วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 2
ภายในลิฟต์ บราลีมองดูจ้าวซัน แล้วไม่สนใจสังเกตอะไรมากนัก แต่ระวังตัวจากคนแปลกหน้าด้วยการขยับไปยืนห่างออกนิดหน่อย แต่ด้วยท่าทีเนียนๆ ไม่ให้ดูน่าเกลียดเสียมารยาท
ฝ่ายจ้าวซันเหลือบมองบราลี แอบสังเกตรายละเอียดทั่วตัว รู้สึกตื่นเต้นที่ตัวจริงโตขนาดนี้แล้ว สูงสง่า แข็งแรง มาดสุขุม ดูดี มั่นใจ สวยงาม แววตาตื่นเต้น
ด้วยสัญชาตญาณ บราลีรู้สึกโดนลอบมอง ชักรู้สึกอึดอัด ถอนใจ ขยับห่างออกไปอีกนิด กอดอก เป็นภาษากายของการปิดตัว ไม่อยากให้คนมาล่วงล่ำพื้นที่ส่วนตัว จ้าวซันรู้สึกตัว รีบเบือนหน้า หันไปอีกทาง ตัดสินใจวุ่นวาย จะเอาไงดี
บราลีเบือนหน้าไป ไม่ชอบอยู่กับชายแปลกหน้าสองต่อสอง จ้าวซันกำมือแน่น ตื่นเต้น เห็นพลอยเม็ดเดิมที่วาววับรับแสง จ้าวซันรวบรวมกำลังใจ รีบหันกลับมา ตัดสินใจเริ่มบทสนทนา
“ฮ่องกงเป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหมครับ”
บราลีแปลกใจที่จ้าวซันพูดภาษาไทย
“อ้าว คนไทยหรือคะ”
“ครับ”
บราลีรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ยิ้มให้จ้าวซันอย่างเป็นมิตร
“อืมม...ฮ่องกง ก็น่าสนใจนะคะ อากาศดี เพิ่งมาวันแรกเลยยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนมากนักค่ะ” บราลีหันไปมองจ้าวซันแบบเต็มๆ ตา สังเกตเห็นการแต่งตัวและสูทดูดีที่ใส่ “คุณทำงานที่นี่เหรอคะ”
“คือ... ผม...”
ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก ภาพด้านนอกยังเป็นชั้นล็อบบี้เหมือนเดิม เบลบอยกำลังผลักรถเข็นกระเป๋าเข้ามา
“อ้าว... ลืมกด”
จ้าวซันเอื้อมมือไปกดปุ่มชั้น 32 ซึ่งเป็นชั้นที่บราลีอยู่ ในจังหวะเดียวกับที่บราลีเอื้อมมือไปกดที่ปุ่มชั้น 32 ด้วยเหมือนกัน มือทับกันเป๊ะ บราลีชักมือออก หันมามองยิ้มแบบตลกๆ เบลบอยเข็นรถขนกระเป๋าค่อยๆ เข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง จ้าวซันพยามแอบมองลอดช่องว่างระหว่างกระเป๋าไป
“ไปเที่ยวไหนมาเหรอครับ” จ้าวซันถามบราลี
“ก็ไปเดินเล่นแถวๆ นี้แหละค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบอยู่ห้องเฉยๆ”
“ตลาดสแตนลีย์ นี่ไม่แถวนี้เลยนะครับ” บราลีตกใจหันไปมองผ่านช่องว่างระหว่างกระเป๋าทำนองว่ารู้ได้อย่างไร “ผมเห็นถุงที่คุณถือมา”
บราลีก้มลงไปมองที่ถุง เริ่มหมั่นไส้จ้าวซัน ประตูลิฟต์ชั้น 9 เปิดออก เบลบอยลากรถเข็นออกไป จ้าวซันช่วยกดลิฟต์ให้ บราลีมอง สังเกตบ้าง
“คุณคงไม่ได้ทำงานที่นี่”
“ผมทำงานที่นี่”
“ที่โรงแรมนี้”
“เปล่า...ผมหมายถึงที่ฮ่องกง”
“ฉันหมายถึงที่โรงแรมนี้”
“ผมแต่งตัวเหมือนพนักงานโรงแรมเหรอ” จ้าวซันขำตัวเอง
ประตูลิฟต์ชั้น 32 เปิดออก จ้าวซันกดปุ่มประตูให้เปิดค้างไว้ แล้วผายมือเชิญให้บราลีออกไปก่อน
“คุณก็อยู่ที่นี่หรือ” บราลีถามต่อ
“ที่ฮ่องกง”
“ฉันหมายถึงที่โรงแรมนี่ ที่ชั้นนี้”
จ้าวซันเดินตามออกไป ประตูลิฟต์ปิด โทมัสที่เดินอยู่ที่ชั้นนั้นพอดีก็เดินปรี่เข้ามาทัก
“อ๋อ...เปล่า” จ้าวซันตอบคำถามบราลี
“อ้าว แล้วคุณตามฉันขึ้นมาทำไม”
“คุณชายจ้าวซัน” โทมัสทักจ้าวซัน แล้วเห็นบราลี “เอ่อ...พบคุณผู้หญิงแล้วใช่ไหมครับ”
จ้าวซันพยักหน้า บราลีมองงงๆ โทมัสยิ้ม ก้มศีรษะแล้วขอตัวเดินจากไป
“คุณ...”
“สวัสดีครับ ผมจ้าวซัน เป็นเพื่อนของคุณพ่อของคุณ ขอโทษที่ผมไม่ได้ไปรับคุณที่สนามบินด้วยตัวเอง”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน อึ้ง ผิดคาด จ้าวซันยื่นมือออกไปรอตามมารยาทฝรั่ง บราลีมอง แล้วเกิดอารมณ์อยากแกล้งให้เก้อ ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแทน จ้าวซันอึ้ง ทึ่ง แล้วกลับชอบใจ ยิ้มมากขึ้น แล้วยกมือรับไหว้ตอบ บราลีมองๆ ชักหมั่นไส้มากขึ้น
ที่ผนังกระจกใสเห็นวิวในเกาะฮ่องกงได้ชัดเจนตรงโถงของห้องสวีท จ้าวซันยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง
บราลียืนอยู่ข้างๆ โซฟามองไปทางจ้าวซัน
“สักทุ่มครึ่งจะมารับคุณไปทานข้าว และก็พาเที่ยวชมเมืองฮ่องกง อย่าหนีไปไหนอีกล่ะ”
บราลีชะงักกับคำพูดแกมสั่งของจ้าวซัน
“เอ่อ... แต่จริงๆ ไม่เป็นไรก็ได้นะคะ ก็ไม่อยากให้เป็นภาระ”
จ้าวซันหน้าเสียไปเล็กน้อย
“ผมตั้งใจไว้แล้ว”
“อ๋อ...ค่ะ” จ้าวซันเดินออกไปยืนกดลิฟต์รอ บราลีเดินตามออกไป ประตูลิฟต์เปิด จ้าวซันก้าวเข้าไปข้างในลิฟต์ “เอ่อ...ฉันต้องขอบคุณคุณด้วยนะคะ สำหรับทุกอย่าง”
จ้าวซันยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิด
“ไม่เป็นไรครับ”
ประตูลิฟต์ปิดยังไม่สนิทดี บราลีบ่นนินทา
“บอสซี่จัง เจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้านาย”
ประตูลิฟต์เปิดออกมาอีกครั้ง บราลีเหวอ หน้าเอ๋อ
“อย่าลืมทิ้งมือถือไว้ในห้องอีกล่ะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
บราลีตอบไปอย่างเหวอๆ จ้าวซันอมยิ้ม
บ้านชุนเทียน รอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ครึ้ม อายุเกือบร้อยปี จ้าวซันกดกริ่ง รออยู่สักพัก ประตูเปิดจ้าวซันจึงก้าวเข้าไปในบ้าน อากง ชายชราที่เป็นพ่อบ้านประจำของบ้านชุนเทียน ที่เดินออกมาเปิดประตูให้
“คุณชายใหญ่”
“อากง...ไทไทอยู่ในห้องใช่ไหม”
“แปลกจริง วันนี้คุณชายมาเยี่ยมคุณนายใหญ่เร็วกว่าทุกวัน”
“ไทไทเป็นยังไงบ้าง” อากงถอนใจ
“จะเป็นยังไง ก็อารมณ์เสียใส่อากงตามเคย”
“อากงอย่าถือสาเลยนะครับ ไทไทปากร้าย แต่ใจดีนะครับ”
อากงส่ายหัว หันไปปิดประตู จ้าวซันเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
จ้าวซันเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องนอนไทไท เคาะประตูเบาๆ
“ใคร”
จ้าวซันค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป บนเตียงใหญ่มีลวดลายมังกรสลักอยู่บนเสาทั้งสี่มุม มีม่านแพรสีชมพูบางๆ แขวนอยู่รอบเตียง ไทไทค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นมานั่ง ยื่นมือสั่นๆ มาแหวกม่านสีชมพูออก แสงน้อย แต่มีลำแสงจับจ้าวไทไทเป็นพิเศษ เมื่อนั่งได้แล้วไทไทจึงห้อยขาลง จ้าวซันรีบเลื่อนแท่นไม้ออกไปรองที่เท้าให้ทันทีด้วยความเคยชิน
ไทไท เป็นหญิงชราวัย 85 ที่ดูซีด ราวกับรูปหินอ่อน แต่ยังคงร่องรอยของความงามมีสง่าราศี
“อาซันรึ”
“ครับ ผมเอง”
“ไม่เห็นหน้าเสียหลายวันเลย”
“เอ่อ...ครับ แม่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ทานข้าวได้มากไหม”
“มากสิ มีหมูเห็ดเป็ดไก่เต็มโต๊ะไปหมด นี่ยังมีขาห่านเหลืออยู่นะ แม่เก็บไว้ให้ เดี๋ยวลูกเอากลับไปทานสิ”
“ครับแม่ใหญ่”
“เป็นไท้เผ่งตัวจริง ก็อย่างนี้ ต้องยุ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกับเต้ของลูก” ไทไทหันมองไปที่ผนัง มีรูปจ้าวฉินเย่ว์และจ้าวไทไทสมัยก่อนติดอยู่เคียงคู่กัน จ้าวซันหันไปมองตาม “แต่จำเอาไว้อย่าง ลูกต้องอย่าไว้ใจใครนะโดยเฉพาะฉินเจียง ไอ้ลูกตาน้ำข้าว มันต้องการให้แม่ตาย แต่แม่ไม่ตายง่ายๆ หรอกคอยดู แม่จะรอมัน...รอจุดจบของมัน”
“แม่ใหญ่ แม่ใหญ่นอนพักก่อนดีกว่า”
จ้าวซันค่อยๆ ประคองแม่ใหญ่ให้นอนลง ไทไทดึงรั้งแขนจ้าวซันไว้อย่างแรง จนจ้าวซันต้องก้มศีรษะไปใกล้ๆ
“อย่ากลัวนะอาซัน แม่จะคอยช่วยลูก อย่าลืมว่าลูกเป็นคนของตระกูลจ้าว”
จ้าวซันมองดูตาไทไท ดวงตาไทไท เป็นสีเทาเงินเหมือนสีเมทัลลิก ดูแปลก ลึกลับ น่ากลัว
ที่โรงแรม ขณะนั้นบราลีสวมเสื้อคลุมของโรงแรม กำลังยืนเป่าผมอยู่ที่หน้ากระจก บราลีมองนาฬิกาที่ผนัง นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่ม
“เฮ้อ...กะว่าจะนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นซะหน่อย” บราลีถอนใจ หยิบที่เป่าผม เปิด จะเป่าต่อ แล้วนึกได้ ชะงัก ปิดและโยนลงบนเตียง “ตายๆๆ”
บราลีวิ่งไปที่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก ค้นหาเสื้อผ้ากระจุยกระจาย เสื้อยืดสีสดๆ กางเกงขาสั้นถูกจับโยนออกมาจากกระเป๋า
“แล้วฉันจะใส่อะไรไปดินเนอร์กับตานั่นล่ะเนี่ย” บราลียืนขึ้น ถอนหายใจ มองตัวเองในกระจก เห็นตัวเองในเสื้อคลุม “สงสัยคงต้องเป็นชุดนี้ซะล่ะมั้ง”
บราลีโพสท่าอยู่หน้ากระจก หันไปมาซ้าย-ขวา ทำท่าเหมือนจะเอาจริง สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น บราลีตกใจ
“อะไร เพิ่งจะทุ่มเดียวเอง มาแล้วเหรอ”
บราลีกระชับเสื้อคลุมให้แน่น แล้ววิ่งไปส่องดูที่ประตู บราลีเปิดประตูออก โทมัสค่อยๆ ยื่นกล่องใส่เสื้อผ้า และถุงใส่พวกเครื่องแต่งกายอื่นๆ เข้ามาให้
“มีแมสเซนเจอร์ฝากของมาให้คุณครับ คุณภีมะมนตรี”
“เอ่อ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ” บราลีรับของทั้งหมดมาอย่างงงๆ ปิดประตูแล้วเดินหอบของเหล่านั้นเข้ามา “พ่อเหรอ?”
บราลีค่อยๆ เปิดดู เห็นซองจดหมายที่ใส่ไว้ข้างใน หยิบออกมาแล้วเปิดดู
“หวังว่าคุณคงไม่คิดว่าเป็นการดูหมิ่น ช่วยกรุณารับไว้ด้วยเถิด คุณพ่อคุณก็รู้จักผมดี...จ้าวซัน” อะไรของเขานะ”
บราลีเอาของทั้งหมดในถุงออกมาดู เผยให้เห็นกล่องเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าใบเล็ก บราลีงงๆ แล้วก็ค่อยๆ เปิดกล่องเสื้อผ้าออกดู
“ไหนขอดูรสนิยมของตานั่นหน่อยสิ”
บราลีหยิบเอาเสื้อชุดนั้นออกมาทาบกับลำตัวแล้วเดินไปที่กระจก เป็นชุดราตรีสั้นสีดำที่มีการออกแบบที่ดูเก๋ไก๋ และทันสมัยมาก บราลีเดินไปใส่รองเท้าส้นสูง
“พอดีซะด้วย ทุกอย่างเข้าชุดกันหมดเลย” บราลีหันดูตัวเองไปมาในกระจก ยืนมองตัวเองในกระจก นิ่ง โยนเสื้อลงบนเตียง “หึ...ทำอย่างกับฉันเป็นตุ๊กตา อยากให้ฉันแต่งตัวยังไงก็ได้เหรอ”
บราลีทรุดนั่งลงบนเตียง
ทางด้านจ้าวซัน ขณะนั้นกำลังอาบน้ำ สระผม ฟองเต็มศีรษะ แล้วจู่ๆ จ้าวซันนึกถึงคำพูดของไทไท
“บ้านสี่ฤดูเป็นของลูก หลังคาสีเขียวหมายถึงทรัพย์สมบัติ ตึกอิฐสีแดงคือความแข็งแกร่ง ไม่มีผู้ใดทัดเทียม...”
จ้าวซันปล่อยให้น้ำฝักบัวราดรดบนหน้าและลำตัวของเขา ขณะนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนที่ประคองให้ไทไทนอนลง แล้วห่มผ้าให้ที่อก ไทไทตาลอยคว้าง
“หน้าบ้านเราหันหาทะเล ความยิ่งใหญ่จะไหลหลั่งเข้ามา ด้านหลังเป็นภูเขา ผนึกความเป็นปึกแผ่น ตระกูลจ้าวของเราจะยิ่งใหญ่ชั่วนาตาปี”
ไทไทบีบมือจ้าวซันแน่น
จ้าวซันใส่เสื้อเชิ้ต เอาสูทมาใส่ หยิบผ้าพันคอขึ้นมาพัน สีหน้าเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงตอนที่ไทไทหันมาจ้องหน้าจ้าวซัน
“เก็บเอาไว้ลูก อย่าขาย อย่าคิดเหมือนฉินเจียง มันต้องการรื้อบ้านนี้ทำเป็นคาสิโน อย่ายอมมันเด็ดขาด..”
