ดาวเรือง ตอนที่ 10
ไพศาลยืนอยู่หน้าโต๊ะประชุมโดยอ่านเอกสารสำคัญที่อยู่ในมือไปด้วย
“ผมขอประกาศให้นายผัน ขยันสอย ดำรงตำแหน่งเป็นกำนันคนใหม่ของตำบลดอนพัฒนาตามความเห็นชอบของทุกท่านตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”
ปลัด เจ้าหน้าที่ และผู้ใหญ่บ้านทุกคนลุกขึ้นยืนปรบมือเกรียวกราว ผันยิ้มปากฉีกจนถึงหู เขาลุกขึ้นยืนด้วยมาดเข้มก่อนจะเดินไปไหว้รับเอกสารที่ส่งมอบจากนายอำเภอ
“ผมขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่กำนันด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต คิดชอบทำชอบ จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก เอ๊ย เป็นรอง แต่ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ผมจะไม่คอรัปชั่นทั้งใต้โต๊ะและบนโต๊ะ ขอขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจ”
จินตวัฒน์ที่ยืนข้างหลวงตาคงกระซิบกับหลวงตาคง
“ดาวเรืองเล่นผู้ใหญ่ผันซะจนมุมเลยนะครับ”
หลวงตาคงยิ้มกริ่ม “หนังม้วนนี้เพิ่งเริ่มฉาย ต้องรอดูกันต่อไป ว่าคนผันไปเรื่อยอย่างไอ้ผันมันจะทำยังไงกับอำนาจที่อยู่ในมือตอนนี้”
ผันเดินผึ่งผายไปจับมือกับทุกคนตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวจนถึงจินตวัฒน์และหลวงตาคง
จินตวัฒน์พูด “ยินดีด้วยครับกำนัน”
“ขอบคุณครับปลัด มีอะไรจะเรียกใช้ บอกได้ทุกเมื่อนะครับ”
จากนั้นก็ถึงคิวที่ผันต้องจับมือกับหลวงตาคง ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะจับมือกันแน่น
ผันพูดเบาๆ “ขอบใจนะ”
หลวงตาคงพูดเบาๆ “อย่าผิดคำสาบานล่ะ”
ผันกับหลวงตาคงตบบ่าตบไหล่กันตามประสาเพื่อนเก่า จินตวัฒน์ยิ้มนิดๆ เมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้ศึกครั้งนี้จบลงด้วยดี
แหลมกับกรอดจับมือกันทำเป็นเสลี่ยงเพื่อโยนกำนันผันขึ้นกลางอากาศไปมา สุวรรณนำกองเชียร์ชุดเดิมโห่ฮิ้วและดิ้นอย่างเมามัน โดยมีแตรวงชุดเล็กบรรเลงเพลงจังหวะคึกคักเร้าใจ เวียง ไสว บุญปลีก บุญปลอดและเมียๆ ถือป้ายแสดงความยินดีต้อนรับกำนันคนใหม่โดยยืนเรียงหน้ากระดานตามลำดับเบอร์ เสมอใจถือพานวางพวงมาลัยดอกดาวเรืองขนาดใหญ่เหมือนที่ใช้คล้องให้สส.
สุวรรณนำโห่ “โห่ ฮิ โห่ ฮิ โห่ ฮิ โห้”
ทุกคนขานรับ “ฮิ้วว”
“เจ้าข้าเอ๊ย พ่อข้าได้เป็นกำนันแล้วเว้ย”
เวียงกับบรรดาเมียๆ ตะโกนลั่น “ผัวฉันได้เป็นกำนันแล้วจ้า”
ทุกคนขานรับ “ฮิ้วว”
“ขอให้กำนันผันเจริญขึ้นไปอีก 7 ชั่วโคตร” สุวรรณอวยพร
“และเจริญลงไปอีก 14 ชั่วโคตร” กรอดบอก
ทุกคนตกใจ “เฮ้ย!!”
“ขอให้ตระกูลขยันสอยเจริญฮวบๆขึ้นไป” สุวรรณอวยพร
ทุกคนพูดตาม “ขอให้เจริญฮวบๆขึ้นไป...เย้ๆๆ”
เวียงปลื้มใจ “มีลูกดี ผัวดี ยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีก”
“ตระกูลนี้ไม่มีกุด มีแต่เกิด” ไสวว่า
“เมื่อไหร่จะได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นขยันสอยนะ” เสมอใจเขิน
ทุกคนดีใจเพราะตื้นตันและอิ่มเอมกับความสำเร็จของกำนันผันกันถ้วนหน้า ดาวเรืองขยับเข้ามากระแทกหัวไหล่สุวรรณก่อนจะเอียงหน้ากระซิบกระซาบ
“ดีใจเสร็จยังไอ้วรรณ จะได้ทำงานสักที!”
ดาวเรืองสุมหัวกับจินตวัฒน์และสุวรรณที่โต๊ะทำงาน
“วันสองวันนี้ มันจะขนคนมาเพิ่มอีกหลายสิบ ไอ้เสี่ยกำพลมันไม่อยู่ เหลือแต่ลูกน้องคนสนิท จะทำอะไรก็รีบทำเข้า ก่อนที่ป่าพะยูงจะเหลือแต่ตอ” ดาวเรืองว่า
“ตัดไม้ในป่าสงวน ก็เท่ากับปล้นสมบัติชาติ ไม่ต้องรออะไรแล้ว วันนี้เราบุกเลย” จินตวัฒน์บอก
สุวรรณอึ้ง “นี่เสี่ยกำพลเป็นตัวการตัดไม้เหรอ”
“ก็เออสิ...คนในเขารู้กันทั้งนั้น มีแต่เอ็งกับพ่อกำนันของเอ็งนั่นแหละงมโข่ง” ดาวเรืองว่า
“หือ!!! ข้าว่าข้าเลวแล้วนะ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเอาสมบัติชาติมาขายกินแบบนี้ นึกว่าเป็นพ่อพระ ที่แท้มันโจรปล้นชาติชัดๆ” สุวรรณบอก
“แต่เรายังพูดเรื่องนี้ไม่ได้นะ เรายังไม่มีหลักฐาน ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ รอให้เราได้หลักฐานมัดตัวเสี่ยเมื่อไหร่ ทีนี้ล่ะ คนทั้งประเทศได้รู้กันแน่ว่าเสี่ยกำพลมันเลวยังไง”
ดาวเรืองล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วคลี่ออกมาทำให้เห็นว่าเป็นแผนที่ป่าคร่าวๆที่เธอเขียนขึ้นเอง
“ไอ้วรรณ เอ็งพาคุณปลัดเข้าป่าไปทางทิศเหนือด้านนี้ ไปตามเส้นทางที่เอ็งเคยล่าหมูป่า แล้วลัดผ่านเนินที่เอ็งเคยปลูกกัญชา”
จินตวัฒน์แปลกใจ “นายวรรณเคยปลูกกัญชาด้วยเหรอ”
“เอ่อ...ตอนนั้นฉันก็คึกตามประสาวัยรุ่น แต่ตอนนี้โตแล้ว”
จินตวัฒน์พูดต่อให้ “เลยรู้ว่าไม่ดี”
“เปล่า ไอ้เรืองมันเผา เลยขี้เกียจปลูกใหม่” สุวรรณตอบ
“นั่นแหละ พอถึงตรงนั้น ให้เดินเฉียงไปทางตะวันออก ข้ามเขานมหนูไป หลังจากนั้นเสียงเลื่อยจะนำทางเอ็งไปเอง...ข้าไว้ใจเอ็งได้ใช่มั้ย”
“ปัดโถ่เอ้ย ไม่ไว้ใจข้าแล้วจะไว้ใจหมาที่ไหน เรื่องขี้ปะติ๋ว ให้หลับตาเดินยังได้ ว่าแต่ปลัดเฮอะ ต้องเชื่อฟัง ต้องอยู่ในโอวาทฉัน ทำได้ปะ” สุวรรณถาม
จินตวัฒน์ยิ้ม “ในป่า ฉันยกให้นายเป็นหัวหน้า”
สุวรรณลำพอง “ดี”
“ถ้างั้นเอ็งกลับไปเตรียมตัวให้พร้อม เจอกันบ่ายสามที่ร้านข้า คุณปลัดจะมารอเอ็งที่นั่น”
สุวรรณฮึกเหิม “ได้”
“เราจะร่วมมือกันถอนรากถอนโคนพวกคนชั่วด้วยกัน” จินตวัฒน์ปลุกใจ
ดาวเรือง จินตวัฒน์ และสุวรรณ
พยักหน้าแล้วยื่นมือออกไปจับรวมพลังกัน ด้วยความรู้สึกพร้อมลุยเต็มที่
พฤกษ์เข้ามาในร้านเสื้อแล้วมองหาสุดาวดี เขาเห็นสุดาวดียังสวมชุดลำลอง โดยมีช่างหน้าช่างทำผมกับช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้าทำผมให้ที่หน้ากระจก เจ้าของห้องเสื้อชื่อโตหันมามองพฤกษ์แล้วก็น้ำลายสอจึงบุ้ยใบ้กับช่างแต่งหน้าช่างทำผม
“เจ๊เห็นก่อนนะ...นังโต้ง นังหมี หล่อนห้ามแจ๋” โตพุ่งไปหาพฤกษ์ “หาสูทเหรอคะน้อง”
พฤกษ์อ้ำอึ้ง “เอ่อ...”
สุดาวดีหันมาเห็นก็ยิ้มดีใจ “พฤกษ์”
สามกะเทยหน้าหุบเหมือนดอกไม้เหี่ยว ทั้งสามต่างสะบัดบ๊อบใส่สุดาวดีพร้อมกัน
โตบ่น “กรูว่าแล้ว...หล่อๆยังงี้ จะเหลือมาเป็นลาภปากกะเทยเหรอ”
“ผมเสร็จงานเร็ว เลยมารอคุณที่นี่เลย” พฤกษ์บอก
“แล้ว...ไหนล่ะชุด” สุดาวดีถาม
“ชุดอะไร” พฤกษ์ถามแล้วก็นึกออก “อ๋อ...นี่คุณ ผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมานะ จะให้ผมแบกสูทมาด้วยงั้นเหรอ คุณเป็นพรีเซนเตอร์ ใครๆก็ต้องสนใจคุณอยู่แล้ว ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าผมเป็นใคร”
“แต่ฉันสนใจ...นายเป็นผู้จัดการฉัน จะใส่ชุดนี้ออกงานได้ยังไง” สุดาวดีพูดกับโต “พี่โตคะ พฤกษ์เขาต้องไปงานกับโรส พี่โตช่วยจัดการเปลี่ยนลุ้คให้หน่อยได้มั้ยคะ”
สามกระเทยรับปากพร้อมเพรียงกัน “ได้ค่า!”
โตกับลูกน้องตรงเข้ามาล็อคแขนพฤกษ์แล้วเอาหน้าแนบต้นแขนก่อนจะพาชายหนุ่มหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อ
เสียงพฤกษ์ดังออกมาจากห้องแต่งตัว
“เฮ้ย!!!...ไม่ต้อง ผมถอดเองได้...เฮ้ย!!!...อย่าครับ...ไม่งั้นผมถีบจริงๆนะ”
โต้งกับหมีเดินคอตกออกจากห้องลองเสื้อด้วยท่าทางงอนๆ
“ถอดเสร็จแล้วก็เรียกล่ะ จะเอาชุดเข้าไปให้ลอง” โตบอก
สุดาวดีมองกระเทยทั้งสามแล้วก็ขำ
หน้าบ้านของผันมีป้ายติดเอาไว้ว่า “ที่ทำการกำนันตำบลดอนพัฒนา” สุวรรณสะพายเป้สนามใบใหญ่เดินมา แหลมกับกรอดผวาเข้ามากอดขาสุวรรณคนละข้างแล้วร้องไห้คร่ำครวญปริ่มจะขาดใจ
“พี่วรรณอย่าไป”
“อย่าทิ้งเราไปนะพี่ ชีวิตของเราไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากพี่” แหลมบอก
“ถ้าพี่ตาย เราจะอยู่กับใคร ใครจะให้ข้าวให้น้ำเรา” กรอดร้องไห้ฮือๆ
สุวรรณรำคาญ “ข้าจะไปทำงานเพื่อชาติ ไม่ได้ไปตายโว้ย!”
“แต่ในนั้นมันอันตราย พี่อาจถูกช้างกระทืบตับแตก ถูกเสือกระซวกไส้ ถูกงูฉกตาย หรือไม่ก็ถูก..”
สุวรรณรีบเบรก “พอๆ คนอย่างข้าไม่ตายง่ายๆหรอกโว้ย ถ้าข้าตาย ไอ้เรืองมันจะแต่งงานกับใคร ข้าไม่ปล่อยให้มันอยู่เป็นโสดไปจนตายหรอกเว้ย”
“ถ้างั้น เอาฉันสองคนไปด้วย” แหลมบอก
กรอดเห็นด้วย “ใช่ สามหัวดีกว่าหัวเดียวนะพี่”
“เอาไปเป็นภาระให้ข้าตายเร็วขึ้นน่ะสิ อยู่นี่แหละดีแล้ว จะได้ดูแลพ่อแม่แทนข้า” สุวรรณกำหมัดอย่างมุ่งมั่น “ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปปกป้องแผ่นดินแล้ว...เอ้า!!!...ปล่อยสักทีเดี๋ยวพ่อยันโครม!”
ทั้งสองคนจำต้องปล่อยขาสุวรรณไปด้วยความสะเทือนใจโดยที่ทั้งสองยังคงร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด สุวรรณหยิบปืนขึ้นมาเช็คดูลูกปืนในรังเพลิงด้วยมาดเท่
พฤกษ์ก้าวออกจากประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดสูทที่หล่อสมาร์ท
ทุกคนพูดชมเป็นเสียงเดียวกัน “หล่อม๊าก”
สุดาวดีทึ่งในความหล่อและดูดีของพฤกษ์ ขณะที่พฤกษ์เขินและทำตัวไม่ถูก เมื่ออยู่ในชุดสูทสุดหรูต่อหน้าสาวสวยและสาวเทียมที่เอาแต่มองเขาตาไม่กะพริบ
สุดาวดีชิงพูด “แบบนี้ค่อยสมกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวของโรส สุดาวดีหน่อย”
โตระทวย “เห็นแล้วอยากเสียสาว”
ช่างทำผมตาหวานเยิ้ม “อยากด้วย”
ช่างแต่งหน้าก็ระทวย “ใจละลายเลยอ่าา”
พฤกษ์ทำท่าเด๋อๆด๋าๆ เพราะทั้งเขินทั้งอาย สุดาวดีแอบขำ
ประตูห้องนอนของสุวรรณเปิดกว้าง สุวรรณก้าวออกมาอย่างสง่างามราวกับนักรบ ตามด้วยลูกน้องทั้งสองนายนั่นคือแหลมกับกรอดที่ยังคงฟูมฟาย สะอึกสะอื้นไม่เลิก เสมอใจเดินกระสับกระส่ายไปมา บริเวณเส้นแบ่งเขตที่พื้นมีถุงใส่ของใบใหญ่และใบเล็กวางอยู่ พอเห็นสุวรรณเธอก็ยิ้มดีใจ สุวรรณทำแอ๊ค ในขณะที่เดินมาถึงเส้นแบ่งเขต เขาจะเดินผ่านไป เสมอใจได้จังหวะจึงสวมสร้อยพระให้สุวรรณทันที
สุวรรณชะงัก “อะไรของเอ็งวะนังเหมอ”
“หลวงปู่ทวด แม่ให้ข้าไว้ก่อนตาย เอ็งเอาติดตัวไปด้วยนะ ท่านจะคุ้มครองเอ็งให้รอดพ้นจากอันตรายทุกอย่าง ส่วนนี่...” เสมอใจก้มลงหยิบกระปุกพลาสติกขึ้นมาจากถุงแล้วหยิบโชว์ทีละอย่าง “น้ำพริกนรกตาแดง ข้าตำเสร็จสดๆร้อนๆ แล้วก็ข้าวเหนียว ข้าวใหม่นุ๊มนุ่ม ส่วนนี่ก็ปลาช่อนแดดเดียวจากแม่ลา ข้าไปซื้อเจ้าประจำเอามาทอด ห๊อมหอม แล้วนี่ก็เนื้อย่าง เนื้อโคขุนอย่างดี แล้วก็มีไข่ต้มอีก 10 ฟองเอาไว้กินเล่นนะ”
เสมอใจอธิบายเสร็จก็ยื่นทั้งถุงให้สุวรรณ
สุวรรณถลึงตา “เอ็งรู้ได้ยังไง ว่าข้าจะไปไหน...ไปทำอะไร ข้าไม่ได้บอกใคร นอกจากไอ้ 2 ตัวนี่”
เสมอใจยิ้มแหยๆ “ก็แอบฟังตอนเอ็งเล่าให้ไอ้ 2 ตัวนี่ฟังนั่นแหละ”
สุวรรณเคือง “เอ็งเดินล้ำเส้นมาในเขตข้าเหรอ”
“เปล่า ขาข้ายืนอยู่ตรงนี้ แค่ยื่นหูไปฟังเฉยๆ”
“ช่างมันเถอะพี่ มีอะไรไปกินกลางป่าดีกว่าอดตาย” แหลมว่า
“แต่...ถ้าพี่ไม่เอาจริงๆ พวกฉันเอาเองก็ได้” กรอดบอก
กรอดยื่นมือไปรับถุงจากเสมอใจ แต่ถูกสุวรรณกระชากไปถือเองแล้วจะเดินออกไป
เสมอใจเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”
เสมอใจหยิบห่อยาที่วางอยู่ที่พื้นยื่นให้
“เอ็งเอายาไปด้วยนะ มีทั้งว่านแก้พิษงู ยาแก้ไข้ป่า สมุนไพรห้ามเลือด แล้วก็...”
