xs
xsm
sm
md
lg

กุหลาบไฟ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กุหลาบไฟ ตอนที่ 4 

เช้าวันใหม่...ธีรธร จ่านิด ไศลากำลังนั่งประชุมวางแผนผ่านโน๊ตบุ๊คของธีรธร กับเสริมพงษ์ อยู่ในห้องทำงานของนพรัช
“ผมขอเสนอว่าให้นายเทพอยู่เซฟเฮาส์แล้วให้จ่านิดดูแล ส่วนไศลากลับไปอยู่บ้านผมเหมือนเดิมครับ”
ทุกคนในที่ประชุมอึ้งไปหมด ที่ไศลาแอบเขิน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เพราะผมคิดว่าถ้าเราให้พยานแยกกันอยู่ เราจะดูแลความปลอดภัยได้ง่ายและมากกว่า” ธีรธรรีบแก้ตัว
“ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับผู้กอง...แต่ผมก็เห็นด้วย ต้องยอมรับว่าฝีมือของคนร้ายครั้งนี้ ไม่น่าไว้ใจเลยจริงๆ” จ่านิดแซวๆ
“แล้วคุณไศลาล่ะ คิดว่ายังไง” เสริมพงษ์ถาม
ธีรธรแอบสบตากับไศลา
“ก็แล้วแต่เสียงข้างมากค่ะ”
ธีรธรสบตาไศลายิ้มพอใจ หญิงสาวหลบตาด้วยความเขิน
“แล้วคุณแม่ของผู้กองเป็นยังไงบ้าง” เสริมพงษ์ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“หมอให้กลับบ้านได้พรุ่งนี้แล้วครับ”
“พอดีมีจดหมายขอยืมตัวผู้กองไปสอนทักษะป้องกันตัวชั้นสูงให้ละครเรื่องหนึ่งนะ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร ถ้าจะกลับมาเริ่มทำงานก็แจ้งวันมาที่หน้าห้องผมด้วย เขาจะได้ประสานงานเรื่องวันเวลาให้ทางนั้นได้”
“ครับผม”
“แล้วไม่มีของผมบ้างเหรอครับผู้การ เผื่อฟลุคผมจะได้เข้าวงการบันเทิงกับเขาบ้าง” จ่านิดถามขำๆ

ชูชิตสอนงานให้อรชรอยู่ในห้องทำงาน เธอเรียนงานอย่างตั้งใจ ชูชิตสอนแบบไม่พักจนเวลาผ่านไปจนบ่าย เขาพอใจมากที่เธอตั้งใจ และดูจะช่วยงานได้อย่างดี
“เอาล่ะ ภาคทฤษฎีก็มีแค่นี้”
“ถ้ามีมากกว่านี้ อรก็ไม่ไหวแล้วล่ะ หิวไส้จะขาดแล้ว” อรชรเริ่มหมดแรง
ชูชิตดูนาฬิกาข้อมือ
“บ่ายสามแล้วเหรอเนี่ย เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ในฐานะที่เป็นนักเรียนดีเด่น อรเลือกมาเลยว่าอยากกินอะไร”
อรชรดีใจที่วันนี้ดูเขาอารมณ์ดี
“อรอยากกินสุกี้ค่ะ”
ชูชิตเดินไปเปิดประตูแล้วผายมือให้อรชรอย่างสุภาพบุรุษ
“ด้วยความยินดีครับคุณผู้หญิง”
อรชรเดินไปจับมือชูชิต เดินจูงมือกันออกไปอย่างมีความสุข

รถตู้ของวงทองขับเข้ามาจอดในบ้าน มีรถของนพรัชขับตามมา ธีรธรลงจากรถก่อนเพื่อเอารถเข็นลงมารอให้แม่นั่ง นพรัชรีบลงจากรถมาช่วยนิ่มนวลประคองวงทองลงจากรถตู้ มานั่งรถเข็นที่ธีรธรเตรียมไว้
“แม่ดีใจมากที่ได้กลับบ้าน แม่คิดว่าตัวเองจะไม่ได้กลับมาที่นี่แล้วซะอีก” วงทองมองไปรอบบ้านด้วยหน้าตาที่สดชื่น
นิ่มนวลรีบบอก
“แดดแรงแบบนี้ คุณป้ารีบเข้าบ้านก่อนดีกว่านะคะ”
วงทองพยักหน้า นิ่มนวลกำลังจะเข็นรถให้ก็เห็นไศลาเดินออกมาจากในบ้านเสียก่อน นิ่มนวลชักสีหน้าขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ...นี่ไศลายังต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเราอีกเหรอคะพี่ธี”
“ใช่จ้ะ ก็คดีมันยังไม่จบนี่ คุณแม่คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”
วงทองส่ายหน้าไม่ว่าอะไร นพรัชตัดบท
“ผมว่ารีบพาคุณแม่เข้าบ้านดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะเป็นลมแดดเสียก่อน”
นิ่มนวลเข็นรถพาวงทองเข้าบ้าน ไศลาสวัสดีวงทองกับนิ่มนวลขณะที่เดินสวนกัน นิ่มนวลชักสีหน้าใส่และรีบเข็นรถวงทองให้ผ่านไป ไศลาจ๋อยเดินมาช่วยธีรธรกับนพรัชขนของที่รถ

ไศลา ธีรธร นพรัชช่วยกันขนของลงจากรถมาในบ้าน นิ่มนวลนั่งนวดตัวให้วงทองอยู่
“พี่ธี ทำไมถึงได้ยกของกันมาเองให้ลำบากแบบนั้นล่ะคะ ทำไมไม่เรียกเด็กไปยกมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอกนิ่ม ของนิดเดียวเอง” ธีรธรหันมาหาไศลา “ผมบอกแล้วว่าของนิดเดียว คุณไม่ต้องไปช่วยก็ได้ ร้อนมั้ย”
นิ่มนวลหมั่นไส้ที่ธีรธรห่วงใยไศลาเกินเหตุ
“ดูสิ พี่หมอเหงื่อแตกหมดแล้ว เดี๋ยวนิ่มไปเอาน้ำเย็นๆมาให้ดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกนิ่ม ไอ้หมอเข้าออกบ้านนี้เหมือนบ้านตัวเอง มันดูแลตัวเองได้”
วงทองหันไปยิ้มให้นพรัช
“เดี๋ยวอยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันนะลูก”
“ด้วยความยินดีเลยครับคุณแม่ ถึงคุณแม่ไม่ชวน ผมก็ว่าจะเอ่ยปากขออยู่แล้วล่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ธีกับพี่หมออยู่เป็นเพื่อนคุยกับคุณแม่ก่อนนะคะ นิ่มจะได้ขอตัวไปเตรียมมื้อเย็นให้ทานกัน”
ธีรธรหันมาบอกไศลา
“ไศลาไปช่วยนิ่มทำกับข้าวสิ”
ชายหนุ่มพยักหน้าส่งกำลังใจให้หญิงสาว นิ่มนวลชะงักนิดหนึ่งแล้วเดินออกไป ไศลาเดินตามไปในครัว

ชูชิตกับอรชรกำลังกินสุกี้กันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ร้านในห้างสรรพสินค้า จู่ๆ ก็มีแสงแฟลชแว่บเข้ามาที่โต๊ะหนึ่งวูบ
“พี่ชิตรู้สึกเหมือนฟ้าแล่บมั้ยคะ”
ทั้งคู่หันไปเห็นปาปารัสซี่กำลังใช้มือถือถ่ายรูปเขากับอรชรอยู่
“แล้วเขาจะถ่ายรูปเราไปทำไม” อรชรไม่เข้าใจ
โต๊ะข้างหลังแอบนินทา แต่เสียงได้ยินมาถึงโต๊ะชูชิต
“เธอๆ โต๊ะหลังเรานี่ใช่แฟนนาถสุดา ชิดชนกที่เพิ่งเปิดตัวกันไปมั้ย”
“ใช่สิ สงสัยมากับกิ๊ก ดูสิ โดนแอบถ่ายด้วย เดี๋ยวได้เป็นข่าวแน่”
ชูชิตนึกขึ้นได้ลุกพรวดวิ่งออกไปหาปาปารัสซี่ที่ยืนถ่ายรูปอยู่ ปาปารัสซี่รู้ตัวรีบออกตัววิ่งหนีไป ชูชิตวิ่งตาม ลูกค้านินทากันต่อ
“สงสัยรู้ตัวแล้วว่ะแก ไม่รู้นักข่าวคนนั้นจะรอดมั้ย”
อรชรมองตามชูชิตวิ่งหายไปในหมู่ผู้คน เธอหันมาเห็นสายตาทุกคู่ในร้านมองมาที่ตัวเอง อรชรไม่รู้จะเอาไงต่อ จึงเรียกเด็กเสิร์ฟคิดเงิน

ปาปารัสซี่วิ่งหนีขึ้นบันไดเลื่อน เห็นชูชิตวิ่งตามมาไม่ห่าง จึงวิ่งหายเข้าไปในร้านที่กำลังลดราคา มีคนมุงอยู่เยอะมาก เสียงจ้อกแจ้กจอแจไปหมด เขาแทรกตัววิ่งเข้าไปในร้านหายไปกับหมู่ผู้คน ชูชิตวิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน พยายามมองหาแต่ไม่เจอ จึงตัดสินใจแหวกผู้คนเข้าไปในร้าน ปาปารัสซี่พยายามเดินแหวกผู้คนออกมานอกร้าน ปรากฏว่าเดินชนกับชูชิตที่กำลังพยายามเข้าร้านอย่างจัง ชูชิตกระชากคอเสื้อของปาปารัสซี่ไว้
“แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ”
ปาปารัสซี่หลับตาปี๋หนีความเป็นจริง ชูชิตกระชากคอเสื้อพยายามลากออกไปนอกร้าน
“ช่วยด้วยครับ” ปาปารัสซี่ตะโกนสุดเสียง
ทุกคนในร้านหยุดเคลื่อนไหว เงียบกริบพุ่งสายตามาที่ชูชิตที่เดียว ชูชิตถึงกับอึ้ง ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากคอเสื้อ ปาปารัสซี่ได้จังหวะวิ่งแหวกวงล้อมคนหนีออกไป ชูชิตวิ่งตามไปอีกครั้ง

นิ่มนวลเลือกของสดในตู้เย็นออกมาทำกับข้าว ไศลาจะเข้าไปช่วย นิ่มนวลไม่สนใจหันไปสั่งจัน
“จัน เข้ามาเอาของที่ฉันเลือกไปล้างหน่อยซิ”
จันรีบเข้ามาแทรกที่ไศลาอย่างรู้งาน
“เดี๋ยวฉันเอาไปล้างให้เองก็ได้ค่ะคุณนิ่ม”
นิ่มนวลไม่ตอบอะไร แต่ยื่นของไปให้จันคนเดียว ทำเหมือนไศลาไม่มีตัวตน ไศลายืนเก้อหน้าชา
“วันนี้ฉันจะทำปลาช่อนนึ่ง ผักต้มจิ้มแจ่วให้คุณป้า แล้วก็ตุ๋นไก่ฟักมะนาวดองให้พี่ธี ส่วนของพี่หมอก็ต้องเป็นผัดผักกาดจีนเห็ดหอม แล้วก็อะไรอีกดีนะจัน ฉันอยากได้ซักสี่อย่าง”
“ไข่เจียวปูดีมั้ยคะ ทำง่ายแล้วก็ทานคู่กับเมนูที่คุณนิ่มทำได้หมดเลยด้วย” ไศลาเสนอ
นิ่มนวลหันมาจิกตาใส่ไศลา
“นี่เธอไม่รู้เลยจริงๆ เหรอว่าพี่ธีแพ้อาหารทะเล”
ไศลาเจื่อนไปอีก
“ถ้าอย่างนั้นคุณนิ่มให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างคะ”
นิ่มนวลหันมามองไศลาด้วยสายตาเย็นชา
“ช่วยเลิกเข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉันซะที...เธอทำได้มั้ย”
ไศลาตะลึงกับท่าทางและคำพูดแทงใจจากนิ่มนวล แต่เธอพยายามพูดดีด้วย
“คุณนิ่มคะ ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ต้องมาอยู่รบกวนให้ลำบากใจ แต่คุณนิ่มก็รู้ว่า ฉันและคุณธีมีความจำเป็นจริงๆ และฉันก็ได้พยายามแล้วที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งแย่ลงไปกว่าเก่า คุณนิ่มช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ยคะว่าทำไมคุณนิ่มถึงจงเกลียดจงชังฉันนักหนา”
นิ่มนวลปิดตู้เย็นหันมาส่งสายตาให้จันออกไปข้างนอก จันเดินออกไปจากห้องครัว นิ่มนวลหันมาประจันหน้ากับไศลาอย่างไม่เกรงใจ
“ฉันถามเธอจริงๆ นะไศลา เธอดูไม่ออกเหรอว่าฉันกับพี่ธี...เป็นอะไรกัน”
ไศลาอึ้งไปกับคำถามของนิ่มนวล
“ถ้าเธอไม่เฉลียวพอที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าฉัน...นิ่มนวล เป็นคนรักของพี่ธี และเราก็รักกันมากด้วย”
ไศลาหน้าชาทันทีที่ได้ยิน
“คุณไม่ใช่น้องสาวของคุณธีหรอกเหรอ”
นิ่มนวลหัวเราะเยาะ
“ฉันนึกแล้วว่าเธอต้องโง่จริงๆ ด้วย ฉันกับพี่ธี...เรากำลังจะแต่งงานกัน รอเพียงให้คุณป้าแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยเท่านั้น”
ไศลามึนเหมือนโดนค้อนทุบหัว
“เธอรู้อย่างนี้แล้ว ก็คงเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันดีนะ หลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ พี่ธีเปลี่ยนไปมาก ฉันรู้จักพี่ธีดี เขาเป็นผู้ชายอ่อนไหว ใจอ่อน ขี้สงสารคนอื่น อย่าให้ความสงสารของเขาทำร้ายเธอเลยนะ”
ไศลาน้ำตาเริ่มคลอ
“ฉันขอร้องล่ะไศลา ออกจากชีวิตเราไปซะ เพราะยังไงๆเธอก็คงเป็นได้แค่ส่วนเกิน”

ปาปารัสซี่วิ่งออกจากตัวห้างมาที่ลานจอดรถ ชูชิตยังคงวิ่งตามมา ปาปารัสซี่กำลังจะวิ่งข้ามถนนในลานจอดรถ แต่มีรถวิ่งผ่านทำให้เสียจังหวะ ชูชิตวิ่งตามมาถึงพอดีก็ตะครุบตัวไว้แล้วขึ้นคร่อมชกหน้าไปสองสามหมัด ยามเป่านกหวีดวิ่งเข้ามาพยายามแยกออก ปาปารัสซี่ได้ทีใช้เท้าถีบเข้าที่น้องชายของชูชิตเต็มแรง ชูชิตกระเด็นหงายหลังลงไปจุกอยู่กับพื้น ปาปารัสซี่ได้โอกาสลุกขึ้นวิ่งหนีไป
ชูชิตพยายามจะลุกขึ้นวิ่งตามแต่ยังจุกอยู่ อีกทั้งยามพยายามเข้ามากันไว้ไม่ให้ตามไป ปาปารัสซี่วิ่งมาจนถึงรถตัวเองมองซ้ายมองขวากดรีโมทรถยนต์กำลังจะก้าวขึ้นรถ ทันใดนั้นมีมือๆ หนึ่งกระชากกระเป๋าสะพายของปาปารัสซี่ไว้ เจ้าของมือคืออรชรนั่นเอง ปาปารัสซี่พยายามยื้อกระเป๋าคืน
อรชรปิดประตูกระแทกหนีบแขนของปาปารัสซี่จนยอมปล่อยกระเป๋า อรชรเทกระเป๋าออกมาทั้งหมด โทรศัพท์มือถือที่ปาปารัสซี่ใช่ถ่ายรูปหล่นออกมา อรชรรีบคว้ามือถืออันนั้นแล้ววิ่งหนี ปาปารัสซี่ดึงอรชรไว้ได้ทัน ทั้งสองคนยื้อยุดโทรศัพท์กันไปมา อรชรเริ่มจะเสียทีเพราะแรงน้อยกว่าผู้ชาย
ชูชิตโผล่เข้ามากระชากตัวปาปารัสซี่ไปกระแทกกับรถ มือถือยังอยู่ในมือปาปารัสซี่ ชูชิตพยายามแกะเอามือถือแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงพยายามบีบคอให้ปาปารัสซี่ยอมปล่อยมือถือ ปาปารัสซี่ใช้มืออีกข้างชกเข้าที่กกหูของชูชิต จนผงะเซออกมา ปาปารัสซี่แค้นใจ ตามมาจัดหมัดชุดใหญ่เข้าที่หน้าของชูชิตที่พยายามตั้งการ์ดปกป้องตัวเองไว้ แต่ไม่ค่อยได้ผล ปาปารัสซี่อยู่ดีๆ ก็กระตุกติดๆ กันแล้วร่วงลงไปนอนกับพื้น ชูชิตค่อยๆ เอาการ์ดลงเห็นอรชรยืนถือเครื่องช็อตไฟฟ้าค้างอยู่ ตายังมองไปที่ปาปารัสซี่ที่นอนสลบอยู่ ชูชิตก้มลงไปหยิบมือถือในมือของปาปารัสซี่มาไว้อย่างง่ายดาย แล้วกระทืบเข้าที่ลำตัวของปาปารัสซี่ที่นอนสลบอย่างสุดแรงจนหนำใจ
“โทษฐานที่ทำให้กูเหนื่อย”
ชูชิตเอานิ้วโป้งปาดเลือดกำเดาตัวเองที่ไหลออกมา แล้วหันมากอดคออรชรเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่อีกทาง