จ้าวซันแต่งตัวเสร็จกำลังจะก้าวเดินออกจากห้อง เหลือบไปมองรูปจ้าวฉินเย่ว์กับไทไทและตนเองสมัยเด็กที่แขวนไว้บนผนังห้องนอน เป็นภาพ 3 พ่อแม่ลูก ที่แต่งชุดแบบฝรั่ง ราวกับภาพดาราฮอลลีวูดในหนังพีเรียต
“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ แม่รู้ทุกอย่าง จ้าวไทไทรู้ทุกอย่าง”
จ้าวซันออกจากห้อง ประตูปิดลง
จ้าวซันในชุดสูทลำลองสีเข้ม มีผ้าพันคอ ดูสง่าเท่ห์ ยืนรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม มีเต๋อเป่าและอาหลี่ยืนประกบอยู่ข้างๆ จ้าวซันเดินไปมาพลางดูนาฬิกา
“ให้ผมขึ้นไปตามไหมครับ”
อาหลี่ถาม จ้าวซันยกมือเป็นเชิงห้าม สักพักประตูลิฟต์เปิดออก จ้าวซันหันไป บราลีเดินออกมาในชุดเสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋าที่จ้าวซันซื้อให้ สวยมาก อย่างกับดารา จ้าวซันยิ้ม มอง ทึ่ง
บราลีเดินเข้ามาหา ผู้คนที่เดินอยู่ในโรงแรมต่างหันไปดูด้วยความชื่นชมในความสวยเด่นของบราลี บราลีจ้องมองกลับไปที่ดวงตาของจ้าวซัน ขมวดคิ้วเล็กๆ รู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้มาก่อน
ในอดีตน่านปิงนรเทพ ที่มีดวงตาใจดีรักใคร่ ก้มลงมายิ้มกว้างให้กับม่านฟ้า
“เมย...เมยอย่าร้องไห้นะคะ”
ม่านฟ้า ร้องไห้ น้ำตาเต็มตา สะอึกสะอื้น
“เจ้าพี่”
กลับมาปัจจุบันบราลีมีสีหน้ามึนงง แววตาพิศวง จ้าวซันมองเธออย่างชื่นชม บราลียืนทื่อ รู้สึกเหมือนฟ้าแลบในสมอง ยืนกระพริบตา รวบรวมสติและพยายามยิ้ม
“ดิฉันคงไม่ทำให้คุณรอนาน”
“เปล่า ผมมาก่อนเวลาเอง”
“ต้องขอบคุณสำหรับเสื้อผ้า และก็ของพวกนี้ด้วยนะคะ”
“ผมดีใจที่คุณไม่คิดมาก”
“ไม่คิดมากหรอกค่ะ แต่แปลกใจที่คุณรู้ขนาดเสื้อผ้า-รองเท้าของฉันได้ยังไงน่ะสิคะ”
“เอ่อ... งั้นคงต้องขอบคุณคุณพ่อของคุณ ท่านเป็นคนบอกน่ะครับ” บราลีส่งสายตาจับผิด ไม่เชื่อที่จ้าวซันพูดออกมา “คุณดูดีมาก เป็นสาวเต็มตัว ถ้าไปเจอกันที่อื่น ผมคงจำไม่ได้” บราลีชะงัก มองหน้า ยิ่งข้องใจมากขึ้น จ้าวซัน
อึกอักแก้ตัว “ผม...เคยเห็นตอนคุณเด็กๆ”
บราลีไม่เชื่อ ประชดนิดๆ
“หรือคะ อ้อ จริงสินะ คุณเป็นเพื่อนกับพ่อ”
“ครับ...ใช่ครับ นั่นแหละ ถูกต้อง” จ้าวซันอึ้งกับตัวเองเหมือนกัน รู้สึกว่าพูดผิดไป แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง “เอ้อ...เชิญครับ”
จ้าวซันผายมือให้ออกเดิน บราลีทำท่าจะเดินไป แต่หยุดชะงัก มองไปที่อาหลี่และเต๋อเป่า ที่ยืนเรียงรอรับแบบเป็นทางการ และมองมาทำหน้าปลาบปลื้มเฝ้าแหนมากมาย บราลีหันหน้าไปหาจ้าวซันเหมือนจะถามว่าทำไมคนเยอะแยะ
“เอ่อ...นี่อาหลี่ คนขับรถประจำตัวผม คุณคงเจอแล้ว ส่วนนี่ เต๋อเป่า คนสนิทของผมเอง”
เต๋อเป่าก้าวขาออกมาก้มศีรษะให้บราลีเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีค่ะ”
“คืนนี้คงไม่มีอะไรแล้ว กลับไปก่อนได้” จ้าวซันกระซิบกับเต๋อเป่า
เต๋อเป่าโค้งรับคำ แล้วถอยห่างออกมา ปล่อยให้จ้าวซันเดินนำบราลีออกไป โดยมีอาหลี่ตามมาห่างๆ บราลีมองความสัมพันธ์เหล่านี้ แล้วแอบพึมพำ
“มีสมุนคนสนิทด้วย”
จ้าวซันนั่งอยู่กับบราลีที่เบาะหลัง บราลีมองออกไปนอกรถอย่างตื่นตาตื่นใจกับแสงไฟและผู้คน จ้าวซันมองแอบบราลีตลอด จนรถมาจอดที่หอนาฬิกา อาหลี่หันมา
“ถึงแล้วครับ”
“คนเยอะจัง”
“ไม่ต้องห่วง ผมจองที่ไว้ให้แล้ว รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเริ่มแล้ว”
บราลีเปิดประตูลงรถ แล้วเดินออกไปยืนดูหอนาฬิกาอันใหญ่ จ้าวซันสะบัดผ้าพันคอขึ้นบ่า เดินตามไปหาบราลี
“มาทางนี้”
จ้าวซันเผลอเอื้อมมือจะไปจูงบราลีมา แต่รู้สึกตัวทัน จึงดึงมือกลับ บราลีไม่ทันเห็นเดินตามจ้าวซันออกมา ทั้งสองคนเดินเคียงกันไป จ้าวซันลดความเร็วไปเดินเยื้องหลัง กึ่งป้องกัน ไม่ให้คนเยอะๆ มาแตะต้องบราลี
บราลีมองรอบๆ อย่างตื่นตา แล้วหันมายิ้มให้จ้าวซัน อย่างมีความรู้สึกสนุกสนานขึ้นมา จ้าวซันยิ้มตอบ
ก่อนการแสดง A symphony of light ริมอ่าววิกตอเรีย มีบรรยายเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ผู้คนและนักท่องเที่ยวเนืองแน่น ต่างยืนเกาะราวเหล็กและถ่ายรูปกันสนุกสนาน จ้าวซันกับบราลี นั่งอยู่บนชั้นสอง เป็นที่ดูแบบพิเศษ ไม่มีคนพลุกพล่าน
“A Symphony of light ใช่ไหมค่ะ”
“รู้จักด้วยเหรอ”
“เห็นรูปในไกด์บุ๊คเมื่อเช้า เขาบอกว่าสวยขนาดได้ลงกินเนสส์เลย”
“ผมอยากให้เมยได้เห็น” บราลีชะงัก
“ใครนะคะ”
“เอ่อ...เปล่า คือ...ไม่มีอะไร”
“เมย...คุณหมายถึงใครคะ ชั้นเหรอ”
“เอ่อ...เปล่าๆ ผมคงพูดผิด” จ้าวซันรีบเปลี่ยนเรื่อง “โชคไม่ดี คุณมาวันที่เขาบรรยายเป็นภาษากวางตุ้งพอดี คุณฟังออกไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ดูอย่างเดียวก็สวยแล้ว ไม่ต้องเข้าใจก็ได้”
การแสดงเริ่มขึ้น แสงสีจากตึกต่างๆ ส่องสว่างตามจังหวะเพลงอย่างสวยงาม บราลีตั้งหน้าตั้งตาชมอย่างตั้งใจ จ้าวซันแอบหันมามองเป็นระยะ ลมพัด อากาศเริ่มเย็น บราลีเอาผ้าจับคลุมไหล่ให้ขึ้นมาสูงอีกหน่อย
“ดีนะที่คุณไม่ซื้อเสื้อบางกว่านี้ให้ใส่ ไม่งั้นฉันคงหนาวตาย”
“หิวด้วยหรือเปล่าครับ”
“ฉันอยากนั่งดูไปเรื่อยๆ ให้จบก่อน ไหนๆ คุณก็อุตส่าห์ลำบากจองที่นั่งระดับ VIP นี่มาให้ฉันแล้ว น่าเสียดายนะ รู้งี้เอากล้องมาด้วยดีกว่า”
“ใช้มือถือสิ”
บราลีหันมามอง ทำหน้าตกใจ
“ตาย”
“ลืม?” บราลีพยักหน้า เขินๆ จ้าวซันล้วงเอามือถือจากระเป๋ากางเกงออกมา ทำท่าจะถ่ายให้ “งั้นเอานี่ ผมถ่ายให้ หนึ่ง...สอง...”
บราลีหันมายิ้มให้แบบแห้งๆ จ้าวซันเอามือถือมาเช็ครูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จ บราลียิ้มค้าง
“อ้าวนับแค่สองเองเหรอ ไหนขอดูหน่อยๆ” จ้าวซันส่งมือถือให้บราลี บราลีเอียงตัวเข้ามาใกล้จ้าวซันโดยไม่รู้ตัว จ้าวซันทำตัวไม่ถูก “ถ่ายเป็นเปล่าเนี่ย ถ่ายแบบนี้ก็ไม่เห็นวิวอะไรเลยน่ะสิ” บราลีคว้าเอามือถือจ้าวซันมา ตั้งท่าจะถ่ายให้บ้าง “เอ้า...หันมาทางนี้มาสเตอร์” จ้าวซันหลุดยิ้ม “หนึ่ง...สอง...สาม...”
ที่ Avenue of Star ฮ่องกง บราลีกำลังก้มดูรอยฝ่ามือประทับของเฉินหลงบนพื้น เอามือลงไปทาบ ตื่นเต้นดีใจ
จ้าวซันยิ้มเอ็นดู
“ได้จับมือแจ็คกี้ ชานแล้ว”
“จับมือตาลุงคนที่ประทับรอยไว้ก่อนคุณเมื่อกี้มากกว่า”
“คุณนี่ไม่มีความฝันเอาซะเลย”
บราลีเดินลิ่วๆ ไปข้างหน้า ดูอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย จ้าวซันหยุดกึก รู้สึกเหมือนมีคนตามมา หันไปข้างหลังแต่ไม่เห็นใคร ทุกอย่างเป็นปกติ จ้าวซันหันกลับไปหาบราลี แล้วรีบตามไป
จ้าวซันและบราลีนั่งอยู่บนชั้นสองของรถรางที่กำลังแล่นชมเมืองฮ่องกงในยามค่ำคืน ภาพด้านหลังเป็นทิวทัศน์ของแหล่งช้อปปิ้งยามค่ำคืน
“พรุ่งนี้คุณอยากไปไหนอีกหรือเปล่า”
“คุณว่างเหรอ”
“ก็ว่างได้”
“คุณทำงานอะไร เป็นมาเฟียหรือเปล่า?”
จ้าวซันหันมามอง แล้วยิ้ม ขำ
“ก็ค้าขาย ทำธุรกิจ”
“ถูกกฎหมาย...”
จ้าวซันหันมายิ้ม ไม่ตอบอะไร แล้วหันกลับไป บราลีมองหน้าจ้าวซัน ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
จ้าวซันและบราลียกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกัน จ้าวซันยกขึ้นดื่ม บราลีจิบเพียงนิดหน่อยแล้ววางลง อาหารแบบฝรั่งเศสมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ มีบริกรคอยยืนบริการอยู่ใกล้
“อย่าเพิ่งรีบอิ่มสิ”
“คุณสั่งอาหารฝรั่ง แต่สั่งมาเต็มโต๊ะแบบจีน เป็นวัฒนธรรมผสมผสานสินะคะ” บราลีรวบมีด ส้อม ของคาวเรียบร้อย เอาผ้ามาซับปาก ถอนใจ “ถ้าเป็นที่แอลเอตอนนี้ก็ประมาณสักสิบโมงครึ่ง ฉันยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำบางที...”
บริกรเดินมาเก็บจานและอาหารบนโต๊ะ
“ไปเรียนที่นั่น เป็นยังไงบ้าง”
“ก็มีเหงาบ้าง คิดถึงบ้าน แล้วคุณล่ะ มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง ไม่อยากกลับเมืองไทยบ้างเหรอ”
“ผมยังอยากกลับไปบ้านอยู่ทุกวัน แต่ผมมีหน้าที่อยู่ที่นี่ แล้วก็ยังไม่ถึงเวลา”
“บินไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว”
“ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯ อืมม...ไว้คุณกลับไปกรุงเทพฯ แล้ว ถ้ามีโอกาสผมขอไปเยี่ยมบ้าง”
“ได้เลย แล้วฉันจะพานั่งรถไฟฟ้าชมเมืองเอง”
ทั้งสองหัวเราะกัน บราลีมองหน้าจ้าวซัน ที่หัวเราะแล้วชะงัก ภาพเดิมในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง
น่านปิงนรเทพ ที่ดวงตาใจดีรักใคร่ ก้มลงมายิ้มกว้าง
“เมย...เมยอย่าร้องไห้นะคะ”
ม่านฟ้าร้องไห้ น้ำตาเต็มตา สะอึกสะอื้น
“เจ้าพี่”
บราลี ชะงักค้าง งุนงง
“เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า” บราลีถามออกมา
จ้าวซันนั่งเงียบ หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบแก้เก้อ ตาแข็ง ไม่กล้าหลบตา แต่ก็ไม่กล้าจ้องตาบราลีตรงๆ
อ่านต่อหน้า 2
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 2 (ต่อ)
ระหว่างนี้บริกรยกของหวานมาเสิร์ฟ พร้อมเหล้าสปาร์คลิ่งไวน์ชมพู สำหรับของหวาน
“ช่างเถอะ ฉันคงเคยพบใครที่เหมือนคุณมาก”
บราลีหยิบแก้วสปาร์คลิ่งไวน์ขึ้นมาจิบบ้าง และตักของหวานเข้าปากหนึ่งคำ
แววตาจ้าวซันเศร้าลง
“ผมบอกแล้วไง ว่า...ผมเคยเห็นคุณ ตอนเด็กๆ”
“เด็ก แค่ไหนคะ”
“เด็กมาก ตั้งแต่คุณยังเป็นเบบี๋ อยู่ในเบาะ”
บราลีทำหน้าค้อนๆ
“ไม่จริงละ”
ที่ประตูหน้าร้าน เหม่ยอิงเดินเข้ามาพร้อมกับคุณนายหวัง มองหาโต๊ะ เหม่ยอิงเห็นภาพที่จ้าวซันกับบราลีกำลังสบตากัน เหมือนหนุ่มสาวคนรักงอนง้อก็ชะงักกึก พอดีบริกรมาโค้ง พาไปอีกนั่งฝั่งหนึ่งของร้าน เหม่ยอิงมองเหลียวหลัง เหม่ยอิงมองจ้องมาทางโต๊ะของจ้าวซัน
“คุณพ่อคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็สบายดี แต่คุณรู้ใช่ไหมว่าท่านไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของฉัน” จ้าวซันไม่ตอบ ตกใจ มองหน้าบราลี “ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ คือ...ฉัน...ฉันเป็นคนมีปัญหานะคะ คือ...บางที ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นโรคจิต หรือโรคทางสมองก็ไม่ทราบ...คือ...ความทรงจำของฉันมันเหมือนฝันไม่ปะติดปะต่อ เคยพยายามคิดจนปวดหัว แต่ตอนนี้ก็ไม่คิดอะไรแล้ว” บราลีหัวเราะออกมาอย่างไร้ความหมาย แบบขำตัวเอง แล้วหันมาจ้อง ชี้หน้าจ้าวซัน “ชั้นถึงว่าคุณพูดไม่จริงไง ชั้นเพิ่งมาอยู่กะคุณพ่อ ตอนที่ชั้น 6-7 ขวบ ไม่ใช่เบบี๋อยู่ในเบาะซะหน่อย”
จ้าวซันอึ้ง มองบราลีนิ่ง บราลีมองตอบ ตัดพ้อแบบไม่ซีเรียส ประมาณว่า ไม่ต้องมาอำหรอกน่า
อีกด้านนึงของห้อง เหม่ยอิงมองมาแววตาแทบลุกเป็นไฟ คุณนายหวังยื่นมือมาบีบแขนเหม่ยอิง ประมาณปลอบให้เย็นไว้ๆ
รถจ้าวซันแล่นมาจอดหน้าโรงแรม บราลีนั่งเงียบเหมือนตกในภวังค์ จ้าวซันรีบเปิดประตูวิ่งอ้อมมาอีกทาง
บราลีกระพริบตาถี่ๆ แล้วรีบเปิดประตูรถลงมาก่อน
“ผมไม่เคยลงมาเปิดประตูรถให้คุณทันเลยสักครั้ง” บราลียิ้ม
“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
“ตาจะปิดแล้ว...ม่านฟ้า”
บราลีตาสว่างทันที เมื่อจ้าวซันเรียกเธอว่าม่านฟ้า
“ม่าน...อะไรนะคะ”
“อ๋อ ผมหมายความว่า...ตาคุณปรือ...เหมือน...หน้าต่าง...ที่ม่าน...กำลังจะปิดไงครับ” บราลีหัวเราะ
“ไม่ไหวแล้วค่ะ จะร่วงแล้ว”
“มาครับ” จ้าวซันยื่นมือ บราลีชะงัก
“ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ดึกมากแล้ว” บราลีพนมมือไหว้อย่างเป็นทางการ “ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอบพระคุณจริงๆ วันนี้สนุกมาก อาหารก็อร่อยมาก คุณใจดีมาก เกรงใจจริงๆ”
จ้าวซันอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนน้อยใจนิดๆ
“ไม่เป็นไรเลยครับ พรุ่งนี้สายๆ ผมโทรหานะ”
“กู๊ดไนท์นะคะ” บราลียิ้มให้ เดินเข้าโรงแรมไป
จ้าวซันยืนมองส่ง จนบราลีเข้าไปข้างใน แล้วยังไม่ยอมวางใจ รอสักพักก่อนจะเดินตามเข้าไปในโรงแรม บราลีเดินหาวเจ้าลิฟต์ไป จ้าวซันยืนแอบมอง ขำๆ จนลิฟต์ปิด
จ้าวซันนั่งอยู่เบาะหลัง เหม่อออกไปข้างนอก อาหลี่มองจากกระจกหลัง
“กลับบ้านใช่ไหมครับ”
“เดี๋ยว แซงรถแท็กซี่คันหน้าไป”
ข้างหน้ามีรถแท็กซี่อยู่ อาหลี่ไม่กล้าถาม ทำตามคำสั่งโดยเหยียบคันเร่งแซงขวาไปอยู่หน้ารถแท็กซี่คันนั้นอาหลี่มองจากกระจกหลัง จ้าวซันหันกลับไปมอง แท็กซี่กลับหักรถแล้วจอดอยู่ข้างทาง มีคนเปิดประตูหลังและรีบลงไป