“ตกลงเอ็งเป็นห่วงหรือจะแช่งให้ข้าตายกันแน่ห๊า...นังเหมอ!” สุวรรณว่า
“อยากจะด่าอะไรก็ด่า ด่าเสร็จแล้วเอาไปด้วยก็แล้วกัน...ข้าจะรอเอ็งกลับมานะ”
“ข้ากลับมาแน่ เพราะข้าต้องกลับมาแต่งงานกับไอ้เรือง”
เสมอใจคอตก สุวรรณพูดต่อ
“ห้ามพวกเอ็งสามคนปากโป้งไปบอกใครเด็ดขาด ว่าข้าไปไหน ไปทำอะไร โดยเฉพาะพ่อแม่และพวกน้าๆ ไม่งั้น ข้าจะตัดขาดพวกเอ็ง...ไม่ต้องไปส่งเว้ย”
สุวรรณเดินวางกล้ามเป็นนักรบออกไป ทิ้งให้ทั้ง 3 คนข้างหลังมองตามอย่างโหยไห้
สุดาวดีเดินออกจากห้องเปลี่ยนชุดอย่างสง่างามราวกับเจ้าหญิง เธอสวมชุดราตรีเรียบหรูในสภาพหน้าผมเป๊ะ
สุดาวดีเอ่ยถาม “พี่โตล่ะ”
พฤกษ์ที่นั่งรออยู่ที่โซฟาเห็นความสวยเซ็กซี่หรูหรามีระดับของสุดาวดีก็แอบตะลึงจนตาค้าง
“ขึ้นไปดูลูกค้าลองชุดที่ห้องชั้นบนครับ” พฤกษ์ตอบ
“พี่โต้งกับพี่หมีล่ะ” สุดาวดีถามต่อ
“กลับไปแล้ว เมื่อกี้นี้เอง เห็นบอกว่ามีนัดแต่งหน้าทำผมกับอีกเจ้า” พฤกษ์บอก
สุดาวดีถามอีก “ลูกค้าพี่โตผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชาย”
สุดาวดีรู้สันดานโต “งั้น...อีกนาน” สุดาวดีหยิบตลับแป้งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้พฤกษ์ “นายช่วยเอาแป้งทาหลังให้ฉันหน่อยนะ”
สุดาวดีหันหลังให้พฤกษ์ พฤกษ์ถึงกับอึ้งเป็นครั้งที่สองเมื่อพบว่าชุดที่เรียบหรูด้านหน้าแอบเว้าโค้งเปิดเห็นแผ่นหลังขาวนวลของสุดาวดีจนเกือบถึงก้นที่สำคัญพฤกษ์มองไม่เห็นสายบรา พฤกษ์แอบคิดว่าสุดาวดีกำลังโนบราใช่มั้ย
สุดาวดีเห็นพฤกษ์นิ่งไปเลยหันกลับมามอง
พฤกษ์อึกอัก “เอ่อ...ให้ผมทาเหรอ”
“งั้นสิ จะเขินอะไร”
พฤกษ์เอาแป้งทาหลังให้สุดาวดีอย่างเงอะๆงะๆ เพราะทั้งเขินทั้งประหม่ายังกับโดนสุดาวดีจ้องหน้า ทั้งๆที่สุดาวดีกำลังหันหลังให้ สุดท้ายพฤกษ์ก็อดวาบหวามหวั่นไหวไม่ได้
สุดาวดีรู้สึกว่าพฤกษ์หยุดทาเลยถาม “เสร็จแล้วเหรอ”
พฤกษ์ได้สติ “ครับ...เสร็จแล้ว”
สุดาวดีหันกลับมาเก็บตลับแป้งแล้วยิ้มแฉ่ง
พฤกษ์ยิ้มให้สุดาวดีแล้วเผลอหลุดปาก “วันนี้คุณ...สวยมาก”
สุดาวดีเชิด “นายก็เท่มากเหมือนกัน...เราเหมาะกันเนอะ 555”
พฤกษ์อึ้ง “เหมาะ?”
สุดาวดีหยุดหัวเราะเพราะนึกขึ้นได้ “คือ ฉันหมายถึง เหมาะที่จะเป็นเจ้านายกับคนขับรถ เอ๊ย ซุป’ตาร์กับผู้จัดการไง...ทำหน้ายังกับฉันบังคับให้แต่งงานด้วย...รู้หรอกน่า ต่อให้ฉันแก้ผ้านายก็ไม่เปลี่ยนใจ”
สุดาวดีหัวเราะแล้วหันไปจัดผมเผ้า บิดซ้ายบิดขวา ทำท่าเซ็กซี่ใส่กระจกอย่างสบายใจ เพราะคิดว่าพฤกษ์ไม่สนใจ พฤกษ์กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเธอเข้าใจเขาผิด แต่พอเห็นสุดาวดีโพสท่าเซ็กซี่ใส่กระจกก็พูดไม่ออกจึงกลายเป็นมองเพลินไปซะอย่างนั้น
สุวรรณล้วงหยิบของออกจากเป้สนามมาสาธยายทีละอย่าง
“กริชเล่มนี้ ทำจากเหล็กไหล เป็นของตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนนี่สนับมือเหล็กรมควันของเก่าจากสงครามเวียดนาม นี่มีดพกสั้น ให้หลงตาลงอักขระขอมมาเรียบร้อย ส่วนปืนสั้นกระบอกนี้ ปู่ข้าเคยใช้ล่าตี๋ใหญ่มาแล้ว แล้วนี่ก็ลูกดอกอาบยาพิษ ลูกกระสุนมีเพียบ พร้อมไฟฉายคาดหัว”
“เหลือแต่รถถังก็ออกรบได้แล้ว ปลัดล่ะ” ดาวเรืองถาม
“ฉันมีปืนหนึ่งกระบอกกับมีนายวรรณอีกคนก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” จินตวัฒน์บอก
สุวรรณเบ่งกล้ามแล้วยืดอก “พูดดีนะปลัด ฟังแล้วรื่นหู”
ดาวเรืองจริงจัง “ระวังตัวให้ดีนะ...ทั้งสองคน”
สุวรรณยิ้มปลื้ม “จ้ะเรือง ยังไงข้าก็จะกลับมาแต่งงานกับเอ็ง”
“ไปเถอะนายวรรณ ได้เวลาแล้ว” จินตวัฒน์บอก
จินตวัฒน์ส่งสายตาให้ดาวเรืองมั่นใจในตัวเขาก่อนจะเดินไป สุวรรณโบกมือลาดาวเรือง
สุวรรณอาลัยสุดๆ “คิดถึงข้าด้วยนะ ส่งแรงใจไปให้ด้วย ข้าทำงานนี้เพื่อเอ็งคนเดียว”จินตวัฒน์รู้สึกแปลกๆ เหมือนจะร้อนผ่าวไปกับคำพูดอาลัยอาวรณ์ของสุวรรณ เขารีบตัดความรู้สึกนั้นทิ้งแล้วรีบเดินออกไป ดาวเรืองชะเง้อมองตามหลังทั้งคู่ไปด้วยความห่วงปนกังวล
ที่งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าของบริษัทน้ำแร่ที่มีแต่ลูกค้าวีไอพีและเซเล็บดังๆ มาร่วมงาน สุดาวดียืนคุยฉอเลาะกับเอเจนซี่โดยมีพฤกษ์ยืนอยู่ข้างๆ พฤกษ์แอบกวาดตามองคนไปทั่วงาน
“มีลูกค้าต่างประเทศสนใจจะสั่งสินค้าไปวางขายในห้างดังๆด้วยนะคะ เขาจะบินมาคุยกับเราวันจันทร์นี้” เอเจนซีบอก
“ยินดีด้วยนะคะ” สุดาวดีกล่าว
“เซ็นสัญญาเสร็จก็จะจัดงานเลี้ยงกันนิดหน่อย พี่อยากให้โรสมาร่วมงานด้วย”
“ค่ะ”
“เชิญคุณพฤกษ์ด้วยนะคะ” เอเจนซีบอก
พฤกษ์ไม่คิดว่าตัวเองจะมีเอี่ยว “อ๋อ...ครับ...ผมจะพยายามมาให้ได้ครับ ขอบคุณนะครับที่เชิญ”
เอเจนซี่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร สักพักทีมงานก็เข้ามากระซิบ
“คุณเทรซี่ครับ คุณวิสุทธิ์ต้องการคุยด้วยครับ”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
เอเจนซีเดินออกไปกับทีมงาน
“ฉันว่าฉันจ้างนายเป็นผู้จัดการจริงๆเลยดีกว่า” สุดาวดีบอก
“ผมไม่ชอบทำงานแบบนี้”
“ทำไมล่ะ ฉันไม่กวนเวลาเรียนนายหรอก แถมได้สตางค์มากกว่าเทียวรับ-ส่งดอกไม้ตั้งเยอะ”
“ผมเรียนจบแล้ว และผมก็อยากกลับไปทำงานที่บ้านมากกว่าอยู่นี่ กรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ของผม”
สุดาวดีอึ้งเพราะคิดว่าพฤกษ์จะเล่นตัวอะไรนักหนา
รถของจินตวัฒน์ขับเข้าไปจอดซ่อนหลังพุ่มไม้รก จินตวัฒน์ก้าวลงจากรถ จ่าแม่น หมู่จ้อย และตำรวจ 3-4 นายซึ่งจอดรถซ่อนอยู่ใกล้ๆกันเดินพ้นแนวป่าเข้ามาหาจินตวัฒน์
จ่าแม่นตะเบ๊ะ “สวัสดีครับปลัด ผู้กำกับส่งพวกเรามาคุ้มครองปลัดครับ”
“ดีครับ ได้จ่าไปด้วย ผมก็อุ่นใจ” จินตวัฒน์บอก
จ่าแม่นลำพอง “งานเสี่ยงๆแบบนี้ ขาดผมไม่ได้หรอกครับ ว่าแต่” จ่าแม่นมองหา “ไหนครับ คนนำทาง ได้ข่าวว่าปลัดขอตัวมาจากหน่วยซีลเลยใช่มั้ยครับ”
หมู่จ้อยตื่นเต้น “ผมอยากเจอมากเลย คนเก่งระดับนี้ ไม่ใช่จะมีโอกาสร่วมงานได้ง่ายๆ”
“ไหนครับ เขาอยู่ไหน”
สุวรรณเปิดประตูก้าวลงจากรถด้วยมาดเท่ โดยที่ประตูรถยังเปิดอ้าอยู่เหมือนจะมีใครอีกคนเดินตามลงมา
จ่าแม่นมองผ่านสุวรรณไป “อ้าว ไอ้วรรณ ถอยไป อย่าบัง”
จินตวัฒน์ยิ้ม “คนนี้เขาเก่งมากจริงๆครับ ไม่ใช่จะขอตัวมาช่วยงานได้ง่ายๆ”
จ่าแม่นกับหมู่จ้อยตื่นเต้น “โห...สุดยอด”
จ่าแม่นรู้สึกขัดใจ “ไอ้วรรณ! เอ็งมายืนเกะกะแถวนี้ทำไมวะ!”
“ให้เกียรติกันหน่อยจ่า ฉันมาช่วยงานนะ” สุวรรณว่า
“เขาไม่ได้ไปแหย่ไข่มดแดง ยิงนกหรือรมควันเอารังผึ้งกันนะโว้ย เขาเข้าไปปราบเหล่าร้าย อย่างเอ็งกลับไปเตะหมา เตะแมว ขโมยไก่ ขายเป็ดแถวบ้านเถอะไป๊” จ่าแม่นไล่
“ถ้าฉันกลับ แล้วหมาตัวไหนจะเสี่ยงชีวิตนำทางพวกท่านเข้าป่ากันล่ะครับ”
“เรามีหัวหน้าทีมมาจากหน่วยซีล!” จ่าแม่นบอก
“ซึ่งก็คือนายวรรณ...ผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการ” จินตวัฒน์ผายมือไปทางสุวรรณ “นี่คือหัวหน้าทีมของเราในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ครับ”
ตำรวจทุกนายอ้าปากค้างพร้อมกัน
“แต่..เอ่อ..ไอ้วรรณมันไม่ใช่เจ้าหน้าที่นะครับปลัด” จ่าแม่นบอก
“พ่อแต่งตั้งฉันเป็นสารวัตรกำนันตั้งกะ ๒ วันก่อน จ่าไปมุดหัวอยู่ไหนถึงตกข่าว” สุวรรณว่า
“เรื่องนายวรรณนี่ผู้กำกับท่านทราบเรื่องแล้วครับ ท่านให้ปืนนายวรรณมาช่วยราชการด้วย เรารีบแกะรอยพวกนั้นกันดีกว่า อย่าเถียงกันเลยครับ” จินตวัฒน์บอก
“นั่นดิ ให้มันรู้ซะบ้างว่า ไผเป็นไผ เอ้า! แถวตรง! จั๊ดแถว!”
ทุกคนรีบยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่ง สุวรรณหยิบกระปุกสีพรางหน้า camouflage ในเป้ออกมาทาหน้าพรางตัวให้กับจ่าแม่นซึ่งอยู่หัวแถวเป็นคนแรก
ดาวเรืองนั่งยุกยิกเหมือนมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ หลวงตาคงเหล่มองดาวเรืองก่อนก้มจดแผนงานลงสมุดอย่างใจเย็น
“ข้าจะขุดบ่อน้ำสาธารณะให้คนทั้งหมู่บ้านใช้”
ดาวเรืองตอบนิ่งๆ “ดีจ้ะ”
“จะทำโรงผลิตปุ๋ยชีวภาพเล็กๆ แบบที่คุณปลัดเคยสอน ชาวบ้านมันจะได้เลิกใช้ปุ๋ยเคมีสักที เป็นไง ความคิดข้า”
ดาวเรืองมีท่าทางห่วงหน้าพะวงหลัง “ดีจ้ะ...”
หลวงตาคงหรี่ตาด้วยควมสงสัย “เอ็งเป็นอะไรไอ้เรือง ผุดลุกผุดนั่ง”
ดาวเรืองเผลอตอบ “ดีจ้ะ...เอ๊ย...หลงตาว่าอะไรนะ”
“เอ็งกลุ้มใจอะไร”
ดาวเรืองปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า ไม่ได้กลุ้ม...โอ๊ยยย...สบายใจ...สบายใจม๊าก”
“แล้วเอ็งมาหาข้าทำไม มาถามว่าข้าจะทำอะไร ตะกรุดขายดีมั้ย แค่เนี้ยนะ”
ดาวเรืองถอนใจเฮือก “คือ...จริงๆ...ฉันก็ไม่ค่อยจะเชื่อนักหรอกนะ ไอ้เรื่องหมอดงหมอเดาอะไรเนี่ย”
“อย่าอ้อมไอ้เรือง เอาแบบตรงๆ”
“คือ...ฉันอยากรู้ว่าเข้าป่าคราวนี้ ปลัดกับไอ้วรรณจะรอดมั้ย”
“เอ็งอยากรู้เรื่องใคร”
“ทั้งคู่”
“ไอ้วรรณน่ะเพื่อนเก่า รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะกัดกัน ถีบกันบ้าง แต่ก็คนบ้านเดียวกัน เอ็งเป็นห่วงมัน ข้าเข้าใจ แต่คุณปลัดนี่สิ เพิ่งมาอยู่นี่แค่ 6 เดือน ทำไมเอ็งต้องเป็นห่วงเขาด้วยล่ะ”
ดาวเรืองทำหน้าแทบไม่ถูก “แหม....ก็เขาทำดี ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ห่วงคนดีแล้วจะให้ไปห่วงหอยที่ไหน หลงตาล่ะก็...แก่แล้วสงสัยอะไรไม่เข้าเรื่อง”
หลวงตาคงหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ขณะที่ดาวเรืองทำไม่รู้ไม่ชี้
สุวรรณ จินตวัฒน์ จ่าแม่น หมู่จ้อยและตำรวจ 3-4 นายโผเข้ามาทีละคน โดยที่แต่ละคนหน้าดำเป็นปื้นจนเหลือแต่ลูกตาด้วยผงพรางตัว camouflage สุวรรณตั้งท่าระแวดระวังยิ่งกว่าหน่วยสวาทในขณะเดินนำจินตวัฒน์ จ่าแม่น และปิดท้ายด้วยหมู่จ้อยและตำรวจที่เหลือเข้ามาในแนวป่า สักพักสุวรรณก็ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดเดิน
จินตวัฒน์ชะงักกึก “มีอะไรนายวรรณ”
“ทางโน้น” สุวรรณชี้ไปที่เนินเตี้ยๆ
จ่าแม่นหน้าเครียดขึ้นมาทันที “ทำไมวะ ตรงนั้นมีอะไร”
สุวรรณพูดกับจินตวัฒน์ “ที่เนินนั่น”
ทุกคนยกปืนในมือเล็งไปที่เนินโดยพร้อมเพรียงกันเพราะคิดว่าศัตรูของชาติกำลังยกทัพโผล่ขึ้นเนินมา
สุวรรณพูดต่อ “ฉันเคยปลูกกัญชาที่นั่น”
ทุกคนด่า “ไอ้วรรณ! ไอ้เวร!”
“ข้าก็นึกว่าไอ้พวกนั้นมันบุกมา จะพูดอะไรก็หัดเกรงใจตำรวจมั่ง” จ่าแม่นว่า
สุวรรณร้องออกมา “เฮ้ย!”
ทุกคนชะงักตื่นตัวแล้วยกปืนเล็งขึ้นพร้อมกันอีก
จินตวัฒน์ถาม “อะไร”
“ปวดตด” สุวรรณบอก
ทันใดนั้นเสียงตดของสุวรรณก็ดัง “ป้าด” ขึ้นมา
ทุกคนด่าอีก “ไอ้วรรณ! ไอ้เวร!”
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดัง “ปัง” ขึ้นมา 1 นัด
“ตดป้าดไม่พอ เอ็งล่อตดปั้งอีกเหรอไอ้วรรณ” จ่าแม่นว่า
“ป๊าดน่ะตด แต่ปั้งนะปืน” สุวรรณบอก
ทุกคนชะงัก
“มาจากทางนั้น” จินตวัฒน์หันหน้าไปมอง
ทุกคนหันไปมองทางเดียวกับจินตวัฒน์
ศักดิ์เดินนำแรงงานต่างด้าวมาตามแนวป่า หนึ่งในนั้นถูกเพื่อนหิ้วปีกมาคนละข้างเพราะถูกยิงที่ขาปิดท้ายแถวด้วยมือปืนอีก 2 คน
ศักดิ์พูดภาษาเขมร “เอ้า!!! เดินเร็วๆสิเว้ย อย่าโอ้เอ้นะโว้ย เที่ยวนี้ข้าไม่ยิงแค่ขาลาก แต่ระเบิดกบาลพวกเอ็งแน่!”
