xs
xsm
sm
md
lg

3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 1

หลังงานแฟชั่นโชว์ในค่ำคืนนั้นเสร็จสิ้นอย่างแฮปปี้ ทีมงานมีการยิงประทัดสายรุ้ง โปรยวิบวับเฉลิมฉลอง ต่อจากนั้นมีปาร์ตี้หลังแฟชั่นโชว์ มัทนา สาระวารี และมีคณา ต่างเต้นรำกับเหล่าผู้สื่อข่าว นางแบบ และแขกวีไอพี อย่างสนุกสนาน

มัทนาก็เต้นออกแนวน่ารัก สาระวารีเต้นออกแนวสนุกสนานขี้เล่น ส่วนมีคณายังคงเต้นแบบเหนียมๆ ขยับแว่นไปมา ไม่อยากเต้นแต่ไม่กล้าขัดใจเพื่อน
มีคณาจะเดินหนีออกไป แต่เจอมัทนาและสาระวารีจับแขนเอาไว้ สองเสือสาวต่างเต้นล้อมหน้าล้อมหลังมีคณาแล้วหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน

ครู่หนึ่งต่อมา สามทหารเสือสาวชนแก้วกันที่มุมหนึ่งของงานปาร์ตี้ ก่อนจะลดแก้วลงเห็นหน้าสามสาวอย่างชัดเจน เครื่องดื่มในแก้วเป็นน้ำหวานไร้แอลกอฮอลล์
มีคณามองมัทนา พร้อมกับเอ่ยคำอวยพร
"พี่ขอให้มัทเดินทางไปภูเก็ตด้วยความปลอดภัยนะจ๊ะ"
"แล้วก็ขอให้เขตต์ตวันยอมให้สัมภาษณ์น้องรักของพี่แบบหมดเปลือกเลย" สาระวารีบอก
มัทนายิ้มแย้มรับ
"ขอบคุณค่ะ"
สาระวารีร้อง "เชียร์"
สามสาวชนแก้วน้ำหวานกันอีกครั้ง ผ่านการจิบแล้ว มัทนาก็ยิ้มแย้มอวยพรบ้าง
"มัทขออวยพรให้พี่วารีมั่ง"
"ว่ามาเลยน้องรัก"
"มัทขอให้เจ้าพ่อเกาะยานกตกตะลึงในความงามของพี่ แล้วยอมให้พี่วารีได้สัมภาษณ์เป็นคนแรก"
สาระวารีปั้นหน้าและสะบัดผมท่าสวยบอก
"ข้อนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว"
มีคณารีบเสริมต่อทันที
"แล้วก็ขอให้เธอมีสติ อย่าไปทำห้าววีนแตกจนเกิดเรื่องขึ้นมาอีกล่ะ"
"นี่ป้าแว่น เธออวยพรหรือหลอกด่าฉันเนี่ยอ้ะ อ้ะ เชียร์"
สามสาวชนแก้วและจิบน้ำหวานกันอีกครั้ง
"เราอวยพรให้มี่มั่ง" สาระวารีบอก
มีคณารีบสวนทันที
"ขอให้บอกอส่งคนอื่นไปงานแฟชั่นโชว์แทนเราทีเถ๊อะ"
สาระวารีหน้าทะเล้นแกล้งเพื่อน
"ไม่มีทางหรอกย่ะ ฟัง ฟัง ฉันขอให้เธอได้พบรักในงานก็แล้วกัน"
มีคณาหน้าเหยเกตอกกลับทันที
"ประสาท อวยพรอะไรบ้าๆ ไม่เอา"
สาระวารีขำๆ
"มัทมั่งค่ะ มัทขออวยพรให้งานแฟชั่นการกุศลคราวนี้สนุกประทับใจ มีประเด็นท้าทายให้พี่มีทำข่าวอย่างมีความสุขค่ะ"
"สมพรปากทีเถอะจ้ะ" มีคณาพูดพลางฝืนยิ้มให้มัทนา
"อ้ะๆ จะเมาน้ำหวานอยู่แล้ว จะได้กลับบ้านซะที เชียร์"
มีคณาแอบถอนใจอย่างเซ็งๆ ระหว่างชนแก้วน้ำหวานกับเพื่อนสองสาว เธอไม่อยากไปทำข่าวนี้เลย

ในวันหนึ่ง มีคณาในชุดซ้อมเทควันโดกำลังซ้อมท่าตามครูฝึกผู้หญิงไปด้วยท่าทีแข็งแรงแม้จะดูขัดกับลุ๊คสาวแว่นอย่างเธอไปบ้าง
"ไม่มีใครเชื่อว่าผู้หญิงบุคลิกลักษณะอย่างมี่ จะอยากเป็นนักข่าวอาชญากรรม"

ในอดีต เวลาสาย มีคณาแต่งตัวสุภาพมานั่งทานก๋วยเตี๋ยว รอสัมภาษณ์งานตอนสาย เจ๊นิดเสิร์ฟ
ก๋วยเตี๋ยวแล้วยืนชวนคุยด้วย
"หนูจะมาสมัครงานฝ่ายข้อมูลของสยามสารเหรอจ๊ะ"
"เปล่าค่ะเจ๊ หนูจะมาสมัครงานเป็นนักข่าวค่ะ"
"อ๋อ หน้าสตรีล่ะสิ แปลข่าวต่างประเทศแทนน้องหน่อยที่เพิ่งออกไปใช่มั้ยจ๊ะ"

ผ่านเวลาซักพัก ภายในห้องบ.ก. ไชยวัฒน์ลดใบสมัครลงมองหน้ามีคณา ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ไชยวัฒน์ถามอย่างแปลกใจ
"อยากทำข่าวอาชญากรรมจริงๆ เรอะ"
"ค่ะ"
มีคณาใช้นิ้วดันแว่นให้กระชับดั้งไปมา ไชยวัฒน์มีสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า มีคณาจะทำได้

มีคณาซ้อมท่าเตะหนักแน่นรุนแรงอยู่กับครูฝึก เธอดันแว่นให้เข้าที่
"คุณมี่ไม่ลองใส่คอนแท็คเลนส์ดูล่ะคะ จะได้กระฉับกระเฉงขึ้น" ครูฝึกบอก
"ไม่เอาหรอกค่ะ กลัวสวย"
ครูฝึกขำๆบอก
"คุณมี่นี่ตลกหน้าตายจริงๆเลยนะคะ"
ครูนำฝึกต่อไป มีคณาพูดจริงไม่ได้แสร้งตลกอย่างที่ครูฝึกเข้าใจ เธอฝึกต่อด้วยสีหน้านิ่งเอาจริง มีคณาไม่อยากให้ใครมองเห็นว่า เธอสวยจริงๆ
"แล้วมี่ก็พิสูจน์ตัวเองให้บอกอและเพื่อนนักข่าวเห็น ว่ามี่มีความสามารถเหมาะสมกับเป็นนักข่าวอาชญากรรมได้จริงๆ"
มีคณาเตะเท่ๆ พร้อมเสียงร้องข่มขวัญของคู่ต่อสู้

ภายในห้องบ.ก. มีคณารับงานชิ้นใหม่จากไชยวัฒน์พูดพร้อมสีหน้าแปลกใจ
"งานแฟชั่นการกุศลเหรอคะ"
ไชยวัฒน์พยักหน้ารับ เธอก้มมองเอกสารในมือเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วทำหน้าแหยๆ
"ปกติงานแนวนี้เป็นหน้าที่ของมัทไม่ใช่เหรอคะ บอกอ"
"เผอิญมัทมีงานด่วนต้องไปทำสกู๊ปข่าวเขตต์ตวันที่ภูเก็ตพอดี ตอนนี้คุณไม่มีงานอะไรด่วน หรือต้องออกต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอมี่"
มีคณาไม่ค่อยอยากทำข่าวนี้
"ไม่มีหรอกค่ะ แต่แหม งานแฟชั่น" มีคณาพูดพลางถอนใจออกมา
"พี่รู้ว่ามี่ไม่ชอบทำข่าวสังคม แต่งานนี้พี่ขัดไม่ได้จริงๆ งานนี้เค้าจัดขึ้นเพื่อหารายได้สนับสนุน หน่วยงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนะมี่ วัตถุประสงค์การจัดงานเค้าดี"
มีคณารับฟังอย่างคิดตามพร้อมดันแว่นขยับให้กระชับเข้าดั้ง
"ผู้จัดงานเค้าขอความร่วมมือมา อยากให้งานได้เผยแพร่มากๆ พี่คิดดูแล้วว่าควรช่วยเค้าหน่อย... เอาน่า ช่วงนี้มี่ก็ทำงานคร่ำเครียดต่อๆ กันมาหลายงานแล้ว พักไปทำข่าวสวยๆ งามๆ คลายเครียดมั่งก็ดี"
"มี่จะยิ่งเครียดหนักขึ้นน่ะสิคะบอกอ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า เอาแค่ถ่ายรูป เนื้อข่าวสั้นๆ กับสัมภาษณ์จุดประสงค์ของงานเท่านั้นก็พอแล้วล่ะ"
มีคณาสีหน้าส่อแววเซ็ง
"ก็คงมีเท่านั้นแหละค่ะ ข่าวแนวนี้จะมีอะไรมากมาย"
เธอก้มอ่านแฟกซ์เชิญในมือ
ไชยวัฒน์ยิ้มบางๆ
"ถึงข่าวสังคมจะเป็นแค่ไม้ประดับ แต่ไม้บางชนิดก็มีคุณค่านะมี่"
มีคณาช้อนตาขึ้นมองไชยวัฒน์ ที่กำลังสอนลูกน้องกลายๆ
"เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่มุมมองการนำเสนอ ถ้านักข่าวคิดเสียแต่แรกว่าไม่มีอะไร มันก็ไม่มีทางมีอะไรขึ้นมาได้หรอก"
มีคณาแอบจ๋อย เพราะตัวเองด่วนสรุป มีอคติไปซะก่อนจริงๆ
"เปิดใจให้กว้างไว้มี่ มองหาในสิ่งที่คุณไม่อยากมอง ไม่อยากสนใจ บางทีมันอาจจะมีอะไรก็ได้"
นักข่าวสาวหน้าเจื่อนๆ กระชับแว่นตาเข้าดั้ง

"ค่ะบอกอ"

เวลาเย็น ภายในสถานที่อบรมฝึกทักษะการป้องกันตัวเอง มีคณาไปเข้าคอร์สอบรมเบื้องต้นของผู้หญิงกับหน่วยงานของตำรวจ

เธอจับคู่กับผู้หญิงด้วยกัน และตั้งใจฝึกวิธีป้องกันตัวตามที่ครูตำรวจสอน
"มี่อยากเป็นสื่อกลางช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกเอาเปรียบทางเพศ อยากให้การค้าประเวณีหมดไปจากโลกนี้ซะที มี่จริงจังกับเรื่องนี้มาก อาจจะเป็นเพราะปมในวัยเด็กของมี่ก็ได้.... ซึ่งมี่ก็ไม่จำเป็นต้องเล่าความเจ็บช้ำที่ผ่านมาของมี่ให้ใครฟัง"
มีคณาได้จังหวะหักแขน ใช้ขาขัดดึงผู้หญิงคู่ฝึกจนหงายล้มไปกับพื้นอย่างแรง

เวลาหัวค่ำ มัทนาและสาระวารีมารอรับมีคณาจากสถานที่อบรมฯ ทั้ง 3 คนเดินแทะไอศครีมคุยกันมาตามทางเดินข้างถนนเพื่อเดินไปยังป้ายรถเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน...โดยมีมัทนาเดินคั่นกลาง
"ขอบใจนะอุตส่าห์มารับ" มีคณาบอก
"ไม่ครบแก๊งแล้วกลับบ้านไม่ถูก" สาระวารีพูดพลางแทะไอศกรีมของตัวเองไป
"แก๊งแม่เสือสาวของเรา ถ้ายังฟอร์มทีมเหนียวแน่นขนาดนี้ มัทว่า ต้องได้จองดาวน์หมู่บ้านคานทองอยู่ด้วยกันแน่ๆ"
มัทนาขำๆ อารมณ์ดี กินไอติมไป แต่มีคณาและสาระวารีหยุดกินไอศกรีมพร้อมกันพูดพร้อมกัน
"อยู่ยังงี้ก็ดีแล้ว"
มีคณาและสาระวารีหันมองหน้ากัน ก่อนแปะมือกัน
สาระวารียักไหล่ไม่แคร์
"สมัยนี้ผู้หญิงครองตัวเป็นโสดไม่เห็นแปลก ชีวิตเราทั้งชีวิตนะมัท เรื่องอะไรต้องเอาไปผูกติดกับคนอื่นด้วย ไม่มีแฟนไม่มีภาระ อยู่ยังงี้แหละพี่ว่าสบายที่สุดแล้ว"
มีคณารีบเสริมเพื่อนต่อทันที
"ถูก ตอนนี้เรายังสาว ยังมีกำลังทุ่มเทให้งานได้เต็มที่ อย่าไปเสียเวลากังวลเรื่องมีแฟน ไม่มีแฟนเลยจ้ะมัท ใจเย็นๆ รอที่จะเลือกและรักผู้ชายที่มีคุณค่าสำหรับเรา และเราก็มีคุณค่าสำหรับเค้าดีกว่า"
สาระวารียิ้มขี้เล่น
"มี่พูดถูกใจเจ๊มาก พวกเราน่ะคุณภาพคับแก้วอยู่แล้ว แต่ผู้ชายคุณภาพเสมอเราหายาก"
มัทนาขำๆชอบใจ มีคณาหยุดเดินหันมองหน้ามัทนา
"มัทจะรักใครต้องรักด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพราะความหลงรู้มั้ย ถ้าเราไม่แน่ใจ พี่ว่าอย่ามีเลยดีกว่า ถ้าพลาดจะยิ่งกว่าตกนรก ใจเราจะไม่มีวันมีความสุขได้เลยนะมัท"
มีคณาสีหน้าจริงจัง หวังดีกับมัทนา ไม่อยากให้เจอเรื่องร้าย
"มัทเห็นด้วยกับพี่ทั้งสองคนค่ะ"
สาระวารียิ้มกระเซ้า
"คบกันมาตั้งนาน เพิ่งจะได้ยินป้าแว่นพูดถึงความรักยาวๆ ก็วันนี้เอง นับเป็นบุญหูจริงจิ๊ง"
มีคณาหมั่นไส้เพื่อนยื่นมือมาทางด้านหลังกระตุกผมสาระวารีจนหัวหงายไปเล็กน้อย ฝ่ายสาระวารีหันไปฟาดแขนเพื่อนคืน ทั้งสามสาวเดินคุยกันไป หัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่กันไป

เวลากลางคืน ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนหันหลังลับๆ ล่อๆ อยู่ท้ายซอยเปลี่ยว เหมือนรอการมาของใครอยู่
เด็กหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาจอดเทียบ แล้วดับไฟหน้ารถทันที ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ ค่อยๆหันมา เขาคือ พ.ต.ต. หิรัณย์ สารวัตรหรุ่มหล่อจากป.ป.ส. เด็กหนุ่มส่งรหัสกักับสารวัตร
"4 4 3"
หิรัณย์คิดก่อนถอดรหัสกลับ
"8 7 6"
เด็กหนุ่มส่งรหัส เช็กอีกรอบ
"3 2 7"
หิรัณย์คิดก่อนถอดรหัสกลับ
"5 9 8"
เด็กหนุ่มจึงแน่ใจยอมลงจากมอเตอร์ไซค์ตรงเข้าไปหา เด็กหนุ่มเช็กอีกที
"7 1 2"
หิรัณย์ชักรำคาญ
"จะเช็กไปถึงไหน ส่งของมาเร็วๆ เลย จะเอาเงินไม่เอา"
"ยื่นหมูยื่นแมว" เด็กหนุ่มบอก
สารวัตรหิรัณย์หยิบเงินปึกหนึ่งออกมา
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น เสียงเรียกเข้าเลียนเสียงสัญญาณเตือนภัย เด็กหนุ่มตกใจมากยกเท้าถีบใส่หิรัณย์แบบไม่ทันตั้งตัว จนสารวัตรหนุ่มพลาดท่า เสียหลักไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มได้ทีรีบกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซค์หนีไป
ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ซ่อนตัวพรางอยู่ซิ่งมอเตอร์ไซค์กระโจนตามไปทันที ฝ่ายหิรัณย์ตั้งหลักได้ รีบไปขับมอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่จอดไว้ไม่ห่างนัก แล้วซิ่งอ้อมไปอีกทาง!

