื่นกลัว ปารมีดึงหมอก้องออกมาสบทบกับคุณสรวงที่อ่อนแรงอยู่ ทุกคนได้รับบาดเจ็บถอยล่นด้วยความกลัว เนตรอัปสรจ้องมองเขม็ง
“พวกมึงต้องตาย”
ใบหน้าเนตรอัปสรที่มองสลับหน้าเป็นผีเฟื่องที่โหดร้ายน่ากลัว เสียงหนึ่งลอยมาจากในโบสถ์
“หยุดสร้างบาปเถอะโยมเฟื่อง”
เนตรอัปสรชะงักกึกหันมองที่โบสถ์ พระเชตะวัน ก้าวออกมาจากประตูโบสถ์ เนตรอัปสรอึ้งมองที่พระเชตะวัน ปารมี หมอก้อง คุณสรวงมองที่พระเชตะวันคิดไม่ถึงว่าเขาจะอุทิศตนเพื่อตัดกรรมให้กับเฟื่อง
หลวงปู่เดินออกมารวมกับกลุ่มของคุณสรวง เนตรอัปสรยืนอึ้งน้ำตาไหลลงมาเพราะชุนที่เฟื่องเฝ้ารอคอยมาตลอด กลายเป็นพระที่ตอนนี้ผีเฟื่องไม่อาจจับต้องหรือเข้าใกล้ได้อีก
“ทำไม...ต้องทำกับข้าเยี่ยงนี้”
“อาตมาจะไม่ทำร้ายโยมอีกแล้ว”
พระเชตะวันเดินมาตรงหน้าเนตรอัปสรที่ยืนนิ่งน้ำตาไหลอยู่ ผีเฟื่องหลุดออกจากร่าง เนตรอัปสรล้มฟุบลงกับพื้น หมอก้องกับปารมีช่วยกันอุ้มออกไปรวมที่กลุ่ม ผีเฟื่องปรากฏตัวห่างออกจากพระเชตะวัน จ้องมองด้วยความเจ็บช้ำ
“อาตมาขอให้โยมปล่อยวาง ในสิ่งที่มิอาจครอบครอง เพื่อให้ตัวโยมเองพ้นจากความทุกข์”
“ข้ายอมทุกข์เพื่อให้ได้คนรักกลับคืน ข้ารักเจ้า ต่อให้ต้องฆ่าใครอีกเป็นร้อยเป็นพันข้าก็จะทำทุกอย่างให้เจ้ากลับมาหาข้าให้จงได้”
ผีเฟื่องพูดด้วยความขมขื่นเจ็บช้ำ พระเชตะวันฟังด้วยท่าทีที่สงบ
“สิ่งที่โยมพูดมา มันไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ที่คนรักพึงมีให้กัน”
“แต่ข้ากับชุนรักกัน เราสองคนรักกันเจ้าจำไม่ได้รึ”
“อาตมาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ความตายพรากร่างกายของสองคนออกจากกันแต่ดวงจิตยังผูกกันไว้”
“แต่เจ้าก็ลืมข้า”
“ชุนไม่ได้ลืมความรักของโยม แต่โยมต่างหากที่ปล่อยให้ความแค้นมาครอบงำ จนลืมความรักที่มีต่อชุนไป แรงรักของโยมกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น ที่ต้องการชีวิตคนรักให้ตายตามโยมไป อย่าใช้ความรักผูกมัดให้ใครต้องตายเพื่อตัวเองอีกเลยนะโยม ไม่เช่นนั้นชะตากรรมก็จะเหมือนในอดีต ที่มีคนเสียสละยอมตายแทนคนที่ตัวเองรักอย่างโยมนวลอีก”
ผีเฟื่องโกรธ
“แต่มันสมควรตาย เพราะมันแย่งชุนไปจากข้า”
“ความรักที่คิดจะครอบครองนั้น เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ก่อทุกข์ได้ง่าย ส่วนความรักที่คิดจะให้ คือ ความรักอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง จะไม่ก่อโทษใดๆแก่ใจเราเลย”
พระเชตะวันมอง ผีเฟื่องสายตาอ่อนลง
“ตอนนี้โยมเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ”
ผีเฟื่องอึ้งนิ่งงันกับคำพระ เพราะภายในจิตเฟื่องนั้นมีแต่ความทุกข์แสนสาหัส ที่ดิ้นรนเพื่อที่จะครอบครองชายที่เป็นที่รัก โดยไม่สนใจสิ่งใดๆแม้แต่บาปกรรมที่ก่อขึ้นมา
 