พวกแรงงานเดินผ่านไป โดยที่จินตวัฒน์และทุกคนแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่
“แรงงานต่างด้าวนี่หว่า” สุวรรณว่า
“มันขนกันมาตัดไม้พะยูง” จินตวัฒน์บอก
“ชั่วจริงๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมายกันสักนิด” จ่าแม่นว่า
จินตวัฒน์ปราม “นิ่งไว้ก่อน เรามีงานใหญ่รออยู่”
จ่าแม่นเลือดร้อน “ปล่อยมันไม่ได้หรอกครับปลัด ถ้าปล่อย...มันก็เข้าป่าไปตัดไม้ให้เราตามจับอยู่ดี ผมจะจับมันเดี๋ยวนี้แหละ”
จินตวัฒน์จะดึงจ่าแม่นไว้แต่ดึงไม่ทันเพราะจ่าแม่นพุ่งทะยานออกไปพร้อมปืนในมือ ตามด้วยหมู่จ้อยและลูกน้องทั้งทีมก่อนที่ทั้งหมดจะเข้าซ่อนตัวหลังต้นไม้ที่ใกล้กลุ่มแรงงานต่างด้าวมากขึ้น
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดาวเรือง ตอนที่ 10 (ต่อ)
จ่าแม่นตะโกนขึงขัง “หยุด! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เราล้อมไว้หมดแล้ว!”
สุวรรณเซ็ง “ปัดโธ่!!! ยังงี้มันก็ไหวตัวทันสิวะ!!”
ศักดิ์หันมาเห็นตำรวจก็ตกใจจึงดึงปืนออกมายิงใส่แล้วรีบเผ่น ส่วนมือปืน 2 คนวิ่งออกไปอีกทาง
จินตวัฒน์กับสุวรรณเตรียมอาวุธปืนพร้อมจึงวิ่งออกจากที่ซ่อนตามศักดิ์ไป จ่าแม่นยิงปืนขู่แรงงานต่างด้าวเสียงดังปัง!
คนงานพากันตกใจจึงรีบหมอบตัวลงกับพื้น จ่าแม่นและกลุ่มตำรวจวิ่งเข้ามาที่กลุ่มแรงงานต่างด้าว
จ่าแม่นตะโกนสั่ง “sit down!”
พวกแรงงานต่างด้าวไม่เข้าใจภาษาจึงพากันลุกขึ้นยืน
“โธ่จ่า...ไปพูดภาษาอังกฤษมันจะรู้เรื่องเหรอ ต้องผมนี่” หมู่จ้อยสั่งเป็นภาษาเขมร “นั่งลง...หยุดอยู่กับที่...ยกมือขึ้น ประสานที่หัว”
“พวกเอ็งต้อนพวกนี้ไปที่รถ ข้าจะไปจัดการลูกพี่มัน” จ่าแม่นสั่ง
จ่าแม่นวิ่งออกไป หมู่จ้อยพูดภาษาเขมรใส่แรงงานต่างด้าวชนิดไฟแลบ
หลวงตาคงมีสีหน้ามั่นใจสุดๆ
“ตายชัวร์ ยังไงก็ตาย”
ดาวเรืองผงะ “จริงเหรอหลวงตา”
“ข้าจะโกหกเอ็งทำไม”
“คนเดียวหรือสองคน”
หลวงตาคงยกสองนิ้ว
“สองคนเลยเหรอ”
“ไม่ผิด” หลวงตาคงบอก
ดาวเรืองพึมพำ “ไม่จริง”
“แล้วแต่เอ็ง แต่ไม่พ้นวันนี้แน่ ข้ามั่นใจ ตายคู่ ฟันธง”
ดาวเรืองสะเทือนใจ “ไม่น่าเลย เป็นเพราะฉันคนเดียว ฉันไม่น่าให้พวกเขาไปเลย ไม่น่าเลย”
ดาวเรืองลุกพรวดแล้ววิ่งผลุนผันลงบันไดสำนักไป หลวงตาคงลุกขึ้นยืนแล้วชะเง้อมองตามหลังอย่างงงๆ “อะไรของมันวะ!”
จินตวัฒน์กับสุวรรณวิ่งไล่ตามศักดิ์มาอย่างกระชั้นชิด
สุวรรณตะโกน “หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย...ไอ้หอกหัก !!”
ศักดิ์ไปหลบหลังต้นไม้แล้วยิงใส่จินตวัฒน์กับสุวรรณ
จินตวัฒน์กับสุวรรณกระโดดหลบไปคนละทาง แล้วยิงสวนกลับไป
จินตวัฒน์บอกสุวรรณ “จับเป็นนะวรรณ!”
“รู้จักไอ้วรรณน้อยไปซะแล้ว”
สุวรรณกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นดินโดยเล็งเป้าไปที่ศักดิ์ซึ่งกำลังออกวิ่งแล้วยิงปัง สุวรรณไม่ได้ยิงศักดิ์แต่ยิงรังมดแดงให้หล่นใส่หัวศักดิ์ ศักดิ์โดนมดแดงกัดก็ร้องลั่นพร้อมกับปัดหัวปัดเนื้อตัวและวิ่งหนีลนลาน
สุวรรณหัวเราะลั่น “เป็นไงล่ะฝีมือ”
จินตวัฒน์หันไปเห็นอีกทาง “ระวัง!”
จินตวัฒน์เหนี่ยวไกยิงสกัดมือปืนคนหนึ่งที่เล็งปืนมาทางสุวรรณแบบนัดเดียวกระสุนพุ่งทะลุหัวใจ
มือปืนล้มลงชักก่อนขาดใจตาย สุวรรณหันขวับมามองจินตวัฒน์ที่ช่วยชีวิตเอาไว้แบบทั้งช็อกทั้งตกใจที่ผ่านวินาทีวิกฤตมาได้
จินตวัฒน์พูดทันที “ไป”
จินตวัฒน์วิ่งนำสุวรรณตามศักดิ์ไป
จ่าแม่นถือปืนไล่ยิงมือปืนอีกคนมาตามแนวป่าจนกระสุนหมด จ่าแม่นวิ่งหลบหลังต้นไม้ก่อนจะยัดกระสุนลงรังเพลิงใหม่ มือปืนโผล่มาทางด้านหลังก่อนจะเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไก ลูกกระสุนลอยมาช้าๆ เหมือนในหนังแมทริกซ์ จ่าแม่นกระโดดหลบลูกกระสุนอย่างเท่แต่ดันล้มหน้ากระแทกลงดินดังผลั่ก แล้วกลิ้งหลุนๆลงเนินอย่างเสียฟอร์ม มือปืนได้โอกาสที่จ่าแม่นเสียหลักกระหน่ำยิงมาอีกหลายนัด จ่าแม่นกลิ้งตัวหลบแล้วยิงสวนกลับ ก่อนจะคลานสี่ขาไปหลบอยู่หลังต้นไม้
ศักดิ์วิ่งหนีจินตวัฒน์กับสุวรรณที่ไล่บี้มาจนเห็นด้านหลังของจ่าแม่น
“เสร็จกู”
ศักดิ์เหนี่ยวไก จ่าแม่นหันมาเห็นศักดิ์ก็ตาค้างแข็งแล้วคิดในใจว่า “ตายแน่กู”
แต่แล้วข้อมือของศักดิ์ที่เหนี่ยวไกก็ถูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนของจินตวัฒน์เจาะเลือดพุ่งทำให้กระสุนจากปืนของศักดิ์เปลี่ยนทิศไปโดนต้นไม้แทน
จ่าแม่นดีใจ “คุณปลัด!”
“โอ๊ย” ศักดิ์เห็นว่าตัวเองเสียท่าก็รีบวิ่งกุมข้อมือหางจุกตูดหนีไป จ่าแม่นวิ่งออกมาจากที่ซ่อนเพราะคิดว่าปลอดภัยแล้ว สุวรรณกระโดดล็อคคอจ่าแม่นให้หมอบลงกับพื้นพร้อมกับยิงแสกหน้ามือปืนที่กำลังเล็งปืนมาที่จ่าแม่น มือปืนล้มฟุบและตายเป็นศพที่สอง จินตวัฒน์วิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าจ่าแม่นและสุวรรณที่ยังนอนกอดกันอยู่
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” จินตวัฒน์ถาม
จ่าแม่นถูกแขนสุวรรณล็อคคอไว้แน่น “ผะ...ผม...ผมหายใจไม่ออก”
“จ่าแม่น! อย่าเพิ่งตายนะ! จ่าแม่น” สุวรรณคร่ำครวญ
จ่าแม่นพยายามดึงแขนสุวรรณออก
“กูจะตายก็เพราะมึงนี่แหละไอ้วรรณ” จ่าแม่นไอโขลก “ล็อคกูยังกะขันชะเนาะ”
“เหลืออีกตัว ต้องตามไปเด็ดหัวมัน ไอ้คนหนักแผ่นดิน” สุวรรณว่า
“ไม่ต้องตามแล้วล่ะ ไปจัดการเรื่องคนงานต่างด้าวก่อนดีกว่า” จินตวัฒน์บอก
“แต่ไอ้นั่นมันอาจแว้งมากัดเราได้นะครับ” จ่าแม่นหวั่นใจ
สุวรรณรีบสนับสนุน “ถูก! ตีงูต้องตีให้ตาย”
“ถึงจะกลับมา...เราก็ยังมีเวลาตั้งตัว แต่ถ้าตามเข้าไปตอนนี้ เราอาจจะสู้กำลังที่ตั้งรับอยู่ด้านในไม่ไหว อาจจะตายโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้นะ”
จ่าแม่นกับสุวรรณนิ่งฟัง
บานชื่น เพี้ยนในชุดนักเรียน และชาวบ้าน 3-4 คนวิ่งกรูออกจากร้านมายืนมองรถตู้ของโรงพยาบาลและรถตำรวจที่บรรทุกแรงงานต่างด้าวซึ่งเปิดหวอส่งสัญญาณฉุกเฉินดังลั่น รถตู้แล่นผ่านหน้าร้านไปด้วยความเร็วหลายคัน รถคันสุดท้ายคือรถกระบะที่จินตวัฒน์เป็นคนขับซึ่งมีสุวรรณนั่งข้างๆ หลังรถมีจ่าแม่นที่หน้าเต็มไปด้วยเขม่าดำ เสื้อผ้ามีรอยคราบเลือด ยืนเป็นอนุสาวรีย์เพื่อคุมแรงงานต่างด้าวที่เหลือและคอยโบกมือให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่ริมถนน
บานชื่นตะโกน “ใครเป็นอะไรจ่าแม่น”
จ่าแม่นตะโกนกลับ “สู้กันกลางป่า ตายไป 2 จะรีบเอาไปโรงพยาบาล”
บานชื่นตกใจจึงยกมือทาบอก เพี้ยนขนลุกซู่ ชาวบ้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
“ถึงว่า กลิ่นศพแรง” เพี้ยนบอก
“ที่แรงน่ะ ไม่ใช่กลิ่นศพหรอก กลิ่นตัวเอ็งต่างหาก เหม็นเปรี้ยวไปทั้งตัว เย็นนี้ ถ้าไม่อาบน้ำ ไม่ต้องกินข้าว” บานชื่นว่า
บานชื่นเดินนำเพี้ยนกลับเข้าร้าน ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์มาจากถนนอีกด้านเข้ามาจอดที่หน้าร้าน เธอลงจากรถแล้วเดินวนไปวนมาเหมือนไม่รู้จะไปไหน สักครู่ ดาวเรืองก็อดรนทนไม่ได้จึงยืนร้องไห้น้ำตาไหล บานชื่นกับเพี้ยนซึ่งยืนมองอยู่แล้วถึงกับอึ้ง
“พี่เรืองเป็นอะไร” เพี้ยนถาม
“ปลัดกับไอ้วรรณ...เข้าป่าไปจับพวกตัดไม้เถื่อน” ดาวเรืองเล่า
“อ๋อ...ขบวนรถเมื่อกี้ไงป้า”
บานชื่นสงสัย “แล้วยังไง เอ็งร้องไห้ทำไมวะ”
“หลงตาบอกว่า ปลัดกับไอ้วรรณต้องตายแน่ๆ ตายทั้งคู่”
บานชื่นกับเพี้ยนช็อกก่อนจะอุทานพร้อมกัน
“ตายทั้งคู่!”
“ใช่ ชะตาขาดทั้ง 2 คน” ดาวเรืองบอก
“2 คน!”
“ถ้างั้น...สองศพ...เมื่อกี้” เพี้ยนว่า
บานชื่นตบอกอย่างตกใจ “เฮ้ย!”
ดาวเรืองงง “อะไรแม่”
“ก็เมื่อกี้รถโรงพยาบาลกับรถตำรวจวิ่งผ่านร้านเราไป แม่ตะโกนถามไอ้จ่าแม่น มันบอกว่ายิงกันในป่า ตาย 2 กำลังไปส่งโรงพยาบาล คุณพระ!!! นั่นศพของปลัดกับไอ้วรรณเองเหรอ”
บานชื่นทำท่าจะเป็นลม เพี้ยนรีบเข้ามาประคองให้นั่ง
ดาวเรืองอึ้งแล้วก็น้ำตาไหล
บานชื่นคร่ำครวญ “เพิ่งเห็นกันหลัดๆ ไม่น่าเล๊ย ยังหนุ่มยังแน่นกันแท้ๆ”
ดาวเรืองวิ่งพรวดออกจากร้าน เธอจับรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปทันที
ดาวเรืองบึ่งมอเตอร์ไซค์มาอย่างรวดเร็ว เธอเห็นมอเตอร์ไซค์ของแหลมกับกรอดขี่กินลมชมวิวสวนมา
ดาวเรืองหยุดรถแล้วตะโกนลั่น “หยุด!!”
แหลมกับกรอดเบรกรถดังเอี๊ยดด้วยความตกใจ
แหลมออกตัว “ข้าไม่อยากมีเรื่องกับเอ็งตอนนี้นะเว้ย”
“รอให้พี่วรรณกลับมาก่อน ค่อยสู้กันแบบสามต่อหนึ่ง” กรอดบอก
ดาวเรืองเศร้า “ไอ้วรรณมันไม่อยู่แล้ว”
แหลมกับกรอดถามพร้อมกัน “คิดถึงล่ะเซ่”
“มันตายแล้ว” ดาวเรืองบอก
แหลมกับกรอดถามต่อ “แล้วไง”
“พวกเอ็งส่งข่าวให้กำนันกับป้าเวียงรู้ด้วยว่าลูกชายของแกตายแล้ว ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล”
“อ๋อ...ไปส่งข่าวว่าตาย” กรอดว่า
กรอดกับแหลมยิ้มระรื่นแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ก็ถึงกับตาถลนและแหกปากลั่น
“ตายย”
เวียงเท้าสะเอวแล้วถลึงตาเหมือนนางยักษ์ใส่แหลมกับกรอดที่นั่งคุกเข่าหัวหดอยู่ตรงหน้า
“ข้าไม่เห็นหัวมันทั้งวัน บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าหนูวรรณไปไหน!!”
แหลมกับกรอดช่วยกันตอบ “พี่วรรณ เอ่อ...ไป...ไปปฏิบัติภารกิจสำคัญจ้ะ”
“อ้าว แล้วพวกเอ็งมานั่งอยู่นี่ทำไม ทำไมไม่ตามมันไปวะ” ผันสงสัย
แหลมอยากจะร้องไห้ “ตามไม่ได้จ้ะ ทางการเขาไม่เลือกเรา เลือกแต่พี่วรรณ”
“ทางการมาเกี่ยวอะไรด้วย” บุญปลีกถาม
“หรือว่า...พ่อสุวรรณติดคุกอีกแล้ว” ไสวว่า
“ไม่ใช่ป้า ไอ้วรรณไปรับใช้ชาติต่างหาก...อุ๊บ!” เสมอใจหลุดปาก
ทุกคนพูดพร้อมกัน “รับใช้ชาติ!”
แหลมกับกรอดร้องไห้โฮ
“รับใช้ชาติ แล้วทำไมต้องร้องไห้” บุญปลีกถามต่อ
“มันก็คงคิดถึงลูกพี่มันน่ะสิ...ไอ้พวกนี้ จะมีอะไร๊” ผันว่า
แหลมกับกรอดส่ายหน้าแต่พูดไม่ออก ทั้งสองได้แต่กอดกันร้องไห้โฮเหมือนจะขาดใจตาย ทุกคนคิดว่าแหลมกับกรอดคิดถึงสุวรรณจนโอเว่อร์
เจ้าหน้าที่เข็นเตียงขนศพทั้งสองเข้าไปในห้องชันสูตร จินตวัฒน์ สุวรรณและจ่าแม่นที่มีคราบเลือดเกรอะกรังเสื้อผ้า หน้าตาดำปี๋ทั้งสามคนเดินตามเข้าไปด้วย
จ่าแม่นเดินบีบขมับตัวเองออกมาจากห้องชันสูตรศพเพราะปวดหัวเลยดูเหมือนเครียดหนัก ดาวเรืองโผล่เข้ามาเห็นจ่าแม่นก็ปรี่เข้าไปหา
ดาวเรืองถามลนๆ “ปลัดกับไอ้วรรณล่ะจ่า อยู่ไหน”
จ่าแม่นหน้าหมอง “ในห้องดับจิตทั้งคู่นั่นแหละ เอ็งจะเข้าไปเหรอ อย่าเลย...สภาพศพไม่น่าดูหรอก คนนึงโดนยิงกลางแสกหน้า อีกคนโดนที่หัวใจ”
ดาวเรืองปล่อยโฮ “ไม่น่าเลย”
จ่าแม่นงง “ทำไมวะ” จ่าแม่นตกใจ “หรือว่าแม่บาน...แม่บานเป็นอะไรไอ้เรือง!”
“เพราะฉันคนเดียว ฉันผิดเอง”
“เอ็งปล่อยให้แม่บานตายเหรอไอ้เรือง!”
