รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ตอนที่ 1
เด็กชายพาทินมองผ่านกระจกใสที่กั้นระหว่างโถงทางเดินกับห้องรวมเด็กทารกแรกเกิด เห็นทารกหลายคน นอนอยู่ในเปลพลาสติก เรียงไปเป็นแถว แต่ละคนจะมีป้ายชื่อเขียนติดไว้ที่แท่นวางเปลให้รู้ใครเป็นใคร
พงศกร ผู้เป็นพ่อ และเป็นอาจารย์ประจำภาคในวิทยาลัยประจำจังหวัดซึ่งกำลังอุ้มพาทิน ชี้ให้ดูน้องสาวแรกเกิด ด้วยสีหน้าท่าทางดีใจมาก
“นั่นไง น้องนอนหลับปุ๋ยเลย น่ารักใช่ไหมล่ะลูก”
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพ่อมา”
พงศกรวางพาทินลง เดินไปที่ห้องทะเบียนที่อยู่ใกล้ๆ พยาบาลในห้องเด็กแรกเกิดเปิดประตูเดินออกจากห้อง เธอเดินไปพลางมองเอกสารที่อยู่ในมือไปพลาง พาทินเดินเตาะแตะเข้าไปในห้องเด็กแรกเกิดที่ประตูเปิดค้างเอาไว้ เด็กน้อยพาทินเดินไปที่แท่นวางเปลพลาสติก เขาเอื้อมมือไปถูกป้ายชื่อที่ติดไว้ที่แท่น มันหล่นลงที่พื้น เขามองและหยิบมันขึ้นมา มองซ้ายมองขวาสับสนประสาเด็กที่ยังไม่ประสีประสา เขาเห็นแท่นข้างๆ มีป้ายแบบ เดียวกันติดไว้ จึงเดินเข้าไปหยิบออกมา มองดูป้ายทั้งคู่ในมือ ป้ายอันหนึ่งหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น เขาเลยโยนอีกอันที่ยังอยู่ในมือทิ้งไป พยาบาลเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นพาทินเดินเตาะแตะ
“อ้าว เข้ามาเล่นในนี้ไม่ได้นะคะ ต้องออกไปแล้วล่ะค่ะ”
พยาบาลเก็บป้ายชื่อที่หล่นขึ้นมา และติดเอาไว้ที่แท่นวางเปลเหมือนเดิม ทว่าเธอวางสลับตำแหน่งมันโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนที่จะอุ้มพาทินเดินออกจากห้องไป พาทินหันไปมองเด็กน้อยคนนั้นที่กำลังหาวอยู่ในเปลอย่างงุนงงและรู้สึกแปลกๆ
หลายปีผ่านไป พาทินเติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาหล่อเหลา อายุ 16 ปี ขณะที่พิชชาเป็นสาวน้อยวัย 14 ปี วันนี้ทั้งสองอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม กำลังขี่จักรยานมุ่งหน้าไปโรงเรียนผ่านท้องทุ่งนา บรรยากาศเขียวขจี
ในห้องวิชาศิลปะของโรงเรียนเขาย้อย ในห้องมีงานปั้นวางกระจายอยู่ตามโต๊ะ และภาพวาดของนักเรียนติดอยู่บนบอร์ดที่ผนัง พาทินนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดของห้องใกล้หน้าต่าง กำลังวาดรูป เขาทำพู่กันตก ก่อนที่จะก้มลงไปเก็บ ประตูหน้าห้องเปิด วรากร เด็กสาวคนหนึ่งสวมแว่น ถักผมเปีย ในมือมีแผ่นกระดาษใบหนึ่ง เดินเข้ามานั่ง ซบหน้าลงบนเก้าอี้ ร้องไห้ ออกมา พาทินได้ยินเสียงเขาเงยหน้ามองไปทิศทางนั้นเห็นวรากรขยำกระดาษในมือทิ้ง
“พาทิน คนใจดำ”
พาทินงงที่ได้ยินชื่อตัวเอง เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย วรากรเบะปากร้องไห้อีก ครู่หนึ่งก็สังเกตเห็นพาทินที่มุมห้อง เธอสะดุ้งเล็กน้อยขยับแว่นลุกขึ้นยืน อายๆ
“พาทิน”
พาทินได้แต่มองงงๆ...ขณะเดียวกัน บริเวณทางเดินนอกห้อง พิชชาเดินมามือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเรียน ส่วนอีกข้างถือกล่องของขวัญสีส้ม เธอมองกล่องในมือด้วยความรู้สึกลำบากใจ
ในห้องเรียน...วรากรยื่นกระดาษจดหมายในมือให้พาทินส่งเสียงเครือ
“เธอขยำจดหมายนี่ทิ้งเหรอ”
“ขอโทษที ฉันไม่รู้ว่าจดหมายใคร”
“แล้วเธอ...” วรากรหยุดนิดนึง “ไม่ชอบฉันเหรอ”
พาทินลำบากใจ เขาเห็นพิชชายืนอยู่หน้าห้อง วรากรหันไปมองตาม ก่อนที่หันกลับไปมองพาทิน
“ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
วรากรมองพาทินที พิชชาที เธอรู้สึกสับสน ก่อนที่จะหันไปขว้างก้อนจดหมายในมือใส่พาทิน วิ่งออกจากห้องไป พาทินหันกลับมาล้างพู่กัน พิชชาที่ยืนมองอยู่พักใหญ่แล้ว ลังเล แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“อะไรอีกล่ะ” พาทินหันมามอง
พิชชาไม่พูดอะไร เธอยื่นกล่องของขวัญในมือให้
“มีคนฝากมาให้”
พาทินรับมันมา โยนลงไปในถังใส่น้ำล้างพู่กันพร้อมต่อว่า
“ชอบเป็นเด็กส่งของเหรอ”
พาทินยิบกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ เดินอารมณ์เสียออกไป พิชชามองตาม ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เด็กสาวอีกสองคนวิ่งเข้ามา สุพรรณีรีบถาม
“นี่เขาว่ายังไงมั่ง”
พิชชาชี้ลงไปในถังน้ำ ทั้งสองคนมองตาม สุพรรณีอึ้ง
“ของขวัญเราเหรอ”
ศิริขวัญไม่ชอบใจ
“อะไรกัน ไม่เปิดดูด้วยซ้ำไป”
ทั้งสองก้มลงไปเก็บของขวัญจากถังน้ำ สุพรรณีเสียใจ
“ใจร้ายชะมัดเลย”
ศิริขวัญเสริม
“นั่นนะซิ”
พิชชามองดูทั้งคู่ แอบยิ้ม สุพรรณีจ๋อยๆไป
“เจ็บใจจังเลยอ่ะ”
พิชชารู้สึกตัว วิ่งออกจากห้องศิลปะ แล้ววิ่งลงบันไดอาคาร เห็นพาทินกำลังจูงจักรยานก็เรียกไว้
“รอเดี๋ยวพี่ทิน พี่ ก็รู้ว่าเค้าขี่จักรยานไม่เก่ง”
พาทินไม่สน ขี่จักรยานออกไป พิชชาเซ็ง หันไปที่จักรยานของตัวเอง
พาทินและพิชชา ขี่จักรยานไปตามทางกลับบ้าน พาทินหันไปมองเธอเป็นระยะๆ พิชชาขี่จักรยานอย่าง เก้ๆ กังๆ พาทินจอดรถรอ ทั้งคู่ลงเดินจูงจักยานแทน...สองคนเดินมาด้วยกันพักใหญ่ โดยไม่พูดกัน พิชชามีท่าทีอึดอัดใจจึงเอ่ยขึ้นก่อน
“ฉันทำเรื่องที่พี่ไม่ชอบอีกแล้วใช่มั้ย บอกตามตรง เค้าก็ไม่ชอบหรอกนะ”
พาทินแอบอมยิ้มกับท่าทีของพิชชา
“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเค้านะ ก็รุ่นพี่เขาขอให้ช่วย ถ้าพี่ไม่ชอบ ทำไมไม่หาแฟนซะ เลยล่ะ บางทีมันน่ารำคาญนะ”
พาทินหันมามองพิชชา เธอรู้สึกตัวว่าบ่นมากไปหน่อย เลยรีบแก้เก้อ
“อะ อะ เปล่านะ ไม่ได้ว่าสักหน่อย”
พาทินหันกลับไปอมยิ้ม
“คราวนี้ พี่อย่าโกรธนานก็แล้วกัน”
พาทินหันมาทำหน้าเข้ม พิชชาหน้าเจื่อนหลบสายตา พาทินค่อยๆยิ้มให้
“คราวนี้ จะยกโทษให้”
พิชชาฉีกยิ้มดีใจ
“ต้องอย่างนั้นสิ”
ทั้งคู่เดินผ่านทุ่งนา พิชชาคาดคั้น
“บอกมานะว่าใคร”
พาทินทำไม่รู้ไม่ชี้
“อะไร”
“ก็ผู้หญิงที่พี่ชอบนะซิ เค้าอยากรู้”
“เงียบเถอะน่า”
“พี่ชอบใครเหรอ”
“ความลับ”
“เค้าจะบอกแม่”
พาทินเสียงดุ
“พิชชา”
“เค้าจะบอก”
“งั้นเป่ายิ้งฉุบดีไหม”
“ก็ได้”
พิชชาบิดนิ้ว บริหารมือไปมา
“พร้อมแล้วล่ะ”
ทั้งสองเป่า ยิ้ง ฉุบกัน
“เป่า ยิ้ง ฉุบ”
พิชชาออกค้อน พาทินออกกระดาษ
“โห่ แพ้อีกแล้ว ทำไมเค้าต้องแพ้ทุกทีเลยอ่ะ” พิชชาบ่นอุบ
พาทินยิ้มพอใจ
“ก็ออกก้อนหินทุกทีนี่ เอ๊ะ...”
