ข้อความในรูปแบบนวนิยายจากบทโทรทัศน์ เรื่อง "3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว" และรูปภาพในเว็บไซต์ "ละครออนไลน์" เป็นลิขสิทธิ์ถูกต้องที่ บริษัท ไทยเดย์ด็อทคอม จำกัด ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่จากผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ บริษัทผู้ผลิต และสถานีโทรทัศน์ หากบุคลผู้ใด นำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด ไปเผยแพร่ ในเว็บไซต์, บล็อกส่วนตัว ฯลฯ หรือในรูปแบบใดๆ จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทันที
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 2
เวลาผ่านมาอีกเล็กน้อย มีคณากลับเข้าห้องนอนเก่าของตัวเอง เธอทิ้งตัวนั่งลงที่เตียงอย่างเหนื่อยใจ เธอฉุกนึกขึ้นได้ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วบ่นพึมพำ ขณะหาเบอร์
"ต้องเมมเบอร์เอาไว้ จะได้ไม่ต้องรับสาย"
มีคณาเจอเบอร์ของหิรัณย์ที่เพิ่งโทรหาล่าสุด ก็จัดการกดบันทึกเบอร์เข้าโฟนบุ๊ก เธอพิมพ์ชื่อเจ้าของเบอร์เอาไว้ว่า "ขยันยิ้ม"
มีคณากดเมมเบอร์เสร็จก็ถอนใจส่ายหน้า มีผู้ชายสองคนเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเธอพร้อมๆกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีคณาอาบน้ำแต่งตัวจะไปทำงานเรียบร้อย เธอเดินลงมาที่โถงบ้าน มองไปที่โต๊ะกลางโซฟา เห็นจดหมายของเธอถูกแกะเปิดอ่านจดหมดทุกซองวางอยู่ เธอเดินเข้าไปนั่งหยิบดู ด้วยหน้าตาไม่พอใจมาก
บานเช้าเดินหน้าไม่สบายใจลงมาจากชั้นบน
"แม่เอาจดหมายจากตู้เข้าบ้านเหรอคะ"
"ไปรษณีย์มาส่งเมื่อวาน แม่ออกไปรับเอง ทำไมเหรอ"
มีคณาโชว์จดหมายให้ดู
"จดหมายมี่ถูกแกะอ่านทุกซองเลย"
"แม่ไม่ได้อ่านนะลูก"
"มี่ไม่ได้ว่าแม่ค่ะ มีคนเดียวที่ทำเรื่องเสียมารยาทแบบนี้ได้"
"หลานมันคงไม่ได้ตั้งใจ"
"แม่เลิกออกรับแทนติซักทีได้มั้ยคะ"
บานเช้าแหยไป
"ติเสร็จรึยังคะ นี่สายมากแล้วนะคะ"
บานเช้าหน้าเจื่อนปนจ๋อย
"คือหลาน..."
"อย่าบอกนะคะว่ายังไม่ตื่น"
"แม่ว่าหลานเพิ่งเดินทางมาถึงเหนื่อยๆ ให้หลานพักผ่อนก่อนดีมั้ยลูก"
"ไม่ดีหรอกค่ะแม่ เพราะแม่ตามใจหลานแบบนี้ไงคะ ติถึงได้ไม่มีระเบียบวินัย เอาแต่ใจตัวเอง"
"แม่ปลุกมันแล้ว แต่มันไม่ไหวจริงๆ"
"ตกลงติยังนอนหลับอยู่ใช่มั้ยคะ"
บานเช้าพยักหน้ารับอย่างจ๋อยๆ มีคณาถอนใจออกมา เดินหัวเสียหน้าตาบึ้งตึงกลับขึ้นบ้านไปเอาเรื่อง บานเช้ารีบตามขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง
"ใจเย็นๆ นะมี่ พูดดีๆ กับหลานนะลูก"
มีคณาเปิดประตูห้องนอนใหญ่เข้ามา เห็นสันติยังนอนคุดคู้สบายอยู่บนเตียง เธอตรงเข้าไปกระชากผ้าห่มออก
"ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ"
สันติหงุดหงิดดึงหมอนมาปิดหน้า เธอกระชากหมอนออกอีก
"ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนเดี๋ยวนี้เลย"
สันติลุกขึ้นนั่ง งัวเงีย โวยวาย
"คนมันเหนื่อยไม่เข้าใจมั่งรึไง ไปเรียนไม่ไหวหรอก"
บานเช้ารีบเข้ามาช่วยหลาน
"ที่จริงนี่มันก็วันศุกร์แล้วนะมี่ ให้ติมันปรับตัวอีกหน่อย วันจันทร์ค่อยไปเรียนก็ได้"
"นี่เค้าเปิดเรียนกันมาตั้งเท่าไหร่ แค่นี้ก็เรียนตามเค้าไม่ทันอยู่แล้ว ยังจะมาขี้เกียจอยู่ได้ ลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ"
"ไม่อาบ ไม่ไป"
"ได้ เมื่อคืนแค่ล้างปากเน่าๆ เช้านี้ป้าจะอาบน้ำให้เอง ไม่อายก็ตามใจ"
สันติหน้าตาตกใจเมื่อเห็นมีคณาเอาจริง เธอจู่โจมเข้าหา
"ถอดเสื้อเดี๋ยวนี้เลย"
สันติโดดหนีวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที เพราะเริ่มโตเป็นหนุ่ม รู้สึกอาย มีคณาตามไปทุบประตูห้องน้ำโครมๆ ก่อนตะโกนเข้าไป
"ป้าให้เวลา 15 นาทีเข้าใจมั้ย"
ผ่านเวลาซักครู่ มีคณาหน้าบึ้งตึงเดินนำหลานชายกับแม่เดินมาตามซอยจนมาถึงหน้าโรงเรียน...สันติถือถ้วยใส่โอวัลตินมือหนึ่ง อีกมือถือขนมปังปิ้งเดินทานมาโรงเรียนเพราะสายมากแล้ว
"บ้านอยู่ใกล้แค่นี้ มาไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ น่าอายมั้ยล่ะ"
"ใครจะอายก็อายไป" สันติกัดขนมปังปิ้งกินจนหมดชิ้นไป
"เจ้าติเอ๊ย เถียงคำไม่ตกฟากเลยลูก เงียบๆมั่งก็ได้ จะได้ไม่ต้องมีเรื่อง"
มีคณาหยุดเดินหันกลับมาถามพร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย
"ติเคยได้ค่าขนมเท่าไหร่"
สันติหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อยรีบบอก
"50 บาท"
บานเช้าเหลือบตามองหน้าสันติที่โกหกคำโต
"มากไปหน่อยมั้ง เท่าที่ป้ารู้มา ติเอาปิ่นโตไปโรงเรียนไม่ใช่เรอะ"
"กินปิ่นโตก็ต้องกินขนมด้วย ย่าให้วันละ 50 ใช่มั้ยย่า"
บานเช้าอึกอัก
"ป้าให้ได้แค่ 30 เท่านั้นล่ะ"
สันติต่อรอง
"อะไรกัน ไม่พอกินหรอก 40"
"30 ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา"
มีคณาหยิบเศษเหรียญ10บาท 3เหรียญมายัดใส่มือสันติ
สันติจำต้องยอมรับไป ดีกว่าไม่ได้เงิน
"ป้าแก่ขี้งก"
ขาดคำ หลานชายตัวดีก็สาดโอวัลตินในแก้วที่เหลือใส่มีคณา แล้ววิ่งหนีเข้าโรงเรียนไป
มีคณาเสื้อเปื้อนไปหมด อึ้งจนพูดไม่ออก
"ตายแล้ว"
มีคณามองตามสันติเข้าไป สีหน้าเจ็บใจปนโกรธมาก สันติหันมามองยิ้มกวนๆ แล้ววิ่งหนีไปที่ตึกเรียน เธอได้แต่ถอนใจพรวดออกมา บานเช้าหน้าแหยบอก
"เปื้อนหมดแล้ว เจ้าตินี่จริงๆเลยนะ เดี๋ยวเย็นนี้ แม่จัดการให้เอง มี่รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะลูก เดี๋ยวไปทำงานสายนะ"
มีคณาจะเดินกลับไปบ้าน บานเช้าพูดเปรยออกมา
"ไม่รู้ว่าติมันจะพอกินรึเปล่านะมี่ กรุงเทพของแพงจะตายไป"
มีคณาหยุดกึก หันมาพูดกับแม่
"พอซะยิ่งกว่าพอค่ะแม่ อาหารในโรงเรียนเค้าควบคุมราคา แล้วก็แค่อาหารกลางวัน เย็นก็เดินกลับไปกินบ้าน ใกล้แค่นี้เอง อยากกินอะไรบอก เดี๋ยวมี่จะซื้อมาทิ้งไว้ให้"
บานเช้าปั้นยิ้มบอก
"ก็ดีจ้ะ"
"ติมาอยู่กับมี่ จะต้องประหยัด รู้จักค่าของเงิน พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง มี่จะให้ติทำงานพิเศษ"
บานเช้าตกใจ
"จะดีเหรอมี่ ติอายุแค่นี้เอง"
"ดีแน่นอนค่ะ ติต้องถูกปลูกฝังความคิดใหม่ ผู้ชายต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ไม่ใช่เอาเปรียบผู้หญิง เกาะผู้หญิงกินเหมือนปู่ เหมือนพ่อเค้าทำกับแม่ กับเมีย กับน้องสาวลูกสาวของเค้า"
มีคณาสีหน้าเจ็บแค้นชิงชังจนน้ำตาท่วมตา บานเช้าเงียบกริบ เข้าใจความรู้สึกของลูกสาว จนอยากจะเอื้อมมือไปจับแขนลูกสาวเพื่อปลอบประโลม แต่เป็นจังหวะที่มีคณายกมือขึ้นยกแว่นซับน้ำตาพอดี
"มี่กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อนนะคะ" มีคณาตัดบทเดินหงุดหงิดหัวเสียกลับเข้าซอยไปบานเช้ามองตามด้วยความเข้าใจและสงสาร
เวลากลางวัน ภายในห้องกาแฟ กองบรรณาธิการสยามสาร มีคณาหนีบโทรศัพท์เข้าที่หู กดน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟคุยกับสาระวารีอยู่
"ฉันก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเธอหรอกวารี ใครจะไปคิดว่า ตาสารวัตรที่เจอฉันฟาดสองครั้งซ้อนจะเป็นคนเดียวกัน"
มีคณานั่งลงพร้อมคนกาแฟในถ้วย
"แล้วงานแฟชั่นโชว์ราบรื่นดีมั้ย"
"ก็โอนะ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด หรือมัวแต่อายตาสารวัตรนั่นอยู่ก็ไม่รู้ รู้สึกหน้าแตกอย่างแรง"
"เค้าชื่ออะไรเหรอ"
"จะไปอยากรู้จักชื่อเค้าทำไมล่ะ แล้วโทรหามัทรึยัง น้องได้โทรศัพท์คืนแล้วนะ นายตวันยึดไป
" มีคณาตัดบท
"ยัง...งอน ไม่โทรมาก่อนก็ไม่โทรไปหรอก"
"ประสาท แค่นี้แหละไปทำงานต่อแล้ว" มีคณาฟังเพื่อนก่อนรีบปฏิเสธ
"พอเลย ขออย่าต้องวนมาเจอกันอีกเลย ย่ะ"
มีคณากดตัดสาย เดินยกถ้วยกาแฟจะออกไปจากห้อง นักข่าวรุ่นน้องเดินเข้ามาหา
"พี่มี่คะ มีเมสเซนเจอร์เอามาฝากให้พี่ค่ะ"
นักข่าวรุ่นน้องส่งซองให้ เธอรับไว้
"จากไหนเรอะ"
"กบก็ไม่ทันได้ถามน่ะค่ะ พอดียุ่งๆ อยู่"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ขอบใจมากนะ"
มีคณาวางถ้วยกาแฟลง แล้วแกะซองออกดูพบว่า เป็นรูปถ่ายจำนวนหนึ่ง เธอคลี่ออกดูภาพต่างๆ ยิ้มพอใจ ภายในซอง มีจดหมายฉบบับหนึ่งแนบมาด้วย เธอเก็บรูปทั้งหมดเข้าซอง แล้วนั่งลงอ่านจดหมายอย่างอยากรู้
"เห็นคุณรีบออกจากงาน เลยเก็บภาพที่คุณคงไม่มีมาฝากเผื่อจะได้ใช้งาน"
มีคณาเผลอยิ้มออกมา
ย้อนไปเมื่อช่วงเช้า สารวัตรหิรัณย์ยิ้มแย้มนั่งเขียนการ์ดถึงมีคณาอยู่ที่โต๊ะทำงาน...รูปงานแฟชั่นการกุศลจากเมื่อคืน วางกระจายอยู่รอบโต๊ะทำงาน
"ถึงงานจะวุ่นวายไปหน่อย แต่ผลออกมาคุ้มค่าจริงๆนะครับ ถ้าอยากตาม เรื่องต่อว่าทาง
หน่วยงานของเราจะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง โทรหาผมนะครับ ตำรวจยินดีบริการประชาชนเสมอ"
มีคณาเบ้ปากทันทีที่อ่านข้อความจบ พึมพำกับตัวเอง
" อยากรู้นักว่าถ้าฉันไม่ใช่นักข่าว จะยินดีบริการขนาดนี้รึเปล่า"
มีคณาเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อย
เวลาบ่าย มีคณานั่งลงที่หน้าไชยวัฒน์ที่กำลังเช็กงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องทำงาน
"ตอนนี้งานคุณมีอะไรมั่งมี่ ข่าวแฟชั่นเมื่อวานส่งมาแล้วนี่"
"ค่ะ ข่าวสั้นๆ ก็เลยเร็วหน่อย ตอนนี้เหลือแค่เรื่องเด็กถูกทารุณกรรมเรื่องเดียว ถ้าไม่มีงานอื่นแทรก วันจันทร์ก็น่าจะส่งได้"
"พี่ว่าพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า มีแต่เรื่องเด็กถูกทารุณ 2 เรื่องซ้อนเลย หดหู่เกินไป เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีนะ"
"เดี๋ยวมี่จะลองหาดูค่ะ"
"เอ้อ เมื่อคืนมี่เจอกับผู้การพิรุณแล้วใช่มั้ย"
"ค่ะ ผู้การยังชวนมี่ไปทำข่าวที่หน่วยพิเศษของท่านเลยค่ะเห็นว่า มีอะไรสนุกๆ น่าสนใจเยอะ"
"ไม่เลวนะ ลองไปคุยกับท่านดู จับประเด็นทำมาซักชิ้นดีมั้ย จะได้เบรกข่าวเศร้าๆ ของคุณบ้าง"
"บอกอต้องการต้นฉบับเมื่อไหร่คะ"
"อาทิตย์หน้าไหวมั้ยล่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีข่าวอะไรเด่นๆเลย ข่าวคาสิโนของวารีคงเสร็จไม่ทันแน่ๆ"
"มี่จะลองติดต่อไปก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าได้ก็จะรีบไปสัมภาษณ์แล้วเขียนข่าวส่งเลย"
ไชยวัฒน์ยิ้มแย้มยก 2 นิ้วแม่โป้งยื่นใส่ให้มีคณา
ผ่านเวลาเล็กน้อย ที่โต๊ะทำงานของมีคณา โทรศัพท์มือถือขึ้นชื่อ “ขยันยิ้ม” เจ้าของหมายเลขที่มีคณาตั้งใจจะโทรออกเอาไว้ เธอตัดสินใจกดโทรออกแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงแจ่มใส อารมณ์ดีของหิรัณย์กระแทกเข้าหูมาทันที
"สวัสดีครับ"
มีคณาตกใจเล็กน้อย ที่ปลายสายตอบกลับมาเร็วมาก
"สวัสดีค่ะสารวัตร ดิฉัน..."
