สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 2
รถของพงอินทร์วิ่งมาตามถนน เขาขับรถอย่างหัวเสีย
"นึกว่าตัวเองแน่ ลับหลังด่าคนอื่นฉอดๆ พอเจอของจริงเข้าไปถึงกลับซีดเป็นไก่ต้ม"
เขานึกถึงสิ่งที่คุยกับณัฐเดชและวรวรรธ
"หลักฐาน...หลักฐาน"
เขาใช้ความคิดว่า จะไปล่าหาหลักฐานได้ที่ไหน แล้วก็คิดออก ดีดนิ้วโป๊ะ!
พงอินทร์ขับรถมาที่อู่รถแห่งหนึ่ง ภายในอู่ พวกช่างกำลังทำงานปะผุซ่อมสีกันอยู่ ที่ด้านหน้า เขาลงจากรถในคราบเซอร์สวมแว่นตาดำ ดูโจรๆ เถื่อนๆ เดินผ่านมาหยุดมองสำรวจ มองหาอะไรบางอย่าง พวกช่างบางคนเงยหน้ามองอย่างไม่ไว้ใจ เขาเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เขาโผล่หน้ามาที่ด้านหลัง ซึ่งมีกองซากรถที่พังยับอยู่ เขาเดินมองหาซากรถของพิมอร จนเจอและยืนอยู่ที่หน้าซากรถคันดังกล่าว
สภาพรถเบ็นซ์ที่พิมอรขับตกน้ำอยู่ในสภาพยับเยิน เตรียมถูกโมดิฟายส์เพื่อขายต่อ
"ใช่...คันนี้ที่พี่พิมอรขับ ยังอยู่ในสภาพเดิม เหมือนตอนเกิดอุบัติเหตุ หลักฐานเกี่ยวกับการตายของพี่พิม ก็อาจจะยังอยู่"
เขากำลังจะสัมผัสรถคันนั้น แต่มีเสียงดังมาจากด้านหลัง จนเขาสะดุ้ง
"จะทำอะไรไอ้น้อง"
"เอ่อ คือ..ผมอยากจะ เอ่อ..."
เสี่ยเจ้าของอู่ถามเสียงเข้ม
"อยากอะไร"
"อยากซื้อรถคันนี้"
เสี่ยเจ้าของอู่มองการแต่งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้าของพงอินทร์
"จะซื้อ หึๆ ดูจากสภาพแล้ว แกเอาเงินไปซื้อรองเท้าใหม่ใส่ก่อนดีกว่าไหม"
"ทำไม...แต่งตัวไม่ดี ซื้อรถไม่ได้หรือไง เสี่ยจะขายเท่าไหร่"
"เท่าไหร่แล้วทำไม!"
"ก็จะซื้อไง...ทำไม!"
พงอินทร์ถูกพวกช่างผลักออกมาจากอู่ในเวลาต่อมา
"อย่าคิดจะมาขโมยของในอู่นี้อีก ไม่งั้นคราวหน้าเอ็งโดนแน่"
พวกช่างกลับเข้าไป พงอินทร์เซ็ง
"โธ่เว้ย ไอ้พวกดูถูกคน ดูคนจากภายนอก ไอ้พวกวัตถุนิยม ไอ้ทาสทางอาณานิคม แล้วเราจะเอายังไงดี"
พงอินทร์หัวเสีย ครุ่นคิด หาทางเอารถออกมาให้ได้
มุมหนึ่งในสนามบินสุวรรณภูมิ กรรัมภายังสลบอยู่ มียาดมส่ายไปมาที่จมูก
"คุณแก้ม"
กรรัมภาตาปรือ เห็นปาร์คจุนจีกำลังยิ้มหวานก้มลงจ้องหน้าเธอ แสงรอบหน้าเขานั้น นวลๆ ฟุ้งๆ ราวกับเทวดาลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
"คุณแก้ม"
หล่อนตาปรือ ยิ้มอ่อนแรง มีความสุข
"จุนจี...จุนจี..."
พลันเสียงสุคนธรสตะโกนดังขึ้น
"ไอ้แก้มตื่น !"
กรรัมภาลืมตาโต เห็นหน้าสุคนธรสกับไตรรัตน์ก้มลงมอง หล่อนกระเด้งลุกขึ้นจากตักสุคนธรส มองไปรอบๆ ไม่เห็นคณะจุนจีแล้ว
"จุนจีล่ะ"
"เขาไปไหนต่อไหนแล้ว"
หล่อนนึกได้
"ไปแล้ว ! รูปล่ะ แกถ่ายรูปคู่ชั้นกับจุนจีได้หรือเปล่า"
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างหนักใจ
"ว่าไง ถ่ายได้ไหม" หล่อนถามย้ำ
เมื่อสองผัวเมียไม่ตอบ หล่อนจึงคว้ากล้องจากคอไตรรัตน์อย่างแรง จนเขาร้องเสียงหลงมากดเปิดดู
ภาพถ่ายในกล้องของเขา เป็นคลิปตอนจุนจีเดินสวนกับหล่อนพอดี แต่ในจังหวะนั้นหล่อนร่วงไปแล้ว เห็นเพียงเงาๆ วูบผ่านไป หล่อนกดไล่ย้อนดูคลิป ก็เห็นแต่ตอนชะเง้อ รอ แล้วพอภาพแพนไปรับจุนจี แล้วตามจุนจีมา ก็เห็นแต่เงาตนเอง ที่ร่วงผ่านไปเป็นเงาไหวๆ
"ฮะ อะไรกันเนี่ย.. ไอ้รสเอากล้องแกมาดิ"
"อ้ะ"
กรรัมภากดดู เป็นภาพไหวๆ เบลอ มีภาพจุนจีเดินมาหลายช็อต จนผ่านเสา และเห็นร่างของตัวเองลงไปกองๆ แถวๆ เท้า
กรรัมภาร้องไห้โฮ
"หึ..หึ..ฮือ..."
สองผัวเมียมองหน้ากันด้วยความอายคนอื่น จึงประคองเพื่อนให้ลุกขึ้น
"ชั้นรอคอยวันนี้มานานเป็นปีๆ แต่ชั้นก็ทำมันพัง"
"กลับไปคร่ำครวญที่บ้านนะคุณแก้ม อายคนอื่นเขา"
" รูปก็ไม่ได้ถ่าย เสื้อก็ยังไม่ได้ให้"
"ชั้นให้คุณไตรเอาเสื้อไปให้นายจุนจีแล้ว"
กรรัมภาหยุดร้องไห้ทันที
"จริงเหรอ"
"พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมใช้ความสามารถพิเศษแหวกฝูงแฟนคลับเข้าไปมอบเสื้อให้นายปาร์คจุนจีถึงมือเลยด้วย ตอนยืนคู่กัน นักข่าวถ่ายรูปกันใหญ่ คิดว่าผมเป็นพี่น้องฝาแฝดกับปาร์คจุนจี"
"จริงอะ"
"ไม่จริง"
"แล้วพูดทำไม"
"ก็อยากให้คุณแก้มสบายใจ แต่ผมส่งเสื้อให้ถึงมือเค้าจริงๆนะ"
"เคๆๆ แค่รู้ว่าเสื้อถึงมือเขา แก้มก็สบายใจแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณไตร วันหลังถ้ามีเรื่องอะไรให้แก้มช่วยตอบแทนบอกได้เลยนะคะ แก้มยินดีทำให้ทุกอย่าง"
"งั้นช่วยบอกเพื่อนคุณให้ยอม..."
"นายไตวาย !"
"ยอม...เรื่องอะไรคะ"
"ยอมให้ผม"
"หยุด...หยุดเลย"
สุคนธรสมือปัดป่ายไปที่หน้าของไตรรัตน์ไม่ให้พูด เขาหันไปที่ด้านหนึ่งแล้วตกใจ
"เฮ้ย !"
"อย่าพูดนะ !" สุคนธรสกระโดดขี่หลังปิดปากเขาแน่น
"พูดไรเนี่ย ชั้นเป็นผู้หญิงนะ"
ไตรรัตน์ส่งเสียงอู้อี้ ชี้ไปที่ถังขยะ กรรัมภากับสุคนธรสหันไปมอง เห็นเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูอยู่ในถังขยะ !
"เฮ้ย เสื้อชั้น"
กรรัมภาวิ่งปรู๊ดไปหยุดหน้าถังขยะ น้ำตาคลอ
"มาอยู่นี่ได้ไง ...ไหนคุณว่าส่งเสื้อถึงมือจุนจีเลยไง โกหกเปล่า"
"ถ้าผมโกหก ขอให้ผมอดไปตลอดชีวิตเลยเอ้า"
"หมกมุ่นอยู่ได้"
สุคนธรสพูดกับกรรัมภา
"งั้นก็แสดงว่าไอ้อุนจิทิ้งเสื้อแก"
ทันใดกรรัมภาก็ก้าวเข้าไปชิดถังขยะ กรีดนิ้วหยิบเสื้อขึ้นมาจากถังขยะ
"แกจะหยิบขึ้นมาทำไมวะ"
"ชั้นจะเอาไปซัก คราวหน้าชั้นจะเอาไปให้จุนจีใหม่"
"แต่ไอ้อุนจิมันทิ้งเสื้อแกลงถังขยะนะ"
"ไม่จริง ! ชั้นมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือคนอื่น คนนิสัยดีอย่างจุนจีไม่มีวันใจร้ายทำแบบนี้เด็ดขาด ต้องเป็นพวกผู้จัดการ หรือคนดูแลศิลปินแน่ๆ ไอ้พวกคนทำอาชีพนี้ของศิลปินเกาหลีมันโหดเว่อร์ๆ ใครๆเขาก็รู้ทั้งนั้นแหละ"
สุคนธรสกับไตรรัตน์เหนื่อยใจ
เวลาต่อเนื่องมา พนักงานโรงแรมหรูเปิดประตูให้จุนจีเข้ามาในห้องพัก ลีจองกุ๊กรายงานคิว ขณะที่ศิลปินหนุ่มปลดขอเสื้อ สีหน้าเหนื่อยมาก เดินทิ้งตัวนั่งบนโซฟา
"นายมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง ช่างจะมาเซตผมแต่งหน้าให้ นายมีคิวสัมภาษณ์รายการ 2 รายการ ถ่ายปกแมกกาซีน 1เล่ม"
พนักงานรินน้ำเย็นให้จุนจี ลีจองกุ๊กรีบบอกพนักงานและพูดกับจุนจีต่อ
" จุนจี... ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องเท่านั้น ...ออกงานอีเว้นต์หนึ่งงาน"
เสียงกรี๊ดของแฟนคลับดังมาจากหน้าต่าง
"จุนจี...จุนจี...จุนจี"
ลีจองกุ๊กเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไป เห็นเหล่าแฟนคลับยืนถือป้ายภาษาเกาหลีบอกรักจุนจี
"จุนจี มาทักทายแฟนคลับหน่อยสิ"
"นี่มันเวลาพักของชั้นนะ"
"แป๊บเดียวน่า อย่าทำให้แฟนคลับผิดหวังสิวะ มาเร็ว"
จุนจีจำใจเดินออกไป เปลี่ยนหน้าบึ้งๆเป็นฉีกยิ้มที่ริมหน้าต่าง โบกมือทักทายแฟนๆ ได้อย่างสดใส แฟนคลับส่งเสียงกรี๊ดดัง
จุนจีถอยกลับออกมา หน้าหุบยิ้มกลับบึ้งเหมือนเดิม
"อย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นมืออาชีพ"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลีจองกุ๊กไปเปิดประตู พนักงานเข็นรถอาหารมาให้ ทุกจานมีฝาครอบ
"ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ"
พนักงานออกไป
ลีจองกุ๊กเปิดฝาอาหาร พบว่าเป็นอาหารไทยพวกต้มยำกุ้ง กระทงทอง ผัดไทยห่อไข่
"อาหารไทยน่ากินทั้งนั้นเลยจุนจี กินเลยนะ"
"ไม่กิน ชั้นไม่ชอบอาหารไทย ไม่ชอบทุกอย่างที่เป็นของประเทศไทย"
"แต่นายเป็นคนไทย"
"ชั้นไม่ใช่คนไทย ชั้นเป็นคนเกาหลี สั่งทางโรงแรมและทุกร้านที่ชั้นจะไปกินว่า ห้ามเสิร์ฟอาหารไทยเด็ดขาด !"
จุนจีเข้าห้องไป ลีจองกุ๊กมองตามอย่างไม่สบายใจ
เวลากลางคืน ที่บ้านไตรรัตน์ รถจอดเอี๊ยด! สุคนธรสรีบลงจะวิ่งหนี แต่ไตรรัตน์เร็วกว่า วิ่งเข้ามารวบตัว ใช้กำลังอุ้ม หล่อนทั้งดิ้น โวยวาย ทุบตี
"ไอ้ไตวาย ปล่อยชั้นนะ ปล่อย"
"ห้าเดือนแล้ว ผมรอมาห้าเดือนแล้ว ต่อให้โลกแตก ก็ห้ามผมไม่ได้! คืนนี้ล่ะ สุคนธรสจ๋า"
เขาอุ้มหล่อนวิ่งแจ้นเข้าไปด้านใน หล่อนแหกปากร้องเสียงหลง
"เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ อาม่า อาอี๊ ใครก็ได้ ช่วยหนูด้วย!"
ภายในห้องนอน สุคนธรสถูกโยนทิ้งลงบนเตียง ไตรรัตน์ยืนที่ปลายเตียง หน้าตาท่าทางพร้อมจะมูมมามสุดๆ
"เดี๋ยวก็วันพระ เดี๋ยวก็ถือศีลแปด แล้วยังมีเข้าพรรษาอีก ยุคมืดของผมมันจบสิ้นแล้ว ถึงเวลาของการเฉลิมฉลองแล้ว"
เขากระโจนเข้าใส่ แต่หล่อนรีบพลิกตัวหนี เขามือไวกว่าคว้าขาหล่อนไว้ได้ แล้วลากกลับมา ใช้แขนยันคร่อมตัวหล่อนเอาไว้ หล่อนคอย่น ติดอยู่ในวงแขนของเขา หล่อนใช้มือดันอกเขาไม่ให้โน้มตัวลงมา
"หึๆๆ คุณรส ผมขอ นะจ๊ะ"
"ไม่ได้"
"นะจ๊ะ"
"ไม่ได้"
"งั้นก็...ไม่ขอ แต่ผมจะ...นะจ๊ะคุณ"
เขาโน้มตัวซุกลงไป หล่อนโพล่งตัดอารมณ์ทันที
"ชั้นมี ปจด.!"
ไตรรัตน์ชะงัก แล้วผละออก
"อะไรนะ"
"ชั้นมีปจด. วันมามากของผู้หญิง"
"โกหก"
"ชั้นเพิ่งซื้อผ้าอนามัยมาตอนกลางวัน ชั้นไม่ได้โกหก ไม่เชื่อ ไปดูในกระเป๋าชั้นเลย"
เขาผละออกไปเปิดกระเป๋าดู เห็นของในกระเป๋าแล้ว เข่าอ่อนทรุด ฟูมฟาย คร่ำครวญ
"ไม่จริง...ผมรอมาห้าเดือนแล้ว ผมยังจะต้องรออีกเหรอ ทำไมต้องวันนี้ ทำไม"
หล่อนเข้าปลอบ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ
"น่า...นะ...อดทนมาได้ตั้งห้าเดือนแล้ว รออีกนิดจะเป็นไร ไม่เคยได้ยินเหรอ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน"
ไตรรัตน์ครวญ
"ผมอยากกินเปรี้ยว"
สุคนธรสตบบ่าปลอบๆ
"เอาน่าๆ ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ท่องไว้ๆ"
"แล้วผมต้องอดทนอีกนานแค่ไหน ชาติก่อนทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงต้องทุกข์ทรมารขนาดนี้" เขาโอดครวญ หล่อนขึ้นเตียงโยนหมอนใส่เขา
"คืนนี้นอนตรงนั้นแหละ จะได้ไม่มางุ่นง่านให้อารมณ์เสีย"
ไตรรัตน์ฟูมฟาย ยกหมอนขึ้นมาจิกและกัด
ถนนเส้นทางกาญจนบุรีเข้าตัวเมือง เวลากลางคืน ญาณินกำลังขับรถด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พูดโทรศัพท์บลูทูธไปด้วย
"ฮัลโหล...ป้าออคะ ขอพูดกะใครก็ได้ค่ะ เพื่อนหนูน่ะค่ะ อ้าว กลับบ้านกันหมดแล้วเหรอคะ"
อรวรรณพูดโทรศัพท์บ้านของบริษัท ซิกส์เซนส์ อินทีเรีย
"คุณกรรณก็เพลียหลับไปแล้วค่ะ...ดูคุณหนูเสียงไม่ดีเลย"
"ก็หนูไม่ใช่นักร้องนี่คะ"
"ไม่ต้องมาเล่นมุกกะป้านะคะ คุณหนูมีเรื่องอะไรรึปล่าว"
"มันเบื่อๆอ่ะค่ะ ป้าออ เลยว่าจะเข้าไปเดินซื้อของในเมืองแก้เบื่อ"
"อยากให้ป้าไปหาไหมคะ หรือคุณหนูอยากกลับมานี่ คุณติณห์ทำตัวไม่น่ารักหรือคะ"
"เปล่าค่ะ ติณห์ก็น่ารักเหมือนเดิม แต่..."