พาทินมองฟ้า...ทั้งสองขี่จักรยานฝ่าสายฝนที่กำลังตกลงมาถึงจะเปียกโชก แต่ทั้งคู่ก็ยังสนุกหัวเราะและยิ้มกันได้อยู่
พาทินและพิชชา นั่งยองๆ มองดูสายฝนจากชายคาประตูหน้าบ้านร้าง
“เบื่อจัง เมื่อไหร่จะหยุดซะที” พิชชาบ่น
พาทินมองฟ้า
“เดี๋ยวก็หยุดแล้วล่ะ”
พิชชาจับชายกระโปรงสะบัด
“โอ๊ย เปียกหมดทั้งตัวแล้ว”
พิชชานึกบางอย่างออก เธอลุกขึ้นรูดซิบกระโปรงนักเรียนถอดมันออก เห็นสลิปที่สวมไว้ข้างใน พาทินเห็นเธอทำแบบนั้นก็ตกใจ เขารีบลุกขึ้นเอาตัวบังเธอไว้
“นี่ๆ จะทำอะไร”
พาทินมองซ้าย มองขวา
“ไม่เห็นต้องกลัวเลย แถวนี้ไม่มีใครสักหน่อย เค้าใส่ซับในเอาไว้ด้วย”
พิชชาบิดกระโปรงที่ชุ่มน้ำในมือ
“ซับในเหรอ นี่เริ่มใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่เค้าอยู่ ม.ต้นแล้วนะ”
พิชชาเอากระโปรงนักเรียนไปตากที่อานจักรยาน พาทินอมยิ้ม แอบมองลูกไม้ที่ปลายกระโปรงซับในของเธอ เขาหัวเราะเบาๆ พิชชาหันกลับมาเห็น
“มองอะไร”
พาทินหัวเราะ ไม่ตอบอะไร เขายื่นมือไปรองหยดน้ำฝนที่ตกจากชายคาเล่น พิชชาเห็นเข้าก็เอาอย่าง ยื่นมือไปรับหยดน้ำฝนแบบเดียวกับเขา พาทินยิ้มๆ
“เย็นดี”
“ไหนบอกว่าเดี๋ยวก็หยุดไง”
“เดี่ยวมันก็หยุดเองนั่นแหละ”
ทั้งคู่หัวเราะมีความสุข
ในบ้านวชิรวิทย์...พจนินท์ สระผมให้พิชชา ที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำแล้วถามอย่างสงสัย
“พี่เขามีแฟนเหรอ”
“อืม แต่ไม่ยอมบอกว่าใคร”
พจนินท์ หัวเราะ
“แล้วเราล่ะมีใครหรือเปล่า”
“มีแล้วค่ะ”
พจนินท์ ตาโต
“จริงเหรอ ใครกันน่ะ แม่รู้จักหรือเปล่า”
พิชชาพยักหน้ารับ
“พี่ทินไง”
“โธ่เอ๊ย นี่แน่ะ”
พจนินท์ ใช้มือจี้เอว ทั้งคู่หัวเราะ ก่อนที่พิชชาจะแสดงอาการเจ็บ จึงหยุดมือมองเข้าไปในอ่างน้ำ
“อุ้ย เป็นสาวแล้วนะ”
“แม่อ่ะ”
พิชชาอาย หันมามองแม่แล้วดีดน้ำใส่พลางหัวเราะ
“แนะอาย”
“มา หนูจะสระให้แม่บ้าง”
พจนินท์ หมุนตัวหันหลังให้
“เมื่อไหร่ที่หนูมีแฟน ต้องบอกให้แม่รู้นะ”
“แน่นอนค่ะ” พิชชาเอามือเขี่ยใบติ่งหูแม่ “แม่ต้องอายุยืนมากๆ เลย”
“ทำไมเหรอ”
“ก็ติ่งหูใหญ่ขนาดนี้”
พจนินท์ จับติ่งหูตัวเอง
“ก็เหมือนของคุณยายแหละลูก”
“เหรอคะ”
“ใช่”
พิชชา จับติ่งหูตัวเองบ้าง
“แต่ของหนูเล็กนิดเดียวเอง”
พจนินท์ หันกลับมามอง
“จริงๆ เหรอ ไหนขอแม่ดูซิ มันเล็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”
พิชชาทำหน้าเศร้า
“ไม่เห็นเหมือนแม่เลย แม่เก็บหนูมาจากข้างถนนหรือเปล่า”
พจนินท์ ใช้นิ้วชี้ดีดที่หน้าผากพิชชาเบาๆ
“เด็กโง่”
ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิกกัน
บนโต๊ะอาหาร มีกับข้าววางอยู่เต็มโต๊ะ พิชชาตักข้าวเข้าปากเคี้ยว สีหน้าเบื่อ
“โอ๊ย...” เธอเอามือลูบท้อง “ไม่ไหวแล้ว” พิชชาหันไปมองพจนินท์ ที่นั่งอยู่ข้างๆ “แม่หนูว่าหนูกินเยอะไปแล้วนะเนี่ย”
“กินเข้าไปเถอะ ช่วงนี้หนูต้องกินเข้าไปเพื่อบำรุงให้เต็มที่รู้ไหม”
พงศกรกับพาทินเงยหน้ามองพิชชา
“บำรุงทำไมเหรอ” พงศกรถามอย่างไม่เข้าใจ
พิชชาหน้าตื่น ที่อยู่ๆ พจนินท์ ก็พูดออกมาแบบนั้น เธอกวาดตามองพงศกรและพาทิน
“แม่คะ” พิชชาอายๆ
พงศกรถามย้ำ
“มีอะไร”
“พ่อ ลูกกำลังเป็นสาวแล้วนะ”
พาทินพอรู้ความหมายของสิ่งที่แม่พูด เขาแกล้งถามต่อ
“มีอะไรเหรอฮะ”
พจนินท์อมยิ้ม พิชชาดึงเสื้อแม่ส่ายหน้าไม่ให้พูด
“แม่”
“หน้าอกขึ้นแล้ว” พจนินท์ บอกขำๆ
พงศกรทวนคำ
“มีหน้าอก”
“หน้าอกเหรอ ยังไง”
พาทินวางช้อนในมือ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พิชชา ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เช่นกัน เดินออกจากโต๊ะ ก่อนจะส่งเสียงห้าม
“พี่ไม่ต้องมานะ”
พาทินยิ้มๆ
“อายอะไร”
“นิสัยไม่ดี”
พาทินแกล้งแหย่พิชชา เดินตามเธอ พิชชาอายวิ่งหนีขึ้นห้อง
“แม่คะ”
พจนินท์ ปราม
“อย่าแกล้งน้องสิ”
พาทินหยุดตาม หัวเราะที่แกล้งน้องได้ บรรยากาศของครอบครัวเต็มไปด้วยความสุข
อ่านต่อหน้า 2
รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ค่ำนั้น ทุกคนนั่งที่โต๊ะเหล็กกลมที่สนาม นั่งกินของหวานหลังอาหาร หยอกล้อตามประสาครอบครัว ทุกคนมีสีหน้าเบิกบานมีความสุข
เช้าตรู่...พาทินและพิชชา ในชุดนักเรียนขี่จักรมาตามทาง พาทินใช้มือข้างหนึ่งจับจักรยานของพิชชาไว้ พิชชารีบบอก
“อย่าเพิ่งปล่อยนะ”
พาทินค่อยๆ ปล่อยมือจากจักรยานของเธอ พิชชากลัวๆ
“อย่าเพิ่งนะพี่”