หิรัณย์คุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โต๊ะทำงานซึ่งรกไปด้วยงานเอกสาร
"สวัสดีครับ คุณนักข่าวอดีตรัฐมนตรีหญิง"
คำทักทายทำให้เธอหน้าหงิกงอ ไม่ตลกด้วย
"ใจเราตรงกันจริงๆ เลย ผมกำลังจะกดโทรศัพท์ไปหาคุณอยู่พอดี"
ผ่านเวลา 1-2 ชั่วโมง มีคณารีบพิมพ์งานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ พลางนึกถึงเรื่องที่คุยโทรศัพท์กับหิรัณย์
"สารวัตรมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ"
"ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากโทรมาเช็กว่า คุณมี่ได้รับภาพงานเมื่อคืนที่ผมส่งไปให้แล้วรึยัง"
เวลาเดียวกัน หิรัณย์รีบจัดโต๊ะทำงานที่แสนรกด้วยเอกสารต่างๆ ของตนเป็นการใหญ่ เสียงสนทนาของมีคณาจากโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามา
"ได้แล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ หนังสือออกเมื่อไหร่จะส่งไปให้ค่ะ"
" ยินดีที่ได้รับใช้ครับ โอกาสหน้าถ้าคุณมี่มีอะไรให้ช่วยก็เชิญเรียกใช้ได้นะครับ ไม่ว่าจะในฐานะนักข่าวหรือประชาชน ถ้าช่วยอะไรได้ ผมเต็มใจช่วยครับ" หิรัณย์ตอบด้วยรอยยิ้มกริ่ม
มีคณาออกมาจากลิฟท์ เดินออกไปหน้าประตูสยามสาร
"คงไม่รอโอกาสหน้าหรอกค่ะ ขอเป็นโอกาสนี้เลยได้มั้ยคะ"
หิรัณย์คุยมือถือด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
"มีปัญหาอะไรเหรอครับคุณมี่"
หิรัณย์จัดโต๊ะจนเกลี้ยง เอกสารทั้งหมดลงไปกองอยู่ใต้โต๊ะแทน
"ไม่ใช่ปัญหาค่ะ แต่เป็นข้อมูล ก็ที่ผู้การพิรุณแนะนำไว้น่ะค่ะ บอกอท่านสนใจ เลยอยากทราบว่าคุณมีประเด็นอะไรน่าสนใจให้ทางสยามสารทำข่าวได้บ้าง เป็นสกู๊ป หรือบทความก็ได้ค่ะ"
หิรัณย์ ตื่นเต้นดีใจ
"เยอะแยะหลายประเด็นเลยครับ"
มีคณาเดินออกจากสายามสารมายืนรอรถเมล์ที่ป้าย ขณะโบกรถเตรียมจะขึ้น
"แล้วถ้าจะขอสัมภาษณ์สารวัตรประกอบด้วยได้มั้ยคะ"
" ด้วยความยินดีเลยครับ คุณอยากจะได้ข้อมูลเมื่อไหร่ล่ะ"
หิรัณย์ส่องกระจกเสริมหล่ออยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะเอาสเปรย์ดับกลิ่นปากมาฉีดเข้าปาก 2-3 ที ให้หอมยามที่ต้องให้สัมภาษณ์ เสียงมีคณาบอกขณะคุยโทรศัพท์ว่า
"เร็วที่สุดเท่าที่สารวัตรสะดวกน่ะค่ะ"
"งั้นวันนี้เลยเป็นไง ผมว่าง"
"ฉันไปถึงที่ทำงานสารวัตรซัก 4 โมงเย็นได้มั้ยคะ" น้ำเสียงมีคณาบ่งบอกถึงความดีใจมาก
"มาได้เลยครับ ผมจะรอ"
หิรัณย์มองตัวเองแล้วยิ้มหวานให้กระจก
เวลาเย็นตามนัดหมาย มีคณาเดินมาหยุดที่หน้าบ้านสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูน มีคนที่เดินเข้าออกแต่งตัวเหมือนพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป มากกว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานพิเศษของราชการ เธอบ่นพึมพำ
"มาผิดที่รึเปล่าเนี่ย"
เธอหยิบโน้ตที่จดมา เช็กดูกับเลขที่บ้านที่จดไว้ เมื่อเห็นว่าตรงกันจึงตัดสินใจเดินเข้าไป
มีคณาเดินเข้ามาในบ้านอย่างเก้ๆ กังๆ โถงเป็นห้องรับแขกเล็กๆ มีโซฟารับแขกพอนั่งได้ 3-4 คน
พนักงานต้อนรับเป็นหญิงสูงวัยใส่ชุดสูทสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ที่มุมห้อง มีบัตรประจำตัวห้อยคอเหมือนพนักงานทั่วไปด้วย
"มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ"
"สวัสดีค่ะ ฉันเป็นนักข่าวจากสยามสาร นัดกับสารวัตรหิรัณย์เอาไว้"
"สารวัตรคงอยู่ที่โต๊ะมั้งคะ เชิญเลยค่ะ ขึ้นบันไดไป โต๊ะสารวัตรอยู่ซ้ายมือในสุด"
"ไม่ต้องแลกบัตรเหรอคะ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ หน่วยงานเราเล็ก ใครทำอะไรเห็นหมด ไม่ต้องรักษาความปลอดภัยเข้มงวดหรอกค่ะ"
มีคณายิ้มเกรงใจบอก
"งั้นฉันขึ้นไปเลยนะคะ"
"เชิญค่ะ"
มีคณามองไปทางบันไดบ้านแล้วค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป
ชั้นบนมีโต๊ะประชุมยาว และกั้นห้องทำงานส่วนตัวแค่ห้องเดียวของผู้การพิรุณ พื้นที่ส่วนที่เหลือก็อัดแน่นไปด้วยตู้เอกสารและโต๊ะทำงาน ประมาณ 10 โต๊ะ เธอพูดพึมพำบอกตัวเอง
"ขึ้นมาโต๊ะซ้ายมือสุด"
เธอมองไปทางซ้ายมือสุด บนโต๊ะตัวนั้นเกลี้ยงสะอาดไม่มีเอกสารรกเลอะเทอะอยู่เลย ทั้งยังไม่มีหิรัณย์นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยเธอเดินกวาดตามองลึกเข้าไป จนเห็นหิรัณย์ยืนหันหลังคุยกับ ร.ต.อ.วิมลินอยู่ มีคณาผงะ จำผู้หญิงหน้าดุคนนี้ได้แม่นยำ วิมลินมองเลยมาที่มีเธอ ใบหน้านิ่ง ฉายแววตาดุ
หิรัณย์หันมองตามสายตาของผู้หมวดสาว
"อ้าวคุณมี่"
มีคณายกมือไหว้ตามมารยาท เขารับไหว้ แล้วรีบมาเทกแคร์
"เชิญนั่งก่อนครับ"
เขาเดินไปพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน หิรัณย์ยิ้มแย้มชวนคุย
"ที่ทำงานผมหายากมั้ยครับ"
"ไม่หรอกค่ะ ผู้การพิรุณไม่อยู่เหรอคะ"
"ไม่อยู่ครับ ตำรวจอีกกว่าครึ่งก็ไม่อยู่ ไปทำงานแฝงตัวตามที่ต่างๆ เหลือแต่ผมกับหมวดดาว"
มีคณาเหลือบตาไปมองวิมลินที่ยืนกอดอกจับตามองมาอยู่ คราวนี้ยังหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่ออกจะ
หน้าบึ้งด้วยซ้ำ
"แต่พรุ่งนี้เราก็จะขึ้นเหนือไปจับแกะดำกันแล้ว"
เธอสีหน้างงๆถาม
"แกะดำอะไรคะ"
"เป็นชื่อรหัสน่ะครับ ปกติเวลาเรียกผู้ต้องสงสัยเราจะไม่ใช้ชื่อจริง"
"ทำไมล่ะคะ"
"เพราะบางครั้งเราต้องใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อกัน กลัวพลาดหลุดรอดไปเข้าหูคนร้าย เลยต้องเรียกกันเป็นโค้ด" หิรัณย์อธิบาย
มีคณา หยิบเครื่องอัดเสียงจากกระเป๋าถืออกมา
“เดี๋ยวค่ะสารวัตร ขออัดเสียงไว้ด้วยนะคะ มีแต่ข้อมูลน่าสนใจทั้งนั้นเลย”
เธอตั้งเครื่องอัดเสียงให้เรียบร้อย ก่อนยิงคำถามเกริ่น
“ตกลงว่าหน่วยงานของสารวัตรจะใช้รหัสในการเรียกผู้ต้องสงสัยใช่มั้ยคะ”
“ครับ เราจะตั้งชื่อรหัสกัน จะใช้จุดเด่นของผู้ต้องสงสัยแต่ละคนมาคิดชื่อ แล้วถ้าผมเป็นผู้ต้องสงสัย คุณมี่จะตั้งชื่อรหัสผมว่าอะไรดีครับ”
หิรัณห์ยิ้มให้ มีคณาตอบหน้านิ่ง
“ไม่ต้องคิดเลยค่ะ ชัดมาก”
“ไอ้หน้าหนวด แหงๆ” หิรัณย์เดา
“ชัดไปค่ะ”
“แล้วชื่ออะไรดีครับ”
“ขยันยิ้ม”
เขาหลุดหัวเราะก๊ากอย่างชอบใจออกมา วิมลินเดินหน้านิ่งบึ้งมาที่โต๊ะ ไม่ได้รู้สึกขำหรือตลกด้วยเลย เธออดเหลือบตามองไม่ได้ ผู้หมวดสาวคนนี้ซ่อนความสวยมากไว้ภายใต้หน้านิ่งบึ้ง นัยน์ตาดุ
“ฉันกลับก่อนนะคะสารวัตร พรุ่งนี้เจอกัน 8 โมง”
“ได้ครับ” หิรัณย์ถือโอกาสแนะนำให้สองสาวรู้จักกัน
“หมวดดาวครับนี่คุณมีคณาเป็นนักข่าวครับ”
มีคณายิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“เมื่อวานเจอกันที่งานแฟชั่นโชว์แล้วค่ะ ฉันนึกว่านางแบบซะอีก”
วิมลินยังฉายแววตาดุอยู่บนใบหน้านิ่ง ริมฝีปากไม่มีรอยยิ้มตอบแต่อย่างใด นักข่าวสาวถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย จึงแก้เก้อด้วยการหยิบนามบัตรส่งให้
“ฉันทำงานที่สยามสารค่ะ”
“นามบัตรฉันหมด แต่คงไม่เป็นไร มีอะไรติดต่อสารวัตรได้ เราทำงานหน่วยด้วยกัน ฉันชื่อวิมลินค่ะ” น้ำเสียงของวิมลินราบเรียบ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนเคย หลังแนะนำตัว เธอก็เดินกลับไปโต๊ะทำงานของตัวเอง จากนั้นก็สะพายกระเป๋าถือเดินออกไป
“เราไปนั่งคุยที่โต๊ะประชุมดีกว่านะครับ ตรงนี้คับแคบไปหน่อย” หิรัณย์บอก
“ยังไงก็ได้ค่ะ”