นิ่มนวล ไศลา และจันช่วยกันยกอาหารออกมาตั้งที่โต๊ะที่มีวงทอง ธีรธร นพรัชนั่งรออยู่แล้ว
“โอ้โห...น่าทานทุกอย่างเลย คุณนิ่มไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ” นพรัชชม
“ชอบก็ต้องทานเยอะๆ นะคะพี่หมอ นิ่มตั้งใจทำแทนการขอบคุณพี่หมอที่ช่วยเหลือครอบครัวเราเป็นอย่างดี”
ไศลาสะอึกเล็กๆ กับคำว่า ครอบครัวเรา
“ด้วยความยินดีเลยครับน้องนิ่ม”
ธีรธรหันมาเอาใจแม่
“คุณแม่ก็ต้องทานเยอะๆ เหมือนกันนะครับ จะได้แข็งแรงไวๆ ผมจะได้พาคุณแม่ไปเที่ยวอย่างที่คุยกันไว้ไงครับ”
วงทองยิ้มพยักหน้าอย่างมีความสุข จันเริ่มตักข้าวใส่จานให้ทุกคน
“นิ่มหายไปแป๊บเดียว พี่ธีขายฝันอะไรคุณป้าอีกคะเนี่ย”
“ขายฝันอะไรที่ไหนกันนิ่ม พี่แค่บอกคุณแม่ว่าถ้าคุณแม่แข็งแรงดีแล้วคราวนี้ พี่จะพาพวกเราไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว ไปหลายๆ วันเลย คุณแม่อยากไปไหนก็ได้ พี่จะพาไปหมด”
นพรัชหันมายิ้มกับวงทอง
“ได้ยาใจดีอย่างนี้ รับรองว่าคุณแม่ต้องดีวันดีคืนแน่ๆ เลยนะครับ”
ธีรธรตักกับข้าวให้วงทองอย่างเอาใจ เขาขยับจะมาตักให้ไศลาต่อ แต่นพรัชชิงตัดหน้าก่อน ธีรธรเลยตักให้นิ่มนวลแทน ไศลาแอบฝ่อที่เห็นเขาเอาใจนิ่มนวลออกหน้าออกตา ไศลามองทุกคนที่ทานข้าวคุยหยอกล้อกันไปอย่างมีความสุข ในขณะที่ตัวเองไม่มีอะไรจะคุยกับเขา ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเริ่มเข้ามาครอบงำไศลาอย่างจริงจัง

สุดท้ายชูชิตกับอรชรก็ต้องซื้อบะหมี่เกี๊ยวมานั่งกินที่บ้าน อรชรกินบะหมี่ในชามอย่างเอร็ดอร่อย ชูชิตเผลอนั่งมองด้วยความเอ็นดู อรชรรู้สึกเหมือนมีคนมองก็เงยหน้ามาเห็นชูชิตมองอยู่ อรชรมีเส้นบะหมี่ติดอยู่ที่แก้ม
“พี่ชิตมองอะไรคะ เจ็บแผลกินไม่ได้หรือว่าอยากได้อะไร เดี๋ยวอรไปเอาให้”
ชูชิตใช้มือหยิบเส้นบะหมี่ที่ติดแก้มออกให้
“พี่ไม่ได้อยากได้อะไร แค่คิดว่าตอนอรกินบะหมี่นี่ก็น่ารักดีนะ”
อรชรวางตะเกียบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความเขิน
“วันนี้ที่เรียนไปเป็นไงบ้าง คิดว่าตัวเองทำได้มั้ย”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ ยังไงอรก็จะพยายามทำให้ได้”
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องฝืน”
“ไม่ฝืนหรอก อรน่ะอยากช่วยพี่ชิตทำงานมาตั้งนานแล้ว อรเห็นพี่ชิตเหนื่อยแล้วอรสงสาร”
“จริงๆ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้อรมาทำงานแบบนี้เลย ไม่อยากให้อรต้องมาเสี่ยงเหมือนพี่”
อรชรดึงมือเขามากุมไว้
“พี่ชิตอย่าคิดอย่างนั้น อรเป็นเมียพี่ อรไม่ยอมให้พี่ลำบากคนเดียวหรอก จะมีจะอด อรก็จะอยู่กับพี่ อรจะไม่มีทางทิ้งพี่ไปไหนแน่นอน”
ชูชิตซาบซึ้งในความรักของอรชรที่มีให้ตัวเอง
“ทำเป็นปากหวาน อีกไม่นานพี่ก็จะแก่ไปสำหรับอรแล้ว ถึงตอนนั้นอรก็จะทิ้งพี่ไปกับหนุ่มน้อยที่ไหนก็ได้”
“พี่ชิตพูดเหมือนไม่รู้จักอร อรรักใครรักจริงนะ พี่ชิตก็เห็นว่าไม่ว่าพี่ชิตจะเป็นยังไง ทำอะไร อรรับพี่ชิตได้ทุกอย่างไม่มีข้อแม้ ที่ผ่านมาอรยังพิสูจน์ให้พี่ชิตเห็นไม่พออีกเหรอ”
ชูชิตลุกขึ้นหอมแก้มและหน้าผากของอรชร อย่างอ่อนโยน
“ขอบใจอรมากนะที่คอยอยู่ข้างๆ พี่เสมอ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องมาคอยหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”
อรชรกอดชูชิตไว้อย่างรักใคร่และหวงแหน
“แค่พี่ชิตเข้าใจอรและดีกับอรแบบนี้ อรก็พอใจแล้วค่ะ”

ทุกคนทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว นพรัชวางช้อนเป็นคนสุดท้าย
“อิ่มอร่อยไปอีกหนึ่งมื้อ ขอบคุณน้องนิ่มมากนะครับสำหรับอาหารอร่อยๆ”
“พี่หมอจะรับผลไม้ต่อเลยมั้ยคะ จะได้ให้จันยกมาเสิร์ฟเลย”
“คงไม่ไหวล่ะจ้ะ พี่จัดของคาวซะแน่นเลย ขอเป็นกาแฟสักแก้วดีกว่า จะได้ไม่หลับตอนขับรถกลับบ้าน”
ธีรธรหันมาบอก
“พี่ก็เหมือนกันนะนิ่ม เดี๋ยวคืนนี้ต้องเคลียร์งานดึกหน่อย พรุ่งนี้ต้องเข้าที่ทำงานแต่เช้า”
นพรัชแปลกใจ
“อะไรวะธี จะเริ่มไปทำงานพรุ่งนี้เลยเหรอ ฟิตเกินไปแล้วนะครับผู้กอง”
“เสื้อแกน่ะสิที่ฟิต ฉันหยุดงานมาหลายวันแล้ว ป่านนี้กองเอกสารท่วมโต๊ะแล้วมั้ง”
นิ่มนวลกับจันยกกาแฟมาเสิร์ฟธีรธรกับนพรัช และผลไม้ให้วงทอง
“อ้าว...แล้วผลไม้ของไศลาล่ะนิ่ม” ธีรธรหันมาถาม
นิ่มนวลหันมาแอบจิกสายตาใส่ไศลา
“เอ่อ...ฉันก็อิ่มแล้วเหมือนกันค่ะ ก็เลยแอบบอกคุณนิ่มไปว่าขอไม่รับ” ไซลาตัดบท
ธีรธรพยักหน้าเข้าใจ นิ่มนวลแอบยิ้มสะใจ วงทองพูดขึ้น
“แม่นิ่ม ป้าชักอยากจะเอนหลังแล้วล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวนิ่มพาคุณป้าขึ้นห้องนอนเลยนะคะ”
ธีรธรลุกขึ้นไปกอดและหอมแก้มแม่
“ฝันดีนะครับคุณแม่”
วงทองหอมแก้มลูกชายบ้าง นิ่มนวลกับจันช่วยกันประคองวงทองขึ้นบันไดไป ธีรธรมองตามไปด้วยสายตาห่วงใย นพรัชเริ่มหาวนอนหวอดๆ
“อะไรเนี่ยฉัน อุตส่าห์อยากอยู่คุยกับคุณไศลานานๆ ซะหน่อย ดันมาง่วงซะได้”
ธีรธรหัวเราะ
“ง่วงก็กลับได้แล้วไอ้หมอ อยากคุยกับไศลาเมื่อไหร่ก็มาได้ ฉันไม่ห้าม ขอให้แกมีเวลามาก็พอ”
“เออว่ะ ช่วงนี้ที่โรงพยาบาลงานอย่างยุ่งเลย พรุ่งนี้ก็มีประชุมแต่เช้า”
นพรัชลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณไศลา รับรองว่าคราวหน้าจะมารบกวนให้นานๆ”
ไศลายิ้มแห้งๆ ไม่ตอบอะไร ธีรธรหันไปชวน
“ไป...ไศลา เราเดินไปส่งไอ้หมอด้วยกัน”

นพรัชโบกมือบ๊ายบายขับรถออกไป ธีรธรกับไศลายืนกันอยู่ลำพังในความมืด
“ไศลา เราไปเดินดูดาวกันอีกดีมั้ย”
ทั้งสองเดินมาที่สนามหน้าบ้าน ธีรธรแหงนหน้ามองฟ้าอย่างอารมณ์ดี
“คืนนี้ฟ้าเปิด เห็นดาวเต็มไปหมดเลยนะ เยอะกว่าครั้งก่อนซะอีก”
ไศลาเงียบไม่พูดอะไร
“ผมดีใจนะที่ได้มายืนดูดาวกับคุณอีก ไศลา คุณรู้มั้ยว่าตอนที่คุณหายไป...ผมใจหายแค่ไหนที่คิดว่าชาตินี้อาจจะไม่มีวันได้เจอคุณอีก”
ไศลายังเงียบไม่พูดอะไร
“ไศลา ทำไมคุณดูเงียบไป เป็นอะไรหรือเปล่า”
“คุณธีคะ ฉันขอถอนตัวจากการเป็นพยานให้คุณค่ะ”
ธีรธรอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ไศลาจะพูดแบบนี้
“ทำไมล่ะไศลา เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงเปลี่ยนใจง่ายๆ แบบนี้”
“ฉันอยากกลับไปมีชีวิตที่สงบ ไม่อยากตกอยู่ในอันตรายแบบนี้แล้ว อีกอย่างคุณก็มีนายเทพอีกคน เขาน่าจะเป็นพยานให้คุณได้ดีกว่าฉัน”
“แต่การที่คุณจะถอนตัวตอนนี้ มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณอันตรายน้อยลงเลยนะ ยังไงพวกนั้นมันก็ไม่ยอมปล่อยคุณไว้แน่”
“มันคงเป็นชะตากรรมของฉันที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ขอให้มันเป็นเรื่องของฉันก็แล้วกัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมานะคะ”
“ไศลา คุณจะทำแบบเดิมอีกไม่ได้นะ คุณรู้มั้ยว่าครั้งที่แล้วคุณทำผมเสียใจแค่ไหน ผมไม่มีวันยอมให้คุณไปไหนทั้งนั้น คุณต้องอยู่ที่นี่กับผม”
“ผู้กองธีรธร คุณก็รู้ว่าคุณสั่งฉันไม่ได้”
“ไศลา นี่ผมมันไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลยใช่มั้ย คุณถึงได้ทำกับผมแบบนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วคุณยังไม่เคยลืมคนรักเก่าของคุณเลย”
“ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว เรื่องอื่นๆ ฉันขอไม่ตอบ”
ธีรธรจับแขนไศลามาจ้องตา
“มองตาผมสิไศลา แล้วบอกผมมาว่าทั้งหมดเป็นเพราะคุณไม่เคยลืมรักเก่าของคุณเลยใช่มั้ย”
ไศลาจ้องตาธีรธรกลับอย่างแน่วแน่
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”
ธีรธรฟังแล้วปวดใจจนต้องปล่อยมือหันหลังให้ไศลา
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากคุณออกจากบ้านนี้ไป ผมจะถือซะว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน”

ธีรธรเดินงุ่นง่านเข้ามาในบ้าน อาละวาดเหวี่ยงข้าวของกระเด็นกระจายไปหมด เขาเดินวนไปวนมาในบ้านอย่างหงุดหงิดสุดๆ แล้วไปรื้อกระสอบทรายไซส์ยักษ์ในห้องเก็บของมาแขวนไว้ แล้วใส่นวมต่อยกระสอบทรายอย่างเอาเป็นเอาตาย ธีรธรเหงื่อไหลโชกปนน้ำตา เขทั้งผิดหวังและปวดร้าว...ไศลายืนมองธีรธรผ่านหน้าต่างห้องตัวเองด้วยความช้ำใจ เธอร้องไห้ออกมา
“ไศขอโทษนะคุณธี”

สนามบินสุวรรณภูมิยามเช้า...นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยมากมายเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า
“โปรดทราบ เครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ ทีจี 325 ซึ่งเดินทางมาจาก เดลลีได้มาถึงท่าอากาศยานกรุงเทพแล้ว ขอบคุณค่ะ Your Attention please. Thai Airways International Flight TG325 From Delhi, It’s now arriving, Thank You.”
โยคีศิลาดำใส่สูทดูภูมิฐานเดินสะพายกระเป๋าใบเดียวออกมาจากประตู วัยรุ่นคนหนึ่งวิ่งมารู้ชนอย่างจัง แต่ไม่ทำให้โยคีศิลาดำสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
“ขอโทษครับ”
วัยรุ่นจะรีบวิ่งต่อไป โยคีศิลาดำดึงมือวัยรุ่นคนนั้นไว้ ลากมามุมปลอดคนหน้าห้องน้ำ
“เอาของฉันคืนมา”
วัยรุ่นตีหน้าซื่อ
“กระเป๋าอะไรของคุณ ผมไม่รู้เรื่อง”
“ฉันพูดว่าของ ยังไม่ได้บอกว่าเป็นกระเป๋าเลย”
โยคีศิลาดำไม่ตอบ แต่แบมือรอรับของจากวัยรุ่นคนนั้น
“คนบ้าหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่มี ไม่รู้เรื่อง”
โยคีศิลาดำดึงวัยรุ่นเข้ามาประชิดตัวด้วยมือเดียว วัยรุ่นชกหน้าแต่โยคีศิลาดำเอี้ยวคอหลบได้อย่างสบายๆ วัยรุ่นชกเข้าที่ท้องลายหมัดติดต่อกัน แต่โยคีศิลาดำก็ดูเฉยๆจนวัยรุ่นเหนื่อยไปเอง
“สนุกพอมั้ย”
โยคีศิลาดำมองหน้าวัยรุ่นเหมือนไม่มีอะไร เขาใช้มือเดียวจับคอเสื้อวัยรุ่นลอยขึ้นมาจากพื้น
“ช่วยด้วยๆ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ช่วยด้วย”
วัยรุ่นพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด เขารู้สึกเหมือนมีคีมขนาดใหญ่และเย็นเฉียบค่อยๆ บีบรัดคอตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ยามวิ่งเข้ามา โยคีศิลาดำแค่หันไปมอง ยามก็ยืนแข็งอยู่กับที่ไม่สามารถขยับตัวได้ วัยรุ่นยอมแพ้เอามือควักกระเป๋าสตางค์ของโยคีศิลาดำที่ซ่อนเอาไว้ออกมาโยนคืนให้ โยคีศิลาดำปล่อยมือจากวัยรุ่นกลางอากาศร่วงลงมากองที่พื้นดังอั่ก แล้วก้มลงไปเก็บกระเป๋าสตางค์แล้วเดินต่อไป วัยรุ่นลุกขึ้นมาได้วิ่งตามมากระโดดถีบ โยคีศิลาดำเหมือนมีตาหลังหันมาแค่ชี้นิ้วใส่ วัยรุ่นกระเด็นถอยหลังไปไกลเหมือนโดนใครโยนออกไป โยคีศิลาดำเดินออกประตูไปอย่างไม่สนใจใคร

โยคีศิลาดำเดินขึ้นรถตู้คันหรู ที่จอดรอไว้อยู่แล้ว บนรถนาถสุดาใส่แว่นดำนั่งรออยู่แล้ว ประตูรถตู้ถูกเปิดออก โยคีศิลาขึ้นมานั่งบนรถ นาถสุดาก้มลงไปกราบที่ตัก
“นาถกราบขอโทษอาจารย์ที่ไม่ได้ลงไปรับถึงข้างใน”
ศิลาดำลูบหัวนาถสุดา
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”
“อาจารย์ต้องการไปที่ไหนก่อน หรือว่าจะไปที่บ้านนายเลยคะ"
“ไปที่บ้านเลย”
นาถสุดาพยักหน้าสั่งให้รถตู้ออกตัว

ชูชิตกับอรชรเดินจับมือคุยกันกะหนุงกะหนิงลงมาจากข้างบน โทรศัพท์มือถือชูชิตดังขึ้น
“สวัสดีครับนาย จะให้ผมเข้าไปหาตอนนี้เลยเหรอครับ ครับ เดี๋ยวพบกันครับ”
ชูชิตวางสายแล้วถอนหายใจอย่างหนักใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ชิต”
“นายสั่งให้พี่เข้าไปหาตอนนี้เลย แต่ว่าวันนี้พี่ติดเช็คของเตรียมส่งคืนนี้ กลัวกลับมาไม่ทัน”
“พี่ชิตไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวอรจัดการให้เอง”
“พี่เพิ่งสอนอรไปเมื่อวานนี้เอง อรยังทำไม่ได้หรอก”
“อรทำได้ พี่ชิตต้องเชื่อใจอรสิ ถ้าพี่ชิตไม่ยอมให้อรเริ่มทำ แล้วเมื่อไหร่อรจะทำเป็น”
“ก็จริงนะ โอเค เดี๋ยวอรไปเปิดอีเมลพี่ดูนะ รายละเอียดอยู่ในนั้นหมดแล้ว ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน โทรถามพี่ได้ตลอดเวลา”
“งั้นอรเดินไปส่งพี่ชิตที่รถนะคะ”
ชูชิตกับอรชรเดินกอดกันไปที่รถอย่างหวานชื่น