“ปล่อยล่ะนะ”
พาทินปั่นจักรยานห่างออกไป พิชชาหน้าเคร่งเครียดพยายามประคองตัว แม้ว่าจักรยานจะส่ายไปมาอยู่
“ขี่ได้แล้วนี่”
พิชชาร้องลั่น
“เดี๋ยวเค้าจะไปฟ้องแม่ด้วย”
“เชิญเลย ก็ขี่ได้แล้วนี่น่า”
“ก็เค้ากลัวนี่”
“เร็วเข้า ตามให้ทันนะ”
พาทินเร่งปั่นห่างออกไป
“รอด้วย”
พิชชายังปั่นจักรยาน ส่ายซ้าย ส่ายขวา เก้ๆ กังๆ ตามพาทิน ท่ามกลางบรรยากาศสองข้างทางที่สวยงาม
พาทินและพิชชา จูงจักรยาน ท่ามกลางนักเรียนเดินบ้าง จูงจักรยานบ้าง กำลังเดินเข้าโรงเรียน พิชชากำลังซ้อมสิ่งที่ต้องไปพูดหน้าชั้นเรียนให้พาทินฟัง
“พี่ฟังนะ ข้าพเจ้าไม่ขอรับประกันใดๆ ทั้งสิ้น ว่าทุกคนจะมีการบ้านน้อยลง แต่ถ้าข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง ข้าพเจ้าจะทำดีที่สุดเพื่อห้องนี้”
“พี่ต้องบอกว่ามันก็ใช้ได้นะ เธอต้องคิดแบบนี้ใช่ไหม”
พิชชาค้อนพาทินเพราะเขารู้ทัน
“ฉันไม่ออกความเห็นจะดีกว่ามั้ง พี่ก็คิดแบบนี้”
“พี่ต้องอิจฉา ถ้าฉันชนะ” เขากำหมัดชูขึ้น “พี่รู้เธอก็ต้องคิดแบบนี้”
“เธอต้องแพ้ยายแพน แน่นอน พี่ต้องคิดแบบนี้”
พาทินงงกับชื่อที่พิชชายกขึ้นมาอ้าง
“แพนไหน”
พิชชาทำหน้าหมันไส้เล็กๆ
“คู่แข่งของเค้าไง”
พาทินกังวล
“คู่แข่งเหรอ...เขารังแกเธอหรือเปล่า”
พิชชายิ้ม ภูมิใจส่ายหน้าปฎิเสธ
“เปล่าซะหน่อย”
พาทินรู้สึกยังกังวลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ
แพนและสุนิสายืนคุยกันที่ทางเดินหน้าห้องเรียนศิลปะ พาทินเดินมาตามทาง เมื่อเห็นพาทินกำลังเดินเข้าห้อง แพนจูงมือสุนิสาเดินเข้าไปหาเขา
“พี่พาทิน”
พาทินชะงักหยุดเดิน
“มีอะไรเหรอ”
พาทินเดินเข้าห้องศิลปะ แพนและสุนิสาเดินตามไป
“มีเรื่องจะขอร้องรุ่นพี่หน่อยค่ะ ฉันชอบที่รุ่นพี่วาดมากเลยล่ะ รูปที่แขวนตรงประตู”
พาทินถามนิ่งๆ
“แล้วไงเหรอ”
แพนอ้อน
“ช่วยวาดให้ฉันสักรูปได้ไหม ฉันอยากเอาไปประกอบกับบทกลอนที่จะส่งประกวดน่ะค่ะ”
พาทินที่กำลังเปิดหน้าต่างของห้อง หันมามองแพน
“เราเคยรู้จักกันเหรอ”
แพนหน้าจ๋อยลงทันทีเสียงอ่อยลง
“ไม่รู้จักค่ะ”
“แล้วทำไมฉันต้องช่วยเธอด้วย”
พาทินเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำของเขา แพนรู้สึกผิดหวัง
“ฉันไม่ว่างหรอก เข้าใจนะ”
แพนรู้สึกโมโหกับท่าทีของพาทินที่แสดงกับเธอ เธอวิ่งออกไป สุนิสารีบตาม
“แพน รอด้วย”
พาทินฉุกคิดเรื่องชื่อของเธอ เขาหันกลับไปมองทั้งคู่
“เดี่ยว”
สุนิสาหยุดที่ประตูหันกลับมามองเขา
“เขาชื่อแพนเหรอ”
สุนิสาน้ำเสียงเคืองแทนเพื่อน
“ใช่”
“ห้อง ม.1/2 เหรอ”
สุนิสาพยักหน้ารับ
นักเรียนทุกคนนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ฟังครูประภัทสร ครูประจำชั้นที่กำลังนับคะแนนการเลือกหัวหน้าห้อง ครูขานชื่อของพิชชาและแพน สลับกันไปตามใบคะแนนที่หยิบขึ้นมา นักเรียนคนหนึ่งเขียนคะแนนที่ คุณครูนับลงบนกระดานดำ
“อันนี้ใบสุดท้ายแล้ว” ครูประภัทสรคลี่กระดาษในมือ “พิชชา” ครูหันไปมองกระดานดำข้างหลังดู
คะแนนที่ขีดเอาไว้ “เอาล่ะ จากการนับคะแนน พิชชาได้ยี่สิบเก้า ส่วนคุณัญญาได้ไปสิบหกเสียง ตกลงหัวหน้าห้องก็คือ พิชชา”
พิชชาดีใจ เพื่อนๆ ร่วมมายินดี ส่วนแพนเครียด ผิดหวังที่แพ้พิชชา ครูประภัทสรประกาศ
“พิชชาเป็นหัวหน้าห้อง ส่วนคุณัญญาก็เป็นรองหัวหน้า ปรบมือให้เพื่อนหน่อยจ๊ะ”
นักเรียนทุกคนปรบมือยินดี พิชชาและแพนลุกขึ้นค้อมหัวให้เพื่อนๆ
“ครูยังมีข่าวดีจะประกาศอีกเรื่องหนึ่ง ผลสอบครั้งแรกของเทอมนี้ ห้องของเราได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งเลย”
นักเรียนทุกคนส่งเสียงและปรบมือดีใจ คุณครูยกมือจุ๊ปากให้เงียบเสียง
“โดยเฉพาะคุณัญญา สอบได้ เอ ทุกวิชา ยินดีด้วยนะจ๊ะ”
แพนดีใจแบบฝืนๆ
บ้านของสุนทรีอยู่ใกล้ๆ บริเวณท่าเรือประมง เป็นบ้านเช่าเล็กๆ เปิดขายข้าวแกง ดูซอมซ่อ สุนทรีกำลังต้มแกงอยู่ที่หลังบ้าน แพนเดินเข้ามาในร้าน สุนทรีได้ยินเสียง เธอร้องทัก
“เฮ้ยกลับมาแล้ว ดูหน้าร้านให้หน่อย เสร็จแล้ว แม่จะออกไปซื้อของหน่อย”
แพนเซ็งที่แม่รู้ทัน เธอวางกระเป๋าไว้ที่ข้างบันได ดึงเสื้อที่สอดในกระโปรงออก นั่งเฝ้าหน้าร้านมองคนที่เดินผ่านหน้าร้าน
ช่วงเย็น แพนนั่งทำบัญชีกับแม่
“กำไรไม่มีเลยวันนี้” สุนทรีบ่นๆ
ค่ำนั้น แพนและสุนทรี นอนอยู่บนเสื่อที่ปูอยู่บนพื้นทับด้วยที่นอนแบนๆ สุนทรีนอนก่ายหน้าผากคิดอะไรอยู่ในหัว
“แม่...”
