สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 1
ปี พุทธศักราช 2500 ช่วงเวลาใกล้ค่ำ ณ บริเวณปราสาทหินขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่กลางป่าอันเงียบสงัด
เสียงของแข็งกะเทาะแผ่นหินดังทำลายความเงียบขึ้น โดยฝีมือของกลุ่มชาวบ้านเกือบสิบคน กำลังทำการงัดแงะชิ้นส่วนต่างๆ ของปราสาทหิน บางส่วนที่ไม่มีค่าถูกทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี ชาวบ้านเข้าไปใช้เชือกคล้องหน้าบรรณที่โดนกะเทาะทรุดลงมากองอยู่ที่พื้น และแบกยกกันออกไปขึ้นรถ พร้อมกับชิ้นส่วนต่างๆ ของปราสาทอย่างระมัดระวัง ภายในเวลาไม่นานปราสาทที่สวยงามเหลือเพียงกองหินทับถมกันอย่างไร้ค่า
ภาพซากปราสาทปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 2 พฤษภาคม พุทธศักราช 2500 พาดหัวข่าวเด่นหรา ความว่า “พบซากปราสาทโดนทำลาย”
หนังสือพิมพ์ถูกพับลงโดย ม.ร.ว. ธราธร จุฑาเทพ หรือ คุณชายใหญ่ ทายาทองค์โตของ หม่อมเจ้าวิชชากร จุฑาเทพ แห่งวังจุฑาเทพ
“ถนอมเตรียมรถ วันนี้ฉันมีสอนแต่เช้า”
ธราธร มีใบหน้าเขร่งครึมด้วยความไม่สบายใจ สั่งถนอม ซึ่งเป็นคนสนิท
“ครับคุณชายใหญ่”
ถนอมรับคำแล้วรีบหันมาหยิบกระเป๋าทำงานของธราธรแล้วเดินออกไปทันที ธราธรหันมามองภาพซากปราสาทอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ แล้วก็ฉวยหนังสือพิมพ์เดินออกไปด้วยความร้อนใจกรุ่นอยู่นิดๆ
ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านบนถนนสายหนึ่งซึ่งดูร่มรื่น สะอาดตา ชินกร อาจารย์พิเศษสาขาโบราณคดี เดินถือกระเป๋าทำงานมาอย่างสบายใจ
รถธราธรแล่นเข้ามาจอดเทียบ ชินกรหันไปยิ้มให้ตามประสาคนมักคุ้น
“สวัสดีครับคุณชายใหญ่"
“สวัสดีครับ อาจารย์ชินกรจะไปท่าพระจันทร์หรือเปล่าครับ”
“ไปครับ ผมมีสอนวิชาประวัติศาตร์คาบแรกเลยครับ”
“ผมมีสอนวิชาการแปลตอนเช้าเหมือนกันครับ เชิญไปด้วยกันนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ชินกรเดินมาเปิดประตูรถเตรียมจะขึ้นไปนั่ง พลันสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ ชินกรเห็นพาดหัวข่าวแล้วสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
“พวกล่าวัตถุโบราณออกอาละวาดอีกแล้วหรือครับ !!???”
รถธราธรเข้ามาจอดที่หน้าคณะสังคมศาสตร์ ธราธรกับชินกรลงจากรถ พลางคุยกันต่อเรื่องที่คุยค้างไว้ ด้วยความไม่สบายใจ
“ผมเห็นข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ ตั้งใจว่าจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ ในฐานะนักโบราณคดีเราจะหาทางป้องกันยังไง ได้ข่าวมาว่าตอนนี้ทางยุโรปกับอเมริกาต้องการวัตถุโบราณจากประเทศในแถบเอเชีย เพราะเรายังไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด”
“คิดแล้วก็แปลก คนตะวันตกอยากได้ของของเรา แต่เรากลับเห่อวัฒนธรรมตะวันตกเหลือเกิน ท่านนายกเราก็ออกกฎหมายเยอะแยะให้ทำตามอย่างฝรั่ง อีกหน่อยวัฒนธรรมไทย การแต่งกายแบบไทยคงไม่มีเหลือ”
ชินกรกับธราธรเดินคุยกันมาจากรถมุ่งไปที่คณะ
“อาจารย์ชินกรพูดสมกับเป็นอาจารย์โบราณคดีจริงๆ” ธราธรยิ้มให้
“จริงนะครับ โดยเฉพาะสาวๆสมัยใหม่แต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าดขึ้นทุกวัน วันก่อนนึกศึกษาห้องผมใส่กระโปรงมินิสเกิร์ตเข้าห้องเรียน โอ๊ย! ผมเชิญออกเลย หลังจากนั้นได้ข่าวว่าถึงกับโดนคณบดีเรียกพบ..ไม่ไหวนับวันยิ่งสั้นขึ้นทุกที”
ชินกรบ่นด้วยความหนักใจ ธราธรฟังแล้วก็ยิ้มๆ ชินกรหันมาถาม
“แล้วนักเรียนห้องคุณชายหล่ะครับมีปัญหาแบบนี้บ้างหรือเปล่า ?”
ธราธรนึกถึงนักเรียนในห้องเรียนของตัวเอง...
เสียงกลองกลองพาเหรดดัง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ม.ล.ระวีรำไพ หรือ มะปราง บุตรสาวของของศ.ม.ร.ว.อาทิตยรังสี อาจารย์วิชาโบราณคดี ควงคฑานำหน้าขบวนพาเหรดในตำแหน่งดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่ง ย่ำตามจังหวะกลองด้วยความคล่องแคล่ว และสวยสง่า
ระวีรำไพอยู่ในชุดนักศึกษาสวยเรียบร้อย โดดเด่น แตกต่างจากเด็กสาวคนอื่น การซ้อมพาเหรดดำเนินไปอย่างเรียบร้อยท่ามกลางสายตาของนักศึกษา ที่จับจ้องมองด้วยความสนใจ ไม่ห่างออกไป ธราธรยืนอยู่ใต้ตึก มองดูขบวนพาเหรด สายตามองมาที่ระวีรำไพด้วยความเอ็นดู
ระวีรำไพเดินควงคฑาท่วงทีสง่า โยน รับ ตวัด ฉวัดเฉวียนได้อย่างแคล่วคล่อง สมกับเป็นดรัมเมเยอร์สามปีซ้อน ระวีรำไพหันมาเห็นธราธรก็ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มของคนที่คุ้นเคย และแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจแกมขวยเขิน ธราธรยิ้มรับและยืนมองอยู่ห่างๆ
รอยยิ้มนั้นทำให้ราชนิกุลรูปงาม นึกทวนหวนย้อนไปถึงครั้งในอดีต
เมื่อ 16 ปีที่ผ่านมา ณ วังแสงอาทิตย์ ม.ล.ระวีรำไพ วัย 4 ขวบ หน้าตาตื่นๆ อายๆ ไม่ค่อยกล้า ยืนอยู่กลางห้องรับแขก อาทิตยรังสีเข้ามากุมไหล่ทั้งสองข้างอย่างอบอุ่นและยิ้มก่อนจะหันไปพูดกับแขกที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ลูกสาวผมเอง..หม่อมหลวงระวีรำไพ...มะปราง..กราบสวัสดีคุณลุง หม่อมเจ้าวิชชากร กับพี่ชายใหญ่ หม่อมราชวงศ์ธราธร จุฑาเทพสิลูก”
ระวีรำไพยกมือไหว้ เขินๆ
“สวัสดีค่ะ”
ท่านชายวิชชากรรับไหว้ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“สวัสดีจ้ะ ชายใหญ่จำน้องได้หรือเปล่า”
ธราธรในวัย 14 ปี ยิ้มให้ระวีรำไพ
“จำได้ครับ 4 ปีก่อนผมเคยมาเยี่ยมน้องตอนเพิ่งเกิด ก่อนน้องจะย้ายตามคุณอาไปอังกฤษ”
อาทิตยรังสีพยักหน้าฟังด้วยความชื่นชมในความจำ และความสุขุมของธราธรที่ดูโตเกินตัว ระวีรำไพพูดซื่อๆ
“พี่ชายใหญ่จำปรางได้ แต่ทำไมปรางจำพี่ชายใหญ่ไม่ได้คะคุณพ่อ”
อาทิตยรังสี ท่านชายวิชชากร ถึงกับขำเบาๆ ธราธรอมยิ้มนิดๆ
“ก็ตอนนั้นปรางยังเป็นเด็กแบเบาะอยู่เลยนี่ลูก”
ระวีรำไพพยักหน้าเข้าใจ ท่านชายวิชชากรหันมาทางธราธร
“ชายใหญ่...น้องเพิ่งกลับตามคุณอากลับมาจากอังกฤษ ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อน พ่อจะให้ชายใหญ่มาคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นเพื่อนเล่นกับน้องได้หรือเปล่า”
“ได้ครับ” ธราธรยิ้มรับก่อนจะหันมาทางระวีรำไพ
“น้องปรางชอบเล่นอะไรครับ” ธราธรถามอย่างอ่อนโยน
ชุดน้ำชาเด็กเล่นของอังกฤษวางอยู่บนโต๊ะเด็กเล่น ระวีรำไพนั่งอยู่ท่ามกลางตุ๊กตาหวานแหวว มี
ธราธรนั่งไม่เข้าพวกอยู่ตรงกลาง ธราธรมองไปรอบๆ ยิ้มแหยๆ
ระวีรำไพรินทำท่ารินน้ำชาใส่แก้ว แล้วส่งให้ธราธร
“ดื่มชาก่อนนะคะพี่ชายใหญ่”
ธราธรมองในแก้วที่วางเปล่าอย่างงงๆ
“ชา?”