ทุกคนมองดูกริยาที่เปลี่ยนไปของผีเฟื่องที่ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับพื้นช้าๆ

มองดูพระเชตะวันด้วยด้วยตาที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง
 
ผีเฟื่องเบือนหน้าออกพูดด้วยความละอายใจต่อบาป
“บาปที่ข้าก่อมันช่างมากมายนัก ไม่มีบุญใดจะมาทดแทนได้”
พระเชตะวันมองผีเฟื่อง
“มีสิโยม”
ผีเฟื่องหันมองที่พระอีกครั้ง
“อาตมาขออุทิศบุญบารมีในการบวชครั้งนี้ให้กับโยม ขอให้บุญที่มีปลดปล่อยดวงวิญญาณให้โยมได้พ้น สิ่งที่พันธนาการจิตโยมอยู่ให้หมดให้สิ้นไป”
ผีเฟื่องซึ้งก้มลงกราบตรงหน้าพระเชตะวันทั้งน้ำตา ร่างของผีเฟื่องกลับเป็นเฟื่องที่สวยงามเมื่อครั้งอดีต
“ข้าน้อมรับบุญด้วยใจ ถึงตอนนี้ต่อให้ร่างสลายไปใจข้าก็จะไม่ทุกข์ไม่ร้อน เรื่องใดๆอีก”
เฟื่องบอกกับพระเชตะวัน ด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม
“จงเผาเถ้ากระดูกข้าเสีย ดวงวิญญาณแห่งรักของข้าจะได้หลุดพ้นจาก ห้วงทุกข์ทั้งปวง”
กลุ่มเนตรอัปสรอึ้งกับคำขอร้องของเฟื่อง พระเชตะวันมองเฟื่องด้วยรอยยิ้มที่มีเมตตา เฟื่องยิ้มเป็นสุขด้วยจิตใจที่หมดทุกข์

หมอก้องวางฟืนลงเรียงบนเชิงตะกอน เผากระดูกเฟื่องจนเสร็จแล้วเดินกลับมานั่ง เฟื่องก้มลงกราบคุณสรวงที่นั่งอยู่
“ลูกกราบขอขมาในสิ่งที่ลูกได้ล่วงเกินท่านแม่ ทำให้แม่เป็นทุกข์ ไม่ว่า ในอดีตชาติที่ผ่านมาหรือในชาตินี้ก็ตาม” เฟื่องมองดูที่กองฟืนที่วางกองห่อกระดูกตัวเองยิ้มปลดปล่อย “ลูกจะได้พบทางสว่างเสียที อโหสิกรรมให้ลูกด้วยนะจ๊ะ”
คุณสรวงลูบหัวเฟื่องด้วยความรัก
“เมื่อใจเราสว่างฉันใด ย่อมกลบความมืดได้ฉันนั้น แม่อโหสิกรรมให้ลูกจ้ะ”
เฟื่องกราบลาแม่ที่ตักอีกครั้ง...พระเชตะวันที่นั่งอยู่ด้านหน้ากับหลวงปู่และกลุ่มเนตรอัปสรที่นั่งอยู่ด้านหลังมองซึ้งในความรักความผูกพันของแม่กับลูก เฟื่องหันมาบอกกับเนตรอัปสรและทุกคน
“ขอบใจนะที่ทำให้ฉันรู้จักรักแท้ที่ทำให้ใจเป็นสุข อโหสิกรรมให้กับฉันด้วย นะนวล”
เนตรอัปสรยิ้มให้เฟื่อง
“ฉันอโหสิกรรมให้คุณค่ะ ถ้าเรารู้จักที่จะรักความรักจะอยู่กับเราไปตลอดฉันเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นค่ะ”
เฟื่องยิ้มในน้ำใจของเธอ เฟืองหันมองปารมีกับหมอก้อง
“อโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะ”
ปารมียิ้มให้
“ฉันอโหสิกรรมให้ค่ะ”
หมอก้องยิ้ม
“ผมอโหสิกรรมให้ครับ”
“ขอบใจในน้ำใจของทุกคนที่มีต่อฉันนะ”
เฟื่องหันมาทางพระเชตะวัน
“ฉันไม่ติดค้างใครๆอีกแล้ว...ฉันพร้อมแล้ว”
เฟื่องแววตาแน่วแน่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข

กองไฟลุกโชติช่วงขึ้น เฟื่องพนมมือสงบนิ่งฟังคำสวดของพระเชตะวันและ
หลวงปู่อย่างมีสมาธิ
พระเชตะวันและหลวงปู่ถือสายสิญจน์ ทุกคนนั่งพนมมือไหว้ตั้งจิตอธิฐานสวดส่งวิญญาณ เฟื่องลืมตามองทุกคนเพื่อจดจำ ทุกคนมองที่เฟื่องยิ้มให้
 
ร่างเฟื่องค่อยๆสลายลอยขึ้นไปรวมกับควันที่เผากระดูกลอยสูงขึ้นฟ้าไปในที่สุด

เนตรอัปสรมองส่งจนควันลับตา

“ไปสู่สุขคตินะคะคุณเฟื่อง”
เนตรอัปสรมองส่งด้วยรอยยิ้ม สรวง ปารมี หมอก้องมองเห็นเนตรอัปสรยิ้มก็แอบยิ้มดีใจที่หมดเคราะห์กรรมสักที พระเชตะวันลืมตามองที่เถ้ากระดูกที่มอดไหม้จนหมดยิ้มนิดๆดีใจที่ผลบุญที่ทำส่งให้วิญญาณเฟื่องได้ไปผุดไปเกิดเสียที พระเชตะวันยิ้มกับหลวงปู่

ทุกคนก้มกราบ หลวงปู่กับพระเชตะวัน หลวงปู่เก็บของใส่ย่าม คุณสรวงถาม
“หลวงปู่จะออกธุดงธ์เลยเหรอคะ”
“หมดกิจของสงฆ์แล้วล่ะโยม”
เนตรอัปสรมองที่พระเชตะวันแอบใจไม่ดี ปารมีมองเห็นเพื่อนรู้สึกได้จึงเอ่ยปากถามแทน
“เอ่อ...แล้วพระเชตจะไปธุดงธ์ด้วยหรือเปล่าคะ”
พระเชตะวันมองเนตรอัปสรก่อนจะหันมาตอบปารมี
“หลังจากจัดการเรื่องศพพ่ออาตมาเสร็จสิ้น”
เนตรอัปสรอึ้งในใจหวิวๆ พยายามเข้มแข็งเพราะรู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเชตะวันเป็นแรงบุญครั้งยิ่งใหญ่ พระเชตะวันมองหน้าเนตรอัปสร
“อาตมาตัดสินใจจะออกธุดงธ์ เพื่อไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่ไม่มีกำหนด หวังว่าโยมคงเข้าใจอาตมานะ บุญกุศลในครั้งนี้อาตมาขออุทิศให้กับพ่อที่เพิ่งเสียและทุกคนที่ได้ทำกรรมร่วมกันมาให้พบเจอแต่ความสุขสมหวังในชีวิต”
ทุกคนยกมือ สาธุ เนตรอัปสรยิ้มด้วยใจที่เปี่ยมสุขพูดกับพระเชตะวัน
“การบวชด้วยใจเป็นกุศลบุญอันยิ่งใหญ่ เนตรยินดีและขอร่วมอนุโมทนาบุญกับพระเชตด้วยค่ะ”
“ขอบใจมากโยม”
พระเชตะวันยิ้มให้เนตรอัปสรด้วยความซึ้งใจที่เธอเข้าใจในสิ่งที่ทำ หลวงปู่ตัดบท
“งั้นอาตมาขอลาโยมทั้งหลาย ณ ตรงนี้เลยแล้วกัน ถ้ามีโอกาสคงจะได้พบเจอกับโยมทุกคนอีกนะ”
ทั้งหมดก้มลงกราบ หลวงปู่เดินผ่านไป พระเชตะวันมองเนตรอัปสรสงบนิ่งและเดินตามออกไป เนตรอัปสรยังก้มกราบอยู่เงยหน้าขึ้นมาน้ำตาไหลมองดูด้านหลังพระเชตะวันที่เดินออกไป