“หือ”
แพนคิด ไม่แน่ใจว่าจะพูดดีไหม
“หนูสอบได้ เอ ทุกวิชา”
สุนทรีตามองเพดานไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“ก็ดีแล้ว...แต่ฉันไม่มีอะไรจะให้นะ”
แพนถอนใจ
“หนูก็ไม่ได้จะขออะไร แค่อยากบอกให้แม่รู้”
สุนทรีจับน้ำเสียงน้อยใจของแพนได้ เธอหันกลับมามองลูกสาวที่หันข้างให้ สุนทรีมองด้วยความเห็นใจ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้มาก
เช้าวันใหม่...ครูประภัทสร ยืนบอกข่าวต่างๆ ของโรงเรียนให้นักเรียนรับทราบ
“ในเดือนหน้านี้จะมีงานประจำปีของโรงเรียน ทุกคนรู้แล้วนะ ห้องของเราก็จะมีกิจกรรมเข้าร่วมด้วยนะจะ ห้องของเราจะส่งบทกลอนเข้าประกวด”
พิชชาและเพื่อนๆ ขานรับคำครู
“ครูคิดว่าทั้งพิชชาและคุณัญญามีทักษะที่ดี”
พิชชาและแพนยิ้มรับคำชม
“แต่คุณัญญาเคยลงประกวดไปในเทอมที่แล้ว ครูเลยอยากลองให้พิชชาเป็นตัวแทนของห้องดูบ้าง”
แพนหน้าเสีย พิชชาหันไปเห็นสายตาของแพนที่มองเธออย่างไม่พอใจนัก ก็เลยทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกลำบากใจ ครูประภัทสรหันไปหาแพน
“โอเคไหม”
แพนรับคำทั้งที่ยังไม่พอใจอยู่
“ค่ะ”
“อีกอย่าง พิชชา ยังมีพี่ชายมาช่วยวาดภาพประกอบให้ด้วยอีก”
ทั้งห้องปรบมือดีใจ พิชชาดูภูมิใจเมื่อครูพูดถึงพี่ชาย ส่วนแพนไม่พอใจที่พิชชาถูกชื่นชมไปทุกอย่าง
นักเรียนทั้งห้องกำลังเปลี่ยนเครื่องแบบนักเรียนเป็นชุดพละศึกษา เสื้อผ้าที่ถูกผลัดออก กองอยู่บนโต๊ะของนักเรียนแต่ละคน พิชชาหยิบกระโปรงซับในของเธอคลี่ออกและกำลังพับ กิ่งเทียนเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอหันมาเห็นกระโปรงนั้น
“กระโปรงซับในของเธอสวยจัง”
“เหรอ”
“ฉันอยากมีแบบนี้บ้างจังเลย”
แพนที่นั่งหงอย ได้ยินก็หันไปมอง สุนิสาและทัศนีย์เพื่อนสนิทของแพนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สุนิสาพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“พิชชาทำไมถึงได้เป็นหัวหน้า ทั้งๆ ที่แพนสอบได้ที่หนึ่ง”
กิ่งเทียนแทรกขึ้น
“ได้คะแนนเสียงข้างมาก ก็ต้องได้เป็นหัวหน้าห้องซิ”
สุนิสามองหน้า
“กิ่ง เธออย่างยุ่งดีกว่า เป็นคนรับใช้เขาหรือยังไง”
กิ่งเทียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ โมโห
“ว่าไงนะ”
ทัศนีย์เยาะ
“ได้ลงประกวดบทกลอน เพราะบารมีของพี่เจ้าชายของเธอ ดีจังเลยนะ”
พิชชารู้สึกโกรธที่พาดพิงพี่ชาย เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็ข่มความรู้สึกนั้นไว้ หันไปมองทั้งสองคน ทั้งคู่เห็นสายตาเอาจริงของพิชชาเลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ พิชชาเปลี่ยนท่าที ยิ้มให้
“นั่นนะซิ ฉันรู้สึกดีมากๆ เลย เพราะถ้าพี่ของฉันเป็นเจ้าชาย ฉันก็เป็นเจ้าหญิงด้วยนะซิ ขอบใจมากที่ยกย่องให้ฉันเป็นเจ้าหญิง”
กิ่งเทียนเสริม
“จริงด้วย พี่ของเธอเหมาะจะเป็นเจ้าชายจริงๆ ส่วนฉันก็เป็นพระชายาผู้เลอโฉม”
เสียงโห่ของเพื่อนหลายๆ คนดังขรม แต่ทั้งพิชชาและกิ่งเทียน ก็หัวเราะตามเสียงโห่นั้น พิชชาเดินเข้าไปหาแพนที่นั่งฟุบกับโต๊ะ พิชชายื่นมือให้
“เรามาร่วมมือกันดีกว่าน่า ถ้าเธอมีอะไรจะพูด ก็น่าจะบอกออกมาเอง ฉันยินดีที่จะรับฟังอยู่แล้ว”
แพนมองพิชชาแต่ไม่พูดอะไร เธอหันไปมองทางอื่น พิชชารู้สึกจนใจ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ
คุณครูเป่านกหวีดพร้อมกับโยนลูกวอลเลย์บอลส่งให้พิชชาเปิดเกม เธอและเพื่อนๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน แพนนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ร้องไห้เสียใจกับเรื่องของตัวเองเมื่อเปรียบเทียบกับพิชชา
พิชชาเดินเข้าห้องเรียน เพื่อจะเปลี่ยนชุดกลับ เธอหยิบเสื้อผ้าที่พับเอาไว้บนโต๊ะเรียนออกมารู้สึกว่ามีสิ่งที่ขาดหายไป กิ่งเทียนวิ่งเข้ามาหา
“พิชชา กระโปรงซับในของเธอมันไปห้อยอยู่บนต้นไม้ ออกไปดูเร็วเข้า”
กิ่งเทียนดึงมือพิชชาชา จูงวิ่งออกจากห้องเรียน...นักเรียนกลุ่มใหญ่ทั้งหญิงชาย ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ส่งเสียงวิจารณ์และพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พิชชากับกิ่งเทียนวิ่งมาถึง บนต้นไม้ซับในของพิชชาถูกแขวนอยู่สูง มีตัวหนังสือเขียนบอกเอาไว้ว่าเป็นของพิชชาชั้น ม.1/2 กิ่งเทียนพาพิชชาแหวกกลุ่มนักเรียนเข้ามา พิชชามองดูรู้สึกโกรธ กิ่งเทียนโมโหแทนเพื่อน
“ฝีมือของยายแพน แน่เลย ฉันจะไปบอกคุณครู”
พิชชาดึงเธอเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก”
พิชชานิ่งคิดหาทาง เธอเดินไปที่ต้นไม้ โหนกิ่งที่ใกล้สุด ดึงตีวขึ้นไปบนต้นไม้ ท่ามกลางสายตาของนักเรียนทั้งหมด กิ่งเทียนหน้าตื่น
“พิชชา ทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็ตกลงมาเจ็บตัวหรอก ลงมาเถอะ”
พิชชายังคงค่อยๆ ปีนป่ายไปทีละกิ่งๆ นักเรียนบนอาคารเรียนรอบๆ เห็นการกระทำของพิชชา ต่างก็มองดูอย่างสนใจ บ้างก็ส่งเสียงเชียร์ บ้างก็ร้องเตือน
พาทิน ออกมามองที่หน้าต่างห้องเรียนตามเสียงของเพื่อนๆ เพื่อนบอกพาทิน
“เฮ้ย นั่นน้องนายไม่ใช่เหรอ”
พาทินทั้งงง แปลกใจ และก็เป็นห่วงพิชชา เขารีบวิ่งออกจากห้องเรียนไปในทันที
อ่านต่อหน้า 3
รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
พิชชายังปีนไป จนเกือบจะถึงกิ่งที่กระโปรงซับในของเธอถูกแขวนเอาไว้ ท่ามกลางเสียงของนักเรียนที่ส่งเสียงอื้ออึง พาทินวิ่งมาถึงโคนต้นไม้ มองดูพิชชาอย่างเป็นห่วง
พิชชาเอื้อมมือออกไป พยายามคว้ากระโปรงนั้นกลับมา แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึง
พาทินมองดูอย่างใจหายใจคว่ำ นักเรียนที่มองดูอยู่ก็ลุ้นกันเต็มที่ พิชชาพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเธอก็คว้าเอามันกลับมาได้ กลุ่มนักเรียนที่ยืนดู รอลุ้นก็ส่งเสียงเฮ ปรบมือดีใจ พิชชาโบกกระโปรงในมือเหมือนเป็นธงแห่งชัยชนะ ให้เพื่อนนักเรียนมีเพียงพาทินเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกยินดีกับสิ่งที่พิชชาทำในครั้งนี้
พิชชากับพาทินเดินจูงจักรยาน กิ่งเทียนเดินตัวเปล่า ทั้งสามเดินออกจากรั้วโรงเรียน พาทินมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ พิชชาหันมาถาม
“พี่โมโหเหรอ ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะ”
กิ่งเทียนยังโกรธไม่หาย
“เป็นฉันๆ ก็โมโห เธอไม่ต้องไปต่อว่าเขานะ”
“พี่คะ”
พาทินถามเสียงเข้ม
“รู้ตัวไหมว่าใครเป็นคนทำ”
“เค้าไม่รู้หรอก”
กิ่งเทียนแค้นๆ
“ต้องเป็น ยายแพนแน่ๆ เลย ยายนี่คอยหาเรื่องเธออยู่เรื่อยเลย”
พาทินสะดุดกับชื่อของแพนที่ได้ยินอีก
“แพนเหรอ”
พิชชาแย้ง
“ไม่ใช่เขาหรอกน่า”
กิ่งเทียนไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะ มันต้องเป็นยายนั่นอยู่แล้วล่ะ”
พาทินเห็นแพนที่ยืนคุยกับเพื่อนที่ตู้โทรศัพท์ เขาขึ้นจักรยานปั่นตรงเข้าไปหาเธอ พิชชาดุเพื่อน
“เงียบเถอะน่ากิ่ง”
“พี่เธอไม่รู้จักยายนั่นหรอก”
ทั้งคู่หันมาเห็นพาทินปั่นจักรยานออกไปแล้ว กิ่งเทียนหน้าเหวอ
“อ้าว รู้จักหรอกเหรอ”
พิชชากลัวเรื่องจะบานปลาย เธอรีบขึ้นจักรยานแล้วปั่นตามหลังไป
“พี่”
พิชชาถีบจักรยานอย่างเก้ๆ กังๆ รถบรรทุกเล็กคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาพอดี แพนเห็นรถคันนั้นเลี้ยวปาดหน้าจักรยานของพิชชา เธอตกใจ กิ่งเทียนร้องลั่น
“พิชชา”
พาทินได้ยินเสียงเรียกพิชชาของกิ่งเทียน เขาหยุดจักรยานหันกลับไปมอง
“พิชชา”
พาทินทิ้งจักรยานวิ่งเข้าไปหาพิชชาที่นอนบนพื้นถนน ข้างๆจักรยาน
พาทินนั่งซึมอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พงศกรและพจนินท์ วิ่งมาถึงพอดี
“พิชชาอยู่ไหน”พจนินท์ ถามอย่างร้อนใจ
พาทินลุกขึ้น เขาพูดอะไรไม่ออก น้ำตาไหล พงศกรและพจนินท์ ร้อนใจ ที่เขาไม่ตอบอะไร
“ผมผิดเองครับ น่าจะรอน้องขี่จักรยานตามมา” พาทินสะอื้น “ถ้าผมรอ ก็คงไม่เป็นแบบนี้ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด ถ้าน้องเป็นอะไรไป แล้วผมจะทำยังไงดี”
พจนินท์ เช็ดน้ำตาให้แล้วดึงพาทินเข้ามาปลอบ
สุนทรีเตรียมทำกับข้าวไว้สำหรับขายในวันรุ่งขึ้น แพนนั่งเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ เหม่อคิดสีหน้าไม่ค่อยดีนัก สุนทรีสังเกตเห็น
“รีบทำเข้าสิ มัวแต่ใจลอยไปไหนต่อไหน แล้วนี่มีการบ้านหรือเปล่า”
แพนได้สติ เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ถอนใจ
“วันนี้ เป็นอะไร”
“เปล่า” มือแพนยังคงทำ แต่ใจไม่ได้จดจ่อ “แม่...ถ้าเราไม่ได้ลงมือทุบหัวปลาแต่เป็นสาเหตุให้มันถูกฆ่า เราจะบาปไหม”
สุนทรีแปลกใจที่อยู่ดีๆ แพนก็มีท่าทีแบบนั้น เธอหยุดมือมองลูกสาว
“ไปทำอะไรมาเนี่ย”
“เปล่านะ แค่อยากรู้”
สุนทรียังคงสงสัย หันกลับไปทำงานต่อ
“ถ้าไม่เจตนาก็คงบาปน้อยหน่อย”
แพนท่าทีหนักใจ
“ก็ยังคงบาปอยู่ใช่ไหม”
“คงงั้นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
แพนรู้สึกผิดเมื่อได้ยินคำตอบของแม่
หมอดูรายละเอียดเอกสารยินยอมให้ผ่าตัด พงศกรถามเสียงเครียดเป็นห่วงพิชชา
“หมอครับ ใช้เวลานานไหมครับ”
“ไม่มีอะไรต้องห่วงนะครับ จะมีก็แค่เรื่องมีแผลเป็นเล็กๆ นะครับ ต้องขอเลือดทางคุณเอาไว้ เผื่อในกรณีที่คนไข้อาจจะเสียเลือดมาก”
พจนินท์ รีบบอก
“เอาของฉันไปใช้ได้เลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เอาของผมดีกว่า”
“ของคุณพงศกรเป็นกรุ๊ป บีใช่ไหมครับ”
พงศกรและพจนินท์ งง ต่างมองหน้ากันและกัน หมอเห็นท่าทีทั้งคู่ก็แปลกใจ เขามองดูเอกสารอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ลูกสาวพวกคุณ มีเลือดกรุ๊ป บี”
“คงไม่ใช่หรอกครับ เป็นกรุ๊ป โอ พวกเราทั้งคู่ก็กรุ๊ป โอ ครับ”
หมอสงสัย
“เอ๊ะ พวกคุณแน่ใจหรือเปล่าครับ เพราะถ้าอย่างนั้นลูกสาวของพวกคุณก็เป็นกรุ๊ป บี ไม่ได้แน่ๆ”
หมอเห็นทั้งคู่ลังเล และไม่แน่ใจเรื่องที่ได้รู้
“ผมว่า พวกคุณไปเจาะเลือดตรวจ เพื่อความแน่ใจดีกว่า”
พจนินท์ งงๆไม่เข้าใจ
“หมอ หมายความว่ายังไงคะ”
พงศกรกับพจนินท์ ต่างมองหน้ากัน สับสนกับรายละเอียดที่หมอยืนยัน
พงศกรกับพจนินท์ นอนบนเตียงในห้องตรวจเลือด พยาบาลใช้เข็มดูดตัวอย่างเลือด พงศกรหันไปมองพ่อ สายตาสงสัย
เจ้าหน้าที่ห้องตรวจ เอาเอกสารผลตรวจเดินไปหา พงศกรกับพจนินท์ ที่รอฟังอยู่
“ได้ผลตรวจเลือดแล้วครับ คุณทั้งคู่มีเลือดกรุ๊ป โอ ครับ”
พงศกรหันไปมองพจนินท์
“ถ้าเราสองคนกรุ๊ป โอ ลูกของเราก็เป็น บี ไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ไม่มีข้อยกเว้นใช่ไหม”
“ครับ ไม่มีทางเป็นไปได้”
พจนินท์ ตกใจ เธอทรุดตัวหมดแรงกับความจริงที่รู้
พงศกรกับพจนินท์ เดินเข้ามาหา พาทินยังคงนั่งอยู่หน้าห้อง เขาลุกขึ้นถามเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งคู่
“มีอะไรเหรอครับ พิชชาเป็นอะไรเหรอครับ”
พงศกรกับพจนินท์ ไม่ได้เตรียมตัวที่จะหาคำอธิบายให้เขา พจนินท์นั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง
“ไม่มีอะไรหรอก คอยให้หมอผ่าตัดเสร็จก่อนเถอะ”
พงศกรมองพจนินท์ เขานั่งลงข้างๆ เธอ พาทินเห็นท่าทีของทั้งคู่ ก็ได้แต่สงสัย ทั้งหมดได้แต่นั่งรอการผ่าตัดให้เสร็จสิ้นลง
ดึกคืนนั้น พงศกรขับรถพาพจนินท์ กลับบ้าน พจนินท์ นั่งเงียบไปตลอดทาง มีความสงสัยต่างๆ นาๆ อยู่ในใจ พงศกรเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน พงศกรจอดรถข้างทาง
“แม่ พ่อว่าเราต้องคุยกันหน่อย”
พจนินท์ กังวล ไม่ได้สนใจสิ่งที่พงศกรพูด
“ฉันควรจะอยู่ดูลูก ถ้าพื้นขึ้นมาแล้วไม่เจอฉันล่ะก็...ให้ฉันกลับที่โรงพยาบาลดีกว่า คุณกลับไปเอาเสื้อผ้า”