"แต่...อะไรคะ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ คุณหนู ป้าเป็นห่วงนะ"
ทางด้านหลัง โกลเดนเบบี๋นั่งอยู่
"เจ๊ๆ...มีอะไรจะบอก"
"แป๊บนึง" ญาณินชู้วกับโกลเดน
"พอดีแม่คุณติณห์เค้ามาจากเมืองนอก หนูก็เลย ทำตัวไม่ค่อยถูก"
"อย่าบอกนะว่า คุณหนูกำลังเริ่มมีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้แล้ว อย่าให้เกิดเชียวนะคะ"
โกลเดนเบบี๋บอก
"เจ๊ๆ วางโทรศัพท์ก่อน"
"มีอะไรระบายให้ป้าฟังได้นะคะ"
"เออ...คือ" ญาณินอ้ำอึ้ง
"เรื่องสำคัญนะเจ๊"
ญาณินรำคาญโกลเด้นประกอบกับยังไม่อยากเล่าปัญหาให้อรวรรณฟังเลยตัดสินใจวางสาย
"อุ้ย! แค่นี้ก่อนนะคะ ถนนมืดหนูขับรถก่อนนะคะ"
"ห่ะ"
ญาณินรีบวางสายจากอรวรรณ หันมาถาม
"ว่าไงโกลเดน"
แต่ไม่ทันจะบอก ญาณินก็เห็นผู้หญิงนางหนึ่งกำลังก้าวข้ามถนนออกมาจากข้างทางพอดี หล่อนตกใจ กรีดร้องพร้อมกับหักพวงมาลัยหลบ แต่รถก็เฉี่ยวถูกผู้หญิงล้มลง หล่อนเบรกรถเอี๊ยด ! ทันที นั่งอ้าปากช็อกค้างอยู่ในรถ โกลเดนนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆหน้าจ๋อยทันที
"หนูกำลังจะบอกว่า... เจ๊กำลังมีเคราะห์ จะเกิดอุบัติเหตุ แต่ว่า ไม่ทันซะแล้ว"
ทันทีที่หล่อนตั้งสติได้ ก็รีบเปิดประตูลงจากรถไป
ถนนเส้นนั้นสายเปลี่ยว แทบไม่มีรถและคนผ่าน หล่อนเดินถือไฟฉายลงจากรถอ้อมมาด้านหลังรถ เห็นสาวผู้ประสบอุบัติเหตุนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น มีกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กมาด้วย ญาณินแทบลมใส่
"ตายแล้ว"
โกลเดนเบบี๋โผล่มายืนอยู่ข้างๆ
"ยังไม่ตายหรอกเจ๊ หนูจับสัญญาณเต้นของหัวใจได้"
ขณะนั้นสาวผู้ประสบอุบัติเหตุเริ่มขยับตัว ญาณินรีบก้มลงไปพลิกตัวหล่อนให้หันมา เห็นเลือดอาบที่หัว หล่อนยังไม่สลบ แต่ตาเบลอๆลอยๆ มองหน้าญาณิน
"น้องคะ เป็นยังไงบ้าง พี่ไม่ได้ตั้งใจจะชนน้องนะ พี่มองไม่เห็นจริงๆ"
"ช่วย...ด้วย"
มือเปื้อนเลือดของผู้ประสบอุบัติเหตุยื่นมาจับมือญาณินไว้ แล้วหล่อนก็สลบคอพับไป ญาณินตกใจมาก
"น้องคะ...น้อง! อย่าเพิ่งตายนะ แข็งใจไว้ก่อน"
"รีบพาส่งโรงหมอเร็วๆเข้าเถอะ!" โกลเดนบอก
ติณห์เดินเข้ามาภายในโรงพยาบาล ตรงมาที่แผนกฉุกเฉิน ญาณินเดินไป เดินมารอดูอาการของผู้ประสบอุบติเหตุนางนั้นอยู่หน้าห้องด้วยความกังวล
"ญาณินครับ เป็นไงบ้าง"
"ติณห์"
"เทก อิท อีซี เด็กที่โดนชนเจ็บมากหรือ"
"ก็ท่าจะหนักค่ะ ป่านนี้ยังไม่ฟื้น เดี๋ยวเราต้องไปแจ้งตำรวจ ใช่ไหมคะ"
"ใจเย็นๆนะครับ ดูอาการน้องเค้าก่อน แล้วโทร.ตามญาติเขาหรือยัง"
ญาณินเดินไป เอากระเป๋ามาให้ติณห์ดู
"มีแค่กระเป๋านี้ใบเดียวค่ะ พยายามหากระเป๋าสตางค์ เผื่อจะมีบัตรอะไร ก็ไม่มีเลย ณินไม่รู้จะโทร. ตามใครจริงๆ"
ทั้งคู่เดินเข้าห้องเอ็กซเรย์ โกลเดนเบบี๋ ยืนอยู่ที่ประตูห้อง
"อยู่ดีๆเดินออกมาให้รถชน" โกลเดนเบบี๋ชักสงสัย
ติณห์จูงมือญาณินเข้าไปที่เตียงที่นางนอนอยู่ หมอกับพยาบาลกำลังมุงรักษากันอยู่
"เอ่อ...ขอโทษครับ ยังสลบอยู่รึปล่าวครับ"
"ฟื้นแล้วครับ ผมทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว"
"แล้วอาการเป็นยังไงบ้างครับ"
"ดูจะไม่เป็นไรมากนะครับ แต่เดี๋ยวจะขอสแกนดูสมองเพื่อให้แน่ใจก่อน"
พยาบาลหลีกทางให้ ติณห์และญาณินเดินเข้ามามอง เห็นผู้ประสบอุบัติเหตุยังหลับไม่มีสติ ญาณินไม่สบายใจ ติณห์ดึงมือมากุมปลอบใจ
ห้องพักในโรงพยาบาล วันใหม่ ติณห์ ญาณิน นั่งเอียงหลับพิงกันที่โซฟา สักพัก ติณห์รู้สึกตัว ลืมตาขึ้น สาวผู้ประสบอุบัติเหตุนอนอยู่บนเตียง ตาแป๋วมองมา ติณห์ทักทายยิ้มให้... ไฮ !
นางถามอย่างอ่อนแรง
"ที่นี่ที่ไหน"
"อ๋อ... โรงพยาบาลครับ เออ ผมเป็นแฟนกับคนที่ขับรถเฉี่ยวคุณ ไม่ต้องห่วงนะครับเราจะรับผิดชอบดูแลคุณอย่างเต็มที่ จนกว่าคุณจะหายดี"
ญาณินตื่นลุกขึ้นมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของติณห์
"คุณฟื้นแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันมองไม่เห็นคุณจริงๆค่ะ"
"คุณ"
หญิงผู้ประสบอุบัติเหตุมองทั้งคู่ด้วยความสงสัย
"อ๋อ...ผมติณห์ครับ แล้วนี่แฟนผม คุณญาณินครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร"
นางได้แต่ขมวดคิ้ว คิด แล้วส่ายหน้า
"ชื่อ ฉันชื่อ ... ฉันไม่รู้ค่ะ"
"แล้ว คุณเป็นใคร มาจากไหน กำลังจะไปไหนคะ"
นางอึ้ง แล้วร้องไห้ออกมา
"ชั้น...ชั้นจำไม่ได้ ชั้นนึกไม่ออก ทำยังไงดี ทำไงดี"
ติณห์และญาณินหน้าเหลอ...ทำอะไรไม่ถูก
บริษัทซิกส์เซนส์อินทีเรีย ไตรรัตน์ขับรถเข้ามาจอด เขากับสุคนธรสลงจากรถ ไตรรัตน์ถือมะนาวผ่าติดมือมาและยกบีบใส่ปาก อรวรรณวิ่งหน้าตื่นออกมาจากในบ้าน
"หนูรส คุณไตร"
"ป้าออครับ ผมขออะไรเปรี้ยวๆ กินหน่อยครับ"
"พอแล้ว กินแต่เช้าแล้ว จะกินให้ตายกันไปข้างหรือไง"
"ผมไม่อยากอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ผมอยากกินแบบเปรี้ยวๆ"
"ทะลึ่ง !"
"อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่นค่ะ คุณสองคนรีบกลับไปก่อนเถอะค่ะ"
"ทำไมคะ"
อรวรรณดันหลังสุคนธรสกับไตรรัตน์
"ยังไม่ต้องถามตอนนี้ค่ะ รีบกลับไป ก่อนที่จะเดือดร้อน มาแล้วค่ะ รีบแอบเร็ว"
อรวรรณจับสองผัวเมียไปซ่อนหลังประตู
กรรัมภาโผล่มาในชุดกระโปรงสีชมพูหวาน ถือเสื้อสเวตเตอร์ของปาร์คจุนจี สะพายกระเป๋า หอบป้ายไฟ สะพายกล้อง
"ยัยรสกับคุณไตรมาหรือยังคะ ป้าออ"
"เอ่อ...ยังค่ะ คุณแก้มไปเถอะ"
กรรัมภามองไปที่รถ
"แต่..นั่นรถคุณไตรนี่คะ ป้าออ"
กรรัมภามองหา เห็นเท้าทั้งคู่โผล่มาจากใต้ประตู
กรรัมภารีบเปิดบานประตู ลากสองคนออกมา
"นั่นแน่ จับได้แล้ว ไม่ต้องแอบเลย..ไปๆๆ ไปด้วยกันเลย"
สุคนธรสกับไตรรัตน์มองไป
"ไปกับแก้มหน่อยนะ ขอบใจจ้ะ"
กรรัมภาวิ่งขึ้นรถ
"ป้าช่วยคุณรสกะคุณไตรไม่ได้จริงๆ โธ่..." อรวรรณบ่นอุบ
สุคนธรสกับไตรรัตน์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก
ภายในห้องแถลงข่าว ของละครฟอร์มยักษ์ “มายาร้อยใจ" งานยังไม่เริ่ม กองทัพนักข่าวและเหล่าแฟนคลับชูป้ายจุนจีกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ รอคอยได้พบกับศิลปินคนโปรด
ไตรรัตน์ สุคนธรส กรรัมภาเดินเข้ามา สองผัวเมียสะพายกล้องเหมือนเดิม
"เหมือนเดิมนะคะ กดรัวไปก่อน เลือกทีหลัง ห้ามพลาด" กรรัมภาบอก
"บอกตัวเองดีกว่าไหม"
"อย่าซ้ำเติมกันสิ หน้าจุนจีอยู่ใกล้แค่คืบ ผู้หญิงคนไหนเจอแบบชั้นก็ต้องเป็นลมกันทั้งนั้น
แหละ"
"ยกเว้นชั้น"
"แน่สิ แกแต่งงานแล้ว แกไม่มีสิทธิ์ตกใจกับชายอื่น จริงไหมคะคุณไตร"
ไตรรัตน์กำลังซดกาแฟอยู่
"ก็ลองตกใจกับชายอื่นดูสิ"
"ทำไม นายจะทำไม"
"ผมก็จะลองตกใจกับผู้หญิงอื่นดูบ้าง"
"เฮ้ย...ไม่ได้!! ฮุบ"
หลุดซะแล้วสุคนธรส...พอนึกขึ้นได้ สุคนธรสรีบเปลี่ยนท่าทีกลบเกลื่อน
"ฮ่าๆๆ เห็นไหม นึกว่าจะแน่"
"หยุดได้แล้วทั้งสองคนน่ะ ให้มาเป็นเพื่อนชั้น ไม่ได้ให้มาทะเลาะกันนะ"
ในห้องแต่งตัว คิมซองซู กำลังนั่งหล่อๆ มีช่างแต่งหน้า ทำผมรุมแต่งให้เพียบ อีกฝั่งนึง เป้ย - ปาริฉัตร ยืนให้คนทำเสื้อผ้าแต่งตัวให้อยู่ ปาริฉัตรชำเลืองโปรยเสน่ห์ให้นักแสดงจากเกาหลี ซองซูยิ้มให้แบบเก๊กหล่อสุดๆ
ช่าง 1 เอาแป้งซับหน้าคิมซองซู แล้วร่ายเสน่ห์
"รักกู หลงกู รักกู หลงกู"
ปาริฉัตรหัวเราะบอก
"เดี๋ยวเค้าก็รู้เรื่องหรอก"
ช่าง 2 บอก
"ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ จริงไหม คิมซองซู"
ซองซูทำหน้าเอ๋อๆซื่อๆ
ปาริฉัตรทำหน้าแบ๊วสุดขีด
"พูดไทยได้ไหมคะ"
ซองซูทำหน้าเอ๋ออีก ยิ้ม..ตาปิด น่าร้าก
"เออ ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องจริงๆด้วย ฮิๆๆ น่ารักเนอะ..can you speak Thai?"
"a little bit."
"for example?"
"โผม รัก คุณ"
ทุกคนกรี๊ด
"ว้ายๆ บ้าๆๆ ชั้นก็รักคุณค่ะ"
ทุกคนฮา
"โผม อยาก เป็น แฟน กับคุณ"
ทุกคนกรี๊ด
"ว้าย..ทะลึ่งตึงตัง... คุณน่ารักมากค่ะ"
ทุกคนฮา
ซองซูยิ้ม มีความสุข ปาริฉัตรยิ้มตอบ หวานจ๋อย
ทันใด มีเสียงผู้คนเคลื่อนไหวเข้ามากลุ่มหนึ่ง พวกช่างแต่งหน้า ปาริฉัตร หันไปเห็น ต่างผงะ ตาลุกวาว ซองซูค่อยๆหันไปเห็นปาร์คจุนจี เดินตามลีจองกุ๊กเข้ามา มีการ์ดตาม2คน ช่างแต่งหน้าทำผมหญิง 2คน เสื้อผ้าคุมโทนสีกันมาเป็นทีม ดูโปรเฟสชั่นนอล
พวกช่างแต่งหน้า ทำผม ช่างเสื้อ และปาริฉัตร ต่างลุกกรูไปทันที พวกช่างต่างมีป้ายไฟคนละอัน โดยที่ไม่ได้นัดหมายกัน
ช่าง1-2 บอก
"อันยองฮาเซโย"
ช่าง3 บอก
"ปาร์คจุนจีๆๆ ไอเลิฟยูๆ"
"ปาร์คจุนจี ไนซ์ทูมีทยู ไอแอม ปาริฉัตร เวลคัมทูไทยแลนด์ แลนด์ออฟสไมล์ค่ะ" ปาริฉัตรบอก
จุนจีก้มหน้าให้ทุกคนนิดๆ แบบเก๊กๆ นั่งลง อย่างหยิ่งๆ ช่างไทยจะเข้าไปแต่ง ลีจองกุ๊กกัน ไม่ให้เข้าใกล้ ช่างแต่งหน้าหญิงที่นำมาเองจากเกาหลี เปิดกระเป๋าที่ดูไฮเทคโนโลยีมาก เอาเครื่องมือออกมาเพียบ รุมแต่งปาร์ค จุนจี ที่ไม่พูดกะใครเลย ปาริฉัตรและช่างไทยถึงกับอ้าปากค้าง
"โห...อะไรกันเนี่ย หยิ่งจังนะเธอ" ปาริฉัตรบอก
"หมั่นไส้เว้ย..อยากชกหน้ามัน"
พวกช่างไทยและปาริฉัตรตกใจ หันมามองซองซู
ซองซูรีบกลับมาพูดไม่ชัดตามเดิม
"เอ่อ..มานไซ้มั่กๆกรั๊บ อยากเทควันโด้มั่กๆ"
กรรัมภามองตรงไปทางโต๊ะแถลงข่าว มีเสียงผู้คนกรี๊ดกร๊าดดังมา กองทัพนักแสดงนำทีมโดยปาร์คจุนจีเดินออกมาจากในห้องแต่งตัว
"ออกมาแล้ว !"
กรรัมภาและแฟนคลับส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น แล้ววิ่งไปหาจุนจี กรรัมภาเข้าไม่ถึง เพราะกองทัพแฟนคลับหนาแน่นมาก กรรัมภาพยายามเบียดแฟนคลับเข้าไป
จุนจี ซองซู ปาริฉัตรเดินยิ้ โบกมือให้แฟนคลับอย่างเป็นกันเอง พวกแฟนคลับยิ่งกรี๊ด พยายามยื่นมือให้จุนจีจับ
"จุนจีๆๆๆ"
ลีจองกุ๊กกับการ์ดคอยกันไม่ให้แฟนคลับถึงตัวจุนจี กรรัมภาพยายามเบียดเข้าไป แต่ไม่สำเร็จ หันซ้ายหันขวาคิดอ่านว่าจะเอาไงดี แล้วตัดสินใจคาบถุงใส่เสื้อสเวตเตอร์คลานสี่ขาเข้าไป
ไตรรัตน์ตกใจ
"คุณแก้ม...พยายามเยอะเกินไปหรือเปล่า"
"ไม่รู้จักเพื่อนชั้นซะแล้ว ย่อตัวลง"
สุคนธรสขึ้นขี่หลังไตรรัตน์ เตรียมถ่ายกรรัมภาในมุมสูง ฝ่ายกรรัมภาคลานแหวกขาแฟนคลับไปเรื่อยๆ จนมาถึงข้างหน้า สุคนธรสอยู่บนหลังไตรรัตน์เล็งกล้องถ่ายเข้าไปในฝูงแฟนคลับ
"เขย่งอีก"
ไตรรัตน์เขย่งตัวสุดขา
จุนจีรับตุ๊กตาจากแฟนคลับ แต่ตุ๊กตาหล่นพื้น จึงย่อตัวเก็บตรงที่กรรัมภาคาบถุงคลานแหวกขาแฟนคลับพอดี สายตาทั้งสองปะทะกันในระยะใกล้ กรรัมภาตะลึง จุนจีลุกขึ้นแล้วเดินไป แฟนคลับส่งเสียงกรี๊ดดังสนั่น กรรัมภาเป็นลมกองไปบนพื้น
"ไอ้แก้ม /คุณแก้ม"
กองทัพแฟนคลับแห่วิ่งตามจุนจีไป ไม่มีใครสนใจกรรัมภาเลย ไตรรัตน์วิ่งพาสุคนธรสที่ยังขี่หลังวิ่งเข้าหากรรัมภา สุคนธรสกระโดดลง เข้าไปดูเพื่อน
"ไอ้แก้มๆๆ ตื่นสิวะ"
"ตรงนี้อากาศร้อน คงไม่ฟื้นง่ายๆ พาไปที่รถเถอะคุณ"
สุคนธรสกับไตรรัตน์หิ้วปีกกรรัมภาออกไป
รถดำเรียบหรูคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอด ทนายสมชาย ใส่ชุดสูทสีดำ สวมแว่นตาสีดำ ดูเนี้ยบมีระดับ
เขามองไปที่งานแถลงข่าวเห็นจุนจีกำลังเดินขึ้นเวที เขาถอดแว่นตาดำ มองจุนจีอย่างมุ่งมั่น
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 2 (ต่อ)
พิธีกรรับเชิญเริ่มยิงคำถามกับเหล่านักแสดงบนเวที
"สวัสดีครับ"
เหล่านักแสดงสวัสดีรับพิธีกร จุนจีหันมาทักทายนักข่าวและแฟนคลับ เขาเลือกที่จะตอบเป็นภาษาเกาหลี เพราะถ้าเขาพูดไทยคงโดนนักข่าวซักประวัติความเป็นมาชุดใหญ่แน่
"ซาหวัดดีกับ"
จุนจีพูดไทยไม่ชัด พร้อมประนมมือไหว้ตามธรรมเนียมไทยอย่างนอบน้อม นักข่าว แฟนคลับชอบใจ กรี๊ดสนั่น...