เนตรอัปสรเดินมาที่เดิมที่ทำพิธีเผากระดูกเฟื่อง เธอลงนั่งโปรยกลีบดอกไม้ลงที่กองเถ้าถ่านที่มอดแล้ว เนตรอัปสรมองดูบริเวณดอกไม้ที่โปรยลงแล้วยิ้ม
“ขอให้คุณมีความสุขนะคะคุณเฟื่อง”
ปารมีและหมอก้องยืนมองดูอยู่ ปารมีหันมองหมอก้องแล้วถาม
“ถ้าหมอจะเข้าไปหานะโมตอนนี้ ก็ยังไม่สายเกินไปนะคะ”
หมอก้องแกล้งพูดนิ่งๆ
“มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะเข้าไปหานะโมหรอก”
ปารมีอึ้งเมื่อได้ยินที่เขาตอบ แอบทำใจเลิกคิดเลิกหวังตัดใจพูดไป
“นะโมอาจจะต้องการกำลังใจจากใครสักคนอยู่นะคะ”
หมอก้องมองดูเนตรอัปสร ก่อนจะหันมามองปารมีอย่างจริงจัง
“ใครสักคนของนะโมไม่ใช่ผมหรอก”
หมอก้องจับมือปารมีขึ้นมา
“แต่ใครสักคนของผมคือคุณนะปาน...”
ปารมีอึ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ หมอก้องดึงมือเธอขึ้นมาจูบที่มือ ปารมีเขินบิดตัวหนี
“หมออ่ะ...อย่าล้อปานเล่นแบบนี้สิคะ”
ปารมีงอนและเขินหันหลังให้ หมอก้องกอดจากด้านหลัง
“ขอโอกาสให้ผม และรักหมอก้องคนนี้เหมือนเดิมนะครับ”
ปารมีเขินอาย มองหมอก้องแล้วบอกอายๆ
“ค่ะ...”
หมอก้องกอดปารมีสองคนเข้าใจกัน...
 
เนตรอัปสรนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่รายล้อมรอบตัวบรรยากาศเหงาๆสวยงาม

5 ปีต่อมา...
 
เนตรอัปสรทำงานเป็นพยาบาลอาสาคอยดูแลผู้ป่วยอยู่ ได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกัน
“เขาบริจาค 5 ล้านเลยเหรอ”
“ใช่ คนอะไรใจบุญจังเลย บริจาคเงินขนาดนี้นะแต่พอบริจาคเสร็จก็รีบไปเลย ต่อไปพวกผู้ป่วยของเราก็จะได้มีห้องคนไข้ อุปกรณ์การแพทย์ครบครันซะทีเนอะ”
เนตรอัปสรหันไปถาม
“เขาเป็นใครเหรอคะ ใจบุญดีจัง”
“เขาเขียนไว้ ชื่อ...ชื่ออะไรนะ อ๋อ ชื่อชุน นี่ไงคะน้องเนตรลองดูละกัน”
เจ้าหน้าที่หยิบใบบริจาคให้ดู เนตรอัปสรรับใบบริจาคมาดู นึกถึงชื่อ "ชุน"
“เขาออกไปนานรึยังคะ”
“ออกไปสักพักนี้เองจ๊ะ”
เนตรอัปสรรู้สึกตะลึงกับชื่อนี้มาก เธอรู้สึกว่าน่าจะเป็นใครบางคน...เนตรรีบออกไปเพื่ออยากไปเห็นใครคนนั้นทันที