“เราต้องคุยกัน”
“คุยเรื่องอะไร ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุย”
พงศกรนิ่งคิด ลังเล
“เรื่องกรุ๊ปเลือดของลูก เราทั้งคู่มีเลือดกรุ๊ป โอ”
พจนินท์ หันกลับไปมองพงศกร รู้สึกว่าคำพูดของเขามีนัยยะบางอย่าง
“แล้วไงคะ คุณไม่รู้กรุ๊ปเลือดตัวเองเหรอ”
พงศกรถอนใจ
“แม่ พิชชาเลือดกรุ๊ป บี นะ”
พจนินท์ น้ำตาคลอ
“แล้วไง คุณจะพูดอะไรแน่”
“พิชชาอาจจะไม่ใช่ลูกเราก็ได้”
พจนินท์ นิ่งคิด เธอไม่อยากยอมรับ
“ไม่จริง”
พงศกรมีท่าทีหนักใจไม่แพ้กัน
พิชชานอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด พาทินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
“มองเธอนอนแบบนี้ พี่กลัวว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก” เขาจับมือเธอ “เจ็บไหม พี่เสียใจที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัว”
“คราวนี้ อโหสิให้”
พาทินหันไปมองพิชชา เธอลืมตาขึ้นมองเขา พาทินยิ้ม พิชชาหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ถ้าเค้าฟื้นขึ้นมา พี่คงไม่ขอโทษเค้าง่ายๆ สินะ”
พาทินหมันไส้
“รู้ได้ยังไง”
พิชชาทำหน้าเซ็งที่พาทินรู้ทันไปหมด เธอหยิบแก้วน้ำข้างเตียง พาทินรินน้ำให้
“พ่อกับแม่คงเป็นห่วง เค้าน่าดูเลย”
“แหงอยู่แล้ว แม่กลับไปเอาเสื้อผ้า ตอนเช้าถึงจะมา”
พิชชายกแก้วขึ้นดื่ม
“แล้วพี่ล่ะ”
“พี่จะปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่า พี่เป็นห่วงฉันไหม”
พาทินยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไม่ ไม่เลยสักนิด”
พิชชาเซ็ง คิดว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจกว่านี้ เธอล้มตัวลงนอนงอนๆ
“นิสัยไม่ดี”
พาทินดีใจที่เธองอน แสดงว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก
“พี่ น่ะเหมือนใจมันหยุดเต้นไปเลย”
พิชชายิ้มออก เธอเอามือจับหัวของพาทินลูบเบาๆ
“งั้น เค้าอโหสิให้”
พาทินปัดมือเธอออก
“เอาใหญ่แล้วนะเรา"
พิชชาแกล้งมารยา
“เจ็บอ่ะ จะฟ้องแม่ด้วย”
พิชชา งอนพลิกตัวหันหนี พาทินยิ้ม
พงศกรกับพจนินท์ นอนอยู่บนเตียง ทั้งคู่ข่มตาให้หลับไม่ได้ กังวลเรื่องความจริงของพิชชา
“ยังไง พิชชาก็เป็นลูกของเรา ต้องมีอะไรสับสนแน่ เพราะพิชชาเป็นลูกของฉัน”พจนินท์พูดขึ้น
“แต่ถ้าเกิด ไม่ใช่ล่ะ”
พจนินท์ กังวลหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินสิ่งที่สามีพูด
“แล้ว ลูกของเรา อยู่ที่ไหนล่ะ...แม่”
พจนินท์ พลิกตัวหนีไม่อยากรับฟัง
“ฉันไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ไม่ต้องมาบอกว่าคุณคิดยังไง ฉันไม่อยากฟัง”
พงศกรหนักใจในท่าทีของพจนินท์ เขาเองก็หาทางออกไม่เจอเช่นกัน
เช้าวันต่อมา พงศกรมาที่โรงพยาบาลเล็กๆ ดั้งเดิมที่อยู่ในเขตอำเภอ พ่อนั่งอยู่ข้างๆ หมอที่กำลังดูเอกสารหลักฐานทำคลอด
“วันนั้นมีคุณแม่มาคลอดบุตร อยู่สองราย คือคุณพจนินท์ กับ คุณสุนทรี ตอนแรกเกิด เราได้ตรวจเลือดของทารกทั้งคู่แล้ว บุตรของ คุณพจนินท์ เป็นกรุ๊ป โอ ส่วนบุตรของ คุณสุนทรีเป็นเลือดกรุ๊ป บี ครับ”
“ลูกผมเลือดกรุ๊ป โอ เหรอครับ”
“ครับ ตามทะเบียนประวัติ ไม่ผิดแน่ แต่ถ้าลูกคุณมีเลือดเป็นกรุ๊ป บี ล่ะก็ คงมีการสลับตัวเด็กแน่ๆ เลย”
พงศกรไม่คิดว่าสิ่งที่เขากังวลจะกลายเป็นจริง เขาโมโหมากขึ้น เมื่อหมอบอกถึงความเป็นไปได้ เขาคว้าคอหมอเขย่าไปมาด้วยความโกรธ พยาบาลวิ่งเข้ามาห้าม เขาได้สติ พักหนึ่งก็ร้องไห้ออกมา
พจนินท์ ที่ยังสวมชุดนอน เลือกเสื้อผ้าของพิชชาจากตู้เสื้อผ้าพับใส่กระเป๋า เธอหยิบเสื้อตัวโปรดของเธอขึ้นมาลูบด้วยความทะนุถนอม น้ำตาไหล
พงศกรแอบยืนมองพจนินท์ ผ่านประตูที่แง้มอยู่ ตัดสินใจบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 4
รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะที่แพนกำลังเดินไปโรงเรียน ระหว่างทางเธอ เห็นพาทินที่มาดักรอพบ เธอแปลกใจ พาทินเดินเข้าไปหา
“ฉันจะวาดรูปประกอบบทกลอนที่เธอจะส่งประกวดให้”
แพนแปลกใจ
“ทำไมล่ะ”
“เธอชอบรูปที่ฉันวาดไม่ใช่เหรอ”
แพนยิ้มเยาะ
“พิชชาขอให้รุ่นพี่มาเหรอ”
พาทินส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันจะวาดให้เอง แต่ขออย่างเดียว เธอต้องเลิกรังแกน้องฉัน”
“ฉันไม่ใช่นักเลงนะ แล้วก็ไม่เคยแกล้งใครด้วย”
“ถ้าไม่ใช่ ก็อย่าไปยุ่งกับเขาสิ อยู่ห่างๆ เขาเลย ถ้าไม่อยากเสียใจ ฉันจะวาดรูปให้เป็นการตอบแทน ตกลงไหม”
แพนรู้สึกอับอายและเสียหน้า
“ใครจะไปสนใจรูปวาดของเธอ จะบอกให้ไม่ต้องมาขู่ฉันหรอก ฉันจะเอาไปคิดดูก็ได้ ถ้ารุ่นพี่คุกเข่าขอร้อง”
พาทินมองแพนอย่างโกรธ เขาตัดสินใจวางกระเป๋าในมือลงบนพื้น ย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธอ ท่ามกลางคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
“อย่ายุ่งกับพิชชาอีก”
แพนคาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมทำแบบนั้น เธอตกใจและรู้สึกผิด ลังเลใจก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งจากไป พาทินลุกขึ้น เห็นพงศกรกับพจนินท์ ขับรถผ่านตลาดไป เขามองตามอย่างสงสัย
พงศกรและพจนินท์ เดินไปตามทางมองหาร้านขายข้าวแกงตามที่อยู่ที่จดมาในกระดาษ พงศกรพ่อถามแม่ค้าคนหนึ่ง เธอชี้บอกทางเขา
พงศกรกับพจนินท์ เดินจนมาถึงร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ใกล้ๆ ท่าเรือ สุนทรีกำลังไล่ลูกค้าขี้เมาคนหนึ่งออกมาจากร้าน เพราะเขามากินฟรี
“ไปให้พ้นเลย”
“อะไร แค่นี้ต้องไล่กันด้วยเหรอ”
สุนทรีเอาน้ำสาดขี้เมาคนนั้น
“ใจร้ายจริงๆ ฉันจะไม่มาร้านนี้อีกแล้ว”
“ก็ดี เอะอะ ก็จะกินฟรี ไม่ยอมจ่ายเงิน นี่ไม่ใช่โรงทานนะ ไปให้ไกลๆ เลย อย่ามาให้เห็นอีกนะ”