สารวัตรหิรัณย์ซิ่งมอเตอร์ไซค์ อ้อมถนนหมายจะไปดักหน้าคนร้ายบนถนนลูกรัง ซึ่งมีตึกก่อสร้างทิ้งร้าง หิรัณย์ต้องซิ่งหลบไปมาก่อนจะพุ่งทะยานข้ามเนินไป
ตำรวจนอกเครื่องแบบซิ่งมอเตอร์ไซค์ไล่บี้เด็กหนุ่มมาติดๆ ตามถนนสายเปลี่ยว เด็กหนุ่มบิดรถหนีสุดชีวิต ไม่คาดคิด หิรัณย์ซิ่งมอเตอร์ไซค์เหินลอยมาจากเนินข้างทาง พุ่งมาตีวงขวางหน้าในระยะกระชั้นชิด
เด็กหนุ่มเบรกหลบจนรถเสียหลักล้ม เด็กหนุ่มจะวิ่งหนี ขณะจะจนมุม ไม่ขาดคิด เด็กหนุ่มถูกลอบยิงฆ่าตัดตอนปิดปากมาจากอีกมุมของถนน จนตายคาที่!!
มอเตอร์ไซค์คนร้ายที่ตามมาปิดปากเด็กหนุ่มซิ่งหายไปกับความมืดอย่างเร็ว!! หิรัณย์หันมองตามรถคนร้ายไป สีหน้าเจ็บใจเสียดายมาก ที่อดสาวถึงตัวบงการใหญ่อีกจนได้

มีคณาเดินกลับมาตามซอยบ้านตอนกลางคืน บริเวณนั้นมีบ้านไม้เก่าๆ สองชั้นหลังเล็กมีอายุร่วม 40 กว่าปีแล้ว บ้านของมีคณาตั้งอยู่ตรงหัวโค้งหักศอกของซอย ติดกับศาลเจ้าขนาดใหญ่ ทำให้บ้านมีกลิ่นควันธูปตลอดเวลา
เธอเดินมาถึงหน้าบ้านแล้วหยิบจดหมายต่างๆ ในตู้จดหมายออกมาดู จนสะดุดสายตากับซองจดหมายสีฟ้าคุ้นเคยที่ส่งมาจากประเทศอังกฤษเป็นประจำทุกเดือน เธอสีหน้านิ่งมองซองจดหมาย ก่อนไขกุญแจรั้วเปิดเดินเข้าบ้านไป
"จดหมายสีฟ้ารายเดือนของป้ามั่นสิน ผู้หลงใหลสีฟ้าเป็นชีวิตจิตใจ จนมี่เคยนึกอยากจะมีตาสีฟ้า ผมสีฟ้า ตัวสีฟ้ามั่ง เผื่อป้าจะหันมารักมี่บ้าง"

มีคณานั่งลงที่โซฟาในบริเวณโถงรับแขกพร้อมแกะจดหมายไป มั่นสินเป็นครูภาษาอังกฤษ บ้านของมีคณามีกรอบรูปของมั่นสินตั้งโชว์อยู่ เป็นรูปถ่ายกับนักเรียนบ้าง กับเพื่อนครูบ้าง รวมถึงภาพการรับรางวัล และการมอบรางวัลให้นักเรียนบนเวทีต่างๆ
เสียงความในใจของมีคณา ขณะแกะจดหมายและอ่าน...
"จดหมายลงวันที่ 16 เหมือนเดิมตลอด 5 ปีที่ป้าย้ายไปช่วยเพื่อนสนิทคุมร้านอาหารเล็กๆ อยู่ที่อังกฤษ...ป้าคือญาติข้างพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ของมี่ และเป็นคนเดียวที่เลี้ยงมี่มาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 7 วันดี"
มีคณาเงยหน้าขึ้นมาจากจดหมายของป้า

ในอดีต เมื่อ 20 กว่าปีก่อน พ่อแม่ของบานเช้าพาบานเช้าซึ่งร้องห่มร้องไห้มาคุยกับมั่นสินที่สนามหน้าโรงเรียนต่างจังหวัดที่บ้านเกิดของมีคณา
มั่นสินมีสีหน้าหนักใจ
"ครูก็ลำบากใจจริงๆ น้องชายครูเค้าปฏิเสธลูกเดียว ไม่ยอมรับว่าเป็นลูกของเค้า ตอนนี้หนีเตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้"
"ครูพูดยังงี้จะปัดความรับผิดชอบ ปล่อยให้บานเช้ามันท้องไม่มีพ่อ ใช่มั้ย" พ่อบานเช้าว่า
"ฟังครูพูดให้จบก่อนได้มั้ย"
มั่นสินมองบานเช้าด้วยสีหน้าเห็นใจ
"ครูจะช่วยดูแลบานเช้าแล้วก็รับเด็กในท้องมาอุปการะเลี้ยงดูให้เอง"
แม่บานเช้าบอก
"เท่านั้นไม่พอหรอกค่ะครู พวกเราต้องเสียชื่ออับอายชาวบ้านเค้าไปทั่ว เราต้องการเรียกค่าเสียหายค่ะ"
"จะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามา"

มีคณาเล่าต่อ "หลังจากคลอดมี่ได้ไม่นาน แม่ก็ถูกจับแต่งงานกับหนุ่มในหมู่บ้านเพื่อล้างอาย"

ในอดีต 2 ปีต่อมา มั่นสินเก็บของใช้ที่โต๊ะทำงานเสร็จ เดินมามองกระดานดำ และกวาดตามองห้องเรียนเป็นการร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย
"พอมี่อายุได้ 2 ขวบ ป้าก็ย้ายไปสอนจังหวัดอื่น วันที่เราเดินทางจากที่นั่นมา แม่ก็คลอดลูกชายคนแรกพอดีก่อนจะได้ลูกสาวตามมาอีก 2 คนชนิดหัวปีท้ายปี"

มั่นสินยืนหน้านิ่งรอรับมีคณา ที่มุมสนามของโรงเรียนวัดช่างหมื่น ซึ่งเป็นโรงเรียนในซอยบ้านที่อยู่ในอดีตถึงปัจจุบัน

ตอนนั้นมีคณาอยู่ในวัย 6-7 ขวบ ถือกระเป๋านักเรียนใบเล็กเดินออกมายืนแอบมองแม่ของเพื่อนๆที่มารับและกอดหอมลูกสาว

"รีรออะไรอยู่ได้ เร็วๆ สิมี่ ป้าต้องรีบกลับไปออกข้อสอบ"
มีคณาเดินมาวางกระเป๋าไหว้ป้าอย่างเรียบร้อย มั่นสินจับมือมีคณาให้พนมมือไหว้ให้ถูกตำแหน่ง
"ไหว้ผู้ใหญ่ นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้จดหว่างคิ้ว สอนไม่รู้จักจำ"
มั่นสินเดินนำไปก่อน มีคณาถือกระเป๋ารีบวิ่งไปจูงมือป้าไว้ มั่นสินสะบัดมือมีคณาออก
"จะมาจับทำไม โตแล้ว กลัวอะไร หัดมีความมั่นใจตัวเองหน่อยสิ"
มั่นสินทำสีหน้าดุๆ เดินนำไปก่อน มีคณาเดินหน้าซึมๆ จ๋อยๆ ตามหลังป้าไปห่างๆ

เมื่อมีคณาอยู่ในช่วงวัยรุ่นราว 14-15 ปี กำลังเถียงฉอดๆ กับป้าอยู่ที่โถงบ้าน เธอระเบิดด้วยความอัดอั้น พูดไปร้องไห้ไป
"ป้าไม่รักมี่เพราะมี่ไม่ใช่ลูก ไม่ต้องการก็ไม่ต้องเลี้ยงสิคะ เลี้ยงเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวนึงยังงี้ จะเลี้ยงไปทำไม มี่อยากกลับไปอยู่กับแม่ ไปอยู่เหนือกับแม่ ไม่อยากอยู่กับป้าแล้ว"
มีคณาพูดแล้วน้ำตาไหลพราก มั่นสินสีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก เดินหน้าเชิด หลังตรงขึ้นบันไดบ้านไปเงียบๆ
"ป้าไม่พูดอะไรซักคำ รอจนมี่สอบเสร็จ ก็ซื้อตั๋วรถเที่ยวเดียวพร้อมกับซองจดหมายจ่าหน้าถึงแม่บานเช้า ยัดใส่มือให้มี่"

ในอดีต มีคณาในวัย14-15 ปีสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าหยุดยืนมองบ้านบานเช้าอยู่หน้ารั้วบ้านในตอนเย็น เธอมีสีหน้าผิดหวัง ที่บ้านของแม่เป็นแค่บ้านชั้นเดียว ดูซ่อมซ่อ หญ้าขึ้นรกรอบบ้าน ไม่ได้รับการดูแล ผิดกับที่เธอเคยได้ยินจากป้าว่า แม่พอมีฐานะอยู่บ้าง

บริเวณหน้าหน้าโถงบ้าน บานเช้าพาเธอมาแนะนำตัวให้รู้จักกับทุกคน ธำรง ธิดา และ ธารา มองมีคณาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ไม่อยากจะนับญาติด้วย
"นี่น้าบุญสม"
บุญสมรับไหว้มีคณาแล้วจับตามองอย่างพิจารณา
"ส่วนนั่นน้องๆ ของมี่ ธำรง ธิดา แล้วก็คนเล็กธารา"
มีคณายิ้มแย้ม ทุกคนนิ่งเฉยจนบานเช้าต้องเตือน
"ไหว้พี่เค้าซะสิ"
ธำรงในวัย 12-13 ปีไม่สนใจก้มอ่านการ์ตูนต่อ ธิดากับธาราไหว้ทิ่มพรวดให้อย่างเสียไม่ได้ แล้วจูงกันออกไปเล่นข้างนอก มีคณาชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทีไม่ค่อยเป็นมิตรของน้องๆ
"อะไรวะ อยู่กรุงเทพ นึกว่าจะหน้าตาดี แต่งตัวทันสมัยเหมือนพวกในทีวี ดูไม่ได้เลย ใส่แว่นอีก ยังงี้ใครจะมาสนวะ" บุญสมส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์แล้วลุกไป
มีคณาอึ้งปนงงอยู่ตรงนั้น

เย็นวันหนึ่ง ภายในบ้าน บุญสมยิ้มแย้มเดินนำคุณนายสาวใหญ่เข้ามาที่โถง มีคณากำลังช่วยบานเช้าพับผ้า
"นังมี่ แกยืนขึ้นซิ ให้คุณนายเค้าดูตัวหน่อย"
มีคณาอึ้งๆ หันมองหน้าบานเช้าที่มีสีหน้าดูไม่สบายใจนัก ธำรงที่นอนกระดิกเท้าอ่านการ์ตูนอยู่ที่โซฟา เขาลดหนังสือการ์ตูนลงมอง
"เร็วซิวะ พูดภาษาคนไม่เข้าใจรึไง กูจะได้เห่าแทน"
มีคณาค่อยลุกขึ้นยืน สาวใหญ่เดินวนดูรอบๆ ตัว
"ไหนถอดแว่นสิจ๊ะ" คุณนายบอก
มีคณาแปลกใจมองอย่างงงๆ แต่ก็ถอดแว่นออก คุณนายยิ้มพอใจแอบปลื้ม
"มี่เค้าสวยเหมือนแม่นะ ผิวผ่อง ตาโตหวานเชียว แหม ยังงี้คงดัง"
คุณนายและบุญสมหันไปยิ้มชอบใจกัน ธำรงเข้าใจก็พลอยยิ้มดีใจไปด้วย มีคณาหน้าเสีย รู้ตัวแล้วว่าตนกำลังจะถูกขายเช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆในหมู่บ้าน
"จะดีเหรอพี่สม ครูสินเค้าเลี้ยงมี่มานะ ถึงจะเป็นลูก แต่ฉันก็ไม่ได้เลี้ยงให้ไปทำงานแบบนี้ ครูสินจะโกรธเอานะ" บานเช้าบอก
"โกรธก็โกรธไปซิวะ มันไม่เอาแล้วนี่ ถึงได้ส่งตัวมาให้เรา โง่ชะมัดเลย เล็กๆ เอาไปเลี้ยง โตใช้งานได้ดั้นเอามาคืน" บุญสมขำๆอย่างดูถูก
มีคณาเสียงแข็ง
"แม่ มี่ไม่ไปไหนนะคะ มี่จะอยู่กับแม่"
บุญสมและธำรงหันขวับมาจ้องหน้าเธออย่างไม่พอใจ
"ไปกับป้าเถอะจ้ะหนู ป้าเลี้ยงดีนะ กินอยู่สบาย งานก็สบาย"
"ฉันไม่ไป งานสบายบ้าบออะไร ป้าบอกว่างานสกปรก"
"เอ๊ะ นังนี่ ป้าแกมันสาวโสดหาผัวไม่ได้ จะไปรู้อะไร" บุญสมว่า
"พี่สม ถ้ามี่มันไม่อยากทำก็ปล่อยมันเถอะ ครูสินบอกว่ามี่เรียนเก่งให้มันเรียนสูงๆ จบแล้วทำงานส่งเงินมาให้เราก็ได้ ตอนนี้ฉันก็ยังพอหาเงินได้ไม่เดือดร้อนอะไร"
"มึงไม่เดือดร้อนแต่กูกับลูกเดือดร้อน ดูลูกสาวบ้านอื่นซิ เค้ากตัญญู ไปทำงานหาเงินส่งบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ลูกมึงนี่กลับทำยักท่า"
ธำรงรีบเสริม ทำหน้าตากวนประสาทใส่พี่สาวต่างพ่อ
"ใช่พ่อ ไม่สวยแล้วยังเรื่องมากอีก"
"ผู้หญิงจะเรียนไปทำไมวะ เสียเวลา สู้ไปทำงานตั้งแต่เด็กไม่ได้ พอยี่สิบสี่ยี่สิบห้าก็เลิก กลับบ้านทองหยองเต็มตัว ทางบ้านก็ลืมตาอ้าปากได้ ถึงตอนนั้นมึงค่อยหาผัว"
มีคณาเสียงดังจะร้องไห้
"มี่ไม่ไป มี่ไม่ทำ"
"เอ๊ะอี่นี่ พูดไม่รู้เรื่อง มึงเป็นพี่สาวคนโต ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ หน่อยสิวะ อีกหน่อยมันจะได้เคารพนับถือว่าพี่กตัญญู มันก็จะได้กตัญญูตามมึง"
มีคณาโกรธจนเหลืออด
"ความคิดทุเรศ ไปขายตัวเนี่ยนะกตัญญู อยากมีบ้านมีรถ ทำไมน้าสมไม่ออกไปหางานทำล่ะ วันๆ เอาแต่กินเหล้า งานการไม่ทำ นอนสบายอยู่บ้านคอยแต่เกาะแม่ฉันกิน"
บุญสมโกรธจะตรงเข้าไปตบ
"อีมี่ ปากดีนักนะมึง"
บานเช้ารีบเข้ามากันลูกสาวเอาไว้

"ช่างมันเถอะพี่"

คุณนายชักเห็นท่าทางไม่ดี

"นี่พ่อสม ถ้าเด็กมันยังไม่พร้อม ฉันก็ยังไม่อยากรับหรอกนะ ไม่อยากมีเรื่อง เดี๋ยวมันไปฟ้องแขก หนีไปแจ้งความ ฉันกลัวจะยุ่ง"
ฝ่ายบุญสมกลัวไม่ได้เงินรีบบอก
"โอ๊ย ไม่ยุ่งหรอกครับคุณนาย นังมี่ ป้ามันเลี้ยงมาให้ สะดิ้งไปยังงั้นเอง พอทำงานซักพักมันก็ชอบเหมือนแม่มันนั่นแหละ"
บุญสมเหล่มองบานเช้าที่มีอาการผงะไปเล็กน้อย มีคณาโกรธแทนแม่ หันมาจ้องหน้าบุญสมเขม็ง
"นังบานเช้ามันก็บานแต่อายุขนาดนี้เหมือนกัน แร่ไปบานให้พ่อนังมี่กับใครต่อใครไปทั่ว เลือดแม่มันแรง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหร้อก น้ำหน้าอย่างมันเนี่ย พอรู้รสแล้วขี้คร้านจะระรี้ระริก"
มีคณาทนไม่ไหวร้องกรี๊ดขึ้นมา แล้วพุ่งไปทุบตีจิกกัดบุญสม อยากให้บุญสมรู้สึกเจ็บเหมือนที่แม่รู้สึก
บุญสมโกรธตุ๊ยท้องเธอเต็มหมัด
"นังลูกหมาเอ๊ย"
บุญสมเหวี่ยงเธอกระเด็นแล้วตามไปตบไม่ยั้ง คุณนายมีหน้าตาตื่นตกใจ เห็นท่าไม่ดีจึงเดินเลี่ยงออกไปจากบ้าน ขณะที่ธำรงลุกยืนดู สีหน้าสมน้ำหน้า สะใจ บานเช้ารีบเข้าไปห้าม จับตัวบุญสมไว้
"พี่สมพอแล้ว"
บุญสมเดือดดาลจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ บีบคอมีคณาเขย่าแล้วเงื้อมือจะตบสุดแรง จนแว่นตากระเด็นหลุดจากหน้ากระดอนไปกับพื้นบ้าน มีคณาหมดสติคามือบุญสม ร่วงลงกองกับพื้น บานเช้าแผดเสียงลั่น"พอแล้วพี่ เดี๋ยวมันก็ตายพอดีหรอก"
" มึงห่วงมันนักใช่มั้ย"
บุญสมจิกหัวบานเช้าขึ้นมาตบคว่ำไปอีกคน

ผ่านเวลาพักใหญ่ ภายในห้องนอน มีคณายังนอนหมดสติอยู่บนเสื่อที่มุมห้องนอน บานเช้าคอยเช็ดตัวซับหน้าไปมา เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สายตาเบลอ เพราะไม่ได้ใส่แว่น แม้เธอจะเห็นหน้าแม่ไม่ชัดนัก แต่ก็มองออกว่า แม่มีรอยช้ำ แตกเหมือนกับตัวเอง
มีคณาควานมือหา
"แว่นมี่ล่ะคะ"
บานเช้าตัดบท
"นอนเถอะลูก ไม่มีอะไรแล้ว น้าเค้าโมโหไปหน่อย"
มีคณามองหน้าแม่ แม้จะไม่ชัดนักก็รู้ว่า แม่โดนซ้อมจึงร้องไห้สะอื้นออกมา ธำรงเปิดประตูเข้าห้องมาโวยวาย เสียงกระโชกโฮกฮาก
"แม่ ฉันกับพ่อหิวแล้ว เอาใจมันเสร็จก็รีบไป ทำกับข้าวเลย ชักช้าเดี๋ยวก็โดนอีกหรอก"
"เออ เออ ไปเดี๋ยวนี้แหละ นอนพักนะมี่" บานเช้ารีบลุกเดินออกไปทันที
พอบานเช้าเดินออกไป ธำรงก็เดินกร่างเข้ามามองมีคณา
"ดัดจริต ไม่รู้จักบุญคุณแม่ ไม่ยอมเลี้ยงน้อง คนแถวนี้เค้าก็ขายกันทั้งนั้นแหละ มึงวิเศษมาจากไหนถึงทำไม่ได้ถุย"
สิ้นคำธำรงก็เตะเข้าที่ชายโครงมีคณาซ้ำอย่างเต็มแรง เธอร้องเจ็บจนตัวงอ
"เพราะมึงเล่นตัว กูเลยอดได้เงินไปซื้อของเล่นใหม่เลย"
ธำรงเดินออกไปอย่างหัวเสีย เธอเจ็บตัวและเจ็บใจจนน้ำตาไหลออกมา