อรชรเดินเข้ามาในโชว์รูมตรงมาที่โกดังเก็บของ ตรวจดูและคุมลูกน้องของชูชิตเช็คสต็อคและขนยาเสพติดออกมาเตรียมส่งคืนนี้
“ช่วยกันนับดีๆ นะอย่าให้พลาด อ้าว...เดินดีๆ เดี๋ยวก็สะดุดอะไรล้มเข้าจะยุ่ง เร่งมือกันด้วย เดี๋ยวจะไม่ทัน ถ้างานคราวนี้เสียหาย ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นตั้งใจกันให้มากๆ”
เสียงข้อความเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น อรชรหยิบขึ้นมาอ่าน
“เจอกันเย็นนี้ที่บ้าน จาก พี่ไศลา”
อรชรตกใจไม่คิดว่าไศลาจะกลับมา ตอนที่ทุกอย่างกำลังลงตัวแบบนี้

นิ่มนวลเดินเอาถาดอาหารเช้าของวงทองเปิดประตูห้องออกมาข้างนอก ไศลายืนอยู่ที่หน้าประตูพอดี นิ่มนวลรีบหันไปมองวงทองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง แล้วรีบปิดประตูห้องพูดเบาๆ
“เธอต้องการอะไร”
“ฉันจะมาลาคุณป้าค่ะ”
นิ่มนวลงง
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพยานให้คุณธีแล้ว ก็เลยจะกลับบ้านค่ะ”
นิ่มนวลดีใจแต่พยายามเก็บอาการ
“คุณป้ากำลังหลับอยู่ ไว้ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน”
“ฝากบอกท่านด้วยว่าฉันขอบพระคุณมาก สำหรับความช่วยเหลือครั้งนี้ และฉันจะต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”
นิ่มนวลกอดอกพยักหน้าเชิดๆไศลาไหว้
“ขอบคุณคุณนิ่มด้วยนะคะ ที่ถึงจะไม่ชอบฉัน แต่ก็ยังดูแลฉันเป็นอย่างดี”
นิ่มนวลแอบอึ้งกับคำพูดของไศลา ขาดคำไศลาก็หันหลังเดินจากไป

นาถสุดานั่งอยู่ด้านหลัง กับโยคีศิลาดำ ขณะที่รถตู้แล่นไป เธอนั่งเงียบๆเหม่อคิด โยคีศิลาดำนิ่งใช้พลังเพ่งมอง
“คิดถึงคนรักอยู่เหรอ”
“ยังไงก็คงปิดอาจารย์ไม่ได้”
“มีอะไรที่เจ้าอยากรู้”
“เขาเป็นตายร้ายดียังไง”
โยคีศิลาดำเอามือจับหัวนาถสุดา
“เปิดความคิดเจ้า ย้อนไปยังจุดเริ่มระหว่างมันกับเจ้า”
นาถสุดาหลับตาลง เปิดความคิด ตามที่อาจารย์บอก โยคีศิลาดำท่องมนตร์เบาๆ

อ่านต่อหน้าที่ 2


กุหลาบไฟ  ตอนที่ 4 (ต่อ)

ในอดีต...บ้านลุงของนาถสุดาเป็นบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง...ดุลยศักดิ์ยืนนับเงินในมือปึกใหญ่ เทพกับคงเดินกึ่งจูงกึ่งลากนาถสุดาที่กำลังร้องไห้อย่างหนักไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ เธอสะบัดตัวหลุดจากเทพกับคงเข้ามากอดขาลุงร้องไห้
“ลุงจ๋า อย่าให้หนูไปเลยนะ หนูไม่อยากไป ลุงจะให้หนูทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้หนูไปเลยนะ”
ลุงสะบัดขาออกอย่างไม่ใยดี แต่นาถสุดายังตามไปกอดไว้อย่างเหนียวแน่น
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ลำพังเลี้ยงตัวเอง ข้ายังจะไม่รอด มีเอ็งมาเป็นภาระอีกคน เดี๋ยวได้พากันอดตาย”
นาถสุดากอดขาลุงร้องไห้สะอึกสะอื้น คงกับเทพเข้ามาช่วยกันแกะมือเธอออกจากขาของลุงแล้วพาไปขึ้นรถตู้ ดุลยศักดิ์เคลียร์เงินกับลุงเสร็จก็เดินตามขึ้นรถ รถตู้ขับออกไป นาถสุดาเกาะกระจกมองลุงด้วยสายตาอ้อนวอน ลุงเบ้หน้า
“เชอะ...ต้องโทษพ่อแม่ของเอ็งนั่นล่ะที่รีบพากันตายไปเสียก่อน”

บนรถตู้ คงเป็นคนขับรถ ดุลยศักดิ์นั่งเบาะแถวแรก เทพนั่งประกบนาถสุดาอยู่เบาะแถวหลังสุด นาถสุดายังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดจนดุลยศักดิ์รำคาญโวยวายลั่น
“โอ๊ย...หยุดร้องได้แล้ว หนวกหู น่ารำคาญชะมัด”
ดุลยศักดิ์หันหลังไปมองนาถสุดาที่พยายามร้องไห้ให้เบาลง
“หน้าตาใช้ได้นะเรา ท่าทางจะถอนทุนได้ไม่ยาก เงียบๆ หน่อยนะหนู ฉันจะนอน”
ดุลยศักดิ์พูดจบก็เอนเบาะลงนอน นาถสุดาทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก เทพทำท่าจุ๊ปากแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้อ่าน นาถสุดาเช็ดน้ำตาแล้วอ่านข้อความจากหน้าจอมือถือ
“เราชื่อเทพ เธอชื่ออะไร”
นาถสุดาพิมพ์ข้อความกลับ
“เราชื่อนาถ”
เทพพิมพ์ข้อความต่อ
“หยุดร้องได้แล้ว ร้องยังไงก็ต้องไปอยู่ดี”
“เรากลัว”
“ไม่ต้องกลัว เราอยู่ทั้งคน”
นาถสุดาหันไปมองเทพที่แอบทำท่าเบ่งกล้ามโชว์ความแข็งแรงให้ดู ดุลยศักดิ์ขู่เสียงดังขึ้นมาจริงๆ แล้วกรน เทพแอบเก็บท่าขรึมแทบไม่ทัน นาถสุดาอดขำกับท่าทางของเขาไม่ได้ เธอเห็นรอยยิ้มและสายตาของเขาที่มองเธอด้วยความเป็นมิตรก็ใจชื้นขึ้น เทพเอื้อมมือมาจับมือนาถสุดามาบีบเบาๆ อย่างปลอบโยนและให้ความมั่นใจ การกระทำของเทพสร้างความอุ่นใจและทำให้กับนาถสุดารู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างมาก

นาถสุดานึกถึงอดีตแล้วเหลือบมองที่เบาะข้างๆ แล้วใจหาย โยคีศิลาดำพูดขึ้น
“ไอ้เทพยังไม่ตายหรอก”
นาถสุดาสะดุ้งที่โยคีศิลาดำพูดเรื่องเดียวกับที่ตัวเองคิด
“ข้ายังจับได้ถึงพลังชีวิตของมันอยู่ แต่แปลกที่พลังชีวิตของมันดูเปลี่ยนไป”

เสริมพงษ์เดินไปหยิบแฟ้มงานมาให้ธีรธร
“นี่เป็นภารกิจแรกของผู้กอง”
ธีรธรเปิดแฟ้มอ่าน
“สอนทักษะป้องกันตัวชั้นสูงให้นักแสดงละครเรื่องดอกไม้เพลิง แต่ผู้การครับ ผมอยากตามคดีของนายชูชิตมากกว่า”
“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ข้างบนเขาสั่งมา แถมวางตัวไว้เลยว่าต้องเป็นผู้กองเท่านั้น ถือเป็นคำสั่งนะผู้กอง”
“แล้วต้องเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ครับท่าน”
“จริงๆ มันเลยเวลาที่เขากำหนดไว้แล้วครับ เขาเลยขอเป็นว่าทันทีที่ผู้กองกลับมาทำงาน บ่ายนี้จะมีนักแสดงมาพบเพื่อทำความรู้จักกับผู้กองครับ”
ธีรธรรู้สึกเซ็ง

ดุลยศักดิ์นั่งคุยอยู่กับโยคีศิลาดำและนาถสุดาในห้องรับแขก บอดี้การ์ดเดินเข้ามาในห้อง
“นายชูชิตมาแล้วครับ”
ดุลยศักดิ์พยักหน้าให้เข้ามาได้ ชูชิตเดินเข้ามาในห้อง
“นั่งสิชูชิต”
ชูชิตเดินไปนั่งข้างนาถสุดา
“ที่เรียกมาวันนี้เพราะมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก”
ดุลยศักดิ์ผายมือไปที่โยคีศิลาดำ
“นี่โยคีศิลาดำ อาจารย์ของนาถสุดา จะมาช่วยฉันทำงาน”
ชูชิตลุกขึ้นจับมือกับโยคีศิลาดำ
“อ้อ...อาจารย์ของนาถสุดา คุณเป็นโยคีที่เหมือนนักธุรกิจมากเลยนะครับ”
“คนเราเป็นอะไรอยู่ที่ใจกำหนด ใจที่หยาบช้าของบางคนไม่อาจมองผ่านเปลือกที่หุ้มไว้หลอกตาได้”
ชูชิตถึงกับหน้าชาเมื่อโดนตอกเข้าไปเต็มดอก แต่ไม่เข็ด
“แล้วความเป็นโยคีนี่จะช่วยอะไรเราได้บ้างครับ เสกคาถาบังตาตำรวจ ห้ามฟ้า สั่งฝน หรือ...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ชูชิตก็รู้สึกเหมือนโดนบีบคอจนหายใจไม่ออก โยคีศิลาดำจ้องตาชูชิตที่กำลังทุรนทุรายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แววตาของโยคีศิลาดำเหมือนมีเปลวเพลิงร้อนแรงอยู่ในนั้น ชูชิตหน้าแดงก่ำเริ่มมีอาการกระตุกของคนขาดอากาศหายใจ
“พอได้แล้วอาจารย์”
โยคีศิลาดำค่อยๆ ผ่อนอารมณ์ตัวเองลงมา ชูชิตค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น
“อาจารย์เชี่ยวชาญไสยศาสตร์ทุกแบบ ยังอยากจะพิสูจน์อะไรอีกมั้ย”
ชูชิตจับลำคอตัวเองหน้าเจื่อนๆ ส่ายหัวแทนคำตอบ

นาถสุดาอยู่ในชุดที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ เธอกำลัง ถอดปืน ประกอบปืนเช็ดล้างอยู่อย่างคล่องแคล่ว แล้วโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น นาถสุดามองชื่อคนโทรเข้ามา เธอใช้สมอลล์ทอร์คแบบเหน็บหูรับสายไปด้วย ประกอบปืนไปด้วย
“คะ...นาย”
ดุลยศักดิ์ดูข่าวในทีวีพูดโทรศัพท์อยู่กับนาถสุดาไปพร้อมๆกัน
“ฉันมีงานด่วนให้เธอทำ”
“น่าจะด่วนมาก ถึงโทรมาดึกขนาดนี้”
“เปิดดูข่าวในโทรทัศน์สิ”
นาถสุดาหยิบรีโมทกดโทรทัศน์ ไล่ดูรายงานข่าวการจับกุมกำนันชื่อดัง
“เห็นแล้วใช่มั้ย”
“กำนันนั่นเป็นคนของฝ่ายเรานี่”
“ใช่...แต่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เขาจะไปอยู่โรงพยาบาล ไม่ต้องเข้าคุก”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมโดนตำรวจจับได้”
“มันเป็นเรื่องการเมือง อย่าไปยุ่งเลย”
“แล้วต้องการจะให้ฉันทำอะไร”
“งานของเธอก็คือ...กำจัดพยานที่จะชี้ว่ากำนันของเรามีส่วนพัวพันในคดีที่ดินบ่อบำบัดน้ำเสีย”
“พยานคนที่ว่านั่นอยู่ที่ไหน”
“พรุ่งนี้มันจะเข้าไปยังกองปราบ...น่าจะมีตำรวจคุ้มกันเข้มแข็งแน่นหนาพอสมควร เพราะว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ระดับประเทศ ลูกกำนันก็เป็นถึงรัฐมนตรี สื่อน่าจะจับตามอง”
“ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ”
“ถ้าฆาตกรรมธรรมดาคงไม่ต้องเดือดร้อนเธอ...แต่ทางเราต้องการให้ดูว่าเป็นการตายที่เป็นธรรมชาติ”
“ยังไงสื่อก็คงสงสัยว่าเป็นการสั่งเก็บอยู่ดี”
“เอาแค่ให้สงสัย อย่าให้มีหลักฐานก็พอ”
นาถสุดาประกอบปืนเสร็จพอดี เธอพูดโทรศัพท์ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่ปัญหา บอกท่านรัฐมนตรีได้เลย ว่ายังไงกำนันก็ไม่มีพยานยืนยันความผิดหรอกค่ะ”
“แล้วอย่าให้ใครจับเธอได้ล่ะ”

นาถสุดาส่องปืนไปทางกระจกที่สะท้อนเห็นเงาตัวเธอเอง เธอยกปืนขึ้นส่องด้วยความคล่องแคล่ว จนเงาสะท้อนของตัวเธอเองยังยกปืนขึ้นสะท้อนกลับมาช้ากว่าตัวเธอซะอีก
“นายกำลังพูดอยู่กับคนที่ไวกว่าเงาของตัวเองอยู่นะคะ”
นาถสุดาค่อยๆเอาปืนลง เงาสะท้อนของเธอก็เอาปืนลงพร้อมๆกับเธอ แต่เมื่อนาถสุดายกปืนขึ้นอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว เงาสะท้อนในกระจกกลับยกปืนไม่ทันเธอจริงๆเสียด้วย

บ่ายของวันใหม่...เสียงกระหน่ำเคาะประตูห้องดังไม่หยุด สุทธิพงษ์นอนหลับสบายทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาเปิดประตู อรชรยืนหน้าเครียดอยู่ที่ประตู
“พี่อรมีอะไร มาทำไมแต่เช้า”
“เช้าที่ไหนละพงษ์ นี่มันบ่ายสองแล้วนะ”
สุทธิพงษ์ไม่สนใจฟัง เดินกลับไปนอนต่อ อรชรเดินตามเข้ามาในห้อง
“พงษ์ แกได้เมสเสจจากพี่ไศหรือเปล่า”
“ไม่ได้หรอก...ก็ไหนพี่ชิตว่าพี่ไศตายไปแล้วไง”
อรชรยื่นโทรศัพท์ให้ดู สุทธิพงษ์อ่านข้อความแล้ววางอย่างไม่สนใจ
“เจอกันเย็นนี้ที่บ้าน จากพี่ไศลา เพื่อนพี่ส่งมาแกล้งหรือเปล่า”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง เพื่อนพี่ไม่มีใครรู้เรื่องพี่ไศตายเลยสักคนนะ พงษ์ แกลุกขึ้นมาช่วยฉันคิดก่อน จะนอนต่อให้มันได้อะไรขึ้นมาเนี่ย”
“โอ๊ย...ถ้าพี่อรอยากรู้ พี่อรก็ไปตามนัดสิ จะได้รู้ว่าใครส่งมากันแน่”
“แต่ฉันไม่กล้าไปคนเดียว พงษ์ แกต้องไปเป็นเพื่อนฉันนะ”
“ไม่เอาหรอก พงษ์ไม่อยากโดนตำรวจจับ พี่อรไปคนเดียวนั่นล่ะ”
“ฉันจ้างแกก็ได้ พัน สองพัน สามพันเลย แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
“กี่หมื่นก็ไม่ไป โดนตำรวจจับไปพี่อรก็ไม่ช่วยพงษ์หรอก พงษ์รู้”
สุทธิพงษ์คลุมโปงนอนต่อไม่สนใจพี่สาวที่พยายามตามตื๊อจนอ่อนใจไปเอง

พยานเดินเข้าไปยังกองปราบที่เดียวกับที่ธีรธรทำงานอยู่ โดยมีตำรวจเดินคุ้มกันไปด้วย
มีสื่อมวลชนตามถ่ายภาพ ตำรวจกันพยานที่เดินก้มหน้าไปตามทาง นาถสุดาหลบมุมหายไป พยานหันมาบอกกับตำรวจ
“ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยครับ”
ตำรวจพยักหน้า แล้วก็กันพยานไปเข้าห้องน้ำ