สุนทรีเดินกลับเข้าไปในร้าน พงศกรกับพจนินท์ ตกใจกับกริยาที่สุนทรีแสดงออกมา ทั้งคู่รู้สึกอึดอัดใจ พงศกรเดินตรงไปที่ร้าน เขาหันมาเห็นพจนินท์ ที่ไม่ยอมก้าวเท้าตามมา เขาเดินกลับไปฉุดมือให้เดินไปด้วยกัน พาทินเดินตามมาเห็นหลังของพ่อแม่ที่เดินเข้าไปในร้านนั้น
พจนินท์กวาดตาดูไปรอบๆ สภาพของร้านดูซอมซ่อ ทุกอย่างดูไร้ระเบียบ มีข้าวของวางเกะกะไปหมด สุนทรีเดินออกมาจากหลังร้าน เห็นทั้งคู่ก็เดินไปต้อนรับ
“มีเท่าที่เห็นนี้นะ จะรับอะไร”
ทั้งคู่ไม่ตอบ ได้แต่จ้องมองสุนทรี เธอเองก็สังเกตดูทั้งคู่เช่นกัน
“แต่งตัวซะดี”
พงศกรกับพจนินท์ ตั้งต้นไม่ถูกที่จะเริ่มพูดคุยยังไง
“คือเราจะมาคุยกับคุณ เรื่องลูกสาวหน่อยครับ”
“ลูกฉันเป็นยังไง” สุนทรีนิ่งมองทั้งคู่ “พวกคุณเป็นครูเหรอ ลูกฉันทำอะไรผิดเหรอ”
“เปล่า พวกเราไม่ใช่ครูหรอกครับ คือ ลูกสาวคุณเกิดวันที่ 4 ตุลาคม ใช่หรือเปล่า”
สุนทรีแปลกใจที่เขารู้รายละเอียดนี้ เธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“คุณรู้ได้ยังไง”
“คุณคลอดเธอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอใช่ไหม”
สุนทรีกวาดตามองทั้งคู่ ยิ่งไม่ไว้ใจ
“พวกคุณเป็นใครกันแน่”
“เราขอพบเธอหน่อยได้ไหมครับ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
พจนินท์ นั่งฟังอยู่นาน เธอทนไม่ไหวทำท่าจะลุกออกไป พงศกรจับแขนเธอเอาไว้
“ฉันไม่อยากพบเธอ คุณไม่ได้บอกว่าจะพาฉันมาที่นี่”
“แม่ มีเหตุผลหน่อยสิ”
สุนทรีสงสัย
“เรื่องอะไรกันแน่”
พจนินท์ ลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ฉันจะไปเยี่ยมลูก”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า”
“ดูคุณพูดเข้าสิ”
สุนทรีฟังทั้งคู่ โดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ รู้สึกหงุดหงิดใจ เธอเหวี่ยงผ้าเช็ดโต๊ะลงบนโต๊ะ
“เห็นฉันเป็นอะไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร เข้ามาเถียงอะไรกัน”
พจนินท์ สวนทันที
“คุณไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
สุนทรีโมโห
“อะไรนะ พูดยังงี้ เดี่ยวสวย”
สุทรีขยับตัวเข้าหาพจนินท์ พงศกรเห็นว่าเรื่องเริ่มวุ่นวายมากขึ้น เขายื้อแขนของสุนทรีเอาไว้
“ลูกของเราถูกสับตัวกันนะคุณ”
พจนินท์ ตกใจที่พงศกร ตัดสินใจพูดความจริงออกไป ทรุดตัวลงอย่างหมดแรง สุนทรีตกใจจนพูดไม่ออก เธอได้แต่จ้องมองพ่อกับพจนินท์ ตะลึงกับเรื่องที่ได้รับรู้
“นี่แกอย่ามาล้อเล่นนะ ไม่ตลกนะ”
พงศกรถอนใจ
“ลูกสาวของเราถูกสับตัวกัน ทางโรงพยาบาลเขายืนยันมาแล้ว”
สุนทรีมองพงศกร เขามีท่าทีจริงจัง ทำให้เธอรู้ว่า เขาไม่ได้ล้อเล่น เธอทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พาทินแอบมองผ่านหน้าต่างร้าน ได้ยินและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกเสียใจลึกๆ
พาทินเดิน ใจลอยไปตามทาง เขาคิดถึงเรื่องความจริงน่าตกใจ ที่ได้รับรู้มา เขาไม่ยอมรับความ
จริงเรื่องนี้
พงศกรขับรถพาพจนินท์กลับบ้าน ทั้งคู่ไม่พูดอะไร นิ่งใส่กันอยู่พักใหญ่
“พาฉันไปโรงพยาบาล”
“กลับไปบ้านก่อน”
“ฉันอยากไปหาลูก”
พงศกรเลี้ยวรถเปลี่ยนเส้นทางไปที่โรงพยาบาล
“คุณใจดำแบบนี้ได้ยังไง คุณทำแบบนี้กับฉัน กับลูกได้ยังไง”
พงศกรไม่พูดอะไร เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเธอ
บ่ายแก่ๆ พงศกรขับรถมาจอดที่หน้าโรงพยาบาล ทั้งคู่กำลังจะลงจากรถ
“คุณไม่ต้องขึ้นไปหรอก ฉันจะไปคนเดียว”
พจนินท์ไม่รอคำตอบหรือคำพูดจากพงศกร เธอเปิดประตูเดินลงจากรถไป ทิ้งให้เขานั่งลำบากใจอยู่รถเพียงลำพัง
พิชชานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงอย่างเซ็งๆ เสียงเปิดประตูทำให้เธอหันไปมอง
“แม่คะ”
“พิชชา”
“หนูบอกแล้ว แม่ไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ”
“ข้างนอกฝนตก แม่รู้เวลาฟ้าร้อง หนูจะกลัว แม่ก็เลยมาอยู่ดูแลหนูไง”
“หนูโตแล้วนะแม่ ไม่ต้องมาโอ๋หนูหรอกค่ะ”
“ไม่ใช่ลูกแหง่ของแม่แล้วหรือนี่”
พจนินท์เอื้อมมือไปจับแก้มของพิชชา ดึงเธอเข้ามากอดอย่างสุดรัก
“แม่จะคอยดูแลหนู จะไม่ให้มาทำอะไรหนูได้”
พิชชารู้สึกว่าวันนี้แม่แปลกไป
“แม่คะ”
“หนูเป็นลูกของแม่นะ แม่จะอยู่กับหนู คอยดูหนูไปตลอดเลย จะดูตอนลูกเข้ามหาลัย ดูตอนลูกมีแฟน ตอนแต่งงานแม่ก็จะช่วยเลือกชุดให้ พอมีลูกแม่ก็จะ...”
“แม่”
เสียงของพิชชาที่เรียก ทำให้พจนินท์ตั้งสติกลับมา เธอเช็ดน้ำตา
“หิวไหม กินบะหมี่ที่แม่ซื้อมากันดีกว่า”
พิชชาพยักหน้ารับ ทั้งคู่หัวเราะ มีความสุข
ในความทรงจำของพาทินวัยสองขวบ ตอนที่พบพิชชาครั้งแรก พงศกรอุ้มพาทินดูเด็กน้อยที่นอนอยู่ในห้อเด็กอ่อน
“นั่นไงน่ารักใช่ไหมล่ะลูก น้องของลูกนอนหลับปุ๋ยเลย”
เด็กหญิงแรกเกิดนอนหลับปุ๋ย พาทิน มองเด็กหญิง สายตาสงสัย
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพ่อมา”
พงศกรวางพาทินลง เดินไปที่ห้องทะเบียนที่อยู่ใกล้ๆ พยาบาลในห้องเด็กแรกเกิดเปิดประตูเดินออกจาก ห้อง เธอเดินไปพลางมองเอกสารที่อยู่ในมือไปพลาง พาทินเดินเตาะแตะเข้าไปในห้องเด็กแรกเกิดที่ประตูเปิดค้างเอาไว้
พจนินท์นอนอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นหลังคลอด พงศกรเปิดประตูเดินเข้ามา พจนินท์รู้สึกตัว
“นอนเถอะ ไม่ต้องลุกขี้นมาหรอก”
“พิชชา โอเคไหม”
“แน่นอน ไม่ต้องห่วง”
“พาทินล่ะ”
“อยู่ข้างนอกนี้ล่ะ เดี่ยวจะถ่ายรูปมาให้ดูนะ”
พงศกรหยิบกล้องถ่ายรูปเดินออกไป พจนินท์มีความสุขแม้จะเพลียๆอยู่
พาทินเดินไปที่แท่นวางเปลพลาสติก เขาเอื้อมมือไปถูกป้ายชื่อที่ติดไว้ที่แท่น มันหล่นลงที่พื้น เขามองและหยิบมันขึ้นมา มองซ้ายมองขวาสับสนประสาเด็กที่ยังไม่ประสีประสา เขาเห็นแท่นข้างๆ มีป้ายแบบเดียวกันติดไว้ เขาเดินเข้าไปหยิบออกมา มองดูป้ายทั้งคู่ในมือ ป้ายอันหนึ่งหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น เขาเลยโยนอีกอันที่ยังอยู่ในมือทิ้งไป พยาบาลเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นพาทินเดินเตาะแตะ