ฟ้ายังมืดสนิท ... มีคณาตัดสินใจสะพายกระเป๋าแอบย่องหนีมาที่โถงกลางเมื่อตอนตี 4 ธำรงเมาหลับอยู่กลางบ้าน เธอค่อยๆย่องไปทางประตู ขณะที่กำลังจะเปิดประตู
"เดี๋ยวมี่"
มีคณาสะดุ้งเฮือก บานเช้าหน้านิ่งเดินเข้ามาหา พร้อมยื่นซองหนึ่งให้มีคณารับไว้
"ครูสินคิดไว้แล้วว่า อาจเกิดเรื่องยังงี้ แกเลยฝากเงินไว้กับแม่ เอาไปนะลูก กลับไปอยู่กับป้าเค้าเถอะ อย่าอยู่ที่นี่เลย"
มีคณาน้ำตาท่วมสวมกอดแม่ ร้องไห้ออกมา

บานเช้าสวมกอดลูกสาวลูบหลังให้กำลังใจ

อ่านต่อหน้า 2

ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในเวลาตอนหัวค่ำ มีคณาสะพายกระเป๋าเดินทางเข้ามายกมือไหว้ ร้องไห้ น้ำตาไหลพรากอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน มั่นสินสีหน้านิ่งไขกุญแจเปิดประตูรั้วให้ มีคณาทิ้งกระเป๋าเดินทางลง แล้วก้มลงกราบเท้าป้ามั่นสินกับพื้นถนน เธอร้องไห้จนตัวสั่นเทา

มั่นสิน ป้าของมีคณา แม้จะเป็นครูที่เก่งในเรื่องการเรียนการสอน แต่ไม่รู้จะปลอบใจหลานยังไง ได้แต่ถอนใจ ก้มลงเอามือแตะบ่าหลาน
"ขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนซักตื่นเถอะมี่ สดชื่นสบายใจแล้วค่อยมาคุยกัน"
มั่นสินปลอบได้แค่นั้นแล้วเดินนำกลับเข้าบ้านไป มีคณาช้อนตาขึ้นมองตามป้า น้ำตาไหลพราก

มีคณาน้ำตาคลอ แววตาเหม่อลอยเมื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวของตัวเองขึ้นมา เธอเลื่อนสายตาลงมองจดหมายของป้าในมืออีกครั้ง
"เนื้อหาส่วนใหญ่ของจดหมายก็คล้ายๆกันทุกฉบับ คือสั้น กระชับ เขียนเหมือนเป็นการส่งข่าวที่จำเป็นต้องส่ง บอกเล่าถึงสุขภาพ ดินฟ้าอากาศถามไถ่ความเป็นอยู่ที่เมืองไทย ก่อนจะตบท้ายด้วยคำพูดเดิมๆ ว่า..."
"หวังว่ามี่คงจะสบายดี ทางนี้ป้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง"
มีคณาสีหน้านิ่งพับจดหมายเก็บเข้าซอง แล้วเอาไปวางรวมในตะกร้าใส่จดหมาย ที่มีแต่จดหมายสีฟ้าแบบเดียวกันเด๊ะ วางซ้อนเป็นตั้งสูง เพราะป้าจะส่งจดหมายมาทุกเดือน เดือนละฉบับ เป้ฯเวลาร่วม 5 ปี กองจดหมายนั้นน่าจะมีอยู่ราว 60 ซองเห็นจะได้
มีคณาหยิบกระเป๋าถือมาสะพาย แล้วค่อยๆ เดินกลับขึ้นบ้านชั้นบน ซึ่งเป็นห้องนอนเธออย่างเงียบๆ เธอเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่ในบ้านหลังนี้

มัทนาและมีคณาเดินนำเข้าไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อย ยามบ่ายคล้อย ผู้คนไม่เยอะแล้ว สาระวารีสั่งอาหารเป็นคนสุดท้ายกับเจ๊นิด รูปร่างตุ้ยนุ้ย
สาระวารีเข้าบีบนวดบ่าให้เจ๊
"แห้งชามน้ำชามเหมียนเดิม วันนี้หิวจัด ให้เวลา 5 นาทีนะเจ๊ เกินนั้นจะลุกมาลุยหน้าเตาเอง"
เจ๊คนขายยิ้มบอก
"โมโหหิวมาจากไหนจ๊ะ นั่งรอแป๊บนึงนะ"
"จ้ะเจ๊"
สาระวารีแกล้งบีบชั้นไขมันข้างเอวทั้งสองข้างของเจ๊ อย่างมันเขี้ยวพลางร้องเพลงกระเซ้า
"จ้ำม่ำซะจริงนะน้องเอ๋ย"
เล่นเอาเจ๊คนขายเขินตีแขนเบาๆ
"น้องวารีนี่"
สาระวารีเดินยิ้มแย้มอารมณ์ดีไปนั่งที่โต๊ะ มัทนารินน้ำใส่แก้วให้พี่ๆ
"อิจฉาพี่วารีจัง ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน"
"ก็โวยวายมากๆ เหมือนพี่สิ แคลอรี่มีเท่าไหร่ผลาญเรียบ"
"บอกอเค้าให้มัทไปทำข่าวเขตต์ตวันประเด็นอะไรเหรอจ๊ะ" มีคณาถาม
"ประวัติน่ะพี่มี่ มีแหล่งข่าวโทรมาบอกข้อมูลใหม่ มัทต้องลงไปภูเก็ตพรุ่งนี้เลย อยากได้อะไรกันมั่งคะ"
"อ้าว นี่มัทต้องไปภูเก็ตเหรอ พี่ก็ต้องไปตราดเร็วๆ นี้เหมือนกัน" สาระวารีบอก
"มัทได้ยินแว่วๆว่า พี่วารีต้องไปเกาะช้างใช่มั้ยคะ"
"ไม่ใช่ เกาะยานก เกือบติดชายแดนเขมรโน่นแน่ะ"
มีคณาถามสาระวารีอย่างสงสัย
"มีประเด็นข่าวอะไรน่าสนใจเหรอวารี"
"กาสิโน มีข่าวว่าเจ้าของเกาะทำเรื่องขอเปิดกาสิโนถูกกฎหมายที่โน่น และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้รับอนุญาต"
"ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อยังงี้ มี่ว่าไม่น่ายอมให้สัมภาษณ์ง่ายๆหรอก"
สาระวารียักไหล่ ก่อนบ่นโวยอย่างโมโหหิว
"ก็ท้าทายดี ... แค่ลวกเส้นใส่เครื่องทำไมช้าจัง... จะกินกันเองแล้วเจ๊ ได้ยัง"
มัทนาขำๆ อย่างชอบใจหันมองไปทางเจ๊ สาระวารีเหล่มองมัทนา
"อารมณ์ดีไว้เยอะๆ นะน้อง เดี๋ยวจะขำไม่ออก งานเราก็ไม่หมูเลยนะมัท นายตวันนี่เฮี้ยวกับนักข่าวยังกะอะไรดี เค้าขยาดกันทั้งนั้นแหละ"
"ก็ท้าทายดีเหมือนกันล่ะค่ะพี่วารี คุ้มที่จะเสี่ยง เพราะมัทจะได้ย้ายไปโต๊ะการเมืองซะที"
มัทนากระหยิ่มยิ้มย่อง ฝ่ายมีคณาถอนใจยาวออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
"น่าอิจฉาจังเลย มีแต่งานท้าทายทำกันทั้งนั้น ช่วงนี้พี่ก็มีแต่ข่าวโสเภณีเด็ก ตามปราบไม่หมดไม่สิ้นซะที"
"ก็มีงานแฟชั่นการกุศลที่บอกอจะให้พี่มี่ไปแทนมัทไงคะ"
มีคณาเบะปากเซ็งๆ
"พี่ไม่ชอบนี่นา"
มัทนาสีหน้ากระล่อนบอก
"งั้นลองซ้อมไปงานแฟชั่นโชว์กับมัทเย็นนี้ก่อนนะคะเผื่อจะติดใจ...ทั้งพี่มี่ทั้งพี่วารีเลยนะ จะได้มีเวลาเมาท์กันนานๆ พรุ่งนี้มัทก็ต้องไปภูเก็ตแล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับก็ไม่รู้"
มัทนาสายตาอ้อน ยื่นมือไปเกาแขนสาระวารีกับคณา
"ไม่ต้องมาทำแมวใส่ฉัน ไปก็ได้ย่ะ"
มีคณาปั้นยิ้มพยักหน้ารับปาก
"เย้"
สาระวารีพูดให้กำลังใจเพื่อน
"คิดบวกไว้สิมี่ อยู่ๆ มี่ก็ต้องไปงานแฟชั่นโชว์ที่ไม่ปลื้ม ฟ้าอาจจะกำหนดให้มี่ได้เจอเรื่องดีๆ ก็ได้นะ"
มีคณาถอนใจส่ายหน้าไม่เชื่อ
"ขอให้เป็นยังงั้นทีเถอะย่ะ"
สาระวารีอมยิ้ม นึกสนุก
"ก็ไม่แน่น๊า บางทีเราทั้งสามคนได้อยู่ห่างๆกันนานๆ บ้าง อาจจะมีหนุ่มๆ กล้าเข้ามาทำให้หัวใจเรา" สาระวารีทำมือรูปหัวใจตรงตำแหน่งหัวใจ
"กระตุกกะเค้ามั่ง" สาระวารีทำท่ากระตุกแบบแดนเซอร์จัดมา 2 ที
มัทนาหัวเราะชอบใจ มีคณาขำปนอาย เตือนเพื่อน
"วารี ไม่อายคนเค้ารึไง"
"ทำไมล่ะ เห็นชอบเต้นกันจั๊ง เลิกฮิตแล้วเรอะ"
สาระวารีพูดพลางทำท่าหัวใจกระตุกมาอีก 3 ทีซ้อน มัทนาตบมือหัวเราะถูกใจ

มีคณาอดขำไม่ได้พร้อมกับตีผสมผลักเพื่อนไปแรงๆ เป็นที่ครื้นเครงกันไป

ไชยวัฒน์เดินเข้ามายังล็อบบี้โรงแรม แล้วตรงมาที่ลิฟท์ พ.ต.ต. หิรัณย์กำลังกดลิฟท์อยู่พอดี
 
"อ้าว สารวัตร นึกว่าใคร"
หิรัณย์ยกมือไหว้ทักทาย
"สวัสดีครับบอกอ"
ไชยวัฒน์รับไหว้
"มางานวันเกิดผู้การพิรุณล่ะสิ"
หิรัณย์ยิ้มแย้มบอก
"ไม่มาได้ไงครับ หัวหน้าใหม่"
"งั้นข่าวลือว่า ผู้การย้ายมาอยู่หน่วยพิเศษของคุณก็จริงน่ะสิ"
"ข่าวกรองบอกอนี่เป๊ะมากนะครับ"
ไชยวัฒน์ยิ้มรับ นึกขึ้นได้
"เอ้อ สารวัตร เจอตัวก็ดีแล้ว ฝากนักข่าวตามไปทำข่าวเรื่องล่อซื้อคนนึงสิ"
"ผมส่งข่าวให้ก็ได้ครับ"
"ผมอยากได้เป็นสกู๊ปแบบเจาะลึก เก็บบรรยากาศการทำงานมารายงานเลย ไม่เอาข่าวแห้ง"
"มันอันตรายเหมือนกันนะครับ"
"นักข่าวผมใจเกินร้อยครับ ขอมาหลายทีแล้ว ผมปฏิเสธตลอด"
หิรัณย์สีหน้านึกๆ แล้วบอก
"ผมนึกออกแล้ว เอาเคสเล็กๆ แล้วกัน เป็นมือใหม่หลอกเด็กสาวมาขายบริการ ถ้าเราจับตัวได้ สายเราว่า อาจจะเชื่อมโยงถึงเครือข่ายค้ายาตัวเบ้ง"
"ไม่อันตรายมากก็ดีสารวัตร ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน"
"งั้นผมจะให้ลูกน้องโทรไปเตี๊ยมกับเค้าก็แล้วกัน"
"ไม่ใช่เค้า เธอ"
หิรัณย์แปลกใจ ก่อนเผลอส่ายหน้าไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
"ผู้หญิงเหรอครับ"
ลิฟท์เปิดพอดี ไชยวัฒน์รีบตัดบท
"ลิฟท์มาแล้วครับ"
ไชยวัฒน์มีสีหน้าใช้ความคิดอย่างมีแผนการ เดินนำเข้าลิฟท์ไป หิรัณย์เดินตามอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ประตูลิฟท์ปิดสนิทไป

บ่ายวันหนึ่ง ณ ชุมชน มีคณาอยู่ในลุ๊คสาวใหญ่จัดจ้าน ดัดผมปล่อยสยาย ไม่ใส่แว่น แต่งหน้าจัด ยืนคุยกับคนร้ายที่มากับเด็กสาว 2 คนที่ดูหวาดกลัว
คนร้ายบอกเด็ก
"พี่เค้าใจดี พาไปทำงานร้านอาหาร ไม่ต้องกลัวเค้าหรอก จะได้มีเงินส่งไปบ้านไงล่ะ"
มีคณายิ้มแย้มเพ่งมองเด็กสาว
"มาหาเจ๊สิจ๊ะ"
มีคณาไม่ได้สวมแว่นมองเบลอ แต่พอเก็บรายละเอียดของเด็กสาวสองคนที่ค่อยๆเดินมาหาเธอได้ คนร้ายแบมือเรียกเงิน เธอหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้คนร้าย...
"นับดูเดี๋ยวนี้เลย จะได้ไม่มีปัญหา"
คนร้ายจะรับเงินไป แต่มีคณาจับเงินแน่นดึงยื้อเอาไว้
ทันใดนั้นเองหิรัณย์และตำรวจอีก 2 นายก็ออกจากที่ซ่อน หิรัณย์อยู่ในมุมด้านหลังของเธอ เลยเห็นหน้าเธอไม่ถนัดนัก ฝ่ายคนร้ายเห็นผิดสังเกตก็กระชากแขนเด็กสาวคนหนึ่งมาล็อกแขนเอาไว้ เด็กสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มีคณาสีหน้าโกรธจัด ชิงชังคนร้ายที่ทำรุนแรงกับเด็กสาวอย่างเห็นได้ชัด เธอโดดเข้าล็อกคอคนร้ายทันทีอย่างไม่กลัวเกรงอันตราย จนเด็กสาวเลยหนีออกไปหาเพื่อนได้
หิรัณย์เล็งปืนขู่
"มอบตัวซะดีๆ"
คนร้ายกระทุ้งศอกใส่มีคณา แล้วเหวี่ยงจนเธอล้มไป ก่อนวิ่งตะบึงหนีไปทันที มีคณาเจ็บใจของขึ้น วิ่งกวดคนร้ายไปทันทีอย่างไม่กลัวตาย
"เดี๋ยวสิคุณ"
หิรัณย์ตกใจปนห่วงวิ่งตามมีคณาไป

มีคณาวิ่งไล่ตามคนร้ายมายังตรอกซอกซอยอย่างเอาเป็นเอาตาย หิรัณย์วิ่งกวดตามมาติดๆ ด้วยความเป็นห่วง เขายิงปืนขู่ขึ้นฟ้า คนร้ายตกใจรีบพุ่งตัวหลบคิดว่าถูกยิงปืนใส่ ทำให้เสียหลักสะดุดล้มไปกับพื้น นอนยกมือยอมแพ้
มีคณาไม่เห็น ยังของขึ้นไม้หาย หันซ้ายขวาคว้าไม้เหมาะมือข้างทางตรงปรี่ไปฟาดใส่คนร้ายอย่างไม่ยั้งมือ... เธอหลับหูหลับตาฟาดๆๆ
"โอ๊ย ๆ พอแล้วครับ ผมตำรวจ"
มีคณาค่อยได้สติลืมตา เพ่งมองเห็นหิรัณย์ที่โดนฟาด ก้มหน้างุดรวบตัวคนร้ายไว้ได้แล้ว เธอยิ้มแหย รีบโยนไม้ทิ้ง
"ขอโทษค่ะ ...เจ็บมั้ยคะ"
หิรัณย์หงุดหงิดปนเซ็งนวดคอเอี้ยวไปมา ไม่ได้มองหน้ามีคณาจะๆ
" อีกไม้เดียว เรียกรถพยาบาลได้เลย"
ตำรวจอีกนายรีบวิ่งเข้ามาช่วยจับตัวคนร้ายไป
"ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยจับคนร้าย"
มีคณาก้มหน้าดึงผมมาปิดหน้าไปมาพร้อมตอบ เธอรู้สึกอับอายที่ฟาดหิรัณย์อย่างเต็มเหนี่ยว
"ฉันไม่ชอบผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงอยู่แล้ว เห็นแล้วของมันขึ้น"
หิรัณย์เอี้ยวตัวนวดหลังไปมา พลางบ่นๆ
"แรงควายขนาดนี้ ไม่บอกก็เชื่อว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน"
มีคณาตกใจ ตาเบิกโพลง เงยหน้ามองไปที่หิรัณย์ขณะเอี้ยวตัวนวดหลัง เธอเห็นหน้าข้างๆ แถมเบลอ ๆ ไม่ชัดเพราะไม่ได้ใส่แว่นอีกตะหาก...