มีคณาอดไม่ได้ที่จะหันมองตามวิมลิน อดแปลกใจในความไม่เป็นมิตรของผู้หญิงคนนี้
แม่บ้านยกน้ำดื่มและของว่างมาเสิร์ฟมีคณา เสิร์ฟกาแฟให้หิรัณย์ที่โต๊ะประชุม
“ขอบคุณค่ะ”
“กาแฟด้วยมั้ยคะ” แม่บ้านถาม
“ไม่ค่ะขอบคุณ”
แม่บ้านล่าถอยออกไป
“ผู้หมวดดาวดูแข็งๆ ดุๆ นะคะ”
“ผู้หมวดเธอเป็นงี้แหละ เสือยิ้มยาก คนอยู่ด้วยจะรู้สึกเหมือนอยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา แต่ในใจเธอไม่มีอะไรหรอก”
“เหรอคะ แต่เธอต้องมีอะไรไม่ชอบใจฉันแน่ๆ แค่พูดกัน 2-3 ประโยค เธอทำหน้าดุใส่ฉันซัก 5 ครั้งเห็นจะได้”
หิรัณย์ขำๆ บอก
“นั่นเรื่องปกติของผู้หมวดครับ คนอื่นอาจจะโดนแค่ 3 แต่คุณเป็นนักข่าวเลยโดนเยอะหน่อย”
หิรัณย์ยิ้มทิ้งท้ายให้อีก มีคณาตัดบท
“สัมภาษณ์ต่อนะคะ”
เธอกดอัดสัมภาษณ์ใหม่อีกครั้ง
“เมื่อกี้ถึงไหนแล้วครับ”
“เรียกชื่อผู้ต้องหาเป็นรหัส ใช้จุดเด่นของผู้ต้องสงสัยมาคิดคำตั้ง”
หิรัณย์พยักหน้ารับทราบ
“อย่างแกะดำนี่ผู้การเป็นคนตั้ง เหตุผลเพราะผู้ต้องสงสัยเป็นตำรวจ”
“คุณมาบอกฉันยังงี้ไม่กลัวข่าวรั่วถึงหูผู้ต้องสงสัยเหรอคะ”
“หนังสือคุณออกรายสัปดาห์นี่ กว่าจะวางแผง ผมจับตัวได้แล้วล่ะ แต่ถ้ายังจับไม่ได้ ก็จะโทรไปแจ้งให้คุณเอาข้อความเกี่ยวกับคดีนี้ออกก่อน ดีซะอีก จะได้หาข้ออ้างโทรหาคุณด้วย” หิรัณย์ยิ้มขี้เล่นระหว่างสนทนา ก่อนตบท้ายด้วยการหยอดยิ้มหวานเข้าให้อีก
มีคณาอึ้ง โดนลูกหยอดแบบตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไปซะ แต่เธอก็อดนึกในใจ
“แหล่งข่าวเจ้าชู้ยังงี้ น่าจะจับให้เจอกับวารีซะจริงๆเลย”
ในอดีต เวลากลางวัน บริเวณมุมพักผ่อนที่สยามสาร สามทหารเสือสาวกำลังช่วยกับฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่ชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำร้อน แล้วคุยกันไป
“ถ้ามัทไปเจอไอ้พวกแหล่งข่าวเจ้าชู้นะ มัทต้องใจเย็นๆ ไว้ก่อน” สาระวารีบอกพลางเอาช้อนไปคนเครื่องปรุงให้กระจายให้ทั่ว พร้อมพูดต่อไป
“รอให้ได้ข้อมูลครบ คิดว่าไม่ขาดเหลืออะไรแล้วค่อยลุย” สาระวารีแสดงสีหน้าแววตาหาเรื่อง ให้มัทนาเห็น
มีคณายิ้มๆเอาชามอีกใบมาครอบ
“ไปแนะนำน้องยังงี้ทำไมวารี”
สาระวารีแขวะเพื่อน
“แล้วจะให้ใช้วิธีเธอเหรอป้าแว่น นิ่ง นิ่งอย่างเดียว นิ่งนาน นิ่งทน สีทนได้ น่าเบื่อ”
“พี่มี่เค้าใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวค่ะพี่วารี ใช่มั้ยคะพี่มี่” มัทนาบอกพลางจ้องหน้ามีคณา
เธอยิ้มให้มัทนาแล้วยกนิ้วโป้งยืนยันไป
สาระวารีเหยียดปาก ไม่เห็นด้วย
“ไม่เข้าท่า ไอ้แหล่งข่าวเจ้าชู้หัวงูเนี่ย เราต้องเล่นงานมันให้แหลกไปเลยรู้มั้ยมัท ชอบคิดว่านักข่าวสาวๆ เป็นของเล่น ยังเงี้ยมันต้องสับ”
สาระวารีพูดพร้อมจับช้อนส้อมในมือสับลงพื้นโต๊ะด้วยสีหน้าเอาจริง
“สับ สับ สับ ให้แหลกจนยิ้มไม่ออกไปเลย”
มัทนาถามเอง เขินเอง อายเอง
“จะให้สับตรงไหนเหรอคะพี่วารี”
ผ่านเวลาพักใหญ่ มีคณาเผลอหลุดยิ้มกับความคิด ขณะเดินลงบันไดมากับหิรัณย์
“ยิ้มอะไรเหรอครับ”
มีคณาตกใจเล็กน้อย
“อ๋อ เปล่าค่ะ”
“ก็เห็นอยู่”
“ติดมาจากคุณมั้งคะ”
หิรัณย์ขำเบาๆ มีคณามีสีหน้าเกรงใจ
“ฉันไม่นึกว่าจะกวนเวลาสารวัตรเป็นชั่วโมงๆ แบบนี้ … ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เจอคนฟังที่สนใจแบบนี้ ผมก็โม้เพลินเหมือนกัน”
“ส่งตรงนี้ก็พอค่ะ”
“ไม่พอหรอกครับ ให้ผมไปส่งดีกว่า”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันเดินออกไปเองได้”
“คุณมี่คิดว่าผมจะยอมมั้ยล่ะ ออกไปพร้อมกันเลยดีกว่าครับ ผมก็กำลังจะกลับเหมือนกัน”
หิรัณย์แอบแขวะ เพื่อบีบให้เธอรู้สึกเกรงใจกลายๆ
“ทั้งที่ผมควรกลับไปพักตั้งแต่ก่อน 4 โมงเย็นแล้ว”
มีคณาเจื่อนๆ ไป รู้สึกว่ามารบกวนเค้าจริงๆ พรุ่งนี้มีราชการเช้าด้วย
“ให้ผมไปส่งนะครับ”
มีคณาฝืนยิ้มพยักหน้ารับให้ก่อนเดินนำลงไปด้วยสีหน้าเจ็บใจ สารวัตรคนนี้ร้ายกาจใช่ย่อย
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตอนหัวค่ำ หิรัณย์เดินยิ้มแย้มกลับเข้ามาที่โถงบ้าน
“กลับมาแล้วครับ”
หิรัณย์หันมองไปทางพ่อ แม่ และน้องสาวที่กำลังรวมตัวกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ทำอะไรกันครับเนี่ย”
“คุยกับพี่ชายเราอยู่น่ะสิ ค่อยยังชั่ว เคลียร์ปัญหากับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ไป ทานข้าวกันเถอะ” แม่บอก
หิรัณย์เดินนำไปโต๊ะอาหาร
“พี่เค้าจะบินกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ”
หิรัณห์ดึงเก้าอี้ให้แม่นั่ง
พ่อเดินตามมานั่งที่หัวโต๊ะอาหารพร้อมตอบ
“ยังหรอก เห็นว่าจะเลยไปดูตลาดที่อินเดียก่อน”
แม่บ้านเข้ามาตักข้าวแจก น้องสาวเดินมานั่งร่วมโต๊ะ
“พี่รันจะขึ้นเหนือเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้”
ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะอาหาร แม้หิรัณย์จะออกจับคนร้ายบ่อย แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“ทานข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปสวดมนต์ นั่งสมาธิกับแม่ก่อนนอนนะรัน”
“ครับแม่”
พ่อกระเซ้า
“ห่วงแต่จับคนร้าย เมื่อไหร่จะจับสะใภ้เข้าบ้านได้ซะที”
หิรัณย์ขำๆ คุยโว
“ระดับลูกชายพ่อ จะโดนสาวจับมากกว่า”
“ดีแต่ปากน่ะเรา แม่จะได้เลี้ยงหลานแก้เหงามั่ง แม่แก่กว่านี้ไม่มีแรงช่วยเมียเราเลี้ยงลูกไม่รู้ด้วยนะ”
หิรัณย์ได้แต่ยิ้มๆ
“เอ้อ ตอนนี้ที่บริษัทพ่อมีวิศวกรสาวมาฝึกงานใหม่ 2 คน โสดทั้งคู่เลย พ่อแนะนำให้รู้จักเอามั้ยล่ะ”
“สวยขนาดหมวดดาว พี่รันเค้ายังไม่มองเลยค่ะพ่อ” น้องสาวบอก
“ไม่ใช่ไม่มอง แต่พี่กับหมวดดาวเหมาะเป็นเพื่อนกันมากกว่า ใครต่อใครก็ชอบจับคู่ให้กันจังเลย”หิรัณย์ส่ายหน้าเล็กน้อย
“ก็นั่นแหละ เรื่องแบบนี้พูดยากนะ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เอาเถอะ แม่ไม่ได้ให้รันรีบร้อนอะไร แต่อยากให้มองๆไว้มั่ง ไม่ใช่เอาแต่บ้างานลูกเดียว เดี๋ยวจะพลาดคนดีๆ ไปซะ”
หิรัณย์นิ่งไป คิดถึงมีคณาแล้วอมยิ้มตาเป็นประกายเล็กน้อย น้องสาวเห็นตาคู่นั้นของพี่ชายก็กระเซ้าทันที
“พี่รันยิ้มแปลกๆ เจอใครถูกใจแล้วแน่ๆ เลย สารภาพมาซะดีๆ นะ” น้องสาวเขย่าแขนพี่ชาย
“ไม่มีอะไร เพิ่งเจอกัน พี่น่ะถูกชะตาเค้า แต่เค้าตั้งกำแพงใส่พี่ตลอด คงไม่ชอบขี้หน้าพี่เท่าไหร่” หิรัณย์พูดพลางยักไหล่
“เป็นถึงลูกชายวิศวกรใหญ่ จะกลัวอะไรกะแค่กำแพง เจาะช่องทำประตูเปิดปิดไปเลย” พ่อบอก
“ถ้าเค้าไม่รำคาญ หลบหน้าผมไปซะก่อนนะครับพ่อ” หิรัณย์ยิ้มขำ แล้วส่ายหน้าแล้วทานข้าวต่อไป
เวลากลางวัน ที่จังหวัดเป้าหมาย หิรัณย์ปลอมเป็นชายหนุ่มเข็นรถใส่ผักมาตามซอยทางเดินในตลาดสด เขาเหลือบสบตากับพ่อค้าขายปลาช่อน แล้วเข็นผักเลยไปที่ร้านรถเข็นขายน้ำหวาน-น้ำแข็ง พวกน้ำลำไย น้ำมะพร้าว เก็กฮวย ลอดช่องประมาณนั้น แม่ค้าที่สวมงอบอยู่ก็คือวิมลิน
ตำรวจลับปลอมตัวกระจายอยู่ทั่วตลาดสดแห่งนั้น หิรัณย์ทำทีมาแวะซื้อน้ำแล้วบอกกับวิมลิน เขาก้มหน้าพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน
“เงินสดถึงแล้ว พาลูกชายมาจ่ายตลาด”
วิมลินพยักหน้ารับทราบ ก่อนส่งแก้วพลาสติกใส่น้ำเก็กฮวยให้หิรัณย์ เขาจ่ายเงินอย่างเนียนๆ ก่อนเข็นรถผักเลยไป...