“ไม่ใช่!!!...ฉันหมายถึงคุณปลัดกับไอ้วรรณต่างหาก ฉันผิดเองที่เป็นคนส่งเขาไปตาย”
จินตวัฒน์กับสุวรรณเปิดประตูห้องชันสูตรศพออกมาเห็นดาวเรืองร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าจ่าแม่น ก็หยุดฟัง
ดาวเรืองพูดต่อ “ไอ้วรรณ ถึงมันจะเกเร แต่มันก็ไม่ได้เลวระยำ ขนาดจะต้องตาย คุณปลัดก็เป็นคนดีคนเก่ง เขายังทำประโยชน์ให้ประเทศได้อีกเยอะ....ทำไมจะต้องตาย...เพราะฉัน...เพราะฉันคนเดียว!”
สุวรรณซึ้ง “เอ็งร้องไห้เพราะข้าเหรอไอ้เรือง”
ดาวเรืองเงียบกริ๊บก่อนหันขวับไปเห็นทั้งคู่ยืนหัวโด่อยู่ก็ตาเหลือก
“เอ็งพร่ำอะไรของเอ็งวะไอ้เรือง” จ่าแม่นถาม
จินตวัฒน์ยิ้มขำ “คิดว่าฉันกับนายวรรณตายแล้ว”
ดาวเรืองช๊อก “แล้ว...ยัง...ยังไม่ตายเหรอ”
ดาวเรืองเข้าไปจับหน้า จับแขน และจับตัวจินตวัฒน์
“ยังไม่ตายจริงๆด้วย”
สุวรรณยื่นแก้มไปให้ดาวเรืองที่กำลังกระโดดโลดเต้น
“ไม่เชื่อ ลองหอมแก้มดูก็ได้”
ดาวเรืองชกหน้าสุวรรณไปหนึ่งทีแล้วต่อยท้องสุวรรณจนตัวงออีกทีก่อนจะหัวเราะ ขณะที่สุวรรณร้องลั่น “จ๊าก!!”
“เชื่อแล้วว่ายังไม่ตาย” ดาวเรืองบอก
“ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก” จินตวัฒน์บอก
สุวรรณจุก “ข้าก็เหมือนกัน ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับเอ็ง ข้าไม่ยอมตาย”
ดาวเรืองกระโดดกอดสุวรรณ สุวรรณเคลิ้มอย่างมีความสุข แต่เพียงชั่ววินาที ดาวเรืองก็ผละออกมาแล้วโผไปกระโดดกอดจินตวัฒน์
จินตวัฒน์จะกอดตอบแต่กลับชะงัก เขารู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมากะทันหัน จู่ๆก็ทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหน ดาวเรืองรู้สึกตัวว่ากอดจินตวัฒน์แน่นจึงรีบผละออกมาแต่หน้าก็แดงซ่านไปหมดแล้ว
จ่าแม่นเปรยๆ “ข้าก็ไปด้วยนะไอ้เรือง”
ดาวเรืองแก้เขินด้วยการหันมากอดจ่าแม่นแทน
“ฉันดีใจจริงๆที่ทุกคนไม่เป็นอะไร...ดีใจจริงๆนะ”
ทุกคนยิ้มแย้มให้กันอย่างลืมตัวเพราะมิตรภาพได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะจินตวัฒน์กับดาวเรืองที่ยิ้มให้กันอย่างมีความหมาย
เวียงเดินเข้ามาชะเง้อมองทางซ้าย ในขณะที่ผันก็เข้ามาชะเง้อมองทางขวา บรรดาเมียๆ โผล่ขึ้นมาชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านเหมือนกันหมด
“มันไปรับใช้ชาติยังไงวะ ป่านนี้ถึงยังไม่กลับ” เวียงสงสัย
“นั่นสิ...หนูวรรณกลัวผีจะตาย เคยกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ คนเดียวที่ไหน” บุญปลีกว่า
บุญปลอดพนมมือท่วมหัว “ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองหนูวรรณด้วยเถิด”
ไสวก็พนมมือท่วมหัว “อย่าให้พ่อสุวรรณไปทำร้ายคนและสัตว์ที่ไหนอีกเลย”
ผันกังวล “ไม่รู้มันได้อะไรติดตัวไปบ้าง”
แหลมยังร้องไห้สะอึกสะอื้น “ก็เอาไปทุกอย่างล่ะจ้ะ”
กรอดก็ยังสะอื้น “ทั้งปืนผาหน้าไม้ ข้าวปลาอาหาร แล้วก็ยาสมุนไพรของนังเหมอ”
ทุกคนหันขวับไปมองเสมอใจที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เสมอใจสะดุ้งเฮือกเมื่อทุกคนเล็งมาที่เธอ
“คือ...ฉันเห็นว่า...ในป่ามันอันตรายจ้ะ” เสมอใจบอก
ทุกคนตกใจ “ในป่า!!”
“ไอ้แหลม ไอ้กรอด!! เอ็งหยุดร้องไห้เป็นเปรตขอส่วนบุญได้แล้ว บอกข้ามาดีๆ ว่าไอ้หนูวรรณมันเข้าป่าไปทำอะไร!” ผันถาม
กรอดตกใจเสียงผันจึงหลุดปากออกมาเสียงดัง “ไปจับไม้เถื่อนจ้ะ”
“ไม้เถื่อน!!!...ใครบังอาจมาทำไม้เถื่อนในเขตของกำนันผันวะ” ผันว่า
“ไม่รู้จ้ะ แต่ทางการต้องพึ่งพี่วรรณให้ช่วยนำทาง” แหลมบอก
“ช่วยนำทาง...เออ...ไอ้หนูวรรณมันคล่องป่าอยู่แล้ว คงไม่เป็นไร ดีๆ ข้าเพิ่งได้ตำแหน่ง ความดีของลูกจะได้ส่งเสริมหน้าที่การงานของพ่อ” ผันว่า
เวียงเป็นห่วง “ก็น่าจะบอกแม่ก่อน ไม่ใช่คิดจะไปก็ไป ดีนะที่ไปกันเยอะ ไม่งั้นอันตรายแย่”
“ไม่อันตรายเท่าไหร่หรอกจ้ะ แค่ตายเท่านั้นเอง” แหลมหลุดปาก
“ค่อยยังชั่ว” ทุกคนพูด วินาทีถัดมาทุกคนเพิ่งคิดได้ “ห๊า!!”
“เอ็งว่าอะไรนะ!” เวียงถามย้ำ
“พี่วรรณตายแล้ว...พี่วรรณตายในหน้าที่จ้ะ” แหลมปล่อยโฮลั่น
“ข้าไม่เชื่อ!” ผันว่า
“ไอ้เรืองมันบอกว่าพี่วรรณตายแล้ว” กรอดบอก
ไสวหัวเราะ “ปั๊ดโธ่!!! ไปเชื่ออะไรไอ้เรือง มันไม้เบื่อไม้เมากันมา มันแกล้งหลอกเอ็งน่ะสิ”
ทุกคนถอนใจด้วยความโล่งอก “เออ...จริง”
เสมอใจกังวล “แต่...ฉันว่าเราควรจะโทรเช็คหน่อยนะ ลองติดต่อไปที่สถานีตำรวจหรือไม่ก็จ่าแม่นดูว่าเป็นยังไงกันแน่”
“เออ..จริง” ผันกดโทรศัพท์หาจ่าแม่น
ทุกคนกรูมาล้อมผัน
“มันไม่รับสายว่ะ” ผันบอก
เวียงเริ่มทนไม่ไหว “งั้น...ไม่รงไม่รอมันแล้ว ไปถามให้รู้เรื่องเลย... สถานีตำรวจใกล้แค่นี้ นัง 7-8-9 เฝ้าบ้าน!”
เวียงเดินนำผัน บุญปลีก บุญปลอด ไสว แหลม กรอด เสมอใจเดินจ้ำตามอย่างร้อนใจ
ผันและบรรดาเมียๆ เดินลงบันไดมาเป็นแถว ปิดท้ายด้วยแหลมกับกรอด ทุกคนลงมายืนรวมตัวกันที่หน้าบ้าน จู่ๆ เสียงหมาหอนก็ดังโหยหวน ทุกคนสะดุ้ง ขนลุกและเริ่มใจคอไม่ดี
ผันทำใจดีสู้เสือ “จะมาหอนอะไรตอนนี้วะ ไม่มีมารยาท” หมายังคงหอนต่อเนื่อง
“หรือมันเห็น...ผี” ไสวว่า
ทุกคนหันมามองไสวแล้วประณามทางสายตา แต่ทุกคนก็รีบขยับขึ้นรถเพราะคิดอย่างไสวเหมือนกัน
เสียงสุวรรณดังขึ้น “พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูกลับมาแล้วจ้ะ”
บุญปลอดตั้งสติ “ผีเผอที่ไหน หนูวรรณกลับมาแล้ว”
ทุกคนขยับเข้าไปรับสุวรรณในขณะที่เสียงหมายังโหยหวน สุวรรณมาในสภาพเลือดเกรอะกรัง และหน้าตามอมแมมในขณะที่เดินออกจากเงามืดของต้นไม้ สุวรรณแสยะยิ้มให้ทุกคน
ทุกคนชะงักกึก สบตากันแล้วแหกปากร้อง “ช่วยด้วย” พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะวิ่งหนีขึ้นบ้านไม่คิดชีวิต สุวรรณหุบยิ้มอย่างงงๆ
สุวรรณเดินแบกเป้เข้ามาหยุดยืนมองกลางบ้านที่ไร้ผู้คน
“เฮ้ย!!!! ไปไหนกันหมดเว้ย!!!! พ่อ!!” สุวรรเรียก ผันโผล่ออกมาจากหลังเสา “แม่!!” เวียงโผล่มาจากหลังตู้ “ไอ้กรอด!! ไอ้แหลม!” ลูกน้องทั้งสองผลุบๆ โผล่ๆ จากตุ่มคนละใบ สุวรรณพูดต่อ “มาถอดรองเท้าให้ข้าหน่อย นังเหมออยู่ไหนวะ ข้าหิว หายไปไหนกันหมด”
แต่ละคนค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากคนละมุม ทั้งหลังโซฟา ใต้โซฟา หลังกระถางต้นไม้ ม้วนอยู่ในเสื่อ ฯลฯ โดยที่ต่างคนต่างหน้าซีดตัวสั่น
“ทะ...ทะ...ทำไมหนูวรรณกลับบ้านเร็วจัง” บุญปลีกถาม
“เขาว่าต้องสามวันไม่ใช่เหรอนังปลอด” ไสวถาม
“หนูวรรณยังวัยรุ่น คงจะ..ใจร้อน” บุญปลอดบอก
ผันใจสลาย “ลูกพ่อ... มันคงยังไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว”
เวียงร้องไห้ “โธ่...ตายอดตายอยากเสียด้วยลูกเอ๊ย มาบ้านปุ๊บก็เรียกหาของเซ่นเลย”
“ถ้าเอ็งจะมาขอความรักข้าตอนนี้ มันคง...สายไปแล้ว ข้ารักเอ็ง แต่ข้า...กลัว” เสมอใจบอก
สุวรรณงง “เพ้อเจ้ออะไรวะ หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว รีบไปผัดข้าวมาเร็วๆ เลย”
“ได้ พรุ่งนี้จะใส่บาตรไปให้นะ” เสมอใจบอก
“ข้าจะกินเดี๋ยวนี้!!”
“อย่าเฮี้ยนนักเลยหนูวรรณ” ผันบอก
“แม่จะทำศาลเพียงตาให้นะลูกนะ” เวียงร้องไห้ฮือๆ
ทุกคนยกมือไหว้ “ขออโหสิกรรมด้วยนะหนูวรรณ / ไอ้วรรณ / พี่วรรณ”
“มาขออโหสิกรรมอะไรกัน ฉันยังไม่ตายนะ”
ทุกคนพูดพร้อมกัน “ยังไม่ตาย!!”
ทุกคนกระดื๊บออกจากที่ซ่อนเข้ามาลูบหัวลูบตัวสุวรรณดแ
แล้วพากันยิ้มออกมาได้
บานชื่นกับเพี้ยนนั่งกินข้าวไปคุยกันไปที่โต๊ะอย่างเคร่งเครียด
“พี่เรืองยังไม่กลับ สงสัยยังจุดธูปขอขมาคุณปลัดกับไอ้พี่วรรณยังไม่เสร็จ”
“น่าเสียดายคนดีๆ อย่างปลัด” บานชื่นบอก “ไม่น่าเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ส่วนไอ้วรรณถึงมันจะเกเร แต่มันก็ไม่ได้ชั่วขนาดจะต้องมาตายตอนอายุน้อยๆ อย่างนี้”
“ฉันสิ ร่วมมือกับพี่เรืองแกล้งคุณปลัดตั้งแต่มารับตำแหน่งใหม่ๆ เขาจะตามมาหักคอฉันรึเปล่าก็ไม่รู้” เพี้ยนนึกแล้วก็สยอง
ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าร้าน โดยมีจินตวัฒน์นั่งซ้อนท้ายมาด้วย ดาวเรืองลงจากรถแล้วรีบวิ่งผ่านหน้าบานชื่นกับเพี้ยนเข้าไปทางหลังบ้านเพื่อจะเข้าห้องน้ำ บานชื่นกับเพี้ยนมองตามดาวเรืองแล้วหันกลับมามองเห็นจินตวัฒน์ก็ช็อกตาตั้ง ทั้งสองสบตากันด้วยสายตาที่บอกว่า “เจอดีเข้าแล้วกู”
ทั้งคู่รีบหันหลังให้จินตวัฒน์
เพี้ยนกระซิบถามชนิดฟันกระทบกันดังกึกๆ “ผะ...ผีคุณปลัดตะ...ตามพี่เรืองมา ป้าเห็นมั้ย”
บานชื่นพูดลอดไรฟันแบบกลัวจนขนหัวลุก “อย่าพูดไปไอ้เพี้ยน เอ็งก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นสิวะ”
ทั้งคู่หันกลับไปก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นจินตวัฒน์ในสภาพสกปรกมอมแมมเลือดกรังเต็มเสื้อผ้าโผล่มายืนตรงหน้า
“สวัสดีครับน้าบานชื่น...เป็นไงเพี้ยน”
บานชื่นตัวสั่นแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพี้ยนรีบหลุบตาต่ำทำเป็นมองไม่เห็น
จินตวัฒน์งง “ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ”
จินตวัฒน์เดินเข้าไปทางหลังบ้านโดยสวนกับดาวเรืองที่เดินออกมา เพี้ยนรีบวิ่งไปจับแขนดาวเรืองเขย่า
“พี่เรือง ผะ...ผีปลัดตามมา เพราะพี่เรืองนั่นแหละ ไปแกล้งเขาไว้เยอะ”
“ผี...” ดาวเรืองงงๆ สักครู่ก่อนจะยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าเพี้ยนเข้าใจผิด “ไหนล่ะ”
“ปะ..ปะ..ไปห้องน้ำ...คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว”
ดาวเรืองแกล้งแม่กับเพี้ยนจึงพูดต่อ “ตามมาก็ดีสิ จะได้ชวนกินข้าวซะเลย”
“อย่าเชียวนะไอ้เรือง โบราณเขาห้ามทัก เอ็งห้ามเลยนะ” บานชื่นปราม
ดาวเรืองเห็นจินตวัฒน์กำลังเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าซึ่งเพิ่งล้างออกมาก็เอ่ยปากชวน
“กินข้าวคุณปลัด”
บานชื่นกับเพี้ยนรีบหันหน้าหนีจินตวัฒน์แล้วก็นึกอยากจะบีบคอดาวเรือง ดาวเรืองแอบเหล่แม่กับเพี้ยนแล้วก็ยิ้มขำ
เพี้ยนกับบานชื่นนั่งตัวเกร็งหลุบตาต่ำ แต่ก็แอบเหล่ดาวเรืองที่ตักข้าวใส่จานแล้ววางลงตรงหน้าจินตวัฒน์ซึ่งนั่งตรงข้ามทั้งคู่
จินตวัฒน์เอ่ยถาม “เรียนสนุกมั้ยเพี้ยน”
เพี้ยนสบตาบานชื่นคล้ายอยากถามว่าทำยังไงดีเพราะถูกผีทัก
บานชื่นพูดเบาๆ “เรือง...ปะ...ไปจุดธูปให้แม่หน่อย”
ดาวเรืองแอบขำ “กี่ดอกแม่”
“ดะ...ดอกเดียว”
ดาวเรืองเดินออกมา
บานชื่นกับเพี้ยนสบตากันแล้วก็คิดตรงกันว่าไม่สามารถนั่งอยู่กับจินตวัฒน์ได้ ทั้งคู่ค่อยๆ เดินตามดาวเรืองออกมา จินตวัฒน์มองบานชื่นกับเพี้ยนอย่างงงๆ
บานชื่นปักธูปลงบนดิน ส่วนเพี้ยนนั่งยองๆ ไหว้อยู่ข้างๆ
บานชื่นยกมือไหว้ “คุณปลัด ไปที่ชอบๆ เถอะนะ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
เพี้ยนยกมือไหว้ “หลับให้สบายนะคุณปลัด ไม่ต้องห่วง เพี้ยนไม่ทิ้งการเรียนหรอก”
บานชื่นกับเพี้ยนไหว้เสร็จก็ค่อยๆ เหลียวหลังไปมองในร้าน ทั้งคู่เห็นจินตวัฒน์ยังนั่งกินข้าวอยู่ที่เดิมก็ตกใจจนผงะหงาย
บานชื่นหันไปแว้ดใส่ดาวเรือง “ไอ้เรือง...บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเซ่น..อย่าเซ่น!!”