“ใช่ค่ะ ชาของอังกฤษ ปรางกับแองเจอร่า” ระวีรำไพชูตุ๊กตาที่อุ้มอยู่ให้ดู “เป็นคนชงเองนะคะ พี่ชายใหญ่ลองดื่มดูสิคะ หอมชื๊นใจ !!”
ธราธรมองอีกที ก็เห็นแก้วว่างเปล่า แล้วก็ทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงดี ระวีรำไพอ้อนอีก
“นะค๊า..นะคะ...ดื่มเลยค่ะ ถ้าดื่มหมด น้องปรางมีรางวัลให้ .. นะคะ..นะคะ..”
ระวีรำไพรอด้วยสายตาเว้าวอน ธราธรคิดแล้วก็ตัดสินใจ..อะ..เล่นด้วยก็ได้ แล้วก็ยิ้มก่อนจะยกแก้วเปล่าขึ้นดื่มเล่นกับน้องไปด้วย ดื่มเสร็จแล้วก็ยิ้ม
“หมดแล้วครับ ชื่นใจจริงๆด้วย”
ระวีรำไพยิ้มกว้าง แล้วก็ยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มธราธร
“รางวัลค่ะพี่ชายใหญ่”
ธราธรยิ้มแอบเขินนิดๆ
ธราธรดึงตัวเองกลับมา และกำลังยืนสอนวิชาการแปลอยู่หน้าห้องเรียนคณะสังคมศาสตร์ นักศึกษานั่งเรียนอย่างตั้งใจ ระวีรำไพนั่งอยู่กลางห้อง สวยโดดเด่นกว่าใครอื่น
ระวีรำไพนั่งเรียนไป มองหน้าธราธรไป ยิ้มนิดๆ แอบปลื้มอยู่ในใจ แววตาที่ระวีรำไพมองมายังธราธรซ่อนความรู้สึกดีๆ ไว้อย่างมากมายอย่างเด็กสาวที่แอบชอบชายในฝัน เป็นความรู้สึกที่ตราตรึงในใจมาตั้งแต่ครั้งวัยเด็ก ที่ผุดขึ้นในห้วงคำนึงของหญิงสาวอีกคราครั้ง
ระวีรำไพในวัยเด็ก หันมาพูดกับตุ๊กตา
“พี่ชายใหญ่ชอบชาของเราด้วยล่ะแองจี้...พี่ชายใหญ่ดื่มอีกนะคะ”
ระวีรำไพทำท่ารินชาให้อีก แล้วก็วางจานเปล่าไว้ข้างๆ
“มีคุ้กกี้ด้วย ปรางทำเอง ทานคู่กับน้ำชาอร่อยที่สุดในโลก”
ธราธรมองจานเปล่า แล้วก็เงยหน้ามองระวีรำไพที่ยิ้มหน้าบ๊องแบ๊ว ในอาการลุ้นๆ เขาจึงหันมาที่จานแล้วทำท่าหยิบคุ้กกี้ ทำท่ากิน
“อร่อยที่สุดในโลกจริงๆ ด้วยครับ”
ระวีรำไพร้องเสียงสดใส
“เย้ ดีใจจังเลย พี่ชายใหญ่ชอบต้องทานเยอะๆนะคะ”
ว่าแล้วระวีรำไพก็รินน้ำชาพร้อมทั้งหยิบจานขนมเปล่ามาวางไว้ให้อีก ธราธรหยิบมากิน แล้วก็ดื่มน้ำชาในจินตนาการเล่นตามน้องไปด้วย ระวีรำไพยิ้มสดใส รู้สึกถูกใจพี่ชายคนนี้อย่างมากมาย
เสียงธราธรดังขึ้น...
“น้องปราง...น้องปราง...น้องปรางครับ !!”
ระวีรำไพในปัจจุบันนั่งเหม่อและสะดุ้งสุดตัว หันไปตามเสียงเรียก
“คะ..พี่ชายใหญ่ เอ่อ...อาจารย์หม่อม”
ธราธรยิ้มไม่ถือสา
“นั่งเหม่อไปถึงไหน หรือว่าพี่สอนน่าเบื่อจนหลับใน”
นักศึกษาคนอื่นกำลังทยอยออกจากห้องเรียน บริเวณรอบๆไม่มีนักศึกษายืนอยู่ในระยะใกล้มากนัก ธราธรจึงพูดคุยกับระวีรำไพด้วยสรรพนามที่คุ้นเคย
“ไม่ใช่นะคะ ปรางแค่...นึกถึงการบ้านที่อาจารย์หม่อมให้วันนี้ มันเยอะมาก จนคิดว่าต้องทำไม่ทันส่งแน่ๆค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงโสภิตา ทายาทเจ้าของโรงเรียนสอนทำผมแต่งหน้าชื่อดังของประเทศ กับ ดาราฉาย บุตรสาวเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังระดับประเทศ เพื่อนสนิทของระวีรำไพดังแทรกขึ้นมาพร้อมกัน
“ใช่ค่ะ”
ธราธรหันไปตามเสียงเห็นสองสาวที่นั่งอยู่เก้าอี้หน้าระวีรำไพ ลุกขึ้นแล้วมาร่วมวงสนทนา ดาราฉายนั้นเป็นสาวเนิร์ดไม่ค่อยแต่งตัว ส่วนโสภิตาเป็นสาวเปรี้ยวแต่งตัวจัดแต่ยังดูดีมีชาติตระกูล ทั้งสองคนดู
ไม่เข้ากันอย่างแรง
“มะปรางพูดถูกค่ะ หนูก็มึนกับการบ้านเหมือนกันค่ะ” ดาราฉายฟ้อง
“อาจารย์หม่อมขา..รายงานที่ต้องส่งศุกร์นี้ เลื่อนไปเป็นอาทิตย์หน้าได้มั๊ยคะ หนูแปลไม่ทัน” โสภิตา ยิ้มแห้งๆ หัวเราะแหะๆ
ธราธรตอบโดยไม่เสียเวลาคิด
“ไม่ได้ครับ”
โสภิตาหุบยิ้มแทบไม่ทัน ธราธรพูดต่อน้ำเสียงจริงจังพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ
“ต้องส่งวันศุกร์เช้าก่อนเริ่มเรียน ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของทุกคน ต้องตั้งใจให้มาก ห้ามต่อรอง!”
“ค่า...”