"คุณจุนจีรู้สึกยังไงบ้างครับที่ได้แสดงละครเรื่องนี้"
ลีจองกุ๊กเป็นล่ามแปลไทยเป็นเกาหลีให้จุนจีฟัง
"ดีใจมากครับ นึกไม่ถึงเลยว่าในเมืองไทยจะมีคนรู้จักผมมากขนาดนี้ ผมถือว่าได้รับโอกาสดีที่สุดในชีวิต ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ"
ระหว่างจุนจีพูด ปาริฉัตรส่งตาหวาน จนซองซูแอบหมั่นไส้
ลีจองกุ๊กแปลเป็นไทย เรียกเสียงกรี๊ดจากทุกคน
"ปากหวานอย่างนี้ แม่ยกทั้งหลายใจอ่อนแย่เลยครับ แล้วคุณซองซูครับ รู้สึกยังไงบ้าง"
ซองซูคำนับตามสไตล์เกาหลีตามด้วยยกมือไหว้เก้ๆกังๆ
"ผมดีใจม้าก ปาเทศไทยซวยมาก พูยิงไทยซวยม้าก"
ซองซูพูดภาษาไทยแต่ออกเสียงเพี้ยน นักข่าวถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น
ปาริฉัตรบอก
"สวยค่ะ ไม่ใช่ซวย แหม..พูดไทยไม่ชัดจริงๆเลยนะคะ"
"แต่ไม่เป็นไรครับ มาทางคุณปาริฉัตรบ้างดีกว่า นางเอกอันดับหนึ่งของเมืองไทยที่มารับบทนางเอกของเรื่อง" พิธีกรกล่าว
"เป้ยตื่นเต้นมากค่ะ เพราะครั้งนี้ได้ร่วมงานกับดารามีชื่อของเกาหลีถึงสองท่าน โดยเฉพาะคุณจุนจีที่เป้ยชื่นชอบเป็นพิเศษ"
ปาริฉัตรส่งยิ้มให้ จุนจีพยักหน้าน้อยๆตามมารยาท ลีจองกุ๊กแปลเป็นเกาหลีให้จุนจีฟัง
จุนจีพูดไทยสำเนียงเกาหลี
"ผมก็ตื่นเต้นคับ...กอบกุนคับ"
แฟนคลับกรี๊ด นักข่าวถ่ายภาพไม่หยุด ซองซูทอดสายตามองตัดพ้อ งอนๆอย่างจงใจ ยื่นหน้ามากระซิบปาริฉัตร
"แต่โผม ชอบคุณเป้ย เป็นพิเศษ อยากเป็นแฟนกับคุณเป้ย..จริงๆนะครับ อยากจะขอเบอร์คุณเป้ย"
ปาริฉัตรค้อนใส่
"เชอะ..มีแต่เบอร์รองเท้า เอามั้ยยะ ตาบ้า"
เป้ยกระซิบตอบ ทำเชิดใส่
โรงพยาบาล กาญจนบุรี ติณห์จ่ายบิลและรับยาที่เคาน์เตอร์ ญาณินเข็นรถหญิงผู้ประสบอุบัติเหตุนางนั้นออกมา
"น้องคะ...เดี๋ยวเราไปที่สถานีตำรวจกันนะ"
"ตำรวจ..ทำไมคะ ไปหาทำไม"
"ก็ลงบันทึกประจำวันไว้ ว่าพี่ขับรถชนน้องไงคะ แล้วก็ให้เค้าสืบหาครอบครัวน้อง ว่าน้องเป็นใคร"
"ไม่เอา หนูกลัว หนูไม่อยากให้เขาเอาตัวหนูไป"
"ไม่มีใครเอาตัวหนูไปหรอกนะ"
เธอร้องไห้โวยวายทันที
"ไม่เอานะคะ หนูกลัว หนูไม่ไปหาตำรวจ หนูอยากอยู่กับพี่"
ระหว่างนั้นโกลเดนเบบี๋ยืนอยู่ข้างเธอ มีเซนส์สงสัยบางอย่าง
"มันยังไงๆอยู่น้า"
แต่หญิงผู้ประสบอุบัติเหตุเฉย ทั้งที่มองเห็นแต่ทำเป็นมองไม่เห็น ลุกเดินผ่านโกลเดนเบบี๋ไปกอดญาณิน
" พี่ญาณินขา อย่าทิ้งหนูไป หนูกลัวๆๆ"
ติณห์ตกใจ รีบเดินมา
"เกิดอะไรขึ้น น้องครับ..น้อง ร้องไห้ทำไม"
เธอจับขมับ
"อย่าทิ้งหนูนะคะ อย่าไปแจ้งตำรวจ หนูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น หนูรู้จักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น พี่เป็นคนดี หนูรู้ แต่ถ้าพี่เอาหนูไปฝากคนอื่น เขาจะใจร้ายกะหนูหรือเปล่า"
เธอกอดซบญาณิน
"ค่ะ ฉันไม่ทิ้งคุณหรอก ไม่ต้องกลัวนะคะ ฉันจะดูแลคุณจนกว่าจะหาย..ติณห์คะ พาน้องเค้าไปพักอยู่ที่รีสอร์ตก่อนได้ไหมคะ"
"เจ๊! ทำไมไม่ให้เค้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี่ไปก่อนล่ะ" โกลเดนเบบี๋ถาม
"ฉันเป็นคนขับรถชนเค้านะ เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวด้วย จะให้ทิ้งไปได้ยังไงล่ะ"
"แต่เจ๊..."
แต่ญาณินไม่สน
"นะคะติณห์ ฉันต้องรับผิดชอบ ดูแลน้องเค้า จนกว่าความจำเค้าจะกลับคืนมา"
"โอ้โห ขนาดนั้นเล้ย มากไปป่ะเจ๊ ขืนพาไปที่รีสอร์ต เดี๋ยวได้เจอดี"
ญาณินทำตาดุใส่ ทำมือสั่งให้รูดซิบปาก โกลเดนเบบี๋จำทำมือรูดซิบปาก
"นะคะ"
"โอเค พาไปรีสอร์ตก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวน้องเขาดีขึ้น ก็คงจำอะไรได้เอง ค่อยว่ากันใหม่ อย่าร้องไห้นะจ๊ะ เรา Welcome! ทุกคนเสมอ"
"ขอบคุณมากค่ะติณห์"
"พี่ติณห์ พี่ญาณิน พี่ๆเป็นคนดี หนูจะรักพี่ เคารพพี่ รับใช้พี่ทุกอย่าง เท่าที่หนูจะทำได้นะคะ"
เบญจายกมือไหว้ทั้ง 2 อย่างซาบซึ้ง โกลเดนเบบี๋ยืนคิด นิ้วเคาะไปที่แก้มตัวเองอย่างคิดหนัก
จุนจีถ่ายเดี่ยว โพสต์ท่าได้หล่อเท่ห์สมเป็นมืออาชีพ ปาริฉัตรยืนด้านข้างให้ช่างซับหน้า แต่ตามองจุนจีตาเยิ้ม มุมนึง ซองซูสังเกตการณ์มองแล้วอารมณ์เสีย
"มองตาค้างเลยนะน้องเป้ย" ช่างแต่งหน้าแซว
"แหมพี่ก็ เป้ยก็แค่มอง ล้อหล่อ เท่ห์อย่าบอกใคร ทำไมเขาไม่มองเป้ยบ้างนะ"
ช่างแต่งหน้าบุ้ยใบ้ไปทางที่ซองซูยืนอยู่
"หมายถึงซองซูน่ะเหรอ"
"จุนจีสิพี่ นายซองซูนั่นกะล่อนจะตาย ทะลึ่งที่สุด"
ปาริฉัตรหันไปแลบลิ้นใส่ ซองซูทำมือรูปหัวใจตอบ แล้วเต้นทำท่าแทร็กที่อก ว่าใจเต้นตึกๆๆ
ปาริฉัตรถลึงตาตอบ
"อีตาซองซูบ้าบอ จุนจีสิ หยิ่งๆ เชิดๆ ไม่สนใจเราดีนัก ชริส์ คุณชายนักเหรอนะ... คอยดูเป้ยแล้วกัน ไม่แน่เป้ยอาจจะโกอินเตอร์ก็ได้นะพี่"
"ระวังไอ้คนที่คบอยู่จะมาถล่มเอาล่ะ"
"ก็อย่าให้มันรู้สิ"
ปาริฉัตรมองจุนจีตาเยิ้ม ซองซูมองอย่างแค้นๆ
จุนจีถ่ายรูปอยู่ ลีจองกุ๊กเข้าไป
"ขอจุนจีพักผ่อนหน่อยนะครับ เดี๋ยวจุนจีต้องไปงานต่อ ขอบคุณครับ"
จุนจียกมือไหว้นักข่าว
"ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ"
นักข่าวหัวเราะยิ้มชอบจุนจี
จุนจีหันหลังเดินไปกับลีจองกุ๊ก จุนจีหุบยิ้ม สีหน้าบ่งบอกความเหนื่อย ทั้งสองคุยกันเสียงเบา
"นายมาช้าไปนะ"
"เร็วมาก เดี๋ยวก็โดนข้อหาหยิ่งสิวะ ชั้นไม่อยากให้ภาพลักษณ์นายเสีย"
ทนายสมชายยืนดักหน้าจุนจี แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษทักทาย
"สวัสดีครับคุณจุนจี"
จุนจีส่งสายตาเรียบเฉยแล้วเดินต่อ
"สวัสดีครับคุณจุนจี"
ทนายสมชายยื่นมือให้จับ จุนจีทักทายน้ำเสียงเย็นชา เดินผ่านทนายสมชายไป ปล่อยให้ทนายสมชายยื่นมือเก้อ
ทนายสมชายลดมือลง หันกลับไปเรียกจุนจี
"ผมชื่อทนายสมชาย เป็นทนายความประจำตัวของคุณพิมพ์พิลาศคุณย่าของคุณครับ"
จุนจีหยุดเดิน อึ้งไปทันที
ภายในห้องพักนักแสดงทนายสมชายนั่งบนโต๊ะตรงข้ามกับจุนจี มีลีจองกุ๊กยืนอยู่หลัง
"พรุ่งนี้จะมีการเปิดพินัยกรรมของคุณพิมพ์พิลาศ คุณพ่อคุณคงแจ้งเรื่องการเปิดพินัยกรรมให้คุณทราบแล้วใช่ไหมครับ"
จุนจีจิบน้ำ ทีท่าไม่สนใจ ลีจองกุ๊กนึกขึ้นได้รีบทำหน้าที่ล่าม
"ผมเข้าใจ คุณเป็นดาราใหญ่คงมีตารางงานยุ่ง แต่ขอร้องว่าพรุ่งนี้สิบโมงตรง รบกวนคุณมาที่บ้านคุณย่าคุณหน่อยนะครับ คุณอติเทพและญาติคนอื่นๆรอเปิดพินัยกรรมอยู่"
ลีจองกุ๊กจะกระซิบ แต่จุนจียกมือห้าม
จุนจีพูดเป็นภาษาเกาหลี
"ผมไม่ไป"
ลีจองกุ๊กตกใจบอกเป็นภาษาเกาหลี
"ห๊า อย่าทำอย่างนี้เลยจุนจี"
" ชั้นไม่ไป"
ลีจองกุ๊กหันมาพูดเป็นภาษาไทยกับสมชาย
"เออ...แล้วถ้าจุนจีไม่ไปล่ะครับ
"คงไม่ได้หรอกครับ พินัยกรรมระบุว่าญาติที่มีสิทธิในมรดกต้องมาให้ครบจึงจะเปิดพินัยกรรมได้ และคุณก็เป็นหลานคนเดียวของคุณพิมพ์พิลาศ"
จุนจีใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียด
จุนจีเข้ามาในห้องน้ำ ปิดประตูโครม ยืนหน้ากระจกอารมณ์เสียสุดๆ
"อุตส่าห์ตายไปแล้ว ยังมายุ่งกันอีกทำไม !"
สิ้นคำ กระจกห้องน้ำแตกเพล้ง ! ก๊อกน้ำเปิดซู่แรงมาก จนน้ำเอ่อขึ้นเต็มอ่าง จุนจีตกใจ แต่ยังไม่คิดว่าเป็นเรื่องผี ...
ติณห์ขับรถเข้ามาจอดในรีสอร์ต ญาณินช่วยประคองหญิงผู้ประสบอุบัติเหตุลงจากรถ และจะพาไปเรือนรับรองที่ตัวเองพักอยู่ เบญจามองไปรอบๆ
"สวยจังเลย นี่หรือคะ รีสอร์ตของพี่ๆ"
"ใช่แล้วครับ เรามีธรรมชาติที่สมบูรณ์มากเลยครับน้อง มีภูเขา มีแม่น้ำ ป่าของเราก็แนทชูรั่ลที่สุด อากาศก็ดี อาหารก็อร่อย"
"ติณห์คะ ขายของอีกแล้ว น้องเขาไม่ใช่ลูกค้านะคะ"
เธอหัวเราะ
"พี่ติณห์ตลกจังเลยนะคะ"
"เราพาน้องไปเอนหลังก่อนดีกว่าค่ะ ติณห์ แล้วเย็นๆ พี่จะพาชมรอบๆนะคะ เท่าที่น้องจะเดินไหว"
เธอตบมือ
"ดีจังค่ะ หนูเดินไหวค่ะ หนูอยากเดินดูรอบๆ"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเดินค่อยๆโผล่มาดูอย่างแปลกหน้า
"นั่นเพื่อนหนูญาณินเหรอ แล้วเป็นอะไรมาล่ะถึงต้องพยุงกันลงจากรถ"
โกลเดนเบบี๋หายตัวแว๊บมายืนข้างๆคุณหลวง
"ผิดค่ะ"
"ญาติหนูญาณิน"
"ผิดค่ะ"
"เจ้าหนี้หนูญาณิน"
"ผิดอีกแล้วคุณตา ทายวันนี้ทั้งวันจะถูกป่ะเนี่ยะ"
"เพื่อนก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่ เจ้าหนี้ก็ไม่ใช่ ไม่เล่นแล้วเว้ยนังหนู บอกมาเถอะว่าใคร"
"ก็คนที่เดินออกมากลางถนนให้เจ๊จี้จ้าขับรถชนไง"
"เฮ้ย มันเดินยังไงของมันวะ"
"ก็นั่นน่ะซิ แล้วดูดิ ทำเป็นจำอะไรไม่ได้ ให้เจ๊จี้จ้าพามาอยู่ที่รีสอร์ตด้วย"
"เอ็งก็ไปว่าเค้า! คนวิปริตที่ไหนจะเดินให้รถชน คงเป็นคราวเคราะห์ของยัยหนูคนนี้มากกว่า"
และแล้วเสียงมิรันตีก็แว้ดขึ้น
และแล้วเสียงมิรันตีก็แว้ดขึ้น
"พาใครมาอีกล่ะ แม่ซิกส์เซนส์คนเห็นผี .. i see dead people ฮะๆๆ เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่คน เป็นผีปลอมตัวมา กุ๊กๆๆๆ กู๋ ฮะๆๆๆๆ" มิรันตีเยาะหยัน
ญาณินกับติณห์หยุดหันไปมอง มิรันตีเดินเข้ามา
"เกิดแอ็กซิเดนต์นิดหน่อยน่ะครับ Mom"
"ญินเอ่อ...ขับรถเฉี่ยวน้องคนนี้น่ะค่ะคุณแม่"
"แล้วไง รีสอร์ตฉันไม่ใช่โรงพยาบาล 30 บาทรักษาทุกโรคนะจ๊ะ"
เธอหน้าเสีย น้ำตาคลอๆปริ่มๆ
"โอ้วมายก็อด! มาบีบน้ำตา ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอนะ โน่น...แม่ญาณินนี่ต่างหากที่เป็นคนขับรถชนเธอ ขับรถประสาอะไร ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย"
"Mom…please ผมขอร้องล่ะ อนุญาตให้ญาณินพาคุณคนนี้มาพักฟื้นอยู่ที่นี่ สักพักเถอะครับ
แค่พักผ่อนสงบๆเฉยๆ เธอจำอะไรไม่ได้ เธอกลับบ้านไม่ถูก ขืน Mom ไล่เธอไป เธอจะไปไหน"
"พาไปโรงพัก ให้ตำรวจประกาศหาญาติ"
"ไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยวญาณินจะกลายเป็นผู้ต้องหา"
"ก็ดีสิ จะได้ฝากข้อหาต้มตุ๋นอีกอย่างนึง อ๊ะ..ล้อเล่น...แม่พูดเล่นนะติณห์ จัสท์คิดดิ้ง..ฮะๆๆ"
"โอเคค่ะ ติณห์..ไปโรงพักก็ได้ ญินจะโดนข้อหาอะไรก็ได้ เรารับผิดชอบเค้าทุกอย่าง ไม่น่าจะมีอะไรมาก"
"ไม่เอานะคะ หนูไม่ไปโรงพัก หนูกลัวตำรวจ"
"คนที่กลัวตำรวจ มันก็มีแต่ผู้ร้ายเท่านั้นล่ะ" มิรันตีบอก
"ไม่เอาๆๆ พี่ญาณิน...หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูชอบที่นี่"
"พี่อนุญาตหนูไม่ได้นะคะ พี่ไม่ใช่เจ้าของ"
"มัมครับ กะแค่เด็กผู้หญิงคนเดียว จะเป็นอะไรไปครับ พลีส"
"โอเคๆๆ ฉันอนุญาตก็ได้ เพื่อเห็นแก่ลูกชายสุดที่รักของแม่"
มิรันตีจับแก้มติณห์แล้วชี้ญาณิน
"แต่เธอ ... ต้องเอาไปพักอยู่กับเธอ เข้าใจไหม"
ทุกคนอึ้ง จำยอม ติณห์มองอย่างเห็นใจญาณิน เธอยิ้มให้ญาณินอย่างน่ารัก
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีบอก
"มิรันตีเอ๊ย ทำไมใจคอถึงได้ร้ายนัก ความเมตตาต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า มีบ้างไหม"
โกลเดนเบบี๋ว่า
"ก็ลูกใคร ใครเลี้ยงล่ะ ถึงได้โตมาเป็นแบบนี้"
ภายในห้องรับแขก ของรีสอร์ต มิรันตีชี้ชวนติณห์ให้ดูรูปใบหนึ่งตอนติณห์ยังเล็กๆ