“ทำไงดีป้า จุดธูปบอกแล้วก็ยังไม่ไป เราไปหาหลงตากันดีกว่า อย่าเข้าไปเลย” เพี้ยนกลัว
บานชื่นปากคอสั่น “ไม่ได้เว้ย ถ้าผีรู้ว่าเรากลัว มันจะตามมาหลอกเราทุกวัน”
ดาวเรืองที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ขำแม่กับน้องจนแทบจะปล่อยก๊ากออกมา
บานชื่นกับเพี้ยนขยับเข้ามาเห็นข้าวในจานของจินตวัฒน์หมดเกลี้ยงก็ขนหัวลุก
เพี้ยนกระซิบเสียงสั่น “สงสัยจะหิว กินหมดเลย”
บานชื่นพยักหน้าแต่ก็กลั้นใจพาเพี้ยนลงนั่งที่โต๊ะกินข้าวตามเดิมทั้งๆ ที่กลัวจนขี้หดหมดแล้ว
จินตวัฒน์ตักผักใส่จานข้าวเพี้ยนแล้วเงยหน้ามาคุยด้วย “กินผักเยอะๆ มีประโยชน์”
เพี้ยนหันมาหาบานชื่นแล้วทำท่าจะร้องไห้ ดาวเรืองกลั้นหัวเราะจนเยี่ยวแทบราด
จินตวัฒน์พูดกับบานชื่น “น้ำพริกอร่อยมากครับน้าบานชื่น คงต้องมากินบ่อยๆ แล้ว”
บานชื่นตบะแตก “ไม่ไหวแล้วเว้ย!!”
ทุกคนบนโต๊ะตกใจ โดยเฉพาะจินตวัฒน์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร บานชื่นคว้ามือเพี้ยนวิ่งเผ่นออกมาเจอจ่าแม่นขับรถจินตวัฒน์เข้ามาจอดหน้าบ้าน บานชื่นกับเพี้ยนชะงัก จ่าแม่นลงจากรถแล้วเดินจ้ำมาหาจินตวัฒน์
“รถล้างเรียบร้อยแล้ว จะกลับเลยมั้ยครับ..คุณปลัด”
“ครับ”
บานชื่นชะงักกึกที่เห็นจ่าแม่นคุยกับจินตวัฒน์เป็นปกติ
ดาวเรืองเห็นท่าเหวอของแม่แล้วทนไม่ไหวจึงหลุดขำก๊ากดังลั่น บานชื่นหันขวับมาทางลูกสาวตัวดี
“แม่นี่จี้สุดๆ คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ว่าผีปลัดมาหลอก 555”
“ผี...” จินตวัฒน์ถึงบางอ้อ “อ๋อ...มิน่าล่ะ...555”
“เราถูกต้มแล้วป้า!” เพี้ยนบอก
บานชื่นทั้งอายทั้งโมโห “ไอ้เรือง! เอ็งหลอกข้าเหรอ”
บานชื่นวิ่งไล่ตีดาวเรืองซึ่งวิ่งวนรอบรถจินตวัฒน์
“มาให้แม่ตีซะดีๆ ไอ้ลูกเวร!”
“แม่ลูกคู่นี้ เล่นเป็นเด็กไปได้” จ่าแม่นว่า
จินตวัฒน์ยิ้มขำในความแสบของดาวเรือง
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดาวเรือง ตอนที่ 10 (ต่อ)
กำพลตบชาติจนหน้าหันแล้วก็ใช้เท้าถีบศักดิ์เต็มแรงจนศักดิ์เซแถ่ดๆ ไปชนผนัง
“พวกมึงดูแลกันยังไงวะ!! ตำรวจมันถึงได้แห่เข้ามารวบคนงานไปหมด กูไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน จะไว้ใจพวกมึงบ้างไม่ได้เลยใช่มั้ย”
ชาติกับศักดิ์ต่างกลับมายืนเรียงหน้ากระดานต่อหน้ากำพลในท่ากุมมือและคอตก
“ทุกอย่างมันไม่มีปัญหาหรอกครับเสี่ย ถ้าไม่มีคนพาพวกตำรวจบุกมาถึงนี่” ชาติบอก
“ไอ้เทิ้มมันก็ตายไปแล้ว กูยังไม่หมดเสี้ยนหนามอีกเหรอวะ ไอ้เวรนั่นมันเป็นใคร” กำพลถาม
“ไอ้ปลัดจินตวัฒน์ครับเสี่ย มันพาตำรวจมา แล้วมันก็เป็นคนยิงผมด้วย” ศักดิ์บอก
กำพลโกรธจัด “ในเมื่อมันยิงมึง มึงก็กลับไปเอาคืนสิวะ”
กำพลมีแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้น
หลวงตาคงใช้ชอล์คเขียนตัวเลขผูกดวงแบบโบราณบนกระดานชนวนด้วยสีหน้านิ่ง สักพักดาวเรืองก็เข้ามาทรุดนั่งตรงหน้าหลวงตาพร้อมบานชื่น
ดาวเรืองดึงกระดานจากมือหลวงตาคง “มา! ฉันจะเอาไปเผา!!”
หลวงตาคงดึงกระดานกลับ “วะไอ้นี่ มากี่ทีๆ ก็จะเผาสมบัติของข้าอยู่เรื่อย”
“ก็วิชาโหรของหลงตามั่วซั่วนี่หว่า จะปล่อยให้ทำนายจนชาวบ้านสติแตกอีกได้ไง”
“ชาวบ้านที่ไหนวะสติแตก” หลวงตาคงถาม
“อย่างน้อยก็ฉันกับไอ้เพี้ยนล่ะ เมื่อคืนกลัวคุณปลัดซะจนขี้เยี่ยวเกือบราด คิดว่าผีคุณปลัดตามไอ้เรืองมาถึงบ้าน” บานชื่นบอก
“เพราะหลงตานั่นแหละฟันธงซี้ซั้วว่าปลัดกับไอ้วรรณตายแหง”
“อย่ามาว่าข้าซี้ซั้วนะเว้ย มันมีตาย 2 จริงเปล่าล่ะ ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าฝ่ายไหนตาย เอ็งนั่นแหละพูดเองเออเองแหกปากไปเองว่าเป็น 2 คนนั่น”
“ตกลงเอ็งตื่นตูมไปเองงั้นเหรอ นี่แน่ะ!” บานชื่นเขกมะเหงกใส่ลูกสาว
ดาวเรืองเอามือลูบหัวหน้ามุ่ยเพราะเป็นอย่างที่โดนว่าจริงๆ
หลวงตาคงพูดต่อ “ถามจริงเถอะไอ้เรือง เอ็งกลัวใครตายมากกว่ากันวะ ไอ้วรรณหรือคุณปลัด”
ดาวเรืองแอบเขินแต่ก็ด้นไปได้ “แหม! พอฉันเล่นด้วยก็ลามปามเลยนะ”
บานชื่นตีลูกไป 1 เพียะ “พูดจาไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
“โอ๊ย..ไหนบอกจะมาเฉ่งหลงตาด้วยกัน ไหงมาลงที่ฉันล่ะ แบบนี้กลับดีกว่า”
ดาวเรืองลุกขึ้น
หลวงตาคงเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนไอ้เรือง! ข้าลองตรวจดวงชะตาคุณปลัดดูแล้ว ช่วงนี้พระเสาร์โคจรผ่านกระแสของราหูกับดาวมฤตยูย้ายเข้าราศีเกิดของคุณปลัด”
“แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะหลวงพี่” บานชื่นถาม
“คุณปลัดกำลังมีเคราะห์หนัก ภายในวันสองวันนี้ถ้าตายก็ตาย ถ้ารอดก็รอด เอ็งไปเตือนคุณปลัดให้ระวังตัวให้ดี”
ดาวเรืองพูดกลบเกลื่อนเสียงแข็ง “ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนหน้าที่ว่าการอำเภอ เธอหันไปมองที่ทำการอำเภอแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจจึงขี่มอเตอร์ไซค์จากไป เพียงชั่ววินาทีเดียว ดาวเรืองก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้ามาอีก และขับเข้าไปในอำเภอจนได้ ทันทีที่มอเตอร์ไซค์ดาวเรืองแล่นเข้าไป มอเตอร์ไซค์ของ 2 มือปืนก็ขี่เข้าไปในอำเภอ
ดาวเรืองจอดมอเตอร์ไซค์ข้างรถปิคอัพ รถมอเตอร์ไซค์ของมือปืนแล่นเข้ามาจอดอีกด้านของรถปิคอัพ ดาวเรืองดึงกุญแจรถออกแต่กุญแจหลุดมือ เธอจึงก้มลงเก็บ
มือปืนคนหนึ่งลงจากรถพร้อมพูด “คนไหนวะ มันมาตั้ง 3 คน”
ดาวเรืองชะงักแล้วเงี่ยหูฟัง
จินตวัฒน์กับปลัดอีก 2 คนใส่เครื่องแบบเดินลงมาจากที่ว่าการอำเภอ
มือปืนอีกคนหยิบรูปถ่ายออกจากกระเป๋าเสื้อ “ก็ไอ้นั่นไง ที่สูงที่สุดน่ะ”
ดาวเรืองลุกขึ้นยืนเอาตัวแนบรถปิคอัพแล้วโผล่หน้าออกมาดูจนเห็นรูปจินตวัฒน์ที่อยู่ในมือมือปืน เต็มตา จินตวัฒน์กับปลัดอีก 2 คนเดินมาที่รถซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถอีกด้าน
มือปืนอีกคนถาม “เก็บมันตอนนี้ดีมั้ย ปลอดคน”
“ใจเย็น..รอนายสั่ง”
มือปืนทั้งสองจ้องไปที่จินตวัฒน์แล้วยิ้มชั่วร้าย จากนั้นจึงขี่รถออกไป ดาวเรืองใจไม่ดี เธอชะเง้อคอมองตามรถมอเตอร์ไซค์คนร้ายไปด้วยสีหน้าเครียด พอหันไปหาจินตวัฒน์อีกทีก็เห็นจินตวัฒน์ขึ้นรถไปกับปลัดอีก 2 คนแล้ว ดาวเรืองวิ่งสุดตีนไปหาจินตวัฒน์แต่ก็ไม่ทัน ดาวเรืองหยุดยืนหอบแฮ่กๆ พลางคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี
ดาวเรืองวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงพักสวนกับชาวบ้านและตำรวจที่ทำหน้าที่ตามปกติ จ่าแม่นหันไปเห็นดาวเรืองก็ทัก
“ไอ้เรือง!! มีธุระ...”
ดาวเรืองไม่สนใจเสียงจ่าแม่น เธอวิ่งแน่บไปทางห้องผู้กำกับสันติสุข
จ่าแม่นบ่น “เตือนปากเปียกปากแฉะว่าอย่าไปยุ่งกับคนแก่คราวพ่อ มันเคยฟังซะที่ไหน”
สันติสุขและดาวเรืองนั่งคุยกันที่โต๊ะด้วยสีหน้าเครียด
“ขอบใจนะ...ฉันจะดูแลความปลอดภัยให้ปลัดเอง เธอเองก็ต้องระวังตัวให้มาก ตอนนี้ตัวการเรื่องนี้ก็เหมือนหมาจนตรอก...จะกลายเป็นหมาบ้ากัดใครไปทั่วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าให้พวกมันรู้เด็ดขาดว่าเธอรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย...อันตราย”
ดาวเรืองถอนหายใจเฮือก
รถของสุดาวดีแล่นมาจอดที่ลานจอดรถหน้าผับ พฤกษ์ที่ขับมาดับเครื่อง
“ตกลงนายจะไม่เข้าไปหน่อยเหรอ” สุดาวดีถาม
“ไม่ครับ พรุ่งนี้ผมมีนัดกับอาจารย์แต่เช้า อีกอย่างก็ไม่ชอบให้ใครมาคะยั้นคะยอให้ดื่มอะไรด้วย เพราะผมไม่ดื่ม”
สุดาวดีเปิดประตูรถ “งั้นก็ตามใจ ฉันไปล่ะ”
“อย่าลืมนะว่าผมจะกลับ 4 ทุ่ม”
“รู้แล้วน่า... แค่เข้าไปเซย์ไฮกับลูกค้า รับรองว่าไม่เกิน 3 ทุ่ม”
สุดาวดีลงจากรถไป
จินตวัฒน์นั่งเช็คปืนอยู่บนเตียง สักครู่เขาก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงผิดปกติที่หน้าต่าง จินตวัฒน์ถือปืนเดินไป ผู้บุกรุกสวมหมวกไอ้โม่งสีดำและใส่ชุดดำทั้งชุดปีนขึ้นหน้าต่างบ้านพักจินตวัฒน์แล้วกระโดดเข้ามาในห้อง จินตวัฒน์ขยับเข้ามาล็อกคอผู้บุรุกแล้วเอาปืนจี้หลัง
จินตวัฒน์ถาม “แกเป็นใคร”
“จะให้บอกก็เอามือออกจากคอก่อนสิเว้ย”
จินตวัฒน์รีบปล่อยมือ บุรุษชุดดำดึงหมวกไอ้โม่งออกแล้วหันมาหาจินตวัฒน์ทำให้เขาเห็นว่าคือดาวเรือง
“ดาวเรือง!”
“ก็เออน่ะสิ...อูย..” ดาวเรืองเอามือจับคอ
จินตวัฒน์วางปืนลงบนเตียงแล้วรีบไปดูรอยที่คอดาวเรือง พอเห็นเป็นปื้นแดงเขาก็ขอโทษ
“ขอโทษนะ เจ็บมากรึเปล่า”
ดาวเรืองเหลือบมองเตรียมโวยแต่พอสบสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วงของจินตวัฒน์ก็ต้องหุบปาก
“ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเจ็บตัวแบบนี้ ไม่มาดีกว่า” ดาวเรืองตัดพ้อ
“เรื่องสำคัญใช่มั้ย”
ดาวเรืองพยักหน้า “ช่วงนี้นายต้องระวังตัวให้มาก วันนี้ฉันเห็นมือปืนมาชี้ตัวนาย”
จินตวัฒน์อึ้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนผิวปากเป็นเสียงนกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ดาวเรืองพูดขึ้น “มั้ยล่ะ”
จินตวัฒน์งง “อะไร”
“มีคนมา”
“ใคร”
“คนที่จะมาส่องนายน่ะสิ เสียงนกนั่นน่ะเสียงไอ้วรรณส่งสัญญาณ ฉันให้มันเฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน”
เสียงมือปืนดังขึ้น “คุณปลัด...คุณปลัดครับ...มีเรื่องด่วนคร้าบ”
ดาวเรืองเตือน “อย่าเพิ่งออกไปนะ! ตะโกนบอกไปว่าเดี๋ยว”
จินตวัฒน์ลังเลนิดหนึ่งแล้วยอมทำตาม “เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ!” จินตวัฒน์ลดเสียงลงแล้วถามดาวเรือง “รู้มั้ยว่ามันมากี่คน”
ดาวเรืองส่ายหน้า “เดี๋ยวเปิดประตูให้กว้างนะ ฉันจะคุ้มกันให้เอง ไอ้วรรณคงพร้อมแล้ว”
“อย่ายิงก่อนล่ะ ดูก่อนนะว่าไม่ใช่คนบริสุทธิ์”
จินตวัฒน์ค่อยๆ ขยับกลอน
“รู้น่า... นับหนึ่งถึงสามค่อยเปิด...หนึ่ง...สอง...” ดาวเรืองนับ
ดาวเรืองหยิบปืนที่เตียง
“สาม!”
จินตวัฒน์ผลักประตูเปิดออกไป
ประตูบ้านพักเปิดอ้า ดาวเรืองกลิ้งไปกับพื้นโดยใช้เท้าเตะที่เข่าด้านล่างของจินตวัฒน์ จินตวัฒน์ไม่ทันตั้งตัวจึงทรุดลง จังหวะนั้นเองเสียงปืนก็ดังเปรี้ยง กระสุนวิ่งผ่านหัวจินตวัฒน์ไปโดนของที่อยู่ภายในบ้านแตกกระจาย จินตวัฒน์หมอบลงกับพื้น
ดาวเรืองที่นอนอยู่กับพื้นพลิกตัวแล้วยิงสวนออกไปในความมืด สุวรรณซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ถุนบ้านก็ยิงออกไปในความมืดเช่นกัน มือปืนทั้ง 2 คนซึ่งซ่อนตัวอยู่คนละจุดบริเวณต้นไม้ก็ยิงขึ้นไปบนบ้านพัก
จ่าแม่นกับหมู่จ้อยที่อยู่ในรถกระบะตราโล่ที่จอดซุ่มอยู่ห่างจากบ้านพักปลัดไปประมาณ 200 เมตรหันมาสบตากัน ก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาแล้ววิ่งไปทางบ้านพักปลัด
ดาวเรืองเล็งปืนไปนอกบ้าน จินตวัฒน์ที่หมอบอยู่ใกล้ๆ ดาวเรืองรีบบอก
“ดาวเรือง! ส่งปืนมาให้ฉัน!”
ดาวเรืองเล็งปืนไปที่หน้าบ้านแล้วลั่นกระสุนออกไปอีกนัด
มือปืนคนหนึ่งถูกกระสุนของดาวเรืองเข้าที่อกจึงร้อง “โอ๊ย!” ดังลั่นแล้วล้มฟุบลง มือปืนอีกคนเห็นเพื่อนเสียท่าก็ล่าถอย สุวรรณออกจากที่ซ่อนใต้บันไดแล้วตามมือปืนคนนั้นไป
มือปืนหันมายิงสุวรรณ สุวรรณหลบแล้วยิงสวนไปโดนต้นขามือปืน มือปืนกุมแผลวิ่งกะเผลกต่อไปข้างหน้า จ่าแม่นและหมู่จ้อยวิ่งเข้ามาแล้วเล็งปืนไปที่มือปืนคนนั้น
“เฮ้ย! หยุด!! เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวซะดีๆ”
มือปืนชะงักแล้วก็ทำท่าเลิ่กลั่ก สุวรรณที่ตามมากระโดดเตะมือของมือปืนจนปืนกระเด็นหล่นที่พื้น
ดาวเรืองได้ยินเสียงจ่าแม่นบอกว่าตำรวจมาก็เบาใจจึงยัดปืนใส่มือจินตวัฒน์
“ที่เหลือนายจัดการเองก็แล้วกัน”
ดาวเรืองวิ่งกลับไปที่หน้าต่างแล้วกระโดดหายไปในความมืด
จินตวัฒน์เรียก “ดาวเรือง! เดี๋ยว!!”