“จอดๆๆ อาหลี่”
อาหลี่รีบหักรถจอดข้างทาง รถยังไม่หยุดดี จ้าวซันก็เปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไป จ้าวซันวิ่งตามผู้ชายคนนั้นเข้ามาในตรอกแคบๆ ชายคนนั้นวิ่งหลบเข้าตรอกย่อยเล็กๆ ไปอีกทาง จ้าวซันรีบวิ่งตาม
“หยุดเดี๋ยวนี้ เต๋อเป่า! กลับมา”
ชายคนนั้นหยุดชะงักในความมืด ค่อยๆ หันหลังเดินกลับมาโดยดี อาหลี่รีบวิ่งมาสมทบ ไฟจากถนนส่องให้เห็นว่าชายคนนั้นคือเต๋อเป่า
“ฉันสั่งให้แกกลับไปนอน แกจะมาตามฉันทำไม”
“ทำไมคุณชายรู้”
“ฉันเห็นตั้งแต่แกนั่งแท็กซี่ตามรถรางแล้ว กลัวอะไร กลัวจะมีคนตามฆ่าฉันงั้นเหรอ”
เต๋อเป่ายิ้มแหะๆ
ร้านอาหารจีนข้างทาง ซึ่งเป็นร้านที่จ้าวซันชอบมานั่งกินเป็นประจำ หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนเป็ดย่าง หมูย่าง ระโยงระยาง มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย เสียงดังโวยวายล้งเล้ง
ที่โต๊ะยาวนอกร้าน ริมฟุตบาท เต๋อเป่า อาหลี่ กำลังโซ้ยข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย จ้าวซันนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“คำสั่งฉันนี่มันไม่มีความหมายเลยสินะ พวกแกจะคอยคุมตัวฉันไปถึงไหน”
เต๋อเป่ากับอาหลี่ กินข้าวต้มช้าลง ทำเป็นจ๋อย ก้มหน้าก้มตาสำนึกผิด ระหว่างนั้นมีชายสองคนใส่แจ็คเก็ตหนังดำ เหน็บแว่นกันแดดไว้ที่เสื้อ แต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้าน ท่าทางกวนๆ เดินมาที่โต๊ะตัวเดียวกันกับพวกจ้าวซัน ทั้งคู่หันมามองมาที่พวกจ้าวซัน แล้วนั่งลง เด็กในร้านรีบยกน้ำชามาเสิร์ฟแล้วส่งเมนูให้ เต๋อเป่าได้จังหวะกวักมือเรียกเด็กคนนั้น
“เฮ้ยๆ น้อง ข้าวต้มอีกสอง”
จ้าวซันมองไปที่ชายสองคน เห็นชายสองคนนั้นรีบหลบสายตา ทำทีเป็นยกมือสั่งเรียกเด็กในร้านมาสั่งอาหารด้วยเหมือนกัน
“นี่ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน แทนที่ฉันจะได้กลับบ้านไปนอน ต้องมานั่งเป็นห่วงพวกแกอีก”
ชายสองคนเริ่มหลุกหลิก หันไปหันมา มีพิรุธ เหมือนคอยพยายามเงี่ยหูฟังโต๊ะจ้าวซันว่าจะคุยอะไรกัน
“ขอโทษครับคุณชาย เต๋อเป่าผิดไปแล้ว คราวหน้าจะระวังไม่ให้จับได้อีกแล้วครับ”
จ้าวซันเบิ๊ดกะโหลกเต๋อเป่าเบาๆ ไปหนึ่งที
“นี่แหนะ รีบกินเร็วเข้า”
เต๋อเป่า อาหลี่ หัวเราะกันคิกๆ ชายสองคนทำทีเอามือถือมาดู แล้วกดถ่ายรูปจ้าวซันกับพวกแบบเนียนๆ จ้าวซันชะงัก ไม่ขำไปกับพวกเต๋อเป่าด้วย มองจ้องกลับไป เต๋อเป่าเห็นพิรุธ รีบหันไปมองบ้าง ชายสองคนรีบหลบหน้า แล้วกดเซฟรูปที่ถ่ายได้ ทำฟอร์มกดมือถือเล่นเป็นโปรแกรมอื่นๆ
เต๋อเป่าบุ้ยหน้าเป็นสัญญาณให้อาหลี่หันไปมอง อาหลี่พยักหน้ารับรู้ เด็กในร้านยกข้าวต้มมาเสิร์ฟ 2 ถ้วย แต่วางไว้ตรงกลางโต๊ะพอดี แล้วเดินออกไป ชายคนที่หนึ่ง เอื้อมมือมาหยิบ เต๋อเป่ารีบเอามือมาคว้าไว้อย่างรวดเร็ว
ทั้งคู่มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมปล่อยมือ ชายคนที่สองมองข้าวต้มอีกถ้วย อาหลี่มอง ทั้งคู่เอื้อมมือมาหยิบพร้อมกัน
“ของผม”
“ผมสั่งก่อน”
เต๋อเป่ากับชายหนึ่งมองเขม่นกัน ออกแรงแย่งดึงชามข้าวต้มสุดแรง ชามข้าวต้มเขยื้อนเล็กน้อย เต๋อเป๋าเห็นชายคนที่หนึ่งไม่ยอมและออกแรงดึงมากขึ้นก็เลยได้ทีปล่อยมือออกจากชามข้าวต้มทันที ข้าวต้มหกลวกมือชายคนที่หนึ่ง ชายคนหนึ่งลุกขึ้นร้องโวยวาย เต๋อเป่าลุกตาม อาหลี่เห็นเลยทำตามบ้างเอามือผลิกชามข้าวต้มใส่ตัวชายคนที่สอง ชามข้าวต้มตกไปกับพื้นแตก ชายคนที่สองลุกขึ้นผลักอกอาหลี่ เด็กในร้านรีบวิ่งมาดู เต๋อเป่ารีบผลักอกชายสองกลับ เงื้อมือชกไปที่หน้าชายคนที่สอง ชายคนที่หนึ่งเอาฝ่ามือมารับหมัดไว้ได้
“เต๋อเป่า”
จ้าวซันเตือนสติ เต๋อเป่าลดหมัดลง ทั้งคู่มองจ้องหน้ากันไปมา ชายคนที่หนึ่งหันไปมองเพื่อน ยอมอ่อนข้อให้
“เพื่อนผมเมา ขอโทษด้วย”
ชายคนที่หนึ่งลากตัวชายคนที่สองออกไปจากร้านทันที เด็กในร้านและลูกค้าคนอื่นมองงง เด็กในร้านก้มลงเก็บชามที่แตก เต๋อเป่ากับอาหลี่นั่งลงตามเดิม
“ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่”
“นั่นสิ พวกไหนกัน”
จ้าวซันมองตามชายสองคนที่รีบเดินจากไปจนลับตา
รถตำรวจจอดอยู่ข้างตึกสูงในฮ่องกง ภายในรถมีตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 คนนั่งอยู่ที่เบาะหน้าซึ่งก็คือชายสองคนที่เพิ่งมีเรื่องกับอาหลี่และเต๋อเป่า
“ให้ไปหาข่าวเฉยๆ ก็ดันไปมีเรื่องจนได้”
ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 คน ก้มหัวสลด ผู้กองเหลียงยืดตัวมาด้านหน้า แสงไฟจากนอกรถส่องมาที่หน้า เผยให้เห็นเป็นหน้าผู้กองเหลียง
“สักวันเถอะคุณชายจ้าวซัน จะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย”
ผู้กองเหลียงหมายมั่นปั้นมือสุดๆ
ห้องพักบราลี บราลีอยู่ในชุดนอนแบบกางเกงปิจาม่า ยืนอยู่ที่ระเบียงของห้อง เหม่อมองออกไปไกลๆ คิดเรื่องจ้าวซัน
“เคยเห็นเราตอนเบบี๋เหรอ โม้ชะมัด” เหมือนคิดอะไรได้ บราลีรีบวิ่งเข้ามาในห้อง หยิบมือถือที่อยู่บนหัวเตียงออกมา บราลีนอนลงบนเตียง แล้วกดโทรศัพท์หาข้อมูล “เค้าเป็นใครกันแน่นะ จ้าว ซัน สะกดยังไงน้า”
บราลีหยิบมือถือออกมาเข้าเว็บ google แล้ว พิมพ์คำว่า “JAO SUN” ลงไป สีหน้าบราลีดูจริงจัง อยากรู้อยากเห็น
ที่บ้านสี่ฤดู อากงนั่งหลับอยู่ตรงบันไดทางเข้าบ้าน จ้าวซันเดินเข้ามา
“อากงทำไมมานั่งหลับอยู่ตรงนี้ ไม่ไปนอนในห้องนอน”
“มีคนมารอพบคุณชาย”
“ใคร”
“ผู้หญิงบางทีก็น่ากลัวกว่าผู้ชาย เดี๋ยวอากงอยู่ด้วย รับรองไม่มีใครกล้าเอาคุณชายใหญ่ไปนินทาว่ากล่าวได้”
“อากงไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” จ้าวซันเดินเข้าไป อากงมองตามอย่างห่วงใย ไม่ไปไหน
จ้าวซันก้าวเข้าไปในห้องรับแขก เหม่ยอิงนั่งกอดอกหน้าบึ้งตึงอยู่
“พี่บอกว่ามีธุระ ไปดูบัลเลท์กับน้องไม่ได้ แต่พี่กลับพาผู้หญิงคนอื่นไปกินข้าว”
“พี่กินข้าวกับคนมากมายเกือบทุกวัน เธอจะมาโกรธทำไม”
“พี่สั่งเสื้อผ้าราคาแพงให้เขา คิดว่าน้องไม่รู้หรือ”
“ถ้าพี่อยากปิดเธอ พี่ก็คงสั่งร้านอื่นที่เธอไม่รู้จัก” เหม่ยอิงนิ่งไป “เขาเป็นลูกสาวเพื่อนพี่ เพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่มีเสื้อผ้าติดมามากนัก ทำไมเธอเห็นพี่แล้วไม่เข้ามาทัก จะได้แนะนำให้รู้จัก”
“เมื่อไหร่พี่ใหญ่จะเข้าใจน้องสักที”
เหม่ยอิงท่าทางเศร้า สิ้นหวัง ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ จ้าวซันอึ้ง เข้ามาลูบผม ปลอบใจเหม่ยอิงอย่างอ่อนโยน เปี่ยมเมตตา
“พี่เข้าใจเธอเสมอเหม่ยอิง เพราะเธอเป็นน้องสาวของพี่ เราโตมาด้วยกัน ใช้แซ่เดียวกัน มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้”
เหม่ยอิงหันมาสบตาใกล้ น้ำตาเต็มตา
“แต่พี่ไม่ใช่คนตระกูลจ้าวนี่คะ”
จ้าวซันมองเหม่ยอิงอย่างหนักใจ ถอยออกมา จริงจังเคร่งขรึม
“เพื่อเธอพี่ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่จะตายแทนเพื่อตอบแทนบุญคุณมหาศาลของเต้ แต่เรื่องหัวใจอย่าบังคับพี่เลยเหม่ยอิง”
เหม่ยอิงลุกเดินขึ้นมาประชิดตัวจ้าวซันอีกครั้ง
“พี่ชายรักคนอื่นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”
“น้องเมาหรือเปล่า พูดจาอะไรเหลวไหล วนไปวนมา พี่ไปนอนดีกว่า”
จ้าวซันเดินเข้าห้องด้านในไป เหม่ยอิงรีบตาม
จ้าวซันเดินจะขึ้นบันได เหม่ยอิงวิ่งตามมา แล้วตะโกนเสียงดัง
“พี่ชายใหญ่ใจร้าย พี่ชายใหญ่ไม่มีหัวใจ” จ้าวซันชะงัก ยืนเซ็ง เหม่ยอิงผวาเข้ามากอดจ้าวซันจากด้านหลังแน่น ซบหน้าที่ไหล่ กำลังพรั่งพรูความในใจต่างๆ ออกมา“ถ้าเราแต่งงานกัน ร่วมมือกันทำธุรกิจของฉินเย่ว์กรุ๊ปกันสองคน ตระกูลจ้าวของเราจะไปได้ไกลกว่านี้มาก เราจะยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครเทียบ”
จ้าวซันจับมือเหม่ยอิง ที่โอบรอบเอวตนไว้
“พูดอะไรน่ะเหม่ยอิง”
“เราสองคนจะนำตระกูลจ้าวให้รุ่งเรือง เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นเต้และแม่ใหญ่อยู่เคียงข้างกัน ไม่มีใครอีกแล้วที่เหมาะสมกับพี่ชายใหญ่มากกว่าน้อง เราฉลาดพอกัน เข้าใจอะไรๆ เหมือนกัน เต้ยังเคยบอกว่าถ้าน้องเป็นผู้ชาย และพี่ชายใหญ่ไม่ยอมรับตำแหน่งไท้เผ่ง ตำแหน่งนี้ก็ควรจะเป็นของน้อง ไม่ใช่พี่รอง”
เหม่ยอิงเบียดตัวถูไถกับตัวจ้าวซัน จ้าวซันพยายามง้างมือเหม่ยอิงออก
“ไปนอนได้แล้วเหม่ยอิง”
“พี่รองซื้อหุ้นที่ต่างประเทศไว้มากมาย หวังว่ามันจะทำกำไรให้ แต่ตอนนี้ราคากลับตกลงทุกวัน เขาก็เลยผันเงินของบริษัทที่ต้องจ่ายเครดิตให้กับที่อื่นมาใช้ก่อน เรื่องนี้พี่รู้หรือเปล่าล่ะ บริษัทเราจะล้มละลาย บ้านก็จะถูกขายเป็นโรงแรม” เหม่ยอิงเลื้อยมือเข้ามา จะสอดเข้าไปในเสื้อจ้าวซัน “เหม่ยอิงจะหยุดมันเอง”
“พอได้แล้ว เหม่ยอิง เราทุกคน...คือพี่น้องกัน”
จ้าวซันแกะมือเหม่ยอิงออกจนได้ แล้วสะบัดตัวออกจากอ้อมกอด หันมามองหน้าดุๆ แล้วรีบเดินหนีขึ้นบันไดไป เหม่ยอิงยืนร้องไห้โฮๆๆ เสียงดังลั่นบ้าน อากงแอบดูในเงามืด สยองแทนจ้าวซัน
กลางดึกคืนนั้น จ้าวซันนอนลืมตาโพลงในความมืดนึกถึงสิ่งที่พูดกับเหม่ยอิง
“พอได้แล้ว เหม่ยอิง เราทุกคน...คือพี่น้องกัน....เราทุกคน...คือพี่น้องกัน ๆๆๆๆๆ”
จ้าวซันค่อยๆ หลับไป
ภาพในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง ขณะนั้นเจ้าพ่อของน่านปิงนรเทพและเจ้าพ่อของศิขรนโรดมกำลังดวลดาบกันแบบซ้อมมือ ต่างไม่มีใครยอมใคร เจ้าแม่ของน่านปิงนรเทพและศิขรนโนดม และแม่นม นั่งลุ้นกัน หวาดเสียว จันทร์แรม บายศรีก็อยู่ข้างๆ เจ้าแม่ของศิขรนโรดม
ทั้งสองฟันกันดุเดือดมากๆ ฝีมือทัดเทียม อีกด้านด้านนึง น่านปิงนรเทพ ศิขรนโรดม พระครู ภูสินทร อินปง นั่งลุ้นอยู่ด้วยกัน สุดท้ายเจ้าพ่อน่านปิงนรเทพเพลี่ยงพล้ำเป็นฝ่ายล้มลง เจ้าพ่อของศิขรนโรดมพุ่งเข้ามา เหมือนจะแทงให้ตาย พวกผู้หญิงร้องด้วยความตกใจ อินปง ภูสินทรผงะ “เฮ้ย” พระครูผงะ น่านปิงนรเทพ ศิขรนโรดมลุกพรวดยืน
ทันใดนั้นเจ้าพ่อของน่านปิงนรเทพกลิ้งหลบหวุดหวิด ตวัดเตะตัดขา เจ้าพ่อของศิขรนโรดมหัวทิ่ม ดาบกระเด็น ล้มไม่เป็นท่า ทุกคนอ้าปากค้าง ตะลึง เจ้าพ่อของน่านปิงนรเทพลุกมาได้ ยืนหอบ เครียด ทุกคนเงียบกริบ
เจ้าพ่อของศิขรนโรดมพลิกตัวมา เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มกว้างขวาง แจ่มใส ตบมือกราว
“เจ้าหลวงของเราสมเป็นเจ้าหลวงจริงๆ ช่วยพี่หน่อย...น้องรัก” มาทยาธรยื่นมือออกมา เจ้าหลวงพีริยเทพรีบเปลี่ยนสีหน้า จากเครียดเป็นยิ้ม เข้าไปจับมือมาทยาธรดึงให้ลุกขึ้น
“เจ้าพี่...เราทำเจ้าพี่เจ็บหรือเปล่า”
“ไม่เลย สบายมาก” มาทยาธรเดินมาตรงหน้าทุกคน “เห็นไหม ทุกคน ใครๆ ชอบนินทากันจริงๆ ว่าน้องพีริยเทพไม่น่าเป็นเจ้าหลวงเพราะอายุน้อยกว่าพี่ แล้วความสามารถก็น้อยกว่าพี่ เพียงแต่โชคดี เกิดมาเป็นราชบุตรของพระเทวีเอก แต่พี่มันดันเกิดมา เป็นโอรสของพระเทวีรอง เลยไม่มีสิทธิ์...” มาทยาธรหัวเราะ “แต่ในความจริง...น้องพีริยเทพก็มีความสามารถเหนือกว่าพี่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองการปกครองหรือเรื่องวิชายุทธ พี่ไม่เคยชนะน้องเลยสักเรื่องเดียว จริงไหมครับ ท่านพระครู น้องรักของพี่ จึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าหลวงของคีรีรัฐทุกประการ น่าขำ พวกปากหอยปากปูมันช่างเหลวไหลนัก”
พระครูอึ้ง พระเทวีทั้งสองมองหน้ากัน อึดอัดใจ
“หม่อมฉันทำงานปกครองคีรีรัฐของเราได้ลุล่วงทุกวันนี้ ก็เพราะมีเจ้าพี่ทรงประคับประคอง หม่อมฉันไม่สนใจถ้อยคำผู้ใด มากกว่าความรักของเราพี่น้อง”
“ใช่แล้วๆ ความรักของเรา ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด เราทุกคนคือพี่น้องกัน พระเทวีศุลีมาน ก็เป็นน้องสิริวารตี” มาทยาธรเดินมาหาสิริวารตี ผู้เป็นเมีย “สิริวารตี...น้องคงไม่เสียใจหรอกนะ ที่เป็นเมียพี่แล้วไม่ได้เป็นพระเทวี แล้วลูกล่ะ ศิขรนโรดมลูกพ่อ จำไว้นะว่าเจ้าต้องจงรักภักดีต่อองค์ชายรัชทายาทน่านปิงนรเทพ มาๆๆ ลุกขึ้นมา ไหนลองประลองอาวุธกันซักท่าสองท่า ให้ลุงชมหน่อยซิว่ารุ่นพ่อกับรุ่นลูก ผลการประลองจะต่างกันหรือไม่ ภูสินทร เอาดาบให้ศิขรสิ แล้วเจ้าอินปง...เอาดาบให้น่านปิงหน่อย”
อิงปง ภูสินทรอึ้งๆ
“แต่ว่า...”