ตำรวจพาพยานเดินเข้ามาในห้องน้ำ เปิดดูประตูห้องส้วมทุกห้อง แล้วก็ทำท่าเหมือนจะยืนรอ พยานหันมาบอก
“ผมนั่งนาน รอข้างนอกก็ได้มั้ง”
ตำรวจนิ่งคิดแล้วก็พยักหน้า เดินจากไป ยืนเฝ้าอยู่นอกห้องน้ำ พยานเข้าไปในห้องส้วม รู้สึกเหมือนมีเงาเดินอยู่ด้านนอกประตูห้องส้วม เขาจึงพูดเสียงดัง
“ผมบอกแล้วไง ไม่ต้องรอ...มีคนอยู่มันกดดัน“
พยานนั่งหงุดหงิดอยู่ เขาเห็นเงาด้านล่างประตูก็ลุกดึงกางเกงขึ้น
“ผมบอกแล้วไง มันไม่ออก ทำไมไม่ไปรอข้างนอก”
พยานเปิดประตูออกมา เห็นนาถสุดาซักผ้าเช็ดหน้าอยู่ในอ่างล้างหน้า นาถสุดาทำเป็นตกใจ
“อุ๊ย...ห้องน้ำชายเหรอคะ”
พยานหวั่นๆ
“คุณ...”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ”
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ตำรวจเขาให้เข้ามา บอกว่าห้องน้ำอีกห้องเสีย”
พยานมองไปทางประตู จะตะโกนเรียกตำรวจ แต่แค่สูดลมหายใจเข้าจะอ้าปาก
นาถสุดอาก็เอามือกำผ้าเช็ดหน้ายัดใส่ปากเขา พยานหน้าแหงน หงายท้องจะล้มลง นาถสุดาอ้อมหลังไปประคองเอาไว้ไม่ให้หัวฟาดพื้น เธอเอาชายผ้าเช็ดหน้าที่ยังเหลืออยู่นอกปาก ดันๆยัดๆเข้าไมในปากในคอ พยานนอนหงายท้องดิ้น นาถสุดาเอาขาหนีบลำตัวกับเเขนเขาเอาไว้ ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ ถูกเธอปั้นๆยัดใส่ปากไปจนหมดผืน พยานดิ้นๆตุกุกตะกักอยู่ในง่ามขานาถสุดาจนนิ่งไปในที่สุด เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอสั่นดังขึ้น นาถสุดากดสายรับ หอบนิดๆใบหน้ายิ้ม
“ฮัลโหล”
ธีรธรอยู่ในห้องทำงาน เขาโทรหานาถสุดาเพราะรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว แต่ยังไม่มาพบเดขาที่ห้องทำงาน
“คุณมาถึงแล้ว...หายไปไหนอีก”
นาถสุดาดึงผ้าเช็ดหน้าผืนยาวใหญ่ออกมาจากปากพยาน ทิ้งไว้ที่พื้นกลางห้องน้ำ
“หาอะไรกินหน่อยค่ะ”
“คุณมาทำงานนะครับ ไม่ควรหายไปวุ่นวายที่ไหน วันนี้เขามีสอบพยานกันด้วย”
“คดีคุณรึเปล่าคะ”
“ไม่เกี่ยวกะผม คดีการเมือง คุณอยู่ไหน เราจะได้เริ่มงานกันซะที”
“ค่ะๆ ได้ค่ะ แต่ยังไง คุณต้องอนุญาตให้ดิฉันเลี้ยงกาแฟสักมื้อนะคะ”
“ผมซื้อกินเองได้”
“ไม่เอาสิ พูดไม่เพราะเดี๋ยวทำตัววุ่นวายนะ รับปากก่อน ว่าดื่มกาแฟกันก่อน”
ธีรธรอ่อนใจ
“ได้ๆ”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
นาถสุดาวางสาย แล้วจัดท่าทางให้พยานนั่งถอดกางเกงคาโถส้วม ล็อคประตูห้องน้ำจากด้านใน เเล้วก็ปีนออกมาจากด้านบนห้องส้วม สุดท้ายไม่ลืมที่จะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ ปีนออกจากห้องน้ำทางช่องระบายอากาศด้านหลัง ตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ เดินเข้ามาเคาะๆประตูเรียกพยาน
“สุดยังครับ...สุดยัง”
ตำรวจเคาะๆอยู่หลายที แล้วก็ชะโงกปีนขึ้นไป เห็นพยานนั่งคอพับหลับอยู่ ตำรวจตกใจรีบงัดประตูเข้าไป พยานนิ่งไม่หายใจเรียบร้อยแล้ว

นาถสุดาเดินเข้ามาในกองปราบ ตำรวจหลายนายพากันมองตาค้างตะลึงในความสวยของนางเอกสาว ตำรวจนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอกเพื่อนในห้องทำงานเดียว
“เฮ้ย...นาถสุดามาที่นี่ว่ะพวกเรา กำลังจะเดินผ่านมาทางนี้ด้วย ตำรวจที่เหลือในห้องลุกฮือขึ้นมุงดู นาถสุดากำลังเดินผ่านห้องนั้น หันมายิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้ทุกคนในห้องแล้วเดินผ่านไป ตำรวจทุกคนในห้องเคลิ้มตามรอยยิ้มของหญิงสาว
“น่ารักเป็นบ้าเลยวะ”
“ไม่ใช่แค่น่ารักนะ เพราะผมนะรักไปแล้ว”

จ่านิดวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องทำงาน ธีรธรกำลังนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์อยู่
“ผู้กองครับ มะ...มะ...มาแล้วครับ นักแสดงที่จะต้องมาเจอผู้กองวันนี้”
“ก็ให้เขาเข้ามาเลยสิจ่า เป็นอะไรไป ทำไมทำตัวล่อกแล่กอย่างนั้น”
จ่านิดเดินเข้ามาประชิดธีรธรพูดเบา
“ผมอยากมาบอกให้ผู้กองเตรียมใจไว้ก่อนครับ จะได้ไม่เสียอาการ”
ธีรธรงงกับสิ่งที่จ่านิดพูด
“ผู้กองหายใจลึกๆ นะครับ ช้าๆ ทำใจให้สบาย ทำตัวผ่อนคลาย หายใจลึกๆ ช้าๆ...”
“เป็นอะไรมากมั้ยจ่า กับแค่ต้องเทรนนักแสดง ผมต้องเตรียมตัวขนาดนั้นเลย”
ธีรธรยังบ่นไม่ทันจะจบ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น จ่านิดค่อยๆ ถอยหลังไปเตรียมเปิดประตูให้แขกที่กำลังมาเยือน
“อย่าลืมนะครับผู้กอง หายใจลึกๆ ช้าๆ ผ่อนคลายลึกๆ ช้าๆ”
จ่านิดเปิดประตูห้องทำงาน นาถสุดาสวยสุดๆ ยืนยิ้มหวานโปรยเสน่ห์มาที่ธีรธร จ่านิดถึงกับตะลึงในความงามของเธอในระยะประชิด จ่านิดหันมามองธีรธรอย่างอยากสังเกตอาการแต่เห็นธีรธรยืนมองนาถสุดาด้วยท่าทางปกติที่สุด
“สวัสดีครับคุณนาถสุดา ผมร้อยตำรวจธีรธร สุริยาฉาย ผู้ฝึกสอนทักษะป้องกันตัวชั้นสูง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
จ่านิดอึ้งที่ธีรธรไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นเลย นาถสุดาเดินเข้าไปขอจับมือ และส่งสายตาหวานเยิ้มให้
“สวัสดีค่ะผู้กองธีรธร ฉันนาถสุดา เรียกสั้นๆ ว่านาถก็ได้นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
ธีรธรจับมือตอบกลับ นาถสุดาใช้นิ้วโป้งวนที่มือของเขาไปมา และส่งสายตาอย่างมีความหมาย
“วันนี้มาขอเป็นลูกศิษย์ผู้กอง คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

เย็นนั้น อรชรขับรถมาจอดหน้าบ้าน แต่ไม่กล้าลงจากรถ เธอมองเข้าไปในบ้านที่ตอนนี้บรรยากาศดูเงียบวังเวง อรชรกำสร้อยพระที่คอขึ้นมาไหว้แล้วลงจากรถ ทันทีที่ปิดประตูรถ ไฟในบ้านก็สว่างพรึบขึ้นพร้อมกัน อรชรทำใจดีสู้เสือค่อยๆ เดินไปเปิดประตูรั้วในบ้านกำพระแน่น สายตามองเข้าไปในบ้านเห็นเงาคนเดินอยู่ในบ้านแว่บไปแว่บมา อรชรกล้าๆ กลัวๆ เดินไปถึงประตูบ้าน กำลังจะเปิดประตูบ้าน แต่จู่ๆ ประตูบ้านก็เปิดเองซะก่อน อรชรค่อยๆ เดินเข้ามาในบ้านมองไปรอบๆ ภายในบ้านไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตใด เธอเดินเข้าไปในบ้าน ความคิดถึง
บรรยากาศเก่าๆ เริ่มกลับมาในความรู้ทรงจำ ดารณีนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะกินข้าว สุทธิพงษ์นั่งดูบอลอยู่หน้าทีวี อรชรเดินไปลูบเก้าอี้ตัวที่ดารณีนั่งเป็นประจำด้วยความคิดถึงแล้วเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินลงบันไดลงมาช้าๆ อรชรแทบหยุดหายใจด้วยความตื่นเต้น อยากจะก้าวขาหนีก็ก้าวไม่ออก เสียงฝีเท้าคนเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหลัง อรชรค่อยๆ หันไป...เป็นไศลามายืนอยู่ข้างหลังจริงๆ
“พี่ไศลา”

นาถสุดานั่งอยู่กับธีรธร ในมุมส่วนตัวของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ผู้กองเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะคะ ที่ปฏิเสธคำเชิญทานข้าวของนาถ”
ธีรธรยิ้ม
“นี่คุณนาถต้องการจะด่า หรือพูดให้ผมภูมิใจกันแน่ครับ”
นาถสุดาหัวเราะ
“แจ้งมาเพื่อทราบค่ะ”
“คุณนาถเรียกผมว่าธีเฉยๆ ก็ได้นะครับ จะได้ไม่เป็นทางการเกินไป”
นาถสุดายิ้มพอใจที่ดูเหมือนธีรธรจะยอมให้ความเป็นกันเองกับเธอเพิ่มขึ้น พนักงานเดินมาเสิร์ฟกาแฟร้อนแต่เดินสะดุดขาตัวเองเซมาทางนาถสุดา แก้วกาแฟหกลอยหวือออกจากถาดพุ่งตรงมา นาถสุดาหันไปเห็นในระยะที่แก้วประชิดตัวแล้ว เธอหลบแล้วเอามือจับแก้วกาแฟอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ธีรธรตะลึงในสัญชาตญาณของหญิงสาว นาถสุดารู้สึกตัวว่าแสดงธาตุแท้ของตัวเองให้เขาเห็น เธอแกล้งปล่อยแก้วกาแฟตกลงไปแตกที่พื้น พนักงานรีบเข้ามาหานาถสุดา
“ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณนาถสุดา ไม่ทราบว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะน้อง แค่เฉี่ยวๆ เท่านั้นเอง ทำงานต่อเถอะค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
พนักงานช่วยกันเก็บเศษแก้วกาแฟที่แตกออกไป นาถสุดาหันมาเห็นสายตาค้นหาความจริงของธีรธรแล้วเริ่มทำตัวไม่ถูก

อรชรตกตะลึงที่ได้เห็นไศลามายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ไศลายื่นแขนตัวเองให้น้องสาว
“ถ้าไม่เชื่อว่าพี่ไม่ใช่ผี ก็ลองจับตัวพี่ดูสิ”
อรชรค่อยๆ ยื่นมือไปจับแขนพี่สาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอจับแขนแล้วก็เริ่มจะแน่ใจว่าพี่สาวยังมีชีวิตอยู่
“พี่ไศ...พี่ไศยังไม่ตายจริงๆ ด้วย แล้วทำไมพี่ชิตบอกว่าพี่ไศตายแล้ว”
ไศลาแอบเจ็บจี๊ดที่ได้ยินชื่อชูชิต
“พี่ยังไม่ตาย...แค่เกือบ ชิตคงจะเสียใจมาก ถ้ารู้ว่าพี่ยังอยู่”
“ใครบอกล่ะ...พี่ชิตเสียใจ...ช่างเหอะ แล้วที่พี่ไศเรียกอรมาเจอนี่ ต้องการอะไร หรือว่าจะมาทวงพี่ชิตคืน”
ไศลาจับมือน้องสาว
“อร พี่กับชิตเราจบกันแล้วจริงๆ แต่ที่พี่เรียกอรมาวันนี้ เพราะพี่อยากให้อรเลิกยุ่งเกี่ยวกับอาชีพของชิต มันไม่ดีกับตัวอรเลยนะ”
อรชรดึงมือออก
“ทำไมพี่ไศจะต้องมาทำเป็นห่วงเป็นใยอรด้วย อรว่าจริงๆ แล้วพี่ไศอยากจะได้พี่ชิตคืนมากกว่า”
“ไม่ใช่เลยนะอร อรจำที่คุณพ่อเคยสอนไม่ได้แล้วเหรอ ชีวิตคนเราจะไม่มีค่าเลย หากไม่รักชาติ รักแผ่นดิน สิ่งที่ชิตทำอยู่มันก็คือการทำลายชาติทำลายแผ่นดินนะ”
“พี่ไศอย่ามาเพ้อเจ้อหน่อยเลย ไม่มีใครที่เห็นอย่างอื่นสำคัญไปกว่าตัวเองหรอก ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ต้องทำอยู่ดี เดี๋ยวนี้เขาวัดกันที่เงินทองทั้งนั้นล่ะ”
“อรคิดบ้างมั้ยว่าถ้าคุณพ่อรู้ ท่านจะเสียใจแค่ไหน”
“คุณพ่อน่าจะดีใจมากกว่าที่อย่างน้อยก็มีอรคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่โง่ไปยึดติดกับความเชื่อบ้าบออะไรนั่นจนต้องไปตายในสนามรบเหมือนคุณพ่อ”
ไศลาตบหน้าอรชรอย่างแรงน้ำตาคลอ
“อรจะไม่เห็นพี่เป็นพี่ จะด่าจะว่าพี่ยังไงก็ได้ แต่อรไม่ควรพูดถึงคุณพ่อแบบนั้น”
อรชรน้ำตาคลอ
“ฟังให้ดีนะไศลา เธอไม่มีสิทธิมาสั่งฉันให้ทำอะไรทั้งนั้น ฉันเป็นเมียของพี่ชิต มันก็ถูกแล้วที่ฉันต้องช่วยเหลืองานของเขา เราทำเพื่อครอบครัวของเรา คนอื่นไม่เกี่ยว”
ไศลาร้องไห้
“ได้ นับจากนี้ไปเราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ไม่ต้องเป็นพี่เป็นน้องกันอีกต่อไป ฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเธออีก”
“จำคำพูดของเธอไว้ให้ดีแล้วกันไศลา แล้วอย่ากลับมากลืนน้ำลาย ตัวเองก็พอ”
อรชรหันหลังเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่หันกลับมามอง ไศลาเข่าอ่อนทรุดลงร้องไห้ด้วยความเสียใจมาก

นาถสุดากับธีรธรเดินออกมาจากร้านกาแฟ ทั้งสองหยุดยืนคุยกันอยู่หน้าร้าน
“ขอบคุณ คุณธีมากนะคะที่เลี้ยงกาแฟ ทั้งๆ ที่นาถเป็นคนชวนมาแท้ๆ”
“ด้วยความยินดีครับ ถือเป็นการเลี้ยงเริ่มต้นคอร์สเรียนก็แล้วกันนะครับ”
“แล้วเดี๋ยวคุณธีจะกลับบ้านเลยหรือว่ากลับไปทำงานต่อคะ”
ธีรธรดูนาฬิกาข้อมือ
“คงกลับบ้านเลยครับ เดี๋ยวคุณแม่รอทานข้าว”
“โอ้โห...ถ้านาถมีลูกชายแบบนี้ คงต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วพบกัน”
ธีรธรโบกมือลา แล้วหันหลังจะเดินไปที่รถ จู่ๆ ก็มีคนร้ายวิ่งมากระชากกระเป๋าของนาถสุดา เธอกรีดร้อง
“ช่วยด้วยค่ะ โจรกระชากกระเป๋าค่ะ”
ธีรธรหันมาเห็นเหตุการณ์พอดีก็รีบวิ่งตามคนร้ายไป คนร้ายวิ่งเลี้ยวหลบไปในซอกตึก ธีรธรรีบวิ่งตามไปจนเกือบถึงตัว คนร้ายวิ่งผ่านอะไรข้างทางก็เหวี่ยงมาเป็นอุปสรรคให้ธีรธรวิ่งตามได้ช้าลง คนร้ายวิ่งหายไปในซอย ธีรธรวิ่งตามมาหยุดหอบตรงทางแยกในซอยมองซ้ายมองขวาว่าจะเลือกไปทางไหนดี คนร้ายถือไม้หน้าสามลอบเข้ามาข้างหลังจะตีหัว ธีรธรเห็นเงาคนร้ายที่พื้นก็หันหลังกลับไปกระโดดถีบเข้าที่ท้อง
คนร้ายเซล้มลงนอนที่พื้น ธีรธรตามไปจะซ้ำ คนร้ายลุกขึ้นมาเอาตัวพุ่งเข้าชนธีรธรจนหงายลงไปกับพื้น คนร้ายขึ้นคร่อมตัวไว้ แล้วต่อยเข้าที่หน้า 2-3 หมัดจนเลือดกบปากแล้วก้มลงบีบคอ ธีรธรได้จังหวะเอาหัวโขกหน้าผากคนร้ายอย่างแรงจนเสียท่า ธีรธรพยายามลุกขึ้นมาจะซ้ำ แต่คนร้ายโยนกระเป๋านาถสุดาเข้าที่หน้าของธีรธรอย่างจังแล้ววิ่งหนีไป นาถสุดาวิ่งตามมาถึงพอดี
“คุณธีเป็นยังไงบ้างคะ”
ธีรธรพยายามสลัดความมึนแล้วลุกขึ้นจะตามไป
“ไม่ต้องตามไปแล้วค่ะคุณธี นาถได้กระเป๋าคืนแล้วค่ะ”