เวลาเย็น ภายในห้องบรรณาธิการ
"บอกอไปบอกเค้าว่ามี่เป็นสาวประเภทสองได้ยังไงคะ"
มีคณามีสีหน้าอายๆ ยืนต่อว่าไชยวัฒน์อยู่ในห้องทำงาน มีสาระวารีนั่งขำ ชอบใจอยู่ไม่ห่างนัก เธอหยิกแขนเพื่อนเล็กน้อย
"เพราะเธอด้วยแหละ แนะนำไม่ให้ฉันใส่แว่น ดีนะฉันไม่ฟาดเค้าตาย"
"ใครจะคิดว่าเธอจะพาซื่อ แต่งตัวตามที่ฉันแนะนำเด๊ะขนาดนั้นล่ะ"
"เอาล่ะ ไม่ต้องฟาดงวงฟาดงา ก็ผมเห็นว่างานมันเสี่ยงขนาดนั้น ขืนบอกว่ามี่เป็นผู้หญิงก็อดน่ะสิ พี่หาลู่ทางทำเพื่อมี่นะ เห็นมั้ย ได้ช่วยเด็กสมใจ ได้ทั้งข่าวได้ทั้งบุญ" ไชยวัฒน์ยิ้มชื่นชม
สาระวารีสนับสนุน
"ถูก ยิ่งผู้หญิงลุ๊คเรียบร้อยงุ๊งงิ๊งอย่างเธอ เค้ากลัวเสียแผน ไม่ให้ทำหรอก"
"พี่คุยโม้ซะเสร็จสรรพว่ามี่เป็นนักเทควอนโด้ทีมชาติ" ไชยวัฒน์พูดพลางหัวเราะชอบใจต่อ
มีคณาหน้าจ๋อยๆ นั่งลง
"ต่อไปมี่ไม่กล้าสู้หน้าเค้าแล้วล่ะ"
สาระวารีเหล่มองอย่างสงสัย
"ทำไมล่ะ แคร์อะไร หรือว่าแอบสนใจเค้า"
สาระวารียิ้มกระเซ้า เธอผลักเพื่อนเบาๆ
"บ้า หน้าเค้าฉันยังไม่ทันเห็นเลย"
"เห็นก็เบลอ ยัยแว่นเอ๊ย"
"ฉันก้มหน้าเกือบตาย กลัวเค้าจำได้ นักข่าวทำร้ายตำรวจ เจอหมายหัวแน่ ไม่รู้จะต้องเจอกันอีกรึเปล่า"
ไชยวัฒน์และสาระวารีได้แต่ขำๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดกับมีคณาในวันนี้
"อยู่ในเหตุการณ์ขนาดนี้ เขียนสกู๊ปให้มันหยดเลยนะมี่"
"เรื่องทำร้ายเจ้าพนักงานเอาด้วยมั้ยคะบอกอ"
มีคณาหมั่นไส้ปนเจ็บใจตรงเข้าไปบีบคอเพื่อนเขย่า

ไชยวัฒน์หัวเราะชอบใจไปมา

ภายในบ้านมีคณาตอนกลางคืน มีคณาในชุดนอนโยนซองจดหมายลงบนเตียง ด้วยสีหน้าเซ็งๆ ไม่อยากจะอ่าน ก่อนถอนหายใจหยิบจดหมายมาแกะอ่านอย่างจำใจ

"พี่มี่ที่รักยิ่ง" มีคณาเหยียดปากด้วยอารมณ์หมั่นไส้บ่น
"ไอ้ธำรงไม่ต้องมาปากหวานเลย ขอเงินแหงๆ"
ย้อนกลับไปหลายวัน... วันที่ธำรงเป็นคนเขียนจดหมายอยู่ที่โซฟาตอนกลางคืนคนเดียว มีผ้าห่มคลุมช่วงล่างเอาไว้
"นานแล้วที่พี่มี่ไม่ได้ส่งข่าวมา แม่บ่นถึงและพูดอยู่เสมอว่า ถ้าไม่ได้เงินที่พี่มี่ส่งมาให้แม่ใช้จ่ายทุกเดือน ครอบครัวเราคงลำบากกว่านี้"
มีคณาถอนใจเซ็งๆ อีกครั้งก่อนก้มอ่านจดหมายต่อ
"พี่มี่คงจำไอ้สันติ หลานชายพี่ได้ ตอนนี้มัน 10 ขวบแล้ว ฉันส่งมันไปเข้าเรียนในอำเภออยากให้เก่งเหมือนป้า แต่ไอ้ติมันดันไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนเข้า"
ธำรงเกิดหิวน้ำขณะที่นั่งเขียนจดหมายอยู่ จึงเปิดผ้าห่มที่คลุมตัวช่วงล่างออก ค่อยเห็นว่าขาข้างขวาถูกตัดทิ้งขาดไป ธำรงก้มไปคว้าไม้ค้ำที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมาช่วยพยุงตัวแทนขาอีกข้าง เพื่อเดินไปที่ตู้เย็น

"ความจริงลูกฉันไม่ผิดหรอกนะ เพื่อนมันน่ะสิ มาล้อว่า มันเป็นลูกไอ้ด้วน ติมันทนไม่ไหวเลยชกซะหน้าแหก"
มีคณาที่ก้มหน้าอ่านจดหมายอยู่
"ดวงซวยที่เด็กพวกนั้นเป็นลูกคนใหญ่คนโต ไอ้ติมันเลยถูกโรงเรียนบีบให้ออก ไอ้ฉันมันคนพิการจะไปสู้อะไรกับเค้าได้"
มีคณาเงยหน้าจากจดหมายด้วยสีหน้าใจอ่อน สงสาร
"ฉันเลยต้องให้ติมันออก พาไปที่อื่นเค้าก็ไม่รับ ฉันเลยอยากให้พี่มี่ช่วยอุปการะมันหน่อย หาที่เรียนในกรุงเทพให้มันที"
ธำรงนั่งขาขาดเขียนจดหมายช่วงสุดท้ายไป
"ฉันอยากฝากลูกกับพี่ นอกจากพี่แล้วฉันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร พ่อก็รู้อยู่ว่าเป็นไงแม่ก็แก่แล้ว ไอ้ฉันมันก็ซวยต้องมาขาขาด"
มีคณาใจอ่อนทั้งที่เกลียดธำรงเข้ากระดูกดำ
" ฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ ที่จะช่วยไอ้ติให้มันมีอนาคตที่ดีกับเค้าได้"
มีคณาสีหน้าเครียด ลังเล ลดจดหมายในมือลง ใจหนึ่งก็สงสารหลานแท้ๆ ใจนึงก็เข็ดขยาดที่จะช่วยลูกเสือลูกตะเข้ มีคณาได้แต่ถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ

หัวค่ำวันใหม่ บริเวณตลาดนัดยามหัวค่ำ ผู้คนเดินเล่นซื้อของกันไปมา มีคณาเดินตามสาระวารีมาเลือกซื้อแว่นตากันแดดที่ร้านที่ออกบู๊ธเป็นซุ้มๆ สาระวารีเลือกแบบแว่นแล้วเอาลองส่องกระจกดู พร้อมคุยกับเพื่อนไปด้วย
"ต้องหาแว่นเข้มๆ หน่อย เกาะแดดแรง"
มีคณาช่วยเลือกแว่นกันแดดให้เพื่อน
"ไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ ฉันว่าเหมาะกับเธอมากกว่า ลองให้ดูหน่อยดิ"
สาระวารีถอดแว่นส่งให้ มีคณาถอดแว่นสายตามาเหน็บคอเสื้อ จังหวะที่ถอดแว่นสารวัตรหิรัณย์เดินผ่านฝั่งตรงข้ามร้าน หันมาพอดีเห็นมีคณาที่กำลังถอดแว่น... เขาเพ่งมองมาที่มีคณา
มีคณาลองแว่นกันแดดให้เพื่อนดู
"ไง...เข้ากับฉันมั้ย" มีคณาถาม
สาระวารีมองเพื่อน
"เหมือนผู้ชาย"
สาระวารีขำๆ หันไปเลือกแว่นอันอื่น มีคณาตีเพื่อนแล้วถอดแว่นหันกลับไปใส่แว่นสายตาแทน หิรัณย์ที่เพ่งมองมา ไม่ได้จ้องมองมีคณาแต่อย่างใด หากแต่ตั้งใจเดินเข้ามาเลือกดูแว่น
ทั้งคู่ต่างเลือกแว่นกันแดด ใจตรงกัน มือมาหยิบแว่นเดียวกัน
"ขอโทษครับ"
ทั้งคู่เงยหน้ามองกัน ยิ้มมารยาทให้กัน แต่ต่างจำกันไม่ได้ เพราะวันนั้นมีคณาเปลี่ยนลุ๊คปลอมตัวและถอดแว่น ทำให้เธอก็มองหิรัณย์ไม่ชัด หิรัณย์ก็ไม่เห็นหน้ามีคณา แถมยังปลอมตัวด้วย
หิรัณย์และมีคณาต่างก็แยกไปเลือกแว่นของตนต่อไป มีคณาก็เดินไปช่วยดูแว่นให้สาระวารี

ทั้งคู่เหมือนคนผ่านมาเจอกัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

สายวันหนึ่ง มีคณามาส่งสาระวารีที่รถตู้หน้าตึกสยามสาร

"โชคดีนะวารี ขอให้ได้สัมภาษณ์นะจ๊ะ"
"ขอบใจจ้ะ ช่วงฉันไม่อยู่ก็ขอให้เธอได้เจอความรัก"
มีคณาหน้าเบ้ ดันสาระวารีเข้ารถตู้ไป
"อะไรยะ ไปได้แล้ว ถึงแล้วโทรมานะ"
สาระวารีโผล่หน้ามา
"ฉันยืนยันคำอวยพรเดิมนะมี่"
มีคณาหมั่นไส้ เลื่อนประตูรถตู้ปิดโครม ก่อนจะบ๊ายบายส่งเพื่อน
"เดินทางปลอดภัยย่ะ"
สาระวารีโบกมือตอบมาจากในรถ
รถตู้เคลื่อนตัวผ่านไป เป็นจังหวะเดียวกับที่หิรัณย์ขับรถเข้ามาจอดเข้าซองเรียบร้อย และกำลังเดินลงมาจากรถ ขณะที่มีคณาหันหลังเดินกลับเข้าตึกไปแล้ว
หิรัณย์ล็อกรถ แล้วมองซ้ายขวาก่อนข้ามถนนไปเข้าตึกสยามสาร

มีคณายืนอยู่ในลิฟท์ที่กดปิดพอดี หิรัณย์รีบวิ่งมากดเรียกเอาไว้ แต่ไม่ทัน ลิฟท์ปิดแล้ว เขากดลิฟท์เรียกขึ้นใหม่อีกครั้ง

หิรัณย์ยกมือไหว้ ไชยวัฒน์รับไหว้ที่ห้องทำงาน
"เชิญนั่งครับสารวัตร"
หิรัณย์นั่งลงพร้อมเล่า
"คนร้ายที่จับได้วันก่อน โยงไปถึงพ่อค้ายารายใหญ่อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ นะครับ"
"ดีครับ ถึงปราบเท่าไหร่ไม่หมด แต่ก็ต้องตามล้างตามเช็ดไปเรื่อย หยุดไม่ได้ อย่าท้อนะครับสารวัตร"
หิรัณย์ยิ้มแย้ม
"ไม่หรอกครับ... นี่บอกองานยุ่งรึเปล่าครับ"
"ไม่ต้องถามเลยครับ ยุ่งตลอด แต่ก็ดีกว่าไม่มีงานทำ"
"ส่วนผมไม่มีดีกว่านะครับ แสดงว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี"
ไชยวัฒน์หัวเราะชอบใจ
"ใช่ครับ"
"บอกอทราบเรื่องงานแฟชั่นการกุศลรึยังครับ"
"อ๋อ เด็กเอาแฟกซ์มาให้ผมแล้ว คืนพรุ่งนี้ใช่มั้ยครับ"
ไชยวัฒน์ค้นหารายละเอียดจากกองแฟกซ์
"ครับ ผมมาเชิญซ้ำอีกที"
"ไม่ต้องมาก็ไปอยู่แล้วล่ะครับ"
หิรัณย์อึกอักเล็กน้อย
"แล้วนักข่าวคนนั้น ที่เป็นสาวประเภทสองน่ะครับ จะไปด้วยรึเปล่า"
ไชยวัฒน์หัวเราะก๊ากออกมา
"ไปครับ แต่เค้าไม่ใช่กระเทยหรอกนะ"
"อ้าว"
"เค้าอยากทำงานนี้มาก แต่ผมกลัวทางสารวัตรจะไม่เชื่อถือ คือเค้าดูเป็นผู้ยิ๊งผู้หญิงไปหน่อย แต่ใจนี่เต็มร้อย ผมเลยจำเป็นต้องโกหกเจ้าพนักงานไป แต่เจ้าตัวเค้าไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะครับ"
หิรัณย์หน้าแหย สีหน้ารู้สึกผิด
"หมดกัน ผมไปแซวเค้าแรงด้วย โกรธตายเลยตอนนี้อยู่มั้ยครับ ผมขอไปขอโทษเธอหน่อย

ไชยวัฒน์เดินนำหิรัณย์มาที่หน้าโต๊ะทำงานของมีคณา
"มี่ มีคนเค้าอยากพบเธอแน่ะ"
พนักงานผู้หญิงที่ไว้ผมทรงเดียวกันหันมา
"อ้าว ไม่ใช่" ไชยวัฒน์ว่า
"พี่มี่ออกไปทำข่าวแล้วค่ะ" พนักงานบอกพลางแปะโน็ตที่โต๊ะมีคณาเสร็จก็ลุกเดินเลี่ยง
ออกไป
ไชยวัฒน์ตบบ่าหิรัณย์
"ไม่เป็นไรหรอกสารวัตร คืนพรุ่งนี้ก็เจอกัน แล้วผมจะแนะนำให้รู้จัก มี่เค้าเข้าใจแล้ว ไม่โกรธคุณหรอก"
หิรัณย์ยิ้มออก
"งั้นก็ค่อยยังชั่ว"

ตอนกลางคืน มีคณาไขกุญแจสายยูที่ล็อกหน้าประตูห้องนอนเก่าของตนที่ถูกปิดตายมานาน ห้องนี้ นานๆที เธอจะเข้ามาทำความสะอาดสักที ภายในห้องมีโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์พร้อมสำหรับนักเรียน
มีคณาเข้าห้องมากวาดตามองดู สีหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอาผ้าปูที่นอนใหม่มาเตรียมปูเตียงจัดไว้ให้สันติ หลานชายที่จะย้ายมาอยู่ด้วย ขณะปูผ้า เธอก็ฉุกใจคิด ทิ้งตัวลงนั่ง พึมพำพูดกับตัวเอง
" ฉันตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่เนี่ย ทั้งปู่ทั้งพ่อมันร้ายกาจขนาดนั้น หลานมันจะดีไปได้ยังไง"
มีคณาหันมองรูปป้าที่ถ่ายรูปคู่กับเธอตอนรับปริญญาในกรอบรูปหัวเตียง
"ป้าคะ พรุ่งนี้สันติจะย้ายมาอยู่กับมี่แล้ว นี่มี่ตัดสินใจถูกต้องแล้วใช่มั้ยคะ"
มีคณาทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง ยกมือขึ้นกุมหัว

"หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแท้ๆ เลยไอ้มี่ ใจอ่อนทำไมเนี่ย ... โอ๊ย"

อ่านต่อหน้า 3

ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)

ท่ามกลางบรรยากาศภายในหัวลำโพงตอนสายวันใหม่ มีคณายืนอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ อยู่ที่ร้านแผงขายหนังสือ เธอจ่ายเงินซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง แล้วถอยจะไปหาที่นั่งอ่าน