"ดูนี่ซี รูปติณห์สมัยเล็กๆ น่ารักมากเลย ไม่ว่าแม่จะไปไหน แม่จะเอารูปนี้ติดตัวไปทุกที่"
ติณห์ทึ่ง
"จริงเหรอครับMom ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ"
"แม่ติดตัวไว้ เผื่อเวลาที่แม่คิดถึงลูก แม่ก็จะหยิบรูปนี้ขึ้นมาดู มันทำให้แม่มีความสุข นึกถึงวันเก่าๆ ตอนที่แม่ต้องเลี้ยงดูเด็กชายตัวน้อยๆมาคนเดียวตามลำพัง ตอนนั้นแม่ลำบากแสนสาหัส"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีโผล่มานั่งอยู่ที่พนักพิงโซฟาข้างหลัง
"เอาแล้วไหมล่ะ! ยัยลูกตัวแสบ มันเริ่มดราม่าบีบน้ำตามัดใจลูกชายตัวเองแล้ว"
มิรันตีพูดต่อ
"แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน แม่ก็ทนได้ แม่รู้อย่างเดียวว่า ต้องทำให้ลูกมีความสุขที่สุด"
"Mom"
"ไอ้ติณห์ แกอย่าไปอิน อย่าไปดราม่าตามแม่แกซี"
"แม่มีติณห์เป็นลูกเพียงคนเดียว ติณห์ก็มีแม่เพียงคนเดียว เราต่างก็มีแค่กันและกัน
แต่ถ้าแม่ไม่มีติณห์แล้ว แม่คงต้องฆ่าตัวตายแน่ๆ แต่ถ้าติณห์ไม่มีแม่ ติณห์ก็ยังมีญาณิน
ใช่ม้าย...ฮือๆๆๆ"
ติณห์กอดมิรันตี
"ไม่หรอกครับmom อย่าคิดอย่างงั้น ผมจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ตัวเองได้ยังไงกันล่ะครับ"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีตบเข่าผัวะ
"เสร็จกัน! เข้าทางมัน"
มิรันตียิ้มทันที
"ลูกพูดจริงนะติณห์ ลูกไม่มีวันเห็นใครดีกว่าแม่"
มิรันตีกอดติณห์ ยิ้มร้าย หวังใช้แผนนี้มัดติณห์ไว้ให้เชื่อฟังไม่แข็งข้อกับตัวเอง วิญญาณหลวงพิชัยภักดีมองอย่างจับผิด
"ยัยลูกเจ้าเล่ห์ ฉันว่า..เรือนไทยเอย..ทองเอย..โดนมันกินรวบเรียบวุธแน่ๆ"
โกลเดนเบบี๋บอก
"คุณตา...คนตายหรือจะไปชนะคนเป็น แล้วเค้าคือลูกคุณหลวง แม่คุณติณห์ ไม่ใช่พวกกำนันพงษ์ หรือเสี่ยปิง ที่เป็นศัตรูของคุณหลวง"
"นั่นสิ หรือชั้นมันมีกรรมหนัก ตัดเวรตัดกรรมไม่ได้ สงสัยคงไม่ได้ไปผุดไปเกิดซะแล้วก็ไม่รู้"
บริเวณเรือนรับรอง เวลาเย็น หญิงผู้ประสบอุบัติเหตุเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ เธอใส่เสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าที่เอาติดตัวมาด้วย ญาณินเอาเสื้อผ้าตัวอื่นๆใส่ไม้แขวนให้
"เสื้อผ้าของน้องสวยดีนะคะ"
"สวยหรือคะ"
โกลเดนเบบี๋นอนกอดตุ๊กตามองอยู่
"เสื้อผ้าราคาแพง แสดงว่ามาจากบ้านที่มีฐานะดีนะเนี่ย"
ญาณินถักเปียคู่ เปลี่ยนชุดใหม่เช่นกัน
"หนูอยากทำผมเปียแบบพี่ญาณิน ผมพี่น่ารักดี"
"มา...พี่ถักให้"
ญาณินจับตัวเธอนั่ง แล้วถักผมให้
"หนูจะพยายามนึกให้ออก ว่าตัวหนูเป็นใครให้เร็วที่สุด พี่จะได้ไม่มีปัญหานะคะ"
"หนูก็แค่พักผ่อน กินยาที่หมอให้...อย่าคิดมาก อย่าเครียด..ถ้าสองสามวันแล้ว
ไม่มีอะไรดีขึ้น เราไปหาหมอที่กรุงเทพกัน"
โกลเดนเบบี๋บอก
"โอ๊ย... รีบส่งไปไหนก็ได้ให้พ้นๆ เราเถอะเจ๊ ขืนอยู่นาน เจ๊นั่นแหละ จะโดน 2เด้ง...3เด้ง...4เด้ง...เด้งๆๆ"
โกลเดนเบบี๋ลุกขึ้นกระโดดดึ่งๆไปมาราวกับลูกบอลไป
เธอโผกอดญาณิน
"ขอบคุณมากนะคะ ที่พี่รับผิดชอบในตัวหนู พี่เป็นคนดีจริงๆ ต่อไปนี้ หนูขอเรียกพี่ว่าพี่ญาณิน เหมือนเป็นพี่สาวคนนึง จะได้ไหมคะ"
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ ดีออก ที่อยู่ๆก็ได้มีน้องสาวขึ้นมาคนนึงกะเค้า แต่ เราจะเรียกน้อง
ว่ายังไงดีล่ะคะ น้องชื่ออะไร ลองนึกดูดีๆอีกทีซิ"
เธอพยายามนึก นึกไม่ออก
"หนูนึกอะไรไม่ออกเลยค่ะ"
โกลเดนเบบี๋บอก
"หึ ชื่อยัยติงต๊องสิ ง่ายดี ชริส์"
โกลเดนเบบี๋อิจฉา หายตัวแว้บไป!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ญาณินลุกไปเปิดประตู ติณห์คว้ามือดึงมาโอบเอว
"อุ้ย!"
"ได้เวลาไปดินเน่อร์กันแล้วนะจ๊ะ ดาร์ลิ่ง"
"ติณห์คะ เรามาตั้งชื่อให้น้องเค้ากันเถอะค่ะ"
"หนูจำชื่อไม่ได้ หนูไม่มีชื่อ...หนูไม่มีตัวตน ไม่มีญาติ ไม่มีใครเลย"
"โอ๋ๆๆ ไม่เอานะ เร็วสิคะ ติณห์ คิดชื่อน่ารักๆ เร้ว!"
"ชื่อน่ารักๆเหรอ..ไหน..ดูหน้าหน่อยสิ หน้าแบบนี้ ชื่อ อะไรดีนะ บาร์บี้... บลายด์
ลินด์ซีย์ คริสติน่า บิยอนเซ่ แอปเปิ้ล เดล โซนี่ ซัมซุง"
สองสาวขำสุดๆ
"ติณห์นี่ บ๊องแล้ว ใครจะซื่อโซนี่ ซัมซุง"
"ไอแฮฟโนไอเดียเลยอ่ะ"
"เอาชื่อไทยๆดีกว่า น่ารักๆ เช่น..ข้าวหอม ใบเตย วุ้นหวาน"
"ข้าวเหนียวมูล ทุเรียนหมอนทอง น้ำกะทิ"
ทุกคนฮาครืน
"ไหวไหมเนี่ย พี่ติณห์" เธอบอก
ห้องทำงานพิมพ์พิลาส ในคฤหาสถ์ เวลากลางคืน พิสมรกำลังเก็บเอกสารบนโต๊ะลงกล่องกระดาษ จู่ๆ ไฟในห้องก็กระพริบๆ กรอบรูปถ่ายของพิมพิลาสบนตู้สั่นแล้วตกลงพื้น พิสมรเงยหน้าขึ้นมองรูป
ทันใด พิมพ์พิลาศก็จับมือพิสมรมาวางคาอยู่บนโต๊ะทำงาน เธอหันขวับมามองมือตัวเองแล้วเงยขึ้น เจอพิมพ์พิลาศนั่งบนเก้าอี้ทำงานจ้องสาวใช้เก่าแก่ตาเขม็ง พิสมรอึ้ง อ้าปากค้าง
"ว้าย!"
พิสมรรีบสะบัดออกแล้ววิ่งร้องโวยวายไปเปิดประตูห้อง
ประตูเปิดผลัวะออกมา พิมพ์พิลาศยืนดักตรงทางออก พร้อมตวัดเล็บยาวจิกลงไปบนแก้มพิสมรตามแรงอาฆาตแค้น
"ชั้นต้องการความยุติธรรม !"
พิสมรตกเตียงอย่างแรงสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก
"เฮ้อ... คุณพิมพ์พิลาศ"
พิสมรรู้สึกแสบที่แก้มใกล้คาง เธอผุดลุกไปดูที่กระจก เห็นรอยเล็บข่วนปรากฏอยู่บนแก้ม เลือดไหลซิบ เธอได้แต่อึ้งตะลึงงัน !
วันรุ่งขึ้นที่บริเวณทางเดิน สำนักงานตำรวจ หมอวรวรรธพูดให้ณัฐเดชกับผู้การฟัง
"พิษงูที่ทำให้คุณพิมพ์พิลาศเสียชีวิตในทันที น่าจะมีอยู่แค่ 2 ชนิดคืองูเห่าและงูจงอาง แต่ผมว่า..." หมอวรวรรธกำลังจะอธิบายว่า น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ผู้การชิงพูดก่อน
"โป๊ะเชะ! ดูเหมือนเราจะเข้าใกล้มือสังหารแล้ว ไม่เห่า...ก็จงอาง แต่จนป่านนี้...เราก็ยังจับไม่ได้เลย ทั้งเห่าและจงอาง จริงไหมผู้กอง"
ผู้การหันมากัดๆ ณัฐเดช
"ผมก็คิดนะครับผู้การ ว่ามันต้องมุดหัวซ่อนอยู่ในเรือนกล้วยไม้นั้นแน่ๆ ลูกน้องผมก็ขุด
หาทั้งเรือนกล้วยไม้แล้ว แม้แต่รู...ก็ยังหาไม่พบครับ พวกเราก็เลยมาคิดดูอีกทีว่า ไอ้สถานที่ปิดแบบนั้น งูมันคงจะเลื้อยเข้าเลื้อยออกเองไม่ได้ ต้องมีคนจูงงูมากัดผู้ตายแล้วก็จูงกลับไปครับ เลยสรุปกันว่าน่าจะเป็นคดีฆาตกรรมครับผู้การ"
ณัฐเดชแดกดันกลับ วรวรรธรับมุก
"หึ จูงงูเนี่ยะนะ งูนะครับไม่ใช่สุนัข"
"อย่าแกล้งโง่สิหมอ...กรุณาช่วยไปหาให้เจอได้ไหม ว่ามีใครเลี้ยงงูเห่า หรืองูจงอาง เพื่อการแสดงโชว์ หรือเลี้ยงไว้ดูเล่น หรืออะไรก็ได้ ช่วยไปหากันมาให้ได้เร็วๆ หน่อย หาเจอกี่เจ้า ก็เอามาสอบปากคำให้หมด เฮ้อ..หัวช้ากันจริ๊ง"
ผู้การพูดจบก็เปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป ณัฐเดชกับหมอวรวรรธยืนมองหน้ากัน ด้วยความเซ็งๆ แล้วเดินตามเข้าห้องผู้การไป
ภายในห้อง ผู้การนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง
"เอาล่ะ ที่นี้ผมมีงานจะให้คุณทั้งสองทำ"
"งานอะไรครับ" วรวรรธถาม
"วันนี้ที่บ้านคุณพิมพ์พิลาศจะมีการเปิดพินัยกรรม"
ณัฐเดชและวรวรรธตั้งใจฟังข้อมูลที่ผู้การกำลังพูดออกมา ผู้การนั่งนิ่ง ไม่พูดต่อ สองคนทำหน้างง รอฟัง
"เอ้า! ไม่ถามต่อ ไม่อยากรู้เหรอ"
ทั้งสอง ร้องอ๋อ แย่งกันพูด
"แล้วไงต่อครับผู้การ...รีบเล่าหน่อยครับ ผมอยากรู้จนทนไม่ไหวแล้ว" ณัฐเดชบอก
หมอวรวรรธขานรับ
"ข้อมูลลับขนาดนี้ ผู้การรู้ได้ยังไงครับ สุดยอดจริงๆ"
"ฮ่าๆ ... ซึ่งผู้ที่มีสิทธิรับมรดกต้องมากันครบถึงจะเปิดพินัยกรรมฉบับนี้ได้ คนแรกคือ ลูกชายคนโตของคุณพิมพ์พิลาศ ชื่อกำธรที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ต่อมาคนที่สอง ลูกชายคนเล็กชื่อเกรียงไกร ที่คุณพิมพิลาศไล่ออกจากบ้านเพราะไม่ชอบลูกสะใภ้ต่างชาติและไม่มีใครได้ข่าวคราวเขาอีกเลย"
ณัฐเดชนึกขึ้นได้
เพราะฉะนั้นมรดกก็น่าจะตกเป็นของคนที่มีสิทธิ์คนสุดท้ายคือคุณอติเทพ!! สามีปัจจุบัน
ที่มีอายุคราวลูก"
"สารวัตรแน่ใจเหรอว่าเหลือคุณอติเทพคนเดียวที่มีสิทธิ์รับมรดกพันล้านนี้" ผู้การถาม
"ก็เหลือเขาอยู่คนเดียว ...เอ...หรือว่าผู้การรู้อะไรมา" วรวรรธถาม
"ไม่รู้...เดาเอา"
"อ้าว..."
"ก็พวกคุณบอกว่า คดีนี้น่าจะเป็นการฆาตกรรม มากกว่าการถูกงูกัดธรรมดาไม่ใช่เหรอ"
"ผู้การถึงอยากให้ผมทั้งสองคนไปร่วมสังเกตการณ์การเปิดพินัยกรรมนี้ เพราะเรา
อาจจะได้เบาะแสหรือหลักฐานอะไรเพิ่มเติมแบบคาดไม่ถึงใช่มั้ยครับ"
พูดเสร็จทั้งสองก็หันไปหาผู้การเพื่อรอฟังคำยืนยัน แต่กลับพบว่าผู้การกำลังพยายามเพ่ง
กระแสจิตเพื่อให้ของบนโต๊ะทำงานให้ลอยขึ้น
"ลอยขึ้นมา...จงลอยขึ้นมา"
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธทำหน้าหมดแรง
ในเวลาเดียวกัน รถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้าน ณ เวียงทับ กรรัมภา สุคนธรส ก้องฟ้า ลงจากรถมายืนตะลึงมองประตูรั้วอัลลอยขนาดใหญ่โตมโหฬาร ทุกคนมองผ่านรั้วเข้าไป เห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตั้งทะมึนตระหง่านอลังการอยู่สุดปลายถนน ที่ขนาบไปด้วยต้นสนปลูกไล่ไปตลอดทาง
"เนี่ยนะ บ้านอีตาด็อกเตอร์ชีกอ"
"เรามาผิดหลังรึป่าวพี่" ก้องฟ้าถาม
สุคนธรสถือแผนที่จดเลขที่บ้านมาเปรียบเทียบกับเลขที่บ้านตรงเสา
"ไม่ผิดหรอกก๊อง นี่ไง! บ้านเลขที่ตรงกันเด๊ะ"
แล้วทั้ง 3 ก็มองเห็นป้ายตัวอักษรสีทองเขียนไว้ตรงเสาเหนือบ้านเลขที่ว่า.... บ้าน ณ เวียงทับ!
กรรณาเปิดประตูรถบอก
"ฉันไปซื้อของที่มินิมาร์ทก่อนนะ เดี๋ยวตามเข้าไป"
สุคนธรสกับกรรัมภารีบวิ่งมาขวาง
"เฮ้ย...ไม่ได้ อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ" สุคนธรสบอก
"ใช่...อยากรู้จักผีก็ต้องเข้าใกล้ผี" กรรัมภาว่า
"แต่..."
ทันใด ประตูมหึมาก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ทุกคนมองหน้ากันไปมา...
"ขึ้นรถมาเร็วๆ ไม่เคยเห็นประตูรีโมทเหรอยะ" กรรัมภาบอก
"จ้า...เคยจ้า แต่อยากทำเป็นงง มีอะไรไหมคะ" กรรณาว่า
ทั้งหมดรีบขึ้นรถ กรรัมภารีบขับรถเข้าไป
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 2 (ต่อ)
กรรัมภาขับรถมาจอดหน้าตัวบ้าน ทั้งหมดลงรถ มีกรรณาเท่านั้นที่อิดออดนิดหน่อย ไม่อยากเจอ ดร.แผนยุทธ ก้องฟ้าตัดสินใจเดินไปกดออด ประตูใหญ่ของบ้านค่อยๆแง้มเปิดออก ทีแรกไม่เห็นใคร ก้องฟ้าจึงยื่นหน้าเข้าดูภายในบ้าน มูมู่โผล่หน้ามาพอดี ก้องฟ้าร้องขึ้น ทำเอาทุกคนตกใจ
"อะไรก๊อง! ร้องซะตกใจ" กรรณาถาม
"โอ้วมายก็อด ไม่เชื่ออย่าลบลู่ ไม่เห็นกะตา อย่าบอกว่ามันไม่มีจริง"
มูมู่ใส่ชุดmaidสีดำ เปิดประตูให้ เธอแสยะยิ้มต้อนรับ ก้องฟ้าชี้กระโดดดีใจตัวลอย
"เย้ย...วู้...ว้าว...ก๊องเห็นผีแล้ว ก๊องเห็นผีแล้ว ในที่สุดเราก็มีซิกส์เซนส์แล้ว เยส!"
"ผีตาผียายคุณเหรอ นี่มูมู่นะ ไม่ใช่ผี"
"อ้าว...ตกๆๆ ตกลงว่าเป็นคน...บ่ใช่ผีเด้อ"
"แม่น!"