อรชรขับรถเข้ามาจอดในบ้าน เห็นรถชูชิตจอดอยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้พี่ชิตกลับเร็วแฮะ”
อรชรส่องกระจกในรถดูสภาพหน้าตาตัวเองเอาทิชชู่เช็ดหน้าแล้วหยิบแป้งกับลิปมาเติมปากเติมตาให้ดูเหมือนปกติ แล้วลงจากรถเดินเข้ามาในบ้าน เห็นชูชิตนั่งดูโทรทัศน์อยู่
“กลับเร็วนะคะวันนี้ กินอะไรมาหรือยัง”
ชูชิตส่ายหน้า
“ยังเลยจ้ะ ก็รออรอยู่ อรกินมาแล้วเหรอ”
อรชรเข้าไปกอด
“ยังเลยค่ะ อรก็รอกินพร้อมพี่ชิตเหมือนกัน”
“งั้นพี่ว่าเราออกไปกินข้างนอกกันดีกว่า เผื่อจะได้ดูหนังด้วย”
“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจังคะ แล้วไม่คิดจะถามเรื่องงานกับอรบ้างเหรอ”
“ไม่ถามหรอกจ้ะ เพราะลูกน้องพี่โทรมารายงานแล้วว่าอรทำงานได้เรียบร้อยดีมาก”
“มีสายสืบคอยรายงานซะด้วย แบบนี้ถ้าอรทำผิด สงสัยจะโดนหนักแน่ๆ”
ชูชิตหอมแก้ม
“รับรองว่าคืนนี้จัดหนักแน่ แต่ตอนนี้พี่ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
ชูชิตลุกเดินขึ้นบันไดไป อรชรมองตามจนแน่ใจว่าเขาเข้าไปในห้องแล้วก็หันมาหยิบโทรศัพท์ชูชิตขึ้นมาดูหน้าจอโทรศัพท์ขึ้น Contact List อรชรเลื่อนดูตามรายชื่อก็ไม่เจอคนที่ตัวเองตามหา
“พี่ชิตเขาเมมไว้ว่าชื่ออะไรนะ”
อรชรเปลี่ยนใจกดดูเบอร์โทรเข้าออก
“มิสเตอร์ดี โทรเข้า 8 โมง 52 นาที น่าจะใช่นะ”
อรชรรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา บันทึกเบอร์มิสเตอร์ดีลงเครื่องตัวเองอย่างรวดเร็ว

ธีรธรเดินเข้ามาในห้องทานอาหาร เห็นวงทองกับนิ่มนวลนั่งรออยู่ ธีรธรไม่เห็นไศลาก็รู้แล้วว่าเธอไปแล้วจริงๆ วงทองเห็นหน้าลูกชายก็ตกใจ
“พ่อธี ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะลูก”
“วันนี้มีฝึกแล้วผิดคิวนิดหน่อยครับคุณแม่ ไม่เป็นไรมากหรอกครับ”
“พี่ธีคะ ไศลา...”
นิ่มนวลจะบอกแต่ธีรธรสวนขึ้น
“พี่รู้แล้วล่ะ เมื่อคืนไศลาบอกพี่แล้ว”
“อ้าว...แต่เขาไม่ได้บอกคุณป้าหรอกนะคะ แปลกคน จะมาจะไปไม่เคยบอกกล่าวเจ้าของบ้าน ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
ธีรธรสีหน้าไม่ค่อยดี วงทองตัดบท
“ตักข้าวเถอะหนูนิ่ม พี่ธีหิวแย่แล้ว”
นิ่มนวลลุกขึ้นตักข้าวใส่จานให้ทุกคน

ดุลยศักดิ์ชนแก้วไวน์กับนาถสุดา
“เก่งมาก ป่านนี้ไอ้ตำรวจนั่นมันก็คงคิดไม่ถึงว่าคนร้ายที่มันวิ่งตามแทบตาย จะเป็นคนที่เธอจ้างมาเอง”
ดุลยศักดิ์หัวเราะสะใจ โทรศัพท์ของดุลยศักดิ์ดังขึ้น บอดี้การ์ดมองเบอร์แล้วหันมาบอก
“เบอร์แปลกครับนาย”
ดุลยศักดิ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล”
ดุลยศักดิ์ฟังโทรศัพท์ไม่พูดอะไร สีหน้าเปลี่ยนเป็นเครียดแล้ววางสาย
“มีคนโทรมาบอกว่านางไศลายังไม่ตาย ส่งคนไปที่บ้านมันเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเจอ...จัดการมันซะ”

สมุนของดุลยศักดิ์ขับรถมาซุ่มจอดหน้าบ้าน ไศลานอนอยู่ในห้องนอน ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงพูดวิ้งๆ อยู่ในหูจากหน้าบ้าน เธอหลับตาเพ่งจิตทำให้ได้ยินเสียงสมุนของดุลยศักดิ์คุยกัน
“เดี๋ยว 2 คนเข้าข้างหน้านะ อีก 2 คนไปเข้าหลังบ้าน อีก 3 คนปีนเข้าทางหน้า”
ไศลาลุกขึ้นมานั่งสมาธิเตรียมพลังจิต ตาที่สามของเธอเปิดสว่างขึ้นอีกครั้ง

ในร้านอาหารที่บรรยากาศสุดหรูโรแมนติค ชูชิตกับอรชรนั่งที่โต๊ะที่เป็นมุมส่วนตัวที่สุดในร้าน ทั้งสองคนผลัดกันป้อนอาหารให้กันอย่างแสนหวาน คุยกันกะหนุงกะหนิงตลอดเวลา
“พี่ชิต เดี๋ยวอรขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ”
อรชรลุกเดินออกจากโต๊ะไป โทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอสั่นไม่หยุด จนชูชิตต้องหยิบกระเป๋าอรชรขึ้นมาค้นหาตัวเครื่อง เขาหยิบโทรศัพท์อรชรขึ้นมาดู หน้าจอเป็นชื่อ “พงษ์” โทรเข้า ชูชิตกดรับสาย
“พี่อร พงษ์โทรบอกคนนั้นให้แล้วนะว่าพี่ไศลาอยู่ที่บ้านและยังไม่ตาย พี่อรโอนเงินมาให้พงษ์ด่วนเลยนะ พงษ์รออยู่”
ชูชิตถึงกับอึ้งที่ได้ยิน
“พงษ์ นี่พี่ชิตนะ เล่ามาให้หมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

อ่านต่อหน้าที่ 3

กุหลาบไฟ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ไศลาออกมายืนรอสมุนของดุลยศักดิ์ที่หัวบันไดชั้น 2 เห็นสมุนของดุลยศักดิ์เข้ามาตามที่ได้ยินนัดหมายกันครบเรียบร้อย 7 คน สมุนของดุลยศักดิ์เข้ามารวมตัวกัน ที่ห้องโถงกลาง ไศลาโดดลงมาจากชั้นสองมายืนบนโต๊ะรับแขกหน้าทีวี สมุนกรูเข้ารุม ไศลากระโดดยกขาเตะหมุนโดนสมุนทุกคนจนต้องถอยออกมา สมุนพยายามเข้าไปประชิดตัวเธออีกครั้ง ไศลาใช้พื้นฐานวิชาคาราเต้อัดเข้าที่สมุนแต่ละคนจนหน้าหงายกันไปคนละทาง สมุนเริ่มจับคู่บ้าง แทคทีมเข้ามาบ้าง แต่ก็โดนไศลาสอยจนร่วงลงไป สมุนคนหนึ่งได้โอกาสเข้าล็อคตัวไว้จากด้านหลัง สมุนอีกคนหยิบเก้าอี้ขึ้นมาจะฟาด ไศลาใช้ตาที่สามปล่อยแสงเข้าตาสมุนคนนั้นจนบอดถอยไป แล้วใช้พลังเหวี่ยงตัวสมุนที่รัดตัวเธอลงมาฟาดที่พื้น สมุนอีก 5 คนเข้ามาล้อมไว้เป็นวงกลม ไศลาหลับตาเพ่งกระแสจิตแยกร่างไปประกบอัดเป็นรายตัวจนสะบักสะบอมนอนแผ่หรากันทุกคน ไศลาปล่อยไม้ตายสุดท้าย ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันแล้วยกขึ้นมาชี้ที่ระดับปลายคิ้วแล้วเพ่งกระแสจิตปล่อยพลังเนตรอัคคีหมุนเป็นวงกลมรอบตัว สมุนของดุลยศักดิ์แตกกระเจิงวิ่งหนีออกจากบ้านไป

อรชรเดินกลับมาจากห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่เจอชูชิตที่โต๊ะแล้ว เธอพยายามมองหาก็ไม่เจอจึงเรียกเด็กเสิร์ฟ
“น้องๆ คะ เห็นพี่ผู้ชายที่มากับพี่มั้ยคะ”
“อ๋อ พี่เขาเช็คบิลกลับไปแล้วนะคะ”
อรชรงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ชูชิตขับรถมาจอดต่อกับรถสมุนของดุลยศักดิ์ ชูชิตจะลงจากรถก็พอดีเห็นสมุนของดุลยศักดิ์วิ่งกระจายกันออกมาจากบ้านไศลา สภาพแต่ละคนดูแล้วสะบักสะบอมกันไม่น้อย สมุนของดุลยศักดิ์แย่งกันขึ้นรถจนครบทุกคนแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ชูชิตลงจากรถมายืนมองตามอย่างงงๆ เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านไศลา

ธีรธรยืนอยู่คนเดียวในความมืด ในมือมีกระป๋องเบียร์ เขานึกถึงเหตุในคืนสุดท้ายที่ได้คุยกับไศลา
“มองตาผมสิไศลา แล้วบอกผมมาว่าทั้งหมดเป็นเพราะคุณไม่เคยลืมรักเก่าของคุณเลยใช่มั้ย”
ไศลาจ้องตาธีรธรกลับอย่างแน่วแน่
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”
ธีรธรฟังแล้วปวดใจจนต้องปล่อยมือหันหลังให้ไศลา
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากคุณออกจากบ้านนี้ไป ผมจะถือซะว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน”
ธีรธรทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง
“ผมทำไม่ได้ไศลา ผมลืมคุณไม่ได้”

ชูชิตเดินเข้ามาถึงในบ้าน เห็นสภาพบ้านเละไปหมดจากการต่อสู้ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน
“ไศลา อยู่ที่ไหน นี่ชิตเองนะ ออกมาหาชิตหน่อยได้มั้ย”
ไศลายืนหายใจหอบอย่างหมดพลังแอบอยู่ที่บันไดชั้นบน
“ไศลา ชิตมีเรื่องอยากจะคุยกับไศลาเยอะแยะเลย”
ชูชิตจะเดินก้าวขึ้นบันไดมาชั้นบน แต่ได้ยินเสียงหวอรถตำรวจมาพอดี เขาจำใจต้องรีบวิ่งกลับออกไปนอกบ้านก่อนที่ตำรวจจะมาถึง ไศลาโล่งใจที่ชูชิตไม่เห็นตัวเอง

ธีรธรกระดกเบียร์รวดเดียวหมดกระป๋อง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอโชว์ชื่อจ่านิด ธีรธรรับสาย
“ฮัลโหล มีอะไรจ่า นี่มันนอกเวลาราชการแล้วนะ...ว่าไงนะ บ้านไศลาโดนบุกเหรอ”
ธีรธรวางสายแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากบ้านทันที

ดุลยศักดิ์นอนให้นาถสุดานวดหลังให้อย่างสบายอยู่บนเตียง เสียงโทรศัพท์มือถือของดุลยศักดิ์ดังขึ้น
“มาแล้วสินะข่าวดี”
ดุลยศักดิ์ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นคุยโทรศัพท์มือถือบนเตียงด้วยความโมโห
“อะไรวะ...แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ไปกันหกเจ็ดคนเอาไม่อยู่ แล้วอย่างนี้ข้าควรจะเลี้ยงพวกเอ็งต่อไปไว้มั้ย”
ดุลยศักดิ์กดวางสายแล้วขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโมโห

ธีรธรขับรถมาจอดหน้าบ้านไศลา มองเข้าไปในบ้านมีแต่ความมืดและความเงียบ ธีรธรหยิบไฟฉายและปืนในลิ้นชักรถมาถือไว้แล้วลงจากรถค่อยๆ เดินเข้าสู่ตัวบ้านส่องไฟดูสภาพบ้านของไศลาที่ตอนนี้ยับเยินไปหมดจากร่องรอยของการต่อสู้ ธีรธรเดินสำรวจชั้นล่างและชั้นบนทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ไม่พบไศลา เขาเริ่มกระวนกระวายใจ
ธีรธรเดินกลับมาที่รถอย่างหมดหวังจะเปิดประตูรถแต่ได้ยินเสียงคราง “อือๆ” จากแถวนั้น เขาส่องไฟฉายไปตามเสียงครางนั้น เห็นไศลานั่งกอดเข่าตัวสั่นครางอยู่ริมถังขยะบ้านข้างๆธีรธรรีบวิ่งไปหา
“ไศลา คุณเป็นยังไงบ้าง”
“คุณธี...พาไศไปยังที่ๆ นึง”
“คุณพูดอะไรของคุณ”
“นะคะ ขอร้อง...คุณอย่าถามอะไร”
ไศลาพูดคล้ายคนเป็นไข้ ที่กำลังจะสิ้นใจ

อรชรเดินวนไปวนมาในห้องรับแขก คอยมองว่าชูชิตจะกลับมาเมื่อไหร่ สักครู่ชูชิตเดินเข้ามาในบ้าน อรชรดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอด ชูชิตแกะมือเธอออกจากตัวอย่างรังเกียจ
“พี่ชิต ทำไมพี่ชิตทำกับอรแบบนี้ล่ะคะ”
“พี่ต้องเป็นฝ่ายถามอรมากกว่าว่าทำไม อรถึงชอบทำตัวให้พี่ผิดหวังซ้ำซากแบบนี้”
“นี่พี่ชิตยังรักยังแคร์พี่ไศมาก จนไม่เคยมองเห็นความดีของอรเลยใช่มั้ย”
“ใช่ พี่บอกตรงๆ เลยว่าพี่พยายามรักอรแล้ว แต่มันก็ยังไม่มากเท่าที่พี่รักไศลา”
อรชรตบหน้าเขาทันที
“แล้วพี่ชิตมาอยู่กับอรทำไม มาทำดีกับอรทำไม”
ชูชิตจ้องหน้า
“อรคิดดูให้ดีๆ นะว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเริ่มทุกอย่าง”
อรชรเงื้อมือจะตบอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นทรุดลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“แต่อรรักพี่ชิต อรรักพี่ชิตมากที่สุด พี่ชิตเข้าใจมั้ย”
ชูชิตมองอรชรเสียใจ แล้วก็ใจอ่อนก้มลงไปกอดเธอไว้
“อรจะมีความสุขกว่านี้มั้ย ถ้าจะเลิกเอาตัวเองไปเทียบกับไศลาสักที”
“ไม่ว่าอรจะทำยังไง พี่ชิตก็ไม่มีทางรักอรได้เท่าพี่ไศลาเลยใช่มั้ย”
“อรรู้แค่ว่าพี่รักอรก็พอ อย่าเอาไปเทียบกับใครให้เหนื่อยเลย พี่อาจจะแก้ไขเมื่อวานให้อรไม่ได้ แต่อย่าลืมสิว่าพี่กับอรยังมีวันนี้กับพรุ่งนี้ด้วยกันอีกนะ”
อรชรฟังแล้วเริ่มรู้สึกดีขึ้น
“พี่ชิตจะไม่ทิ้งอรใช่มั้ย”
“อรก็ทำวันนี้ให้ดีสิ จะได้มีพรุ่งนี้ที่ดีไง ขึ้นนอนกันดีกว่านะ พี่ง่วงแล้ว”
ชูชิตกับอรชรเดินกอดกันเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