ไม่คาดคิด เด็กสาวแต่งชุดนักเรียนถือกระเป๋านักเรียนสีดำใบโต วิ่งมาชนกระแทกมีคณาอย่างจัง จนเธอเสียหลักเกือบจะล้ม ด้วยความไวเธอคว้ามือเด็กคนนั้นไว้ทันเพื่อพยุงตัว
"เป็นอะไรรึเปล่าคะน้อง"
เด็กสาวท่าทางตื่นตระหนกหันมองซ้ายมองขวา
"เปล่าคะ"
"มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ"
หิรัณย์ในชุดนอกเครื่องแบบวิ่งตามมาติดๆ เด็กสาวตกใจกลัวชี้ไปที่หิรัณย์
"พี่ช่วยหนูด้วย ไอ้แมงดามันตามหนูมา มันจะจับหนูไปขาย หนูไม่อยากขายตัว"
มีคณาสีหน้าแววตาโกรธเกลียดจ้องหิรัณย์เขม็ง เด็กสาวรีบไปหลบหลังมีคณา เธอจับมือเด็กเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
"ถอยไปเลยนะ อย่ามายุ่งกับเด็กคนนี้ ถ้าแกก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียกตำรวจ"
หิรัณย์จะเดินเข้ามา
"คุณนั่นแหละอย่ายุ่ง ถอยออกไป ผมมีธุระกับเด็กคนนี้"
มีคณาเสียงแข็ง
"อย่าเข้ามานะ ฉันร้องจริงๆ ด้วย"
เด็กสาวสีหน้ามีพิรุธ หันมองลู่ทางทำท่าจะหนี หิรัณย์จะขยับเข้าไปจับตัวเด็ก มีคณาเห็นท่าไม่ดี จึงใช้หนังสือพิมพ์ในมือฟาดใส่หิรัณย์ไม่ยั้ง พร้อมตะโกนลั่น
"ช่วยด้วยค่ะ คนร้าย มันจะทำร้ายฉันกับเด็ก"
หิรัณย์อารมณ์หงุดหงิดเอามือบัง
"โธ่โว้ย ผู้หญิงนี่"
เด็กสาววิ่งหนีไปเลย หิรัณย์เสียงดังลั่
"หยุดซะทีได้มั้ยคุณ"
"ไม่หยุด ไอ้ผู้ร้ายหลอกเด็ก ไอ้...โอ๊ย"
หิรัณย์เหลือ อดคว้ามือที่ถือหนังสือพิมพ์ของมีคณา บิดหมุนตัวเธอล็อกแขนขวาไพล่อยู่ด้านหลัง แล้วจับยึดแขนซ้ายเอาไว้ไม่ปล่อย เขาพูดข้างหู
"หยุดนะคุณ เดี๋ยวแขนก็หักหรอก"
มีคณาทำท่าขนลุก ขยะแขยง ที่คนร้ายมาพูดข้างหู
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเรียกตำรวจที"
"หุบปากซะทีได้มั้ย ผมนี่ล่ะตำรวจ"
มีคณาชะงักไปเล็กน้อย หิรัณย์พูดเสียงดุ
"แล้วคุณก็กำลังขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อยู่รู้ตัวมั้ย คุณแว่น"
คนละแวกนั้นเริ่มหยุดมองดูมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครคิดเข้ามาช่วยซักคน
"ถ้าแกเป็นตำรวจ ฉันก็เป็นรัฐมนตรีหญิงแล้วล่ะ ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย" มีคณาแผดเสียงพร้อมดิ้น
ตำรวจนอกเครื่องแบบหญิงและชายวิ่งฝ่าผู้คนที่ล้อมดูเข้ามา มีคณาดีใจ
"ไอ้คนนี้จะล่อลวงเด็กไปขาย คุณช่วยเรียกตำรวจที"
ตำรวจหญิงถามด้วยความแปลกใจ
"คนนี้เหรอคะสารวัตร"
มีคณาได้ยินก็ชะงัก หยุดดิ้น
"เห็นสายบอกเป็นเด็กสิบห้าสิบหก ทำไมสาวขนาดนี้ หรือว่ามีสองราย"
"อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นแม่ค้าล่ะ เธอเป็นรัฐมนตรีหญิง"
มีคณามีสีหน้าเจ็บใจหมั่นไส้มาก หิรัณย์แขวะต่อ
"เธอคงคิดว่ากำลังออกตรวจราชการอยู่ เลยต้องทำหน้าที่ปกป้องประชาชน"
หิรัณย์ปล่อยตัวเธอ มีคณาหน้าแดงด้วยความอาย ขยับตัวห่างออกมา
" คุณเป็นตำรวจจริงๆเหรอ"
เพื่อนตำรวจอีกสองคนยิ้มๆ
"จะตรวจบัตรประจำตัวมั้ยครับ"
ตำรวจชายและหญิงเดินไปบอกไทยมุง
"ไม่มีอะไรแล้วนะครับ / เข้าใจ ผิดกันนิดหน่อยค่ะ"
ไทยมุงขำๆ หัวเราะๆ กัน มีคณาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
"ฉันขอโทษ เด็กคนนั้นท่าทางกลัวมาก"
"กลัวถูกจับน่ะสิ ในกระเป๋านั่นมียาบ้าไม่รู้กี่เม็ด อาจจะถึงพัน"
มีคณาสีหน้าจ๋อยสนิท เสียงอ่อย
"ท่าทางเธอยังเด็ก"
"เด็กแค่ตัวน่ะสิ คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะเล่นบทรัฐมนตรีหญิงอีกล่ะก็ กรุณามองตาม้าตาเรือหน่อย"
มีคณาดันแว่นเข้ากระชับดั้ง
"ฉันบอกแล้วไงว่าขอโทษ ขอโทษ...ก็ท่าทางคุณไม่เหมือนตำรวจนี่คะ"
"คุณพูดเหมือนรู้จักตำรวจดีงั้นล่ะ"
มีคณาตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

"ดีกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน"

หิรัณย์ยักไหล่ก่อนก้มลงเก็บหนังสือพิมพ์คืนเธอ

"เอาอาวุธคุณคืนไป"
เธอรับหนังสือพิมพ์คืนมาแล้วบอก
"ขอบคุณค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คนร้ายของคุณหนีไปได้"
"ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังกว่านี้นิดนึงแล้วกัน ถ้าโดดเข้าช่วยใครแบบถวายหัวยังงี้ คุณเองที่จะเดือดร้อน"
"ฉันจะจำคำสอนคุณไว้ค่ะ ไปได้แล้วใช่มั้ยคะ ต้องรีบไปรับคุณแม่"
"เชิญครับ"
มีคณารีบเดินกลับไปที่ชานชลา ฝ่ายหิรัณย์เดินไปอีกทาง ต่างคนต่างมีสีหน้าคิดๆ แล้วหยุดหันมามองและพูดพร้อมกัน
" เราเคยเจอกัน"
ทั้งคู่พูดแค่นั้น แล้วจ้องหน้า มีคณาดันแว่นเล็กน้อย
"คิดว่าไม่เคยค่ะ"
หิรัณย์พยักหน้ารับ
"คงงั้น"
ทั้งคู่ยิ้มตามมารยาทก่อนเดินแยกกันไปคนละทาง

เวลาต่อเนื่องมา รถไฟสายเหนือเข้าจอดเทียบชานชาลาสถานีหัวลำโพง มีคณาเดินมาชะเง้อมองหาผู้โดยสารที่ทยอยกันเดินลงจากรถไฟ ชั่วอึดใจเธอก็เห็นแม่... บานเช้าเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถไฟมา
เธออึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นแม่ดูแก่ไปเยอะ ผมขาวแซมไปกว่าครึ่งหัว ทั้งที่อายุไม่ถึงห้าสิบดี เธอรีบโบกมือ
"แม่คะ ทางนี้ค่ะ"
บานเช้ายิ้มแย้มดีใจเหลือบตามองมาที่ลูกสาวที่เดินมายกมือไหว้แม่
พอบานเช้าลงบันไดรถไฟมาถึงขั้นล่างสุด เธอก็เห็นเด็กชายสันติหน้าหงิกบอกบุญไม่รับ สะพายกระเป๋าเดินตามลงมาด้วย เธอเข้าไปช่วยแม่ถือของ
"มารอนานรึยังลูก"
"ซักพักแล้วค่ะแม่ เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ ได้หลับบ้างรึเปล่า"
สันติเดินหน้าหงิกตามมาได้ยิน ก็ทิ้งกระเป๋าโครมแย่งตอบกลับไปทันที
"หลับกะผีอะไรล่ะ ที่นั่งแข็งจะตาย ปู่บอกแล้วให้นั่งชั้น 2 ย่าก็ยังงก ตีตั๋วถูกสุด แล้วเป็นไง หลับลงที่ไหน"
มีคณาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดประโยคแรกตำหนิหลานชาย
"ทำไมพูดจากับย่ายังงี้ล่ะติ ไม่เพราะเลย"
สันติมองมีคณาตาขวาง
"ก็ย่าเป็นย่า อยู่บ้านก็พูดยังงี้ มาเมืองกรุงจะให้ดัดจริต พูดเพราะๆ กูพูดไม่เป็น"
มีคณาผงะไป บานเช้ารีบจุ๊ปากห้ามหลานชายพูดหยาบคาย เธอจ้องหน้าสันติ พูดน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น
"การพูดจาสุภาพเป็นเรื่องมารยาท ไม่ใช่ดัดจริต อยู่บ้านติจะพูดยังไงก็ตามใจ แต่ถ้าคิดจะอยู่กับป้า ติต้องพูดจาให้เพราะกว่านี้ กูมึงนี่ห้ามเด็ดขาด"
สันติกอดอกลอยหน้าลอยตาอย่างกวนประสาทมาก
"และถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็กลับไปอยู่บ้านเลย ไม่ต้องมาอยู่กรุงเทพ บ้านป้าไม่ต้อนรับเด็กไม่มีสัมมาคาราวะ"
มีคณาเดินหัวเสียนำไป บานเช้าเรียกลูกสาวก่อนหันไปดุหลานชาย
"มี่ มาถึงก็ปากเสียจนได้เรื่องเลยเห็นมั้ย ตามมาเร็วๆ เลย มี่ ลูก..."
สันติถอนหายใจอย่างเซ็งๆ กระชากกระเป๋ามาสะพายอย่างฮึดฮัด เดินตามบานเช้าไปอย่างหัวเสีย

ผ่านเวลาพักใหญ่ แท็กซี่ขับมาจอดที่หน้าบ้านมีคณา สันติก้าวลงจากรถมากวาดสายตาดูบ้านก่อนใคร บานเช้าตามลงมา ขณะที่มีคณาที่กำลังจ่ายเงินอยู่
สันติสีหน้าไม่ชอบใจ
"ทำไมบ้านมันเล็กแล้วก็เก่ายังงี้ล่ะย่า"
บานเช้าหยิกแขนหลานชาย
"มาอาศัยบ้านป้าเค้าอยู่ ยังปากไม่ดีอีกนะ"
สันติทำจมูกฟุดฟิด
"ก็มันจริงนี่ย่า บ้านบ้าอะไรเหม็นฉิบ ทนอยู่เข้าไปได้ยังไงเนี่ย"
มีคณาสะกดอารมณ์ตามลงจากรถมา
"บ้านป้าติดกับศาลเจ้าก็ต้องมีกลิ่นธูปโชยมาเป็นธรรมดา อยู่ไปก็ชินไปเองแหละ แต่ถ้าคิดว่าอยู่ไม่ได้จะกลับเลยก็บอก จะได้เรียกแท็กซี่ต่อเลย"
สันติก้มหน้าบ่นพึมพำไม่ให้ได้ยิน
"คำก็ไล่สองคำก็ไล่ อีแว่น"
"ใจเย็นๆน่ามี่ หลานยังเด็ก พูดไม่คิดยังงี้แหละ"
"เด็กที่คิดก่อนพูดก็มีเยอะแยะค่ะแม่"
มีคณาเดินไปไขกุญแจบ้าน สันติเหยียดปากอย่างเซ็งๆ

บานเช้าทำหน้าดุใส่หลานชายซ้ำอีกที

มีคณาเปิดประตูห้องนอนเล็กนำเข้ามา

"ตินอนห้องนอนป้าก็แล้วกัน"
สันติเดินเข้ามากวาดตาดูด้วยสีหน้าพอใจ ภายในห้องนอนเก่าของมีคณา มีโต๊ะทำงาน มีตู้เสื้อผ้าพร้อม
"อ้าว แล้วมี่ไม่ได้นอนห้องนี้เหรอลูก" บานเช้าถาม
"มี่ย้ายไปนอนห้องป้าสินหลายปีแล้วค่ะ มันมองเห็นหน้าบ้าน ใครไป ใครมาจะได้รู้"
บานเช้ายิ้มแย้ม เดินไปเปิดลิ้นชักดู ดีใจแทนหลาน
"ชอบมั้ยล่ะ ได้มีห้องนอนส่วนตัวกะเค้าซะที มีโต๊ะทำงานด้วยเห็นมั้ย" บานเช้าถามหลานชาย
สันติทิ้งตัวนั่งที่เตียง ขย่มเล่นไปมา
"ก็ดี"
"แม่ไปนอนกับมี่ที่ห้องใหญ่ก็แล้วกันนะคะ"
สันติลุกพรวด โวยวายลั่น
"ไม่ได้ ย่าต้องนอนกับติ ห้ามไปนอนที่ไหนทั้งนั้น"
"เตียงเล็กนิดเดียว จะให้ย่านอนได้ยังไงล่ะติ"
"ก็ปูเสื่อนอนกับพื้นสิย่า"
มีคณาพูดอย่างเหลืออด
"เหลวไหล ย่าแก่แล้วนะ จะให้มาทรมานนอนพื้นแข็งๆได้ยังไง โตจนป่านนี้แล้วยังไม่มีความคิดอีก ป้าจะไม่ยอมให้ย่าต้องมาทรมานเพราะความพอใจของติหรอกนะ ไปห้องโน้นกันเถอะค่ะแม่ เดี๋ยวติก็อาบน้ำซะ ป้าจะพาไปฝากครูใหญ่ที่โรงเรียน"
สันติไม่ได้ดังใจอาละวาดทันที
"ไม่ กูไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าย่าไม่อยู่ห้องนี้กูก็ไม่อยู่ บ้านเก่าๆ กลิ่นเหม็นๆ ผีดุแน่ๆ"
สันติสีหน้าแววตาผีกลัวจริง มีคณาได้ยินประโยคสุดท้าย ก็ดุไม่ลง เพราะหลานชายยังเด็กจริงๆ
"บ้านนี้ไม่มีผีหรอก ป้าอยู่มาเป็นสิบๆปี ไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติเลย"
"ก็ป้าอยู่จนชิน ผีมันก็ชินป้านึกว่าพวกเดียวกัน มันก็เลยไม่ทำอะไร แต่กูเพิ่งมา มันต้องมาหลอกแน่ๆ"
"เจ้าติ ป้าเค้าเตือนแล้วไงว่าไม่ให้พูดกูๆมึงๆ มันไม่สุภาพ รู้จักฟังผู้ใหญ่เค้าสอนมั่งสิ"
"ย่าอย่ามาทำตัวดัดจริตเหมือนยัยป้าแก่แร้งทึ้งนี่อีกคนเลย"
บานเช้าอึ้งไปเลย มีคณาโกรธปรี๊ด
"ก็ได้อยากพูดก็ตามใจ ผีบ้านนี้เป็นผีผู้ดี ใครมาพูดกูๆ มึงๆ โดนหักคอตายแน่ๆ ไม่พ้นคืนนี้หรอก"
สันติอึ้งและเงียบไป มีคณาขู่เด็กต่อ
"เคยได้ยินเรื่องผีอำมั้ย แกผล๋อยหลับเมื่อไหร่โดนแน่ ... ไปค่ะแม่"
มีคณาจะพาบานเช้าที่หน้าตาไม่สบายใจออกไป ฝ่ายหลานกลัวผสมพาล ตรงเข้ากระชากเสื้อบานเช้า
"ย่าต้องอยู่ห้องนี้ ถ้าย่าไม่อยู่ กู เอ่อ ฉันก็ไม่อยู่เหมือนกัน คอยดูสิ จะอาละวาดให้แหลกเลย"
บานเช้าพยายามสงบศึก
"เอางี้แล้วกันมี่ ให้แม่นอนกับติที่ห้องใหญ่ก็แล้วกัน ส่วนมี่ก็ย้ายกลับมานอนห้องนี้ซะ แม่ก็นอนกับหลานจนชิน แปลกที่แปลกทาง สงสารติมันด้วย"
"งั้นก็ตามใจแม่เถอะค่ะ"
สันติยิ้มสะใจโอบเอวย่าพาออกไปจากห้องอย่างผู้ชนะ มีคณาถอนใจยาวอย่างเหนื่อยใจทิ้งตัวลงนั่งโครมกับเตียง
"ความสงบในบ้าน ในชีวิตฉัน จบสิ้นแล้ว"
มีคณาทิ้งตัวลงนอนหงายบนเตียง ยกสองมือมากุมหน้านิ่ง ร้องไห้ไม่ออก

ผ่านเวลาซักครู่ มีคณาพาแม่และหลานเข้ามาในโรงเรียนช่างหมื่น สันติเห็นสภาพโรงเรียนแล้วก็ไม่ชอบใคร หยุดกึก
"นี่ย่าจะให้ติเรียนโรงเรียนวัดเหรอ ไหนปู่บอกว่าป้ารวยจะให้ติเข้าโรงเรียนฝรั่งดีๆ ให้ไอ้พวกที่บ้านมันอิจฉาไงล่ะ"
"โรงเรียนไหนๆ ก็ให้ความรู้เราได้เหมือนกันนั่นแหละติ ย่าว่าที่นี่ดีออก อยู่ใกล้บ้าน ไปกลับสะดวกสบาย ไม่ต้องขึ้นรถสองแถวเข้าตัวอำเภอเหมือนโรงเรียนเก่า เสียเวลาจะตาย"
"ไม่เหมือน ที่นี่มันโรงเรียนกระจอก ไม่เห็นเหมือนในทีวีที่ปู่บอกจะให้ไปเรียนเลย"
มีคณาชักหมดใจ
"ป้าไม่ได้รวย ไม่มีปัญญาส่งติเรียนโรงเรียน แพงๆหรอกนะ"
สันติถอนใจหน้าตาเซ็งบึ้งตึง
"สำหรับป้า โรงเรียนนี้ดีที่สุดแล้ว ป้าก็เรียนจบประถมที่นี่เหมือนกัน ถ้าติคิดว่ามันกระจอกก็กลับไปเรียนต่อที่เดิม ได้ข่าวว่า โรงเรียนเก่าเค้าปลื้มติมาก เพื่อนๆก็ดี รักติกันทั้งโรงเรียนเลยไม่ใช่เหรอ" มีคณาสะบัดหน้าพรืดเดินนำต่อไป
หลานชายมองป้าด้วยสีหน้าเจ็บใจมาก บานเช้ากระชากแขนสันติไป
"ตามมาเร็วๆ เลย อย่าให้มันเรื่องมากนัก"