สามสาวตอบเสียงอ่อน ธราธรหันมาทางมะปราง
“น้องปรางครับ”
“คะ” ระวีรำไพรีบรับคำนึกว่าจะโดนดุ
“ไม่ทราบว่าเย็นพรุ่งนี้คุณอาว่างหรือเปล่า ? พี่จะแวะไปเยี่ยมท่านสักหน่อย”
“ท่านไม่ได้บอกว่าจะไปไหนนะคะ”
“พี่ฝากเรียนท่านว่าเย็นพรุ่งนี้จะแวะไปเยี่ยม..พี่จะไปเรียนเชิญท่านมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับชายภัทร กับชายเล็ก ที่กำลังกลับมาจากอังกฤษ”
ทันทีที่ธราธรพูดจบ..โสภิตาก็สวนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“คุณชายพุฒิภัทร กับ คุณชายรัชชานนท์กำลังจะกลับจากอังกฤษ”
ธราธรตกใจหันมามองโสภิตางงๆ ดาราฉายเสริมด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“ถ้าอย่างนั้น...5 คุณชายแห่งวังจุฑาเทพก็จะกลับมาอยู่กันครบแล้วสิคะ”
โสภิตา กับดาราฉายหันมามองหน้ากัน
“ข่าวใหญ่แน่ๆ”
“ขอตัวไปกระจายข่าวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
โสภิตากับดาราฉายไหว้ลาธราธร รีบวิ่งออกไปด้วยอาการคันปาก ระวีรำไพอึ้งๆกับอาการของเพื่อน ได้แต่หันมายิ้มแห้งๆ
“ปรางต้องขอโทษแทนโสภิตากับดาราฉายด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไร...พี่รู้ดีว่าน้องๆพี่เป็นยังไง..สาวๆเมืองกรุงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
ธราธรพูดติดหัวเราะนิดๆ แล้วก็นึกถึงน้องชายตัวแสบที่กำลังจะมาถึงประเทศไทยในอีกไม่นาน
หม่อมเจ้าวิชชากร จุฑาเทพ มีภรรยาทั้งหมดสามคน คือ ม.ร.ว.อุบลวรรณ ภรรยาใหญ่ มีบุตรชายสองคนคือ ม.ร.ว.ธราธรและม.ร.ว.รณพีร์ หม่อมคนที่สองคือ หม่อมช้องนาง มารดาของคุณชายปวรรุจ เป็นต้นห้องประจำตัวของม.ร.ว.อุบลวรรณ หม่อมคนที่สามคือหม่อมหยก มารดาของคุณชายพุฒิภัทรและคุณชายรัชชานนท์ แต่งงานเพราะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เจ้าสัวบิดาของหม่อมหยกร่วมหุ้นอยู่หลายปี เจ้าสัวจึงตอบแทนหุ้นส่วนสำคัญด้วยการยกบุตรสาวให้เป็นหม่อมอีกคนของหม่อมเจ้าวิชชากร ทั้ง 4 คน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งเมื่อเดินทางไปทอดกฐิน คุณชายทั้ง 5 คน เติบขึ้นมาด้วยการดูแลของ หม่อมเอียด พระมารดาของหม่อมเจ้าวิชชากร กับย่าอ่อน น้องสาวของหม่อมเอียด และในเวลาต่อมา ทุกชีวิตในวังจุฑาเทพอยู่ภายใต้การดูแลของธราธร พี่ชายคนโต
พุฒิภัทร รัชชานนท์ และ รณพีร์ เดินมาตามทางมุ่งหน้าไปด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินดอนเมือง ทั้งสามหนุ่มหนุ่มหล่อ ดูเที่ในสายตาของทุกตนที่พบเห็น พุฒิภัทร ซึ่งเรียนจบศัลยกรรมสมอง เดินตรงกลางมาดนิ่งๆ ดูสุขุมมากที่สุด รัชชานนท์ เรียนจบวิศวโยธา เดินขนาบข้างขวา อยู่ในชุดที่ดูลุยๆลำลองกว่าคนอื่น เดินมาสบายๆ สายตาไม่ว่อกแว่กมาก แต่ไม่นิ่งเท่าพุฒิภัทร
ส่วนทางด้านซ้ายของพุฒิภัทรเป็นรณพีร์ จบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าและโรงเรียนการบิน แต่งตัวดูทันสมัยกว่าคนอื่น สายตากวาดหว่านเสน่ห์ไปตลอดทาง ทั้งสามคนโดดเด่นเป็นที่น่ามองมากกว่าคนอื่นในพื้นที่นั้น
สาวๆลอบมองมาตามทาง โดยเฉพาะสาวแอร์โฮสเตสมองแล้วยิ้มให้รณพีร์ยิ้มรับ และเดินตรงเข้าไปหาโดยไม่ปรึกษาพี่ๆ พุฒิภัทรปรายตาไปเห็นก็หันมาทางรัชชานนท์
“ชายเล็ก”
รัชชานนท์หันมาเห็นว่ารณพีร์หายไป ก็รู้ทันที รัชชานนท์ส่ายหน้า
“ชายพีร์...อีกแล้ว”
รัชชานนท์เดินตามรณพีร์ออกไป สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับจิกรณพีร์ติดมือกลับมาด้วย รณพีร์ยิ้มกว้างสดใส พร้อมกับชูผ้าเช็ดหน้าให้พี่ๆสองคนดู
“ชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ นี่ถ้าชายเล็กไม่รีบไปตามผมกลับมา ผมคงได้ที่อยู่มาด้วย” รณพีร์ยิ้มทะเล้นพุฒิภัทรส่ายหน้า
“ชายพีร์..เลิกหว่านเสน่ห์ให้สาวๆได้แล้ว ลืมแล้วหรือไงว่าพี่ชายใหญ่กับชายรุจรออยู่”
“ไม่ลืมหรอกครับ แต่กว่าจะรอกระเป๋า รับกระเป๋า ก็ใช่ว่าจะเร็ว ผมก็แค่หาเพื่อนคุยฆ่าเวลาระหว่างรอ”
“แต่ครั้งนี้พี่ชายรุจมาจัดการด้วยตัวเอง นายคิดว่าพวกเราจะต้องรอ หรือไง”
รัชชานนท์พูดเตือนสติด้วยความรู้ทันน้องชายคนสนิท และรู้นิสัยพี่ชายคนรอง
กระเป๋าเดินทางเก๋ไก๋ใบโตวางเรียงรายอยู่สิบกว่าใบ พร้อมกับกล่องใส่ของที่ผ่านการแพคมาอย่างดีมีตราประจำตระกูลติดอยู่ กระเป๋าถูกจัดวางไว้สามกอง
ม.ร.ว. ปวรรุจ จุฑาเทพ นักการทูต ประจำกระทรวงต่างประเทศ ยืนนับและตรวจสอบกับกระดาษในมืออย่างคล่องแคล่วขึงขังสมกับเป็นผู้ประสานงานชั้นเยี่ยม
“กระเป๋าชายภัทร 5 ใบ ชายเล็ก 6 ใบ ของชายพีร์ 10 ใบ”
ปวรรุจหันมาทางธราธรที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ครบถ้วนแล้วครับพี่ชายใหญ่”
“ขอบใจชายรุจมากที่เป็นธุระประสานกับทางสนามบิน ทำให้เราเข้ามารับกระเป๋าได้ก่อน”
“งานที่สถานทูตทำให้ต้องติดต่อกับทางสนามบินบ่อยน่ะครับ ก็เลยพอจะมีเพื่อนอยู่บ้าง พี่ชายใหญ่จะให้ผมขนกระเป๋าออกไปเลยหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไร..รอให้สามคุณชายจอมเถลไถลออกมาก่อน ไม่รู้หลงไปถึงไหน เครื่องลงตั้งนานแล้ว ยังเดินมาไม่ถึงกันสักที”
ธราธรบ่นตามประสา ปวรรุจเหลือบไปเห็นพอดีก็พูดขึ้น
“เดินมาโน่นแล้วครับ”
ปวรรุจพยักเพยิดไปทางสามหนุ่มที่กำลังเดินมา ธราธรหันมองตามสายตาของปวรรุจไปจนเจอเป้าหมาย
พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ เดินยิ้มกว้างมาหาปวรรุจและธราธร