เช้ามืด...ธีรธรขับรถมาถึงในป่าใหญ่ มีไศลานอนหลับคู่มาที่เบาะหน้า เขาเขย่าตัวเธอเบาๆ
“ไศลา ถึงป่าแล้วครับ”
ไศลาสะลึมสะลือขึ้นมา มองข้างทางพูดออกมาเสียงแผ่ว
“ช่วยกดกระจกลงให้หน่อยค่ะ”
ธีรธรกดกระจกลงตามที่เธอบอก ไศลาสูดลมหายใจลึกๆ สี่ห้าครั้งจนเริ่มรู้สึกดีขึ้น
“คุณช่วยพาฉันขึ้นไปให้ถึงยอดเขา ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นได้มั้ยคะ”
ธีรธรไปเปิดประตูพยุงไศลาลงมาจากรถ เธอไม่มีแรงพอที่จะพาตัวเองเดินไปได้ เขาจึงให้เธอขี่คอเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน...ธีรธรแบกไศลาเดินขึ้นเขาอย่างไม่หยุดพัก หญิงสาวแอบซึ้งใจที่ชายหนุ่มมีน้ำใจให้เธอขนาดนี้
“คุณธีเหนื่อยมั้ย ให้ไศลงเดินเองก็ได้นะ ไศมีแรงแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวเอง”
“ไศเดินไหวจริงๆ นะ ไม่เชื่อเดี๋ยวลองเดินให้ดูก็ได้”
“ผมไม่ได้กลัวคุณเดินไม่ไหวหรอก แต่ผมกลัวคุณจะหนีผมไปอีกต่างหาก”
ไศลาซึ้งกับคำพูดของเขา
“เรารู้จักกันแค่ไม่นาน ไศมีความหมายกับคุณขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันดูแปลกมากเลยใช่มั้ย ผมเองก็ยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเหมือนกัน”
ไศลาอยากจะบอกว่าตัวเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูดไป ธีรธรเสียงเข้ม
“เราหยุดคุยกันสัก 15 นาทีนะ”
“ไศทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอ”
“เปล่าหรอก ผมแค่จะทำเวลา กลัวพาคุณไปถึงยอดเขาไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น”
ไศลาซึ้งใจในความใส่ใจของเขาจนน้ำตาคลอ หญิงสาวซบลงบนบ่าของเขาด้วยความอุ่นใจ ธีรธรแอบยิ้มรู้สึกดีที่เธอซบลงบนบ่าตัวเอง เขาแบกเธอเดินขึ้นเขาที่มีแสงอาทิตย์รำไรอยู่ปลายยอดเขา
ธีรธรพาไศลามาถึงยอดเขาพอดีกับแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า เขาค่อยๆ ย่อตัวให้เธอได้ลงจากหลังอย่างระวัง ทั้งสองยืนมองตะวันสีทองที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นขอบฟ้าด้วยกัน
“วันนี้พระอาทิตย์สวยจังเลยเนอะ”
“ใช่ ผมไม่เคยเห็นพระอาทิตย์สวยเท่านี้มาก่อนเลย...”
“ก็มัวแต่ดูดาวอยู่นั่นล่ะนะผู้กอง”
“ดาวก็เหมือนกัน ผมไม่เคยเห็นดาวคืนไหนสวยเท่า คืนที่ได้ดูอยู่กับคุณมาก่อนเลย”
ธีรธรหันมามองไศลาด้วยสายตายืนยันสิ่งที่พูดไป หญิงสาวเขินจนต้องหลบตาชายหนุ่ม
“เดี๋ยวไศสอนวิธีรับพลังธรรมชาติให้คุณดีกว่า เริ่มเลยนะ ปล่อยใจให้ว่าง สูดลมหายใจลึกๆ รับพลังธรรมชาติเข้าไปชำระกายและใจให้สะอาด”
ไศลาหลับตาสูดลมหายใจสุดปอด ธีรธรทำตาม
“เป็นไงบ้าง รู้สึกดีใช่มั้ย”
ธีรธรพยักหน้า
“สดชื่นขึ้นมากเลย แต่น่าจะเพราะว่าได้อยู่ใกล้คุณมากกว่านะ”
ไศลาเขิน
“โอ๊ย...พอเถอะค่ะ หยอดตลอดทุกวินาทีแบบนี้ไศจะไปมีสมาธิได้ยังไงกัน”
“แล้วคุณรู้วิธีพวกนี้มาจากไหน”
“ไศก็มีอาจารย์สอนสิคะ”
ธีรธรมีท่าทีสนใจสิ่งที่เธอพูด
“เหรอ แล้วอาจารย์คุณสอนอะไรอีกบ้าง”
“อาจารย์ก็สอนว่าในร่างกายเรามีสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติซ่อนอยู่ เพื่อทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกัน ซึ่งเราสามารถควบคุมทั้งหมดได้ด้วยสมาธิ”
“ฟังดูดีมากเลย แล้วคุณเรียนวิชาต่อสู้จากอาจารย์คนเดียวกันหรือเปล่า”
ไศลาตกใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเธอมีพลังเนตรอัคคี
“คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“อ้าว...ก็ต้องรู้สิ ก็คุณเล่นซัดโจรซะหมอบตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันเลยไง”
ไศลาโล่งอก
“อ๋อ...ใช่ค่ะ คนเดียวกัน”
“คุณนี่ทำผมเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเลยจริงๆ”

นาถสุดาเคาะประตูห้องทำงานธีรธร แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เธอลองหมุนลูกบิดดูก็รู้ว่าไม่ได้ล็อค เธอมองซ้ายมองขวาแล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นว่าไม่มีใคร จึงเดินเข้าไปดูแฟ้มที่เรียงอยู่ในตู้เอกสารอย่างสนใจ
“แบบนี้ก็น่าจะมีแฟ้มคดีของเทพอยู่ด้วยสินะ”
นาถสุดาเริ่มปฏิบัติการค้นหาแฟ้มคดีของเทพกับคงอยู่อย่างขะมักเขม้น จ่านิดเปิดประตูเข้ามาตอนที่มือนาถสุดากำลังยืดตัว มือค้างเติ่งอยู่ที่ตู้เอกสารชั้นสองพอดี จ่านิดอึ้งกับท่าของเธอ
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณนาถทำอะไรอยู่ครับผม”
นาถสุดาทำท่าประกอบ
“อ๋อ...นาถกำลัง...ยืดเส้นยืดสายอยู่ค่ะ พอดีนั่งรอผู้กองแล้วไม่มีอะไรทำ เลยลุกขึ้นมาขยับตัวยืดเส้นยืดสายดู”
“อ๋อ...พวกดาราคงออกกำลังกายกันตลอดเวลาแบบนี้สินะครับ เห็นเอวเล็กๆ กันทุกคน ปกติป่านนี้ผู้กองน่าจะมาถึงแล้วนะครับ ทำไมวันนี้ยังไม่มาอีก”
จ่านิดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาธีรธร แต่ปลายทางติดต่อไม่ได้
“เอ๊ะ...ติดต่อไม่ได้ซะด้วย”
“เอ่อ...คุณจ่านิดคะ ไม่ต้องโทรตามผู้กองหรอกค่ะ วันนี้นาถไม่มีคิวที่ไหนอยู่แล้ว สบายๆ ดีกว่าค่ะ”
“ได้ครับ ถ้างั้นผมขอตัวไปประชุมก่อน เชิญคุณนาถตามสบายนะครับ”
นาถสุดายิ้มหวานขอบคุณ จ่านิดเดินออกไปจากห้อง นาถสุดาวิ่งตามมาดูว่าเขาไปไกลหรือยังแล้วปิดประตูล็อคห้องเรียบร้อย เธอมองแฟ้มเอกสารอย่างมุ่งมั่นว่าจะค้นให้เจอแฟ้มของเทพให้ได้

ธีรธรนั่งกินกล้วยและผลไม้ที่ไศลาหามาให้อย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณจะหาผลไม้ป่าได้เก่งขนาดนี้”
“ไม่ยากเลย เพราะฉันเคยขึ้นมาบนนี้แล้ว”
“แล้วคุณไม่กินด้วยกันเหรอ”
ไศลาส่ายหัว
“ถ้าอยู่ในช่วงฟื้นฟู ต้องงดอาหาร”
“เหรอ แล้วต้องทำอะไรอีกบ้าง”
“ก็ตื่นมาอาบแสงอาทิตย์ตอนรุ่งอรุณ นั่งสมาธิ ฝึกลมปราณ ให้พลังธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง”
“ขอผมทดสอบวิชาต่อสู้ของคุณหน่อยได้มั้ย”

ธีรธรกับไศลายืนประจันหน้ากันบนพื้นที่โล่ง ทั้งสองฝ่ายตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ยืนฟุตเวิร์คไปมา ไม่มีใครยอมเริ่มก่อน ไศลาตัดสินใจเริ่มเข้าไปชกก่อน ธีรธรหลบทันแล้วจับแขนของเธอจะบิดออก แต่ไศลาไวกว่าใช้อีกหมัดสวนเข้าที่ท้องของเขาถึงกับจุก ธีรธรเอาคืนด้วยการเข้าไปต่อย แต่เธอหลบได้แถมยังเตะเข้าลำตัวสวนมาอีกดอก
“ใช้ได้นะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นผมไม่ออมมือแล้วนะ”
ธีรธรเริ่มเสียหน้า พุ่งเข้าไปรวบตัวไว้ ไศลาได้จังหวะหมุนแขนออกเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายล็อคแขนของเขาจากข้างหลัง ธีรธรพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดคิดแผนได้ แกล้งทำเป็นพยายามฝืนดิ้นยื้อให้ตัวเองหลุดจากแรงล็อคของไศลาจนสุดแล้วปล่อยแบบไม่ให้เธอตั้งตัว ไศลาเหมือนเจอแรงตัวเองเหวี่ยงกลับ ทำให้เสียหลักเซถอยหลังอย่างแรงจนเกือบจะตกเนินเขา ธีรธรหันมาเห็นก็ตกใจกลัวเธอได้รับอันตราย รีบกระโดดเข้ามากอดไว้ได้ก่อนที่ไศลาจะตกเนินเขาไป ทั้งคู่กลิ้งตกลงไปด้วยกัน โชคดีที่เนินเขานั้นไม่สูงมาก ตัวของทั้งคู่หยุดหมุน ก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายมาประชิดอยู่ตรงหน้า

“ผมขอโทษนะ เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าไศลา”
“ไม่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เจ็บเหมือนกัน รู้มั้ย...ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
ทั้งคู่มองตากันและกันอย่างอ่อนหวาน ปล่อยใจให้ความรู้สึกค่อยๆ ดึงทั้งคู่เข้าหากันใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ธีรธรจูบไศลาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ เช่นเดียวกับไศลาที่อดปล่อยใจไปกับความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้ ธีรธรหอมที่หน้าผากของเธอเรื่อยลงมาที่แก้ม และเริ่มนัวเนียลงไปที่คอและส่วนอื่นๆ ไศลาเริ่มเกิดอารมณ์คล้อยตาม จู่ๆ เสียงของนักพรตเมฆขาวก็ดังขึ้นมาให้ไศลาได้ยิน
“กฎข้อที่สองของผู้ถูกเลือก คือห้ามประพฤติผิดในกาม อย่าประมาทกิเลศตัณหาของมนุษย์”
ไศลารู้สึกเหมือนตาสว่าง หมดอารมณ์พิศวาสใดๆ ไปสิ้นรีบยันตัวของธีรธรให้ออกห่าง ธีรธรไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นอะไรไปไศลา”
ไศลารีบลุกขึ้นยืนหันหลังหนีเพราะกลัวตัวเองใจอ่อนอีก
“คุณกลับไปได้แล้ว ไศต้องอยู่ฟื้นฟูพลังของตัวเองก่อน”
“แล้วคุณจะอยู่ที่นี่ได้ยังไงคนเดียว ให้ผมอยู่ด้วยคนนะ”
ไศลาหันหน้ามามองหน้าเขาอย่างจริงจัง
“ไม่ได้ คุณจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ คุณกลับไปก่อนเถอะ แล้วเราค่อยพบกัน”
“ไศลา แล้วคุณจะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน”
“ไม่มีกำหนด แล้วฉันจะไปหาคุณเอง”
ธีรธรเข้ามากอดจนไศลาเกือบใจอ่อน เธอพยายามดันเขาให้ออกห่างจากตัวเองให้มากที่สุด
“คุณธี ไศขอร้อง รีบกลับไปเถอะค่ะ แล้วไศจะไปหาคุณ ไศสัญญา”
ธีรธรจ๋อย
“ตกลง คุณสัญญากับผมแล้วนะ อย่าลืมนะ ผมจะรอ”
ธีรธรเดินคอตกหันหลังจากไป ไศลาอดใจหายไม่ได้
“คุณธีคะ”
ธีรธรรีบหันมา คิดว่าไศลาจะเปลี่ยนใจ
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
ธีรธรยิ้มเศร้า
“คุณก็เหมือนกันนะ แล้วเจอกันครับ”
ไศลายืนมองส่งธีรธรเดินลงจากเขาจนลับตาไป

นาถสุดายังคงมุ่งมั่นค้นหาแฟ้มคดีของเทพอย่างเต็มที่ ไล่ดูแฟ้มบนตู้เก็บเอกสารจนหมดทุกชั้นทุกตู้แล้วก็ยังไม่เจอ เธอมองไปรอบๆ ห้องอย่างพิจารณาว่าตัวเองยังลืมค้นที่ไหนไปบ้าง มองเหม่อไปที่โต๊ะของธีรธรอย่างครุ่นคิด นาถสุดาสะดุดตากับแฟ้มสีเทาบนโต๊ะของเขาจึงเดินเข้าไปเปิดดูหน้าแฟ้มเขียนว่า
“แฟ้มพยานคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ”
นาถสุดาเปิดแฟ้มดูหน้าแรกเจอรูปนายเทพ ชนะตัวตน เธอดีใจจนน้ำตาคลอที่ในที่สุดก็หาเจอ นาถสุดาเอามือลูบที่รูปของเทพด้วยความคิดถึง

ไศลานั่งสมาธิอยู่อย่างสงบบนยอดเขา ร่างของเธอเปล่งประกายแสงสีขาวสว่างสดใสออกมา เธอยิ้มอย่างปิติที่เกิดขึ้นในจิตใจ ไศลาลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกสดชื่นหันไปเห็นร่างตัวเองที่ยังนั่งสมาธิอยู่ก็ตกใจ นักพรตเมฆขาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“เอมา...การรู้เท่าทันความต้องการ และรู้จักห้ามจิตใจของตัวเองไม่ให้ลุ่มหลงในภาวะกิเลสเป็นสิ่งที่ผู้ถูกเลือกควรปฏิบัติ”
ไศลาดีใจมากที่ได้เจอนักพรตเมฆขาวอีกครั้ง เธอก้มลงกราบ
“ไม่ได้เจอหลวงปู่ตั้งนาน หลวงปู่สบายดีนะคะ”
“ที่ใดมีธรรม ที่นั่นพ้นทุกข์ เอมา...ไศลา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เกือบแย่ไปเหมือนกันค่ะ ถ้าไม่ได้วิชาจากหลวงปู่ช่วยไว้ก็คงไม่รอดค่ะ”
“เอมา...จงอย่าลืมหน้าที่หลักของการเป็นผู้ถูกเลือก”
“ไม่ลืมค่ะ ผู้ถูกเลือกมีหน้าที่ปกป้องความดี ทำให้คนชั่วรู้จักบาปบุญคุณโทษ”
นักพรตเมฆขาวพยักหน้าด้วยความพอใจ
“เอมา...เจ้ามีสิ่งใหม่ที่จะต้องเรียนรู้ นั่นคือ วิชาพลังจักรวาลบำบัด หากเจ้าใช้วิชานี้ในการช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วย พลังของเจ้าจะลดลงไม่มาก และใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นาน แบมือทั้งสองข้างของเจ้ามา”
ไศลาแบมือทั้งสองข้างของตัวเองออกไป แล้วหลับตา นักพรตเมฆขาวเอาไม้เท้าวางลงบนมือทั้งสองของไศลา แล้วหลับตาบริกรรมคาถา ไม้เท้าบนมือของไศลาเปล่งแสงสีทองออกมาระยิบระยับก่อนจะค่อยๆ ไหลลงสู่แขนทั้งสองข้างและไหลงรวมต่อลงไปที่หัวใจของเธอ ไศลารู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แสงระยิบระยับจากไม้เท้าไหลออกมาใส่ไศลาจนหมดสิ้น นักพรตเมฆขาวลืมตาขึ้นหยิบไม้เท้าจากมือไศลากลับมาถือไว้เหมือนเดิม ไศลาลืมตาแล้วก้มลงกราบ
“เจ้ารู้วิธีใช้วิชาแล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะหลวงปู่”
“เอมา...การช่วยเหลือคนที่มีทุกข์ ถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ และหากไม่อยากเป็นทุกข์เสียเอง จงนำพาตนให้ไกลห่างจากภาวะกิเลสของมนุษย์”

นาถสุดาพิมพ์ที่อยู่ติดต่อของเทพ จากแฟ้มลงบนมือถือของตัวเอง เสียงคนพยายามจะเปิดประตูเข้ามา แต่ประตูล็อค ก่อนจะมีเสียงคนไขกุญแจ นาถสุดาพยายามรีบพิมพ์ให้ทัน จ่านิดยืนอยู่หน้าประตูเอากุญแจที่ไขแล้วออกมาดู
“ทำไมมันไม่ได้หว่า หรือว่ามันไม่ใช่ดอกนี้”
นาถสุดาพิมพ์อยู่เครื่องเกิดแฮงก์ แบตโทรศัพท์ขึ้นเตือนเหลือสิบเปอร์เซ็นต์ เธอแทบกรี๊ด จ่านิดก้มหน้าก้มตาหากุญแจดอกใหม่ในพวงกุญแจมีกุญแจอยู่ 3 ดอก นาถสุดารีบหากระดาษปากกาบนโต๊ะธีรธรขึ้นมาจดใหม่ทั้งหมด จ่านิดยืนมองพวงกุญแจจำไม่ได้จริงๆ ว่าดอกไหน ตัดสินใจไขทุกดอกเริ่มไขดอกที่ 1 ไม่ออก นาถสุดารีบเขียนมือไม้สั่น จ่านิดเริ่มไขดอกที่ 2 ไม่ออก นาถสุดารีบเขียนไปมองประตูไปใจคอไม่ดี จ่านิดเริ่มไขดอกที่ 3 เสียงประตูปลดล็อค จ่านิดเปิดประตูผัวะเข้ามาในห้อง เห็นนาถสุดานอนหลับอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของธีรธร สภาพของภายในห้องเรียบร้อยทุกอย่างเป็นปกติ
“ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยหน่อย สงสัยจะล็อคห้องนอนหลับแหม...คนสวยนี่เวลานอนก็ยังสวยวุ้ย”
จ่านิดเดินกลับออกไป แถมยังล็อคประตูให้เหมือนเดิมเรียบร้อย นาถสุดาหรี่ตาดูว่าจ่านิดไปแล้วก็ลุกขึ้นถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอแบมือที่กำกระดาษที่จดรายละเอียดที่อยู่ของเทพไว้ออกมาคลี่ดูด้วยความดีใจ