เนตรอัปสรพยายามวิ่งตามหาคนๆนั้น มองหาไปรอบทิศ ก็มองไม่เห็นใคร เธอพยายามจนเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อดูดีจากด้านหลังไกลๆ เธอจึงวิ่งเข้าไปหา...เนตรอัปสรวิ่งเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้น แล้วรีบตะโกน
“คุณคะ คุณ”
เชตะวันหยุดเดิน
“คุณคือคนที่บริจาคใช่ไหมคะ ฉันขอโทษนะคะที่รบกวนเวลาคุณ คือคุณชื่อเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จักคะ”
เชตะวันที่ยืนหันหลังนิ่งๆค่อยๆหันมา เนตรอัปสรตกใจเพราะคนๆนั้นคือเชตะวันนั่นเอง
“ชื่อเหมือนคนที่คุณรู้จักเหรอครับ”
เนตรอัปสรมองหน้าเขาน้ำตาคลออย่างดีใจ
“ใช่คะ...เขาเป็นคนที่ฉันรักทั้งในอดีตและปัจจุบัน และตอนนี้เขากลับมาแล้ว”
เนตรอัปสรน้ำตาไหลร่วงพลูวิ่งเข้าไปหาเขา
“คุณเชต...คุณจริงๆด้วย”
ทั้งสองโผเข้ากอดกัน
“ผมตามหาคุณจนรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่”

เย็นนั้น...เชตะวันถือโกฐและเนตรอัปสรถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาที่หน้าผาสูงตระหง่าน ทั้งสองก้าวมายืนที่หน้าผา สองคนมองลงไปที่เบื้องล่างเห็นบรรยากาศเงียบสงบมีลมเย็นพัดไหว เชตะวันมองตรงไปยังเบื้องหน้าแล้วเปิดโกฐออกโปรยเถ้ากระดูกลงที่หน้าผาแห่งนั้น เนตรอัปสรมองด้วยรอยยิ้ม เชตะวันโปรยเถ้ากระดูกจนหมดสิ้น มองที่เบื้องหน้าแล้วยิ้มเสมือนคุยกับเฟื่อง
“ผมมาส่งคุณแล้วนะครับเฟื่อง”
เสียงสายลมวีดหวิว
“ลาก่อนค่ะ...ฉันจะดูแลชุนของคุณให้ดีที่สุดค่ะ”
เนตรอัปสรโยนช่อดอกไม้ลงที่หน้าผาแห่งนั้น เชตะวันและเนตรอัปสรมองหน้ากันที่ส่งวิญญาณเฟื่องเป็นที่เรียบร้อย เขามองไปข้างหน้าแล้วพูด
“คำสัญญาไม่ได้ช่วยให้ความรักมั่นคงและยืนยาว แต่มันจะทำให้เจ็บหนักกว่าเก่า ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่รักษามัน มันจะกลายเป็นความเจ็บอย่างที่สุด...ของอีกคน”
เนตรหันไปจับมือเขา
“ความรักของเราจะไม่มีคำสัญญาหรือสาบาน จะมีเพียงวันและเวลาที่จะยืนยันว่าเราจะก้าวไปด้วยกัน”
เชตะวันยิ้มและโอบกอดเนตรอัปสรยืนเคียงข้าง สองคนโอบกอดกันบรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก

จบบริบูรณ์ ...............................
กำลังโหลดความคิดเห็น