สุวรรณซึ่งใส่ถุงมือดำและพรางตัวชุดดำเก็บปืนของมือปืนส่งให้จ่าแม่นก่อนจะวิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็วเช่นกัน
มือปืนเห็นว่าตนหมดทางรอดจึงยกมือขึ้นเพื่อบอกว่ายอมแพ้ จ่าแม่นส่งปืนให้หมู่จ้อย ช่วงจังหวะที่ทั้งคู่เผลอ มือปืนก็ถีบจ่าแม่นจนกระเด็นไปที่พื้นแล้วบิดมือหมู่จ้อยไพล่หลังก่อนจะเอาปืนจ่อหัวเป็นตัวประกัน
มือปืนพูดกับจ่าแม่น “ถ้าขยับ กูระเบิดหัวเพื่อนมึงแน่”
จ่าแม่นชะงักกึก มือปืนจะพาหมู่จ้อยขยับหนีแต่ยังไม่ทันได้ไปไหน จินตวัฒน์ก็ฟาดใส่ก้านคอมือปืนจนล้มลงแล้วสลบคาที่
จินตวัฒน์พูดกับจ่าแม่น “รีบพาตัวส่งโรงพยาบาลและกันไว้เป็นพยานเถอะครับ...ก่อนที่พวกมันจะตามมาปิดปากกันเอง”
จ่าแม่นกับหมู่จ้อยกุลีกุจอลากมือปืนคนนั้นออกไป
พฤกษ์ที่นั่งรออยู่ในรถเริ่มมีอาการหงุดหงิด เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว พฤกษ์เปิดประตูออกจากรถแล้วเดินไปเดินมา เขาคอยชะเง้อมองไปที่ประตูผับก็เห็นนักเที่ยวเดินเข้าไปในผับแต่ไม่มีใครเดินออกมา
พฤกษ์ถอนใจเฮือกแล้วพยายามใจเย็น เขาเดินกลับไปที่รถแล้วเปิดประตู พฤกษ์กลับเข้ามานั่งที่เบาะคนขับ ปรับเบาะเอนแล้วนอนรอแต่ก็ลืมตาโพลงเพราะหงุดหงิดใจ
สันติสุขแต่งตัวลำลองเพราะถูกเรียกมากลางดึกกำลังยืนคุยกับจินตวัฒน์หน้าห้องฉุกเฉิน
“ตาย 1 บาดเจ็บ 1 เดี๋ยวทำแผลเสร็จ เราจะกันตัวไปสอบ คิดว่าน่าจะสาวไปถึงคนบงการได้แน่”
“ขอบคุณนะครับที่ส่งจ่าแม่นกับหมู่จ้อยไปดูแลผม”
“ต้องขอบใจดาวเรืองที่มาส่งข่าว”
“ดาวเรืองเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ...ทำไมดาวเรืองถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวของคนพวกนั้นเร็วกว่าคนอื่น บางครั้งก็เร็วจนผมกลัว”
สันติสุขทวนคำ “กลัว”
“ครับ...กลัวว่าเด็กอย่างดาวเรืองจะมีส่วนพัวพันกับพวกนั้นด้วย”
“มีน่ะมีแน่”
จินตวัฒน์อึ้งและผิดหวังสุดๆ
“แต่ไม่ใช่พัวพัน แค่สังเกตการณ์” สันติสุขบอก
“หมายความว่ายังไงครับ”
สันติสุขนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจพูด “ไอ้เรือง...เป็นสายของเรา เรื่องนี้รู้แค่ผมกับไอ้เรือง แล้วตอนนี้ก็คุณ ยิ่งรู้กันมากเท่าไหร่ ไอ้เรืองก็ยิ่งไม่ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
จินตวัฒน์อึ้งกับความจริงที่ได้ยินเต็มสองหู
“เพราะอย่างนั้นตำรวจถึงได้ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้ดาวเรืองเป็นนักเลงเฉียดคุกไปมา แต่ไม่เคยติดคุกสักครั้ง”
“เวลาอยากได้ข่าวจากมันที ผมก็ให้จ่าแม่นไปจับไพ่จับเหล้าเถื่อน เดี๋ยวมันก็มาโรงพัก ใครจะขนไม้เถื่อน ขนยา หรือตั้งแก๊งลักรถ...หลบเข้ามาในเขตเราปุ๊บ เรารวบได้หมด ไอ้เรืองมันช่วยเรามาเป็นปีๆ แล้วครับ อย่างคราวที่จับแรงงานเถื่อนมันจะพาตำรวจไปเองก็ได้ แต่มันอยากให้เป็นผลงานของปลัด”
จินตวัฒน์อึ้ง “แต่คราวนี้คนที่จัดการคนร้ายซะร่วงคือดาวเรืองครับ ไม่ใช่ผม”
“แล้วปืนที่ใช้ยิงคนร้ายอยู่ไหนล่ะครับ ไอ้เรืองเอาไปด้วยรึเปล่า ตำรวจต้องใช้ประกอบคดี”
“อยู่กับผมครับ ปืนผม”
สันติสุขคลี่ยิ้มเพราะเข้าใจความตั้งใจของดาวเรือง “ในเมื่อมันเป็นปืนคุณ คนที่จัดการคนร้ายได้ครั้งนี้ก็คือคุณครับ..ปลัด”
จินตวัฒน์อึ้งเป็นคำรบที่สามแล้วก็นึกฉุนดาวเรืองที่ยัดเยียดความดีความชอบให้เขา
นาฬิกาข้อมือของพฤกษ์บอกเวลา 5 ทุ่ม ความอดทนของเขาถึงขีดสุด พฤกษ์เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไป
สุดาวดีอยู่ในสภาพเมาสะบัดกำลังเต้นเพลง On the Floor ของ Jennifer Lopez กับลูกค้าฝรั่งและทีมเอเจนซี่อย่างสนุกสุดเหวี่ยง พฤกษ์เดินเข้ามามองหา พอเห็นสุดาวดีเขาก็ตรงเข้าไปหา พฤกษ์ประชิดตัวสุดาวดีด้วยสีหน้านิ่ง สุดาวดีหันมาเห็นพฤกษ์
“ไฮ พฤกษ์ซี่ มาสนุกด้วยกันมา”
พฤกษ์พูดหน้านิ่ง “ถ้าจะให้ผมขับรถไปส่งคุณ คุณก็ต้องออกไปกับผมเดี๋ยวนี้”
“ขออีกครึ่งชั่วโมงน๊า...กำลังมันเลย”
“งั้นก็เอากุญแจคืนไป”
พฤกษ์จับมือสุดาวดีขึ้นมาแล้วยัดกุญแจรถใส่มือเธอ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที สุดาวดียืนโงนเงนมองตามหลังพฤกษ์แล้วตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี
พฤกษ์ก้าวเร็วๆ จากหน้าผับไปที่ถนน สุดาวดีวิ่งสะเปะสะปะตามมาเรียก
“นายพฤกษ์!”
พฤกษ์ไม่สนใจ เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ที่กำลังแล่นมาแต่ไกล
“พฤกษ์ซี่...”
สุดาวดีถลาเข้ามาเกาะแขนพฤกษ์เป็นหลักให้ยืนอยู่
“ผมจะกลับบ้าน” พฤกษ์บอก
สุดาวดีซบหน้ากับไหล่พฤกษ์ “ฉันขับรถไม่ไหว นายช่วยฉันหน่อยนะ”
พฤกษ์ได้กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของสุดาวดีหึ่งจนเขารู้สึกเหม็น พฤกษ์ยกมือและขอโทษรถแท็กซี่ที่ขยับเข้ามาจอด แท็กซี่แล่นจากไป พฤกษ์เหลือบมองสุดาวดีที่เกาะเขาอย่างหมดสภาพแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอา
จินตวัฒน์ก้าวลงจากรถ เขาหยุดยืนที่หน้าร้านดาวเรืองซึ่งปิดไฟมืด แต่ในบ้านยังเปิดไฟสว่างอยู่
จินตวัฒน์รู้สึกเกรงใจแต่คิดว่ายังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องจึงตะโกนเรียก “ดาวเรือง! ดาวเรือง!”
ดาวเรืองนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่บานชื่นเอาพวงมาลัยดอกดาวเรืองถวายพระพุทธแล้วกราบ
เสียงจินตวัฒน์ดังขึ้น “ดาวเรือง..นอนรึยัง!”
“นั่นมันเสียงคุณปลัดนี่หว่า ใช่มั้ยไอ้เรือง” บานชื่นถามลูกสาว
ดาวเรืองปิดหนังสือแล้วชะเง้อมองไปที่หน้าบ้าน บานชื่นขยับมาเปิดประตู
“คุณปลัดมีอะไรค้า มาซะดึกเชียว” บานชื่นถาม
“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับดาวเรืองน่ะครับน้าบานชื่น ขออนุญาตนะครับ”
บานชื่นหันกลับไปหาดาวเรืองที่ขยับมายืนข้างๆ ดาวเรืองเห็นจินตวัฒน์จ้องเขม็งมาที่ตนก็แปลกใจ
น้ำหวานรับคีย์การ์ดจากโอเปอเรเตอร์ของคอนโด
“วันนี้น้องให้แม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาดห้องที่คุณน้ำหวานเช่าให้น้องจัสมินแล้วนะคะ แล้วน้องจัสมินล่ะคะ” โอเปอเรเตอร์รายงาน
“ว่าจะแวะไปรับพรุ่งนี้ คืนนี้ไม่ไหว เพิ่งพาเด็กอีกคนไปถ่ายโฆษณามา...เหนื่อยม๊าก”
น้ำหวานเดินเอาคีย์การ์ดไปแตะที่กระจกหน้าลิฟต์
พฤกษ์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าคอนโด เขาลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาอีกฝั่งก่อนจะเปิดประตู สุดาวดีหลับไร้สติไปกับเบาะ
“คุณโรส” พฤกษ์เขย่าแขนเพื่อปลุก “คุณโรส คุณโรส!!”
สุดาวดีขยับตัวงัวเงียก่อนจะส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์
พฤกษ์รำคาญจึงก้มตัวลงไปลากสุดาวดีออกมาพร้อมกับกระเป๋าก่อนจะประคองพาเดินไป
ดาวเรืองนั่งกระดิกเท้ากวนๆ ตรงหน้าจินตวัฒน์
“เอ้า...จะสอบสวนเรื่องอะไรก็เร็วๆ เข้า ง่วงจะตายชัก”
“เธอโยงทุกเรื่องมาหาฉันเพราะต้องการให้ฉันมีผลงานใช่มั้ย”
ดาวเรืองอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่ “เออ..แล้วไง”
“ฉันไม่ต้องการให้ใครมาสร้างผลงานให้ฉัน เธอเป็นคนทำ เธอก็รับความดีความชอบไปสิ”
“ความดีความชอบของใครไม่สำคัญเท่ากับประเทศชาติได้อะไร จะผลงานใคร ประเทศชาติก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น เป็นผลงานของปลัดก็เหมาะแล้วนี่ เพราะปลัดเป็นข้าราชการ จะให้เป็นผลงานของแม่ค้าอย่างฉันได้ไง เกิดมันรู้ว่าฉันอยู่เบื้องหลังฉันก็โดนมันฆ่าล้างโคตรสิ ฉันไม่ใช่เซเลอร์มูนนะ...จะได้สู้กับผู้ร้ายเป็นกองทัพได้”
“แต่เธอทำดี ทุกคนก็น่าจะได้เห็นความดีของเธอ”
“ดีชั่วอยู่ที่ใจ แค่ฉันรู้ แม่ฉันพี่ฉันแล้วก็นายรู้ ว่าฉันเป็นคนดีก็พอแล้ว เอาน่าเฮีย... รอดตายแล้วก็อย่าคิดมาก คิดมากแล้วเยี่ยว เอ๊ย ฉี่เหลือง 5 5 5”
จินตวัฒน์มองดาวเรืองด้วยแววตาลึกซึ้ง “ขอโทษนะดาวเรือง...ที่ฉันมองเธอผิดมาตั้งแต่ต้น”
ดาวเรืองหัวเราะไม่ออกที่เห็นจินตวัฒน์เปลี่ยนเป็นโหมดซึ้ง
“แล้วก็ขอบคุณมาก...ที่ช่วยชีวิตฉันวันนี้” จินตวัฒน์พูดต่อ
ดาวเรืองเขิน “นายก็เคยช่วยฉันไว้เหมือนกันนี่ จำได้ปะ...วันที่กำนันเทิ้มโดนยิง ถ้านายไม่ปิดปากฉันไว้ ฉันคงถูกพวกไอ้เสี่ยกำพลระเบิดหัวไปแล้ว ถือว่าเจ๊ากันไปละกัน”
ทั้งสองคนมองและยิ้มให้กันซึ่งเป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความจริงใจ ความห่วงใย และเจือไปด้วยความรักที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้ตัว
พฤกษ์ประคองสุดาวดีที่เดินสะเปะสะปะเข้ามา ทั้งสองเดินผ่านโต๊ะ รปภ. ไปที่ลิฟต์ รปภ.ที่นั่งอยู่จำสุดาวดีได้ก็มองตามตาไม่กะพริบ
“เดินดีๆ สิ เดี๋ยวก็ได้หกล้มเข้าโรงพยาบาลอีกหรอก...คีย์การ์ดอยู่ไหน” พฤกษ์ถาม
สุดาวดีตอบอย่างงัวเงีย “ในกระเป๋า”
พฤกษ์เปิดกระเป๋าสุดาวดีแล้วหยิบคีย์การ์ดออกมา
“มีสติหน่อยสิคุณ คนอื่นมองอยู่ คุณไม่อายรึไง”
สุดาวดีหัวเราะอย่างมีความสุข “อายทำไม สนุกจะแย่”
สุดาวดีกอดพฤกษ์แล้วชวนหมุนเต้นระบำก่อนจะหัวเราะเริงร่า รปภ. ชะเง้อมอง พฤกษ์รีบเอาคีย์การ์ดแตะที่ประตูก่อนจะพาสุดาวดีซึ่งกอดเขาอย่างอีนุงตุงนังเพื่อไปยืนรอลิฟต์
ดาวเรืองเดินออกมาส่งจินตวัฒน์ที่หน้ารถ
“ฉันขอบใจเธอแทนข้าราชการทุกคนนะ ที่ช่วยแบ่งเบางานของพวกเรา” จินตวัฒน์บอก
“ก็ถ้าข้าราชการทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ชาวบ้านก็คงไม่ต้องเหนื่อย” ดาวเรืองว่า
“มันก็จริงของเธอ ฉันจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนเธอ..ดาวเรือง ถึงเธอจะเก่งยังไง งานนี้ก็ยังอันตรายเกินไปสำหรับเธอ ฉันอยากให้เธอวางมือจากงานเสี่ยงๆ พวกนี้ซะ หัดทำตัวให้เป็นผู้หญิงกับเขาซะบ้าง”
“อ้าว...เอ๊ย!!! ฉันก็เป็นผู้หญิงตั้งแต่เกิด นายเห็นฉันเป็นอะไรล่ะ”
จินตวัฒน์แกล้งมองสำรวจเรือนร่างของดาวเรืองแล้วหัวเราะหึ หึ
ดาวเรืองเก้อเขินแต่ก็ยังทำกร่าง “แค่ไม่มีนม ไม่มีตูด ไม่มีสะโพก ไม่มีปาก หู ตา คอ จมูกเซ็กซี่แค่เนี้ย”
“แค่นี้ก็มากเกินไปแล้ว” จินตวัฒน์หัวเราะ
“ถึงไม่มีของ แต่ก็เซ็กซี่ได้เหมือนกันนะเว้ย..ว่าไงคะ..ปลัดขา”
ดาวเรืองพยายามโพสต์ท่าเซ็กซี่สุดๆ ทั้งเลิกคิ้ว หลิ่วตา ปากจู๋ แอ่นอก บิดสะโพก ยั่วยวน จินตวัฒน์เห็นท่ายั่วออกแนวกระเทยของดาวเรืองแล้วก็หัวเราะไม่หยุด
ดาวเรืองเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาซะอย่างงั้น “หยุดหัวเราะได้แล้ว ขำอะไรนักหนา! บอกให้หยุดไง!”
“ก็มันดูเหมือนผู้ชายลุกขึ้นมาทำท่าบิดสะโพกเป็นผู้หญิงมากกว่า”
จินตวัฒน์ยังไม่หยุดขำ ดาวเรืองเดินเข้าหาจินตวัฒน์แล้วทั้งทุบตี บิดเนื้อ แถมไล่ข่วน จินตวัฒน์หลบไปหลบมาจนหลังไปพิงรถตัวเอง ดาวเรืองตามไปทุบจินตวัฒน์ต่อ จินตวัฒน์จับข้อมือทั้งสองข้างของดาวเรืองไว้ ทั้งคู่ชะงักแล้วจ้องตากันนิ่งโดยที่ต่างคนต่างหน้าแดง
“เชื่อแล้วว่าเป็นผู้หญิง”
ดาวเรืองตะคอกแก้เก้อ “อะไร!”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไล่ชกไล่เตะฉัน แต่นี่...เปลี่ยนมาทุบมาหยิกแทน...ฉันชอบแบบนี้นะ น่ารัก ดูเป็นผู้หญิงดี”
ดาวเรืองเขินมาก “บ้า!”
ดาวเรืองหันหลังรีบเดินกลับเข้าร้านแต่ไปเตะเก้าอี้ล้มดังโครม เธอหันกลับมามองจินตวัฒน์แล้วก็แก้มก็แดงหนักขึ้นไปอีก จินตวัฒน์มองดาวเรืองขำๆ ดาวเรืองรีบยกเก้าอี้ที่ล้มขึ้นตั้ง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าบ้านไป
จินตวัฒน์มองตามดาวเรืองแล้วยิ้มเคลิ้มเหมือนหนุ่มน้อยอายุ 14 บานชื่นที่แอบดูทั้งคู่อยู่มุมหนึ่งก็ยิ้มมีความสุข
พฤกษ์ประคองสุดาวดีออกจากลิฟต์มาที่โถงทางเดิน สุดาวดีแหกปากร้องเพลง On the Floor ของ Jennifer Lopez ไปเต้นไป
พฤกษ์ดุเบาๆ “คุณโรส เงียบหน่อย!”