ไศลาลืมตาจากการนั่งสมาธิ ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง จนเธอต้องเอามือลูบตัวปัดความหนาว อากาศพาให้เธอคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เธอมองไปบนท้องฟ้าที่มีแสงรำไรบอกเวลาเช้ามืด เธอเห็นภาพเรื่องราวในอดีตที่บ้านเก่า พ่อใส่เครื่องแบบชุดฝึกทหารเต็มยศนั่งใส่รองเท้า แม่กำทิชชู่ตาแดงๆ ยืนอุ้มดารณีที่หลับอยู่ ไศลา อรชร สุทธิพงษ์ยืนงัวเงียรอจนพ่อใส่รองเท้าจนเสร็จ พ่อลุกขึ้นมากอดและหอมแม่กับดารณี
“พ่อต้องไปทำงานแล้วนะ เป็นเด็กดีนะทุกคน อย่าให้คุณแม่ต้องเหนื่อยมาก ช่วยกันดูแลคุณแม่ด้วยนะลูก”
อรชรเข้าไปกอดพ่อ
“พ่อไม่ไปไม่ได้เหรอคะ พ่อเพื่อนอรเป็นทหารตั้งหลายคน ไม่เห็นต้องไปอยู่ไกลๆ เลย”
“ไม่ได้หรอกลูก พ่อเป็นทหาร มีหน้าที่รับใช้ชาติ รักษาแผ่นดิน ถ้าทหารเลือกอยู่บ้านกันหมดทุกคน ชาติคงวุ่นวายแย่”
“ถ้างั้นพงษ์ก็ไม่อยากเป็นทหารแล้ว เป็นทหารไม่ดีเลย ต้องไปอยู่ไกลบ้าน”
พ่อดึงสุทธิพงษ์มากอดแล้วสอน
“พงษ์จำคำพ่อไว้นะ ชีวิตของคนเราจะไม่มีค่าเลย หากเราไม่รักชาติ ไม่รักแผ่นดิน เมื่อโตขึ้นไม่ว่าพงษ์จะเป็นอะไรก็ตาม พงษ์ก็ต้องรักและตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด เข้าใจมั้ยลูก”
สุทธิพงษ์เสียงอ่อย
“เข้าใจครับ”
พ่อเข้ามากอดและหอมไศลา
“ไศลาเป็นพี่คนโต ต้องช่วยคุณแม่ดูแลบ้าน ดูแลน้องแทนพ่อนะลูก พ่อรู้ว่าลูกทำได้”
พ่อลูบหัวไศลาแล้วยิ้มให้ ด้วยสายตาที่ภูมิใจในตัวลูกสาวคนโต

หลายวันต่อมา...ไศลาเดินถือแก้วน้ำมาวางบนโต๊ะรับแขกให้พันธ์พงษ์ ทหารรุ่นน้องของพ่อ แล้วเข้าไปนั่งข้างแม่
“แล้วนี่เด็กๆ ไปไหนกันหมดล่ะครับคุณนาย”
“อรกับพงษ์ไปโรงเรียนค่ะ น้องดานอนหลับอยู่ในห้อง ส่วนไศลานี่ พอดีวันนี้โรงเรียนเขาหยุดให้อ่านหนังสือสอบ ก็เลยได้อยู่บ้าน แล้วหมวดพันมาหาฉันถึงบ้าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรคะ”
พันธ์พงษ์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อย หยิบจดหมาย ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้แม่
“ผู้พันฝากจดหมายนี้มาให้ครับ”
แม่รับจดหมายมาคลี่อ่าน
“ถึงแม่และลูกๆ ที่พ่อรักมาก เชื่อมั้ยว่าถึงเราจะเคยบอกลากันมาเป็นร้อยครั้ง แต่พ่อไม่เคยรู้สึกชินเลย ตรงกันข้าม พ่อกลับรู้สึกผิดกับแม่และลูกๆ มากขึ้นทุกครั้ง พ่อต้องขอบคุณแม่กับลูกๆ มากที่อดทนและเข้าใจพ่อมาตลอด ถ้าแม่กับลูกๆ ได้รับจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าพ่อคงไม่ได้กลับบ้านแล้ว...”
แม่เริ่มน้ำตาไหล ตัวสั่น อ่านจดหมายต่อไม่ไหว ต้องยื่นให้ไศลาอ่านแทน
“ฝากแม่ช่วยบอกให้ลูกๆ เข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาทำ บอกลูกๆ ว่าพ่ออยากให้ลูกทุกคนเป็นคนดี ไม่ทรยศ คิดคดโกงชาติ เพราะชีวิตของคนเราจะไม่มีค่าเลย หากเราไม่รักชาติ ไม่รักแผ่นดิน ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เป็นครอบครัวเดียวกันอีก รักแม่และลูกๆ ที่สุด พ่อ”
แม่เป็นลม ไศลากับพันธ์พงษ์เข้าไปช่วยประคอง

พันธ์พงษ์ค่อยๆ วางแม่นอนลงบนหมอน ไศลาช่วยบีบนวดให้แม่ผ่อนคลาย พันธ์พงษ์เห็นไศลาปาดน้ำตาไปนวดแม่ไปก็สงสารลูบหัวปลอบใจ
“คุณพ่อหนูเป็นคนดีมาก หนูต้องไม่ลืมความดีที่ท่านทำนะลูก”
“คุณอาอยู่กับคุณพ่อที่นั่นด้วยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ อาเป็นลูกน้องของคุณพ่อหนู”
“คุณอาช่วยเล่าให้ไศฟังได้มั้ยคะ ว่าใครทำร้ายคุณพ่อ”
“มันเป็นพวกค้ายาเสพติด ไอ้พวกขายชาติ ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หนูต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกยาเสพติดนะลูก จำไว้เลยว่ามันทำให้คุณพ่อไม่ได้กลับบ้าน ถ้าหนูกับน้องๆไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมัน คุณพ่อต้องเสียใจมากแน่ๆ”

ไศลาเหม่อมองบนท้องฟ้าที่เวลานี้ พระอาทิตย์ทอแสงรำไรน้ำตาคลอ
“ไศขอโทษนะคะคุณพ่อคุณแม่ ที่ไศดูแลน้องได้ไม่ดีพอ”
ไศลาเช็ดน้ำตาเตรียมตัวจะนั่งสมาธิรอรับพลังธรรมชาติ เธอหลับตาเข้าสมาธิ จู่ๆ ก็มีลมพัดเย็นมาวูบหนึ่ง ไศลารู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เธอตัดสินใจลืมตาขึ้นมาเห็นพ่อ แม่ยืนมองอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไศลาลุกขึ้นกอดพ่อกับแม่
“คุณพ่อ คุณแม่ ไศขอโทษที่ดูแลอรกับพงษ์ไม่ได้อย่างที่คุณพ่อต้องการ”
พ่อลูบหัวไศลาด้วยความรัก
“ไม่เป็นไรลูก พ่อกับแม่เข้าใจ”
แม่ยิ้มให้กำลังใจ
“ที่ลูกทำมาทั้งหมด ถือว่าดีมากแล้ว เราภูมิใจในตัวลูกมาก”
“ต่อจากนี้ ขอให้ลูกตั้งใจทำหน้าที่ของลูกให้เต็มที่ พ่อกับแม่จะเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอนะ”
ไศลาก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่ด้วยความเคารพรัก เธอเงยหน้าขึ้นมา พ่อกับแม่หายไปแล้ว มีแต่พระอาทิตย์ที่ส่องแสงรำไรอยู่ตรงหน้า ไศลายิ้มตื้นตันที่ได้เจอพ่อกับแม่อีกครั้ง และปมในใจได้ถูกคลี่คลายไปแล้วอีกหนึ่งปม

สถานีขนส่งหมอชิตยามเช้า...ธีรธรยืนหาวและเดินวนเวียนอยู่ในกลุ่มผู้โดยสารที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพ ธีรธรพยายามมองซ้ายมองขวาหาคนที่เขามารอรับ เขาเห็นผู้ชายวัยกลางคนนั่งบนรถเข็นที่เด็กสาวผมยาวแต่งตัวตามสมัยเข็นให้ ธีรธรคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จักสองคนนี้แต่ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้พบกันนาน ธิดารัตน์เห็นธีรธรก็ดีใจโบกไม้โบกมือ
“น้าธีๆ นี่ไก่น้อยเองค่ะ ทางนี้ค่ะ...ทางนี้”
ธีรธรยิ้มรับแล้วเดินเข้าไปหาสองคนพ่อลูกอย่างมั่นใจ
“สวัสดีครับพี่พัน เดินทางเหนื่อยมั้ยครับพี่”
พันธ์พงษ์ยิ้มบางๆ รับไหว้
“ไม่เหนื่อยหรอก แค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร”
ธิดารัตน์ไหว้ธีรธร
“สวัสดีค่ะ น้าธี ไม่เจอกันตั้งนาน น้าธีหล่อขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”
ธีรธรลูบหัวหลานสาวด้วยความเอ็นดู
“ไก่น้อยก็เหมือนกัน ดู...ทะเล้นกว่าเดิมเยอะเลยนะเนี่ย”
ธิดารัตน์หน้างอ

อ่านต่อหน้าที่ 4


กุหลาบไฟ ตอนที่ 4 (ต่อ)

“ทำไมไม่เห็นชมว่าสวยขึ้นเหมือนที่ไก่น้อยชมน้าธีเลยล่ะคะ”
“นี่แสดงว่ามาหลอกชมน้าเพราะอยากโดนชมกลับหรอกเหรอเนี่ย เจ้าเล่ห์นักนะเรา”
“แหม...ก็นิดนึงนะน้าธี เด็กกำลังสวย”
ธีรธรหันไปถามพันธ์พงษ์
“แล้วพี่แก้วล่ะครับพี่พัน ไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ”
“คุณแม่จะขึ้นเครื่องตามมาบ่ายนี้ค่ะน้าธี คุณแม่ฝากบอกน้าธีด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะนั่งแท็กซี่ไปบ้านคุณยายเองค่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไม่มาพร้อมกันล่ะ”
ธิดารัตน์เข้ามาพูดเบาๆ กับธีรธร
“คุณแม่เขาอายไม่อยากเดินทางพร้อมกับคุณพ่อค่ะน้าธี”
ธีรธรฟังเหตุผลจากหลาน แล้วรู้สึกสะท้อนใจกับพฤติกรรมของพี่สาว
“นี่พี่แก้วยังไม่เลิกเป็นแบบนี้อีกเหรอเนี่ย”
ธีรธรหันไปมองพันธ์พงษ์ที่ดูสลดไป เขารีบทำตัวร่าเริง
“งั้นเรากลับบ้านกันดีกว่านะครับพี่พัน มาไก่น้อย เดี๋ยวอาถือกระเป๋าให้เอง”
ธีรธรช่วยหลานสาวถือกระเป๋า แล้วพาสองพ่อลูกเข็นรถไปทางรถที่จอดอยู่

นาถสุดาใส่หมวก ใส่แว่นดำ เดินกางกระดาษที่อยู่ที่ของเทพที่จดมา เดินหาพิกัดที่อยู่ นาถสุดาเงยหน้าขึ้นไปเห็นเป็นคอนโดไฮโซกลางเมือง
“สถานที่ๆอันตรายที่สุด คือสถานที่ๆปลอดภัยที่สุด ยังไม่เลิกเชื่อมุกแบบนี้กันอีกเหรอ”
นาถสุดาจะเดินผ่านประตูกระจกเข้าไปในตึก แต่มี รปภ. มากั้นไว้
“ขอโทษครับผม ที่นี่มีกฎห้ามบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าครับผม”
นาถสุดามองซ้ายมองขวา แล้วตัดสินใจถอดแว่น ถอดหมวกออก
“นี่ฉันเองนาถสุดา ชิดชนก รู้จักมั้ย”
“รู้จักครับผม”
นาถสุดาจะเดินผ่านประตูกระจกเข้าไป รปภ. ยังกั้นไว้ ไม่ยอมให้เข้าไป
“เอ๊ะ...ไหนบอกว่ารู้จักฉันไง”
“แค่รู้จักครับผม แต่ต่อให้เป็นแม่ของ รปภ. ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามเข้าครับผม”
นาถสุดาใส่แว่นใส่หมวกเหมือนเดิม แล้วเปิดกระเป๋าหยิบบัตรประชาชนขึ้นมายื่นให้
“ถ้างั้นฉันขอแลกบัตรได้มั้ย เพื่อยืนยันว่าฉันมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
รปภ. หน้านิ่ง ส่ายหัวแทนคำตอบ นาถสุดาเริ่มถอดใจตัดสินใจวิ่งใช้ตัวกระแทก รปภ. หวังจะหลุดเข้าไปข้างใน แต่ดูเหมือน รปภ.ขี้ก้างจะแข็งแรงมากกว่าที่เธอคิด นาถสุดาใช้ส้นสูงเหยียบลงไปบนรองเท้าของ รปภ. ซ้ำๆ จนเจ็บต้องถอยหนี เธอใช้จังหวะนั้นเข้าไปข้างในตึก รปภ. คว้ากระชากไหล่ของเธอไว้จนเกือบหงายหลัง นาถสุดาหันหลังมาต่อย แต่ รปภ. หลบทันทุกหมัด เธอทำเป็นชกเข้าไปอีกหมัด แล้วเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วจิ้มเข้าที่สองตาของ รปภ. แล้วเสยปลายคางซ้ำไปอีกหมัด รปภ. เซหน้าหงายไป นาถสุดารีบหันหลังจะพุ่งผ่านประตูกระจกเข้าไป
ที่มีมือใหญ่มาคว้าแขนของเธอเอาไว้ นาถสุดาคิดว่าเป็นมือ รปภ. หันมาจะต่อยซ้ำ แต่ต้องตะลึงที่ได้เห็นว่าเจ้าของมือเป็นใคร
“เทพ”

ดุลยศักดิ์นั่งคุยกับโยคีศิลาดำอยู่ในห้องรับแขก
“ไอ้เทพยังไม่ตาย”
โยคีศิลาดำพยักหน้าช้าๆ อย่างเคร่งขรึม
“ยังไม่ตายแล้วทำไมอาจารย์ไม่หาตัวมันมาให้ได้ซะที”
“เหมือนมีอะไรบังตาข้าอยู่ ทำให้ข้าไม่อาจรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
ดุลยศักดิ์โมโห
“อะไรกันวะเนี่ย ลูกน้องมีเป็นร้อยๆ แต่ผู้หญิงคนเดียวก็ยังฆ่าไม่ได้ ตามหาผู้ชายคนเดียวก็หาไม่เจอ ทำไมมันถึงได้มีแต่คนห่วยๆ กันวะ”
โยคีศิลาดำมองหน้าดุลยศักดิ์อย่างอยากรู้ว่าหมายถึงใคร ดุลยศักดิ์ต้องหลบตาอย่างไม่อยากลองเสี่ยงวัดกำลังด้วย

เทพพานาถสุดามาที่ห้องพัก เขาเดินถือแก้วกาแฟมาวางตรงหน้าเธอ วางแก้วกาแฟของตัวเองลงแล้วนั่งลงตรงข้ามกับเธอ เทพนั่งคนกาแฟในแก้วมองนาถสุดาที่นั่งยิ้มจ้องหน้าเขาค้างอยู่อย่างนั้น
“เป็นอะไรไปครับคุณนาถ มองผมจนกาแฟเย็นหมดแล้ว”
นาถสุดาร้องเพลง
“บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกดีใจสักเท่าไหร่ มากแค่ไหนก็ไม่รู้”
เทพส่ายหัวเขินๆ
“คุณกำลังจะรับละครเพลงเหรอครับ”
นาถสุดาหัวเราะ
“ไม่ใช่หรอก ฉันแค่บอกไม่ถูกจริงๆ ว่าดีใจแค่ไหนที่เราได้เจอกันอีก ฉันคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”
นาถสุดายกมือมาจับมือเขาไว้
“ทำไมเทพไม่ส่งข่าวบอกฉันว่าเทพอยู่ที่นี่”
เทพใช้อีกมือมากุมมือนาถสุดาไว้แล้วค่อยๆ ยกมือเธอออกไปวางบนโต๊ะ
“ผมต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง”
นาถสุดาหน้าเสียที่เห็นอาการของเขาแปลกไป
“เทพมีคนอื่นแล้วใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้มีใคร ผมแค่อยากเป็นคนใหม่ อยากมีชีวิตใหม่”
“ชีวิตใหม่ที่ไม่มีฉัน...อย่างนั้นใช่มั้ย”
“คุณนาถ ถึงผมจะอยากมีคุณแค่ไหน ผมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณตามผมมาถึงที่นี่ คุณก็น่าจะรู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”
นาถสุดาเสียงสั่น
“ก็เพราะฉันรู้ไง ฉันถึงไม่อยากจะเริ่มด้วยคำถามที่ว่า ทำไมเทพทำอะไรถึงไม่คิดจะบอกฉันบ้าง”
“ผมก็อยากบอกคุณเหมือนกัน แต่...ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
นาถสุดาลุกขึ้นมาจูบเขาทันที เทพตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นจูบตอบอย่างคุ้นเคย นาถสุดาถอนริมฝีปากแล้วมองตา
“ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่มั้ย”
เทพจูบนาถสุดาแทนคำตอบ ทั้งสองคนนัวเนียกันอย่างมีความสุข