สันติเดินไปตามแรงลากของย่า ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก

มีคณาพาหลานชายและแม่มาพบครูอรุณ ซึ่งเป็นครูใหญ่ อายุเกือบ 50 ปี อรุณถามบานเช้า

"พวกเอกสารต่างๆ เอาติดตัวมาด้วยรึเปล่าครับคุณป้า"
"เอามาค่ะครู มี่เค้าเตือนแล้วว่าต้องเอามาให้ครบ" บานเช้าหยิบเอกสารทั้งหมดออกมาจากกระเป๋าสะพาย
"บัตรประชาชน สมุดพก เอกสารของโรงเรียน นี่ค่ะ ยังไงก็ฝากติมันด้วยนะคะ"
บานเช้ายกมือไหว้ ครูอรุณรีบยกมือรับไหว้
"พ่อแม่มันหวังอยากให้เรียนหนังสือเก่งๆ เรียนสูงๆ ยิ่งมันเป็นหลานชายก็อยากให้มันได้ดิบได้ดี"
ครูอรุณสบตากับมีคณาแบบรู้ประวัติกันดี ว่ามาจากหมู่บ้านที่เหยียดผู้หญิง ส่งผู้หญิงไปขายตัว เอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
"ลูกสาวหลานสาวเดี๋ยวนี้เก่งๆ เรียนได้ดีๆ ก็มีถมไปนะครับคุณป้า... อย่างมี่ไงครับ เรียนเก่ง ทำงานเก่งผมยังภูมิใจเลยว่ามีลูกศิษย์เก่ง"
สันติเบ้ปากไม่เห็นด้วย บานเช้าได้แต่ยิ้มแหยๆ มีคณาตัดบท เปลี่ยนเรื่อง
"ครูอรุณจะให้ติมาเริ่มเรียนได้เมื่อไหร่คะ"
"เข้าเรียนกลางเทอมแบบนี้ เริ่มเร็วที่สุดเลยดีกว่า พรุ่งนี้เลยแล้วกัน"
สันติตกใจ
"พรุ่งนี้ ยังพักไม่ทันหายเหนื่อยเลย"
"เป็นเด็กเป็นเล็กจะพักอะไรนักหนา ครูใหญ่ท่านให้โอกาสเข้าเรียนกลางเทอมได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว"
สันติจะขยับปากเถียง แต่บานเช้าหยิกแขนหลานชายเอาไว้ทัน มีคณายกมือไหว้
"ขอบคุณมากนะคะครู"
ครูอรุณรับไหว้ยิ้มแย้ม แต่ก็แอบเหล่มองสันติที่มีสีหน้าขรึมลง สัมผัสได้ถึงความแสบของเด็กคนนี้

มีคณาหยิบเงินส่งให้บานเช้า 2 พันที่ใต้ตึกโรงเรียน สันติเหล่มองเงินเล็กน้อย
"เดี๋ยวแม่จัดการเรื่องชุดนักเรียน ชุดพละให้ติด้วย ส่วนหนังสือเรียน เดี๋ยวมี่จัดการเอง"
บานเช้ายิ้มแย้ม
"ขอบใจมากนะมี่"
มีคณาฝืนยิ้มให้
"มี่ต้องไปทำงานแล้วล่ะ แม่เสร็จธุระแล้วก็กลับไปพักที่บ้าน"
มีคณาพูดต่อพลางส่งกุญแจบ้านให้
"เรื่องอาหารการกิน มี่ เตรียมของสดไว้ในตู้เย็นแล้ว แต่ถ้าแม่ยังไม่อยากทำ จะออกมาซื้ออาหารตามสั่งร้านเจ๊เหลี่ยมข้างวัดนี่ก็ได้"
"จ้ะ มี่ไม่ต้องเป็นห่วง ไปทำงานเถอะลูก"
มีคณายกมือไหว้
"งั้นมี่ไปเลยนะคะ"
บานเช้ารับไหว้ มีคณาเหล่มองหลานชายเล็กน้อย สันติก็จ้องหน้าเธออย่างกวนๆ ตอบ อารมณ์ประมาณว่า มามองหน้าฉันทำไม ไม่ได้คิดจะขอบคุณ หรือ ไหว้อะไรทั้งสิ้น เธอถอนใจพรวดเดินนำออกไปทางหน้าโรงเรียน แล้วบ่นออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันเนี่ย"
มีคณาเดินหน้าเครียดส่ายหน้าออกไปจากโรงเรียน

เวลากลางวันต่อเนื่องมา สาระวารีทิ้งอุปกรณ์หากินลงบนเตียงพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
"ยุ่งอยู่รึเปล่า"
มีคณากำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ตึกสยามสาร เธอกำลังจะไปโต๊ะทำงาน ทั้งคู่คุยโทรศัพท์ไปมา
"เพิ่งมาถึงออฟฟิศ ไปรับแม่กับหลานที่หัวลำโพงไปส่งบ้าน แล้วก็รีบมาทำงานเลย"
"ฉันดวงซวยจริงๆเลยแก" สาระวารีบอกพลางเสยผมอย่างเซ็งๆ
มีคณาสีหน้าเซ็งบอก
"ฉันก็ซวยเหมือนกัน..แกเล่าก่อน"
สาระวารีนั่งลงที่เตียง คุยโทรศัพท์
"ฉันเจอพวกโรคจิตตามจีบ"
มีคณายิ้มกระเซ้า
"ก็เหมาะสมกะแกดี"
สาระวารีเน้นเสียง
"มีคณา เดี๋ยวจะตายคาโทรศัพท์" สาระวารีฟังก่อนตอบ
"ก็ไม่ได้ขี้เหร่หรอก แต่งตัวก็เนี๊ยบดี คงพวกขี้หลีแหละ ฉันรำคาญกำลังจะย้ายโรงแรมใหม่วันนี้แหละ ยังไม่รู้จักฤทธิ์แม่เสือซะแล้ว... แกไม่ต้องมาขำฉันเลยนะ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ แล้วแกไปซวยอะไรมา"
มีคณาสีหน้าจ๋อยๆ
"วันนี้ฉันเข้าใจผิดขัดขวางการจับกุม ทำให้คนร้ายหนีไปได้ แล้วฉันยังเอาหนังสือพิมพ์ไปฟาดตำรวจอีก"
"อีกแล้วเรอะ แกฟาดตำรวจมา 2 นายซ้อนแล้วนะมี่ เออ แกโดนหมายหัวแน่ๆ ก็หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีก ... เออ แล้วนี่ยัยมัทแต่งงานมีลูกรึยัง ติดต่อไม่ได้เลย"
มีคณาขำๆ ไชยวัฒน์เดินยิ้มผ่านมาพอดี
"คืนนี้อย่าลืมงานแฟชั่นนะมี่"
มีคณาฝืนยิ้มให้
"ไม่ลืมหรอกค่ะบอกอ"
ไชยวัฒน์ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเดินไป
" ซวย 3 ชั้น"
"เดี๋ยวเหอะวารี"

มีคณาฟังก่อนตัดสาย ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

อ่านต่อหน้า 4

ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 1 (ต่อ)

เวลาต่อมา มีคณานั่งลงที่โต๊ะทำงาน เตรียมเปิดงานในคอมพิวเตอร์จะเขียนข่าวที่ค้างอยู่ โทรศัพท์สายนอกเรียกเข้าดังนำขัดขึ้นมา

" มีคณาพูดค่ะ"
เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิซึ่งทำงานด้านเด็กและสตรีแห่งหนึ่งบอก
"พี่บัวเองจ้ะมี่" สุนันทาบอก
มีคณามีสีหน้ายิ้มแย้ม
"สวัสดีค่ะพี่บัว มีอะไรให้มี่รับใช้คะ"
"ตอนนี้ที่มูลนิธิรับเด็ก 2 คนเข้ามาดูแล ถูกนายจ้างทารุณ มี่สนใจจะมาทำข่าวมั้ยล่ะ"

เวลาถัดมา มีคณาเดินเข้ามาในมูลนิธิสตรีและเด็กแห่งหนึ่ง เสียงสุนันทาเล่าเคสนี้ให้มีคณาฟัง"นายจ้างขายหมูที่ตลาด ไปรับเด็ก 2 คนนี่มาจากอีสาน เด็กสาวอายุ 14 น้องชายอายุ 12 เองนะน้องมี่"
มีคณาเดินมาพบกับสุนันทาที่ดักรออยู่ ทั้งคู่ไหว้รับไหว้กัน แล้วพาเดินไปยังบ้านพักเด็ก
"ทำงานมาร่วมปีแล้ว ถูกทุบตีแทบทุกวัน ได้กินข้าววันละมือเดียวเอง เด็กผู้ชายต้องตื่นเช้าไปช่วยงานที่เขียงหมู ส่วนเด็กผู้หญิงทำงานบ้าน"
ทั้งคู่เดินคุยกันไปทางบ้านพักเด็ก ไม่คาดคิด... สารวัตรหิรัณย์เดินคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคนของมูลนิธิเลี้ยวมาจากอีกทาง
มีคณาสนใจฟังเรื่องจากสุนันทาจึงไม่ทันเห็นหิรัณย์ แต่หิรัณย์ชะงัก จับตามองเธออย่างจำได้ แล้วอมยิ้มออกมา เขาหันมองตามเธอเดินเข้าตึกไปจนเหลียวหลัง

ผ่านเวลาซักพัก มีคณาเดินเช็กรูปจากกล้องดิจิตอลที่ถ่ายสัมภาษณ์อยู่ไปมา เธอเดินมาตามทางเดินข้างสนามหญ้าจะกลับออกไปจากมูลนิธิ เธอไม่ทันเห็นหิรัณย์ที่นั่งเล่นโทรศัพท์ดักรออยู่ที่ม้านั่งใต้ร่มไม้...
หิรัณย์เห็นมีคณาก็รีบทำฟอร์มเป็นเดินสวนมา
"อ้าว ท่านรัฐมนตรีหญิง"
มีคณาหยุดกึก เงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา
"มาทำอะไรที่นี่ครับ หรือว่ามาดูแลปัญหาสตรีและเด็ก"
มีคณาฝืนยิ้มตามมารยาท
"สวัสดีค่ะ"
มีคณาเดินเลี่ยงไป หิรัณย์ไม่ปล่อยผ่าน รีบเดินตามคุยด้วย
"อะไรกัน ทักทายประชาชนแค่นี้เองเหรอครับท่าน เสียคะแนนหมดเลย ถ้าเจอนักการเมืองอย่างคุณ คราวหน้าผมไม่เลือกจริงๆด้วย"
มีคณาแอบถอนใจอย่างรำคาญไม่ตอบอะไร เธอยังคงเดินนิ่งต่อไป
"นี่ตกลงคุณจะไม่พูดอะไรเลยเหรอครับท่านรัฐมนตรีหญิง"
มีคณาหยุดกึก หน้านิ่ง มองหิรัณย์
"ฉันไม่ใช่รัฐมนตรี คุณก็ทราบว่าเมื่อเช้าเป็นความเข้าใจผิด หรือว่าคุณยังโทษฉันอยู่ ที่ทำให้คุณพลาดจับตัวคนร้ายไป"
"ผมไม่โทษคุณอยู่แล้วล่ะครับ งานแบบนี้มีสำเร็จบ้าง พลาดบ้างอยู่แล้ว แต่ผมแปลกใจ เมื่อเช้าผมเจอคุณ กลางวันก็เจอคุณอีก ชักสงสัยว่าคุณทำงานอะไรกันแน่ถึงได้บังเอิญดวงสมพงศ์กับผมตลอด" หิรัณย์ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีคณาไม่ตลกด้วย ตอบเสียงเย็นในทันที
"ฉันไม่ใช่ผู้ร้ายค้ายาแน่ค่ะ ไม่ต้องห่วง"
มีคณารีบเดินเร็วหนีไป หิรัณย์เร่งฝีเท้าเดินตามต่อ
"ผมรู้ ท่าทางคุณไม่ให้ แล้วคุณทำงานอะไรล่ะ ผมขอทายนะ ดูจากมาดการช่วยเหลือเด็กเมื่อเช้ากับการปรากฏตัวที่นี่ของคุณ ผมเดาว่าคุณต้องเป็นพวกนักสังคมสงเคราะห์แน่ๆ เลย"
มีคณาหยุดเดิน จ้องหน้าตอบ
"ผิดค่ะ ฉันเป็นพวกวิเคราะห์สังคมตะหาก"
หิรัณย์คิดแล้วเดา แล้วยิ้มหวานออกมา
"คุณเป็นนักข่าวใช่มั้ย"
มีคณาเผลอมองยิ้มหวานของหิรัณย์ อดนึกไม่ได้ว่า อีตานี่ยิ้มเก่งจริงๆ ดูไว้ใจได้ ก่อนรีบตัดความคิดออกจากหัว
"ค่ะ"
"ไม่น่าล่ะคุณถึงบอกว่ารู้จักตำรวจดี"
"ดีกว่าที่คุณคิด"
มีคณาจะก้าวเดินไป หิรัณย์มาขวางหน้าแนะนำตัว
"ผมชื่อหิรัณย์ คุณจะไม่แนะนำตัวซะหน่อยเหรอ"
มีคณาพึมพำตอบไปห้วนๆเร็วๆ แบบไม่ใส่ใจว่า จะได้ยินมั้ย
"มีคณาค่ะ"
มีคณาก้าวขาเดินเบี่ยงไป แต่หิรัณย์ก็รีบเบี่ยงตัวตามขวางอีกจนได้ มีคณาชักจะหมดความอดทน สูดหายใจลึก
"ไม่มีนามบัตรเลยเหรอครับ ผมเห็นนักข่าวส่วนใหญ่มีนามบัตรไว้แจกเป็นตั้งๆ"
มีคณานิ่งเงียบ ไม่ตอบ
"ไม่แน่นะครับ บางทีในอนาคตผมอาจจะเป็นแหล่งข่าวที่ดีให้คุณก็ได้"
มีคณาฉุกคิดก็จริงอย่างที่เค้าพูด ยอมตัดใจหยิบกลักใส่นามบัตรออกมาจากกระเป๋าสะพาย หยิบนามบัตรส่งให้หิรัณย์ไป1ใบ หิรัณย์แลกกับนามบัตรของตัวเองให้ไป
"ขอบคุณครับ"
มีคณากวาดตาอ่านนามบัตรแวบหนึ่งก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าสะพาย
"คุณจะกลับแล้วใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ"
"เอารถมารึเปล่า ถ้าไม่ ผมอาสาไปส่ง"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งรถเมล์กลับได้"
มีคณาเดินเลี่ยงนำไปแบบไม่เกรงใจแล้ว
" งั้นผมไปส่งให้ที่ป้ายรถเมล์ คุณจะได้ไม่ต้องเดินตากแดดร้อนๆ"
มีคณาเดินหน้าบึ้งนิ่งนำไปอย่างเร็ว หิรัณย์เดินตามพูดโน้มน้าวไม่ยอมหยุดเหมือนกัน
"ไกลนะครับ ออกจากซอยแล้วยังต้องเดินไปอีกเกือบ 100 เมตร เราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันแล้ว" หิรัณย์โชว์นามบัตรมีคณาในมือแล้วพูดต่อ
"จากที่นี่ไปป้ายรถเมล์ ไม่มีซอยเปลี่ยวให้ผมเลี้ยวไปคิดทำไม่ดีไม่ร้ายกับคุณได้หรอกน่า ไม่เห็นต้องกลัวเลย"
มีคณารำคาญสุดๆแล้ว ตอบเสียงแข็ง
"ฉันไม่ได้กลัวคุณ"
หิรัณย์สวนทันที
"งั้นเชิญครับ รถผมจอดอยู่ทางนี้"
หิรัณย์ฉีกยิ้มหล่อผันมือบอกทางไปด้านข้าง มีคณาสูดหายใจลึกอย่างสะกดอารมณ์

บริเวณที่จอดรถ หิรัณย์เปิดประตูรถให้มีคณาแล้วชวนคุย
"คุณมาทำข่าวอะไรเหรอครับ"
มีคณาขึ้นไปนั่งรถพร้อมตอบ
"ข่าวตามชื่อมูลนิธินั่นล่ะค่ะ เด็กถูกทารุณกรรมสองคน พี่สาวน้องชาย"
"อ๋อ เด็กคู่นั้นเอง ผมเห็นตอนเค้าพามาที่นี่แล้วล่ะ เด็กท่าทางหงอยๆ ทั้งคู่เลย"
มีคณาหน้าบึ้งๆ นึกโกรธที่เด็กต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
"ถ้าคุณ ถูกทุบตีทุกวัน ถูกกักขัง ไม่หงอยก็แปลกแล้วล่ะค่ะ"
หิรัณย์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนปิดประตูรถแล้วรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นที่นั่งฝั่งตน มีคณารัดเข็มขัดนิรภัย
เข้าก้าวขึ้นรถมาได้ก็ชวนคุยต่อ
"ท่าทางคุณจะเป็นคนรักเด็กมากนะ เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว กางปีกออกมาปกป้องเด็กซะขนาดนั้น"
มีคณานึกถึงหน้าสันติขึ้นมาในใจ
"ก็ไม่ใช่เด็กทุกคนหรอกค่ะ ฉันสงสารแต่เด็กที่ถูกผู้ใหญ่รังแกเท่านั้น"
หิรัณย์หน้ายิ้มกระเซ้า
"แล้วตำรวจที่ถูกนักข่าวรังแกล่ะครับ สงสารรึเปล่า"
มีคณาหันไปเจอหน้ายิ้มของหิรัณย์เข้า ก็เสียงแข็งใส่
"คุณจะชวนคุยอีกนานมั้ยคะ ฉันต้องไปทำข่าวต่ออีกที่นึง เสียเวลา ฉันเดินออกไปเองเร็วกว่า"
มีคณาจะปลอดเข็มขัดนิรภัย
"โอเคๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"
มีคณาถอนใจหน้าบึ้งตึง หิรัณย์สตาร์ทรถพร้อมแอบอมยิ้ม