มูมู่กระแทกเสียงใส่ ก้องฟ้าจ๋อย กรรณา สุคนธรส และกรรัมภากลั้นขำ
กรรณาบอก
"พวกเรานัดกับด๊อกเตอร์แผนยุทธเอาไว้ค่ะ"
มูมู่ผลักประตูใหญ่ของบ้านออก...แล้วยืนโค้งหัวก้มแทบติดดินผายมือให้อย่างอ่อนช้อย
บ่งบอกว่า ได้รับการอบรมวิชาชีพmaidชั้นสูงมาอย่างดี
"เชิญค่าคุณ"
ทุกคนก้าวเดินเข้าบ้าน และตะลึงกับความอลังการภายใน... ที่มีการตกแต่งแบบโกธิค
สุคนธรสกระซิบ
"นี่มันบ้านคนหรือปราสาทวะเนี่ยะ"
"แต่ผมว่าเหมือนโบสถ์มากกว่า ดูรูปวาดพวกนั้นดิ บรื๋อออ น่าขนลุก" ก้องฟ้ากระซิบตอบ
ก้องฟ้าชี้ไปที่รูปวาดคนยุโรปโบราณขนาดใหญ่ภายใน ทำให้บ้านดูอึมครึม น่ากลัว
"เหมือนคนในรูปเค้ามองตามเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืนตรงไหน ลองสิๆ" กรรัมภาว่า
ทุกคนลองกันใหญ่
"แต่แปลก...ฉันไม่ได้ยินเสียงวิญญาณอะไรเลย ตั้งแต่เข้าบ้านมาเนี่ยะ แล้วแกล่ะ"
สุคนธรสส่ายหน้า
"ไม่ได้กลิ่นสาปสางของวิญญาณเลยสักนิดเดียว"
กรรัมภาถอดถุงมือ
"งั้นชั้นจะลอง"
พอดีเป็นจังหวะที่มูมู่นำทั้ง 4 มาถึงส่วนที่เป็นห้องรับแขกใหญ่
"เชิญพวกคุณ นั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณผู้ชายก็จะลงมา"
กรรัมภาชะงัก
"ขอบคุณค่ะ" กรรณาบอก
มูมู่เดินออกไป ทั้งหมดนั่ง มองไปรอบๆ กรรณามองไปสะดุดตากับรูปภาพขนาดใหญ่กลางบ้าน ขณะที่ก้องฟ้าอยู่ไม่สุข เดินสำรวจไปทั่ว
"เฮ้ยๆ...ดูนั่นดิ"
กรรณาสะกิดให้สุคนธรสมอง...รูปของพิมอรที่นิ่งสงบปนเศร้า
กรรัมภาบอก
"ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นเมียตาด็อกเตอร์นะ สวยสง่า ผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วมาก"
"อีตาด็อกเตอร์ดูไม่สมกะเค้าเลยแฮะ" กรรณาเสริม
สุคนธรสบอก
"เค้าคงมีอะไรดีบ้างล่ะ ถึงทำให้ผู้หญิงสวยขนาดนี้ตามหึงหวงแม้จะตายไปก็ตาม"
ระหว่างที่เดินสำรวจ พอก้องฟ้าจะก้าวขึ้นบันไดที่นำขึ้นชั้นบนต้องช็อก เมื่อไปเจอเอากับสาวใหญ่ชุดดำ ผมตีโป่งอุ้มแมวดำยืนอยู่ ถลึงตามองใส่ แล้วชี้นิ้วเล็บยาวๆทาสีดำมาที่ก้องฟ้า
ผู้หญิงคนนี้ อยู่ในวัย 40 เป็นแม่บ้านประจำตระกูล ณ เวียงทับ ชื่อจารุณี ที่เธอและมูมู่แต่งดำ เพราะไว้ทุกข์ให้กับพิมอร
จารุณีสีหน้านิ่งเฉยราวรูปปั้นถาม
"แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ทำไม!"
ก้องฟ้าตกใจ ร้องลั่น
"อ๊าก...ผี!"
ก้องฟ้ากลิ้งราวกับลูกขนุนตกจากบันได กลุ่มสาวๆตกใจ ลุกขึ้นยืน มองเห็นจารุณียืนจ้องหน้าทะมึนอยู่ที่บันได ก้องฟ้าเดินถอยหลังหนี มือถูก้นเพราะเจ็บจากแรงกระแทกที่ตกบันได
"พวกแกว่าคนหรือผี" สุคนธรสถาม
"ถ้าแม่หมออย่างแกไม่รู้" กรรณาบอก
"แล้วฉันจะรู้เหรอ" กรรัมภาว่า
"ฉันถามว่าเข้ามาในบ้านนี้ทำไม ฉันรัก...ฉันหวง...ฉันเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้"
จารุณีประกาศลั่น...แมวดำแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่ก้องฟ้าราวกับย้ำ
ติณห์เดินมาหน้าตาซีเรียสมาที่บริเวณรีสอร์ต แล้วเจอหญิงผู้ประสบอุบัติเหตุยืนมองรอบๆรีสอร์ตอยู่
"ยอดไม้ เม็ดทราย ฟ้า ต้นหญ้า..หนูจะชื่ออะไรดีคะ"
เธอยิ้มกว้างเมื่อเห็นติณห์ เขาเปลี่ยนจากสีหน้าบึ้ง เป็นยิ้ม
"อะไรกัน น้องครับ..ยังตั้งชื่อไม่ได้อีกเหรอ"
"หนูยังไม่เจอที่ถูกใจน่ะค่ะ พี่ติณห์เป็นอะไรคะ หน้าตาเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจ"
"หา...น้องดูออกด้วย"
"ให้หนูทายนะคะ พี่ติณห์มีปัญหากับคุณแม่"
"ถูก !"
เธอดีใจทายถูก
"คือ ไม่มีอะไรซีเรียสหรอกจ้ะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ คือ คุณแม่กับคุณตาของพี่ ไม่ถูกกัน
แล้วพี่เป็นคนกลาง เข้าใจไหม"
"คุณตาพี่อยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ หนูไม่เคยเจอเลย"
"คือ คุณตาของพี่ท่านเป็น แหม... มันอธิบายยากหน่อยอ่ะนะ"
"เรื่องของพี่ติณห์อธิบายยาก แต่ก็คงอธิบายได้ เรื่องของหนูสิคะ อธิบายอะไรไม่ได้เลย
ลืมหมดเลย"
"หนูจำอะไรไม่ได้ซักอย่างนึงเลยเหรอ"
เธอส่ายหน้า ทำหน้าน่ารัก
"งั้น เรามาพยายามรีไมด์ รื้อฟื้นกันไหม ลอง คิดถึงตัวเลขซิ เช่น..วันเกิด..
หนูจำวันเกิดได้ไหม"
เธอคิดๆ แล้วส่ายหน้า
"งั้น เอาเบอร์โทรศัพท์"
เธอส่ายหน้าอีก
"บ้านเลขที่..."
"จำไม่ได้"
"งั้น...น้ำหนัก"
เธอส่ายหน้า
"ส่วนสูง"
เธอส่ายหน้า
"เบอร์รองเท้า"
เธอถอดรองเท้า เอามาดู เบอร์...
"ขี้โกงนี่นา"
ทั้งสองหัวเราะกัน ญาณินเดินออกมา เห็นสองคนกำลังหัวเราะกัน ก็อดยิ้มไม่ได้ เดินออกมา
"ตลกอะไรกันคะ"
"หนูยังไม่มีชื่อเลยค่ะ พี่ญาณิน"
"ก็ตั้งชื่ออะไรให้ หนูก็ไม่ชอบนี่นา"
"งั้นรอพวกสาวๆ ซิกซ์เซนซ์มาตั้งให้ก็แล้วกัน พวกนั้นน่าจะคิดชื่อน่ารักๆให้หนูได้"
"ที่พี่บอกว่า พวกพี่มีกันอยู่ 5 คนน่ะเหรอคะ"
"เป็นห้าสาวที่เวลาอยู่พร้อมหน้าแล้วทำให้ปวดหัว ตัวร้อน ไข้ขึ้น"
ญาณินหัวเราะ
"บ้า...พวกเราคือ 5 สาวแสนสวยจ้ะ"
"ห้าคน..เลขห้า..หนูชอบเลข 5"
"นั่นไง หรือว่า หนูมีความทรงจำอะไร เกี่ยวกับเลข 5"
เธอหน้ายุ่ง
"หนูนึกไม่ออก หนูแค่ชอบเลข 5 เฉยๆ"
ญาณินดีดนิ้ว
"เลข5เหรอ...เบญจา"
ติณห์และเธอพูดพร้อมกัน
"อะไรนะ!"
"เบญจา..หนูชอบๆๆ ตกลงหนูชื่อเบญจา"
"เบญจาแปลว่าห้าเหรอ" ติณห์ถาม
"ค่ะ"
"ไม่ใช่ไฟว์เหรอ"
ญาณินตีติณห์เบาๆ
"ตลกละๆ"
ทันใด มีเสียงเลื่อยดังมา ทุกคนงงๆ มองไปที่ทิศทางเสียง แล้วมองหน้ากัน
เลื่อยไฟฟ้าทำงาน ส่งเสียงน่ากลัว คนงานกำลังจะบรรจบเลื่อยนั้นลงที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในรีสอร์ต แต่ญาณินและติณห์วิ่งเข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน เบญจาตามมาด้วย
"หยุดๆๆ จะทำอะไร ใครสั่งให้ตัดต้นไม้"
คนงานบอก
"คุณมิรันตีครับ เขาบอกว่า ต้นไม้นี้บังวิวห้องพักทางด้านนั้น เลยให้ตัดออก"
ญาณิน ติณห์ มองหน้ากัน
"นี่ไง เรื่องนี้ล่ะ ที่ผมเครียดมาตั้งแต่เช้า"
คนงานถาม
"เอาไงครับ"
"ที่นี่จะไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่ต้นไหนทั้งนั้น ผมคือผู้รับผิดชอบเอง"
คนงานก้มหน้า
"มีอะไรต้องทำก็ไปทำ แล้วไม่ต้องทำอะไร ที่ไม่ได้อยู่ในแปลนแต่แรก" ญาณินบอก
"ครับ"
พวกคนงานไป เบญจามองเหตุการณ์อย่างสนใจมาก
ที่เรือนไทย มิรันตีกำลังเดินตรวจตราสาวๆที่ยืนเรียงแถวกัน เพื่อการแคสติ้ง ทุกคนใส่ขาสั้น เสื้อกล้ามขาว หุ่นดี หน้าสวย
"หนูคนนี้หน้าสวยนะ แต่ทำไมขาเป็นแผลยุงกัดลายเชียว ไม่ได้นะจ๊ะ จะมาทำงานที่นี่..
ผิวต้องสวยเป็นอันดับหนึ่ง" มิรันตีบอก
ติณห์ ญาณิน เบญจาเดินขึ้นมา มองทุกอย่าด้วยสายตางงๆ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีนั่งปลงๆ พอเห็นญาณิน รีบเดินเข้าไปหา
"ข้ายอมรับนะว่าสาวๆพวกนั้น มันช่างอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ แต่มันมากเกินไป นังมิรันตีทำราวกับเรือนของข้าเป็นสำนักโคมเขียว ข้ารับไม่ได้"
"มัม...นี่มัมทำอะไรกันครับ"
มิรันตียืนมองการฝึกสอนนั้นอย่างปลื้มๆพึงพอใจ
"ติณห์..แม่คิดๆ แล้ว รีสอร์ตเราต้องเป็นรีสอร์ตเกรดห้าดาว แขกที่มาพักก็ต้องระดับวีไอพี แม่ก็จะใช้เรือนไทยนี้ เปิดเป็นไฮเอ็นด์ แอนด์ โมเดิร์น สปา บาย มิรันตี เอาไว้รองรับลูกค้าไฮโซระดับแพลตตินั่มเท่านั้น"
"สปาไฮโซ"
"แต่เรือนไทยนี้ เราตั้งใจจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเชิดชูหลวงพิชัยภักดีนะคะ"
มิรันตีจ้องญาณิน
"เรา"
"คุณณินหมายถึง ผมกับคุณณินได้สรุปกันเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอนุรักษ์เรือนไทยนี้เอาไว้ เพราะนี่คือประวัติศาสตร์ของตระกูล และที่สำคัญนี่ก็เป็นบ้านของแกรนด์ปานะครับ"
"แม่ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ตรงกันข้ามแม่จะทำให้มันสวยขึ้น พร้อมทั้งทำประโยชน์สร้างมูลค่าให้เรา แล้วจะปล่อยให้คร่ำครึไร้ค่าทำไม แล้วรูปคุณตาก็ยังอยู่ที่เดิม"
มิรันตีชี้ไปที่รูปพ่อที่ยังคงอยู่ที่เดิม แต่มีรูปมิรันตีสีสวยสง่าขนาดใหญ่กว่าติดประกบคู่ เธพูดต่อ
"แล้วที่สำคัญแกรนด์ปาของแก เป็นคนที่ชอบเรื่องพรรค์นี้อย่างมาก ท่านเจ้าชู้ มีเมียน้อยนับ
ไม่ถ้วน เห็นสาวๆล่ะเป็นไม่ได้ ชีวิตของท่าน ที่จบลงอย่างที่แกเล่า ก็เพราะหลงผู้หญิง ไม่ใช่เหรอ คุณยายของแกถึงต้องเผ่นไงล่ะ เพราะทนคุณตาไม่ได้"
หลวงพิชัยภักดีเซๆไป น้ำตาไหล
"แกเลือกจำแต่เรื่องเลวๆของฉัน แต่ความดีที่ฉันเคยทำ แกเลือกที่จะลืม"
ญาณินสงสารคุณหลวง
"คุณหลวงคะ..อย่าคิดมากนะคะ"
เบญจามองอย่างงงๆ มิรันตีหันมาจ้องญาณิน
"อร๊าย นี่ แก เล่นบทพูดกะผีเพื่อขู่ให้ชั้นกลัวเหรอยะ"
ติณห์ปราม
"มัมครับ ไม่ใช่..."
ญาณินพูดสวนขึ้นมา
"หนูไม่ได้เล่นบทอะไร หนูทำทุกอย่างก็เพื่อรีสอร์ต เพื่อคุณติณห์ เพื่อคุณหลวง โดยไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงนะคะ"
เบญจามองทุกคน หน้าซื่อๆ เดินไปดูรูปคุณหลวง
"เพื่อรีสอร์ต เพื่อติณห์ เพื่อคุณหลวง ต๊ายตาย กล้าพูด เธอนี่มัน 18 มงกุฎที่เอาอาชีพออกแบบตกแต่งบังหน้าชัดๆ"
"มัม...แกรนด์ปามีจริงนะครับ"
มิรันตีเดินไปหน้ารูปพ่อ
"มีจริง...ไหนล่ะ คุณพ่อคะ ถ้าคุณพ่อมีจริง ลองแสดงโชว์หน่อยสิคะ อะไรก็ได้ ทำให้อะไรตกสิ หรือทำกลิ่น กลิ่นธูปกลิ่นเทียน หรือ ทำลมพัดอะไรหน่อยสิ"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเดินไป นั่งร้องไห้มุมหนึ่ง ญาณินมองตามไป
"คุณหลวงกำลังร้องไห้ค่ะ คุณหลวงเสียใจมาก"
"อ๋อ...เหรอ..ฮะๆๆ ฮานาก้า"
ทันใด มิรันตีก็สะดุ้ง"โอ๊ะ..."