นอกจากสุดาวดีจะไม่เงียบแล้วยังแหกปากร้องและเต้นพล่านไปทั่วโถงทางเดินหนักขึ้นอีก
พฤกษ์เสียงเข้ม “หัดเกรงใจห้องอื่นเขาบ้าง!!”
“มีดาราดังมาร้องเพลงให้ฟังฟรีๆ เขาต้องออกมาขอบคุณด้วยซ้ำ นายอยากฟังเพลงอะไร ฉันจะร้องให้ฟัง ตอบแทนที่นายใจดีกับฉัน”
“ไม่เอา!”
“งั้นฉันจะร้องเพลงที่ฉันชอบละกัน”
สุดาวดีเดินแหกปากร้องเพลงต่อเหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ พฤกษ์เดินจ้ำตามจนทั้งคู่เดินผ่านห้องห้องหนึ่งไป น้ำหวานเปิดประตูห้องออกมากะจะด่าเต็มที่แต่เมื่อเห็นว่าเป้าหมายที่ตัวเองจะด่าคือใครก็เปลี่ยนอารมณ์กลายเป็นสงบปากสงบคำแต่ตาเป็นประกายวาว
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดาวเรือง ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุดาวดีเดินพ้นโค้งมา โดยที่พฤกษ์เดินตามหลังมาล็อคตัว เขาเอามือปิดปากแล้วลากสุดาวดีไปถึงหน้าห้อง สุดาวดีดิ้นเร่าๆ เมื่อถึงประตูห้อง พฤกษ์ก็ปล่อยสุดาวดีอย่างสุดแสนจะระอา สุดาวดีเซเสียหลักจนเกือบล้ม
“คุณรีบเข้าห้องไปเลยไป”
“นายกล้าดียังไงมาทำกับฉันยังงี้”
“ก็คุณโวยวายไร้มารยาท ขืนปล่อยให้คุณตะโกนโหวกเหวก ห้องอื่นได้มาฉะคุณแน่ นอกจากขี้เหวี่ยง ขี้วีน แล้วคุณอยากจะให้คนอื่นมาตราหน้าว่าคุณเมาไร้สติ ไม่มีมารยาท ไม่มีสมบัติผู้ดีงั้นเหรอ”
“เออ! ฉันมันเหวี่ยง วีน แล้วยังไม่มีสมบัติผู้ดี แต่ฉันจะต้องแคร์อะไรในเมื่อผู้หญิงทั้งประเทศอยากจะสวยเซ็กซี่แบบฉันทั้งนั้น แถมผู้ชายทั้งประเทศก็ฝันอยากจะควงฉันน้ำลายหก”
“ยกเว้นผม ผู้หญิงถ้าไร้สติ แยกไม่ออกว่าอะไรผิดอะไรถูก ต่อให้สวยแค่ไหนผมก็ไม่มอง มันก็แค่สวยแต่รูปจูบไม่หอม”
สุดาวดีตอกกลับทันที “ก็มันจะหอมได้ไงในเมื่อนายไม่ชอบผู้หญิง นายไม่สนใจของสวยงาม เพราะนายชอบแบบหล่อล่ำกล้ามปูใช่มั้ยล่ะ”
พฤกษ์ยัวะจัด “ก็แล้วแต่คุณจะคิด!”
สุดาวดีหัวเราะ “ไม่เถียง แต่ก็ไม่ยอมรับ งั้นฉันจะทำให้นายยอมรับเองว่านายเป็นเกย์”
ทันใดนั้น สุดาวดีก็ถลันเข้าไปเขย่งเพื่อจูบปากพฤกษ์อย่างรวดเร็วจนพฤกษ์ไม่ทันตั้งตัว พฤกษ์อึ้งและนิ่ง
สุดาวดีหัวเราะเยาะเย้ย “เห็นมั้ย นายไม่รู้สึกอะไร ไม่วาบหวิวสยิวกิ้วก็เพราะนายไม่ชอบผู้หญิง ยอมรับซะเถอะพฤกษ์ซี่”
สุดาวดียืนพิงประตูห้องแล้วกอดอกมองพฤกษ์ เธอยิ้มเย้ยด้วยท่าทางที่แสนเซ็กซี่ในสายตาชายหนุ่ม พฤกษ์ระงับโทสะและอารมณ์พิศวาทไว้ไม่ไหวจึงก้าวเข้าไปหาก่อนจะกระชากตัวสุดาวดีเข้ามาจูบ French Kiss อย่างดูดดื่ม สุดาวดีตาเหลือกแล้วเหลือกอีกด้วยความช็อก
น้ำหวานใช้โทรศัพท์ i-phone ถ่ายด้านหลังพฤกษ์ที่กำลังนัวเนียจูบกันดูดดื่มกับสุดาวดี
พฤกษ์เห็นสุดาวดีนิ่งไปจึงรีบผละออกมา
“ขะ...ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
สุดาวดีตกใจและทำหน้าไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก เธอรีบเอาการ์ดเสียบที่ช่องแล้วเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตูดังปัง
น้ำหวานลดมือถือลงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์และมีแผนร้ายก่อนจะเดินออกมา พฤกษ์รู้สึกผิด เขาทำท่าจะเคาะประตูแต่ก็ชะงักมือไว้เพราะไม่รู้ว่าจะเคาะเพื่อพูดอะไร พฤกษ์ยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาย้อนกลับไปที่ลิฟต์
สุดาวดียืนหลังพิงประตูห้องด้วยหัวใจที่เต้นแรงและสีหน้าตื่นตระหนก เธอหายเมาเป็นปลิดทิ้ง สุดาวดีค่อยๆ เดินมาที่กลางห้องช้าๆ ด้วยสมองที่มึนงงแล้วเริ่มลำดับเหตุการณ์ระหว่างเธอกับพฤกษ์อย่างวุ่นวายในขณะที่มองไปที่ระเบียง
พฤกษ์เดินออกจากคอนโดฯ ไปที่ถนน สุดาวดีเปิดประตูออกมาที่ระเบียงแล้วชะโงกหน้าจากราวระเบียงมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง จู่ๆ พฤกษ์ก็หยุดเดินแล้วเหลือบมองขึ้นมาที่ห้องสุดาวดีอย่างชั่งใจว่าจะขึ้นไปหาหรือจะกลับดี
สุดาวดีรีบหลบโดยเอาตัวแนบผนังตึก พฤกษ์ตัดใจเดินออกไปที่ถนน สุดาวดีชะโงกมองพฤกษ์อีกครั้งก็เห็นพฤกษ์เดินพ้นรั้วคอนโดไปแล้ว สุดาวดียกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน วาบหวิว หวั่นไหวเพราะพฤกษ์ไม่ใช่เก้งกวางที่ไหน แต่เขาเป็นผู้ชายเต็มตัว
ดาวเรืองนอนลืมตาโพลงด้วยตาเคลิ้มฝัน ในใจของเธอว้าวุ่นจนต้องลุกขึ้นมานั่งส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับจินตวัฒน์ออกไป บานชื่นที่นอนอยู่ข้างๆ พลิกตัวมามองลูกสาว
บานชื่นรู้ทันแต่แกล้งถาม “เป็นอะไรไปวะไอ้เรือง”
“นอนไม่หลับอะแม่ อ่านหนังสือดีกว่า”
ดาวเรืองหยิบหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่วางอยู่หัวนอนขึ้นมารวบรวมสติแล้วอ่าน บานชื่นยิ้มเอ็นดูลูกสาว
จินตวัฒน์ไล่ดูรูปดาวเรืองที่แอบถ่ายในกล้องในขณะที่นอนหงายอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาระบายยิ้มแบบคนกำลังมีความรัก
จินตวัฒน์นึกถึงตอนที่เขาแกล้งดาวเรืองโดยใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองซึ่งพ่วงมือซ้ายของดาวเรืองที่ติดกับมือขวาของเขาจับของขึ้นทูนหัว แล้วจัดแจงใส่บาตร ทำให้ดาวเรืองต้องใส่ด้วยเพราะมือติดกัน
เพี้ยนกระซิบถามดาวเรือง “พี่เรือง ทำไมไปใส่บาตรร่วมขันกับปลัดแบบนี้ล่ะ”
ดาวเรืองถลึงตาใส่เพี้ยนด้วยความอายจนแทบจะเอาหัวมุดไปใต้โต๊ะ
จินตวัฒน์นึกถึงตอนที่ เขากับดาวเรืองให้อาหารเป็ดไป คุยเล่นกับเป็ดไปแล้ว และช่วยกันตั้งชื่อเป็ดด้วยกัน
จินตวัฒน์นึกถึงตอนที่นอนกอดดาวเรืองอยู่เมื่อครั้งไปในป่าด้วยกัน เขาชะเง้อคอมองเห็นงูเลื้อยไปทางอื่นก็ถอนใจเฮือกโล่งอก จินตวัฒน์ก้มมองดาวเรืองซึ่งยังหลับตาปี๋กอดเขาแน่นแล้วก็ยิ้มเอ็นดูเพราะเขารู้สึกว่าถึงจะแก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า แต่ยังไงดาวเรืองก็ยังเป็นผู้หญิงวันยันค่ำ
“มันไปทางอื่นแล้ว” จินตวัฒน์บอก
ดาวเรืองลืมตา ทั้งสองคนมองตากันด้วยความดีใจแล้วก็ยิ้มให้กัน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ จินตวัฒน์ก็ยิ้มเคลิ้ม แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเอามากเลยลุกขึ้นนั่ง เพราะตกใจกับตัวเองที่เผลอใจไปกับดาวเรืองมากมายขนาดนี้ ชายหนุ่มพยายามเรียกสติกลับคืนมาด้วยการหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
สุดาวดีที่อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเตียง เธอยังอึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย สักครู่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สุดาวดีหน้าเด้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สุดาวดีเปรย “พฤกษ์...”
สุดาวดีเปิดกระเป๋าถือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วลังเล
“จะรับดีมั้ย”
แล้วความอยากรับก็เป็นฝ่ายชนะ สุดาวดีจะกดรับโทรศัพท์แต่ดันเห็นชื่อที่หน้าจอเป็นชื่อ จิ๋น ความดีใจของสุดาวดีหายวับ แต่เธอก็ยังใส่แอ๊กติ้งขณะกดรับสาย
“จิ๋น...ดึกป่านนี้ยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
จินตวัฒน์พูดโทรศัพท์ขณะเดินออกมายืนที่ระเบียง
“ก็...กำลังจะนอนแล้วล่ะ โรสเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลยไม่ค่อยได้โทรหา”
“โรสก็งานยุ่งเลยไม่ค่อยได้โทรหาจิ๋นเหมือนกัน นี่ก็เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงลูกค้าฝรั่ง เขามาเซ็นสัญญาซื้อน้ำแร่ที่โรสเป็นพรีเซนเตอร์ไปขายเมืองนอกน่ะ โรสจะได้โกอินเตอร์แล้วนะจิ๋น”
“ยินดีด้วยนะโรส เมื่อวานผมก็เพิ่งบุกจับแรงงานเถื่อนมา ยิงกับผู้ร้ายสนั่นยังกับในหนัง”
สุดาวดีใจลอยจนเรียกชื่อผิด “อันตรายอะ พฤกษ์ ต้องระวังตัวนะ โรสเป็นห่วง”
จินตวัฒน์งง “พฤกษ์”
สุดาวดีรู้ตัว “เอ่อ...คือ...โรสหมายถึงจิ๋นน่ะค่ะ ต้องระวังตัวให้มากนะคะ” สุดาวดีแกล้งหาว “ขอโทษนะคะ โรสอดนอนมาหลายวัน”
“ถ้างั้นก็พักผ่อนเถอะนะ ผมไม่กวนแล้ว” จินตวัฒน์หลุดบ้าง “รีบนอนซะ...เด็กดื้อ”
สุดาวดีรู้สึกทะแม่งๆ “โรสเป็นเด็กดื้อของจิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่”
จินตวัฒน์รู้ตัว “เอ่อ...ไม่ใช่ครับ โรสไม่ใช่เด็กดื้อ เอ่อ...หลับฝันดีนะครับโรส”
“ค่ะ” สุดาวดีพยายามตั้งสติก่อนพูดเพื่อไม่ให้พลาดอีก “กู๊ดไนท์ค่ะจิ๋น”
สุดาวดีวางสายไปแล้วแอบถอนหายใจโล่งอก
จินตวัฒน์กดวางสายแล้วถอนใจเฮือกหนักหน่วงกว่า เขาแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วคิดว่านี่เขาเป็นอะไร ทำไมเขาต้องรู้สึกผิดกับสุดาวดี เพราะในใจเขาว้าวุ่นอยู่กับดาวเรืองอย่างนั้นหรือ
ประตูห้องคนไข้เปิดอ้า เตียงที่อยู่ภายในว่างเปล่า ผ้าห่มตกกองอยู่ที่พื้น บานหน้าต่างมีสภาพถูกงัดเปิด สันติสุขก้าวไปยืนกลางห้อง เขามองสภาพโดยรอบแล้วหันมาเอ็ดตะโรลั่น
“ทำไมถึงสะเพร่าขนาดนี้ห๊า!!! ปล่อยผู้ต้องหาที่จะกันไว้เป็นพยานหลบหนีไปแบบนี้ ผมจะรายงานผู้บังคับบัญชาว่ายังไง!”
จ่าแม่นและหมู่จ้อยยืนก้มหน้าสลด จินตวัฒน์นิ่งแต่ก็รู้สึกเสียดายที่มือปืนหลบหนีไปได้ ศักดิ์ มือปินซึ่งปลอมเป็นพนักงานทำความสะอาดที่กำลังถูพื้นอยู่ใกล้ๆ ก้มหน้าก้มตาเดินผ่านทั้งสี่คนไปก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้ามาชำเลืองกลุ่มตำรวจเล็กน้อย ศักดิ์มีสีหน้าเครียดขมึงก่อนจะรีบเดินจากไป
ชาติสั่งงานคนงานเลื่อยไม้ที่ทำงานมือเป็นระวิงอยู่ กำพลกระชากคอเสื้อศักดิ์ด้วยความโมโหแล้วตะคอกใส่หน้า
“มึงรีบตามไปเก็บมันซะ มันหนีไอ้พวกตำรวจหน้าโง่ได้ แต่อย่าให้พ้นเงื้อมมือเราเด็ดขาด”
กำพลปล่อยมือจากคอเสื้อศักดิ์แรงๆ ศักดิ์ค่อยโล่งอก
“ครับนาย” ศักดิ์รับคำ “เมื่อกี้ไอ้โป่งเพิ่งให้เมียมันโทรหาผม มันขอเงินหนีข้ามไปฝั่งโน้น ผมนัดมันจ่ายเงินแล้วครับ”
กำพลค่อยสงบลง “จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เดือดร้อนถึงกู”
“ครับ”
ศักดิ์รีบเดินออกไป กำพลมองตาม แววตาของเขาฉายความเหี้ยมเกรียมก่อนจะเดินเข้าไปตรวจงานต่อ
ดาวเรืองชงโอเลี้ยงอยู่ที่เคาน์เตอร์ไปด้วยคุยกับจินตวัฒน์ไปด้วย
“แผนที่ว่ามันก็เข้าท่าอยู่นะปลัด ฉลาดดี...แต่ฉลาดไม่สุด” ดาวเรืองว่า
“หมายความว่าไง”
ดาวเรืองยื่นโอเลี้ยงให้ “ปล่อยเสือเข้าป่าแบบนั้น ไม่คิดเหรอว่ามันจะฉวยโอกาสหนีไปจริงๆ ไม่งั้นเขาจะพูดกันว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจรเหรอ”
จินตวัฒน์คิดและคล้อยตาม “จริงสิ นายโป่งอาจจะหักหลังตำรวจแล้วหลบหนีไปเลยก็ได้ งั้นช้าไม่ได้แล้ว”
จินตวัฒน์วางแก้วโอเลี้ยงแล้วเตรียมจะวิ่งไปที่รถ
ดาวเรืองจับแขนจินตวัฒน์ “ฉันไปด้วย”
“ไม่ได้ มันอันตราย”
“สู้มาจนขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ปล่อยให้นายไปตายคนเดียวหรอก”
ทั้งสองสบตากันนิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยสายใยที่ประสานกันแน่น นอกเหนือจากความห่วงหาอาทรแล้ว ยังมีความเป็นเพื่อนแท้ที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขรวมอยู่ด้วย
ศักดิ์ยื่นซองน้ำตาลใส่เงินให้โป่ง โป่งรับซองเงินมาใส่ในเป้
โป่งยกมือขึ้นไหว้ศักดิ์ท่วมหัว “ขอบใจมากพี่ศักดิ์ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณพี่กับเสี่ยเลย”
“เออ รับเงินแล้วก็รีบหายหัวไปซะ” ศักดิ์ว่า
“จ้ะพี่ ฉันไม่กลับมาให้ทุกคนเดือดร้อนแน่ ฝากขอโทษเสี่ยกำพลด้วยที่คราวนี้ฉันทำพลาด ฉันว่า..มันต้องมีสายไปบอกให้ไอ้ปลัดรู้ตัวแน่ ไม่งั้นตำรวจคงไม่มาคุ้มกันมัน”
“เอ็งไม่ต้องห่วงเสี่ยหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า เสี่ยเขามีอิทธิพล ถึงจะมีคนสงสัย ก็ไม่มีใครเอาผิดคนระดับเขาได้หรอก”
จ่าแม่นจับตาดูศักดิ์และโป่งอยู่ที่หลังพงไม้ที่อยู่ห่างออกมา ตำรวจอีก 3 นายที่เฝ้าระวังอยู่ตามพงไม้บ้างหลังต้นไม้บ้างอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะเข้ารวบตัวศักดิ์ โป่งยกมือไหว้ศักดิ์แล้วหันหลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ศักดิ์จับตามองแผ่นหลังของโป่งที่ก้าวห่างออกไปก่อนจะเลื่อนมือไปที่ปืนซึ่งเหน็บเอวไว้ด้านหลัง
จ่าแม่นรีบยกปืนยิงขึ้นฟ้าให้สัญญาณก่อนยิงเปรี้ยง ศักดิ์สะดุ้งเฮือกแล้วยกปืนขึ้นส่องกราด เมื่อเห็นจ่าแม่นและตำรวจอีก 3 นายพุ่งจากที่ซ่อนเขาก็รู้ทันทีว่าถูกซ้อนแผน
จ่าแม่นและพวกตำรวจยังไม่ทันเข้าใกล้ศักดิ์ก็ถูกมือปืน 3 คนที่ตามมาคุ้มกันศักดิ์ยิงสวนมาจากพงไม้ เกิดการยิงต่อสู้กันระหว่างตำรวจและผู้ร้าย โป่งวิ่งหนีไปอีกทางที่ไม่มีการยิงกัน
จ่าแม่นและตำรวจบุกตามศักดิ์ไป พวกมือปืนคอยยิงสวนออกมาตลอดเวลา ศักดิ์อาศัยช่วงชุลมุนหนีเข้าป่าอีกด้านไปได้ มือปืนทั้ง 3 เห็นศักดิ์หนีรอดไปแล้วก็ค่อยๆ ล่าถอยแต่ก็ยังยิงป้องกันตัวด้วย จ่าแม่นและพวกตำรวจหลบกระสุนและยิงตอบ ก่อนจะตามไล่ล่าคนร้ายต่อไป
หมู่จ้อยยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นจุดนัดพบ โป่งวิ่งกะเผลกเข้ามาเพราะเจ็บแผลที่ขา หมู่จ้อยเห็นเลือดเริ่มซึมเลอะกางเกงโป่งจึงรีบเข้ามาพยุง
“เฮ้ย ไอ้โป่ง เลือดออกว่ะ สงสัยแผลที่เย็บไว้จะฉีก เดี๋ยวข้าเรียกรถพยาบาล” หมู่จ้อยบอก
โป่งทำหน้าเจ็บแผลโอเวอร์ “หมู่..ฉันขอนั่งพักเดี๋ยว”
หมู่จ้อยค่อยๆ ประคองโป่งลงนั่ง แล้วหมู่จ้อยก็หยิบวิทยุสื่อสารออกมาโดยหันหลังให้โป่งแล้วพูดใส่วิทยุ
“เหยี่ยวเรียกเค้าแมว ได้ยินแล้วตอบด้วย”
โป่งยืนขึ้นพร้อมเงื้อไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงที่ต้นคอหมู่จ้อย ร่างหมู่จ้อยทรุดฮวบ วิทยุกระเด็นหลุดจากมือ โป่งทิ้งไม้แล้ววิ่งหนีเข้าไปในป่าทั้งที่ขายังเจ็บ หมู่จ้อยพยายามพยุงร่างขึ้นแล้วคลานไปหยิบวิทยุ ก่อนจะมีเสียงดังอู้อี้มาจากวิทยุ
หมู่จ้อยพูดด้วยใบหน้าเหยเก “ไอ้โป่งหักหลัง...มัน...หนี...ไปทางคลองน้ำใส”
หมู่จ้อยเหลียวไปมองโป่งก็เห็นแผ่นหลังของเขาหายลับไปในป่าทึบ
โป่งวิ่งกะเผลกกระหืดกระหอบมาถึงลำน้ำที่กั้นเขตแนวชายแดน เขายิ้มร่าแต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มก็จางหาย โป่งตาเหลือก เขาชะงักฝีเท้าแล้วถอยหลังไป 2-3 ก้าว ศักดิ์ขยับมาดักอยู่ด้านหน้าโดยยกปืนเล็งมาที่โป่งด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม
โป่งหน้าซีด “พะ...พี่ศักดิ์...”