“สวัสดีครับพี่ชายใหญ่”
พุฒิภัทร รัชชานนท์ยกมือไหว้ รณพีร์ถลาเข้ามากอดอย่างซี้
“ฮัลโหลบิ๊กบอส !! คิดถึงพี่ชายใหญ่ที่สุดเลยครับ”
ธราธรตบหลังอย่างแรง แอ่กๆ ก่อนจะดันตัวออกห่างอย่างรู้ทัน
“น้อยๆหน่อยชายพีร์ เราเพิ่งไปไม่ถึงเดือน ทำมาเป็นคิดถึง ที่สำคัญเราแค่ไปเที่ยว ทำไมกระเป๋าถึงได้เยอะกว่าพี่ๆ ชายภัทรเรียนอยู่ตั้ง 15 ปียังมีแค่ 5 ใบ ขนซื้ออะไรมาหนักหนา”
“เครื่องบินจำลองอีกตามเคย” ปวรรุจบอกอย่างมั่นใจ
“โห..พี่ชายรุจรู้ใจผมที่สุด”
รัชชานนท์แทรก
“พี่ชายรุจก็รู้ใจเราทุกคนนั่นแหละ”
“ใช่ ขนาดไม่เคยเห็นกระเป๋ามาก่อน ยังรู้เลยว่าของใครเป็นของใคร
พุฒิภัทรสนับสนุน แล้วเดินมามองกระเป๋าที่วางไว้สามกอง แล้วก็ชูนิ้วให้
“ยอดเยี่ยมมาก”
ปวรรุจยิ้มรับอย่างถ่อมตัว ธราธรตัดบท
“พี่ว่าเรารีบเดินทางกันได้แล้ว หม่อมย่ากำลังรอพวกนายอยู่ โดยเฉพาะย่าอ่อนของนายพีร์ ร้องให้คร่ำครวญคิดถึงหลานมาเป็นอาทิตย์แล้ว !!! ไปยังไม่ทันจะถึงเดือน ไม่รู้จะคิดถึงอะไรหนักหนา”
ธราธรพูดถึงย่าอ่อนด้วยความขบขันอยู่ในที
หน้าเรือนหม่อมเอียด ย่าอ่อนวิ่งถลาออกมาพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความคิดถึงเสียเต็มประดา
“หลานรักของย่า กลับมาแล้ว”
พุฒิภัทร รัชชานนท์ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ย่าอ่อนสวัสดีครับ”
ย่าอ่อนวิ่งผ่านคุณชายทั้งสอง พุ่งไปหารณพีร์หลานสุดที่รัก เข้าไปกอดทันที
“ชายพีร์..... โอ๊ย ย่าดีใจจริงๆ ไปเสียตั้งนาน ย่าคิดถึ๊ง..คิดถึง”
พี่ชายทั้งสี่คน ได้แต่มองหน้ากันแล้วก็ขำอย่างรู้กัน ธราธรหันไปคุยกับพุฒิภัทร
“ชายภัทรไปเรียน 15 ปี ชายเล็กไปเรียนเกือบ 10 ปี ยังไม่คิดถึงเท่าชายพีร์ไปเที่ยวไม่ถึงเดือน”
รณพีร์ได้ทีรีบประจบประแจงตามถนัด
“ผมก็คิดถึงย่าอ่อนเหลือเกินครับ ขอหอมให้หายคิดถึงหน่อยนะครับ”
รณพีร์พูดพลางระดมหอมแก้มย่าอ่อนมุบมับ ยิ่งอ้อน
“วุ้ย เบาๆพ่อ แก้มย่าช้ำหมด”
ย่าอ่อนทำเป็นฟาดต้นแขนรณพีร์ ด้วยความเขินอาย และเอ็นดู
“ก็ผมคิดถึงนี่ครับ คิดถึงคุณย่าแล้วก็คิดถึงฝีมือตำน้ำพริกลงเรือที่ไม่มีใครสู้ได้ พี่ชายรุจหัดมาตั้งหลายปี ทำกี่ทีก็อร่อยสู้ฝีมือย่าไม่ได้”
ปวรรุจยิ้มนิดๆรับ อย่างรู้ทันมุกน้องชาย พุฒิภัทรเอียงหน้ามากระซิบ
“เตรียมตัวกินน้ำพริกลงเรือติดต่อกันอีก 2 เดือนได้เลย”
พุฒิภัทรกับปวรรุจขำกันคิกคัก ย่าอ่อนได้ทีปรายตามามองปวรรุจแล้วก็เชอะใส่
“เชอะ มันแน่อยู่แล้ว ใครจะมาสู้ฝีมือชาววังอย่างย่าได้” แล้วก็หันมายิ้มแย้มกับรัชชานนท์ และพุฒิภัทรต่อ “นี่ชายภัทร ชายเล็ก..วันนี้ย่าเตรียมอาหารที่หลานๆชอบเอาไว้แล้วนะ ไม่ได้กินอาหารฝีมือย่ามาหลายปี วันนี้จะได้กินจนหายคิดถึง”
“ขอบคุณครับคุณย่า” ทั้งสองคนตอบรับ
“เรารีบขึ้นเรือนกัน หม่อมย่ารอหลานๆอยู่แล้ว”
ย่าอ่อนรีบชักชวนด้วยความตื่นเต้น
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 1 (ต่อ)
หม่อมเอียดนั่งอยู่บนตั่งกลางเรือนด้วยความสง่างาม คุณชายทั้ง 5 นั่งเรียงกันและก้มลงกราบอย่างสวยงาม ย่าอ่อนนั่งยิ้มน้ำตารื้นๆ อยู่ไม่ห่าง รณพีร์เดินเข่าเข้ามาหาหม่อมเอียดและกราบลงบนตักอีกครั้ง ก่อนจะโอบแขนรอบเอว ท่าทีออดอ้อน
หม่อมเอียดลูบศรีษะเบาๆด้วยความเอ็นดู รณพีร์ค่อยคลายกอดและถอยออกมา เปิดทางให้พุฒิภัทร กับ รัชชานนท์เดินเข่าเข้าไปกราบที่ตักหม่อมเอียดทีละคน
ธราธรและปวรรุจมองแล้วก็ยิ้มนิดๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ และดีใจ ย่าอ่อนควักผ้าออกมาซับน้ำตาที่คลอเบ้า
“ชายภัทร ชายเล็ก ชายพีร์ การเดินทางเป็นยังไง ราบรื่นดีมั๊ย” หม่อมเอียดถามเสียงสั่นๆด้วยความตื้นตัน
“เรียบร้อยดีครับหม่อมย่า เราแวะที่โรม การาจี ก่อนจะตรงมากรุงเทพ” พุฒิภัทรเล่า
“เรียนจบกันมาคราวนี้ ไม่ต้องไปไหนไกลๆนานๆให้ย่าคิดถึงอีกแล้วนะ”
“ครับ”
พุฒิภัทร รัชชานนท์ ยิ้มรับคำ
“ย่าอ่อนเตรียมอาหารเต็มโต๊ะไว้คอยท่า ลงมือเข้าครัวเองเชียว กว่าหลานๆจะมาถึง ต้องอุ่นแล้วอุ่นอีก รายนั้นกลัวว่าอาหารจะไม่ร้อน ไม่อร่อยเต็มที่ ..”
หม่อมเอียดพยักเพยิดไปทางย่าอ่อนที่ยิ้มรับไม่เถียง
“หิวกันหรือยัง” หม่อมเอียดถามหลานๆ
“ตอนเดินทางมาก็หิว พอถึงบ้านก็ตื่นเต้นจนลืมหิว แต่พอได้กลิ่นอาหารหอม และรู้ว่าย่าอ่อนลงมือทำเอง ท้องร้องจ๊อกเลยครับ” รัชชานนท์เอาใจ
“เอาไว้ให้ได้ชิมก่อนเถอะพ่อ แล้วค่อยชม .. อีกหน่อย พอได้ชิมฝีมือเมีย ขี้คร้านจะลืมฝีมือย่า”
ย่าอ่อนดักคอ พร้อมกันส่งค้อนวงใหญ่ รณพีร์รีบท้วง
“โอ้ย อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลยครับ พวกเราเพิ่งจะกลับมาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาห้าคนพี่น้อง ขอเที่ยวให้ช่ำปอดสักสองสามปี แล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน”
“สอง สามปี นานไป !! ย่าไม่รอ อย่าลืมนะว่าท่านพ่อของชายทั้งหลาย...”
หม่อมเอียดสวนเสียงเข้ม ปรายตาไปมองรูปของท่านชายวิชชากรที่ติดอยู่ผนังไม่ไกลนัก
“มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวเทวพรหม และก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพิตักษัยท่านประสงค์สิ่งใดไว้”
หม่อมเอียดย้ำเสียงเข้ม ย่าอ่อนพยักหน้ารับว่าใช่ๆ คุณชายทั้งห้ามองหน้ากัน ธราธรเป็นคนพูดแทนน้องๆ
“ท่านพ่อประสงค์ให้เราหนึ่งในจุฑาเทพ แต่งงานกับธิดาของตระกูลเทวพรหม !!!”
ธราธรตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ณ วังเทวพรหม ซึ่งครั้งหนึ่งหรูหราอลังการณ์ บัดนี้กลายเป็นวังที่เก่าซอมซ่อ ประตูไม้หน้าวังที่อยู่ในอาการล่อแล่จวนจะหักมิหักแหล่ ประตูไม้ดังออดแอดเวลาโดนลมพัด
เกษราบุตรสาวคนโตของม.ร.ว.เทวพันธ์ ซึ่งเรียนจบแค่มัธยมปลาย มีฝีมือการบ้านการเรือน ทำอาหาร ขนมเก่งมาก เป็นเสาหลักให้ครอบครัวรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด หลังจากที่บิดาทำกิจการต่างๆ ล้มเหลว จึงเปิดกิจการร้านขายขนมไทยหน้าบ้าน รับจ้างร้อยพวงมาลัย บายศรี กิจการดีมาก ทะยอยจัดเรียงถาดขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองที่เรียงเหลืองอร่ามเต็มถาด หันไปสั่งผู้ช่วย
“ป้าแย้มยกไปวางเรียงหน้าร้านได้เลยจ้ะ”
“ค่ะคุณเกษ”
แย้มยกถาดขนมออกไป เกษราหันมาจับเส้นฝอยทองเป็นแพเรียงด้วยความชำนาญ
ป้ายร้าน “ขนมหวาน วังเทวพรหม” ติดอยู่ข้างอีกประตูของกำแพงวังที่ต่อเติมออกมาเป็นร้านขนม
เล็กๆมีแต่หน้าร้าน ไม่มีที่ให้นั่งทาน แย้มเรียงขนมถาดใหม่ เสริมกับถาดเดิมที่ร่อยหรอ เกษราเดินมาสมทบพร้อมกับถาดขนมอีก 2 ถาดใหญ่ในมือ แย้มหันมาเห็นก็รีบทักท้วง
“คุณเกษไม่ต้องยกออกมาหรอกค่ะ เดี๋ยวป้ายกออกมาเอง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ สองถาดสุดท้ายแล้ว ช่วยกันคนละไม้คนละมือ”
เกษราพูดพร้อมกับรอยยิ้มอย่างไม่ถือตัว แย้มรีบมารับถาดขนมนำมาเรียงไว้ เกษรามองขนมที่วางอยู่ด้วยความหวัง
“ถ้าขายขนมชุดนี้หมดก็ดี จะได้มีเงินพอไปซ่อมประตูวัง คุณพ่อบ่นมาหลายเดือนแล้ว”
แย้มได้ยินแล้วคันปากอดสอดไม่ได้
“แหม..แต่ขนมคุณเกษขายก็หมดทุกวัน ถ้าคุณท่านไม่ขอเงินคุณเกษไปทำอย่างอื่น ป่านนี้ซ่อมประตูเสร็จไปนานแล้วค่ะ”
เกษรามองแย้มแกมตำหนิด้วยสายตาที่พูดถึงบิดาในทางไม่ดี แย้มรู้ตัวรีบให้เหตุผล
“ก็จริงนะคะ แย้มสงสารคุณเกษ ทำงานหนักหาเงินอยู่คนเดียว คนอื่นในเทวพรหมไม่เห็นจะเดือดร้อน”
“จะด้วยเหตุผลอะไร ก็ไม่ควรพูดแบบนี้ อย่าลืมสิ หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ถ้าคนอื่นมาได้ยิน แล้วเอาไปพูดต่อ คุณพ่อจะเสียหาย”
“ขอโทษค่ะ” แย้มก้มหน้าจ๋อยๆ แล้วก็ตบปากตัวเอง “ป้ามันปากไวไปหน่อย”
เกษราถอนใจเบาๆด้วยความเข้าใจ แหวว สาวใช้เดินเข้ามา พร้อมกับรายงานเกษราด้วยความตื่นเต้น
“คุณเกษคะ....คุณท่านให้มาเชิญไปพบ บอกว่ามีธุระสำคัญมากค่ะ”
เกษราหันไปมองอย่างแปลกใจ
“ธุระอะไร ?”
มารตี น้องสาวคนรองของเกษรา เรียนจบพยาบาล ทำงานโรงพยาบาลของรัฐ และ วิไลรัมภา น้องสาวคนเล็ก ซึ่งยังเรียนอยู่ โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“งานดูตัวที่วังจุฑาเทพ !!”
มารตีอยู่ในชุดลำลองเปรี้ยวปรี๊ด ส่วนวิไลรัมภาอยู่ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ชุดเรียบร้อย แต่หน้าผมอย่างสวยไม่แพ้กัน ส่วนเกษรายืนอยู่ข้างๆดูจืดไปสนิทเมื่ออยู่กับน้องสาว
“มารตี รัมภา พูดจาน่าเกลียด หม่อมย่าเอียดท่านจัดงานต้อนรับให้คุณชายหลานท่าน ไม่ใช่มาจัดงานดูตัวของสองครอบครัวอย่างที่คิด” เกษราตำหนิ
“รัมภาพูดตามคุณพ่อ ถ้าพี่เกษว่ารัมภาพูดจาน่าเกลียด ก็เท่ากับว่าคุณพ่อด้วยนะคะ” วิไลรัมภายอกย้อนด้วยใบหน้าใสซื่อ
เทวพันธุ์ที่ยืนถือกรอบรูปเก่า เป็นรูปท่านชายวิชชากรกับตัวเองกำลังยืนกอดคอกันอยู่อย่างสนิทสนมถึงกับสะดุ้ง เกษราพูดเรียบๆ
“แต่คุณพ่อพูดว่า สองครอบครัวจะมาแนะนำตัว ไม่ใช่ดูตัว”
มารตีแทรกแทน
“จะแนะนำตัว หรือ ดูตัว มันก็ความหมายเดียวกัน ใครๆก็รู้ว่าตระกูลเทวพรหม กับตระกูลจุฑาเทพ ใกล้ชิดสนิทสนมกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ และหนึ่งในเรา หรือ เราทั้งสามคนจะต้องแต่งงานกับคุณชายแห่งจุฑาเทพ”
“มารตีพูดถูก...”
เทวพันธุ์พูดพลางมองรูปในมือ
“ก่อนท่านชายวิชจะสิ้น ท่านเป็นคนเอ่ยปากขอลูกสาวพ่ออย่างน้อย 1 คน ให้กับลูกชายของท่าน เพราะฉะนั้น..ในวันงานก็ไปเลือกกันเอาเองว่าชอบใจใคร”
เทวพันธุ์พูดออกมาอย่างสบายใจ ไม่คิดเป็นเรื่องเสียหาย ทำให้มารตีกับเกษรายิ้มร่า แต่เกษรากลับก้มหน้านิดๆไม่เห็นด้วย แต่ไม่กล้าแย้ง
“ทางโน้นเขามี 5 คน ทางเรามี 3 คน ไม่ว่ายังไงลูกสาวพ่อก็ต้องได้แต่งงานกับคุณชายแห่งวังจุฑาเทพอย่างน้อย 1 คน!!”
เทวพันธุ์พูดด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
หม่อมเอียดนั่งอยู่บนตั่งใหญ่ นั่งจิบชาไม่ห่างจากโต๊ะกินข้าวที่ห้าคุณชายนั่งกินอาหารอยู่
“ถูกต้องที่สุด !! 5 ต่อ 3 ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้แต่ง !!” ย่าอ่อนบอกทุกคน “สามสาวแห่งเทวพรหม สวย น่ารักทุกคน ชายภัทร ชายเล็กไม่ได้เจอกันนานคงจำหน้าน้องๆไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงในงานเลี้ยงจะได้เจอหน้ากันครบทุกคน”
รณพีร์ถามด้วยความสนใจเป็นคนแรก
“คุณย่าคิดว่าใครน่ารักที่สุดครับ”
“น่ารักสำหรับย่าและเหมาะกับชายพีร์ ก็เห็นจะเป็น น้องนุชสุดท้อง หม่อมหลวงวิไลรัมภา เพิ่งจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เก่งแสนเก่ง อายุน้อยกว่าชายพีร์กับชายเล็กไม่เท่าไหร่ น่าจะเหมาะสมกันดี”
รณพีร์กับรัชชานนท์หันมามองหน้ากัน
“ฉันยกให้ ... ฉันหาได้ดีกว่านี้”
รัชชานนท์พูดเบาๆ ยิ้มมั่นใจมากๆ รณพีร์ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
“หม่อมหลวงวิไลรัมภา...”