ทุกคนมอง
"โอ๊ย...ปวด ปวดท้อง"
"แม่ครับ แม่...แกล้งทำหรือเปล่าครับ"
มิรันตีตัวงอ เซ
"แกล้งบ้าอะไรล่ะ โอ๊ย...ชั้นเป็นอะไรไปนี่ ยังกะใครมาบิดไส้ โอยๆ"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีหันมา
"มันเป็นอะไรของมัน"
ญาณินจะเข้าไปหามิรันตี
"คุณมิรันตีคะ ไปหาหมอไหมคะ"
"อย่ามาแตะต้องตัวชั้น ติณห์ แม่ตายแน่ นี่แม่เป็นอะไรไปๆ พาแม่กลับบ้านเดี๋ยวนี้ โอ๊ยๆๆ"
"แม่ครับ"
ติณห์พยุงแม่ลงจากเรือนไป ญาณิน เบญจา มองตามอย่างกังวล หลวงพิชัยภักดีงงงวย
ภายในเรือนรับรอง เบญจามองญาณิน ที่นั่งกุมขมับอยู่
"คุณแม่พี่ติณห์เค้าเป็นโรคประจำตัวอะไรหรอคะ" เบญจาถาม
"ไม่ทราบสิจ๊ะ"
"หรือเค้าจะแกล้งทำคะ"
"คงไม่หรอก ท่าทางท่านจะปวดมากนะ"
"แล้วพี่...พี่พูดกับ...กับ...คุณตาพี่ติณห์จริงๆ หรือว่าหลอกเค้าคะ"
"น้อง...เอ้อ พี่เรียกน้องว่าเบญจาก็แล้วกันนะ คือ พี่กับเพื่อนๆบริษัทซิกส์เซนส์..เรามี
ซิกเซ้นส์กันจริงๆน่ะจ้ะ แล้วพี่ก็คุยกับคุณหลวงที่น้องเห็นในรูปที่เรือนไทยได้จริงๆ แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ สำหรับคนทั่วไปน่ะจ้ะ"
"โอว...หนูเข้าใจแล้ว"
"คุณแม่ท่านก็ไม่ผิดหรอก เป็นพี่ พี่ก็คงไม่ไว้ใจ อยู่ๆ แฟนของลูกมาอ้างว่า มีซิกส์เซนส์ แล้วบอกว่า วิญญาณคุณพ่อของท่าน มาสั่งว่าให้ทำยังงั้นยังงี้ โดยเฉพาะในสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของท่านเป็นเรา เราก็คงไม่เชื่อ"
"พี่ต้องพิสูจน์สิคะ"
"แต่เบญจาเข้าใจพี่ใช่ไหม เบญจาไม่คิดว่าพี่เป็น18มงกุฎใช่ไหมคะ"
"ว่างๆ พี่ญาณินโชว์ให้หนูดูบ้างสิคะ แต่หนูไม่อยากเห็นผีนะคะ หนูกลัว ไม่ต้องเรียกผีมาพิสูจน์นะคะ"
"ผีเค้าไม่ไปไหนมาไหนแบบไม่มีเหตุผลหรอกจ้ะ แล้วผีก็ไม่ได้มีพิษภัยเท่าคนหรอกนะ คนสิ หลอกคน ทำร้ายคน ผีน่ะ พูดแต่ความจริงนะ"
เบญจาตาโต
"เหรอคะ"
ภายในรีสอร์ต ติณห์ประคองแก้วน้ำ พร้อมยาออกมา
"ปวดเหมือนไส้บิดๆ อาจจะเป็นบิดนะครับ นี่คือยาฆ่าแบคทีเรีย มอมกินยาก่อนนะครับ หรือยังไง เราก็ควรไปโรงพยาบาลกัน"
"จะบ้าเหรอ เป็นบิดก็ต้องวิ่งจู๊ดๆ เข้าห้องน้ำด้วยสิ แต่นี่...มันปวดยังกะใครบิดไส้ โอ๊ยๆๆ"
"หรือว่า จะมีแก๊สวิ่งเล่นอยู่ในลำไส้ หรือว่า เอายาลดกรดในกระเพาะอาหารดีครับ"
ติณห์วิ่งไป หายาในตู้ยาประจำบ้าน
"โอ๊ยๆๆ เหมือนคนเอาเข็มมาทิ่มไส้เลย ทิ่มตรงนั้นบ้าง ทิ่มตรงนี้บ้าง โอ๊ย"
"หา..หรือมีคนเล่นแบล็กเมจิกกะแม่ เหมือนพวกวูดูเลย"
"ไอ้บ้า ตั้งแต่คบกะยัยนี่ แกกลายเป็นคนเชื่อเรื่องแบบนี้ไปแล้วหรือติณห์ แม่ว่า มันอาจใส่ยาพิษอะไรมาในอาหารของแม่มากกว่า...โอ๊ย เอ๊ะ เอ๊ะ"
มิรันตีเงียบชั่วครู่ เพี่อจับความรู้สึกตัวเอง แล้วลุกขึ้น
"เป็นไรอีกครับแม่"
"หายแล้ว"
"อ้าว...หายจริงเหรอครับ"
มิรันตีนิ่ง ลุกมา พลิกตัวท่านั้นท่านี้
"หายจริงๆ ไม่เจ็บอีกแล้ว หายเหมือนกับ ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนเลยนะ"
ติณห์มองแม่ ขมวดคิ้ว มึน
"เอ๊ะ ติณห์ ทำไมแกมองแม่แบบนั้น โนๆๆๆๆ ยูหาว่าไอแกล้งทำเหรอ ไม่นะ ไอปวดจริงๆ ไอไม่ได้พรีเทนเด็ดนะ ตะกี๊ไปปวดจริงๆ แล้วก็หายจริงๆนะ"
ติณห์อึ้ง
ภายในห้องรับแขก บ้าน ณ เวียงทับ จารุณีเดินผ่านเชิงเทียนใหญ่เหนือตู้โบราณ หลอดไฟก็สว่างพรึ่บขึ้น เนื่องจากที่นี่มีตั้งไฟด้วยระบบเซ็นเซ่อร์ไว้ ใครเดินผ่าน ไฟจะติดขึ้นเอง และไฟจะดับเอง ถ้าไม่มีใครอยู่ในห้อง ทุกองค์ประกอบดูน่ากลัวกว่าที่คิด
"ที่นี้มีเจ้าของ! ไม่ใช่ที่ต่ำๆ ให้สัมภเวสีทั่วไป เข้ามาเพ่นพ่าน หลบลู่สถานที่ทำให้ที่นี่แปดเปื้อน มัวหมอง" จารุณีบอก
จารุณีเดินผ่านเชิงเทียน โคมไฟกี่อันๆ ไฟก็สว่างขึ้นพรึ่บพรั่บเองหมด เพิ่มความขนลุกให้กับก้องฟ้าเป็นทวีคูณ เธอชี้ ตาลุกวาวมาที่ 3 สาว ทำเอาทุกคนแทบกระโดด ก้องฟ้าถอยฉากหลบหลังสาวๆทันที
"เร็วดิ พี่รสยืนเฉยอยู่ทำไม เอาข้าวสารเสกออกมาซัดเลย...ซัดเล้ย..มันเข้ามาแล้ว"
สุคนธรสที่ยังสับสนว่า จารุณี เป็นคนหรือผี ล้วงมือลงไปในเป้ เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน แต่จารุณีตวาดขึ้น
"บ้านหลังนี้ไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามา โดยเฉพาะพวกผู้หญิงนุ่งสั้น ชอบโชว์เรือนร่างอย่างพวกเธอ"
"อ้าวป้า...อยากมีเรื่องเหรอ" กรรณาถาม
จารุณีอ้าปากค้าง แทบกรี๊ด
"ป้า! ชั้นไม่ใช่พี่สาวแม่ ของใครในที่นี้นะ"
"ได้เลย! ป้าๆๆ น้องเคยเห็นป้าหรือเปล่า"
กรรณาถลกแขนเสื้อจะเข้าหา สุคนธรส กรรัมภาต้องรีบผลักอกกรรณาไว้
"โธ่เว้ย! ใจเย็นๆได้มั้ย ยัยกรรณ"
"เรามาทำงานนะ แกจะมาตบกับเขาหรือไง"
สุคนธรสปรับคำพูด
"พี่..ก็ได้..ถ้าฉันไม่มีธุระ ฉันคงไม่หลับหูหลับตา เดินเข้ามาบ้านคนอื่นหรอกค่ะ"
"แต่นี่ฉันนัดกับเจ้าของบ้านเอาไว้" กรรณาบอก
"เจ้าของบ้านหลังนี้ตายไปแล้ว!"
จารุณีพูดพลางปล่อยแมวดำกระโจนใส่...เงี๊ยว! ก้องฟ้าร้องลั่น
"จ๊าก! ตกลงเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่วะ"
ก้องฟ้ายังแอบหลังกรรณา
"ชั้นหมายถึง เจ้าของบ้านที่ยังไม่ตายน่ะ" กรรณาบอก
"นึกว่าหมายถึงเจ้าของบ้านตัวจริง"
จารุณีพูดพร้อมหันไปมองภาพของพิมอร แววตาปรากฏรอยเหยียดหยัน กรรณาสังเกตได้ถึงความขัดเคืองบางอย่างของจารุณีที่มีต่อพิมอร
"พวกเธอมีธุระอะไรกับคุณแผนยุทธ"
"แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใคร" กรรณาถาม
"เธอมีสิทธิ์อะไรมาซักฉัน"
"ก็คุณยังซักฉันได้เลย"
เพื่อนๆพยายามปรามกรรณา แต่สายไปแล้ว กรรณาเครื่องติดแล้ว
"แต่ชั้นถามเธอก่อน เธอยังไม่ตอบ แถมยังย้อนถามชั้นอีก"
"คุณก็ตอบมาก่อนดิ แล้วฉันจะตอบคุณ"
"ว๊าย...! เถียงคำไม่ตกฟาก"
"โว๊ย... ฟากฝั่งไหนไม่ทราบ"
มูมู่เดินถือถาดน้ำกระเจี๊ยบออกมาเสิร์ฟ ตัดบทเสียก่อน
"เอะอะอะไรกันคะ คุณแม่บ้านจารุณี มีเรื่องอะไรกันเหรอค้า"
ทั้ง 4 คนมองหน้ากัน
"คุณแม่บ้านจารุณี"
ก้องฟ้าบอก
"อ้าวเอ้ย เป็นแค่แม่บ้าน ทำเนียนเป็นเจ้าของบ้าน"
ขณะที่จารุณีมองแก้วใส่น้ำกระเจี๊ยบในถาด
"เอ๊ะ...น้ำอะไร ใครใช้ให้ยกมา"
"น้ำกระเจี๊ยบค่า"
"เอาไปเก็บ!"
"อ้าว!"
"ฉันสั่งแล้วใช่มั้ย ว่าน้ำกระเจี๊ยบเอาไว้รับแขกคนสำคัญเท่านั้น ไปเอาน้ำเปล่าในตู้เย็นมาเสิร์ฟแทนเดี๋ยวนี้!"
ทุกคนอ้าปากค้าง เสียงหล่อทุ้มราวกับพระเอกราว สมบัติ เมทะนี ก็ดังขึ้น
"แขกผม! เอาน้ำอะไรมาเสิร์ฟแล้วมีปัญหาอะไร"
ทุกคนหันไปมอง แผนยุทธเดินลงบันไดมาอย่างสง่า ราวกับชายกลางแห่งบ้านทรายทอง
จารุณีหันขวับไป
"แต่คำพูดของดิฉันเป็นกฎของบ้านหลังนี้...กฎต้องเป็นกฎ"
"คุณกรรณาเป็นแขกคนสำคัญของผม...น้ำกระเจี๊ยบสำหรับแขกคนสำคัญก็ถูกกฎแล้วนี่ คุณจารุณี!"
"คุณผู้ชาย"
"รอนานหรือเปล่าครับคุณกรรณา"
จารุณีทำหน้าฟึดฟัดใส่แผนยุทธราวกับเป็นสามีก็ไม่ปาน จังหวะที่กรรณามองจ้องจับตาสงสัยพฤติกรรมของจารุณีนั้นเอง ก็มีเสียงด่าตวาดของวิญญาณช่อเพชรเข้ามาที่หูกรรณา
"อร๊าย... นังนี่อีกแล้วเหรอ นังเด็กสก๊อยนุ่งสั้น อย่ามายุ่งกับสามีฉันนะ นังหน้าด้าน!"
กรรณาแสบหู แต่คราวนี้เตรียมตัวมาดี ควักเอียปลั๊กออกมาเสียบเข้าไปในรูหู
กรรณายิ้มๆ ได้ยินเพียงเบาๆ
"สบายขึ้นเยอะเลย"
สุคนธรสแสบจมูกทันทีเหมือนกัน กระซิบบอกกรรณา
"ฉันก็ได้กลิ่น! วิญญาณโผล่มาแล้ว อึ๋ย...เหม็นสะอิดสะเอียนมาก"
กรรณาไม่ได้ยิน
"ห๊า..."
"เออ...ช่างมันเถอะยัยรส"
เสียงวิญญาณช่อเพชรดังเข้ามาอีก
"แกกล้าตามมาตื๊อผัวฉันถึงบ้านเชียวเหรอ ไสหัวเหม็นๆไปเดี๋ยวนี้"
กรรณาอดไม่ได้ที่จะมองมองไปที่รูปของพิมอร
"คนเราดูแต่หน้าตาภายนอกไม่ได้จริงๆ หน้าสวย มาดหวานสูงส่ง แต่เสียงแปร๋น
แล้วก็ปากจัด หยาบต่ำที่สุด"
หมอวรวรรธและณัฐเดชเดินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ คฤหาสน์พิมพ์พิลาศ ทนายสมชายเข้ามาต้อนรับ
"สวัสดีครับสารวัตร คุณหมอ"
วรวรรธ ณัฐเดช สวัสดีตอบ
"ผมได้คุยโทรศัพท์กับท่านผู้การแล้วครับ ว่าคุณทั้งสองจะมาร่วมเป็นพยานด้วย"
"ขอโทษที่มารบกวนนะครับ"
"ไม่เลยครับ มาเถอะ ผมจะแนะนำให้รู้จักทุกคน นี่คุณหญิงสมศรี มาในฐานะพยาน นี่เลขาผม คุณอรวี"
ณัฐเดชและวรวรรธ สังเกตได้ถึงรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน
อติเทพเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่จากอีกด้าน
"ส่วนนี่คุณอติเทพ สามีคุณพิมพ์พิลาส"
อายุของอติเทพดูแล้วคงไม่ห่างจากณัฐเดชเท่าไหร่
"โอ้โห...หล่อเฟี้ยวขนาดนี้ ไม่ต้องแม่หม้ายอายุเยอะหรอก สาวๆที่ไหนก็ชอบ ใช่มั้ยพี่"
วรวรรธบอก ณัฐเดชแอบสะกิดให้หยุด ณัฐเดชพูดกับทนาย
"แล้วพิธีการจะเริ่มเมื่อไหร่ครับ"
"ยังไม่แน่ใจเลยครับ"
หมอวรวรรธถาม
"รออะไรกันอยู่เหรอครับ"
"เออ...รอทายาทอีกคนของคุณพิมพ์พิลาสน่ะครับ"
ณัฐเดชสงสัย
"ทายาท"
พิสมรรีบเดินมาอย่างรวดเร็วเข้ามาบอกด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ
"คุณจักรค่ะ...คุณจักร หลานชายคุณพิมพ์พิลาส มาถึงแล้วค่ะ"
พิสมรหมายถึง จุลจักร ซึ่งเป็นชื่อไทยของปาร์คจุนจี
อติเทพหนุ่มรูปงามพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ดูเป็นคนดีเหลือเกิน
"ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่ทำให้เค้ามาในวันนี้ มันจะได้จบๆ เสียที"
พิสมรหันมาพูดคนเดียว
"คุณท่านคะ หลานชายคนเดียวของท่านกลับมาแล้วค่ะ"
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 2 (จบตอน)
รถหรูจอดตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ บอดี้การ์ดทั้ง 2 คนลงมาเปิดประตู ลีจองกุ๊กลงจากรถ
มาก่อนหลีกทางกว้างให้ปาร์คจุนจีค่อยๆก้าวลงจากรถอย่างมีมาด รถหรูขับออกไปจอดที่อื่น
ปาร์คจุนจีค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดสุดล้ำ มองไปยังบ้านหรูขนาดใหญ่ตรงหน้า ภาพในอดีตที่
ไม่เคยลืมปรากฏขึ้น ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า
ภาพเกรียงไกรประคองลีซองที่ร้องไห้ออกมาจากบ้าน โดยมีจุนจีในวัยเด็กเกาะแม่ออกมาด้วย พิมพ์พิลาศเดินออกจากบ้านมายืนไล่
"แกมันลูกเนรคุณ แกรักนังเมียเกาหลีนี่มากกว่าชั้น ก็หอบลูกหอบเมียแกไปอยู่ที่อื่น แล้วฉันจะไม่ให้แกเลยซักสตางค์แดงเดียว ไปเลย...ไสหัวไปให้พ้นจากบ้านของฉัน"
ปาร์คจุนจีขบกรามแน่น เสียงเกลียดชังของพิมพิลาศดังก้องอยู่ในหัว ‘’ ฉันเกลียดพวกแกทุกคน! ’’
หน้าต่างด้านบน...ผ้าม่านถูกแหวกเอง ก่อนจะปรากฏเป็นภาพของใครบางคนยืนมองลงมาที่ปาร์ค์จุนจี
ปาร์คจุนจีเดินเข้ามาพร้อมลีจองกุ๊ก พร้อมบอดี้การ์ด 2คนที่ยืนรอหน้าประตู
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธหันมองไป เห็นเป็นปาร์คจุนจีก็แปลกใจ
"ปาร์คจุนจี" วรวรรธโพล่งขึ้น
"เหลือเชื่อ"
ทนายสมชายเดินเข้าไปต้อนรับ
"สวัสดีครับ เชิญครับคุณจักร"
ปาร์คจุนจีมองแบบไม่พอใจ ยื่นหน้ากระซิบลีจองกุ๊ก ประมาณไม่อยากพูดไทย ให้จองกุ๊กเป็นล่ามแทน ลีจองกุ๊กเกรงๆใจคนอื่น กระแอมเบาๆ อย่างอึดอัด
"เอ่อ คุณจุนจีบอกว่า กรุณาเรียกผมว่าปาร์คจุนจี ชื่ออื่น...ผมไม่รู้จัก!"
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธสบตากันแบบสะอึกกับปฏิกิริยาขุ่นเคืองไม่พอใจศิลปินหนุ่ม
"อ่า...ตกลงครับ คุณปาร์คจุนจี" ทนายสมชายว่า
ลีจองกุ๊กรีบพูดยิ้มแย้มทำลายบรรยากาศเครียดๆ
"นี่พวกผมคงไม่ได้มาช้าใช่ไหมครับ แบงค็อกนี่รถติดมั่กๆ ไงก็ซอรี่ถ้าทำให้ทุกคนต้องคอย
...มี-อัน-ฮัมนิดา"
ลีจองกุ๊กโค้ง
"ไม่หรอกครับ คนเกาหลีนี่เป็นคนตรงเวลาจริงๆ! ผู้กองณัฐเดช และคุณหมอวรวรรธมา
ในฐานะสักขีพยาน การเปิดพินัยกรรมในครั้งนี้" ทนายสมชายบอก
ณัฐเดชและวรวรรธ
"สวัสดีครับ"
ลีจองกุ๊กบอก
"ฮัน-นยอง-ฮาเซโย"
ขณะที่ปาร์คจุนจีไม่พูด แค่ผงกหัวทักทายอย่างไว้ตัว จังหวะนั้นเองอติเทพก้าวเดินเข้ามาพร้อมแนะนำตัวอย่างสุภาพ
"ผม...อติเทพครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณปาร์คจุนจี"
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธมองจับจองไปที่อติเทพ แต่ปาร์คจุนจีกลับยืนหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปเรื่อยๆ หน้าตาแสดงความรำคาญๆ
วิญญาณพิมพ์พิลาสพุ่งช้าๆ ลงมาจากบันไดชั้นบน มองจับจ้องที่หลานชาย... ปาร์คจุนจี
"คุณปาร์คพูดไทยไม่ได้ ผู้จัดการก็พูดไทยได้งูๆปลาๆแบบนี้ จะทำให้การรับรู้เรื่องพินัยกรรม
มีปัญหาหรือเปล่าครับ" อติเทพถาม
"ไม่ต้องห่วงครับ เราทำฉบับแปลเป็นภาษาเกาหลีไว้เรียบร้อยแล้ว"
"แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไง ว่าคุณแปลถูก"
"ผมมีลายเซ็นรับรองการแปลจากทางสถานทูตด้วย คุณจุนจีตรวจดูได้เลย"
จุนจีพูดไทยออกมา ชัดเป๊ะ
"ไม่ต้อง!"
ทุกคนตกใจ พิมพ์พิลาสเคลื่อนเข้ามาใกล้จุนจี มองพิจารณาใบหน้าหลานชาย
"ผมไม่สนใจ ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเงินทอง ที่ดิน บ้านช่อง
ใครอยากได้อะไร ก็เอาไปให้หมด ผมมาแค่...เพื่อทำให้ทุกอย่างมันจบ ผมจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับ คนในบ้านหลังนี้อีก!"