วิมลินเปิดลิ้นชักรถเข็นเพื่อเก็บเงินที่ได้จากหิรัณย์ ในลิ้นชักนั้น มีปืนพกวางไว้ในตำแหน่งพร้อมหยิบใช้งาน
บริเวณต้นซอยแม่บ้านคนหนึ่งมาจ่ายตลาดพร้อมลูกชายที่ถือถุงผ้าติดมือมาด้วย แม่ค้าขายผักเหลือบตามองแม่บ้านอย่างเนียนๆ
สองแม่ลูกเดินเข้ามาในตลาด ขอทานขาขาดคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าร้านขายไข่ไก่ แม่บ้านทำท่าทีเป็นสงสารเดินเข้าไปพูดคุยกับขอทานแล้วหยิบเงินใส่ขันช้าๆ ถ่วงเวลาและใช้ตัวบังให้ลูกชายวางถุงผ้าลงที่ข้างๆ ขอทาน แล้วหยิบถุงผ้าอีกใบจากขอทานมาแทน การตัวบังเป็นไปอย่างรวดเร็วมากจนสังเกตยาก
สองแม่ลูกเดินจ่ายตลาดต่อ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หิรัณย์ขณะทำหยิบผักส่งร้านก็เหลือบตามองไปที่ 2 แม่ลูก เขามองไปที่ถุงผ้าในมือลูกชาย ขอทานค่อยๆ ขยับมือไปหยิบถุงผ้าข้างตัว หิรัณย์มั่นใจ ตะโกนโพล่งขึ้นมา
“ผักเน่า”
สิ้นเสียงหิรัณย์ ไม่คาดคิด ตำรวจปลอมทั้งหลายต่างทิ้งคราบพ่อค้าแม่ค้าที่กระจายอยู่ทั่วตลาดตรงเข้าจับสองแม่ลูก และขอทาน ทันที
วิมลินเข้าไปต่อสู้กับตัวลูกชายเพื่อแย่งยาเสพติดของกลางก่อน เธอไม่อยากใช้อาวุธปืนเพราะกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น จะยิ่งทำงานลำบาก หิรัณย์จะเข้ามาช่วยอีกแรง
ไม่คาดคิดขอทานขาขาด ลุกวิ่งหนีตะบึงไปทางหน้าซอย หิรัณย์จะวิ่งกวดตาม
เหนือคาดหมาย พ่อค้าขายไข่หยิบปืนมายิงสกัด และมีพ่อค้าแม่ค้าอีกหลายคนที่เป็นคนร้ายปลอมตัวมาซ้อนแผนอยู่ ต่างเผยตัวเหมือนกัน จากนั้น … การยิงตอบโต้กันก็ดังสนั่นไปทั้งตลาดสดแห่งนั้น
ฝ่ายพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าตัวจริง ต่างกรีดร้องวิ่งหนีกันวุ่นวายจ้าละหวั่น ทำให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างยากยิ่งขึ้น
การยิงตอบโต้ดำเนินต่อไปอีกอึดใจ ก่อนที่ตำรวจจะเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์ไว้ได้ ผู้ร้ายบางคนถูกจับเป็น บางคนถูกยิงตาย
หิรัณย์วิ่งตะบึงตามกวดชายขอทานที่วิ่งหลบหนีไปทันทีหลังเสียงปืนสงบ วิมลินวิ่งกวดตามหิรัณย์ไปทันทีเหมือนกัน
ชายขอทานวิ่งหนีไม่คิดชีวิต หิรัณย์วิ่งกวดตามมาแล้วกระโดดเข้าใส่ ทั้งคู่ชกต่อย ตะลุมบอนกันก่อนที่วิมลินจะตามมาทัน แล้วยิงปืนขู่เฉียดชายขอทานไปเพียงนิด ชายขอทานตกใจกลัว ยกมือยอมแพ้ เลยเจอหิรัณย์ซัดจนหมอบไป
วิมลินรีบวิ่งมาคว้าถุงผ้าเปิดออกดู หลังจากที่รื้อดู พบแต่เศษกระดาษหนังสือพิมพ์
“เราพลาดแล้วล่ะสารวัตร”
วิมลินอึ้ง หิรัณย์มีสีหน้าเจ็บใจ
วิมลินเจออะไรบางอย่างในถุงนั้น หยิบออกมาดู เป็นระเบิดขู่จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ
หิรัณย์ตกใจมาก รีบแย่งจากมือวิมลินแล้วปาทิ้งไปให้ไกลที่สุด ก่อนจะฉุดเธอวิ่งหนีไปให้ห่างที่สุด ก่อนจะกระชากเธอให้หลบกำบังแถวนั้น
แม้จะไม่ใช่ระเบิดที่มีแสนยานุภาพรุนแรง แต่เสียงระเบิดก็ดังตูมสนั่น หิรัณย์โอบวิมลิน ใช้ตัวบังเศษดินเศษหินไว้ให้ แต่เธอกลับผลักเขาออกไป สีหน้าดูหงุดหงิดเล็กน้อย ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้า
รถกระบะดำขับมาจอดมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ หิรัณย์เหลือบตามองไป เห็นรถกระบะดำซิ่งปรู๊ดปร๊าดออกไปอย่างเร็ว
“แกะดำ”
หิรัณย์สีหน้าเจ็บใจมากที่แผนจับกุมพลาดไป
บริเวณลานใต้สะพาน สันติเตะบอลอยู่กับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน เพื่อนใหม่ที่สนิทๆ กับสันติมีลักษณะเกเร ดูกุ๊ยๆ สันติเตะบอลกับเพื่อนเป็นคนเลี้ยงลุยเดี่ยวยิงจนเข้าประตูไป
เพื่อนกุ๊ยเข้ามากอดคอสันติ เฮดีใจกัน สันติดูมีความสุขสนุกสนาน
ผ่านเวลาซักครู่ บานเช้ากำลังจัดอาหารกลางวันอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีคณาลงมาจากชั้นบน
“เสร็จงานแล้วเหรอมี่ มากินข้าวกลางวันเลยลูก”
“ติไปไหนคะ บ้านเงียบเลย”
“ออกไปเตะบอลกับเพื่อนๆ เค้า”
มีคณานั่งลงที่โต๊ะอาหาร หยิบหนังสือพิมพ์มากางอ่าน บานเช้าชำเลืองมองหน้าลูกสาว
“แม่เกรงใจมี่มากเลยนะลูก ที่ต้องพาติมารบกวนลูกยังงี้”
มีคณาละสายตาจากหนังสือพิมพ์มามองหน้าแม่ เงียบพร้อมรับฟัง
“แม่รู้ว่ามี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำใจต้องอุปการะเจ้าติมันเอาไว้”
“มี่ว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้วล่ะค่ะแม่ อย่าพูดถึงมันอีกเลย...ตอนนี้มี่คิดแค่ว่า จะทำยังไง ถึงจะเปลี่ยนติให้เป็นเด็กดีขึ้นได้ ก็เท่านั้น”
“ได้ยินแบบนี้ แม่ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย”
บานเช้ายิ้มออก มีคณาสีหน้ายังติดใจสงสัย พับหนังสือพิมพ์เก็บพร้อมกล่าวถาม
“แม่คะ ตกลงทำไมธำรงถึงขาขาดได้ล่ะคะ”
“อ้าว แม่เคยเขียนจดหมายมาบอกมี่แล้วนี่”
มีคณาหน้าแหย รู้สึกผิด
“มี่สารภาพตามตรงเลยนะคะ หลายครั้งที่มี่ขยาดจะเปิดอ่าน ฉีกทิ้งไปก็มี ซุกเอาไว้ยังไม่ได้เปิด อ่านเลยก็มี มี่ขอโทษค่ะแม่”
บานเช้ามีสีหน้าเห็นใจลูกสาว
“แม่เข้าใจจ้ะ แม่เขียนจดหมายมาทีไรก็มีแต่เรื่องมารบกวนให้ลูกไม่สบายใจตลอด ตอนมีความสุข ไม่เคยคิดจะเขียนจดหมายหาลูกเหมือนกัน”
บานเช้าน้ำตาคลอ รู้สึกผิด มีคณาเบือนหน้าไปทางอื่น สะกัดความรู้สึกตัวเองเอาไว้
“มี่กลับไปบ้านเราครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ล่ะ”
มีคณานิ่งอย่างใช้ความคิดไปอึดใจ
“ก็ตอนที่คุณตากับคุณยายเสียน่ะค่ะแม่”
ในอดีต เวลากลางวัน มั่นสินเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าบนเตียงห้องพักโรงแรมในตัวอำเภอ โรงแรมแห่งนั้น พออยู่ได้ ไม่ได้ใหญ่โตหรูหรานัก มั่นสินเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ไป
มีคณาวัย 18-19 ปี เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดินมานั่งที่เตียง
“คุณป้าไม่ไปด้วยกันจริงๆเหรอคะ”
“ป้านัดทานข้าวกับเพื่อนเก่าไว้แล้ว”
มีคณามีอาการลังเล
“มี่เปลี่ยนใจไม่ไปได้มั้ยคะ”
มั่นสินหันมาตำหนิ
“อะไรกัน อุตส่าห์ดั้นดนมาจนถึงแล้ว จะมาเปลี่ยนใจอะไรตอนนี้”
“มี่ไม่อยากเจอพวกเค้านี่คะ”
“เราไม่ได้มาเจอพวกเค้านะมี่ เรามางานเผาศพตากับยาย ผู้มีพระคุณของเรา นี่ก็ครั้งสุดท้ายแล้ว ไปใส่ไฟให้ท่านหน่อยเถอะ”
มีคณามีสีหน้าอึดอัดใจ
มีคณาในชุดไว้ทุกข์ยืนอยู่หน้าบ้านบานเช้า บ้านที่ตอนนี้เปลี่ยนโฉมใหม่จนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ บ้านไม้กึ่งปูน 2 ชั้น มีรถมอเตอร์ไซค์คันงามจอดอยู่หน้าบ้าน ทุกอย่างดูดีขึ้นหมด ยกเว้น บานเช้าที่ดูผอม กร้าน คล้ำดำแก่โทรมมากที่เดินออกมาต้อนรับลูกสาว
บานเช้ายิ้มดีใจมาเปิดประตูรับ
“มาแล้วเหรอมี่”
มีคณามองสภาพแม่อย่างอึ้งๆ อยู่ชั่วอึดใจก่อนยกมือขึ้นไหว้
“ไม่เจอกันไม่กี่ปี สวยขึ้นจนแม่จำไม่ได้เลย เข้าไปในนั่งในบ้านก่อนลูก”
บานเช้าจูงมือลูกสาวจะพาเข้าบ้าน เธออดฝืนๆ ตัวไว้ไม่ได้ อดีตยังหลอนให้เธอผวาอยู่ แต่ที่สุดเธอก็ตามบานเช้าเข้าบ้านไป
โถงบ้านใหม่บานเช้า บุญสม พ่อเลี้ยงของเธอนั่งตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนที่พื้นโถง ส่วนธำรงในวัย 16 ปีนอนเอกเขนกดูทีวี มีเมียรุ่นราวคราวเดียวกันตั้งท้องอ่อนๆ คอยบีบนวดเอาใจอยู่ไม่ห่าง
มีคณายืนอึ้งเงียบฟังบุญสมที่เมากรึ่มคุยลั่นบ้าน
“ไอ้รงนี่เลือดแม่มันแรง นมยังไม่ทันแตกพานดีเล๊ย ทำสาวท้องป่องซะแล้ว แต่ช่างหัวมัน มันเป็นผู้ชาย ไม่เหมือนแม่มัน ชื่อกระฉ่อนไปทั่วตำบล บานเช้า บานแรงส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ไปทั่ว”
บุญสมหัวเราะชอบใจ มีคณาสีหน้าเห็นใจชำเลืองมองแม่ เพื่อนๆ บุญสมหันมองมาทางมีคณาเป็นตาเดียว บุญสมหันมองตามด้วยสีหน้าเหยียด
“นึกว่าใครมา ที่แท้ก็อีสาวเมืองกรุง ลูกอกตัญญูของนังบานเช้านี่เอง”
บานเช้าไม่ใส่ใจคำพูดของผัว
“ป่านนี้แล้วพี่ยังไม่เตรียมตัวไปงานเผาศพอีกเหรอ”
“ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายวะ สวมเสื้อตัวกูก็ไปได้แล้ว”
บุญสมลุกเดินเป๋มาจ้องหน้ามีคณา
“ว่าไง ไม่ได้เจอซะนาน สวยขึ้นเป็นกองนี่ สวยแต่ใจดำเหมือนอีกา”
บานเช้าจับแขนพาลูกสาวไป
“มี่ไปช่วยแม่ในครัวดีกว่า”
บุญสมปาดไปขวาง ชี้หน้ามีคณา
“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน มึงเห็นบ้านกูมั้ย ใหญ่โตขึ้นเยอะ เพราะอะไรรู้มั้ยล่ะ ก็เพราะนังธิดา นังธารามันกตัญญูออกไปทำงานหาเงินส่งเสียพ่อแม่ นังคนพี่ปลูกบ้านให้ใหม่ นังคนเล็กซื้อมอเตอร์ไซค์ จอดอยู่หน้าบ้าน มึงเห็นมั้ย”
เธอพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้
“เชื้อสายฝั่งกูดีๆ ทั้งนั้นไม่เหมือนมึง เนรคุณ เห็นแก่ตัวใจดำเหมือนอีกา ป้ามึงคงเสี้ยมสอนไม่ให้รู้จักบุญคุณแม่ที่เบ่งมึงออกมาแน่ๆ อีลูกอกตัญญู”
บานเช้าตัดบท
“พี่ไปกินเหล้าต่อเถอะไป”
บานเช้าลากมีคณาไปเข้าครัว เธอหันไปสบตากับธำรงที่นั่งกระดิกเท้าจ้องมองด้วยสายตาเย้ยหยันสมน้ำหน้าและหัวเราะสะใจ
เสียงในใจของเธอบอกกับตัวเองว่า
“นั่นคือภาพสุดท้ายของธำรงที่มี่จำน้องชายได้ฝังใจ”
บานเช้าลากมีคณาเข้ามาในครัว
“อย่าไปฟังน้าเค้าเลยนะมี่ คนเมา ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
เธอได้แต่เงียบกริบ ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
เสียงธิดาดังมาจากที่โถง