รณพีร์ยิ้มกรุ่มกริ่ม...ชักอยากจะเห็น
วิไลรัมภายิ้มเพ้อ
“ส่วนของรัมภา ขอตีตราจองหม่อมราชวงศ์รณพีร์เท่านั้น .. นายเรืออากาศประจำหน่วยรบพิเศษกองทัพอากาศไทย น้องคนสุดท้ายแห่งวังจุฑาเทพ ก็ควรคู่กับน้องสุดท้องแห่งเทวพรหม”
เกษราลอบกรอกตาเอือมระอา กับความแก่แดดของน้องสาว วิไลรัมภาหันมาทางมารตี
“ส่วนหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์...วิศวกรหนุ่มเพิ่งจบจากอังกฤษ อีกไม่นานคงเข้ารับราชการในกระทรวงใหญ่โต พี่มารตีก็รับไปแล้วกัน ดูเหมาะสมกันดี”
มารตีลุกขึ้นพร้อมกับเชิดหน้า
“ไม่! เพราะพี่หมายตาหม่อมราชวงศ์พุฒิภัทร แพทย์ด้านศัลยกรรมประสาท ฝีมือการผ่าตัดยอดเยี่ยม แถมยังจบจาก Guy Hospital อันโด่งดังของอังกฤษ สมบูรณ์แบบแบบนี้ถึงจะเหมาะสมกับ หม่อมหลวงมารตี เทวพรหม”
มารตีเชิดหน้าอย่างมั่นใจ
พุฒิภัทรพูดออกมาอย่างมั่นใจ
”คงจะเป็นไปได้แค่ในความฝันน่ะครับ”
ย่าอ่อนชักสีหน้า
“อ้าวววว..ทำไมชายภัทรพูดแบบนั้น มารตีเป็นถึงพยาบาลโก้หร่าน เราเองก็เป็นหมอ เหมาะสมกันที่สุด”
“แต่หมอก็ไม่จำเป็นต้องคู่กับพยาบาลเสมอไปนะครับ อาจจะเป็นอาชีพอื่นก็ได้”
พุฒิภัทรตั้งข้อสังเกตจากเหตุและผล ไม่ได้พูดด้วยความก้าวร้าวหรือสักแต่จะขวางผู้ใหญ่ หม่อมเอียดถึงกับวางมือจากหมากพลู หันมาดักคอ หลังจากเงียบฟังน้องสาวจ้ออยู่คนเดียว
“ก็จริง..จะอาชีพไหนไม่ว่า แต่ต้องมีเกียรติ์ มีชาติตระกูลเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ไปคว้าพวกเต้นกินรำกินมาเป็นเมีย..ย่าไม่ยอม !”
ห้าคุณชายถึงกับมองหน้ากันว่างานเข้า ย่าอ่อนรีบเสริม
“เห็นด้วยกับคุณพี่ ผู้หญิงสมัยนี้ดีๆเพียบพร้อมเหมาะสมกับเราหายากเต็มที กลับมาต่อที่สาวๆเทวพรหมดีกว่า”
ย่าอ่อนนั่งไล่อีกที
“วิไลรัมภากับชายเล็ก หรือ ชายพีร์...มารตีก็กับชายภัทร ต่อไปก็...”
ย่าอ่อนมองแล้วก็สะดุดที่หน้าปวรรุจ ที่ยิ้มนิดๆ ย่าอ่อนเชิดใส่แล้วก็หันไปมองธราธร
“ชายใหญ่”
รณพีร์ทักขึ้น
“อ้าว แล้วพี่ชายรุจล่ะครับ”
“ไม่เกี่ยว สัญญานี้ทำกันระหว่างเทือกหงษ์กับหงษ์ พวกครึ่งหงษ์ครึ่งกา ไม่นับ”
ปวรรุจสะอึกนิดๆ ถึงจะไม่ถือสาแต่ก็แอบจุก คุณชายทั้งสี่มองปวรรุจด้วยความเห็นใจ ปวรรุจยิ้มรับพยายามไม่คิดมาก หม่อมเอียดตำหนิ
“แม่อ่อน...พูดเกินไป”
ย่าอ่อนหน้าเสีย แต่ทำเป็นไม่สน
“ก็น้องพูดจริงนี่คะ .. เอาล่ะกลับมาที่ชายใหญ่แห่งวังจุฑาเทพ...”
ธราธรปั้นหน้าไม่ค่อยถูก ย่าอ่อนพูดด้วยความมั่นใจ
“คนที่เหมาะสมที่สุดก็เห็นจะมีแต่...”
วิไลรัมภาพูดต่ออย่างมั่นใจที่สุด
“พี่เกษคนเดียวเท่านั้น !”
เกษราสะดุ้งนิดๆ หน้าเลิ่กลั่กไม่ยอมรับ มารตีรีบเดินมาเสริม
“เราสองคนไม่ขอแย่งชิง ใส่พานยกให้เลยค่ะ”
“ใช่ คุณชายใหญ่ ผู้แสนเงียบขรึม ดุ โหด แบบนั้น รัมภาขอถอนตัว” วิไลรัมภาเสริมทันที
เทวพันธุ์ฟังแล้วก็หันมาถามเกษรา
“เกษว่าไง พ่อเห็นไปมาหาสู่กับชายใหญ่อยู่บ้าง ถ้าชายใหญ่ขอแต่งงานขึ้นมา พร้อมหรือเปล่า”
เกษราสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เร็วไปมั้งคะคุณพ่อ เกษกับพี่ชายใหญ่รู้จักกันแค่ผิวเผิน”
ย่าอ่อนยุ ธราธรที่นั่งไม่สบายใจอยู่
“ก็ทำให้รู้จักกันมากขึ้นสิ จะรอช้าอยู่ทำไม”
ธราธรอึกอัก
“ตอนนี้ผมงานค่อนข้างยุ่งน่ะครับ ไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนน้องเกษมากนัก”
หม่อมเอียดสั่ง
“ชายใหญ่ก็ต้องหาเวลาให้น้อง จะมัวแต่ทำงานไม่ได้ ผู้หญิงดีๆอย่างเกษราไม่ได้จะหาง่ายๆ ทั้งงานบ้านงานเรือน กริยามารยาท สมกับเป็นผู้ดีชาววัง ถ้าชอบพอกัน ย่าจะได้พูดคุยทาบทาม หาฤกษ์หายามแต่งงานให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”
ธราธรอึดอัดพูดไม่ออก น้องๆมองหน้าธราธรด้วยความเห็นใจ
มารตี กับ วิไลรัมภาร้อนตัว
“ถ้าพี่เกษแต่งกับคุณชายใหญ่ ก็ถือว่าสัญญาที่จะให้ทายาทจุฑาเทพแต่งงานกับทายาทเทวพรหมก็เป็นอันสำเร็จ”
วิไลรัมภาถาม
“แล้วเราสองคนล่ะค่ะ”
ย่าอ่อนยิ้มร่า ตอบอย่างมีความสุข
“ก็แต่งได้อีก!!”
คุณชายทั้งสี่งงๆ
“ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าให้แต่งแค่คนเดียว ถ้าชายภัทร ชายเล็ก หรือชายพีร์ ถูกใจมารตีหรือรัมภาก็สามารถแต่งได้อีก แต่งทั้ง 3 คู่เลยก็ได้”
คุณชายราชนิกุลทั้งสี่คนมองหน้ากันเหวอๆ ปวรรุจพูดเย้าเบาๆ พลางยิ้ม
“โชคดีนะ...ฉันรอดแล้ว”
ปวรรุจยิ้มโล่ง
มารตี กับ วิไลรัมภายิ้มกว้าง!