“ลุกขึ้นๆ ศิขรลูกพ่อ น่านปิงหลานลุง ลุกสิ อย่าอืดอาด หรือว่าหลานกลัว ที่จะสู้น้องไม่ได้” เด็กๆ ลุกอย่างลังเล มาทยาธรเดินไปเอาดาบจากอินปงและภูสินทรมา แล้วมายัดใส่มือเด็กๆ “เอาสิ เอาเลย จะกลัวอะไรอีกเล่า ในเมื่อ เราทุกคนคือพี่น้องกัน”
พวกทหาร นางกำนัลต่างพากันอึ้ง พระครูมองอย่างปลงอนิจจัง เด็กสองคนถือดาบเผชิญหน้ากัน ต่างสบตากัน ว่าเอาไงดี
จ้าวซันเหมือนฝันร้ายนอนกระสับกระส่ายไปมา เสียงมาทยาธรยังดังอยู่ไปมา
“เราทุกคนคือพี่น้องกัน!ๆๆ”
วันต่อมา นครคีรีรัฐในวันนี้ อุทยานหลังวังนครคีรีรัฐยังเป็นป่าดิบเขา มีต้นไผ่ขึ้นอยู่เป็นป่า ต้นไม้ใหญ่สีเขียวชอุ่มหลายต้น ทางเดินปูไปด้วยเศษใบไม้และใบไผ่ ไม่รกเรื้อแต่ดูเป็นธรรมชาติและสะอาดตา
ไกลออกไปเห็นเป็นภูเขาซ้อนกันหลาย ลูก มีเมฆก้อนใหญ่ลอยอยู่ไกลๆ มีศาลาเล็กๆ ทำจากไม้แกะสลักอย่างสวยงาม มีเสียงนกร้องดังคลอเป็นระยะ
ศิขรนโรดมใส่ชุดฝึกมวยสีขาว กำลังรำมวยอยู่บนเนินอย่างมีสมาธิ ท่าทางเข้มแข็งแต่อ่อนช้อย เคลื่อนไหวเชื่องช้าและรวดเร็วสลับกันไป ครูเฒ่าวัยเกือบเก้าสิบยืนถือไม้เท้า แอบมองดูลูกศิษย์อยู่บนโขดหินอย่างชื่นชม
ดวงตาศิขรนโรดมดูมุ่งมั่นแต่อ่อนโยน เห็นเหงื่อผุดที่ใบหน้า สายตามุ่งมั่น ทำสมาธิ ยกขาขึ้นมาเตะสูง
อย่างต่อเนื่อง 4-5 ที แล้วหันไปเตะกลับหลังอย่างจระเข้ฟาดหาง 2-3 รอบ จากนั้นจึงกลับมาในท่ายืนตรง นิ่ง สงบ
ศิขรนโรดมเดินมายังศาลา หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขึ้นมาซับเหงื่อ ครูเฒ่าเดินเข้ามาหาใกล้ๆ
“องค์ชายศิขรนโรดม”
ครูเฒ่าพยายามทรุดกายลงเพื่อถวายความเคารพ
“ครู ไม่ต้องหรอก มานั่งเถอะ”
ศิขรนโรดมเข้ามาช่วยประคองครูเฒ่าพาไปนั่งที่ศาลา
“หม่อมฉันได้ยินเสียงเลยเข้ามาดู ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเสด็จเช้าขนาดนี้ ยังไม่ถึงเวลาเรียนไม่ใช่หรือ”
“วันนี้อากาศดี เราเลยตื่นเช้ากว่าปกติ.”
ศิขรนโรดมนั่งลงใกล้ๆ ครูเฒ่า
“ฝ่าบาทจะเสด็จต่างประเทศเมื่อไหร่”
“คงเป็นอาทิตย์หน้า หลังวันเพ็ญลอยพระประทีป”
“วันเพ็ญลอยพระประทีป”
“ใช่” ครูเฒ่านิ่งไป ทั้งคู่มองออกไปที่หุบเขาที่อยู่ตรงหน้า เงียบสักพัก “ยี่สิบปีแล้วใช่ไหมครู เจ้าพี่ไม่ได้กลับมาอยู่กับเราที่คีรีรัฐยี่สิบปีแล้ว”
ศิขรนโรดมมองเหม่ออกไปยังหุบเขาที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงอดีต
นครคีรีรัฐในอดีต มีต้นไม้ใหญ่สีเขียวชอุ่มมากมายกว่าปัจจุบันภูเขาเรียงรายเป็นทิวสวยงาม ศิขรนโรดมในวัย 7 ขวบในชุดลำลองยืนที่หน้าผา ข้างหน้าคือเหวลึก แล้วป้องปากตะโกน
“น่านปิงนรเทพพพ...วู้...” เสียงเล็กใสกังวานสะท้อนไปทั้งหุบเขา “น่านปิงนรเทพพพ...พี่อยู่หนายยย...”
น่านปิงนรเทพในวัย 8 ขวบที่มอมแมมไม่แพ้กัน โผล่พรวดขึ้นมาจากโขดหินอีกก้อน ยิ้มกว้าง
“ศิขรนโรดมมมม...ข้าอยู่นี่”
เด็กทั้งสองสนุกกับเสียงสะท้อนที่ก้องไปทั้งหุบเขา หันมา หัวเราะกัน เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังสะท้อนกลับไปกลับมา
“ไป รีบไปเรียนกันได้แล้ว ไปสายเดี๋ยวโดนครูเอ็ดเอาอีก” น่านปิงนรเทพเดินนำไป
“ทำไมจะต้องเรียนก็ไม่รู้ ไม่เห็นสนุกเลย สู้ไปเล่นอย่างอื่นก็ไม่ได้” ศิขรนโรดมกระโดดตามจูงมือน่านปิงนรเทพ
“ต้องเรียนสิ วิชาเป็นสิ่งสำคัญ เธอเป็นเจ้าชาย เธอต้องรู้ อยากเป็นเจ้าชายโง่ๆ เหรอ”
ศิขรนโรดมทำปากเบ้ ส่ายหัว
“เป็นเจ้าชายก็จริง แต่เจ้าพี่เป็นรัชทายาทนะ อีกหน่อยก็เป็นเจ้าหลวง ไม่ใช่หม่อมฉันสักหน่อย”
“พี่เป็นเจ้าหลวง เธอก็ต้องเป็นอุปราช ถ้าเธอไม่รู้เรื่องจะช่วยพี่ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องเรียนรู้ให้มากเท่าพี่”
“เจ้าพี่...ดูนั่น”
ทั้งสองหันไป กระต่ายตัวนึงกระโดดอยู่
“เจ้าตาแดง มันมาที่นี่ได้ยังไง หรือว่า...เจ้า...”
“น้องเอามาเอง”
กระต่ายวิ่งไป
“มันหนีไปแล้ว”
น่านปิงนรเทพกับศิขรนโรดมพากันวิ่งไล่ตามกระต่ายไปในป่า เสียงหัวเราะดังก้อง
อ่านต่อหน้า 3
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 2 (ต่อ)
ครู่ต่อมาน่านปิงนรเทพอุ้มกระต่าย เดินนำเข้ามา ศิขรนโรดมเดินตามมา ในบ้าน อินปง จันทร์แรม กำลังช่วยกันเลี้ยงทารกบนเบาะ
“ศิขร...พี่เลี้ยงเจ้าตาแดงมา เพื่อจะเป็นของขวัญแด่ธิดาน้อยของท่านราชองครักษ์นี่แหละ”
“ธิดาน้อย? นั่นเด็กผู้หญิงหรือ? เจ้าพี่”
อินปง จันทร์แรมหันมาเห็น
“เจ้าพี่ เจ้าน้อง เสด็จมาทั้งสองพระองค์เลย”
“เราพาศิขรมาดูน้อง”
จันทร์แรมอุ้มทารกขึ้นมา
“เจ้าพี่ เจ้าน้อง เสด็จมาทอดพระเนตรใกล้ๆ สิเพคะ”
“ตัวน้องแดง เหมือนตาเจ้าตาแดงเลย”
“น้องชื่ออะไรหรือ จันทร์แรม”
“หม่อมฉันเรียกว่าเมยเพคะ แต่อยากจะขอพระราชทานนามจริง จากเจ้าพี่”
“จากเรา เราเป็นเด็ก จะตั้งชื่อได้หรือ”
“ได้สิ เจ้าพี่คิดอะไรเก่ง”
น่านปิงนรเทพมองหน้าเด็ก คิดนิดเดียว
“งั้น...ชื่อม่านฟ้าก็แล้วกัน”
“ม่านฟ้า โอ้โหม่านอยู่บนฟ้าเหรอ”
ทุกคนหัวเราะกัน อินปงซาบซึ้ง กราบลง
“ม่านฟ้า เป็นนามอันเป็นมงคลสำหรับลูกสาวกระหม่อมมาก”
“ม่านฟ้า ไพเราะมากเพคะ หม่อมฉันขอถวายลูกสาวให้เป็นข้ารองพระบาทเจ้าพี่ จะทรงรับไหมเพคะ”
“รับสิ”
ทุกคนยิ้มกัน
เช้าวันหนึ่งที่อาศรมเก่าๆ ทำจากไม้แกะสลัก ดูขลังและสวยงามอยู่กลางป่า ศิขรนโรดมในชุดเต็มยศ หน้าตาเคร่งขรึม วิ่งเลิ่กลั่กจากภายนอก เข้าไปในอาศรมอย่างรวดเร็ว ภายในอาศรมมีหนังสือเรียงรายอยู่มากมาย กลางห้องปูด้วยพรม มีโต๊ะเรียนหนังสือวางอยู่สี่ตัว โคมระย้าห้อยเด่นอยู่กลางเพดาน ศิขรนโรดมหอบแฮ่กๆ มองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร จึงเดินหาพร้อมตะโกนเรียก
“ครู ท่านครูๆๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ครูเฒ่าในวัย 70 ปีเดินออกมาจากห้องทางด้านหลัง เดินอุ้มกระต่ายสีขาวมา สีหน้ามึนตึง เย็นชา ปวดร้าว
“เจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว พระหทัยวายกะทันหัน ท่านครูรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง”
“กระหม่อมทราบแล้ว” ครูเฒ่าบอกเสียงแห้งโหย
“ส่วนเจ้าพี่... เจ้าพี่กับเสด็จน้าก็ถูกลักพาตัวไปด้วย จริงหรือเปล่าท่านครู”
“เสียงลือเสียงเล่าอ้างพระเจ้าค่ะ”
“แปลว่าอะไร ตกลงจริงหรือไม่จริง” ครูเฒ่าเงียบไม่ตอบ ค่อยๆ วางกระต่ายลงบนโต๊ะ “ป่านนี้เจ้าพี่จะทรงเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ คนร้ายที่ถูกจับได้ก็ไม่ยอมพูดอะไร” ครูเฒ่าเงียบไม่ตอบ หยิบหญ้าขนที่อยู่ในกระจาดป้อนให้กระต่ายกิน ศิขรนโรดมงงที่เห็นครูเฒ่าไม่ตื่นเต้นอะไร จึงค่อยๆ สงบลง มองครูเฒ่านิ่ง “เจ้าตาแดง ท่านครูเอามาได้ยังไง”
“มันคงหนีออกมาจากกรง กระหม่อมจำได้เลยเอาตัวมันมาด้วย”
ศิขรนโรดมค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปใกล้ๆ แต่กระต่ายตกใจ ขยับตัวหลบไป ศิขรนโรดมรีบชักมือกลับ ครูเฒ่ายื่นกระจาดที่ใส่หญ้าขนให้ศิขรนโรดม
“ลองประทานให้มันสิพระเจ้าค่ะ”
ศิขรนโรดมรับกระจาดมาค่อยๆ ยื่นหญ้าให้กระต่าย ครูเฒ่าลอบมองดูอย่างชื่นชมในความอ่อนโยนของศิขรนโรดม พยักหน้า ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“เจ้าพี่เลี้ยงกระต่ายตัวนี้ไว้เป็นของขวัญให้กับลูกสาวของอินปง”
“อินปง จันทร์แรม และเด็กคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว กระต่ายตัวนี้ คงต้องตกเป็นของฝ่าบาท อย่าทิ้งมันนะ เจ้าน้อง”
“เราไม่ทิ้งเจ้าตาแดงหรอก แต่ทุกคนพากันไปไหนหมดหรือ..พระครู”
ศิขรนโรดมค่อยๆ เอามือไปลูบหัวกระต่ายอย่างทะนุถนอม มองครูเฒ่าด้วยความสงสัย ที่เห็นครูนิ่งไป ไม่ตอบอะไร
ศิขรนโรดมวัยหนุ่มขึ้นไปยืนบนหน้าผา ยกขึ้นมือขึ้นป้องปากแบบเด็กๆ
“น่านปิงนรเทพพ...พี่อยู่หนายย...”