“ดากลับมาแล้วค่ะพ่อ”
มีคณาได้ยิน เดินไปแอบมองที่ประตูครัว
ธิดาในวัย15 ปี แต่งตัวค่อนข้างโป๊ เดินโชว์แจกถุงของฝากให้ทุกคน
“นี่จ้ะพ่อ เหล้านอกด้วยนะ”
“ลูกพ่อนี่มันน่ารักจริงๆ รู้ใจพ่อที่สุดเลย”
ธิดายิ้มปลื้มเดินไปหาธำรง ส่งถุงของฝากให้
“ฉันซื้อเสื้อมาฝากพี่”
“ขอบใจโว้ย”
ธำรงหยิบเสื้อออกมาดู แล้วถอดเสื้อตัวเดิมที่สวมอยู่ ใส่ลองเสื้อใหม่ทันที
ธิดาส่งถุงของฝากให้เมียธำรง
“นี่ของเธอ”
“ขอบใจจ้ะ” เมียธำรงบอก
ธิดาเดินกลับมาหาสมบุญ
“พ่อจ๋า ไหนๆ ดาก็กลับมาบ้านแล้ว ขอดาอยู่บ้านเลย ไม่ต้องกลับไปทำงานได้มั้ยจ๊ะพ่อ ดาเบื่อ”
“อะไรวะ ทำงานได้ไม่ถึง 2 ปีเลย บ่นเบื่อซะแล้ว”
“ก็ดาเบื่อจริงๆ นี่พ่อ แม่ทิพย์ดูแลหนูไม่ดีเลย ส่งแขกอะไรมาให้ก็ไม่รู้ บางคนก็ชอบทำเจ็บๆ ให้รับแขกทุกวันเลย หนูเหนื่อยจะตาย”
“เหนื่อยก็ต้องทนสิวะ มึงมันลูกกู ไม่ใช่สาวเมืองกรุงรักตัวรักสบาย มึงอย่าทำตัวเลียนแบบพี่สาวสารเลวของมึงอีกคนนึงเลย”
มีคณาที่แอบฟังอยู่ ผงะไปเล็กน้อยเมื่อโดนแขวะใส่ให้อีก
“รู้มั้ยทุกวันนี้แม่มึงอายแค่ไหนที่ต้องมีลูกอย่างมัน แล้วมึงอยากจะเป็นอย่างมันอีกเหรอ อยากให้ชาวบ้านเค้าหัวเราะเยาะพ่อกับแม่มึง หาว่าเลี้ยงลูกไม่ได้เรื่อง เลี้ยงลูกให้อกตัญญูงั้นเหรอวะ”
ธิดาจ๋อยๆ ไป เถียงไม่ขึ้น มีคณาได้แต่ถอนใจส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ธิดาเดินถอนใจออกมาทางสนามหน้าบ้าน
“ดาไปกรุงเทพกับพี่มั้ย”
ธิดาหันกลับมามองมีคณา...แม้ธิดาจะอายุน้อยกว่าแต่ดูกร้านโลกกว่าเธอเยอะ
“ฉันขอลาเค้าได้ 2-3 วัน ยังไม่ต้องรีบร้อนกลับหรอก”
“พี่ไม่ได้ชวนเธอกลับไปทำงาน แต่ชวนไปอยู่กับพี่ จะได้เรียนหนังสือต่อ ไม่ต้องกลับไปขายตัวอีก”
ธิดามองหน้ามีคณา
“ไปกับพี่ พ่อได้ตัดฉันทิ้งปะไร ถ้าฉันไม่ทำงาน แล้วใครจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงพี่รง ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านมาด่าว่าเป็นลูกเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่เหมือนพี่หรอก”
มีคณาอึ้งๆ กับความคิดฝังหัวของน้องสาว
“ไม่มีใครด่าดาได้หรอก นะ ถ้าดาเรียนสูงๆ ทำงานดีๆ แล้วส่งเงินกลับบ้าน จะมีแต่คนชื่นชมว่าดาเก่งมากกว่า”
“กว่าจะเรียนจบทำงานดีๆ ได้ พ่อแม่อดตายกันพอดี บ้านนี้พ่อเค้ายกให้พี่ไว้คนนึงแล้วไง พี่ก็รีบๆเรียนให้จบ หางานทำ ส่งเงินมาให้แม่อย่างปากพูดซะทีเถอะ อย่ามาชวนให้ฉันต้องถูกด่าเป็นเพื่อนพี่อีก
คนเลย”
ธิดาส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ปนรำคาญ เดินชนไหล่มีคณากลับเข้าบ้านไป เธอได้แต่อึ้ง ทอดถอนใจออกมา
“มี่จะพาตำรวจไปจับมัน”
มีคณาพูดระบายอารมณ์ให้มั่นสินฟังที่โรงแรม มั่นสินสีหน้าเรียบเฉยนั่งเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมตัวกลับ
มั่นสินหันมองหลานสาวพูดให้คิด
“แล้วจะให้ตำรวจจับแม่เราไปด้วยรึเปล่าล่ะ”
มีคณามองหน้าป้าแล้วอึ้งไป
“เพราะแม่เราก็ผิดที่รู้เห็นส่งลูกไปค้าประเวณีด้วยเหมือนกัน แล้วจะให้จับน้องสาวมี่ด้วยมั้ย รายนั้นเต็มใจขายเลยนะ”
มีคณาเถียงไม่ออก ได้แต่เงียบกริบ มั่นสินถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“พวกชาวบ้านก็เหมือนกัน ต้องจับหมดทั้งหมู่บ้านเลยรึเปล่าล่ะมี่ เพราะทุกบ้านก็ส่งลูกสาวไปค้าประเวณีกันทั้งนั้น”
มีคณาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“ทำไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะป้า แต่มี่สงสารน้อง ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง ดาเค้าเชื่อสุดหัวใจเลยว่า สิ่งที่ทำลงไปคือความกตัญญู ทำไมเค้าไม่คิดถึงตัวเองบ้าง”
“ก็สอนกันมายังงั้น ปลูกฝังกันมาผิดๆ หวังสบายอยากแต่จะรวยทางลัด เอาตำรวจไปจับไม่มีประโยชน์หรอก จับได้พอปล่อยก็กลับไปทำอีก”
“ก็จริงค่ะ”
มั่นสินเดินมายืนเผชิญหน้าหลานสาว พูดน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้ามี่อยากจะช่วยจริงๆ ต้องล้างความเชื่อเก่าๆ ให้ได้ ให้ชาวบ้านในหมู่บ้านมี่เค้ารู้ว่าลูกสาวไม่ใช่สินค้าไม่ใช่วัตถุที่ซื้อขายเพื่อความสะดวกสบาย แล้วก็ต้องสอนให้เด็กผู้หญิงรู้จักคุณค่าของตัวเอง รู้จักทำมาหากินอย่างอื่นที่ไม่ต้องขายร่างกายขายศักดิ์ศรีตัวเอง”
มีคณาสีหน้าตัดสินใจ มุ่งมั่น
“มี่จะเป็นครูเหมือนป้าค่ะ มี่จะปลูกฝังความคิดที่ดีให้กับเด็กๆ”
“มี่คิดก็ถูก นั่นเป็นการแก้ไขที่ยั่งยืนและตรงจุดที่สุด แต่กว่าจะเห็นผล มันต้องใช้เวลานานมากนะ แล้วการเป็นครูก็สอนได้แต่เฉพาะเด็ก สอนพ่อแม่เด็กไม่ได้หรอก”
มีคณานิ่งไปอย่างคิดตาม
“ถ้ามี่อยากจะเปลี่ยนสังคม มี่ต้องทำงานที่ทำให้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่รับรู้ข้อเท็จจริง ความดีความเลว ตีแผ่ให้เค้าเห็นว่าสิ่งที่เค้ากำลังทำกับลูกหลานคือความเลวร้าย”
มีคณาจดจำคำสั่งสอนของป้ามาประมวลความคิดหาวิชาชีพให้กับตัวเอง
บริเวณโถงบ้านมีคณา
“เพราะคำสอนของครูมั่นสินนี่เอง มี่ถึงได้อยากเป็นนักข่าว”
มีคณายิ้มบางๆ
“ค่ะ...แม่ถามนิดเดียว มี่คุ้ยฟุ้งซะน้ำไหลไฟดับเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ชอบฟัง เราไม่เคยมีเวลาได้นั่งคุยกันอยู่แล้ว”
มีคณาและบานเช้าสบตากัน เธอรีบกั้นอารมณ์ เปลี่ยนเรื่อง
“ติไปเตะบอลถึงไหน ป่านนี้ยังไม่กลับอีก เพื่อนที่ไหนคะ ใช่ที่โรงเรียนรึเปล่า”
“ก็ไม่รู้เค้า คงเด็กในซอยมั้ง เด็กผู้ชายรู้จักกันง่าย”
“รู้จักง่าย ไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“นี่ต้องให้พาเพื่อนมารายงานตัวกับป้าด้วยเรอะ”
เสียงสันติดังขึ้น มีคณาหันไปมองหลานชายที่เดินเหงื่อเปียกโชกเข้าบ้านมา
“ไปเล่นกีฬาไม่ดีตรงไหน”
“ป้าไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่เลือกคบคนหน่อยแล้วกัน”
สันติหน้าตาเซ็งๆ จะเดินขึ้นบ้าน
“วันนี้ป้าว่าง จะพาออกไปดูหนัง อยากไปมั้ยล่ะ”
สันติแอบยิ้มดีใจ แต่หันมาฟอร์มหน้าบึ้ง พูดจากวนใส่มีคณา
“นึกว่าจะขังให้อยู่แต่ในบ้านซะอีก”
สันติเดินขึ้นบ้านไป มีคณาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนหันไปหาบานเช้า
“เดี๋ยวไปด้วยกันนะคะแม่ มี่จะพาไปเปิดหูเปิดตา“
บานเช้ายิ้มดีใจ
“ขอบใจจ้ะ งั้นแม่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ดีกว่า อ้อ..เรื่องเจ้าธำรง แล้วค่อยคุยกันทีหลังนะลูก”
มีคณามองตามแม่ ยิ้มบางๆ ออกมาที่ได้เห็นแม่ดีใจมีความสุข
ท่ามกลางบรรยากาศในเมืองหลวง รถไฟฟ้าแล่นผ่ากลางเมือง …. ที่ห้างสรรพสินค้า สันติกำลังสนใจอยากได้รถแข่งบังคับ
“ย่า อยากได้”
บานเช้าดูราคาบอก
“ย่าไม่มีตังค์หรอก”
“ไม่เชื่อหรอก ป้าให้ค่าอาหารย่าเหลือทุกวันแหละ ไม่เห็นย่าซื้ออะไรกินเลย เอาจากตู้เย็นมาทำตลอด”
“สู่รู้นักนะเอ็งนี่”
“ซื้อเลย จะเอา”
“เดี๋ยวป้าเอ็งก็ด่าย่าให้หรอก”
“กลัวมันเหรอ”
“เออสิ นั่นไงมาแล้ว”
สันติรีบวางรถแข่งคันนั้นลง
“ฉี่เร็วนักวะ” สันติพูดพลางถอนใจเซ็งๆ เดินนำไป
“รอก่อนสิเจ้าติ เดี๋ยวก็หลงหรอก”
สันติกึ่งๆ หัวเสียเดินนำไปไม่ยอมหยุด บานเช้าตามหลานชายไปด้วยความเป็นห่วง
มีคณาเดินมาหยุดหน้าร้านขายของเล่นแห่งนั้น มองดูรถแข่งที่สันติอยากได้ สีหน้าช่างใจไปมา
ก่อนตัดสินใจเดินเลยผ่านไป แต่ก็ชะงักหันกลับมามองรถแข่งอีกครั้งอย่างลังเล แล้วตัดใจ อย่าให้มันเลย เธอ
เดินเลยผ่านไปได้ 2-3 ก้าว ก็หยุดกึกอีก มีสีหน้าหงุดหงิดตัวเองที่ใจอ่อน เดินฉับๆ กลับมาที่ร้านหยิบรถแข่งคนนั้นขึ้นมาถามคนขาย
“คันนี้เท่าไหร่คะ”
ตอนหัวค่ำ สันติเดินขึ้นบันไดบ้านมาเปิดห้องนอนเข้าไป เมื่อเปิดไฟห้องสว่างก็เห็นรถแข่งคันโปรดวางอยู่แล้วบนเตียง สันติดีใจสุดชีวิต วิ่งเข้าไปหยิบมากอดแล้ววิ่งปึงปังลงมาที่ชั้นล่าง
มีคณาเปิดแง้มประตูห้องนอนออกมา มองตาม เสียงสันติตื่นเต้นมาก แหกปากลั่น
“ย่า ย่า”
มีคณายิ้มเอ็นดูก่อนปิดประตูกลับเข้าห้องไป
สันติวิ่งถือรถแข่งลงบันไดมาที่โถง บานเช้ากำลังนั่งดูทีวีอยู่
“โวยวายอะไรเจ้าติ”
สันติดีใจสุดๆถาม
“ย่าแอบซื้อรถแข่งให้ตอนไหน”
“ย่าเปล่าซื้อ”
“อ้าว แล้วมันมาอยู่บนเตียงได้ยังไง”
ย่าหลานมองหน้ากัน พอเดาได้
“ป้าเค้าคงเห็นว่าเราอยากได้ เลยแอบซื้อมาให้ ขึ้นไปขอบคุณเค้าซะสิ”
สันติหน้านิ่งสนิทไป ความดีใจหายไปเกือบครึ่ง
“ถ้าเราไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังป้าเค้า เค้าก็ใจดี ย่าบอกแล้เลือดเนื้อเชื้อไขกัน ตัดกันไม่ขาดหรอก”
สันติหน้านิ่ง เดินกลับขึ้นบ้านไป
มีคณากำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขัดขึ้น
มีคณาหันมองไปที่ประตู เสียงสันติถาม
“ป้าซื้อรถแข่งให้เหรอ”
มีคณาเดินมาเปิดประตูห้องนอน สันติยืนถือรถแข่งหน้าบึ้งตึงอยู่หน้าห้อง เธอยิ้มบางถามหลาน
“ถูกใจมั้ยล่ะ”
“จะไม่ถูกใจได้ไงก็ป้าเห็นอยู่ว่าอยากได้คันนี้”
“ถือว่าป้าซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับที่เราย้ายมาอยู่กับป้าก็แล้วกัน”
“ไม่จำเป็นหรอก ขี้เกียจเป็นหนี้บุญคุณมากกว่านี้”
มีคณาอึ้งไป
“ป้าหักค่าขนมไปแล้วกัน อยากหักเท่าไหร่ก็หักไปจนกว่าจะครบค่ารถ”
มีคณายักไหล่ ประชดกลับ
“ยังงั้นก็พูดหยาบให้น้อยลงหน่อยแล้วกัน จะได้เหลือเงินไว้ซื้อน้ำดื่ม”
สันติเจ็บใจจ้องหน้ามีคณาเขม็ง เดินกอดรถแข่งกลับเข้าห้องนอนไป ปิดประตูห้องโครม มีคณาพูดพึมพำ