“ดีค่ะ...รัมภาจะได้เตรียมตัวให้สวยที่สุด เพื่อทำให้พี่ชายพีร์ประทับใจ”
“ส่วนพี่..ไม่ต้องทำอะไรมาก คุณชายคงแก่เรียนอย่างพี่ชายภัทรก็คงจะสะดุดตาสะดุดใจได้โดยง่าย” มารตียิ้มมั่นใจ
เทวพันธุ์หันมาทางเกษรา
“ส่วนเกษ ก็ต้องทำให้คุณชายใหญ่ยอมแสดงท่าทีออกมาให้ได้ว่าคิดยังไงกับลูก...รู้หรือเปล่า”
เกษราปั้นหน้าไม่ถูก แสนจะอึดอัด ขัดกับจิตใจของตัวเอง
ธราธรเองก็อยู่ในอาการเดียวกับเกษรา
“ผมทราบครับ ในฐานะพี่คนโต ผมต้องเป็นคนแรกที่รับผิดชอบต่อคำสัญญาของท่านพ่อ แต่ผมเองยังไม่รู้จักน้องเกษดีพอ เลยยังตอบไม่ได้ว่าเธอคือคนที่ผม....ชอบหรือเปล่า”
น้องๆ มองธราธรด้วยความเข้าใจ ย่าอ่อนถอนใจนิดๆ ด้วยความขัดเคืองใจ ที่ไม่ได้ดั่งใจ หม่อมเอียดมองหน้าธราธรแล้วก็ถามอย่างสุขุม
“ชายใหญ่...ย่าของถามตามตรง..เรามีหญิงอื่นอยู่ในใจหรือเปล่า”
คำถามของหม่อมย่าพุ่งตรงดิ่งไปที่หัวใจคุณชายใหญ่
ธราธรนิ่งอึ้งยังตอบไม่ได้ น้องๆหันมามองรอคำตอบ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 1 (ต่อ)
ระวีรำไพอยู่ในชุดลำลอง เสื้อยืดตามสมัย สวมกางเกงขาสั้นเหนือเข่า รวบผมเรียบร้อย โขลกเครื่องแกงมัสมั่นอยู่ในครัวอย่างทะมัดทะแมงและคล่องแคล่ว
เสียงอุปกรรณ์กระทบกันบ่งบอกถึงความชำนาญในการทำอาหาร ไม่ใช่มือสมัครเล่น จากนั้นก็แกะสลักผักสด ทำน้ำกระท้อนลอยมะลิ และผัดไส้เตรียมทำสาคูไส้หมู ระวีรำไพทำอาหารอย่างมีความสุข มีป้าน้อยและดาวเรือง คอยเป็นลูกมืออย่างห่างๆ
อาทิตยรังสีเดินเข้ามาในครัว มองยิ้มๆ
“แค่พี่ชายใหญ่แวะมาเยี่ยม ลูกพ่อถึงกับลงครัวเองเชียวรึ”
ระวีรำไพกำลังผัดไส้สาคูอยู่อย่างทะมัดทะแมง หันมายิ้ม และยกกระทะขึ้น น้อยรีบเข้ามารับกระทะไป
“คุณพ่อขา..ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ปรางแค่เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้ว่าฝีมือตัวเองเป็นยังไง เพราะทำให้คุณพ่อทาน คุณพ่อก็ชมเอาใจปราง คราวนี้ทำให้พี่ชายใหญ่ทาน ปรางจะได้ขอความเห็นว่าฝีมือปรางดีพอจะอวดแขกได้หรือยัง”
“ถามพี่ชายใหญ่ก็ได้คำชมเหมือนกับพ่อนั่นแหละ บางทีเอาใจยิ่งกว่าเสียอีก รายนั้นเคยขัดใจหนูที่ไหน”
ระวีรำไพยิ้มเขินนิดๆ น้อยกับดาวเรืองกำลังปั้นสาคูเตรียมนึ่งอยู่ไม่ห่าง สองคนมองหน้าแล้วก็ยิ้มให้กันเห็นด้วยกับสิ่งที่อาทิตยรังสีพูดทุกประการ
“แล้วนี่เตรียมทำอะไรอยู่ หอมฟุ้งเชียว”
“ปรางเตรียมน้ำกะท้อนลอยดอกมะลิไว้ต้อนรับ หอมเย็นอมเปรี้ยวนิดๆ หวานชื่นใจ กับสาคูไส้หมูปรางเพิ่งผัดไส้ ป้าน้อยกับดาวเรืองกำลังเตรียมนึ่ง พอพี่ชายใหญ่มาถึงจะได้ทานร้อนๆ รองท้องก่อนจะทานอาหารเย็นค่ะ”
อาทิตยรังสียิ้มปลื้มใจ ยื่นมือมาจับศรีษะระวีรำไพด้วยความเอ็นดู
“ดีมาก..เตรียมการได้ดีมาก พ่อไม่กวนแล้วดีกว่า หนูจะทำอะไรก็ตามสบาย พ่อขอไปเตรียมตัวรับแขกก่อน นี่คงจะได้เวลามาแล้ว”
เสียงรถแล่นดังเข้ามาในครัว อาทิตยรังสีพูดขึ้น
“พูดถึงก็มาพอดี”
ระวีรำไพตาเป็นประกาย ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที พยายามจะข่มใจ แต่ก็ยังอมยิ้มตื่นเต้นไม่ได้
ประตูวังถูกเปิดออก ธราธรเดินเข้ามาอย่างสง่า คนรับใช้ทำความเคารพ และเดินนำไป ธราธรเดินตาม ผ่านโถงใหญ่เข้าไปในห้องทำงาน อาทิตยรังสียืนรออยู่
“สวัสดีครับคุณอา” ธราธรยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
อาทิตยรังสีรับไหว้
“สวัสดี เชิญนั่งก่อนครับ”
ทั้งสองคนเดินไปนั่งที่โต๊ะรับรอง อาทิตย์รังสีถามธราธร
“เห็นมะปรางบอกว่า คุณชายภัทรกับคุณชายเล็กเดินทางกลับมาแล้ว”
“ครับ กลับมาเมื่อวาน หม่อมย่าประสงค์จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับหลานๆ ที่วังไม่ได้มีงานมานานแล้ว ท่านตั้งใจจะจัดใหญ่และฝากให้ผมมาเรียนเชิญคุณอากับคุณอากัลยาครับ”
“ได้สิ ว่าแต่จะจัดวันไหนหล่ะ” อาทิตยรังสีถามด้วยความสนใจ
เย็นนั้นภายในวังแสงอาทิตย์ ระวีรำไพเดินนำน้อยกับดาวเรืองที่ถือถาดใส่สาคูและน้ำกะท้อนมาคนละหนึ่งชุดมาที่หน้าห้องทำงาน หญิงสาวเดินมาด้วยความตื่นเต้น แต่พยายามเก็บกริยาไว้ เธอเดินมาหยุดที่หน้าห้อง รวบรวมใจไม่ให้เต้นแรง และเคาะประตูเบาๆ
“ขออนุญาตค่ะ”
ระวีรำไพค่อยๆเปิดเข้าไปอย่างมีมารยาท เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ พยายามไม่ตื่นเต้น น้อยกับดาวเรืองเดินตาม ธราธรค่อยๆหันมา พอเห็นระวีรำไพก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ระวีรำไพยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะพี่ชายใหญ่”
ธราธรลุกขึ้นรับไหว้
“สวัสดีครับน้องปราง”
“พี่ชายใหญ่ลองชิมน้ำกะท้อนลอยมะลิ กับสาคูไส้หมู ปรางทำเองนะคะ”
ดาวเรืองวางถาดอาหารให้ธราธร ส่วนน้อยวางถาดอาหารให้อาทิตยรังสี และทั้งสองก็เดินออกไปอย่างสำรวม ธราธรยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะพูดด้วยความพอใจ
“ชื่นใจจริงๆ ทั้งรส ทั้งกลิ่น เข้ากันได้ดี”
ระวีรำไพยิ้มกว้าง และรอฟังผลของสาคู ธราธรลังเลไม่กล้าทานก่อนเจ้าของบ้าน อาทิตยรังสีรู้ใจหยิบส้อมมาจิ้มสาคูเข้าปาก เคี้ยวจนรู้รสแล้วก็เอ่ยปากชม
“สาคูก็อร่อยมากๆเลยลูก”
ระวีรำไพยิ้มรับน้อยๆ แล้วก็รีบหันมาฟังคำตอบจากธราธร เขาจิ้มสาคูเข้าปาก เคี้ยวอย่างพิจารณา ระวีรำไพลุ้น ธราธรกลืนลงคอแล้วก็หันมาตอบหน้านิ่งๆ
“สาคู...”
ระวีรำไพลุ้น
“อร่อยมากๆเลยครับ”
ธราธรยิ้มนิดๆ ระวีรำไพยิ้มกว้างดีใจ อาทิตยรังสีมองแล้วก็แซว
“พ่อชมไม่เห็นจะยิ้มกว้างเท่ากับที่พี่ชายใหญ่ชมเลย”
“ก็คุณพ่อชมบ่อยแล้วนี่คะ”
ธราธรยิ้มๆ
“ถ้าอย่างนั้น พี่ต้องไม่ชมบ่อย น้องปรางจะได้ไม่ชิน”
ระวีรำไพเบ้หน้า โอดครวญ
“จริงเหรอคะ...”
ธราธรยิ้มเอ็นดู
“พี่พูดเล่น...”