ครูเฒ่าตามมายืนดู มองศิขรนโรดมด้วยความหม่นเศร้า อสุนีในชุดฝึกมวยสีขาววิ่งมาจากอีกทาง รีบตรงเข้ามาคำนับศิขรนโรดม
“หม่อมฉันอยู่นี่แล้ว ขอประทานอภัยที่มาสายพระเจ้าค่ะ”
“อสุนี ข้าไม่ได้เรียกเจ้าลุกขึ้น”
อสุนีเงยหน้าขึ้นมองศิขรนโรดมด้วยสีหน้างงๆ
ทันใดนั้นก็มีคนในชุดฝึกมวยสีขาว มีผ้าคลุมหน้าและศีรษะมิดชิด โผล่ออกมาแต่ตา กระโดดพรวดออกมาจากพุ่มไม้ข้างหลัง ตรงเข้ามาวางมวยกับอสุนีอย่างไม่ทันตั้งตัว คนในชุดขาวลึกลับดูคล่องแคล่วกว่า แม้ว่าท่วงท่าจะไม่แข็งแรงนัก อสุนีตั้งรับหมัดตามที่เรียนอย่างถูกต้องตามกระบวนท่า แต่ออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง กระบวนสุดท้ายอสุนีหลบหมัดของคนนั้นได้อย่างเฉียดฉิว และเป็นจังหวะที่สามารถเอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมหน้าออกมาได้ ผ้าคลุมหน้าของคนนั้นถูกดึงหลุด เผยให้เห็นเป็นสตรี หน้าตาผ่องใส แต่ดวงตาห้าวหาญ
“พอได้แล้วมิถิลา”
มิถิลาตรงเข้าไปดึงผ้าคลุมหน้าจากมืออสุนี
“เฮ้อ ไม่สนุกเลย”
“นี่ เจ้า”
“พี่ท่านเป็นองครักษ์ที่ไม่ได้เรื่อง หากข้าเป็นศัตรูก็เข้าถึงพระองค์ สามารถทำร้ายองค์รัชทายาทได้สำเร็จไปแล้ว”
“สามหาว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“ไม่เป็นไรหรอกอสุนี ลองให้เราประลองกับน้องสาวดูสักครั้งเป็นไร”
“หม่อมฉันไม่บังอาจหรอกเพคะ”
“เป็นผู้หญิงทำไมไม่รู้จักไปเรียนเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร”
“ก็ทำเป็นหมดแล้ว”
“อยากจะเป็นทหารหรืออย่างไร”
มิถิลาแอบแลบลิ้นใส่อสุนี แล้วแอบไปหลบหลังครูเฒ่า อสุนีไม่กล้าเข้าไป
“วันหลังมาเรียนด้วยกันก็ได้ เรียนกันหลายคนสนุกดี” ศิขรนโรดมบอก
“นี่ขนาดมาแอบดูเขาเรียนกันเท่านั้นนะ ยังเกือบจะชนะใครบางคน”
อสุนีขยับทำท่าจะวิ่งไปไล่ตี มิถิลารีบวิ่งหนีไป
ศิขรนโรดมกับครูเฒ่ามองตาม ส่ายหน้าด้วยความระอา
ที่บ้านพลเอกราชิดตอนเย็นวันนั้น บ้านพลเอกราชิดในนครคีรีรัฐเป็นเรือนไม้หลังใหญ่มีลวดลายสลักเสลาสวยงาม ตั้งอยู่ในป่าค่อนข้างทึบ ดูค่อนข้างลึกลับ ด้านหน้ามีหินแกะสลักขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย
อสุนีในชุดฝึกมวย กำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างสบายใจ ราชิดนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะในสวนหันมาเห็นจึงร้องทัก
“วันนี้ตามเสด็จไปไหนมาบ้าง”
“ท่านพ่อ”
“ข้าเพิ่งถามเจ้าไปหยกๆ วันนี้ตามเสด็จไปไหนมาบ้าง”
“โธ่...ทำไมจะต้องให้รายงานทุกวัน ลูกเป็นองครักษ์นะ ไม่ใช่หน่วยสืบราชการลับ”
“แต่ข้าเป็นพ่อเจ้า ข้าถาม เจ้าต้องตอบ วันนี้ตามเสด็จไปไหน”
“เรียนวิชายุทธ บ้านครูเฒ่า”
“พวกเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้างไหม”
“หลายเรื่อง แต่ลูกไม่ได้ยิน อีกอย่างลูกเป็นองครักษ์ ก่อนเป็นก็ดื่มน้ำสาบานแล้ว ความในไม่ให้นำออก ความนอกไม่ให้นำเข้า พ่ออย่ามาให้ลูกเสียสัตย์ไปด้วยเลย”
“นี่เจ้าคิดจะสอนพ่อแล้วเหรอ”
“ลูกแค่ทำตามหน้าที่”
“เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของข้า เจ้าคิดว่าข้าทำทุกอย่างนี่เพื่อใคร”
“ขออย่าต้องทำเพื่อลูกเลย” มิถิลาค่อยๆ เดินย่องออกมาหลบหลังรูปปั้น แอบฟัง “บ้านเมืองเราก็เจริญรุ่งเรืองดีอยู่แล้ว จะต้องให้มีการเลือดตกยางออกอีกทำไม องค์ชายก็เป็นคนดี”
“แต่มันยังเจริญได้มากกว่านี้ เจ้าอย่าคิดโง่ๆ หลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ข้าจะทำให้เจ้าเป็นหนึ่งเหนือคนเป็นล้าน”
มิถิลาทำหน้าตกใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อีก
“กบฏนะพ่อ”
อสุนีเบาเสียงลง ใบหน้าซีดเผือด สอดส่ายตามองไปรอบๆ เห็นมิถิลาแอบอยู่ มิถิลาทำท่าให้เงียบไว้อย่ากระโตกกระตาก
“ใช่กบฏ! ตะโกนออกไปเลย ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน บ้านข้ามีแต่คนที่ภักดีต่อข้าเท่านั้น อสุนี...เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังว่ามีลูกโง่”
“ลูกยอมโง่ดีกว่าทรยศต่อแผ่นดิน ลูกผู้ชายสาบานไปแล้วว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พ่อจะหาว่าลูกอกตัญญูก็ยอม”
อสุนีไม่สนใจ เปิดประตูบ้านแล้วรีบเดินเข้าไป ราชิดโกรธจัด หยิบชุดถ้วยกาแฟทั้งหมดปาไล่หลังไปที่ประตู
“โธ่เว้ย”
มิถิลาตกใจ ทำตัวเล็กหดอยู่หลังรูปปั้น
ตึกทำงานจ้าวซัน ฉินเย่ว์กรุ๊ป ลิฟต์ส่วนตัวเปิด เต๋อเป่าเดินนำจ้าวซันออกมา จ้าวซันมุ่งไปห้องทำงาน ซ่างกวานซิง ที่ก้มหน้าด้วยสายตาตื่นๆ ที่หน้าคอมฯในห้องกระจกมุมนึงเงยมาเห็นรีบวิ่งพรวดพราดออกมาจากห้อง
“คุณชายครับ คุณชายๆๆ”
จ้าวซันหยุด หันไป
“ซ่างกวานซิง” ดวงตาจ้าวซันแวววาวขึ้น “เรียบร้อยใช่ไหม”
“เรียบร้อยครับ บริษัทซื่อฉวนแฟชั่นเป็นของคุณชายแล้ว”
“เยส...” จ้าวซันโอบซ่างกวานซิงเข้ามา ตบหลังไหล่ “เยี่ยมยอดมาก ซ่างกวานซิง ขอบใจ ขอบใจเธอที่สุด” แววตาจ้าวซันซาบซึ้ง ซ่างกวานซิงมองตอบ อย่างซึ้งใจ
“เรื่องนี้ ผมไม่ยอมให้พลาดครับ”
ทั้งสองยิ้มกัน ต่างก้มหัวให้กัน แล้วจ้าวซันตบๆ บ่า หันเดินจะไปต่อ จ้าวซันกับเต๋อเป่ากำลังจะเข้าไปห้องทำงาน เทเรซ่าที่อยู่หน้าห้องรีบมาเปิดประตูห้องรอ พอดีลิฟต์ส่วนรวมตัวใหญ่มาถึง เปิดออกมา ฉินเจียง เกาเฟย อาเหา เดินออกมา เห็นจ้าวซันกำลังจะไปด้วยลิฟต์ส่วนตัว รีบตะโกนข้ามห้องไป
“จ้าวซัน หยุดเดี๋ยวนี้” ทุกคนชะงัก พวกพนักงานแตกตื่น “จ้าวซัน ได้ยินไหม ผมบอกว่าให้พี่หยุด”
จ้าวซันหันไป แล้วยืนอึ้งๆ ฉินเจียง และเกาเฟยกะอาเหา เรียงหน้ากระดานอย่างเท่ราวกับบอยแบนด์ โดยฉินเจียงอยู่กลางเดินพุ่งมุ่งมา เทเรซ่า ซ่างกวานซิง เต๋อเป่า สบตากัน แล้วเตรียมพร้อมกั้นกลาง ฉินเจียงเดินมาถึง จ้องจ้าวซัน ตาปะทุ
“จะรีบไปไหน คิดหนีผมเหรอไง คุณชายใหญ่”
จ้าวซันก้มหัวให้พองาม แววตาสงบ
“ไท้เผ่ง...ท่านประธานแห่งฉินเย่ว์กรุ๊ป มาได้ยังไงครับ วันนี้เราไม่มีประชุมบอร์ดซะหน่อย”
“หยุดเยาะหยันผมได้แล้ว พี่ตั้งผมเป็นไท้เผ่งแต่พี่เคยเห็นผมในสายตาไหม”
“ฉันทำอะไร แกโกรธวู่วามแบบนี้ เพราะฉันไปขัดใจเรื่องอะไรอีก”
ฉินเจียงหันมา ผลักอกซ่างกวานซิง
“ซ่างกวานซิง แกไปไล่ต้อนช้อนซื้อบริษัทสื้อฉวนทำไม แกมีเจตนาอะไรกับพวกเรากันแน่”
จ้าวซันเอาตัวบังหน้า
“ซ่างกวานซิงทำตามคำสั่งของพี่เอง ฉินเจียง”
ฉินเจียงเข้ามาเผชิญหน้าใกล้ๆ แล้วชี้หน้า
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็บอกมา ว่าพี่เอาเงินของเราไปทุ่มซื้อสื้อฉวนแฟชั่นทำไม พี่อยากให้เราล่มจมใช่ ไหม บริษัทสื้อฉวนเป็นซากศพที่เขารู้กันทั่ว ว่าไม่มีใครเขาต้องการ บริษัทเราไม่ได้มีหน้าที่รับแก้หนี้เสียให้บริษัทเน่าๆ นะครับ ที่สำคัญ พี่ไม่เคยเอาเรื่องนี้มาปรึกษาในที่ประชุมเลย พี่ทำทุกอย่างโดยพละการ แต่บริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ปต้องมารับความหายนะเพราะวิสัยทัศน์ของคนอย่างพี่”
เต๋อเป่าฉุน ลืมตัว เข้ามาปัดมือฉินเจียง
“อย่าชี้หน้าคุณชายใหญ่”
เกาเฟยเข้าผลักเต๋อเป่า
“อย่าถูกตัวคุณชายรอง”
เทเรซ่าเข้าแยกทุกคน
“หยุดๆๆ เดี๋ยวนี้ เอ่อ...เราเข้าไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมคะ คุณชายรอง...จะมาทะเลาะกันโชว์พนักงานทำไมคะ”
ทุกคนอึ้งๆ มองดูรอบๆ พนักงานเยอะแยะ มองกันตาโต แล้วรีบก้มหลบกัน
ฉินเจียงกระแทกตัวนั่งลงที่มุมโซฟาในห้องทำงานจ้าวซัน เกาเฟย อาเหา หาที่ยืนคุ้มครอง จ้าวซันเดินเข้ามายืนฝั่งตรงข้าม
“ฉินเจียง อย่าวู่วามเกินไป”
“ผมน่ะเหรอ วู่วาม ต่อหน้าคนที่ทำงาน พี่แสดงละครว่าเป็นคนดี แต่ลับหลังคนอื่น พี่โหดกับผมทุกรูปแบบ ตำแหน่งไท้เผ่งของผม คนทั้งฮ่องกงเขาขำกันทั้งนั้นว่ามันคือหุ่นเชิด เพราะมีพี่คอยหักหน้าผมตลอดเวลา แล้วทำไมพี่ถึงสนับสนุนให้ผมรับตำแหน่งนี้นัก ทำไมพี่ถึงไม่ยึดเอาไว้ซะเอง ไอ้ตำแหน่งไท้เผ่งนี่น่ะ”
“เพราะเธอเป็นทายาทที่แท้จริงของเต้น่ะสิ เธอเป็นทายาท...ผู้ชาย คนเดียวที่เหลืออยู่ของเต้และฉันก็เคารพสิทธิ์ของเธอ ส่วนฉันก็เป็นไอ้เด็กกำพร้าที่เต้เลี้ยงดูสั่งสอนมาเท่านั้นเอง บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของเต้นี่แหละ ที่ฉันต้องตอบแทน”
“โดยทำให้ตระกูลจ้าวเราเจ๊งๆ ซะเร็วๆ”
“ฉินเจียง เต้ห้ามพูดคำว่าเจ๊ง ลืมไปแล้วหรือ แล้วหน้าอย่างฉันน่ะเหรอ จะทำให้ตระกูลเราเจ๊ง มันเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า สำหรับเรื่องซื้อสื้อฉวนฉันไปทิ้งโน้ตให้แกไว้แล้วทุกที่ ลองเปิดดูโทรศัพท์แกตอนนี้ดูก่อนดีไหมว่าฉันส่งไปบอก ทั้งแมสเสจ ทั้งไลน์ ทั้งฝากข้อความเสียง ทุกอย่าง ลองเปิดดูก่อนไหม”
ฉินเจียงอึ้ง หยิบโทรศัพท์มาเปิดดู แล้วผงะ ซีด เกาเฟยทำหน้าเซ็ง เทเรซ่ากับซ่างกวานซิงสบตากัน สะใจ ฉินเจียงเสียฟอร์ม แต่ยังไม่ยอมแพ้ เชิดใส่
“ผมยุ่งมาก ไม่มีเวลากดโทรศัพท์ดูนั่นดูนี่เล่นหรอกพี่ควรทำให้เป็นลายลักษณ์อักษร”
“ส่งไปแล้ว นายไม่ตอบ”
“ตั้งแต่เช้า ดิฉันพยายามติดต่อคุณเฉิน เลขาไท้เผ่งแล้ว คุณเฉินบอกว่าแม้แต่ตัวคุณเฉินเอง ก็ติดต่อไท้เผ่งไม่ได้เลยค่ะ” เทเรซ่าบอก
“นี่ ทุกคนจะรุมชั้นเหรอ ใช่สิ จ้าวซันมันพวกมากนี่ ไม่เหมือนจ้าวฉินเจียง ที่ทุกคนเห็นเป็นแค่ลูกหมาที่จ้าวซันเลี้ยงไว้ดูเล่นเท่านั้น”
“เอาล่ะ สรุปว่าฉันรอคำตอบจากเธอไม่ไหวก็แล้วกัน ฉินเจียง เพราะมันจะไม่ทัน แล้วก็มีพวกจีนแผ่นดินใหญ่หลายพวก ที่อยากได้สื้อฉวนแฟชั่น ฉันถึงต้องรีบ เธอรู้ไหม ว่าทำไม ฉันถึงจำเป็นต้องได้สื้อฉวนเอาไว้”
“เพราะพี่อยากเป็นฮีโร่ไง อยากให้คนเอาไปลือ ว่าตัวเองชุบชีวิตบริษัทเน่าๆ ได้สำเร็จอีกแล้ว เยี่ยมยอดประดุจซูเปอร์แมนไง”
เกาเฟยทำหน้าสะใจที่ตนยุยงเอาไว้
“เปล่าเลย ฉินเจียง เพราะครั้งนึงมันเคยเป็นของเต้ สื้อฉวนเคยชื่อบริษัทสื้อฉวน ก่อนที่แกจะเกิด มันคือบริษัทที่เต้เคยใช้เป็นที่ก่อร่างสร้างตัวมาตอนหนุ่มๆ ฉันถึงทนให้มันถูกชำแหละเป็นเสี่ยงๆ ไม่ได้”
ฉินเจียงอึ้ง อ้าปากจะเถียงแล้วหุบลง หมดถ้อยคำสะบัดหน้า เกาเฟยอึ้ง แล้วตัดสินใจ รีบเข้ามากระซิบบางอย่าง ฉินเจียงมองหน้า แล้วรีบลุก
“โอเค พี่ชนะ จ้าวซัน ผมไม่เสียเวลากับพี่ดีกว่า”
ฉินเจียงกับพวกรีบร้อนออกไป จ้าวซันทำหน้าสงสัย
บราลีแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สะพายเป้เล็กๆ เดินถือแผนที่อยู่ในตัวเมืองฮ่องกงเหมือนคนหลงทาง
บราลีหยุด ดูป้ายบอกทาง กางแผนที่ออก งง บราลีเห็นชายหนุ่มนักธุรกิจเดินผ่านมาจึงเข้าไปถาม นักธุรกิจทำท่าอธิบาย แล้วชี้ให้ลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินไป
บราลีเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ท่าทางอ่อนแรง หยุด กางแผนที่หันซ้ายหันขวา บราลีเดินเข้าไปถามแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ข้างทาง แม่ค้าโบกไม้โบกมือ ทำท่าไม่เข้าใจ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ บราลีถอนใจ เดินออกมา
บราลีกำลังซื้อน้ำดื่มอยู่ที่ร้านข้างทาง แล้วเดินไปหาที่นั่งพัก บราลีนั่งลงตรงม้าหินริมถนน เหนื่อย เช็ดเหงื่อที่หน้า มองขึ้นไปบนฟ้า สายตาบราลีเห็นตึกสูงตระหง่าน มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษติดไว้ว่า “Jao Tsuen Yue Group” บราลีลุกขึ้นดู เทียบกับรูปในมือถือที่เซฟเอาไว้จากภาพที่หามาได้จากกูเกิ้ล
“จ้าว-ฉิน-เย่ว์-กรุ๊ป...ใช่แล้ว ที่นี่เอง”
บราลีเก็บขวดน้ำและมือถือใส่กระเป๋า ตัดสินใจเดินเข้าไปในตึก
จ้าวซันนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างชั้น 40 แล้วหันกลับมามองรูปถ่ายจ้าวฉินเย่ว์ที่แขวนอยู่ที่ผนัง และมองต่ำลงมาที่โต๊ะข้างๆ มีกรอบรูปตั้งเรียงกันอยู่ จ้าวซันเดินไปหยิบขึ้นมาอันหนึ่ง เป็นรูปเหม่ยอิงใส่ชุดรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา กำลังยืนยิ้มใสอยู่ข้างๆ จ้าวซัน จ้าวซันนิ่ง คิดอะไรอยู่สักพัก ถอนใจ
เต๋อเป่าเปิดประตูห้องรีบเดินเข้ามา มองหาจ้าวซัน เห็นว่ายืนอยู่ที่มุมห้องจึงรีบเดินเข้าไปหา
“คุณชาย”
จ้าวซันรีบวางกรอบรูปลง เต๋อเป่ารีบเดินเข้าไปพูดเบาๆ ใกล้ๆ จ้าวซัน สีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องคุณชายฉินเจียง ตอนนี้สายเรารายงานมาว่า...” เต๋อเป่าเข้าไปใกล้ พูดเบาๆ
จ้าวซันตกใจ แล้วทั้งสอง รีบเร่งเดินออกไปจากห้อง
ขณะนั้นบราลีกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง
“ใช่ค่ะ มาหาคุณชายจ้าวซัน ตกลงอยู่ชั้นไหนค่ะ”
“แต่เลขาของท่านบอกว่าคุณไม่ได้นัดไว้”
“ค่ะ ไม่ได้นัดไว้ แค่อยากรู้ว่าคุณจ้าวซันนั่นทำงานอะไร เอ๊ย...ทำอยู่ชั้นไหน”
เจ้าหน้าที่หันไปกระซิบกับเจ้าหน้าที่อีกคนเป็นภาษาจีน บราลีฟังไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรบราลียิ้มหวานให้ สักพักมียามเดินมาจากทางด้านหลัง
“ขอเชิญคุณทางนี้ครับ”
บราลียิ้ม งงๆ ยามผายมือให้ออกจากตึกไป บราลีพยายามอธิบายให้ฟัง แต่ยามไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ๆ คือ ฉันไม่ได้มีธุระ ไม่ต้องขึ้นไปพบก็ได้แค่อยากรู้ว่า...”