วงทองนั่งคุยอยู่กับธิดารัตน์ในห้องนั่งเล่น ธีรธรนวดแขนนวดไหล่ให้พันธ์พงษ์อย่างไม่รังเกียจ นิ่มนวลเดินนำจันที่ถือถาดขนมเดินมา
“ของว่างมาแล้วค่ะ วันนี้เป็นสาคูไส้หมูกับข้าวเกรียบปากหม้อค่ะ”
“ไก่น้อยกำลังอยากกินอยู่พอดีเลยค่ะ”
“อยากทานก็ทานเยอะๆ เลยนะคะ”
ธีรธรเดินมาหยิบจานของว่างที่เสิร์ฟมาครบคนไปให้พันธ์พงษ์
“ของว่างครับพี่พัน ให้ผมป้อนมั้ยครับ”
พันธ์พงษ์ยื่นมือไปรับจานของว่างจากธีรธรอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับธี พี่ทานเองได้ ขอบคุณมากครับ”
ธิดารัตน์ตักข้าวเกรียบปากหม้อเข้าปาก แล้วทำหน้าตาเหมือนเพิ่งได้กินของอร่อยที่สุดในโลก
“อร่อยมากค่ะ ไก่น้อยชอบมาอยู่บ้านคุณยายที่สุดเลยค่ะ”
วงทองดึงหลานสาวคนเดียวมากอดอย่างรักใคร่
“ชอบแล้วทำไมไม่ย้ายมาอยู่กับยายสักทีล่ะลูก”
“ก็คุณแม่น่ะสิคะ ไก่น้อยขอเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมอนุญาต”
“งั้นเดี๋ยวคราวนี้ยายจะคุยกับแม่เขาให้เอง ยายแก่มากแล้วนะ อยากให้ลูกหลานมาอยู่ใกล้หูใกล้ตาให้จิตใจกระชุ่มกระชวยบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ต้องไม่อนุญาตแน่ๆ เลยค่ะคุณยาย”
“ทำไมล่ะลูก”
“แหม...ก็คุณยายยังไม่เห็นแก่ซะหน่อยเลยนี่คะ”
ทุกคนในวงหัวเราะออกมาพร้อมกัน วงทองถูกใจหอมแก้มหลานรักไปฟอดใหญ่ ขณะเดียวกันนั้นเสียงกมลาก็ดังขึ้น
“หัวเราะอะไรกันดังไปถึงหน้าบ้านเลยคะ นินทาอะไรหนูหรือเปล่า”
กมลาเดินเข้ามากราบที่ตักของคุณนายวงทอง
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
ธีรธรกับนิ่มนวลไหว้สวัสดี กมลารับไหว้ วงทองกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง
“ซูบไปนะแม่แก้ว งานหนักเหรอลูก”
“ก็เหมือนเดิมค่ะคุณแม่ อยู่กับคนไม่ปกติ ทำอะไรมันก็ต้องเหนื่อยเป็นสองเท่า”
กมลาหันไปค้อนสามีที่นั่งรถเข็นจนต้องหลบตา บรรยากาศเริ่มกร่อยลง นิ่มนวลหันไปบอก
“คุณพี่เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ รับของว่างสักหน่อยนะคะ”
กมลารับจานของว่างจากนิ่มนวล
“ดูดีจัง นี่ทำเองหรือว่าซื้อเขากิน ถ้าซื้อพี่ไม่เอานะ...สกปรก”
ธีรธรแอบส่ายหัวในความเรื่องมากของพี่สาว
“นิ่มทำเองค่ะคุณพี่ ทานเยอะๆ เลยนะคะ แล้วคุณพี่มีของอะไรให้เด็กยกไปเก็บที่ห้องมั้ยคะ”
กมลาตักขนมกินไปคุยกับวงทอง ธิดารัตน์และนิ่มนวลอย่างสนุกสนาน ธีรธรหันไปเห็นพันธ์พงษ์กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ

เทพกับนาถสุดานอนหลับกอดกันอยู่บนเตียงนอนอย่างมีความสุข นาถสุดาตื่นก่อนพลิกตัวมานอนมองคนรักที่หลับอยู่ เธอใช้นิ้วไล่วนเล่นไปมาบนใบหน้าของเขา ด้วยความรู้สึกรักผู้ชายคนนี้มาก นาถสุดาเอาปลายผมแหย่บนจมูกของเขาเล่น เทพค่อยๆ ตื่นเพราะโดนแกล้ง เขาเอาคืนด้วยการหอมไปตามที่ต่างๆ บนตัวของเธอ นาถสุดาหัวเราะคิกคัก
เสียงโทรศัพท์ของนาถสุดาดังขึ้น บรรยากาศโรแมนติคชะงัก นาถสุดาดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นหน้าจอ แล้วหันมามองเทพอย่างรู้กัน

เย็นนั้น ธีรธรเข็นรถให้พันธ์พงษ์ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้าน
“แดดยังไม่อ่อนเท่าไหร่ อาจจะร้อนหน่อยนะครับพี่พัน”
“ขอบใจมากนะธี ร้อนนิดหน่อยแค่นี้...พี่ทนได้”
“นี่พี่แก้วยังไม่เลิกนิสัยอารมณ์ร้ายใส่พี่อีกเหรอครับ”
พันธ์พงษ์ก้มมองสองขาของตัวเองที่ใช้การไม่ได้
“เป็นความผิดของพี่เองที่พิการ พี่ทำให้แก้วผิดหวังมาก”
“แต่พี่พันเป็นแบบนี้เพราะไปรบนะครับ พี่พันเป็นถึงฮีโร่ของชาติ”
พันธ์พงษ์ยิ้มขื่นๆ
“แต่ก่อนพี่ก็ภูมิใจแบบนั้นนะ แต่พอนานไป...ชักอยากจะเป็นแค่ฮีโร่ในบ้านเหมือนกัน”
ธีรธรตบไหล่ให้กำลังใจพันธ์พงษ์
“อย่าคิดมากพี่ ผมคนหนึ่งล่ะที่นับถือหัวใจลูกผู้ชายของพี่มาก”
พันธ์พงษ์พยักหน้ายิ้มอย่างชื่นใจ และซึ้งใจในน้ำใจของธีรธร

นิ่มนวลรอจดรายการอาหารจากกมลาว่าเย็นนี้อยากกินอะไร
“คุณแม่ทานอะไรดีคะ มื้อเย็นเน้นเบาๆ เพื่อสุขภาพแล้วกันนะคะ ของคุณแม่เป็นสลัดผลไม้ ส่วนพี่ขอเป็นหมึกไข่นึ่งมะนาว ปูทะเลผัดผงกะหรี่ เอาตัวใหญ่ๆ เลยนะน้องนิ่ม”
มือนิ่มนวลจดรายการ แต่สายตาคอยมองออกไปที่ระเบียงดูธีรธรคุยกับพันธ์พงษ์ สายตาของเธอมองธีรธรอย่างชื่นชมและรักใคร่ กมลาจับสังเกตอาการของนิ่มนวลได้สะกิดให้วงทองดูอาการของนิ่มนวล ทั้งคู่ยิ้มสบสายตาอย่างรู้ใจกัน
“คุณแม่คะ เมื่อไหร่คุณแม่จะจัดการเรื่องตาธี กับน้องนิ่มให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียทีล่ะคะ”
นิ่มนวลตกใจที่ได้ยินกมลาพูดแบบนั้น
“จัดการอะไรกันคะพี่แก้ว นิ่มกับพี่ธีเป็นเหมือนพี่น้องกันมากกว่านะคะ”
“ก็แล้วทำไมไม่ทำให้มันมากกว่าเสียทีล่ะคะน้องนิ่ม ใช่มั้ยคะคุณแม่”
วงทองมองหน้านิ่มนวล
“หนูนิ่มรังเกียจพี่ธีเขาหรือเปล่าล่ะลูก”
นิ่มนวลเขิน
“คุณป้ากับพี่แก้วต้องถามพี่ธีมากกว่ามั้ยคะว่า พี่เขารังเกียจนิ่มหรือเปล่า”
“ทำไมพี่ธีจะต้องรังเกียจน้องนิ่มด้วยล่ะจ๊ะ อยู่กันมาตั้งนมนาน พี่ก็ไม่เคยเห็นว่าพ่อธีจะมีใครหรือสนิทกับผู้หญิงที่ไหนมากกว่าน้องนิ่ม จริงมั้ยคะคุณแม่”
วงทองยิ้มพยักหน้าแทนคำตอบ
“ถ้าเป็นแบบนี้สบายมาก เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่างให้เอง”
นิ่มนวลก้มหน้ามองพื้นด้วยความเขินแต่มีความสุข

ดุลยศักดิ์ โยคีศิลาดำ ชูชิตนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก นาถสุดาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง
“เดี๋ยวนี้มาสายบ่อยนะครับคุณนาถ” ชูชิตหันไปเหน็บแนม
นาถสุดาหันไปค้อน
“ฉันติดถ่ายละครอยู่นอกเมือง ใครจะว่างนั่งหายใจทิ้งไปวันๆได้เหมือนนายล่ะ”
ชูชิตขยับจะเถียง แต่ดุลยศักดิ์ตัดบทซะก่อน
“เอาล่ะ...ที่ฉันเรียกทุกคนประชุมวันนี้ เพราะมีอยู่ 2 เรื่องที่อยากจะบอก”
นาถสุดากับชูชิตตั้งใจฟัง สิ่งที่ดุลยศักดิ์กำลังจะบอก
“เรื่องแรกคือเรื่องของนังไศลา”
นาถสุดาแอบส่งสายตาเยาะเย้ยให้ชูชิต
“นาถสุดากับชูชิต ใครจะรับหน้าที่ส่งคนไปฆ่ามันทิ้ง”
นาถสุดารีบยกมือขึ้นก่อน ชูชิตรีบขัดแล้วนำเสนอ
“นายครับ แต่ไศลาตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมแล้วนะครับ ทำไมเราไม่ดึงไศลาให้มาเป็นพวกของเราแล้วใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ บางทีเราอาจจะย้อนรอยไอ้ตำรวจที่จ้องจะเล่นงานเรา หรือเอามันมาเป็นพวกอีกคนก็ยังได้”
นาถสุดาแย้ง
“แล้วนายแน่ใจเหรอว่า จะสามารถทำให้ไศลาเปลี่ยนใจได้”
ชูชิตมองนาถสุดาอย่างกวนๆ
“แหม...ของแบบนี้ วัวเคยค้า ม้าเคยขี่ คุณนาถก็น่าจะรู้ดี...ใช่มั้ยครับ”
นาถสุดาฟึดฟัด ดุลยศักดิ์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“อาจารย์คิดว่ายังไง”
นาถสุดาพยายามส่งสัญญานบอกว่าไม่ แต่โยคีศิลาดำไม่สังเกต
“ก็เป็นแผนที่น่าสนใจนะ”
“ตกลงตามนั้น ชูชิตนายรับหน้าที่จัดการเรื่องนี้นะ”
“ได้ครับผม”
ชูชิตหันไปยักคิ้วให้นาถสุดากวนๆ

ธีรธรกับทุกคนในบ้าน นั่งทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ธิดารัตน์หันมาหาถาม...
“น้าธีคะ พรุ่งนี้พาไก่น้อยไปเที่ยวหน่อยได้มั้ยคะ”
กมลาปราม
“ไก่น้อย จะไปกวนน้าธีได้ยังไง น้าธีเขาต้องทำงานนะคะลูก เรานี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ”
ธิดารัตน์หน้าเจื่อนที่ถูกแม่ว่าต่อหน้าคนอื่น
“ไม่เป็นไรครับพี่แก้ว ช่วงนี้งานผมไม่ค่อยยุ่ง อีกอย่างผมก็ตั้งใจอยากจะพาหลานไปเที่ยวอยู่แล้ว”
ธิดารัตน์ดีใจ
“ขอบคุณมากนะคะน้าธี”
กมลานึกอะไรขึ้นมาได้ รีบบอก
“งั้นก็พาน้องนิ่มไปด้วยกันสิ นานๆ น้องนิ่มจะได้พักผ่อนเปิดหูเปิดตาสักที”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่แก้ว ถ้านิ่มไปแล้วใครจะดูแลคุณป้าล่ะคะ”
นิ่มนวลแสร้งเกรงใจ กมลาเสนอทันที
“เรื่องคุณแม่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ดูแลเอง น้องนิ่มไปเที่ยวพักผ่อนให้สบายใจเถอะ”
ธีรธรเห็นด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะนิ่ม พี่ไม่เห็นนิ่มออกไปเที่ยวนานแล้ว ถือโอกาสนี้พักบ้างก็ดี”
กมลาสะกิดแขนนิ่มนวลอย่างรู้กันกระซิบกระซาบ
“โอกาสดีแบบนี้ ต้องใช้ให้คุ้มนะจ๊ะน้องนิ่ม”
นิ่มนวลเขินก้มหน้ายิ้มแย้ม

ดุลยศักดิ์บอกกับทุกคนถึงแผนต่อไป...
“สำหรับเรื่องที่สอง คือเรื่องการนัดส่งสินค้าล็อตใหญ่เดือนหน้า ฉันกับอาจารย์คุยกันแล้วคิดว่าเราน่าจะนัดส่งมอบสินค้าในงานหมั้นของชูชิตกับนาถสุดา”
ชูชิตกับนาถสุดาตะลึง
“หมายความว่าผมกับนาถสุดาจะต้องหมั้นกัน”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าชูชิต”
“อ๋อ...เปล่าครับ แค่อยากยืนยันความถูกต้อง”
“นาถสุดาดูเรื่องนักข่าว ทำให้คนในงานเยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชูชิตนายจัดการเรื่องความสะดวกปลอดภัยของสินค้างาน ส่วนอาจารย์จะเป็นคนดูแลเรื่องที่เหนือความคาดหมายทั้งหมด ทุกคนเห็นว่าไง”
นาถสุดา ชูชิตลำบากใจ แต่จำต้องพยักหน้ารับ

สาย วันใหม่...ธีรธรพานิ่มนวลกับธิดารัตน์มาเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้า ธิดารัตน์เดินมองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ไก่น้อย ทำไมถึงเฉพาะเจาะจงว่าอยากให้น้าพามาที่นี่ล่ะ” ธีรธรหันมาถามหลานสาว
“ไก่น้อยอยากเล่นไอซ์สเก็ต”
ธีรธรพาธิดารัตน์ไปที่ลานไอซ์สเก็ต พร้อมทั้งจัดอุปกรณ์และเสื้อผ้าให้หลานรักครบชุด แล้วพามาส่งลงลานสเก็ต
“น้าธีไม่ลงมาเล่นกับไก่น้อยจริงๆ เหรอ”
ธีรธรส่ายหัว
“แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนน้านิ่มล่ะ”
“อยากอยู่เป็นเพื่อน หรืออยากอยู่เป็นแฟนน้านิ่มกันแน่”
ธีรธรเอามือเขกหัวหลานสาวเบาๆ ไปหนึ่งที นิ่มนวลยิ้มเขินๆ ยืนตัวสั่นด้วยความหนาว
“ไก่น้อย เดี๋ยวน้าพาน้านิ่มไปรอข้างนอกดีกว่านะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ธิดารัตน์มองเห็นอาการของนิ่มนวลแล้วก็พยักหน้า
“โอเค เดี๋ยวไก่น้อยเล่นเสร็จจะโทรหาน้าธีนะ”
ธีรธรเดินออกไปกับนิ่มนวล
“เดี๋ยวเราออกไปหาร้านนั่งรอไก่น้อยข้างนอกดีกว่านะ นิ่มอยู่ในนี้ไม่ไหวหรอก”

ธิดารัตน์ลองหัดเดินอยู่แถวริมขอบลานสเก็ตอย่างงกๆ เงิ่นๆ แกงค์วัยรุ่นอีกฝั่งของลานไอซ์คอยจับตามองดูพร้อมทั้งซุบซิบกันตลอดเวลา
ธีรธรเดินนำนิ่มนวลออกมาจากลานไอซ์ เขาเดินเร็วมากจนนิ่มนวลตามไม่ทันพยายามเร่งฝีเท้าก้าวตามจนกลายเป็นก้มเดินตามงุดๆ ไม่ได้มองอะไร ธีรธรหยุดเดินหันมาหานิ่มนวลเดินชนเข้าจังๆ เพราะเขาหยุดแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า นิ่มนวลเซหงายหลังจะล้มลง ธีรธรรีบเข้าไปประคองไว้ทัน ใบหน้าทั้งสองคนใกล้ชิดกัน นิ่มนวลเขินจนหน้าแดงก่ำ ธีรธรรีบปล่อยมือ เมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดีแล้ว
“เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ”
ธีรธรเดินนำนิ่มนวลไปเหมือนเคย

ธิดารัตน์ค่อยๆ เดินเกาะขอบบ่อหัดเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สุทธิพงษ์เล่นไอซ์อยู่แถวนั้น แก๊งวัยรุ่นอีกฝั่งของลานไอซ์เดินตรงเข้ามาหาธิดารัตน์
“เล่นคนเดียวเหงามั้ยน้อง ให้พวกพี่ช่วยสอนดีกว่ามั้ยจ๊ะ”
ธิดารัตน์เดินเกาะรั้วหนีไปทางซ้ายก็โดนดักไว้ เธอเดินเกาะรั้วหนีไปทางขวาก็โดนดักไว้ ธิดารัตน์รู้สึกตัวอีกทีก็โดนแก๊งวัยรุ่นล้อมหน้าล้อมหลังไว้หมดแล้ว
“แต่ไม่ได้สอนฟรีนะ คิดค่าสอนตามกำลังที่จะออกให้ก่อน”
วัยรุ่นถือวิสาสะจับมือธิดารัตน์ที่เกาะขอบบ่อออกมากุมไว้ เธอสะบัดมือออกจากมือของวัยรุ่นคนนั้น
“อย่าเล่นตัวเลยน้อง สนุกด้วยกันดีกว่า”
แก๊งวัยรุ่นช่วยกันดึงธิดารัตน์ออกมาจากรั้วที่เกาะอยู่แล้วพยุงไปกลางลาน ธิดารัตน์อยากจะหนีแต่ทำอะไรไม่ได้ มือของวัยรุ่นใช้จังหวะหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ สุทธิพงษ์ที่เล่นวนเวียนอยู่ไม่ไกลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ไม่อยากยุ่ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่ทำอะไรไม่ถูกของธิดารัตน์แล้วถึงกับต้องเปลี่ยนใจ สุทธิพงษ์ตรงเข้ามาแหวกกลางวงที่แก๊งวัยรุ่น

จบตอนที่ 4

กำลังโหลดความคิดเห็น