“ก็ยังดีที่รู้จักหยิ่ง ไม่ใช่เอาแต่ได้อย่างพ่อมัน”
มีคณาทอดถอนใจ แล้วกลับเข้าห้องปิดประตูไป
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 2 (ต่อ)
ที่โรงแรมแห่งหนึ่งตอนหัวค่ำ หิรัณย์ วิมลิน และเหล่าตำรวจชายหญิง กำลังวางแผนกันใหม่ในห้องพักของโรงแรม มีไอแพด แล็ปท็อป อุปกรณ์การทำงานต่างๆ พร้อมเปิดกางโชว์แผนที่จังหวัด บอกพิกัดต่างๆหิรัณย์มีสีหน้าเจ็บใจไม่หายขณะเอ่ยขึ้น
“เราดูถูกแกะดำเกินไป ถึงโดนมันซ้อนแผนเอาได้”
“ตอนนี้มั่นใจได้ว่าแกะดำยังไม่ได้ออกไปจากพื้นที่ เราขอกำลังเสริมตั้งด่านตรวจทางเข้าออกทุกทางของจังหวัดไว้แล้ว” วิมลินบอก
“ผมคิดว่าน่าจะหนีออกทางด้านชายแดนมากกว่า แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ จนกว่าจะส่งของล็อตสุดท้ายเสร็จ”
ตำรวคนหนึ่งบอก
“น่าจะภายในคืนนี้นะครับสารวัตร”
วิมลินชี้ภาพแผนที่พร้อมพูดไป
“ด่านชายแดนวางกำลังไว้หมดแล้ว เหลือแต่ช่วงรอยต่อตรงนี้ ...คิดว่าแกะดำจะใช้เป็นช่องทางหลบหนี...ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องสกัดจับให้ได้”
หิรัณย์สีหน้าเป็นห่วง
“งานนี้ผมว่าหมวดดาวกับทีมตำรวจหญิงอย่าไปเลย”
“เหตุผล” วิมลินชักไม่พอใจ พูดเสียงแข็ง
“มันอันตรายเกินไป แกะดำร้ายกาจกว่าที่เราคิดมาก ไก่เห็นตีนงู”
หิรัณย์จ้องหน้า เปรียบเปรยให้ฟัง วิมลินถอนใจออกมา เพราะสารวัตรหิรัณย์พูดถูกทุกอย่าง
“วันนี้คุณกับผมเกือบตกเป็นเหยื่อมันแล้วไม่เห็นรึไง จากนี้ไปไม่ใช่แค่ขู่แน่”
แม้หิรัณย์จะพูดถูก แต่วิมลินไม่เห็นด้วย
“แล้วคิดว่าฉันรักตัวกลัวตายรึไงสารวัตร จะผู้ชายผู้หญิงก็ตายได้ครั้งเดียวเท่ากัน ฉันจะไปกับทีมด้วย” วิมลินสีหน้าจริงจังตอบ
“แต่ผมเห็นด้วยกับสารวัตรนะหมวดดาว” ตำรวจคนหนึ่งบอก
วิมลินสีหน้าขอร้อง
“สารวัตรคะ ฉันรู้ว่าไม่ควรขัดคำสั่ง แต่ฉันดั้นด้นมาที่นี่เพื่อจับแกะดำ เรื่องอะไรจะมาให้ฉันนั่งรออยู่ในห้องพักโรงแรม ทั้งความสามารถ ทักษะ กำลังกายกำลังใจ ฉันก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านายตำรวจคนไหน”
หิรัณย์เข้าใจความรู้สึกวิมลิน เขาเคลียร์พื้นที่โต๊ะแล้วตั้งศอกขึ้น
“งัดข้อกัน หมวดชนะผมได้ ผมให้หมวดไป”
วิมลินตั้งท่างัดข้อทันที อย่างไม่กลัวหิรัณย์ ตำรวจภายในห้องแบ่งข้างเชียร์ทันที ทั้งคู่งัดข้อกันด้วยสีหน้าแววตาเอาจริงเอาจัง วิมลินรู้ทั้งรู้ว่าแพ้ แต่ก็จะลองสู้ เพราะใจเกินร้อย
หิรัณย์หน้าบูดเบี้ยว งัดข้อกับวิมลิน .หิรัณย์มองแววตาความตั้งใจของเพื่อนตำรวจหญิง จึงยอมอ่อนให้ วิมลินคว่ำหิรัณย์ลงได้ ตำรวจหญิงก็เฮกัน วิมลินมองหน้าหิรัณย์รู้ว่า เขาจงใจอ่อยให้ หิรัณย์ได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป
วิมลินเดินรั้งท้ายมาส่งหิรัณย์ที่หน้าห้องพัก
“ขอบคุณมากนะคะสารวัตร”
หิรัณย์ยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ หมวดระวังตัวด้วยแล้วกัน”
“สารวัตรก็เหมือนกันค่ะ”
หิรัณย์ยิ้มหวานให้ทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปห้องพัก ด้วยสีหน้านิ่งๆ มุ่งมั่นจะไปทำงาน เขาปิดประตูห้องพักล็อกไป
โรงแรมตอนดึกสงัด เวลาราวตี 4 วิมลินแต่งตัวรัดกุม กำลังซ่อนอาวุธปืน มีด ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ตำรวจหญิงหน้าตาตื่นไขกุญแจเข้าห้องพักเข้ามา
“แย่แล้วหมวดดาว”
“มีอะไรเหรอ”
“สารวัตรกับทีมไปกันหมดแล้วค่ะ”
วิมลินอึ้ง เจ็บใจมาก เสียท่าที่โดนหลอก
“ร้ายกาจมากนะสารวัตร เจ็บใจจริงๆ เลย”
“สารวัตรคงห่วงความปลอดภัยของพวกเรามากน่ะหมวด งานนี้มันอันตรายจริงๆ”
วิมลินถอนใจพรวด สีหน้าบึ้งตึงเจ็บใจมาก ทิ้งตัวกระแทกตัวลงนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
สยามสารตอนสายวันหนึ่ง มีคณาและพนักงานเดินเข้าตึกมา และเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน เธอเห็นโน้ตแผ่นนึงแปะไว้ที่โต๊ะ แอบเผลอยิ้มดีใจ หยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน
“โทรหาพี่บัวที่มูลนิธิด้วยค่ะพี่มี่”
มีคณาสีหน้าแอบผิดหวังเล็กน้อย วางของที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลง แล้วเหล่มองโทรศัพท์ พูดพึมพำ “ต้องขอบคุณแกะดำ ค่อยสบายหูหน่อย”
ครั้นเมื่อเธอตั้งท่าจะเริ่มทำงาน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาพอดี เธอเหลือบตามองไปที่เครื่องโทรศัพท์รุ่นเก่าของเธอ ที่โชว์ชื่อ สายเรียกเข้าว่า “ขยันยิ้ม” เธอหลุดยิ้มดีใจออกมาอีกครั้งอย่างลืมตัว ก่อนจะชักหน้าบึ้ง บ่น
“ตายยากจริงๆ”
มีคณากดรับสาย ปั้นหน้านิ่ง เสียงเรียบ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมสารวัตรหิรัณห์นะครับ”
“อ๋อ สวัสดีค่ะ นึกว่าใคร”
หิรัณย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ผมไม่ได้อยากโทรมารบกวนหรอกนะ แค่อยากถามว่า คุณอยากมาทำข่าวแกะดำมั้ย เผื่อจะล้อมกรอบอะไรที่คุณเคยบอก”
มีคณาน้ำเสียงตื่นเต้น
“จับตัวได้แล้วเหรอคะ”
“ครับ แต่กว่าจะได้ตัวก็ล่อไปตั้งหลายวัน ตอนนี้ถูกพามาสอบปากคำที่หน่วยผม ทั้งแกะดำทั้งผู้หญิงที่ทำงานด้วย คุณยังอยากมาทำข่าวอยู่รึเปล่า”
มีคณาดีใจ
“อยากสิคะ”
“งั้นรีบมาเลยครับ เร็วหน่อยก็ดี”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ ขอบคุณสารวัตรมากค่ะที่โทรมาบอก”
มีคณากดตัดสาย คว้ากระเป๋าสะพายที่มีอุปกรณ์ทำงานใส่อยู่ เดินออกไปทันที
ผ่านเวลาซักพัก มีคณาขึ้นชั้นบนของที่ทำงานหิรัณย์ วันนี้... พนักงานอยู่กันเยอะกว่าเดิม มีป้ายห้อยคอบอกตำแหน่งหน้าที่
เธอมองไปที่หนุ่มสาวที่นั่งคู่กันที่โซฟารับแขก ทั้งคู่ถูกใส่กุญแจมือเอาไว้ ฝ่ายชายร้องห่มร้องไห้ ฝ่ายหญิงสีหน้านิ่ง แววตาไม่สื่ออารมณ์ ฝ่ายชายวัย40 ปี รูปร่างท้วม ใส่เสื้อผ้าราคาแพงแต่มีรอยเปื้อนฝุ่นเปื้อนดิน ส่วนผู้หญิงผอมเกร็ง สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงสีเข้ม
ตำรวจนอกเครื่องแบบ นั่งคุมเชิงผู้ต้องหาอยู่ เธอมองดู เดาได้ว่า คงจะเป็นแกะดำแน่ๆ
หิรัณย์เปิดประตูห้องผู้การพิรุณออกมา... พิรุณเดินนำออกมาก่อน ตามด้วยวิมลินและหิรัณย์
มีคณายกมือไหว้ทุกคน หิรัณย์และผู้การรับไหว้สีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนวิมลินแม้จะรับไหว้ แต่สีหน้านิ่งเฉยตามเคย
“มาทำข่าวเหรอคุณมี่ นั่งรอซักครู่นะ ตอนนี้ยังยุ่งกันอยู่เลย”
มีคณายิ้มแย้มบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ”
วิมลินเดินหน้าตาเฉยเมย ฉีกนำไปก่อน... แกะดำลุกมาหาผู้การพิรุณ ร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม
ตำรวจนอกเครื่องแบบรีบตามประกบ... หิรัณย์ขวางตัวเข้ากันพิรุณทันที
“ท่านครับ ผมไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ ผู้หญิงคนนั้น ขอให้ผมช่วยขับรถ ผมไม่รู้ เลยว่าเค้าแอบขนยา ผมกราบล่ะครับท่าน ท่านช่วยผมด้วยนะครับ ผมไม่ได้ทำจริงๆ ไม่รู้อะไรด้วยเลย ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้” แกะดำพูดพลางคุกเข่าอ้อนวอน
มีคณาไม่ชอบใจนัก จับตามองแกะดำอย่างไม่วางตา
“ไม่รู้อะไรได้ไง คนของผมตามคุณมาเป็นเดือน ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ขายยาผิดมากอยู่แล้ว แต่คุณเป็นตำรวจกลับมาทำผิดกฎหมายซะเอง มันยิ่งผิดเป็นทวีคูณ”
แกะดำดูจ๋อยๆไป
“คุณทำลายความน่าเชื่อถือของตำรวจด้วยกัน เอาตำแหน่งหน้าที่มาหากินในทางทุจริต ผมช่วยคุณไม่ได้หรอก ต้องรับผิดไปตามกฎหมายบ้านเมือง”
หิรัณย์พยักหน้าให้เพื่อนตำรวจจับตัวแกะดำกลับไปสงบสติอารมณ์ แกะดำยังคงร้องไห้ พร่ำพูดไม่หยุด
“ผมไม่ได้ทำจริงๆ นะครับท่าน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมช่วยผู้หญิงคนนี้ขับรถเพราะรู้จักกัน ผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในรถ”
ผู้การพิรุณส่ายหน้าเดินกลับเข้าห้องทำงานไป มีคณาจับตามองตามแกะดำด้วยสีหน้าชิงชังจับใจ ทำผิดแล้วยังโยนให้ผู้หญิงอีก
หิรัณย์แอบมองสายตานักข่าวสาวก็พอจะเดาอารมณ์ออก
“อย่าเพิ่งเหมารวมว่า ตำรวจไม่ดีไปซะหมดนะครับ”
เธอเหลือบตามอง
“ถ้าไม่ใช่เพราะตำรวจดีคุณคงไม่ได้เห็นภาพนี้หรอก ผมว่าทุกอาชีพก็ไม่ต่างกัน มีดีมีเลวทั้งนั้น”
“ฉันก็ไม่ได้คิดเหมาว่าตำรวจทุกคนจะเป็นอย่างแกะดำของคุณ”
“คุณอาจจะไม่คิดว่าคุณคิด แต่สีหน้าแววตาคุณมันชัดเจนมาก”
มีคณาแอบแขวะ
“ฉันเพิ่งรู้ว่าสารวัตรเป็นนักอ่านสีหน้าคนด้วย”
“นี่เป็นวิชานึงที่ต้องศึกษาครับ วิชาว่าด้วยการดูลักษณะสีหน้า ท่าทางของคน”
“มีจริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ เอางี้ถ้าคุณสนใจไว้ทำสกู๊ปคราวหน้า ผมพร้อมให้สัมภาษณ์อีก แต่ลงรูปไม่ได้เหมือนเดิมนะครับ งานผมต้องปิดบังตัว”
มีคณาแอบเหยียดปากหมั่นไส้เล็กน้อย
“งั้นคุณนั่งรอก่อน เดี๋ยวผู้การคงคุยกับคุณเรื่องข่าวนี้เอง”
“คุณไปทำงานต่อเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หิรัณย์ยิ้มให้แล้วเดินไปหาเพื่อนตำรวจ มีคณาแอบมองไปที่แกะดำ เป็นจังหวะเดียวกับที่แกะดำที่ส่งสายตาดุ กร้าวกวาดตามองกลับมาพอดี
มีคณาหน้าเหยียด แววตาชิงชัง มองสู้ตาแกะดำอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนจะเดินเชิดไปทางห้องน้ำ
มีคณาเดินมาทางไปห้องน้ำ วิมลินออกมาจากห้องน้ำมาพอดี เธอยิ้ม ใจดีสู้เสือ