ยามกึ่งดันกึ่งผลักบราลีออกไป พนักงานออฟฟิศที่เดินผ่านไปผ่านมาในตึกเริ่มหันมามอง สุดท้ายบราลีถูกดันออกจากประตูใหญ่ ออกมายืนที่หน้าตึก
“ฮึ่ยย...อารมณ์เสีย คุณชายจ้าวซัน คุณเป็นใคร หาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ นอกจากบอกว่าทำงานที่นี่”
บราลีฮึดฮัดขัดใจไปมา
ที่สนามบาสเก็ตบอลในศูนย์กีฬา ฉินเจียงกำลังเล่นบาสฆ่าเวลา ชู้ตแล้วชู้ตอีก ก็เข้าห่วงผลุบๆๆ อยู่หลายลูกจนเบื่อ
“มันมาแน่นะ สายไปห้านาทีแล้ว”
มุมนึงในสนามบาสเก็ตบอล เกาเฟย อาเหา และไอ้สือยืนอยู่สี่คน ข้างๆ เป็นกล่องไม้ยาวจำนวนหกกล่องวางซ้อนกันอยู่ เกาเฟยขยับหูฟังที่อยู่ในหู เหมือนมีสายรายงานเข้ามาแล้วได้ยินไม่ถนัด
“รถพวกมันมาจอดด้านนอกแล้วครับ”
“ดี” ฉินเจียงเลี้ยงบอล แล้วชู้ตต่อ
โกศินเดินนำมา ในมือถือกระเป๋าเอกสารขนาดใหญ่ มีทหารนอกเครื่องแบบของคีรีรัฐในสูทเดินตามมาสี่คน
“ขอโทษที่ทำให้คอย”
ฉินเจียงโยนบอลทิ้ง
“ท่านโกศิน จะดูของเลยไหม”
“ดี”
ฉินเจียงพยักหน้าให้อาเหาและไอ้สือถือกล่องออกมาเปิดโชว์ ภายในกล่องเป็นอาวุธปืนสีดำขลับ โกศินกำลังจะยกมือขึ้นไปลูบปืนเพื่อพิสูจน์ อาเหารีบปิดกล่องทันทีและเป็นจังหวะเดียวกับที่เกาเฟยยกปืนขึ้นมาตรงหน้าโกศิน
ทหารคีรีรัฐอีกสองคนที่ไม่ได้ถือกระเป๋าก็ยกปืนไปที่ฉินเจียง
“อะไรกันๆ ขยับนิดๆหน่อยๆ ทำเป็นประสาทกระตุกกันไปได้ ขอดูเงินก่อน”
โกศินพยักหน้า ทุกคนเอาปืนลง ทหารสองคนก้าวเข้ามา เปิดกระเป๋าเอกสารให้ดู ภายในกระเป๋าเป็นเงินดอลล่าร์เป็นปึกวางเรียงกันอยู่ ฉินเจียงเอามือขึ้นไปแตะธนบัตรเพื่อตรวจเช็ค ทหารคีรีรัฐยกปืนขึ้นใส่ฉินเจียง ฉินเจียงค่อยๆ ถอยไปชูมือทั้งสองข้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“จับเงินก่อนก็ไม่ได้รึไง ประเทศของพวกนายนี่คงไม่มีใครไว้ใจใครได้เลยสินะ ก็ได้ๆ หวังว่าคงครบละกัน”
ทหารปิดกระเป๋าลงและกำลังยื่นส่งเพื่อแลกกลับกล่องอาวุธที่อยู่ในมือของอาเหาและไอ้สือ ทันใดนั้นไฟสปอตไลท์ที่สนามบอลก็เปิดพรึ่บขึ้น ทุกคนตกใจหันไปมอง เกาเฟยยื่นกล่องปืนให้แล้วดึงเอากระเป๋าเงินมา ทหารอีกคนรีบคว้างกล่องอาวุธปืนไว้แล้วรีบดึงเอามา
“หยุด! ทุกคนวางของกลางลงเดี๋ยวนี้”
ผู้กองเหลียงวิ่งนำตำรวจกองปราบ 8 คนชูปืนกรูเข้ามากลางสนาม
“ชิบ...ผู้กองเหลียง! หนีเร็ว”
ทุกคนวิ่งแตกกระจายไปคนละทิศล่ะทาง ผู้กองเหลียงยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัดเป็นการขู่ เกาเฟยควักปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อขณะวิ่งไปกับฉินเจียง หลบตามที่นั่งคนดู มุ่งสู่ประตูออก เพื่อคุ้มกัน
“ใครบอกพวกมันวะ”
เกาเฟยหันไปยิงตอบโต้ ตำรวจหลบกระสุนกลิ้งแล้วยิงกลับ ผู้กองเหลียงเล็งปืนไปที่เกาเฟย เกาเฟยยิงกลับมาอีกนัด ผู้กองเหลียงหมุนตัวหลบ แล้วหันไปยิงซ้ำ
“ออกทางห้องพักนักกีฬาดีกว่าครับ พวกมันคงอุดประตูหมดแล้ว”
เกาเฟยกับฉินเจียงวิ่งไปทางห้องพักนักกีฬา ผู้กองเหลียงวิ่งตาม คนอื่นๆ ที่เหลือก็วิ่งหนีไปมีการยิงต่อสู้กันเป็นระยะ
บนสเตเดี่ยม จ้าวซันยืนมองดูอยู่เงียบๆ มุมนึง เศร้าใจ แล้วหลบหายออกไป
ฉินเจียง เกาเฟย วิ่งเข้ามาในห้องพักนักกีฬาแล้วรีบล็อกประตู ผู้กองเหลียงตามมา เจอประตูปิดใส่หน้า ฉินเจียง เกาเฟย วิ่งลงไปในห้องน้ำชั้นล่าง ผู้กองเหลียงกระโดดถีบ แต่ประตูไม่หลุด ฉินเจียง เกาเฟย วิ่งไปในห้องอาบน้ำรวม แล้วเห็นว่า มีหน้าต่างสูงบานพับของห้องน้ำที่อยู่ตรงระดับพื้นดิน ผู้กองเหลียงยิงลูกบิดประตู ลูกบิดแตกออก
ผู้กองเหลียงเปิดเข้าไป เกาเฟยเปิดหน้าต่างบานพับนั้น แล้วก้มตัว ให้ฉินเจียงปีนหลังตนขึ้นไป แล้วฉินเจียงรีบมุดออกทางหน้าต่างนั้นออกไปข้างนอกสำเร็จ ก่อนจะหันมายื่นมือเข้ามาให้เกาเฟยโหนขึ้น
ผู้กองเหลียงวิ่งเข้ามา มองหารอบๆ แล้วหันไปเห็นหน้าต่างบานพับนั้นที่เปิดอ้าค้างอยู่ ผู้กองเหลียงสุดเซ็ง
ลานจอดรถภายในตึกจ้าวฉินเย่ว์กรุ๊ป ชั้นG มีรถหรูจอดเรียงกันอยู่มากมาย บราลีเดินด่อมๆ มองๆ หารถของจ้าวซัน ชะโงกดูคันโน้นที คันนี้ที อาหลี่เห็นว่าเป็นบราลีจำได้ จึงค่อยๆ เดินไปสะกิดขณะที่บราลีกำลังมองหารถจ้าวซันอยู่
“หารถมาสเตอร์จ้าวซันเหรอครับ”
“อุ๊ย...อ๋อ...ใช่ค่ะ”
“วันนี้เอาคันนี้มาครับ”
อาหลี่ชี้ไปที่รถเบนซ์คันใหม่เอี่ยมที่จอดอยู่ข้างๆ บราลี
“เอ่อ รถอยู่ แปลว่าคุณชายอยู่”
“ไม่อยู่ครับ”
“ท่านไม่อยู่ ท่านไปไหนล่ะ ทำไมคุณไม่ขับรถให้ท่าน”
“ถ้าท่านไปธุระส่วนตัว บางทีท่านก็ไปคนเดียวครับ คุณอยากพบท่าน ทำไมคุณไม่โทรหาท่านก่อนล่ะครับ”บราลีอึ้ง
“คือ...ก็แค่อยากมาเห็น เยี่ยมชมที่ทำงานของท่าน อยากเห็นท่านเวลาทำงานบ้าง” บราลียิ้มแก้ตัว “ไม่มีธุระอะไรสำคัญหรอก เอ้อ...เมื่อวานคุณชายจ้าวซันบอกชั้นแล้วนะ เรื่องตำแหน่งงานของท่าน แต่ชั้นลืมท่านทำอะไรที่นี่หรือจ๊ะ”
“ที่นี่เป็นตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป”
“ฮื่อ”
“ท่านก็เป็นกรรมการอยู่ในเกือบทุกบริษัท บนตึกนี้ล่ะครับ”
“โอ้โห เรียกว่าใหญ่มากสินะ เอ่อ..คือที่จริงชั้นไม่ได้อยากรับกวนท่านหรอกค่ะ อาหลี่ท่านไปธุระส่วนตัวอะไร ที่ไหน คุณคงไม่ทราบสินะ”
“ท่านไปโบสถ์ครับ ไม่นานก็กลับ”
“ไปโบสถ์! ไม่ยักรู้ว่าเคร่งศาสนาด้วย คุณชายจ้าวซันไปโบสถ์ไหนหรือคะ”
“เซนต์สตีเวนส์ครับ”
“โอเค ขอบคุณนะคะ งั้นชั้นไม่มีอะไรแล้วไปก่อนนะ”
“จะไปไหนล่ะครับ”
“ก็ไปเดินเล่น ดูข้าวของ ช้อปปิ้ง ไม่กวนแล้ว ไปก่อนนะคะ” บราลียิ้มให้อย่างน่ารักก่อนจะรีบเดินไป อาหลี่ยิ้มตอบ งงๆ
หน้าโบสถ์เซนต์สตีเวนส์บนเขา บราลงจากแท็กซี่
“โอ...สวยจริงๆ”
บราลีเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป ขณะนั้นจ้าวซันยืนพูดโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่บนบันไดหน้าโบสถ์ บราลีเห็นในกล้องพอดี
“อุ๊ย”
บราลีรีบโดดแอบมุมนึง จ้าวซันกดวางโทรศัพท์ หน้าเหนื่อยๆ รีบเข้าไปที่โบสถ์ บราลีมองตาม ตัดสินใจตามไปห่างๆ
บราลีเห็นจ้าวซันมองขึ้นไปที่ยอดโบสถ์ข้างบน หยุดแล้วหันกลับมาทางบราลี บราลีรีบหลบเข้าไปอยู่หลังเสาโบสถ์ จ้าวซันเดินหายเข้าไปในโบสถ์
ภายในโบสถ์พ่อโจเชฟกำลังยืนคุยอยู่กับคนฮ่องกงสองสามีภรรยาและกำลังจะลาแยกย้ายกันไป พ่อโจเชฟเห็นจ้าวซันยืนรอ เดินมาหา ผายมือชวนจ้าวซันไปหลังโบสถ์ ทั้งสองเดินออกไป
บราลีเข้ามา ไม่เห็นใคร เดินหาไปรอบๆ แต่ไม่เจอ ยืนงงๆ
อ่านต่อหน้า 4
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 2 (ต่อ)
สองคนคุยกันอยู่ด้านหลังโบสถ์ หลวงพ่อโจเซฟมองจ้าวซันอย่างห่วงใย
“นั่งก่อน มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
“มีเรื่องที่ทำให้ช็อค”
“คือ...”