"อ้าว พูดไทยได้นี่ครับ" ณัฐเดชว่า
วรวรรธบอก
"ชัดเป๊ะ"
พิมพ์พิลาศหันขวับไปจับจ้องที่หน้าแต่ละคนที่พูด
"แต่พูดไม่น่าฟังเลย คุณไม่รู้เลย ว่าพิมพ์พิลาศรักคุณแค่ไหน" อติเทพว่า
ทนายสมชายบอก
"คุณพิมพ์พิลาศยังคงคิดถึงคุณเสมอนะครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ระบุชื่อคุณลงไป
ในพินัยกรรมหรอกครับ คุณเองก็เป็นญาติที่สืบสายโลหิตแท้ๆ คนเดียวที่เหลืออยู่ของท่าน...ไม่น่าจะถือเรื่องในอดีตเป็นเรื่องใหญ่"
ปาร์คจุนจีหันขวับมามองทนายสมชายด้วยแววตาที่แสนเจ็บปวดขมขื่น
"คุณคิดว่าเรื่องพ่อแม่ผมโดนเฉดหัว ไม่สำคัญงั้นเหรอคุณทนาย!"
"จุนจี! ใจเย็นๆน่า นายอยากให้เรื่องนี้มันจบไม่ใช่เหรอ"
ปาร์คจุนจีสงบอารมณ์ลง
"เอาล่ะ จะทำอะไรก็รีบทำ ผมอยากจะกลับไปพักผ่อนเต็มทีแล้ว"
ณัฐเดช วรวรรธมองหน้ากัน ออกจะเหม็นขี้หน้าจุนจี
"เอาเถอะครับ ผมว่าตอนนี้ทุกคนมากันครบแล้ว เชิญคุณทนายดำเนินการเลยครับ
จะได้ไม่เสียเวลาคุณจุนจีด้วย"
ห้องทำงานดร.แผนยุทธ เขาผายมือไปที่แก้วน้ำกระเจี๊ยบที่วางเรียงอยู่ตรงหน้าทุกคน
"เชิญดื่มน้ำกระเจี๊ยบก่อนซีครับ"
กรรณาเหล่ตามองแก้วกระเจี๊ยบ
"ไม่เป็นไรค่ะ ดื่มไม่ลง"
ประโยคตอบของกรรณาทำเอาคนที่เหลือที่กำลังจะหยิบแก้วชะงักมือค้าง แผนยุทธเองก็รู้กรรณาไม่พอใจ เขายิ้ม
"เอ่อ...ผมต้องขอโทษแทนแม่บ้านของผมด้วย อย่าถือสาเลยนะครับ เขาเป็นคนของภรรยาผม
อยู่บ้านหลังนี้มาเป็นสิบๆปี ก็เลยลืมตัว ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านอยู่เรื่อย แม้แต่กับพิมอร เขาก็ยังไม่ค่อยจะเกรงใจ"
กรรณานั่งเฉย กรรัมภาพูดขึ้นแทน
"บ้านคุณน่าอยู่ดีนะคะด็อกเตอร์ ตกแต่งได้สวยงามอลังการมาก"
"แต่น่าเสียดาย ที่บ้านหลังใหญ่ สวยงามขนาดนี้ กลับมีผมอยู่แค่เพียงคนเดียว ตั้งแต่พิมอรจากไปบ้านหลังนี้ก็เงียบเหงา จนบางครั้งผมนึกอยากจะขายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอ"
เสียงวิญญาณช่อเพชรดังเข้าหูกรรณา
"คนหลอกลวง คุณคิดจะทิ้งฉันไปอยู่กับนังคนทรยศใช่มั้ย"
กรรณาสะดุดหู รีบใส่เอียปลั๊กทันที แล้วครุ่นคิด
"นังคนทรยศ ใคร"
"แม้กระทั่งคนของฉัน คุณก็เอาไม่เว้น"
แผนยุทธถาม
"คุณกรรณครับ ฟังผมอยู่หรือเปล่า"
" ไอ้คนมักมาก ไม่รู้จักพอ ฉันยอมให้คุณทุกอย่าง คุณยังนอกใจฉันอีก แอร๊ยๆๆ"
กรรณาโพล่งขึ้น
"โอ๊ย...แม่คุณเอ้ย จะกรี๊ดไปถึงไหน"
แผนยุทธตกใจ เกาะโต๊ะ เหลือกตามองไปทั่ว
กรรณาลดเสียงเบาลง
"ฉันสงสัยว่า ถ้าวิญญาณที่ติดตามคุณเป็นพิมอรจริง ความอาฆาตแค้นของเธอ อาจเกี่ยวข้องกับคุณจารุณี"
แผนยุทธอึดอัดทันที
"อะไรนะ เสียงนั้น เค้าพูดถึง แม่บ้านจารุณีด้วยเหรอ"
กรรณามองหน้าเพื่อนๆไปมา
"พวกเราคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ ถ้าหากคุณไม่ให้ข้อมูลกับเรา"
กรรณาทำท่าจะลุก แต่แผนยุทธร้องห้ามไว้ก่อน
"บอกครับ... ผมจะบอก"
กรรัมภาลดเสียงเบาเช่นกัน
"คุณเคยได้ยิน ภรรยาคุณกับแม่บ้านจารุณี มีปากเสียงอะไรกันบ้างไหมคะ"
"มีบ้างครับ โดยเฉพาะระยะหลัง"
"เรื่องอะไรคะ" สุคนธรสถาม
"ผมก็ไม่ทราบครับ แล้วต้องใช้เวลาอีกมากน้อยแค่ไหนครับ ผมอึดอัดเต็มที่แล้ว"
สาวๆมองหน้ากันไปมา ไม่มีคำตอบให้แผนยุทธ
"ไม่เห็นยากเลยพี่ ก็ให้คุณพิมอรเข้าสิงร่างพี่รสแล้วทีนี้ใครอยากรู้อะไรก็ถามตามสบาย" ก้องฟ้าว่า
"ไอ้ก๊อง!"
กรรณาและกรรัมภายิ้มหันมองไปทางสุคนธรส
"ไม่เอา...ชั้นไม่ยอม!"
ภายในบ้านพิมพิลาศ ทนายสมชายเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้วกำลังจะเริ่มอ่านพินัยกรรม วิญญาณพิมพ์พิลาศ มองที่อติเทพ แล้วเคลื่อนสายตาไปหยุดที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ซึ่งเป็นที่ๆเธอใช้นั่งเป็นประจำ ทนายสมชายถือพินัยกรรมอ่าน
"ข้าพเจ้า นางพิมพ์พิลาศ ได้ทำพินัยกรรมนี้ ไว้เมื่อข้าพจ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ หากข้าพเจ้าเสียชีวิต ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินต่างๆของข้าพเจ้าแก่บุคคลตามรายชื่อดังนี้ หนึ่ง- หุ้นส่วนของบริษัทพีพีพรอบเพอร์ตี้ 55เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายอติเทพ"
สีหน้าแววตาของอติเทพดีใจและตื่นเต้นมาก
พิมพ์พิลาสมองอติเทพที มองจุนจีที และอารมณ์ทุกคน โดยเฉพาะอรวี... จากที่เคยนั่งนิ่งๆมาตอนนี้ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
"สอง-หุ้นส่วนของบริษัทพีพีพรอบเพอร์ตี้ 5 เปอร์เซ็นต์และกุญแจเซฟในห้องนอนของข้าพเจ้า
เป็นของนายปาร์ค จุนจี"
ปาร์คจุนจียิ้มเยาะที่มุมปาก เขาไม่เห็นอยากจะได้เลยสักนิด
"สาม-บ้านหลังนี้ และบ้านอีก 5หลัง รวมทั้งคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงเงินสดในธนาคาร ทั้งหมด เป็นของ..นายอติเทพ - ข้าพเจ้าขอรับรองว่า ข้อความทั้งหมดนี้เป็นความจริงและ..."
ปาร์คจุนจีตัดบท
"แค่นี้ใช่ไหม ผมจะได้กลับ"
ปาร์คจุนจีลุกขึ้นยืนทันที พลางจัดแขนเสื้อ ปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า ด้วยอารมณ์ยียวน กวนๆ หันจะเดินออก วิญญาณพิมพ์พิลาสพรวดลอยมาขวาง จ้องหน้าจุนจีเขม็ง ลมพัดจากวิญญาณผ่านจุนจี เสื้อผ้าปลิว และกระโชกใส่หน้าทุกคนในห้องจนผมปลิว
ณัฐเดช วรวรรธหันมามองหน้ากัน ณัฐเดชมองสังเกตุความผิดปกติ วรวรรธขนลุก ยกไหล่
กอดอกแน่น
ทนายสมชายลุกมาหาจุนจี
"เดี๋ยวซีครับคุณจุนจี ตามหลัก...ผมจะต้องถามก่อนว่ามีใครสงสัยอะไรเกี่ยวกับพินัยกรรมหรือคัดค้านรึปล่าวครับ"
เสียงพิสมรบอก
"ดิฉันคัดค้านค่ะ!"
วิญญาณพิมพ์พิลาศหันไปมอง เช่นเดียวกับอติเทพที่หันขวับไปมองพิสมรที่เดินเข้ามา
"ป้าพิสมร! ป้าจะทำอะไร"
อติเทพซึ่งตลอดเวลาเอาแต่นั่งนิ่งโพล่งขึ้นอย่างลืมตัว ณัฐเดช วรวรรธจับตามองไม่กระพริบ
"ดิฉันขอคัดค้านเพราะการตายของคุณผู้หญิง ไม่ใช่อุบัติเหตุค่ะ มีคนตั้งใจฆ่าท่าน!"
ทุกคนในห้องนั้นมีปฏิกิริยาต่างๆกัน รวมทั้งอรวี ณัฐเดชกับหมอวรวรรธหูผึ่งทันที และเป็นครั้งแรกที่ปาร์คจุนจีขมวดคิ้วสนใจ
ห้องทำงานดร.แผนยุทธ บ้าน ณ เวียงทับ อัลบั้มรูปของพิมอรถูกนำมาตั้งกองเรียงรายบนโต๊ะทำงาน เก้าอี้สองตัวถูกตั้งหันหน้าเข้าหากัน แผนยุทธอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ท่าทางกระสับกระส่ายด้วย
ความตื่นเต้น สุคนธรสเดินเข้ามาในห้องนั้นด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ทุกคนกลั้นหัวเราะ ยกเว้นก้องฟ้าที่หลุดก๊ากออกมา
"คุณนายสุคนธรส...ฮ่าๆๆ"
สุคนธรสในชุดเดรสกลางคืนตัวยาวคล้องคอผ้าซาตินสีดำตกแต่งคริสตัลรอบคอและเอว
ซึ่งขัดกันแรงกับบุคลิกส่วนตัว
"ฉันต้องแต่งชุดนี้ด้วยหรอ" สุคนธสถาม
กรรัมภาบอก
"แต่งสิยะ เวลาที่วิญญาณเข้าร่างแก เขาจะได้รู้สึกเป็นตัวเองไง ไม่งั้นเดี๋ยวเค้าจะงง นึกว่ามาเข้าร่างผู้ชาย"
"เฮ้ย! พูดงี้ได้ไง ฉันเป็นผู้หญิงเห็นๆ" สุคนธรสบอก
"อ้อ เหรอ เห็นได้จากตรงไหนมิทราบ" ก้องฟ้าถาม
กรรณาตัดบทด้วยการลากสุคนธรสมานั่งหน้าโต๊ะทำพิธีตรงข้ามกับดร.แผนยุทธ
"เอ่อ...คุณกรรณครับ คุณว่าวิธีนี้จะได้ผลเหรอครับ"
กรรณาดูออกว่า ดร.แผนยุทธกำลังกังวล แต่ไม่รู้ว่ากังวลเพราะว่า พิมอรจะไม่ยอมมาเข้าทรง
หรือกังวลว่าจะต้องเผชิญหน้ากับภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว
กรรณายิ้มบอก
"เดี๋ยวก็รู้ค่ะ"
สุคนธรสนั่งทำใจอยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือก
"เริ่มเลยดีกว่า"
สุคนธรสรับธูป1ดอกจากก้องฟ้า หลับตา พนมมือ ภาวนาคาถาระลึกถึงครูบาอาจารย์ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าผากตัวเอง กระทั่งจิตค่อยๆสงบ นิ่ง
"คุณพิมอรคะ...ถ้าหากว่าดวงวิญญาณของคุณยังวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขอเชิญมาเข้าร่างด้วยค่ะ"
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผากดร.แผนยุทธ แม้แอร์ในห้องจะเย็นฉ่ำ
"ทำไมนานจัง" กรรัมภาพึมพำ
สุคนธรสงึมงำตอบลอดไรฟันมาโดยไม่ลืมตา
"ฉันจะรู้ไหมล่ะ ลองให้ยัยกรรณฟังดูซิว่า เขายังอยู่แถวนี้รึเปล่า"
เสียงวิญญาณช่อเพชรดังเข้าหูกรรณา
"อีบ้า พวกแกมันบ้า จะยั่วผัวชั้นไปถึงไหน"
กรรณาคอย่นบอก
"ยังได้ยินเสียงอยู่เลยนะแก"
ดร.แผนยุทธมองสามสาวที่กระซิบโต้ตอบกันอย่างงงๆ สุคนธรสนั่งพนมมือจดหน้าผากอยู่ในท่าเดิม ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง
"บางทีคุณพิมอรอาจจะไม่ชอบชุดนี้ก็ได้นะ"
"บ้า! ก็คุณแผนยุทธบอกแล้วว่า นี่เป็นชุดปราด้าตัวโปรดของคุณพิมอร แล้วจะไม่ชอบได้ไง
จริงไหมคะคุณแผนยุทธ" กรรัมภาบอก
"ครับ แต่ปกติคุณพิมอรจะใส่รองเท้าส้นสูงที่เข้าชุดกันด้วย"
กรรัมภาตั้งข้อสงสัย
"หรือว่ายัยรสไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูง คุณพิมอรเลยไม่พอใจ"
"ความจริงมีตุ้มหูคาร์เทียร์คู่โปรดด้วยนะครับ"
"งั้นเอามาเลยดีไหมคะ" กรรัมภาบอก
"เออ...ได้...ได้ครับ"
"พี่รส...ผมรู้แล้ว ผมขอแนะนำว่า พี่ควรแต่งแบบนี้ตลอดไปในชีวิตจริง พี่ไตรรัตน์จะได้
บูชาพี่เหมือนแม่บังเกิดเกล้านะครับ" ก้องฟ้าบอก
"ก๊อง!"
สุคนธรสหมดความอดทน ทิ้งธูปจากมือ ทุกคนมองอย่างแปลกใจ
"พอที...ขืนแต่งมากกว่านี้ต้องไปเต้นคาบาเร่ต์แล้ว คุณผีคะ คุณแรงนักเหรอ ได้ข่าวว่า
ปากจัดนัก ถ้าอยู่แถวนี้ มา...คุณมาสื่อสารกับเพื่อนๆ ผ่านตัวฉันนี่เลย"
สุคนธรสพนมมือแล้วท่องคาถาบางอย่าง
ทันใด อยู่ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งมา กระแทกหน้าผากของสุคนธรสจนหน้าหงาย ล้มเซ
ไปชนโต๊ะอย่างแรง จนแก้วน้ำกระเจี๊ยบร่วงกระเด็นแตกกระจายเปรื่องปร่าง แล้วสุคนธรสล้มตึง
ลงไปนอนกับพื้นแน่นิ่ง
ทุกคนตกใจ
ก้องฟ้าจะเข้าไปพยุง แต่ทันใด สุคนธรสกลับลุกขึ้นมาทั้งแท่ง ยืนตัวตรง ใบหน้าเปลี่ยนไป มีรอยย่นตามใบหน้า ตาขาวน่ากลัว
ก้องฟ้าบอก
"อ๊าก...ผีสิงพี่รสแล้ว"
แผนยุทธไม่เชื่อแต่ต้องเชื่อ
วิญญาณช่อเพชรที่สิงสุคนธรสบอก
"พวกแกเป็นใครมายุ่งอะไรกับสามีฉัน!"
กรรณาเอาเอียปลั๊กออก
"นี่เลยวิญญาณคุณพิม"
สุคนธรสตวาด
"ไม่ต้องมาเรียกชั้นว่า คุณพิม"
แผนยุทธนั่งอ้าปากค้าง
"ถือตัวซะด้วย งั้นเรียกอะไรดีอะ" กรรัมภาว่า
ก้องฟ้าแนะ
"คุณผู้หญิงละกัน"
กรรณาถาม
"เออ...ใครเป็นคนฆ่าคุณผู้หญิงค่ะ"
"นังทรยศที่ไอ้หัวงูมันไปมีความสัมพันธ์ด้วยน่ะซิ"
สุคนธรสหันไปชี้หน้าดร.แผนยุทธจนเกือบจะทิ่มตา แผนยุทธผงะออกมา จารุณีโผล่เข้ามาพอดี
"เสียงดังอะไรกัน!"
สายตาทุกคู่ของคนที่อยู่ในห้องจ้องมาที่จารุณีเป็นจุดเดียว
"ฮะ มามองดิชั้นทำไม!"
ดร.แผนยุทธหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอาย
"นี่คุณ ทำไมเรียกผมอย่างนี้ล่ะ"
"ใจเย็นค่ะคุณแผนยุทธ คุณพิมคงกำลังโกรธ" กรรัมภาบอก
"ทำไม..ไอ้หัวงู ในเมื่อแกมันตอแหล หลอกลวง"
ดร.แผนยุทธชี้หน้าสุคนธรสด้วยความโกรธ
"เธอต่างหากที่หลอกลวง"
จารุณีถาม
"นี่เธอ...เอาชุดคุณพิมมาใส่ทำไม ใครอนุญาต"
"ใจเย็นๆค่ะคุณแผนยุทธ ไม่งั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่องนะคะ" กรรัมภาบอก
"บอกมาใครให้เอามาใส่" จารุณีถามย้ำ
"ขอก่อนเถอะครับคุณพี่แม่บ้าน" ก้องฟ้าบอก
"ไม่ต้องรู้เรื่องกันแล้วพวกคุณมันหลอกลวง เล่นละครอะไรให้ผมดู นี่มันไม่ใช่เมียผมสักหน่อย" แผนยุทธบอก
วิญญาณที่อยู่ในร่างสุคนธรสกรีดเสียงโหยหวน
"ฉันนี่เหรอไม่ใช่เมียคุณ ถ้างั้นใคร ใครเป็นเมียคุณ ใคร อีหน้าไหนในห้องนี้"
วิญญาณช่อเพชรในร่างสุคนธรสคว้าโคมไฟใกล้ตัวได้ ดึงจนปลั๊กหลุด ไฟดับ แล้วขว้างใส่สาวๆ จนแตกกระเจิง โครม!