“อ้าว เข้ามาเล่นในนี้ไม่ได้นะคะ ต้องออกไปแล้วล่ะค่ะ”
พยาบาลเก็บป้ายชื่อที่หล่นขึ้นมาและติดเอาไว้ที่แท่นวางเปลเหมือนเดิม เธอวางสลับตำแหน่งมันโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนที่จะอุ้มพาทินเดินออกจากห้องไป พาทินหันไปมองเด็กน้อยคนนั้นที่กำลังหาวอยู่ในเปล พาทินงงและรู้สึกแปลกๆ
พงศกรเดินถือกล้องมาตามทาง พยาบาลอุ้มพาทินเดินออกมาจากห้องพอดี
“ซนนะเรา”
พงศกรรับพาทินที่พยาบาลส่งให้เขา เธอเดินจากไป เขากับพาทินยืนมองดูพิชชาผ่านกระจกหน้าห้องยกกล้องถ่ายรูปพิชชาผ่านกระจก ก่อนที่จะเดินไป เขาสวนกับสุนทรีที่เดินมาดูลูกที่หน้าต่างกระจกนี้ เช่นกัน สุนทรียืนมองดูลูกสาว ด้วยท่าทีเศร้าซึม
สุนทรีนั่งคิดสิ่งที่พงศกรพูดเรื่องลูกของทั้งคู่ คำพูดของเขายังติดอยู่ในหัว
“ลูกของเราสับตัวกันนะครับ”
ค่ำนั้น พจนินท์เดินคิดถึงเรื่องพิชชาที่สนามหน้าบ้าน พงศกรนั่งอยู่ในห้องรับแขก คิดหาทางออกเรื่องพิชชาเช่นเดียวกัน
พงศกรออกจากห้องรับแขก มานั่งที่โต๊ะสนามกับพจนินท์พาทินเดินเข้าประตูรั้วมา
“บ้านหลังนั้นโทรมจริงๆ” พงศกรนิ่งคิด “ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกัน ไม่อยากจะเชื่อเลย”
พจนินท์ไม่พูดอะไร เธอนั่งน้ำตาไหล
“พ่อเสียใจ แต่พ่อก็รักแม่กับพิชชาสุดหัวใจนะ”
“ฉันรู้ค่ะ”
พจนินท์เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอีก พงศกรปวดใจ
“นึกภาพว่าลูกของเราต้องโตมาในที่แบบนั้น”
“เอาแบบนี้ คุณรับงานแลกเปลี่ยนอาจารย์ที่ทางกระทรวงเสนอมาให้สิ ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้ เราย้ายไปอเมริกาแล้วลืมเรื่องนี้นะ เป็นทางเดียวที่เราจะทำได้นะ”
พงศกรน้ำตาซึม พยักหน้ารับคำอย่างฝืนใจ พาทินยืนแอบฟังที่สวน เขาเองก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาเดินกลับออกไปนอกบ้าน
พิชชานอนอ่านหนังสือ พาทินเปิดประตูห้องเดินเข้ามา
“จบแล้ว”
พิชชาเห็นเขาเข้า ทั้งดีใจและแปลกใจ
“พี่คะ” พิชชาคิดสงสัย “วันนี้ทุกคนแปลกจัง ตอนแรกเป็นแม่ ตอนนี้เป็นพี่เหรอ” พิชชายิ้ม
เปลี่ยนท่าที “พี่จะกินอะไรไหม”
พาทินยื้อเธอไม่ให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นพิชชากระตือรือร้น
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจนะ”
พาทินนั่งลงที่เตียงข้างๆ พิชชาแปลกใจทีท่าขอเขา
“พี่ดูแปลกๆนะ มีอะไรหรือเปล่า”
พาทินคิดอยู่นาน ลังเล
“พี่ควรเล่าเรื่องความลับหรือเปล่า”
“ความลับเหรอ”
“เรื่องผู้หญิงที่พี่ชอบ”
พิชชาตื่นเต้น
“จริงเหรอ เป็นคนยังไงน่ะ”
พาทินนึก
“ซุ่มซ่าม หัวดื้อ เวลากินอะไร ก็มักทำเลอะเทอะ”
พิชชานึกตามรู้สึกคุ้นๆ
“แล้วสวยไหม”
“ไม่เชิง ผมก็ยาวเท่าเธอ ตาก็โตพอกัน สูงก็เท่ากัน พูดง่ายๆ ว่าน่าเกลียดมากแถมยังขี่จักรยานไม่แข็งด้วย”
พิชชานึกตาม
“นั่นมันฉันนี่ เลิกล้อเล่นได้แล้ว”
“ไม่ได้ล้อนะ” พาทินยิ้ม “พิชชา พี่ถามหน่อย ถ้าเราไม่ใช่พี่น้องกัน คิดว่าเราจะได้เจอกันหรือเปล่า”
พิชชาแปลกใจในคำถามของพาทิน เธอนิ่งคิดก่อนที่จะยิ้มออกมา
“ต้องได้เจออยู่แล้วสิ ต้องเป็นชะตาลิขิต แบบอมตะด้วย”
พาทินยิ้ม
“มายิ้งฉุบกัน ถ้าเธอชนะถือว่าเป็นอย่างที่เธอพูด ถ้าพี่ชนะก็ถือว่าไม่ใช่”
“ได้ ขอแป๊บนึง”
พิชชาบริหารนิ้วเตรียมพร้อม พาทินมองพิชชา นึกถึงตอนที่เป่ายิ้งฉุบกันระหว่างทางไปโรงเรียน เธอออกค้อนเสมอ
“พร้อมแล้ว”
ทั้งคู่เป่ายิ้งฉุบกัน พาทินรู้ว่าพิชชาต้องออกค้อนอยู่แล้ว เขาแกล้งออกกรรไกร แพ้เธอ
“ชนะแล้ว เห็นไหมๆ ชะตาลิขิตให้เรามาพบกัน”
พิชชาลูบมือภูมิใจ พาทินมองพิชชาดีใจโดยที่ไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความกังวลใจ
เช้าวันใหม่...พงศกรกับพจนินท์เดินเข้างานโรงเรียน พร้อมกับผู้ปกครองและนักเรียนคนอื่นๆ
“คุณไปบอกคุณครูของลูกๆ ก็แล้วกัน ว่าเราจะย้ายไปอเมริกาเดือนหน้า”
“ก็ได้” พงศกรถอนใจ “ฉันก็อยากไปเต็มทีแล้วเหมือนกัน แน่ใจนะว่าจะเอาแบบนี้”
ทั้งคู่หยุดเดินมองหน้ากัน พงศกรมองหน้า พจนินท์
“คุณไม่อยากเห็นแกแน่เหรอ”
พจนินท์รู้สึกลังเล
“ไม่ค่ะ...อย่าบอกนะว่าคุณ...”
“ผมก็จะไม่ไปพบแกเหมือนกัน ถ้าได้เห็นก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมทิ้งพิชชาไม่ได้ ไม่ไปพบก็จะดีกว่า”
ทั้งคู่อยู่ในบริเวณที่จัดงานประกวดบทกลอน ครูประภัทสรกำลังชมพาทินที่วาดภาพประกอบบทกลอน
“ต้องขอบคุณพาทินค่ะ เขามีน้ำใจทากที่วาดภาพมาให้ เดี๋ยวต้องขอตัวไปดูทางโน้นก่อนนะคะ เดินดูงานรอบๆ ได้เลยนะคะ”
ครูประภัทสรเดินออกไป พจนินท์มองบทกลอนที่อยู่บนภาพของพาทิน
“กลอนเพราะจัง”
พจนินท์มองมุมภาพเขียนรายละเอียดชื่อบทกลอน และคนแต่ง
“คุณัญญา แช่มช้อย” พจนินท์หันไปถามพิชชิชา “ใครกันลูก”
พาทินตอบอย่างเสียไม่ได้
“ก็แค่นักเรียนหญิงคนหนึ่ง”
พิชชาค้อนพาทินที่แสดงกริยาไม่ดีออกมา
“คนที่หนูเล่าให้แม่ฟังว่าได้ เอทุกวิชาไงคะ”
“อ๋อ คนนั้นเหรอ ไหนล่ะ”
พิชชากับพจนินท์ส่ายสายตามองหาไปทั่วๆ พจนินท์ชะงัก สุนทรีเดินเข้ามาในงาน พงศกร พจนินท์และพาทิน หันไปมองเป็นตาเดียวกัน สุนทรีถามบริเวณที่จัดงานกับเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เธอชี้ทางให้สุนทรี แพนวิ่งเข้ามาพอดี
“หนูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมา”
“ทำไมล่ะ ฉันก็อยากเห็นผลงานของลูกฉันเหมือนกัน ไหน ผลงานของแกอยู่ตรงไหน”
สุนทรีเดินมองหา แล้วเธอก็เห็นบ้านวชิรวิทย์ทั้งครอบครัวอยู่ตรงนั้นด้วย ต่างฝ่ายต่างทำสีหน้าไม่ถูกยืนตะลึง
พิชชาและแพนต่างงุนงงกับท่าทีของครอบครัวตัวเอง ที่มีให้กัน
อ่านต่อ ตอนที่ 2 พรุ่งนี้ เวลา 09.30 น.