“ไม่ทราบว่าผมโชคดี หรือโชคร้าย”
“ยังไง”
“ผมรู้ตัวพ่อค้าฮ่องกง คนที่ขายอาวุธให้พวกกบฏคีรีรัฐแล้ว”
“เก่งมาก รู้เร็วจริง”
“ฉินเจียง...น้องรองของผมเอง”
“โอ...พระผู้เป็นเจ้าท่านทรงเล่นตลกแล้ว”
“คนที่จะขายอาวุธให้พวกคนชั่วช้า ไปใช้ก่อกบฏต่อน้องชายของผมที่คีรีรัฐก็คือน้องชายของผมอีกคน ที่ฮ่องกง”
หลวงพ่อโจเซฟเห็นใจ ตบบ่าจ้าวซันเบาๆ
ในโบสถ์ขณะนั้นบราลีพยายามชะโงกหาทุกมุม เดินไปส่องตามตู้สำหรับสารภาพบาป แต่ก็ไม่เจอ เลยเดินมายืนดูรูปพระเยซูตรึงกางเขน บราลีกลับมีสีหน้าสงบลง ในที่สุดก็นั่งลงไหว้พระที่หน้าพระเยซู
บราลีเดินบ่นออกมาหน้าโบสถ์
“อีตาจ้าวซันหายตัวเพราะคงจะเข้าไปสารภาพบาปกับพระบาทหลวงแหงๆ สงสัยจะนานเพราะบาปเยอะ” บราลีขำกับตัวเอง แล้วนั่งลงรอที่ที่นั่งบังมุมกระถางมุมนึง “รอตรงนี้ เดี๋ยวคงออกมาชัวร์ ไม่น่าจะมีทางออกอื่นอีกนะ”
ขณะนั้นจ้าวซันเดินออกมาจากโบสถ์ข้างใน
“แล้วผมจะพาโอกาสพาบราลีมาเยี่ยมคุณพ่อสักวัน”
“ไว้โอกาสเหมาะๆ ก่อนก็ได้”
บราลีหันมาเห็น ตาลุก รีบหมอบแอบ บราลีเห็นจ้าวซันเดินลับกำแพงโบสถ์ไป จึงรีบวิ่งตาม
บราลีวิ่งออกมา ชะโงกหาจ้าวซันแต่ไม่เจอ บราลีงงๆ หมุนรอบตัว แล้วถอนใจ
“หายไปไหนแล้ว” ชะเง้อไปตามถนนแต่ก็ไม่เห็นจ้าวซันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “เรียกแท็กซี่ เบอร์อะไรนะ”
บราลีรู้สึกว่ามีคนตามมา หันกลับไปมองแต่ไม่มีใคร หันกลับมาอีกทีก็เจอขี้ยาสองคนเข้ามาประชิดตัว
“ขอตังค์หน่อยสิ มาดาม”
บราลีรีบหันหลัง เดินหนี ขี้ยาทั้งสองพุ่งมาประกบ หน้า-หลัง บราลีหันรีหันขวางด้วยสีหน้าตกใจกลัวสุดขีด
บราลีมองรอบๆ หาทางหนีทีไล่ ถอยๆ หนี แล้วตัดสินใจ ผลักคนที่ขวางหน้าสุดแรง จนมันเซไป แล้วตัดสินใจวิ่งหนีกลับไปทางโบสถ์
“ช่วยด้วย”
ขี้ยาตามไป แล้วโดดคว้าข้อมือบราลี
“ส่งมาให้หมด กระเป๋า โทรศัพท์ เงิน ทุกอย่าง”
ขี้ยาอีกคนตามมาจะรวบตัว
“เอาตัวมาดามด้วยสิ อิๆๆๆ”
บราลีร้องหันไป เอาเป้ตีหน้าขี้ยาคนหนึ่ง ขี้ยาเจ็บร้องลั่นแล้วเซถอยไป
“เก่งซะด้วย มานี่เลย นังมาดาม” ขี้ยาอีกคนโดดมาตรงหน้า ชักมีดออกมา
ทันใดนั้นเท้าในรองเท้าหนังคู่ใหญ่ของจ้าวซัน ตวัดเตะเพี๊ยะมือที่ถือมีด มีดกระเด็นหวือข้ามหัว ทุกคนมองตามมีดที่ลอยไปตกพื้นแล้วกระเด็นไปไกล ทุกคนหันมาจ้าวซันโดดมาเตะปลายคางขี้ยาคนแรกแล้วตบหน้าขี้ยาคนที่สองที่พุ่งเข้ามาพอดีด้วยหลังมือ แล้วหมุนกลับไป ถีบยอดอกขี้ยาคนแรกจนเซล้มก้นกระแทก บราลีมองทุกอย่างด้วยความงง จ้าวซันคว้าข้อมือบราลี กระชาก
“ไป”
พวกขี้ยากำลังพยายามลุก ขี้ยาคนแรกกุมอกจุกอยู่ ทันใดนั้นขี้ยาคนที่สองชักปืนออกมา
“วิ่ง เร็ว”
ทั้งสองรีบเผ่น สุดฝีเท้า ระหว่างนั้น จ้าวซันเอาโทรศัพท์มา กดบางอย่างรวดเร็วจึ๊กๆๆ ขี้ยายิงปืน เปรี้ยง! จ้าวซันจับตัวบราลีกดหัวให้ก้มต่ำ แล้วลากไป
จ้าวซันกับบราลี วิ่งมาตามพื้นถนน ทันใดนั้นรถหรูของจ้าวซันอีกคันที่เต๋อเป่าขับ ปราดเข้ามาจอดเอี๊ยดดัก
บราลีตกใจผวา จ้าวซันวิ่งเข้าไปกระชากประตูออก แล้วรีบผลักตัวบราลีเข้าไป ก่อนจะรีบขึ้นรถตามและปิดประตูรวดเร็ว เต๋อเป่าออกรถทันที
เมื่อเข้ามาอยู่ในรถต่างคนต่างหอบและต่างเงียบไปด้วยความไม่พอใจต่ออีกฝ่าย สักพักบราลีหันมาแล้วชะงัก เพราะเจอสายตาจ้าวซัน ที่จ้องหน้าอยู่แบบดุๆ
“คุณ”
บราลีกับจ้าวซันพูดออกมาพร้อมกันเลยต่างคนต่างเงียบ บราลีสะบัดหน้า จ้าวซันอดไม่ไหวแล้วจึงพูดต่อ
“คุณคิดอะไรของคุณ คุณตามผมใช่ไหม ตามทำไม คุณอยากรู้อะไรไม่ทราบ”
“เพราะชั้นไม่รู้ว่าคุณเป็นใครน่ะสิ” จ้าวซันถึงกับอึ้ง
“ไม่รู้ก็ถามสิ”
“ถามแล้วคุณตอบไหมล่ะ คุณไม่ใช่คนจีน คุณไม่ใช่คนไทย คุณมายุ่งกะฉันมากมายเพราะอะไร คุณต้องการอะไรจากชั้น ฮะ ตอบมาสิ”
“ผมตอบแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“ทำไม”
“เพราะ...มันยังไม่ถึงเวลาน่ะสิ”
เต๋อเป่าลอบมอง สงสัยๆ ประมาณว่าไม่รู้เรื่องเขาพูดอะไรกัน
“เวลา...เวลาอะไร แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลา กี่โมงคะ ช่วยบอกด้วย”
“นี่...เมย อย่ากวนประสาทให้มันมากนัก ถ้าโดนเข้าซักที แล้วอย่ามาหาว่าพี่ร้าย” จ้าวซันบอกอย่างฉุนๆ
“อะไรนะ...เมย...ใครคือเมย คุณเคยเรียกชั้นอย่างนี้มาทีนึงละ แล้วคุณเรียกตัวเองว่าพี่...พี่ใคร พี่ยังไง ใครไปเป็นน้องคุณ โธ่เอ๊ย อย่านึกว่าชั้นจะโง่นะ คุณต้องการจะเล่นสงครามจิตวิทยากับชั้นใช่ไหม”
“หยุดพูดจาเลอะเทอะซะที”
“คุณนั่นแหละ คุณเป็นคนไม่ดี ทำบาปไว้เยอะล่ะสิ ถึงได้ต้องไปสารภาพบาปกับบาทหลวง เชอะ จะบอกให้นะ ว่าถ้าอยากพ้นจากบาปกรรม ก็ควรจะหยุดทำอะไรลับๆ ล่อๆ ซะที คุณพยายามจะซื้อตัวชั้นจากพ่อใช่ไหม คุณใช้อิทธิพลบางอย่างบีบบังคับพ่อ แต่พ่อชั้นไม่มีวันยอม พ่อชั้นไม่ใช่ไก่กานะ ขอบอกซะก่อน พ่อเป็นอดีตทหาร มีพรรคพวกคนมีสีไม่น้อย แล้วพ่อก็ไม่ใช่คนจน จะได้ขายลูกกิน พ่อชั้นรวยมาก เค้าไม่สนเงินของคุณแน่”
“ปากดี! ดื้อ! แก่น! ยุ่ง ! ชอบหาเรื่องใส่ตัวแล้วยังไม่สำนึกอีก” จ้าวซันจับตัวบราลีมา ดึงให้นอนคว่ำลง แล้วตีก้นแบบตีเด็ก เพี้ยะๆ แรงๆ 2-3 ที บราลีช็อค นึกไม่ถึง ตัวแข็งทื่อ แล้วพอได้สติก็กรี๊ดร้องออกมา แล้วสะบัดตัวออกมา ถอยไปติดประตูรถ
“จ้าวซัน คุณมันโรคจิต คุณนึกว่าตัวเองเป็นใคร อย่ามาแตะต้องตัวชั้น คนลามก คน...”
“หยุด” จ้าวซันชี้หน้า “หรือว่าอยากจะโดนอีก”
บราลีเงียบทันที แล้วมองจ้าวซันด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ ทำตัวตรง กอดอก ระวังตัวนิ่ง จ้องจ้าวซันเป๋ง แล้วสะบัด เชิด หยิ่ง ถือตัว ไม่มองมาอีก
จ้าวซันมองๆ จากโกรธเป็นขำ แววตาอ่อนลง
เต๋อเป่าขับรถมาจอดหน้าโรงแรม บราลีลนลานลงจากรถแล้วรีบวิ่งเข้าไปในโรงแรม จนคนเปิดประตูเปิดไม่ทัน มองตามงงๆ จ้าวซันมองตามไปจากในรถอย่างอ่อนใจ
บราลีพุ่งเข้าห้องมาแล้วเศร้าเซ็งสุดขีด ทิ้งตัวลงบนเตียง พลิกไปๆ มาๆ พลุ่งพล่าน แล้วนอนหงายมองเพดานนิ่ง ก่ายหน้าผาก หน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วบราลีก็ชะงักเพราะมีภาพบางอย่างแว่บเข้ามา เป็นภาพจ้าวซันจับตัวบราลีนอนแล้วตีก้นเพี้ยะๆ
ดวงตาบราลีฉายแววโกรธ บราลีฟึดฟัด ฮึดฮัด พลิกนอนคว่ำ แต่หันหน้าเอียงมาแล้วเอามือจับตรงก้นที่ถูกตี
มือบราลีลูบๆ ที่ก้นแล้วชะงัก ดวงตาพิศวงเมื่อภาพในอดีตแว่บเข้ามาเป็นภาพที่บ้านไทยๆ บราลีวัยเด็กหอบพานที่มะลิเต็มวิ่งขึ้นบันได
“เมย อย่าวิ่ง บอกว่าอย่าวิ่ง” บราลีหันไปมอง น่านปิงนรเทพวัยเด็กเดินตามมา บอกดุๆ “บันไดมันชัน ขาก็สั้น เดี๋ยวก็ตกบันไดจนได้”
“เมยจะเอาไปถวายเจ้าแม่ พี่เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
บราลีในวัยเด็กหันมาจีบปากจีบคอเถียง แล้วหันกลับไป วิ่งขึ้นบันไดอย่างเร็ว วิ่งไปอีก 2 ก้าว เท้าบราลีก็พลาด สะดุดขั้นบันไดล้มลง พานตก ดอกไม้กระจายเต็ม บราลีร้องไห้โฉ น่านปิงนรเทพวิ่งตามมา มาถึง ดึงแขนบราลีลุกขึ้น แล้วแทนที่จะปลอบกลับดุ
“เห็นไหมๆ เตือนแล้วไม่ฟังแล้วเป็นไง นี่แน่ะๆๆ ดื้อนัก แบบนี้ต้องโดนตีซ้ำ นี่แน่ะๆๆ”
น่านปิงนรเทพตีเพี้ยะๆๆ มาที่ก้นของบราลีไม่นับ บราลีร้องไห้จ้า
กลับมาปัจจุบัน บราลียิ่งมึน งุนงง พลิกตัวนอนหงาย แล้วลุกมานั่ง หน้าตาสับสน อึ้ง
ขณะนั้นจ้าวซันยังนั่งอยู่ในรถ หน้าตามุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ แล้วหยิบโทรศัพท์มา กดๆๆ
บราลีก้าวฉับๆ ออกมาที่ระเบียงห้องแล้วกดมือถือรอฟังหน้าเครียด ขณะนั้นสุริยะกำลังเล่นสล็อตแมชชีนในคาสิโน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดัง แสงหน้าจอวาบๆ สุริยะมองเห็นรูปหน้าจอเป็นรูปบราลีก็สะดุ้ง รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์ในห้องน้ำ
“พ่อคะ บรีไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วนะคะ บรีอยากกลับบ้าน”
บราลีบอกเสียงจริงจังเมื่อสุริยะรับสาย
“อ้าว...ทำไมล่ะลูก ไม่สนุกเหรอ”
“จะสนุกได้ยังไงล่ะคะ ก็จื้อเหม่ยไม่อยู่ หนูต้องเที่ยวคนเดียว”
“อ้าว แล้วคุณชายจ้าวซันล่ะ เขาไม่มาดูแลลูกเลยเหรอ” คำถามนี้ทำให้บราลีถึงกับอึ้ง
“พ่อคะ หนูจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ หนูไม่สนคุณชายจ้าวซันอะไรทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรกัน เค้าไม่ดีกับลูกหรอกเหรอ”
“เค้าดีค่ะ เค้าวิเศษมากๆ เลิศเลอเพอร์เฟ็คท์ที่สุดในโลก แต่บรีจะกลับบ้าน ทำไมพ่อไม่ให้บรีกลับล่ะค่ะ บรีหาไฟลท์เองก็ได้ เอาเที่ยวบินแรกของพรุ่งนี้ เท่าที่บรีจะหาได้ก็แล้วกัน แล้วพ่อมารับบรีที่สุวรรณภูมินะคะ แล้วบรีได้เที่ยวกี่โมง ถึงสุวรรณภูมิกี่โมง บรีจะโทมาบอกอีกที”
“ไม่ได้นะ บรี”
“ทำไมคะ พ่อคะ บรีถามจริงๆ เถอะค่ะ คุณชายจ้าวซันคนนี้กับพ่อ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้น บรี...คือ...คือ เวลานี้ พ่อ...พ่อ...พ่อ ไม่ได้อยู่ในเมืองไทยไง”
“อะไรนะ”
“ถ้าลูกกลับมาบ้าน ลูกจะอยู่ยังไง อยู่กับใคร ลูกก็รู้ว่าตั้งแต่แม่ของลูกเสีย พ่อก็...ก็อยู่คนเดียวมาตลอด แล้วก็ต้องรับภาระทำงานโรงงานทอผ้าแทนแม่เค้า คือตอนนี้พ่อมาเปิดตลาดที่...ที่กัมพูชา ใช่ๆๆๆ พ่อกำลังเดินสาย ขายผ้าไหมของเรา ให้กับทางโรงแรมที่นี่ แล้วเสร็จจากที่นี่ พ่อก็จะต่อไปเวียดนาม วกขึ้นลาวต่อกว่าจะกลับบ้านได้ ลูกก็รู้นี่ ว่าตอนนี้เรากำลังจะสรรสร้างประชาคมอาเซี่ยนให้มั่นคง ไว้ถึงเวลา พ่อกลับไปเมืองไทยวันไหน จะโทรบอกบรี แล้วหนูค่อยมาเรียนรู้งานแบบใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไปนะลูก ช่วงนี้พ่อวุ่นวายเต็มที แค่นี้นะ” สุริยะกดตัดสายทันที บราลีนิ่งงัน มึนงง
“พ่อ แบบนี้แปลว่าหนูต้องยอมจำนนอยู่ใต้ความอุปถัมภ์ของอีตาบ้านี่ต่อไปอีกใช่ไหม ไม่มีทางหรอก หนูไม่มีวันยอม”
สีหน้าบราลีฉายแววดื้อรั้นอย่างชัดเจน
หลินจื้อเหม่ยพาบราลีมาที่บ้านซึ่งเป็นตึกแถวที่ค่อนข้างจนและแออัด ประตูเหล็กรูดเข้า-ออก แบบที่เป็นซี่ๆ ไขว้ๆ โดนรูดออก เสียงเพลงจีนดังหนวกหูๆ เสียงรถ เสียงแตรหนวกหูๆ
ชั้นล่างบ้านของหลินจื้อเหม่ยเป็นโต๊ะกินข้าวกลมๆ ที่มีม้ากลมตั้งรอบๆ ติดรูปเทพเจ้า รูปวาดพู่กันจีน มีศาลเจ้าแดงๆ ตั้งใต้บันได มีทีวี ที่กำลังเปิดหนังจีนกำลังภายในดังลั่น เด็กเล็ก 2 คน กำลังนั่งทำการบ้านที่โต๊ะกินข้าว แย่งดินสอกัน ส่งเสียงเถียงกันงอแงๆ อีกมุมนึง เป็นคอมพิวเตอร์ เด็กที่โตสุดเป็นผู้ชาย กำลังเล่นเกมแนวยิง ต่อสู้ ดังเฟี้ยวๆ ลั่นๆ หลินจื้อเหม่ยเดินนำบราลีเข้ามา ที่มุมครัว พี่สาวหลินจื้อเหม่ยกำลังต้มบะหมี่อยู่
“พี่สาม ชั้นพาเพื่อนมาค้างบ้านนะ”
“เออ” พี่สาวหลินจื้อเหม่ยโผล่มาดู “กินอะไรมารึยังล่ะ หิวหรือเปล่าจ๊ะ”
บราลีกลืนน้ำลาย
บราลี หลินจื้เหม่ยนั่งสาวบะหมี่ด้วยตะเกียบคู่กันที่ที่นั่งบนดาดฟ้า ซึ่งมีกระถางต้นไม้ตั้งและเป็นสวนหย่อมเล็กมีโต๊ะนั่งเล่น
“แล้วคุณย่าเธอ หายดีแล้วเหรอ”
“หายดีแล้ว ออกจากห้องไอซียูมาให้ชั้นพยาบาล 2 วัน พอหมอบอกว่าพ้นขีดอันตราย จะให้กลับบ้านวันจันทร์ชั้นเลยรีบขอตัวกลับฮ่องกง มาหาเธอ”