“ดีใจด้วยนะคะที่จับแกะดำได้”
วิมลินหน้านิ่ง เหลือบตาเห็นหิรัณย์เดินคุยกับตำรวจหนุ่มสาวนอกเครื่องแบบผ่านมาพอดี วิมลินยังโกรธหิรัณย์ไม่หาย
“แสดงความยินดีผิดคนแล้วล่ะ มันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของสารวัตรหิรัณย์เค้าคนเดียว” วิมลินจงใจพูดให้หิรัณย์ได้ยิน
หิรัณย์ได้ยินหยุดกึก มีคณาหันมองไปตามสายตาของวิมลินก็เห็นหิรัณย์
“ยังไงผู้หญิงก็ด้อยกว่า อ่อนแอกว่า ในความคิดของผู้ชายเสมอ” วิมลินบอก
“ผมขอโทษแล้วไงหมวด เรามองคนละมุมกัน ผมห่วง ความปลอดภัยของคุณกับทีมตะหาก”
วิมลินแดกดัน
“เหรอคะ หรือว่ากลัวความสามารถผู้หญิงไม่ถึง จะถ่วงให้คุณจับแกะดำไม่ได้กันแน่”
“ผมไม่ได้คิดยังงั้นจริงๆ”
“ช่างเถอะค่ะ อ้อ...งานตามล่าสุภาพบุรุษ ฉันขอถอนตัวนะคะ”
วิมลินเดินหน้าปั้นปึงออกไป
“หมวดดาว อย่าเอาแต่อารมณ์สิครับ”
หิรัณย์ตามไปง้อ มีคณาดูอึ้งๆ แหยๆไป
ตำรวจหญิงมองมีคณา
“ไม่ต้องตกใจค่ะ แฟนเค้างอนกันยังงี้ประจำ”
“คุณ เดี๋ยวก็โดนเล่นหรอก”
เพื่อนตำรวจ 2 คนเดินยิ้มๆ ผ่านไป มีคณานิ่ง ไปอย่างเก็บข้อมูล ที่แท้ก็แฟนกัน !! เธอยักไหล่ไม่แคร์เข้าห้องน้ำไป
ผ่านเวลาซักพัก ผู้การพิรุณเปิดประตูห้องให้มีคณาเดินออกมา
“ถ้ายังมีอะไรสงสัยก็โทรมาแล้วกัน”
มีคณายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะท่าน”
หิรัณย์เดินมารับช่วงส่งแขกต่อที่หน้าห้อง
“สารวัตรช่วยเทคแคร์คุณมี่แทนผมหน่อย ใกล้เที่ยงแล้วพาไปทานข้าวเลยแล้วกัน”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ มี่ไปหาทานแถวสยามสารดีกว่า”
“นี่มันเที่ยงแล้ว รถติดกว่าจะถึงหิวตายเลย ให้เจ้าถิ่นเค้าเลี้ยงข้าวซักมื้อเถอะ แถวนี้ร้านอร่อยๆ เยอะนะ ฝากด้วยสารวัตร”
พิรุณตบบ่าหิรัณย์ ตัดบท
“ครับผู้การ”
พิรุณยิ้มให้มีคณาแล้วเดินกลับเข้าห้องไป
“ผู้ใหญ่บอกมายังงี้แล้ว เชื่อฟังท่านหน่อยสิ”
“ฉันไม่อยากรบกวนคุณ”
“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ ผมเต็มใจ ไปครับ ผมหิวแล้ว”
มีคณาแอบถอนใจออกมา ก่อนจะเดินตามหิรัณย์ไป
ผ่านเวลาเล็กน้อย มีคณาเดินตามหิรัณย์มาถึงร้านอาหารห้องแถว 2 ร้านติดกัน ร้านหนึ่งขายก๋วยเตี๋ยว อีกร้านเป็นอาหารตามสั่ง มีคณาแปลกใจเล็กน้อยที่หิรัณย์พามาทานร้านแบบนี้ ผิดคาด นึกว่าจะพาไปทานร้านหรูหราติดแอร์สบายๆ
“2 ร้านนี้อร่อยทั้งคู่ อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“หน้าตามันเป็นยังไงครับไอ้อะไรก็ได้เนี่ย”
มีคณาดันแว่นกระชับดั้ง
“ข้าวก็ได้ค่ะ”
“ผมจะจำเอาไว้ ว่าอะไรก็ได้ของคุณคือข้าว”
หิรัณย์ยิ้มหวานให้ก่อนเดินนำเข้าร้านอาหารตามสั่งไป มีคณาย่นจมูกใส่ให้เล็กน้อยก่อนเดินตามเข้าไป
ผ่านเวลาเล็กน้อย หิรัณย์กำลังเติมน้ำอัดลมใส่แก้วให้มีคณา ขณะรออาหารที่สั่งไป ทั้งคู่คุยกันไป
“คุณเคยบอกว่าอยากตามไปทำสกู๊ปข่าวตอนเคสที่ไม่เสี่ยงใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“ยังสนใจจะทำอยู่รึเปล่า”
มีคณาน้ำเสียงตื่นเต้น
“สนใจสิคะ”
“ตอนนี้มีเคสสุภาพบุรุษ แต่ต้องจำกัดคนหน่อย ผมยังไม่แน่ใจว่า ทีมงานจะยอมให้นักข่าวตามได้กี่คน”
“ถ้าจำกัดคน ฉันไปคนเดียวก็ได้ค่ะ ช่างภาพไม่ต้อง”
หิรัณย์ขำๆในความกระหายอยากทำข่าวของมีคณา
“ถ้าเป็นคุณคนเดียว ผมรับรองให้ได้เลยว่าคงไปได้แน่ๆ”
มีคณาดีใจมากรีบยกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ”
หิรัณย์รับไหว้แทบไม่ทัน
“แต่เอาเป็นว่าผมจะลองซาวเสียงเพื่อนร่วมงานดูอีกที ว่าเค้าจะยอมให้คุณพาช่างภาพไปด้วยรึเปล่า”
“ได้ค่ะ ขอบคุณสารวัตรมากจริงๆค่ะ บอกvต้องดีใจมากแน่ๆ”
หิรัณย์หยิบซองมือถือ จากกระเป๋าเสื้อมายื่นให้มีคณา
“แจกอาวุธ”
“อะไรคะ”
หิรัณย์ดึงโทรศัพท์จำพวกสมาร์ทโฟนออกมาจากซอง
“เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของคุณ เวลาทีมเราติดต่อกัน อยากให้คุณใช้มือถือ
เครื่องนี้แทน”
มีคณามองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าชั่งใจ ก่อนจะจำใจรับเอาไว้เพื่อจะได้ไปทำข่าว
“ฟังก์ชั่นการใช้งานของเครื่องทำให้เราทำงานได้สะดวกกว่าเครื่องที่คุณใช้อยู่เยอะ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะรักษาอย่างดีเลยค่ะ”
“รักษาเหมือนของตัวเองนั่นแหละ”
มีคณาสีหน้างงๆ
“เสร็จงานแล้วเป็นของคุณไปเลย”
“อุ๊ย ไม่ดีมั้งคะ”
“ไม่เป็นไร เครื่องเก่าผมเอง จะได้ไม่ต้องเปลืองงบหน่วย ถ้าคุณไม่รับ ผู้การก็ต้องตั้งเบิกเครื่องมือสื่อสารให้คุณ”
“งั้นเสร็จงานแล้วคืนดีกว่าค่ะ”
“งั้นผมไม่ให้ไป”
หิรัณย์มองหน้าเธอแอบกวนเล็กน้อย เธอแอบถอนใจกระชับแว่นเข้าดั้งก่อนดื่มน้ำ
“มีความคืบหน้าภารกิจยังไง ผมจะ line ไปบอกเป็นระยะๆนะครับ”
มีคณาเหลือบตามองหิรัณย์อย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก
หิรัณย์ดื่มน้ำไป แต่แอบอมยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดหาช่องทางติดต่อสาว จะโทร.ไปตลอดก็เกรงใจ
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 2 (ต่อ)
ที่บ้านมีคณาตอนหัวค่ำ มีเสียงโวยวายของสันติดังนำออกมา
“ติไม่ให้ย่ากลับ ย่าต้องอยู่กับติที่นี่”
บริเวณโต๊ะอาหารในบ้าน..สันติยืนโวยวายที่โต๊ะอาหารต่อหน้าย่าและป้า มีคณารวบช้อนอิ่ม หมดอารมณ์จะทานต่อ
“ย่าจะอยู่กับติที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
สันติเหลือบตามองมีคณา
“ทำไมจะไม่ได้ อีป้าใจยักษ์มันไม่ให้อยู่ใช่มั้ย ถ้าย่าไม่อยู่ ติก็ไม่อยู่ ใครจะไปอยู่กับมันได้”
มีคณา-บานเช้าดุปรามขึ้นพร้อมกัน
“ติ”
สันติหน้าหงิกงอกระแทกตัวลงนั่ง
“ป้าไม่ได้ไล่ย่านะ คิดเรอะว่าป้าอยากจะอยู่กับติตามลำพังสองคน”
มีคณาถอนใจส่ายหน้า สันติเริ่มเบะจะร้องไห้ พูดจาอ้อนๆ
“ย่าจะทิ้งติได้ลงคอเลยเหรอ”
บานเช้าสงสารหลาน เลื่อนมือไปจับแขน
“ช้าเร็วย่าก็ต้องกลับนะลูก ติก็รู้ว่าที่บ้านเป็นยังไง ถ้าไม่มีย่าซักคน ปู่เรา พ่อเรา จะอยู่กันยังไง”
สันติดื้อดึง
“งั้นติจะกลับด้วย”
“กลับได้ยังไงติ กลับไปก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ สุดท้ายก็ต้องอยู่กับบ้านแบบปู่ แบบพ่อเรา อยากเป็นยังงั้นเหรอลูก”
สันติลุกขึ้นโวยวาย
“ติไม่ฟังอะไรทั้งนั้นล่ะ ย่ากลับติก็กลับ ป้าดุจะตาย ย่าไม่อยู่ ติตายแน่ๆ ป้าเค้าเกลียดติ”
สันติเดินปึงปังจะขึ้นชั้นบน แต่เหลือบเห็นรถแข่งที่มีคณาซื้อให้วางที่โซฟารับแขก ก็เดินไปฉวยรถแข่งเอาขึ้นไปด้วย
“จะเอายังไงคะแม่ มี่บอกแม่แล้วเห็นมั้ยคะว่าเร็วเกินไป”
บานเช้ามีสีหน้าลำบากใจ
“สองคนพ่อลูกนั่น มี่ไม่เห็นว่าจะน่าเป็นห่วงกว่าติตรงไหน แม่เสียเวลาทั้งชีวิตดูแลพวกเค้ามากเกินพอแล้ว”
มีคณาสีหน้าเซ็งๆ ยกจานข้าวเข้าครัวไป บานเช้าได้แต่ถอนใจยาวออกมา ทานข้าวต่อไม่ลงเช่นกัน เลยลุกเก็บจานชามไป
ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง มีคณากำลังกดลิฟท์อยู่ที่โถงล็อบบี้สยามสาร ลิฟท์เปิด มีคณาเข้าไปยืน ขณะที่ลิฟท์จะปิด เธอก็รีบกดลิฟท์เปิดอย่างเร็วด้วยความดีใจ
สาระวารีเดินหน้าหงิกปนง่วงถือชะลอมลำไยมาสองมือมีคณารีบเดินเร็วเข้ามาหาเพื่อน
“วารี”
“มี่ ฉันคิดถึงแกจังเลย”
สาระวารีทิ้งชะลอมลำใยกลางโถงแล้วตรงเข้าไปสวมกอดเพื่อนด้วยความคิดถึงในอาการบ้าพลังเล็กน้อย ยกตัวเพื่อนหมุน มีคณาหัวเราะขำๆ
“บ้าวารี เดี๋ยวล้ม...”
สองสาวยิ้มแย้มแจ่มใสกอดกันให้หายคิดถึงด้วยความดีใจ
มีคณาและสาระวารีช่วยกันถือชะลอมลำใยเดินคุยมาตามทางเดินในสยามสาร
“วันนี้มาทำงานเช้าได้นะแก”
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก มีพวกโรคประสาทโทรมาปลุก”
สาระวารีเดินไปหาพนักงาน ยกลำไย 2 ชะลอมที่ถืออยู่ให้
“หนิงจ๊ะ พี่เอามาฝากกองบอกอ”
พนักงานรับของ ไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะพี่วารี”
“แบ่งๆ กันนะ ของดีมีน้อย”
สาระวารีเดินกลับมาหามีคณาแล้วถาม
“มัทกลับมารึยัง”
“คงวันสองวันนี้แหละ”
“งั้นเธอเอาไปชะลอมนึงเลย กินผลไม้หวานๆ ซะ ชีวิตรักจะได้หวานชื่นกะเค้ามั่ง”
“บ้า” มีคณายิ้มๆ ตีแขนเพื่อนเล็กน้อย
มีคณาวางชะลอมลำไย 2 ชะลอมลงบนโต๊ะทำงานก่อนนั่งลงพร้อมคุยต่อ
“สรุปแล้วเจ้าพ่อคนนี้เป็นไง น่ากลัวเหมือนในหนังรึเปล่า”
สาระวารีนั่งลงฝั่งที่ตรงข้าม
“เค้ายังยืนยันว่าเค้าไม่ใช่เจ้าพ่อ แต่ท่าทางเอาเรื่องเหมือนกันแหละ อย่างที่เคยเล่า บ้านเค้าที่เกาะยานกยังกะโรงเรียนดัดสันดาน โทรศัพท์ทุกสายต้องบันทึกไว้หมด”
มีคณายิ้มๆ เปิดชะลอมเด็ดลำไยออกมา
“เอามั้ย”
“ฉันกินจนจะเป็นคุณนายลำไยอยู่แล้ว”
มีคณายิ้มๆ แกะลำไยชิมไป สาระวารียิ่งคุยยิ่งมันปาก
“แล้วที่สำคัญนะมี่ อนามัยจัดมาก ขึ้นเกาะปุ๊บยึดบุหรี่ฉันปั้บ บอกคนบนเกาะเค้าไม่สูบ มาคืนให้ก่อนกลับ แถมเทศนาซะยกใหญ่”
มีคณาหน้าเคืองขึ้นมา
“นี่เธอแอบสูบบุหรี่อีกแล้วเรอะ”
“ยัง แค่ตั้งท่าเฉยๆ”
มีคณาโกรธ
“ไหนเธอเคยสัญญากับพวกเราแล้วไง เรื่องนี้ฉันเชียร์คุณษมาเต็มที่ เค้าทำถูกต้องที่สุด คนไม่สูบแต่สูดควันบุหรี่ของเธอเข้าไป ก็เหมือนกับสูบเอง ..เห็นแก่ตัว”
สาระวารีรีบลุก
“พอเลยยัยป้าแว่น ตั้งแต่ฉันไปจนถึงวินาทีนี้ ฉันยังไม่ได้สูบบุหรี่ซักตัว โอเคป๊ะ ไปรายงานตัวกับบอกอดีกว่า ขี้เกียจฟังเทศน์” สาระวารีค้อนใส่แล้วฉวยลำไยชะลอมหนึ่งเดินไปห้องบ.ก.