รถยุโรปสีเงินของหิรัณย์วิ่งมาตามถนนช้าๆ ขณะขับรถยังชวนคุยไม่เลิก
"สมัยนี้ไม่ใช่แต่เด็กผู้หญิงเท่านั้นหรอกครับที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เด็กผู้ชายก็โดน บางทีรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ"
"สังคมเราเลวร้ายลงทุกวันนะคะ ใครก็ตกเป็นเหยื่อได้ทั้งนั้น ไม่เกี่ยงเพศเกี่ยงอายุ ... ถึงป้ายรถเมล์แล้ว คุณจอดเลยไปหน่อย เดี๋ยวฉันเดินย้อนกลับมาเอง"
หิรัณย์ขับรถเลยไปจอดตามคำขอ มีคณาปลดเข็มขัดนิรภัย
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ลาก่อนค่ะ"
มีคณาจะเปิดรถลงไป
"ใจคอไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเลยเหรอครับ"
มีคณาไม่อยากจะสนใจโต้ตอบ เปิดประตูรถออกไป หิรัณย์ชะโงกหน้าบอกพลางส่งยิ้มหวานให้
"หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกเร็วๆนี้นะครับ"
มีคณากรอกตาเซ็งไปมาปิดประตูโครมเข้าจนให้เกือบกระแทกหน้าหิรัณย์ เขาผลุบหลบไปได้ทันพอดี
เธอกระชับแว่นเข้าดั้ง เดินหน้านิ่งกลับไปป้ายรถเมล์ไม่หันกลับมามองรถยุโรปสีเงินคันนั้นอีกเลย ไม่คิดอยากจะเจออีกด้วยซ้ำ

เขามองตามเธอไปจนถึงป้ายรถเมล์ อมยิ้มถูกใจและถูกชะตา

เวลาเย็น บริเวณโถงบ้านมีคณา สันตินั่งเอกเขนกกระดิกเท้านอนดูทีวีอยู่ที่โซฟารับแขก กินขนมกรุบกรอบที่มีคณาซื้อไว้ แกะกระจายเต็มโต๊ะกลาง บานเช้านั่งหั่นผักเตรียมทำอาหารเย็นอยู่ที่โต๊ะอาหาร

มีคณากลับเข้าบ้านมา สันติเหล่มองแล้วดูทีวีต่อ ไม่สนใจ
"กลับมาแล้วเหรอลูก เงินทอนอยู่หลังตู้เย็นนะ"
"แม่เก็บไว้ใช้เถอะค่ะ"
บานเช้ายิ้มปลื้ม
"ขอบใจมากจ้ะ แม่กำลังจะเข้าครัวทำกับข้าวพอดี มี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ"
มีคณาเดินเลยไปหาแม่ ไม่สนใจหลานชาย
"มี่ต้องไปทำข่าวงานแฟชั่นโชว์ต่อน่ะค่ะแม่ กว่างานจะเลิกก็คงสามสี่ทุ่ม แม่เข้านอน ได้เลย ไม่ต้องรอนะคะ"
"จ้ะ ไม่ต้องห่วงบ้านนะ แม่จะเฝ้าให้อย่างดี"
"บ้านนี้ไม่มีสมบัติอะไรให้เฝ้าหรอกค่ะแม่"
มีคณาหันมองสันติแล้วบอก
"อย่านอนดึกนักล่ะติ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า"
สันติไม่สนใจ กดรีโมทเปิดเสียงทีวีให้ดังขึ้นเพื่อกลบเสียงมีคณา ด้วยความรำคาญ เธอได้แต่ถอนใจ แล้วเดินขึ้นบ้านไป ไม่อยากเสียอารมณ์กับเด็กบ้า

ผ่านเวลาซักพัก สันติหน้าหงิกงอใส่ชุดนักเรียนเดินออกมาจากห้องน้ำ บานเช้ายิ้มพอใจ ยืนรอดูอยู่ที่โถงบ้าน
"จะลองทำไมอีกก็ไม่รู้ ลองแล้วลองอีก" สันติบ่น
"ก็ลองใส่ให้เจ้าของเงินเค้าดูหน่อยสิ ใส่เสื้อเข้าในกางเกงให้เรียบร้อยสิ"
สันติหน้าหงิกยัดเสื้อใส่กางเกงอย่างลวกๆ บานเช้าเหลือบตามองไปทางบันไดเห็นลูกสาวเดินลงมาพอดี
"ป้าเราลงมาพอดีเลย"
สันติหันไปมองทางบันไดบ้าน มีคณาแต่งตัวสวยกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้เกียรติกับงาน
"ไปงานแฟชั่นโชว์ แต่งตัวไม่เห็นจะสวยเลย แก่จะตาย"
"ป้าไปทำข่าว ไม่ได้ไปเดินแฟชั่นโชว์ ใครเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า"
"งานมันก็ต้องมีผู้ชายมั่งแหละ ไม่อยากให้ผู้ชายมาชอบ รึไง"
"ป้าไปทำงาน ไม่ได้แต่งตัวไปหาผู้ชาย"
"คิดแบบเนี้ยถึงได้ไม่มีใครเอา"
มีคณาแทบจะเหลืออดกับคำพูดคำจาแก่แดดของหลานชาย
"พอได้แล้วเจ้าติ...อย่าถือสาหลานเลยนะมี่ มันพูดจาเลียนแบบพ่อกับปู่มันมาทั้งนั้นล่ะ"
"ไม่บอกมี่ก็รู้ค่ะ"
บานเช้ายิ้มแย้ม ตัดบท
"นี่ไงชุดนักเรียนที่ซื้อใหม่มาวันนี้ ถูกระเบียบทุกอย่าง มี่ชอบมั้ยล่ะ"
"ก็ดีค่ะ หวังว่าพอเข้าเขตรั้วโรงเรียนจะยังถูกระเบียบอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ดึงเสื้อออกให้หลุดรุ่ย ไม่เห็นจะเท่ตรงไหน"
สันติจ้องหน้ามีคณา ไม่พอใจที่รู้ทัน
"มี่ไปนะคะแม่"
มีคณาเดินหน้าบึ้งตึงออกไปจากบ้าน
"เราก็ชอบไปพูดจาหาเรื่องป้าเค้าเรื่อย"
สันติพูดดังไล่หลัง อยากให้ป้าได้ยิน
"ก็มันจริงนี่ย่า ขืนทำตัวเชยๆ ยังงี้ ต้องเป็นป้าแก่แรงทึ้งเฝ้าบ้านอยู่คนเดียวไปจนตาย"

มีคณาสีหน้าโกรธจัด หยุดกึก เดินกลับมาเข้าโถงบ้าน ตรงปรี่เข้าไปจับแขนหลานชายที่กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำเปลี่ยนชุดนักเรียน เธอกระชากแขนล็อกตัวแล้วจับทุ่มไปนอนเดี้ยงตัวงออยู่กับพื้นด้วยวิชาเทควันโดและศิลปะป้องกันตัวที่ฝึกฝนมา
มีคณายืนยิ้มพอใจพึมพำอยู่หน้าบ้าน แค่ได้คิดก็หายแค้นไปได้บ้าง
"ค่อยยั่งชั่ว"
มีคณากระชับแว่นเข้าดั้ง เดินอารมณ์ดีขึ้นออกไปจากรั้วบ้าน เตรียมตัวไปทำงานต่อ

เวลาหัวค่ำ ท่ามกลางบรรยากาศหน้าห้องจัดงาน แขกเหรื่อผู้ใหญ่แต่งตัวสวยหรูภูมิฐานเริ่มทยอยมาร่วมงานกัน มีคณาเดินมาถึงห้องจัดงาน มองดูผู้คน เธอรู้สึกประหม่าๆ เหมือนกัน เพราะไม่ค่อยชินกับการออกงานสังคมแบบนี้ มีคณาก้มมองดู สำรวจการแต่งตัวของตัวเอง ก่อนรวมความมั่นใจเดินเข้างานไป
เธอกวาดตามองหาเพื่อนสื่อมวลชน สายตาพลันเห็นหิรัณย์ในชุดสูทดูดียิ้มแย้มพูดคุยต้อนรับกลุ่มคุณหญิงคุณนายอยู่ เธอตกใจที่เจอตาสารวัตรนี่อีกแล้ว เขาคุยแล้วยิ้มเลยมาทางมีคณาพอดี เธอรีบหลบตาขวับ เดินก้มหน้าไปอีกทาง
หิรัณย์จำได้ ดีใจปนแปลกใจ เขาบอกแขกเหรื่อที่ต้อนรับอยู่
"ขอตัวซักครู่นะครับ"
หิรัณย์เดินปรี่ไปเรียก
"คุณมีคณา"
มีคณาดันแว่น กรอกตาไปมา ทำเป็นไม่ได้ยิน หิรัณย์รีบไปขวางหน้า
"คุณมีคณาใช่มั้ยครับ"
เธอแอบถอนใจอย่างเซ็ง หิรัณย์ยิ้มดีใจ
"คุณจริงๆด้วย"
มีคณาฉีกยิ้มมารยาทให้
"เจอกันอีกแล้วนะครับ สงสัยคุณกับผมนี่ดวงสมพงศ์กันจริงๆ วันเดียวถึงได้พบกัน 3 เวลาเหมือนนัดกันไว้เลย"
"เป็นความบังเอิญมากกว่าค่ะ"
"เป็นความบังเอิญที่น่ายินดีครับ"
มีคณาชักรู้สึกอึดอัด ดันแว่นขึ้นกระชับดั้ง ผู้การพิรุณเดินเข้ามาทัก ขัดจังหวะได้พอดี
"คุณมี่"
มีคณาหันมองรีบยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะท่าน"
พิรุณรับไหว้
"กำลังนึกอยู่เชียวว่าสยามสารจะส่งใครมาทำข่าว นี่คุณมี่รู้จักกับสารวัตรหิรัณย์แล้วใช่มั้ย"
มีคณาหน้านิ่งๆ
"เพิ่งพบกันค่ะ"
"อ้าว ก็เคยเจอกันตอนไปล่อซื้อทีนึงแล้วไม่ใช่เรอะ"
มีคณาและหิรัณย์หันมองหน้ากัน อึ้งๆไป ที่แท้ก็คู่กรณีเก่านี่เอง พิรุณยิ้มขำ
"บอกอไชยวัฒน์นี่ร้ายไม่เบา หลอกสารวัตรผมว่าคุณเป็นสาวประเภทสองซะนี่"
หิรัณย์กลั้นขำเอาไว้ จนต้องก้มหน้า มีคณารู้สึกอายมาก ที่แท้ก็อีตาคนนี้เองที่ตนฟาดเกือบตายแล้วปากเสียใส่ตนอีก พิรุณตบบ่าหิรัณย์
"สารวัตรหิรัณย์นี่มือดีของหน่วยผม ส่วนคุณมี่นี่เป็นนักข่าวของสยามสาร สมัยผมทำงานป.ป.ส.ส่งข่าวให้คุณมี่ประจำ คุณสองคนรู้จักกันไว้ก็ดี"
หิรัณย์ฉีกยิ้มให้มีคณาอีก เธอเหลือบตามองยิ้มมารยาทตอบ ในใจกคิดว่า มันจะยิ้มอะไรของมันนักหนา
"นึกไม่ถึงล่ะสิสารวัตร ว่านักข่าวสายอาชญากรรมจะสวยขนาดนี้ คุณมี่ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียวนะ เก่งด้วย"
หิรัณย์ได้แต่มองมีคณาแล้วก็ยิ้มตลอด มีคณาถูกยอก็เขิน แก้อายด้วยการดันแว่นกระชับเข้าดั้ง ทั้งที่มันก็อยู่ที่เดิมของมัน
"ไว้วันไหนว่างเข้าไปทำข่าวที่หน่วยนะคุณมี่ เรากำลังตามคดีน่าสนใจอยู่หลายคดี บางทีอาจจะมีซักคดีที่คุณสนใจก็ได้"
มีคณายกมือไหว้
"ขอบพระคุณมากค่ะ มี่กำลังคิดว่าจะทำสกู๊ปยาเสพติด เปลี่ยนบรรยากาศซักเรื่อง"
"งั้นติดต่อกับสารวัตรหิรัณย์ได้เลย รายนี้เค้ามีคดีเด็ดๆ ในมือเยอะ ใช่มั้ยสารวัตร"
"ครับท่าน ... ถ้าคุณมี่ อยากทำข่าวเมื่อไหร่ โทรหาผมได้ตลอดเวลา แต่ขออย่างเดียว อย่าฟาดผมหนักแบบวันนั้นอีก"
มีคณาทั้งเขินอายและเจ็บใจระคนกัน แต่ต่อหน้าผู้การพิรุณ เลยไม่กล้าทำอะไร ได้แต่ยิ้มฝืนๆ
คืนไป

เวลาผ่านไปอีกซักพัก บนเวทีพล.ต.ท.พิรุณกำลังรอมอบโล่ขอบคุณโล่เกียรติยศให้กับหน่วยงานและผู้ให้การสนันสนุนบนเวทีเดินแฟชั่น
ผู้หมวดวิมลิน หรือ หมวดดาว เดินออกมาจากด้านหลังแคทวอล์กในชุดสวยด้วยท่วงท่าเท่ สีหน้าที่นิ่งไม่มีรอยยิ้ม ทำให้ดูเธอเหมือนนางแบบมาก...เธอถือโล่ ใบประกาศต่างๆ มาคอยส่งให้ผู้การพิรุณ การมอบโล่ต่างๆก็ดำเนินการต่อไป หมวดดาวยังคงยืนหน้าเรียบเฉยอยู่เยื้องๆ ด้านหลังผู้การ
มีคณาที่รวมอยู่กับกลุ่มสื่อมวลชน ถ่ายรูป พอให้ได้รูปไปลงข่าว

หิรัณย์คอยดูแลความเรียบร้อยของงาน อดที่จะแอบชำเลืองมองมีคณาทำงานไม่ได้

เวลาผ่านมาอีกซักครู่ นางแบบกิตติมศักดิ์เริ่มทยอยเดินขึ้นบนเวที ส่วนใหญ่จะเป็นวัยแม่ วัยป้าสวมใส่ผ้าไหมตัดเย็บหรูหรา เดินแบบค่อนข้างช้า หน้าม้าไฮโซต่างร้องกรี๊ด ถ่ายรูปพัลวัน

บนเวทีมีไฮโซสาวรุ่นกระเตาะคอยมอบช่อดอกไม้ให้อยู่บนเวที ไฮโซสาวก็จะแต่งตัวร่วมสมัย ประโคมเพชรกันพรึ่บ
นางแบบสูงวัยเดินช้ามาโพสท์ท่า บ๊ายบายแบบนางงาม แล้วมาหยุดโชว์ ใช้เวลาหมุนไปหมุนมากับบรรดาหน้าม้าอยู่นานสองนาน
มีคณาก็เก็บภาพไปด้วยสีหน้าเบื่อๆ เซ็งๆ เล็กน้อย เธอถอยออกมาจนชนเข้ากับหมวดดาวอย่างแรง
"อุ๊ยขอโทษค่ะ"
หมวดวิมลินหน้านิ่งปนดุพยักหน้ารับ เดินหน้าเชิดคอตั้งบ่าไปยืนดูความเรียบร้อยของงาน
"ไปจ้างนางแบบที่ไหนมาเนี่ย หยิ่งชะมัดเลย" มีคณาบ่นๆ
มีคณาขี้เกียจรอเลยเดินไปตามเก็บภาพนางแบบรุ่นใหญ่ใจบุญที่ทยอยเดินตามกันออกมาอีก 2-3 ภาพ แล้วตัดสินใจเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารของสื่อมวลชน เธอนั่งเช็กรูปที่ถ่ายมาได้ไปมา
หิรัณห์ยื่นแก้วน้ำส้มมาตรงหน้าเธอ
"ขอนั่งด้วยคนนะครับคุณมี่"
มีคณาเหลือบตามอง ไม่ตอบ ดูรูปถ่ายไป
"ผมรินน้ำส้มมาฝาก เห็นตั้งแต่มาคุณยังไม่ดื่มหรือทานอะไรเลย รับรองน้ำอัดลมจากขวด ไม่มีสารพิษใดๆ ปลอมปน"
มีคณาขอบคุณอย่างเสียไม่ได้
"ขอบคุณค่ะ"
"ถ่ายรูปพอแล้วเหรอครับ"
"ถ่ายไปก็ไม่มีที่ลงหมดหรอกค่ะ เดี๋ยวรอเก็บท้ายๆงานอีกหน่อย ก็แค่แฟชั่นการกุศล ไม่มีอะไรมาก"
มีคณาน้ำเสียงเหมือนเยาะ เหมือนไม่ชอบ
"ฟังจากน้ำเสียงคุณแล้ว สงสัยจะไม่ชอบงานพวกนี้เท่าไหร่"
"ฉันไม่ชอบงานแฟชั่นค่ะ ยิ่งงานแบบนี้ยิ่งน่ารำคาญ กุศลเหมือนไม่ใช่กุศล ประกวดประชันกันมากกว่า"
"ผมก็ไม่ชอบงานพวกนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าตัดความหรูหราฟู่ฟ่าจอมปลอมออกไป ผลที่ได้ก็คือ เงินสำหรับสนับสนุนหน่วยงาน เงินที่เอาไว้ล่อซื้อยา เงินที่ตำรวจเอาไว้ใช้ตามจับพ่อค้ายาได้มากขึ้น"
มีคณาเงียบไปอย่างรับฟัง
"แล้วก็เป็นเงินทุนกองเดียวกันที่ใช้เป็นค่าปลอบขวัญสำหรับครอบครัวตำรวจที่ต้องเสียเสาหลักไป ผมว่ามันก็คุ้มที่จะจัดนะครับ"
มีคณาดูน้ำเสียงอ่อนลง มองหิรัณย์ด้วยสายตาเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย
"คุณเป็นอีกคนนึงนะที่เตือนให้ฉันพยายามมองในสิ่งที่ไม่อยากสนใจ เพราะบางที มันอาจมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ก็ได้"
หิรัณย์ยิ้มแย้ม
"เสียดายไม่ใช่คนแรก"