กรรณากลิ้งตัวหลบ
"เฮ้ย...เล่นแรงไปป่าว"
กรรณาลุกขึ้นมาได้ แต่สุคนธรสเข้ามาประชิดตัว แล้วกระโดดบีบคอ กรรณาตาเหลือก หายใจไม่ออก
"นี่มันอะไรกัน หยุด" จารุณีบอก
"แกนั่นแหล่ะหยุด"
จารุณียังไม่เอะใจว่า สุคนธรสโดนผีเข้า
"ยังมาเถียงอีก แล้วแต่งหน้าอย่างนั้น ทำไม"
กรรณาไอค็อกแคก
"พี่แก้มช่วยกันเร็ว" ก้องฟ้าบอก
กรรัมภา ก้องฟ้ารีบเข้าไปช่วยกรรณา สุคนธรสหันขวับมาตาแดงวาบ หันมาบีบคอกรรัมภา
แทน
"ว้าย...ช่วยด้วย"
ก้องฟ้าจะดึงสุคนธรสออก แต่โดนเหวี่ยงกระเด็นไปทางจารุณี ข้าวของแตกพังเป็นแถบ
"นี่เล่นปาหี่อะไรกัน ชั้นไม่หลงกลหรอก พอที..."จารุณีบอก
ดร.แผนยุทธกำลังจะลุกหนี สุคนธรสเห็นเข้า ละสายตาจากกรรัมภา กรรณาฉวยจังหวะรีบหยิบของอาคม แล้วพุ่งเข้าไปคล้องคอสุคนธรสจากทางด้านหลัง
สุคนธรสร้องโหยหวน ร่างค่อยๆอ่อนยวบหงายหลังลงไป กรรณาประคองหัวเอาไว้ค่อยๆ
นั่งลงไปนอนกับพื้น
ภายในห้องเงียบสนิท ดร.แผนยุทธงงๆ สยองๆ
"ใครบอกชั้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น" จารุณีถาม
ภายในคฤหาสน์พิมพิลาศ จังหวะนั้นพอมีอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น...วิญญาณของพิมพ์พิลาศก็คำรามขึ้น
"ดีมากพิสมร มิเสียแรงที่ฉันไว้ใจแก บอกไปว่า ฉันถูกฆาตกรรม บอกให้จักรเรียกร้องความยุติธรรมให้ฉัน!"
ขณะที่อติเทพผุดลุกขึ้น
"ป้าเอาอะไรมาพูด มีหลักฐานอะไร"
"ดิฉันไม่มีหลักฐาน แต่ดิฉันรู้ว่าคุณท่านไม่ได้ถูกงูกัดตายธรรมดา มีคนเอางูเข้ามาปล่อยฆ่าท่านในเรือนกล้วยไม้" พิสมรบอก
แต่ละคน มีอาการต่างๆ อรวีร้องไห้กระซิก
"ป้าไม่มีหลักฐาน แต่มายืนปั้นเรื่องโกหก ป้าต้องการอะไรกันแน่"
"ดิฉันไม่ได้โกหก ดิฉันพูดความจริง ไม่เชื่อถามวิญญาณคุณท่านสิ ท่านยังอยู่ตรงนี้ ดิฉันรู้สึกได้"
"ใช่ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้าพวกแกทุกคน ไอ้พวกโง่"
เสียงวิญญาณพิมพ์พิลาศระเบิดอารมณ์มากขึ้น ทำให้เกิดลมพัดแรงมาก เข้ามาในบ้าน
จนเอกสารทุกอย่าง ปลิวกระจายวนไปทั่ว ทำเอาทุกคนตกตะลึง ลุกพรวด
ณัฐเดชกับหมอวรวรรธเริ่มถอยๆ มองหน้ากันประมาณโดนเข้าแล้ว
"ผีเผออะไร จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ถ้าวิญญาณคุณพิมพ์พิลาศมีจริง ป่านนี้คงไปสวรรค์แล้ว
เพราะเธอเป็นคนดี ทำแต่คุณงามความดี ทำบุญทำกุศลเป็นสิบเป็นร้อยล้านแล้ว" อติเทพบอก
"ป้าพิสมรครับ ด้วยความเคารพนะครับ ถ้าป้าไม่มีหลักฐาน ก็ถอยไปเถอะครับ ป้าเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสมบัติทั้งหมดนี้ ป้าไม่มีสิทธิ์มาคัดค้านพินัยกรรม" ทนายสมชายบอก
วิญญาณพิมพ์พิลาศสั่งพิสมรที่หู
"ไม่! บอกเค้าสิพิสมรว่าในพินัยกรรมระบุเอาไว้ยังไง บอกพวกมันW
พิสมรเริ่มสะท้าน คล้ายถูกผีครอบงำ
"แต่...แต่คุณท่านมาเข้าฝันดิฉัน บอกว่าพินัยกรรมระบุเอาไว้ว่า ทุกอย่างจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้รับพินัยกรรมทั้ง 2 คน ยินยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับหรือคัดค้าน ต้องมีการสอบสวนก่อน"
อติเทพบอก
"คุณจุนจีก็ยังไม่ได้คัดค้านอะไรนี่ มีแต่ป้านั่นแหละ ที่เข้ามาทำให้วุ่นวาย หรือป้าอยากจะให้มีการแบ่งสมบัติให้ด้วยบอกมาซิ"
วิญญาณพิมพ์พิลาศพุ่งมาที่ข้างอติเทพ
"แต่พี่ถูกฆ่าตายนะเทพ ทำไมถึงไม่สงสัยอะไรบ้างเลย เทพใจร้าย เทพใจร้าย"
อติเทพที่ไม่รู้สึกว่าพิมพ์พิลาศยืนติดเขาแค่คืบ
"พอเถอะครับ อย่าเถียงกันเลย เอาอย่างนี้ลองถามคุณจุนจีดีกว่าคิดยังไง" ทนายสมชายว่า
ทั้งหมดหันไปหาจุนจี แต่จุนจีไม่อยู่ที่เก้าอี้แล้ว เขาเดินออกไปจากโถงใหญ่จนจะออกประตูแล้ว
"คุณจุนจีครับ" สมชายเรียก
"เอาล่ะเชิญ...เชิญเถียงกันให้พอ ผมจะกลับแล้ว"
ปาร์คจุนจีหันเดินต่อ ลีจองกุ๊กเดินตามแทบไม่ทัน
วิญญาณพิมพ์พิลาศปรี่ตามจุนจี
"ย่าถูกฆ่า ฉันต้องตายอย่างทรมาน ใจคอแกไม่คิดจะทำอะไรเลยใชไหม!"
พลังแห่งโทสะอันแรงกล้าและความแค้นที่อัดแน่นในใจ ทำให้วิญญาณพิมพ์พิลาศมีพลังเกินกว่าใคร ประกอบกับความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ทำให้จุนจีรับรู้ได้ เขามีอาการคล้ายผีเข้าหรือผีอำ เวียนหัว เห็นภาพซ้อนคล้ายคลื่นใสๆ เสียงดังก้องในโสตประสาท
"โอ๊ะ!"
ทนายสมชาย ตามด้วยอติเทพ พิสมร อรวีที่หน้าตาเศร้า ยังร้องไห้ สะเทือนใจตามมา
ณัฐเดชและวรวรรธตามออกมาสังเกต เห็นอาการแปลกๆเลยอยากรู้อยากเห็น
"เป็นอะไรรึปล่าวจุนจี" ลีจองกุ๊กถาม
ปาร์คจุนจีส่ายหน้าบอก "ปล่าว!" แล้วเดินต่อ
"เดี๋ยวครับคุณจุนจี คุณยังกลับไม่ได้ คุณต้องเซ็นรับทราบพินัยกรรมนี่ซะก่อน"
ทนายสมชายเดินถือเอกสารตาม แต่ปาร์คจุนจีเดินต่อ ลีจองกุ๊กเดินตาม
"ผมไม่มีอารมณ์จะเซ็นแล้ว ผมไม่อยากทนอยู่บ้านนี้นานๆ ผมจะกลับ"
วิญญาณของพิมพ์พิลาศโกรธจัด เคลื่อนเข้ามาขวางหน้าจุนจีไว้ ค่อยๆ ปรากฏคลื่นพลังเทาๆดำๆ ตามรูปร่างวิญญาณพิมพ์พิลาศ เป็นการปรากฏที่น่ากลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเป็นครั้งแรก
"จุนจี แกยังกลับไม่ได้ ย่าถูกฆ่าตาย แกต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ย่า"
จุนจีหยุดเดินมีอาการหน้ามืด วิงเวียน ตาเบลอเห็นพลังงานของพิมพ์พิลาสอยู่ข้างหน้า
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุด ไอ้หลานใจดำ ฉันถูกฆาตกรรม แกต้องช่วยฉัน ได้ยินมั้ย แกต้องช่วยฉ้าน"
พลังโทสะอันแรงกล้าของพิมพ์พิลาศทำให้เกิดโทนเสียงสูงพุ่งปรี๊ดใส่หูปาร์คจุนจี
"โอ๊ะ!"
ปาร์คจุนจีปวดหัวจนร้องลั่นยกมือขึ้นจับหัว ทุกคนพากันตกใจ
วรวรรธบอก
"อาการแบบนี้มันน่าจะเกี่ยวข้องกับ..."
"วิญญาณ" ณัฐเดชบอก
"จุนจีนายเป็นอะไรไป...จุนจี!" ลีจองกุ๊กถาม
"โอ๊ยๆๆ ช่วยด้วย ทำไมปวดหัวยังงี้ อ๊าก"
ปาร์คจุนจีล้มลงหมดสติไปทันที ดีที่ลีจองกุ๊กเข้ารับตัวไว้ทัน
"จุนจีๆ"
หมอวรวรรธกับณัฐเดชรีบเข้ามาเช็กดู
"ผมเป็นหมอครับ ให้ผมดูหน่อย คุณจุนจีหมดสติไปแล้วครับ หัวใจเต้นผิดปรกติ เร็วครับ รีบพาตัวส่งโรงพยาบาลเถอะครับ"
ทุกคนช่วยกันแบกร่างจุนจีออกไป ทนายสมชายยืนงงไปหมด
พิสมรยืนปิดปาก แววตาหวาดกลัว เหลือกตามองไปทั่วห้อง เพราะรู้ดีว่า อาจจะเป็นฝีมือของพิมพ์พิลาศ อติเทพยืนเซ็ง โดยมีอรวียืนอยู่ข้างหลังถัดไป
บ้าน ณ เวียงทับ กรรณากำลังบีบนวดสุคนธรส ก้องฟ้าเอาอะไรมาพัดให้ สุคนธรสลืมตาขึ้น สงบนิ่ง
"พี่รสรู้สึกไงมั่ง" ก้องฟ้าถาม
สุคนธรสหยิบของต่างๆมาใส่พลางแล้วบอก
"ดีขึ้นแล้ว...นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว"
"ชั้นลุ้นกลัวว่าแกจะไม่ไหวซะแล้ว ไอ้แผนยุทธมันต้องเจ้าชู้ตัวพ่อแน่ๆ ภรรยามันถึงได้อาฆาตรุนแรงไม่ไปผุดไปเกิดสักที"กรรณาบอก
อีกทางหนึ่ง กรรัมภากำลังรับหน้าแผนยุทธและจารุณี
"คุณไม่น่าไปทะเลาะกับเธอนะคะ เราเลยไม่รู้เรื่องกัน และการที่ยัยรสต้องออกทรงด้วยวิธี
แบบเมื่อกี้ มันก็อันตรายมากด้วย อาจจะทำให้หัวใจวายได้เลยนะ" กรรัมภาบอก
จารุณีถาม
"พวกคุณเล่นตลกอะไรกัน"
กรรัมภายกแขนขึ้นเท้าสะเอว
"เล่นตลก คุณก็เห็นแล้วนี่ว่า เมื่อกี้วิญญาณเมียเจ้านายคุณมาเข้าร่างเพื่อนฉัน"
"บ้าไปกันใหญ่แล้ว พวกคุณเป็นพวกต้มตุ๋นแน่ๆ"
"ผมไม่เชื่อ...นั่นไม่ใช่พิมอร พิมไม่เคยด่าผมหยาบๆคายๆ"
"ก็นั่นมันก่อนเมียคุณจะถูกฆาตกรรมอย่างอย่างโหดเหี้ยม ฉันว่าคุณไม่อยากยอมรับความจริงมากกว่ามั้ง ที่คุณพิมอรบอกว่า คนที่ฆ่าเธอก็คือผู้หญิงที่คุณไปมีความสัมพันธ์ด้วย!"
จารุณีมองแผนยุทธร้อง
"ห๊า... คุณ..."
"ไม่จริง ผมไม่เคยไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่น"
กรรณาสังเกตได้ถึงกิริยาของทั้งคู่จึงตัดสินใจ
"พวกคุณต้องช่วยผมนะ ผมกล้ว ... นึกได้แล้ว ถ้าจะให้ดี ผมอยากให้คุณกรรณมาพักที่บ้านหลังนี้กับผมเลย"
จารุณีคิดไม่ถึง
"อะไรนะ"
กรรณาร้อง "ห๊า"
ก้องฟ้ามองขวับ
"หา! ไม่ได้นะครับ ผมหวง พี่ผมยังโสดซิงๆอยู่เลย"
"ไอ้ก๊อง! แกไปบอกเค้าทำไม"
ความกลัวหายไปจากหัวแผนยุทธทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น กลับมายิ้มละไม
"อย่าเข้าใจผิดนะครับ ที่ผมอยากให้คุณกรรณมาอยู่ที่นี่ ผมเพียงแค่ ไม่อยากอยู่กับวิญญาณตามลำพังในบ้านนี้ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน"
จารุณีแค้น สะบัดหน้า มองมาดร้ายแล้วถอยจากไป
ขณะเดียวกันที่บริษัทซิกส์เซนส์....4สาวกำลังประชุมกันเรื่องคดีผีตามแผนยุทธกัน โดยติดต่อ
กับญาณินผ่านจอมาจากเมืองกาญจนบุรี
"สงสัยว่างานนี้ ยัยกรรณคงจะต้องรับหน้าที่แล้วละ" ญาณินบอก
"ไม่...ไม่มีทาง"
"ก็มีแต่แกคนเดียวที่ได้ยินชัดเจนที่สุด" กรรัมภาบอก
"ยกให้ยัยรสไปทำสิ"
สุคนธรสบอก
"อ้าวเฮ้ย ! ไรวะ อยู่ๆมาโยนให้ฉัน"
อรวรรณเดินถือกล่องโพยเข้ามากับเนตรศิตางศุ์
"ถ้าตกลงกันไม่ได้ ป้ายืนยันให้ใช้วิธีของป้า เป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด"
อรวรรณเขย่าๆกล่องโพยเป็นสาวเชค เนตรสิตางศุ์บอก
"กติกาคือ ใครจับได้สลากที่มีป้ายหน้ายิ้มแฉ่ง แบบนี้คนนั้น...โดน!!! เข้าใจตรงกันนะจ๊ะ"
"ใครอยากโดนเป็นคนแรก"
อรวรรณพูดแล้วก็วนกล่องโพยไปตรงหน้าสาวๆ ทุกคนล้วงหยิบมาถือไว้คนละใบ ทุกคนค่อยๆลุ้นโพย สุคนธรสเปิดโพยดูคนแรก
"ชั้นรอดๆๆ เย้ๆๆ"
"เนตรก็รอด เย้ๆๆ"
เหลือกรรัมภาและกรรณา
"ยังงี้ก็เหลือแค่แกสองคน เปิดพร้อมกันเลย" ญาณินบอก
"คนสุดท้ายแฟนหล่อ ชั้นจอง" กรรัมภาบอก
ทั้งคู่เปิดพร้อมกัน กรรณาเปิดกระดาษออกมา เจอหน้ายิ้มแฉ่งก็ตะลึง ช็อก
ทุกคนโพล่งพร้อมกัน
"ยิ้มแฉ่ง!"
"เย้ๆๆ"
พวกสาวๆ โวยวายๆกัน ก้องฟ้าวิ่งร้องตะโกนพรวดพราดเข้ามา
"เกิดเรื่องแล้ว...อ๊ปป้ากังนัมสไตล์เข้าโรงบาล!"
สุคนธรสถาม
"อ๊ปป้าไหนของแกห่ะ"
"ก็อ๊ปป้าจุนจีของพี่แก้มไง"
ว่าแล้วก้องฟ้าก็เต้นกังนัม... พลางคว้ารีโมตมากดทีวี เป็นข่าวด่วนช่อง3…
ข่าวด่วนช่อง3 เป็นภาพปาร์คจุนจีหมดสตินอนอยู่บนเตียง ถูกเข็นเข้าไปในโรงพยาบาล มีลีจองกุ๊กตาม บอดี้การ์ดกับเจ้าหน้าโรงพยาบาลคอยกันนักข่าวไม่ให้ตามเข้าไปถ่ายรูป
ผู้ประกาศข่าวรายงาน
"อยู่ๆปาร์คจุนจีดารานักร้องชื่อดังของเกาหลี ก็ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยยังไม่ทราบสาเหตุอาการป่วย ขณะนี้ยังไม่มีใครออกมาให้รายละเอียด ทางทีมข่าวจะติดตามข่าวมารายงานให้ทราบในข่าวช่วงต่อไปค่ะ"
กรรัมภาเป็นห่วงเวอร์ จนแทบร้องไห้
"ตายแล้ว...อ๊ปป้าๆจุนจีของแก้ม"
3 สาวโพล่งขึ้นพร้อมกัน
"ยังไม่ตาย"
"ไม่ได้ ไม่ได้ อ๊บป้าจะป่วยแบบไร้ญาติขาดมิตรแบบนี้ไม่ได้"
กรรัมภาวิ่งพรวดพราดไป เนตรสิตางศุ์อยู่ใกล้สุด โดนคว้ามือดึงไปด้วย
"ยัยเนตร แกไปเป็นเพื่อนชั้น"
"ว้าย...อะไรเนี่ย"
กรรณาโวยวายบอก
"โอ๊ย...หัวเด็ดตีนขาดยังไงชั้นก็ไม่ทำเคสนี้"
วงประชุมพัง ญาณิน เซ็งๆ อยู่หน้าคอมพ์ฯ ก่อนปิดการติดต่อไป
"อะไรกันเนี่ย..ไอ้พวกนี้ เฮ้อ"
ทางด้านหลัง เบญจาแอบมองอย่างสนใจ
อ่านต่อตอนที่ 3