มีคณาหมั่นไส้เพื่อนปาลำไยลูกนึงใส่กลางหัวเพื่อนพอดี สาระวารีหันมาชี้หน้า
“โอ๊ย... ป้าแว่น กลางวันเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวฉันด้วย”
มีคณายิ้มๆ พร้อมส่ายหน้า กินลำไยต่อไปอย่างอร่อย
ภายในห้องทำงาน ไชยวัฒน์แกะลำไยกินไป คุยไปกับสาระวารี ไชยวัฒน์น้ำเสียงเป็นห่วง
“ฟังเสียงคุณดูไม่เดือดร้อนเลยนะที่เกือบตาย”
“ตอนแรกก็กลัวหรอกค่ะ พอรอดมาได้ก็ดีขึ้น กลายเป็นว่าได้มีประสบการณ์แปลกๆ ในชีวิตอีกเรื่อง”
“คุณนี่แข็งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะนะ”
สาระวารีรีบเตือน
“แต่ข่าวเรื่องลอบยิง เรื่องผู้บงการอะไรนี่ ทางคุณษมาเค้าขอเอาไว้ อย่าให้ลงข่าวนะคะ”
“อ้าว ไม่ให้ลงเรอะ ว๊า น่าเสียดาย”
“วารีก็เสียดายค่ะบอกอ แต่คิดอีกที ลงไปอาจจะมีปัญหาทั้งทางเค้าทางเราก็ได้ แต่สำคัญกว่านั้น เจ้าพ่อแกอาจจะฟ้องเราได้นะคะบอกอ”
ไชยวัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย
“ก็ว่าไปตามนั้น...งั้นคุณก็เขียนงานไป ไม่ต้องรีบร้อนมาก เอาให้ดีที่สุด ผลงานชิ้นโบว์แดงเลยนะ”
“ไม่รีบไม่ได้หรอกค่ะ แหล่งข่าวจะขอตรวจข่าวก่อน”
ไชยวัฒน์อึ้งไป
“ขนาดนั้นเลย ไหนว่าเค้ารักสันโดษ ไม่ชอบออกจากเกาะไงล่ะ”
“แต่คราวนี้คงกลัวมั้งคะบอกอ กลัวเราจะเขียนข่าวให้เค้าเสียหาย เลยยอมออกจากถ้ำมาได้”
ไชยวัฒน์สีหน้าติดใจสงสัย
“ฟังทะแม่งๆ อยู่นะวารี บอกตรงๆ ผมไม่ค่อยไว้ใจนายเจ้าพ่อนี่ซะแล้วซิ”
ไชยวัฒน์มองหน้าสาระวารีเหมือนหาคำตอบ
“เล่าอะไรให้ผมฟังไม่หมดรึเปล่าวารี”
สาระวารีขำฝืนๆ กลบเกลื่อนไป
“ไม่มีค่ะ”
ไชยวัฒน์ยังจับตามองสาระวารีอยู่ สาระวารีฝืนขำต่อไปไม่ไหว รีบตัดบท
“กลับโต๊ะทำงานดีกว่า คิดถึงโต๊ะสุดชีวิตเลยค่ะ”
สาระวารีรีบเดินเลี่ยงออกไปจากห้องไชยวัฒน์ทันที ไชยวัฒน์ยังคงจับตามองตามสาระวารี สีหน้าติดใจสงสัยก่อนจะป้อนลำไยเข้าปากไปอีกเม็ด
หิรัณย์สวมแจ็คเก็ตเดินคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามาที่ล็อบบี้สยามสาร
“ผมเองครับคุณมี่ เผอิญมาธุระให้ผู้การแถวนี้เลยแวะเอารูปแกะดำมาให้... ครับไม่เป็นไรครับ … แต่คุณมี่เคยรับปากจะพาผมไปเลี้ยงข้าวมื้อนึง ผมขอใช้สิทธิ์มื้อนี้เลยแล้วกัน...ผมกินไม่จุคุณก็เห็นแล้ว ไม่จู้จี้เรื่องกินด้วย อะไรก็กินได้ทั้งนั้น... ได้เลยครับ ผมนั่งรอที่ล็อบบี้ คุณมี่เสร็จงานลงมาได้เลย” หิรัณย์ยิ้มแย้มดีใจ
มีคณากำลังเร่งพิมพ์งานปิดต้นฉบับให้เสร็จ สาระวารีเดินมาหามีคณาที่โต๊ะ
“ไปมี่ พักกินข้าวกันก่อน”
มีคณาหน้าแหยมองเพื่อน
“สงสัยฉันไปกับแกไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“แหล่งข่าวโทรมานัดพอดี”
“ก็ให้รอไปก่อนสิ นักข่าวก็คน ต้องกินข้าวเหมือนกัน”
“ก็แหล่งข่าวนัดกินข้าวน่ะสิ”
สาระวารีชักเอะใจ จ้องหน้า
“อย่างเธอเนี่ยนะ ยอมรับนัดกินข้าวกับแหล่งข่าว”
มีคณาไม่สู้ตา รีบเซฟงานปิดเครื่องไป สาระวารีเดินอ้อมมาข้างๆ วางมือเท้าลงที่โต๊ะจ้องหน้า
“แหล่งข่าวที่ไหนจะมีความสำคัญมากกว่าฉัน ขนาดเธอยอมทิ้งให้เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน กินข้าวคนเดียวได้ลงคอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"
สาระวารีจ้องหน้าดุ มีคณาอ้อมแอ้ม
"ก็สารวัตรหิรัณย์ แหล่งข่าวเรื่องยาเสพติดไงล่ะ ไปล่ะ"
มีคณาคว้ากระเป๋าสะพาย เลี่ยงไป สาระวารีเดินขวางหน้า จับเพื่อนกดนั่งกระแทกลง
"ยังไปไม่ได้"
มีคณาหน้าแหยกรอกตาไปมา กระชับแว่นเข้าดั้ง
"เห็นน้องๆ เมาท์ให้ฟังว่าหมู่นี้เอะอะก็ไปหาข่าวหน่วยนี้ตลอด แล้วตาสารวัตรนี่ก็โทรจิกเธอ เช้ากลางวันเย็นเลย สารภาพมาซะดีๆ แอบกิ๊กกันใช่มั้ย"
มีคณาตกใจ ปฏิเสธเสียงแข็งทันที
"จะบ้าเหรอวารี ฉันทำงาน"
สาระวารีฉุกคิด
"เดี๋ยว เดี๋ยว ขอสรุปความเข้าใจอีกที สารวัตรคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เธอฟาดเค้า 2 ครั้งซ้อนรึเปล่า"
มีคณาตอบปัดๆ
"ก็ใช่น่ะสิ บอกอให้ฉันหาเรื่องอื่นมาทำสกู๊ปสลับกับข่าวทารุณกรรมเด็กมั่ง กลัวคนอ่านจะเครียด"
"ฉันจะเตือนเธอเอาไว้นะมี่ โบราณเค้าว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เชื่อถือไม่ได้ เจ้าชู้สุดๆ"
"ผู้ชายทุกอาชีพก็เจ้าชู้หมดแหละ ขนาดไม่มีอาชีพยังไม่เจียมตัวเลย ขึ้นชื่อว่าผู้ชายก็ต้องระวังทั้งนั้นแหละ"
สาระวารีเงียบไปเล็กน้อย เธอพอรู้ปมชีวิตของเพื่อนบ้าง แม้จะไม่ละเอียดทั้งหมด ตามปกติมีคณา
ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังมากมายอยู่แล้ว
"ฉันไปได้แล้วใช่มั้ย เค้ามานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้นานแล้ว"
มีคณาจะเดินเลี่ยงไป สาระวารีฉุกคิด
"เดี๋ยว"
มีคณาหันมามองสาระวารี
"ฉันขอพิสูจน์อะไรหน่อยสิ"
มีคณามองหน้าเพื่อน ด้วยสีหน้าสงสัย สาระวารีอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการบางอย่างในใจ
สาระวารีกำลังแต่งหน้าเพิ่มเติมอยู่ในห้องน้ำพนักงานสยามสารให้ดูสวยเฉี่ยวขึ้นกว่าปกติ มีคณายืนกอดอกมองเพื่อนอยู่ข้างๆ
"จะทำอะไรของเธอ"
"ฉันก็จะพิสูจน์ให้เธอเห็นน่ะสิ ว่านายสารวัตรนี่ไว้ใจไม่ได้ เค้าใช้หน้าที่การงานมาหลอกใกล้ชิดกับเธอ จริงๆแล้วนายนี่ก็ผู้ชายเจ้าชู้ดีๆ นี่เอง" สาระวารีบอก
"เธอก็อคติกับตำรวจเกินไป"
"ประสบการณ์ที่ฉันเจอมา แสบๆทั้งนั้น"
สาระวารีจัดแต่งทรงผมให้ดูเซ็กซี่ขึ้นในความคิดของเธอ
"เธอจะพิสูจน์ยังไง"
สาระวารีสีหน้ามั่นใจมองหน้ามีคณา
"ง่ายมาก เธออยู่เฉยๆ แล้วรอดูอย่างเดียว"
มีคณาได้แต่แอบถอนใจยาวออกมา สาระวารีไม่รู้จักหิรัณย์ดีพอเท่าเธอ ถึงได้คิดแบบนี้แต่ก็ไม่กล้าออกปากรับแทนอะไรมาก
ผ่านเวลาเล็กน้อย บริเวณล็อบบี้สยามสาร หิรัณย์นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โซฟารับแขกเพื่อฆ่าเวลา สาระวารียืนอยู่ข้างมีคณาแอบซุ่มมองอยู่ที่มุมตึก
“หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” สาระวารีบอก
“จะพิสูจน์อะไรก็รีบทำซะสิ เค้ามีงานต้องไปทำต่อ”
“กินข้าวกลางวันกับเธอเนี่ยนะ งาน”
มีคณาขี้เกียจพูดมาก เดี๋ยวเข้าตัวได้แต่ถอนใจออกมา
สาระวารีมองด้วยสายตาอคติ
“หน้าตาเหมือนตำรวจที่ไหนล่ะ...เดี๋ยวเธอคอยดูให้ดีนะมี่ ฉันจะเผยธาตุแท้ของผู้ชายคนนี้ให้เธอเห็น ก่อนเธอจะหลวมตัวหลวมใจไปกันใหญ่”
สาระวารีจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ดูเซ็กซี่ สูดหายใจลึกแอ๊บจากข้างในแล้วเดินกรีดกรายทำตัวเป็นสาวเซ็กซี่ออกไปจากที่ซ่อน มีคณาได้แต่หลบมุมแอบมองตามเพื่อนไป ลึกๆ เธอก็อยากรู้เหมือนกัน
หิรัณย์นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือไปอย่างเพลินๆ สายตาเหลือบเห็นเรียวขาสวยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาเหลือบตาขึ้นมองตามสัญชาติญาณมนุษย์ที่เห็นของสวยๆ งามๆ สาระวารีทำเป็นยืนชะเง้อชะแง้มองหาเพื่อนอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นหิรัณย์เหลือบตามองขาเธอ ก็อมยิ้มพอใจที่เหยื่อติดเบ็ด
สาระวารีเดินกรีดกรายไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ห่างไปซักนิด เขาหันมองตามเล็กน้อย เห็นนั่งไขว่ห้าง วางท่าเซ็กซี่ยั่วยวนจิกตามองมาที่เขา
หิรัณย์ยิ้มให้ ตามนิสัยช่างยิ้มของเขา เธอยิ้มอ่อยตอบกลับไป
ผิดคาด หิรัณย์ก้มหน้าเล่มเกมส์ต่อ ไม่ได้สานอะไรต่อ !
สาระวารีแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ยอมแพ้ แกล้งกระแอมกระไอเรียกร้องความสนใจ เขายังคงเล่นเกมส์มือถือต่อไปอย่างมีสมาธิ ไม่สนใจเธอ
แม้สาระวารีกระแอมดังขึ้น แต่เขายังคงเล่นเกมส์ต่อไปอย่างเมามัน สาระวารีแอบเจ็บใจ ลุกเดินฉับๆ กลับออกไป
หิรัณย์ยังคงเล่นเกมส์ในมือถือตน รอมีคณาต่อไป
อ่านต่อตอนที่ 3