สายตาที่อ่อนลงของเธอก็กลับแข็งขวับขึ้นมาทันที เธอปมเยอะ กำแพงหนา ไม่ชอบผู้ชายมาล้อเล่นเหมือนจะจีบ ยังงี้ถึงจะเป็นคนดีก็เหอะ
ทีมงานเดินออกมาตามหาหิรัณย์
"พี่รันครับ ข้างหลังเวทียุ่งใหญ่แล้วครับ คุณหญิงอมิตดาไม่ยอมให้คุณกิฟท์มอบช่อดอกไม้ บอกว่าเค้า พยายามจับลูกชายเธออยู่ รับดอกไม้แล้วกลัวว่า สื่อจะไปตีความว่ายอมรับเป็นลูกสะใภ้ จะถึงคิวขึ้นเวทีแล้วนะพี่"
หิรัณย์สีหน้าใช้ความคิด
"เอางี้ เดี๋ยวพี่จะไปเชิญคุณหญิงแป้งมามอบ"
"คุณหญิงไม่ยอมครับพี่ เธออยากให้เด็กๆ มามอบแล้วต้องน้อมตัวย่อให้เธอดูเด่นสุดบนเวทีครับ"
มีคณาแอบถอนใจจิบน้ำส้มที่หิรัณย์เอามาให้ไป
"ผู้หมวดดาวล่ะ รายนั้นรับรองไม่เคยมีปัญหากับลูกชายคุณหญิงแน่ๆ"
"ผู้หมวดเผ่นไปแล้วครับ"
หิรัณย์ถอนใจหันมองมาทางมีคณา
"ไม่ต้องมองมาทางนี้เลยค่ะ ถึงฉันจะไม่เคยมีปัญหากับลูกชายคุณหญิง แต่แพ้เวทีค่ะ"
หิรัณย์ลุกขึ้น
"งั้นคุณรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมออกมาคุยด้วย"
มีคณาอึ้งไปเล็กน้อย อารมณ์ประมาณทำไมฉันต้องรอคุยกับคุณด้วยล่ะ หิรัณย์รีบตามทีมงานกลับไปหลังเวที มีคณามองตาม แล้วบ่นพึมพำ
"เรื่องอะไรฉันต้องเชื่อฟังคำสั่งคุณ"
มีคณาเหยียดปากใส่ ลุกไปถ่ายภาพที่หน้าเวที เพื่อเก็บภาพเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

ผ่านเวลาซักครู่ มีคณาเลี่ยงกลับออกมาจากงาน เธอเดินมาที่ลิฟท์ซึ่งกำลังจะปิดพอดี
"รอเดี๋ยวค่ะ"
มีคณารีบเดินเข้าลิฟท์ไป พบวิมลิน ที่เธอเข้าใจว่า เป็นนางแบบจอมหยิ่ง เธอชะงักไปเล็กน้อย "ขอบคุณค่ะ"
หมวดวิมลินนิ่งๆ ไม่ตอบไม่พูดอะไร ยืนนิ่ง หน้ามองตรง หลังตรง หน้าเรียบขรึม จนมีคณารู้สึกอึดอัด จนแทบจะกลั้นหายใจ

เมื่อหิรัณย์เคลียร์ปัญหาหลังเวทีเรียบร้อย เดินกลับออกมาเดินมองหา แต่ไม่พบมีคณา เขามองเหล่ไปยังกลุ่มนักข่าว เดินมองตามสำรวจไปรอบๆ

บริเวณล็อบบี้โรงแรม ประตูลิฟท์เปิด
"เชิญค่ะ" มีคณาบอก
วิมลินกดลิฟท์ค้างให้แล้วผันมือเชิญให้มีคณาออกก่อน โดยไม่พูดอะไรซักคำ
"ขอบคุณค่ะ"
มีคณาเดินนำออกไป วิมลินสีหน้านิ่งเดินตามออกมาแล้วเลี้ยวไปอีกทาง มีคณาดูนาฬิกาข้อมือ สีหน้าร้อนใจนิดๆ ด้วยความเป็นห่วงบ้าน รีบเดินผ่านล็อบบี้โรงแรมจะออกไปเรียกแท็กซี่
โทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้น เธอหยิบมือถือมาดูเบอร์โชว์ แม้จะเป็นเบอร์ไม่คุ้น
"ฮัลโหล"
"คุณมี่เหรอครับ ผมสารวัตรหิรัณย์นะครับ"
มีคณาถอนใจออกมา
"อยู่ไหนครับเนี่ย"
"ออกมาแล้วค่ะ"
"อ้าว งานยังไม่เลิกเลย"
"ไม่น่ามีอะไรแล้วมั้งคะ ลิฟท์มาแล้วค่ะ" มีคณารีบตัดบททันที

หิรัณย์ยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าลิฟท์ กวาดตามองลิฟท์ที่นิ่งสนิท
"ลิฟท์หน้างานรึเปล่าครับ ผมออกไปส่ง"
" ค่ะ ฮัลโหลๆ ๆ ไม่ได้ยินเสียงแล้วค่ะ ฮัลโหล"
หิรัณย์พูดยิ้มๆ
"มุกซ้ำนะครับ ผมใช้ประจำ"
มีคณาอึ้งๆไป
"ตอนนี้ผมอยู่หน้าลิฟท์"
มีคณาได้ยินหิรัณย์ตอบกลับมาแบบนั้นก็หน้าแตก เสียฟอร์มอย่างแรงที่เขารู้ทัน รีบกดตัดสายแล้วดันแว่นกระชับดั้ง เดินดิ่งออกไปจากโรงแรมอย่างเร็วรี่

หิรัณย์ยิ้มแย้มอารมณ์ดี เดินกลับเข้าไปงาน รู้สึกมีชีวิตชีวาดีที่ได้หยอกล้อกับมีคณา

ตกตอนกลางคืน บานเช้าเปิดประตูโถงรับมีคณาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

"ทำไมยังไม่เข้านอนอีกคะแม่ มี่บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ"
มีคณาอึ้งไป เมื่อเห็นสันติยังใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อกลางวันนั่งดูทีวีอยู่อย่างเพลิดเพลิน
"อ้าวติ จะห้าทุ่มอยู่แล้ว ยังนั่งดูทีวีอยู่ได้"
สันติทำหูทวนลม ฝ่ายย่ารีบแก้ตัวแทน
"มันแปลกที่ เจ้าติก็เลยนอนไม่หลับน่ะมี่"
"แปลกที่ก็ต้องนอนให้หลับค่ะแม่ พรุ่งนี้ติต้องไปโรงเรียน นอนดึกแบบนี้จะไปเรียนหนังสือรู้เรื่องได้ยังไง"
มีคณาเดินตรงไปหา ส่งเสียงดุ ออกคำสั่งกับหลานชาย
"ปิดทีวีแล้วขึ้นไปอาบน้ำนอนเดี๋ยวนี้เลย"
สันติทำหูทวนลม ดูทีวีต่อไป เธอไม่พอใจเดินไปกดปิดทีวีเลย
"เอ๊ะ คนกำลังดูอยู่ไม่เห็นรึไง"
สันติเดินไปกดเปิดทีวี มีคณาอึ้ง แต่ไม่ยอมแพ้หลานกดปิดซ้ำ หลานชายจ้องหน้าป้า อยากเอาชนะ กดเปิดอีก เธอเหลืออด เดินไปดึงปลั๊กออกเลย สันติโมโหยกเท้าถีบจนทีวีเคลื่อน เธอนึกไม่ถึงว่า หลานจะหยาบคายขนาดนี้ บานเช้ารีบมาจับตัวหลานดึงออกมา
"เจ้าติ อย่าทำยังงี้นะ เดี๋ยวทีวีก็พังหรอก"
"ไม่ต้องห้ามหรอกค่ะแม่ ถีบให้พังไปเลย มี่ไม่มีปัญญาซื้อเครื่องใหม่ให้หรอกนะ ก็ดี จะได้ไม่ต้องมีทีวีดู อยู่กันเงียบๆ มี่ชอบ"
มีคณาจ้องหน้าหลานชายเขม็ง สันตินิ่งไป ฉลาดพอที่จะไม่ทำลายทีวีอีกเพราะกลัวไม่มีดู สันติหันมาเลือกด่ามีคณาแทน
"ยัยป้าแร้งทึ้ง"
มีคณาสวนกลับด้วยความโกรธทันที
"ป้ายอมให้ติด่าได้วันนี้วันเดียวเท่านั้น ถ้าพรุ่งนี้ติยังพูดจาหยาบคายอีก ป้าจะลงโทษ"
สันติพูดจาท้าทาย
"มึงจะกล้าทำอะไรกู"
บานเช้าตีแขนหลานชายปราม
"ไม่เอาน่าติ"
มีคณาจ้องหน้า
"อยากลองมั้ยล่ะ"
สันติพูดจาลองดี
"อีแก่ อีแว่นอกตัญญู"
บานเช้าตกใจรีบปาดมือเข้าปิดปากสันติทันที มีคณาโกรธจัดเดินฉับๆไปเข้าห้องน้ำบริเวณโถง สันติผลักตัวย่าออกไปแล้วขำหยัน
"โธ่ นึกว่าจะแน่ หลบเข้าห้องน้ำไปร้องไห้"

มีคณาเข้าห้องน้ำมาด้วยสีหน้าท่าทางโกรธขัด คิดจะปราบพยศเด็กบ้าคนนี้ให้ได้ เธอเอาสบู่ล้างมือมาเปิดน้ำถูกับมืออย่างแรงจนฟองฟอดเต็มมือ

สันติเดินกร่างจะไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกิน มีคณาเปิดประตูกระแทกโครมออกมาจากห้องน้ำ ตรงเข้าหาสันติ เอาทั้งฟองสบู่และก้อนสบู่ทั้งถูทั้งยัดใส่ปากสันติ
"ปากสกปรกนัก พูดจาหยาบคาย ต้องล้างให้สะอาด"
บานเช้าตกใจปนห่วงหลาน
"ตายแล้วมี่ จะทำอะไรเจ้าติมันน่ะลูก"
สันติจะร้องก็ร้องไม่ออก ไอสำลัก แล้วถุยๆ เศษสบู่และปัดก้อนสบู่ออกไป ฝ่ายหลานตรงเข้าทำร้ายร่างกายมีคณา เธอเรียนศิลปะป้องกันตัวมาจึงรับการโจมตีของสันติด้วยการล็อกแขนได้ทัน แล้วหักบิด หลานชายตัวดีมีสีหน้าเจ็บปวดจะร้องไห้
"จำไว้ ถ้าอยากอยู่บ้านนี้ ติก็ต้องทำตามกฎของป้า ต้องไม่พูดจาหยาบคาย ต้องเรียกตัวเองว่าผมหรือติ ทีวีดูได้ ถึงแค่3 ทุ่ม ทำได้มั้ยสันติ"
มีคณาบิดแขนหนักขึ้นจนสันติร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บ เกรียนยังไงก็ยังเด็ก 10 ขวบ บานเช้าเห็นแล้วทนไม่ไหว เข้ามาอ้อนวอนลูกสาว
"หลานมันเชื่อแล้วมี่ ปล่อยมันเถอะนะ แม่ขอร้องล่ะ ปล่อยให้หลานไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้มันต้องตื่นไปเรียนแต่เช้านะลูก"
มีคณายอมปล่อย แล้วผลักหลานออกไปแรงๆ สันติหันมาจ้องหน้าอย่างอาฆาตแล้ววิ่งโครมๆ ขึ้นบ้านไป เธอถอนใจแล้วเก็บสบู่ ทำความสะอาดพื้นที่เปื้อนไป มีคณาพูดกับแม่น้ำเสียงราบเรียบ
"ถ้าแม่คิดว่ามี่ทำเกินไป จะพาติกลับบ้าน มี่ก็ไม่ว่านะคะ"
บานเช้าไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาช่วยมีคณาเก็บทำความสะอาด
"มันกลับไป หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน ซักวันก็คงเหมือนพ่อมัน ให้มันอยู่ที่นี่เถอะนะมี่"
มีคณาหันมาชำเลืองมองหน้าแม่
"แต่แม่ขอเถอะ อย่าทำรุนแรงกับติมันนักเลย มันไม่มีโอกาสดีๆ เหมือนเด็กคนอื่น ไม่ได้โชคดีเหมือนมี่"
มีคณามองหน้าแม่
"แม่คิดว่ามี่โชคดีกว่าสันตินักเหรอคะ กำพร้าพ่อตั้งแต่จำความไม่ได้ มีแม่ก็เหมือนไม่มี"
บานเช้าผงะปนอึ้งไป มีคณาระบายความอัดอั้นต่อไม่หยุด
"ป้าที่เลี้ยงมาก็เป็นครูทั้งชีวิต ทั้งวิญญาณ รู้จักแต่สอน ไม่รู้จักความเป็นพ่อแม่"
บานเช้าถึงกับจ๋อยไปเหมือนกัน
"แม่คะ มี่ไม่เคยคิดทารุณหรือทำร้ายหลาน แต่ถ้าติจะอยู่ที่นี่ มี่ก็ต้องคุมหลานให้อยู่ มี่อยากให้ติมีระเบียบวินัย มีความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่บ้าง ไม่ใช่อวดเก่งถือดี ทั้งที่ไม่มีดีให้อวด"
บานเช้าพึมพำ อดแก้ต่างแทนหลานไม่ได้อีก ความเกรงใจลูกสาว ทำให้เธอพูดอ้อมแอ้ม
"ติยังไม่รู้จักมี่เลยดื้อไปหน่อยเท่า"
มีคณาเสียงแข็ง
"ติถูกตามใจจนเคยตัว ถ้าไม่มีใครดุเสียบ้าง อีกหน่อยจะเสียคนได้นะคะ"
บานเช้าเกรงใจลูก แต่รักหลาน
"แม่เข้าใจ แต่ค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้เหรอมี่ หลานเพิ่งจะมาถึงไม่ทันพ้นข้ามคืนเลย"
มีคณาพูดตัดบท
"แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มี่ว่าท่าทางติเป็นเด็กฉลาด ออกจะฉลาดแกมโกงซะด้วยซ้ำ ถ้าเค้าเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ที่นี่กับมี่ได้ เค้าก็คงไม่มีปัญหาอะไร มี่ว่าแม่ทำใจให้สบายแล้วขึ้นไปนอนเถอะค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว"
มีคณาเดินหน้าเครียด หยิบสบู่กลับเข้าไปในห้องน้ำ บานเช้ายังมีสีหน้าค้างคาใจ ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง

มีคณาเอาสบู่มาล้างน้ำ แล้ววางกลับที่วางหน้าอ่างล้างหน้าตามเดิม ขณะที่เธอทอดถอนใจยังไม่ทันสุดลมหายใจดี เธอเห็นบานเช้าก็เดินตามเข้าห้องน้ำ ผ่านภาพสะท้อนเงาจากกระจก
"มี่จ๊ะ แม่มีอีกเรื่องอยากจะถามลูกหน่อย" บานเช้าถามอย่างอ้อมแอ้ม
มีคณาคุมอารมณ์ถามกลับไปอย่างสุภาพ
"อะไรเหรอคะ"
"มี่กลับดึกทุกคืนอย่างนี้เลยเหรอลูก แม่เป็นห่วง"
มีคณายิ้มออก ดีใจที่แม่ยังห่วงตนอยู่บ้าง
"ไม่หรอกค่ะ เฉพาะวันที่มีงานเท่านั้น"
บานเช้ายิ้มสบายใจ
"ค่อยยังชั่ว แม่กลัวว่าพอแม่กลับไปแล้ว มี่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ยังงี้แล้วเจ้าติมันจะอยู่ยังไง"
มีคณายิ้มแห้งไปทันที ที่แท้ก็เป็นห่วงหลาน
"ก็อยู่บ้านนี่ล่ะค่ะ อายุตั้ง 10 ขวบแล้ว น่าจะดูแลตัวเองได้ ถ้าติ ไม่เคยอยู่บ้านคนเดียวก็ต้องพยายามปรับตัวค่ะ ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ เพราะมี่ก็ต้องทำงานหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเหมือนกัน"
บานเช้ายิ้มแหยเดินจ๋อยกลับออกไป
"จ้ะ แม่ไม่กวนมี่แล้วล่ะ"

มีคณาสูดหายใจลึก มองหน้าตัวเองในกระจก ก่อนจะหลับตาตั้งสติ เตรียมพร้อมรับมือกับทุกเรื่องและทุกความรู้สึก

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น