“อ้าว..ว้า ชั้นเลยบาปเลย ทำให้เธอต้องทิ้งคุณย่า”
“ไม่หรอก ก็ให้หลานคนอื่นเค้าได้แสดงความกตัญญูกันบ้าง จะได้ทั่วถึง”
สองสาวหัวเราะกัน
จ้าวซันยืนพูดโทรศัพท์อยู่ในสวน
“ขอบคุณนะ คราวนี้ ผมต้องรบกวนเธอแล้ว หลินจื้อเหม่ย”
หลินจื้อเหม่ยหลบมาคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำด้วยท่าทางกระซิบกระซาบเพราะกลัวบราลีจะได้ยิน
“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นเต็มใจนะคะคุณชาย ตอนนี้ยัยตัวดีเหนื่อย หมดฤทธิ์ หลับไปแล้วค่ะ”
“ช่วยทำให้เค้ามีความสุข ให้เค้าได้ทำอะไรสนุกสนานเพลิดเพลินที่ฮ่องกงนี่ด้วย อีกไม่นานนัก ผมจะให้เค้ารู้ความจริงเอง”
“ค่ะ ชั้นจะดูแลเค้าอย่างดี รับรอง ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ”
“ดีมาก จื้อเหม่ย ขอบคุณๆ จริงๆ”
จ้าวซันวางสาย หน้าตามีความสุข
ทางด้านฉินเจียง หลังจากหนีตำรวจมาได้ฉินเจียงจอดรถอยู่ริมทะเล ฉินเจียงยืนพิงรถดื่มเบียร์กระป๋องอย่างเครียดๆ เกาเฟยยืนรักษาความปลอดภัยข้างรถ
“ไอ้ตำรวจพวกนั้น มันมาได้ยังไง ใครไปบอกวะ เกาเฟย”
“ก็จะใครซะอีกละครับ ก็มีอยู่คนเดียว ที่รู้ความเคลื่อนไหวของคุณชายรองตลอดๆ”
“ไอ้จ้าวซัน แต่มันรู้ความเคลื่อนไหวของชั้นยังไง ไม่เข้าใจ”
“จ้าวซันเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เราเห็น”
“แต่อะไรที่เราทำกัน ก็มีแต่ชั้นกับแกที่รู้ แล้วทำไมมันรั่วไปถึงจ้าวซันได้บ่อยๆ”
“ไม่ได้รั่วจากผม ไม่ได้รั่วจากคุณชายรอง มันก็แปลว่ามีสายของมันอยู่ในไอ้พวกคนที่มาติดต่อกับเรานี่แหละ”
“มันต้องการอะไรจากชั้นกันแน่”
“เขาก็พยายามขวางทางเจริญรุ่งเรืองของคุณชายรองทุกทาง ที่จะทำให้คุณชายรองเด่นดี หรือมีเงินเหนือกว่าเขา”
“มันพยายามจัดฉากทำให้คนอื่นเห็น ว่าชั้นห่วย ไม่เข้าท่า เป็นคนไม่มีน้ำยา”
“เพราะความจริง คุณชายรองเหนือกว่ามัน เอ๊ย...เหนือกว่าเขาทุกทางไงครับ”
“แต่ไม่มีใครรู้”
“อีกไม่นานหรอกครับ ทุกคนต้องรู้”
“ยังดีนะ ที่เงินครบ” ฉินเจียงเปิดประตูรถ เปิดกระเป๋า หยิบเงินคีรีรัฐมาชื่นชม “ขอบใจแกนะ เกาเฟย ที่แนะนำให้ชั้นรู้จักไอ้ประเทศหลังเขาโง่ๆ แต่รวยระเบิดขนาดนี้” ฉินเจียงหยิบมาปึกนึง ส่งให้เกาเฟย “อ่ะ แกเอาไปกินขนม ซักปึกสองปึก ฝีมือจริงๆ ที่พาชั้นหนีตำรวจมาได้ ถ้าไม่มีแก ชั้นก็คงแย่ไปนานแล้ว แกมันเพื่อนตายคนเดียวของชั้นจริงๆ เกาเฟย”
เกาเฟยรับเงินไปแล้วจับมือฉินเจียงมามาวางบนหัวตน เพื่อแสดงความภักดีสุดๆ ฉินเจียงซึ้ง
เวลาผ่านไป ที่บาร์เล้าจน์หรู ซูหลิงในชุดราตรียาวผ่าลึก กำลังร้องเพลงภาษาแมนดารินของเติ้งลี่จวิน บนเวที ทำผมทรงเซี่ยงไฮ้โบราณแสกข้างแล้วเป็นลอนๆ ทาปากแดงสด ใส่ต่างหูเพชร มีวงไฟส่องฟอลโล่ ยามเยื้องร่างไปมาเนิบนาบ
แขกนั่งอยู่ตามโต๊ะสลัวๆ มีเพียงโคมแดงเล็กๆ บนโต๊ะล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น บางโต๊ะมีสาวบริการคอยเคลียคลอคิกคัก ฉินเจียงกำลังค่อนข้างเมาเหมือนดื่มไปหลายแก้วแล้ว นั่งคนเดียวที่โซฟาหน้าสุด ชูแก้วแชมเปญให้ซูหลิง
“แก้วนี้ดื่มให้กับ... นักร้องที่สวยเซ็กซี่ และร้องเพลงได้เพราะที่สุดในเกาะฮ่องกง”
ซูหลิงเยื้องกรายลงมาจากเวที ยกอีกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ ชูบ้าง
“แก้วนี้ก็สำหรับท่านประธานบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ที่เก่งและหล่อที่สุดในโลก”
ฉินเจียงหัวเราะชอบใจ ทั้งคู่ชนแก้วกัน มีความสุข ฉินเจียงดึงซูหลิงมานั่งเบียด แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ซูหลิงแปลกใจ ฉินเจียงแบมือ มันคือกล่องเครื่องประดับจิลเวอรี่ ฉินเจียงเปิดออกในนั้นคือสร้อย มีที่ห้อยเป็นเพชร รูปหัวใจเล็กๆ แต่น้ำงาม ซูหลิงร้องอย่างดีใจ ฉินเจียงเอาสวมคอให้
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ ไท้เผ่ง”
“โอกาส ผมได้ธุรกิจใหม่ ขายสินค้าราคาแพง ให้ประเทศด้อยพัฒนาสำเร็จไงล่ะ”
“ประเทศด้อยพัฒนา ตลกจังทำไมไปว่าเค้าแบบนั้นล่ะคะ”
ที่คีรีรัฐ มาทยาธรถือไม้เท้า 4 ขาแบบหัดเดินที่ยกนำไปตั้งข้างหน้าแล้วเกาะ พาตัวเดินไป 1 ก้าว แล้วยก 4 ขานั้นนำไปตั้ง 1 ก้าวข้างหน้าแล้วก้าวตาม โดยมีศิขรนโรดมคอยดูแล บริเวณรอบๆ มีทหารยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ห่างๆ ราชิด จัตุรัส โกศิณ อสุนี เดินกันมาไกลๆ
“โอ้ เจ้าหลวงทรงหัดเดิน แบบนี้อีกไม่นานก็ดำเนินเองได้แล้วสิ”
“กว่าจะทรงดำเนินเองได้ พวกเราคงก่อการสำเร็จไปแล้ว”
อสุนีเดินตามหลังผู้ใหญ่ทั้งสอง สีหน้าไม่สบายใจ ไม่อยากฟัง
“ใช่แล้ว เพราะเราจะขนของจากฮ่องกงเข้ามาเสียทีเดียวในคราวนี้ ทุกท่านก็เห็นแล้วว่าของตัวอย่างที่ข้าเอามาให้ดูเป็นของดีๆ ทั้งนั้นดีกว่าอาวุธในคลังที่กองทัพมีอยู่ราวกะฟ้าดิน”
“เอ่อ..จะมาพูดอะไรกันในเวลานี้ครับ ท่านพ่อ ท่านอา” อสุนีขัดขึ้น ราชิดหันขวับ
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เราจะเดินไปถึงพระองค์อยู่แล้ว จะพูดแบบนี้กันอย่างเผาขน มันจะเป็นอันตรายกับพวกเราได้นะครับ”
เจ้าหลวงมาทยาธรมองเห็นทั้งสี่เดินเข้ามา จึงหันมายิ้มกับศิขรนโรดม
“มากันแล้ว สามทหารเสือ มิตรแท้ของพ่อ...ศิขร...พ่อไม่ห่วงลูกแม้แต่น้อย ที่จะเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตกับคนพวกนี้ ทั้งมีฝีมือแล้วก็จงรักภักดีกับเราอย่างแท้จริง ถ้าไม่ได้พวกเขา ทุกวันนี้พวกเราก็คงเป็นแค่ไม้ประดับอยู่ในคีรีรัฐไปวันๆ ไม่ได้เป็นใหญ่อย่างทุกวันนี้หรอกนะลูก ต่อไปลูกต้องไม่ลืมตอบแทนบุญคุณพวกเค้า และให้อสุนี บุตรชายราชิด ได้เป็นใหญ่เป็นโตที่สุดในสมัยของลูกล่ะ”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ เจ้าหลวง”
ทั้งสี่ข้ามาบังคม และพากันคุกเข่ากับพื้น
“เป็นอย่างไร โกศิณ ไปเมืองไทยและฮ่องกงมา ที่นั่นทุกอย่างเรียบร้อยดี พร้อมที่จะต้อนรับลูกข้าใช่ไหม”
“เรียบร้อยดีพะย่ะค่ะ”
“เสียดาย ข้ามันไม่พร้อมที่จะเดินทางไกล”
“แต่เวลานี้ องค์ชายรัชทายาทก็ทรงพระปรีชายิ่งนัก แล้วยังทรงสิริโฉมอีกด้วย น่าจะเป็นที่ประทับใจของพวกชาวต่างชาติไม่น้อย”
“หม่อมชั้นเอาหมายกำหนดการมาถวายทอดพระเนตรพะย่ะค่ะ รวมทั้งร่างพระราชดำรัสขององค์ศิขรนโรดม ที่จะต้องดำรัสเป็นทางการในที่ต่างๆ”
“ที่จริงเราก็ร่างๆ ของเราเองไว้แล้ว ท่านจอมพลไม่น่าจะลำบาก”
อสุนีสบตาศิขรนโรดม ลอบส่งสายตาระอาๆ พวกผู้ใหญ่แบบรู้ใจกัน
“ศิขรนโรดม ท่านจัตุรัสเป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างประเทศ ลูกให้ท่านชี้แนะน่ะ ถูกต้องแล้ว ไม่งั้นลูกชอบพูด ชอบคิดอะไรล้าหลัง ตามอย่างไอ้ครูแก่นั่นอยู่เรื่อย มันเชยจะตาย อายชาวโลกเขาแย่ ไม่ไหวๆ”
พวกราชิดหัวเราะกัน ประจบเอาใจเจ้าหลวงมาทยาธร ศิขรนโรดมกับอสุนีสบตากันอีก อึดอัดใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านอสุนีถึงกับผงะกับสิ่งที่ผู้เป็นพ่อสั่ง
“อะไรนะ ท่านพ่อจะไม่ให้ลูกไปถวายอารักขาองค์รัชทายาทที่ต่างประเทศ”
“ใช่ ลูกอยู่ที่นี่ คอยดูแลเจ้าหลวง”
“ทำไม”
“ไม่ต้องถาม พ่อจะไม่บอกอะไรลูกอีก เพราะลูกไว้ใจไม่ได้”
“ทำไม พวกพ่อมีแผนจะทำอะไรองค์ชายศิขร งั้นหรือครับ”
“เปล่า แต่มันอาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น โดยที่พวกเราป้องกันไม่ได้ก็ได้”
“ท่านพ่อ”
“เพื่อความปลอดภัยของลูก ลูกอยู่คีรีรัฐนี่ดีที่สุด เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น ลูกจะได้พ้นผิด เพราะเรามีคนที่จะโยนบาปให้ไว้เรียบร้อยแล้ว”
“โยนบาป พ่อจะโยนบาปให้ใคร”
“ใครจะไปรู้ องค์ชายน่านปิงนรเทพที่หนีไปกับพระเทวี และไอ้ภูสินทรที่สาบสูญไป ไม่มีใครหาพบ มันอาจจะเป็นพวกที่มาลอบทำอะไรเลวๆ กับองค์ชายน้อยของเราก็ได้”
“พวกพ่อ จะให้คนพวกนั้น เป็นแพะแทนหรือครับ”
“ช่วยไม่ได้ พวกมันอาจตายไปแล้วก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับองค์ชายน้อย ถ้าเราบอกว่าเป็นฝีมือพวกนั้น ประชาชนก็พร้อมที่จะเชื่อกันอยู่แล้วนี่นา ตั้งแต่วันนี้พ่อขอให้ลูกป่วย ป่วยหนักมากด้วยพ่อจะออกใบลาให้ เข้าใจนะ อย่ามีปัญหา” ราชิดบอกแล้วเดินออกไป อสุนีหน้าซีดเผือด
ศิขรนโรดมควบม้าไปข้างหน้าอย่างเร็ว ทันใดมีม้าอีกตัวตามมา คนขี่ปิดหน้าตา ชุดดำ ศิขรนโรดมหันไป สงสัย ระวังตัว ม้าตัวนั้นเร่งฝีเท้ามาประกบดักหน้า ดักหลัง คนขี่ทำสัญญาณท้าทาย ศิขรนโรดมทำหน้าพร้อมลุย ชะลอม้า รอให้ม้านั้นมาใกล้ แล้วศิขรนโรดมก็กระโดดเข้าล็อคคอคนขี่ม้านั้น รั้งให้ตกกลิ้งลงบนพื้นดินด้วยกัน ปล่อยให้ม้าทั้งสองวิ่งเตลิดกันไป
ศิขรนโรดมรวบตัวคนขี่ม้าไว้ได้และกลิ้งมาด้วยกัน จับตัวคนนั้นพลิกขึ้น กระชากผ้าคลุมหน้าออก
“คิดจะทำอะไรข้า ไอ้วายร้าย”
ศิขรนโรดมเงื้อหมัด แล้วชะงัก เพราะคนๆ นั้น คือมิถิลา มิถิลาเองก็ตกใจ
“หา..องค์ชายรัชทายาท ไม่ใช่พี่อสุนี”
“มิถิลา เจ้า...” ศิขรนโรดมลดหมัด มิถิลาสลัดตัว กลิ้งออกมาจากร่างศิขรนโรดม “ทำไม ทรงม้าของพี่อสุนี หม่อมฉันนึกว่าเป็นพี่ชาย ขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ”
“นี่เจ้ามันบ้าแท้ มิถิลา ทำแบบนี้หากข้าทำเจ้าคอหักตายไป จะว่าอย่างไร”
“แล้วทำไมจะเสด็จไหนพระองค์เดียว ปกติพระองค์ต้องมีใครคอยถวายอารักขาไม่ใช่หรือเพคะ หรือทรงแอบหนีใครๆ มาล่ะเพคะ”
“ทำไม...ใครสั่งให้เจ้าตามจับตาดูข้าอีกคนอย่างนั้นหรือ”
“ทำไมรับสั่งเช่นนั้น หม่อมฉันเข้าใจผิด ว่าทรงเป็นพี่ชายของหม่อมฉัน ทรงแต่งองค์เหมือนทหารราชวัลลภ และขี่ม้าของพี่ เพราะต้องการให้คนที่พบเห็นคิดว่าเป็นพี่หม่อมฉัน ใช่หรือไม่ล่ะเพคะ”
ศิขรนโรดมอึ้ง นั่งลงทำหน้าเซ็ง
ศิขรนโรดมจูงม้ามาผูกไว้ริมลำธาร ข้างม้าของมิถิลา ที่เล็มหญ้าแถวๆ นั้น
“จริงของเจ้า ที่ข้าขโมยม้าของอสุนีออกมา แล้วก็แต่งตัวเหมือนทหาร เพราะถ้าข้าอยากจะไปไหนลำพัง มันช่างเป็นเรื่องใหญ่โต ต้องแจ้งฝ่ายนั้น แผนกนี้ มากมายเหลือเกิน”
“แล้วพี่อสุนีก็รู้เห็นเป็นใจ”
“เปล่าเลย ข้าไม่ได้พบเขามาสองสามวันแล้ว นี่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้ว กลับไม่ได้นัดแนะเตรียมการอะไรกันเลย ดูเหมือนพ่อเจ้าจะใช้งานเขาหนัก”
มิถิลาก้มหน้า หลบตา
“หม่อมฉันไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ทราบความเป็นไปที่นั่นเลย”
“แล้วเจ้าขโมยม้าใครมา เจ้าหนีออกมาจากตำหนักฝ่ายในใช่ไหม แบบนี้เจ้าทำผิดกฎฝ่ายในนี่นา”
“เปล่านะเพคะ”
“โกหก”
“หม่อมชั้นแค่ขอยืม”
“นั่นไง หากเจ้าถูกจับได้ ก็คงถูกทำโทษ”
“อย่าทูลฟ้องนะเพคะ”
“เจ้าคงอยากเป็นชาย เป็นทหารมากสินะ”
“เพคะ”
“ถ้าราชิดมีลูกชายสองคน เขาคงจะน่ากลัวมาก”
“พระองค์ ทรงคิดอย่างไร กับพ่อของหม่อมฉัน”
“ข้าก็นับถือเขามากน่ะสิ ในแผ่นดินนี้ใครจะยิ่งใหญ่เท่าราชิด ตัวเขาประกบติดเจ้าหลวง ลูกชายเขาประกบติดข้า ส่วนเจ้าลูกสาวคนเล็ก ที่เก่งกาจขนาดนี้ก็ประกบติดตัวแม่ข้า พระเทวีแห่งคีรีรัฐ...” ศิขรนโรดมยิ้มเย็น “ครอบครัวเรา หากขาดครอบครัวเจ้าคงจะแย่ ทำอะไรไม่ได้ ไปไม่เป็นกันเลยล่ะ”
มิถิลาหน้าซีดเผือด
อ่านต่อตอนที่ 3