“มึงจะหอบเงินเสี่ยไปไหน!”
ดาวเรืองวิ่งนำจินตวัฒน์เข้ามาที่ป่าใกล้ตะเข็บชายแดน ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนจากที่ใกล้ๆ ลั่นขึ้น 1 นัด ทั้งคู่สะดุ้งแล้วมองหน้ากัน
“มันดังมาจากทางนั้น” จินตวัฒน์บอก
จินตวัฒน์กับดาวเรืองรีบวิ่งตามเสียงปืนไป
โป่งยืนโงนเงน ศักดิ์ใช้เท้าถีบโป่งลงไปนอนคว่ำกับพื้น ก่อนจะกระชากเป้ออกมาจากตัวโป่ง แล้วหยิบซองใส่เงินแล้วเดินข้ามศพโป่งไป จินตวัฒน์วิ่งมาจากอีกด้านตามด้วยดาวเรือง จินตวัฒน์เห็นโป่งก็ตกใจ จินตวัฒน์เดินเข้าไปดูโป่ง โดยที่ดาวเรืองเดินตามมา จินตวัฒน์คุกเข่าลงข้างๆ ร่างโป่ง ดาวเรืองทรุดนั่งข้างๆ จินตวัฒน์
“พาไปส่งโรงพยาบาลเร็ว” ดาวเรืองบอก
ทั้งสองช่วยกันพลิกร่างที่นอนคว่ำหงายขึ้นจนเห็นบาดแผลถูกกระสุนเจาะที่กลางหน้าผากของโป่งเต็มตา ดาวเรืองหน้าซีดเผือดก่อนจะรีบเบือนหน้ามองไปทางอื่นด้วยความสังเวชใจ
จินตวัฒน์รู้สึกสลด “หมดทางช่วยแล้วล่ะ”
ทั้งสองมองศพโป่งด้วยความหดหู่
“อย่างที่เธอพูดไว้ไม่ผิด ไม่มีสัจจะในหมู่โจร” จินตวัฒน์หันไปพูดกับร่างไร้วิญญาณของโป่ง “แต่อย่างน้อยวาระสุดท้ายของชีวิต นายก็ได้ช่วยเหลือทางการ ขอบใจนะ”
จินตวัฒน์เอื้อมมือไปที่กระดุมเสื้อเม็ดบนสุดซึ่งเป็นกล้องจิ๋ว เขาจัดการแกะกระดุมกล้องออกในขณะที่ดาวเรืองหวาดวิตกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
สุดาวดีนอนหลับขวางพาดเตียงในสภาพที่ผล็อยหลับไปเมื่อคืน โทรศัพท์มือถือของเธอวางอยู่ใกล้มือ ทันใดนั้นโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น สุดาวดีงัวเงียตื่นก่อนจะเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์อย่างเบลอๆ
“ฮัลโหล... “ พอได้ยินโอเปอเรเตอร์บอกว่ามีแขกชื่อพฤกษ์มารอพบเธอก็ตาสว่างทันที “ฉะ...ฉัน...เอ่อ... ฉัน...ปวดหัว อยากนอนพัก ให้เขากลับไปก่อน”
สุดาวดีรีบวางหูกึกแล้วถอนใจเฮือกเพราะยังไม่พร้อมจะเจอหน้าพฤกษ์ในเวลานี้
พฤกษ์เดินจ๋อยออกมาจากคอนโด ขณะกำลังเดินออกไปที่ถนนเขาก็ชะงักแล้วหันกลับมามองระเบียงห้องสุดาวดีอีกครั้ง พฤกษ์เห็นระเบียงเงียบสงบและว่างเปล่า เขาถอนใจเฮือกด้วยความรู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสขอโทษหรืออธิบายใดๆ พฤกษ์ตัดใจเดินจากไป
สุดาวดีขยับออกจากมุมที่ซ่อนตัวแล้วมองลงไปที่หน้าคอนโดก็เห็นพฤกษ์เดินผ่านประตูรั้วออกไปที่ถนน สุดาวดีถอนใจเพราะสับสนว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ในเมื่อจูบของพฤกษ์ไม่ใช่จูบแรกแต่ทำไมถึงทำให้ใจหวั่นไหวได้ขนาดนี้
กำพลเดินจากบ้านพักมาที่รถจี๊ปที่จอดอยู่ ศักดิ์เดินตามออกมา โดยที่ชาติเปิดประตูรออยู่
“มึงน่าจะลากศพมันกลับมาด้วย กูอยากเห็นว่าไอ้คนที่มันกล้าหักหลังกู..หน้าตามันเป็นยังไง” กำพลว่า
“ตำรวจตามสกัดจับเป็นฝูงเลยครับเสี่ย แค่ผมจะเอาตัวให้รอดยังยาก” ศักดิ์อึกๆ อักๆ แล้วตัดสินใจพูด “เออ เสี่ยครับ... ช่วงนี้เสี่ยต้องระวังตัวให้มากนะครับ ผมว่าตำรวจมันรู้ความเคลื่อนไหวของเราหมดแล้ว แค่รอเวลาบุกเข้ามาจับเราเท่านั้น”
ชาติหวั่นใจ “ผมเห็นด้วยกับไอ้ศักดิ์ครับเสี่ย ตอนนี้เราน่าจะหยุดทุกอย่างไว้ก่อน...อยู่นิ่งๆ รอดูทีท่าตำรวจก่อนมั้ยครับว่ามันจะเอายังไง”
“กูจะนิ่งได้ไง กูเป็นนักธุรกิจ..ไม่ใช่มือปืนอย่างพวกมึงนี่ ไม้เที่ยวนี้ราคาตั้งกี่ร้อยล้าน กูส่งช้าแค่ชั่วโมงเดียว ก็ถูกปรับเป็นล้านแล้วเว้ย” กำพลว่า
ชาติกับศักดิ์ได้แต่ก้มหน้านิ่งทั้งที่อยากขัดแต่ก็เห็นจริงตามนั้น
กำพลพูดต่อ “มึงสองคนไม่ต้องตื่นตูมหรอกน่า ให้มันรู้ไป..ว่าคนอย่างเสี่ยกำพลจะสู้ไอ้พวก ข้าราชการกิ๊กก๊อกที่ดอนพัฒนาไม่ได้
กำพลก้าวขึ้นไปนั่งบนรถอย่างมั่นใจในบารมีตัวเอง ชาติและศักดิ์กระโดดขึ้นรถตาม โดยที่ชาติทำหน้าที่คนขับ
น้ำหวานผลักประตูคอนโดเข้ามา โดยมีจัสมินลากกระเป๋าเดินทางตามหลัง น้ำหวานเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ โอเปอเรเตอร์กับแม่บ้านกำลังจ้องจอคอมพิวเตอร์ที่เคาน์เตอร์แล้วเมาท์มอยกันอย่างเผ็ดร้อน หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นคลิปที่สุดาวดีโถมเข้าไปจูบปากพฤกษ์ซึ่งถูกอัพขึ้น Youtube
“แรว๊งอ้ะ!”
“แบบนี้ไม่ใช่คนหน้าเหมือนหรอกค่ะ พี่รู้จักคอนโดนี้ทุกซอกทุกมุม นี่มันคอนโดเราชัดๆ” แม่บ้านบอก
น้ำหวานเดินเข้ามาพูด “ขอการ์ดหน่อยจ้ะ วันนี้น้องจะเข้ามาอยู่เลย” น้ำหวานชะเง้อมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแกล้งถามหน้าตาย “ดูอะไรกันอยู่เหรอ ท่าทางน่าสนุก”
“เอ่อ...คือ...คลิปคุณโรสค่ะ” โอเปอเรเตอร์ตอบ
น้ำหวานตีหน้าซื่อ “ทำไม มีอะไรเหรอ ไหน...ดูหน่อยซิ”
โอเปอเรเตอร์หมุนจอให้น้ำหวานดูคลิปสุดาวดีจูบพฤกษ์ซึ่งถูกฉายซ้ำอีกครั้ง
น้ำหวานเอามือปิดปากแล้วแกล้งตกใจโอเว่อร์ “ว้าย!!! ปล่อยให้หลุดออกมาได้ยังไง”
สุดาวดีที่แต่งตัวสวยเก๋มิดชิดเรียบร้อยเดินผ่านล็อบบี้เพื่อจะออกไปที่จอดรถ เธอหันมาเห็นจัสมิน
จัสมินยกมือไหว้สุดาวดี “สวัสดีค่ะพี่โรส”
โอเปอเรเตอร์รีบปิดจอคอมพิวเตอร์
“ต๊าย...” สุดาวดีจ้องกระเป๋าเสื้อผ้าของจัสมิน “อย่าบอกนะว่าหนูจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
“เธอมีสิทธิ์อยู่คอนโดระดับไฮเอนด์แบบนี้ได้คนเดียวเหรอจ๊ะ” น้ำหวานว่า
สุดาวดียักไหล่ “โรสก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
สุดาวดีเดินเชิดออกไป
น้ำหวานเรียกไว้ “เดี๋ยว”
สุดาวดีชะงักแล้วหันกลับมาหาน้ำหวาน
“ที่นี่คอนโดระดับไฮเอนด์นะ ไม่ใช่ม่านรูด ทำอะไรก็อย่าให้ประเจิดประเจ้อ” น้ำหวานว่า
สุดาวดีมองน้ำหวานงงๆ ก่อนจะยักไหล่ทำไม่สนใจแล้วเดินออกมา
กลุ่มนักข่าวนั่งแกร่วรอสุดาวดีอยู่ที่สวนด้านหน้าคอนโด
นักข่าวคนหนึ่งกำลังดูคลิปจากไอแพด “โอ้โฮ!!! อื้อหือ!”
เหล่านักข่าวสุมหัวเข้ามาดูแล้วก็ตื่นเต้นฮือฮา
“อ๊าย...แม่เจ้า! แซ่บเวอร์ยิ่งกว่าในละคร แบบนี้จะมีภาค 2 ภาค 3 ในห้องมั้ยเนี่ย”
สุดาวดีเดินมาที่ลานจอดรถ นักข่าวหันมาเห็นก็กรูเข้ามาทิ่มไมโครโฟนและเครื่องอัดเสียงใส่หน้า ช่างภาพกดชัตเตอร์จนแสงแฟลชวูบวาบ นักข่าวคนหนึ่งยกไอแพดขึ้นถ่ายรูปด้วย สุดาวดีทั้งตกใจทั้งงง แล้วรีบปรับสีหน้าเป็นส่งยิ้มให้
“ที่จริงสัมภาษณ์เรื่องนี้ที่งานก็ได้นะคะ ยังไงโรสก็ต้องไปรับรางวัลที่นั่นอยู่แล้ว”
“เรื่องรางวัลพุทธศาสนิกชนดีเด่นเอาไว้ที่หลังค่ะ ตอนนี้อยากรู้ว่าเรื่องคลิปนั่นมันใช่โรสรึเปล่าคะ”
สุดาวดีงง “คลิปอะไรคะ”
“อ้าวก็คลิปคนหน้าเหมือนโรสที่พาผู้ชายขึ้นคอนโด...นี่ไงคะ” นักข่าวชูไอแพดให้สุดาวดีดู
สุดาวดีจ้องจอไอแพดของนักข่าวก็เห็นคลิปตัวเองกับพฤกษ์กำลังจูบกันอย่างเมามัน สุดาวดีช็อก
นักข่าวถามต่อ “ว่าไงคะ ตกลงใช่โรสรึเปล่า”
“มะ..ไม่..ไม่ใช่โรสแน่นอนค่ะ เมื่อคืนโรสปาร์ตี้อยู่กับลูกค้า”
“แต่ในอินสตาแกรมที่โรสโพสต์เมื่อคืน เสื้อผ้าที่ใส่ไปปาร์ตี้มันก็ชุดนี้นี่คะ จะไม่ใช่โรสได้ไง”
สุดาวดีช็อกแต่พยายามแถต่อไป “เอ่อ...อ่า...พี่ๆ คะโรสรีบค่ะ งานมอบรางวัลมีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น โรสไม่อยากถูกดุ ขอตัวนะคะ”
สุดาวดีพยายามแหวกกลุ่มนักข่าวออกมา นักข่าวรีบเดินตาม ช่างภาพถ่ายรูปไม่ยั้ง สุดาวดีเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถแล้วขับออกไป พวกนักข่าวยืนมองตามอย่างหัวเสีย ปากก็วิจารณ์ไม่หยุดโดยตั้งใจจะตามกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย
จอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะสันติสุขฉายภาพจากกล้องจิ๋วที่ซ่อนไว้ที่กระดุมเสื้อของโป่ง ซึ่งเป็นภาพศักดิ์ที่กำลังพูดคุยกับโป่ง
สันติสุขกดปุ่ม play เครื่องอัดเสียง “และนี่เป็นภาพจากกล้องและเสียงจากเครื่องอัดที่เราซ่อนไว้ในตัวมือปืน”
จินตวัฒน์ ดาวเรือง และสันติสุขดูภาพอย่างตั้งใจ
ภาพและบทสนทนาของศักดิ์กับโป่งปรากฏขึ้น สักครู่เสียงปืนจากการปะทะกันของตำรวจกับผู้ร้ายก็ดังตามมา สันติสุขกดปุ่มหยุดเทป
“ชัดเจนขนาดนี้เราเอาผิดเสี่ยกำพลได้แน่” ดาวเรืองบอก
“ใช่ ต้องขอบคุณปลัดนะครับที่ไปเอากล้องกับเครื่องอัดเสียงคืนมาจนได้ ถ้าไอ้โป่งหนีข้ามชายแดนได้สำเร็จ เราก็คงมืดแปดด้าน” สันติสุขกล่าว
“ต้องขอบคุณดาวเรืองครับ เพราะดาวเรืองไม่ไว้ใจว่ามือปืนจะกลับใจมาช่วยเราจริงๆ ผมกับดาวเรืองถึงได้ตามไป บางทีการมองโลกในแง่ร้ายก็มีประโยชน์เหมือนกัน” จินตวัฒน์ว่า
จินตวัฒน์และสันติสุขมองดาวเรืองด้วยแววตาชื่นชม
“เก่งมากไอ้เรือง ขอบใจมาก” สันติสุขชม
ดาวเรืองเขินแต่แกล้งกลบเกลื่อน “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นตังค์แทนได้มั้ย ช่วงนี้เหล้าก็ไม่ได้ต้ม หวยก็ไม่ได้ขาย วงไพ่ก็ไม่ได้เปิด ไอ้เพี้ยนมันผอมเพราะไม่มีอะไรจะยาไส้แล้ว”
จินตวัฒน์และสันติสุขหัวเราะดาวเรือง ดาวเรืองจึงหัวเราะบ้าง
จบตอนที่ 10