ระวีรำไพยิ้มออกมาได้
“มีน้องสาวอยู่คนเดียว ถ้าไม่ชมน้องสาวตัวเองแล้วจะให้ไปชมใคร”
ระวีรำไพหุบยิ้มลงนิดนึง ตรงคำว่า “น้องสาว”
อาทิตยรังสีหันไปเห็นก็รู้ใจธิดา หันมาชวนธราธรเฉไฉพูดเรื่องอื่น
“ส่วนเรื่องที่คุยค้างไว้ อาคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ว่าแต่งานจะเริ่มกี่โมง”
ระวีรำไพตาโตวาว
“งานอะไรคะ” เธอลืมตัวแทรกขึ้น แล้วก็นึกได้รีบสำรวม “ขอโทษค่ะ ปรางลืมตัวไปหน่อย แหะๆ”
ระวีรำไพยิ้มแห้งๆ
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ตั้งใจจะขออนุญาตคุณอาชวนปรางไปด้วยอยู่แล้ว งานเลี้ยงต้อนรับชายภัทรและชายเล็กที่วังจุฑาเทพ หม่อมย่าจะจัดในวันศุกร์นี้เวลาประมาณทุ่มครึ่ง น้องปรางไปร่วมงานได้หรือเปล่าครับ”
ระวีรำไพยิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย จะตอบตกลง แล้วก็นึกได้ว่าต้องขออนุญาตพ่อก่อน เธอเลยต้องยั้ง
ปากไว้ และหันมาส่งสายตามาถามพ่อด้วยอาการออดอ้อนอยู่ในที อาทิตยรังสีพยักหน้าอนุญาต ระวีรำไพยิ้มเป็นประกายพร้อมกับหันมาตอบธราธร
“ได้ค่ะ ปรางไปได้ค่ะ!”
ระวีรำไพตอบด้วยความดีใจ ธราธรยิ้มรับดีใจเหมือนกัน อาทิตยรังสีลอบมองทั้งสองคนด้วยความพึงพอใจอย่างรู้ทุกอย่างแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองอยู่ห่างๆ
ค่ำนั้นภายในวังจุฑาเทพ...ปวรรุจทำหน้าที่จัดการเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วเจียรนัยดังกังวาน ปวรรุจยกแก้วมาเสิร์ฟให้พี่ๆน้องๆที่นั่งล้อมอยู่ที่โต๊ะใหญ่กลางห้องโดม ธราธรนั่งอยู่ที่ประจำ ด้านหนึ่งประกบด้วยพุฒิภัทร อีกด้านหนึ่งว่างเพราะเป็นที่ของปวรรุจ ถัดจากปวรรุจเป็นรณพีร์ และรัชชานนท์ ซึ่งนั่งติดกับพุฒิภัทร
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว สาวๆ เทวพรหมคงจะเตรียมมาเปิดตัวในงานแน่ เห็นทีพวกเราจะหนีกันไม่รอด” รัชชานนท์เปิดบทสนทนา
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ปวรรุจเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่วและเต็มใจ รณพีร์โพล่งออกมา
“เราต้องรีบหาคู่ควงมางาน ! อย่างน้อยคราวนี้ขอให้รอดตัวไปก่อน” เขามองพี่ๆ “เดี๋ยวผมจัดการให้ อีกสองวันจะพาสาวๆมาให้พี่ๆคัดตัว”
รณพีร์ยิ้มระรื่น พุฒิภัทรรีบบอก
“ของพี่ไม่ต้อง เพราะไม่ว่าจะมีคู่ควงหรือไม่มี พี่ไม่มีวันยอมโดนบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงที่พี่ไม่รัก”
รัชชานนท์หันมากระซิบกระซาบกับรณพีร์
“ถ้าเหตุผลนี้ สงสัยพี่ชายภัทรคงไม่มีวันได้แต่ง”
รัชชานนท์กับรณพีร์หันมาชนแก้วกัน พร้อมหัวเราะคิกคักเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ปวรรุจถือแก้วใบสุดท้ายแล้วเดินมานั่งข้างธราธร
“พี่ชายใหญ่ล่ะครับ ต้องการให้ชายพีร์หาคู่ควงให้หรือเปล่า หรือว่าพี่ชายใหญ่มีคู่ควงอยู่แล้ว”
ธราธรตอบคิดๆ
“ไม่มี และ ไม่ต้องการ...พี่มาคิดดูบางที คุณเกษอาจจะเหมาะสมกับพี่ก็ได้ พี่ไม่ควรปิดโอกาส หรือปฎิเสธ คุณเกษเป็นคนดี หน้าตาก็สะสวย เก่งการบ้านการเรือน ใครได้เป็นภรรยาถือว่าโชคดี”
รัชชานนท์ตาโตวาว
“ถ้าพี่ชายใหญ่แต่งกับคุณเกษจริงๆ...”
รณพีร์ต่อ
“พวกเราก็รอด”
รัชชานนท์กับรณพีร์ร้องออกมาพร้อมกัน
“เฮ !”
ธราธรรีบปราม
“ให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยดีใจน้องชาย พี่พูดว่า...อาจจะ เพราะฉะนั้นยังไม่มีอะไรแน่นอน”
ปวรรุจน์หันมาทางธราธร
“พี่ชายใหญ่บอกว่าใครได้คุณเกษเป็นภรรยาถือว่าโชคดี แล้วพี่ชายใหญ่...อยากเป็นคนโชคดีคนนั้นหรือเปล่า”
ธราธรฟังแล้วก็อึ้ง นิ่ง ตอบไม่ได้เช่นกัน
เช้าวันใหม่ภายใน วังเทวพรหม เกษราตอบเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่ร่าเริงนัก
“เกษคงไม่มีวาสนาหรอกค่ะ บางทีคุณชายภัทรอาจจะพึงใจมารตี หรือคุณชายพีร์พึงใจวิไลรัมภา แต่พี่ชายใหญ่คงไม่สนใจเกษ”
เกษราตอบอย่างเจียมตัว แล้วก็หันไปทำขนมต่อ แย้มที่กำลังจัดของอยู่หน้าร้านถึงกับหันมาแย้ง
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ คุณเกษของป้าสวยจะตาย ถึงปากไม่แดงแจ๊ดเหมือนคุณมารตี ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สวยนี่คะ”
เกษราหัวเราะเบาๆกับคำชม พร้อมกับส่ายหน้านิดๆ ไม่ยอมรับอยู่ดี จนแย้มต้องวางมือรีบเข้ามาถาม
“ป้าว่า คุณเกษไปตัดชุดใหม่สักชุดดีมั้ยคะ สำหรับใส่ไปงาน”
“ตัดชุดทีก็เป็นร้อย ผ้าเนื้อดีๆเมตรละหลายตังค์ ของนอกก็เมตรละเกือบห้าสิบ สู้เอาเงินไปทำประตูดีกว่า เกษว่าจะใส่ชุดเก่าของมารตีไปค่ะ”
แย้มรีบค้าน
“ไม่ได้นะคะไม่ได้ งานนี้คุณเกษต้องสวยสู้น้องๆให้ได้นะคะ คุณชายใหญ่จะได้รู้ว่าเธอคิดผิดที่ไม่รีบส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ”
แย้มยิ้มเต็มที่ เกษรายิ้มอายๆ แต่ไม่ยอมตอบรับ แย้มคะยั้นคะยอ
“เรื่องประตูเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพอเราปิดร้านแล้วไปซื้อผ้า แล้วก็ไปร้านตัดผ้านิภาหน้าปากซอยตลาดบางรัก มีคนบอกว่าตัดเก่งมาก ป้าจะขอให้คุณนิภาตัดให้สุดฝีมือ คุณเกษจะได้สวยที่สุดในงาน นะคะคุณเกษ ครั้งนี้ป้าขอร้อง”
เกษราจำต้องพยักหน้ารับ
เย็นนั้น เกษราเดินอยู่กับแย้มที่ตลาดขายผ้า
“เดี๋ยวเกษไปดูผ้าที่ร้านโน้นนะคะ ป้าแย้มไปซื้อของที่จะทำขนมพรุ่งนี้ แล้วเราไปเจอกันที่หน้าตลาด”
“ค่ะ แต่คุณเกษห้ามเปลี่ยนใจ ต้องหาผ้าไปตัดชุดให้ได้นะคะ แย้มนัดคุณนิภาที่ร้านตัดเสื้อไว้แล้ว”
“ค่ะ...แต่ถ้าแพงเกินงบ เกษไม่ตัดนะคะ จะใส่ชุดเก่าของมารตี”
“โธ่...คุณเกษ”
เกษราไม่สนใจฟังต่อ หันหน้าเดินไปที่ร้านผ้าเลย แย้มได้แต่มองตามด้วยความสงสารเกษรา
ในร้านผ้า มีผ้าวางเรียงรายอยู่มากมาย เกษราเดินเลือกอยู่เลือกแล้วเลือกอีก จนมาเจอผ้าพับหนึ่งที่
ถูกใจ กำลังจะหยิบมาดู เธอไม่ทันระวังกระเป๋าถือร่วงลงพื้น
“อุ้ย...”
กระเป๋าหล่นอยู่ที่พื้น ของร่วงกระจายออกมา เกษราส่ายหน้านิดๆในความซุ่มซ่ามของตัวเอง แล้วก็ก้มลงเก็บของใส่กระเป๋าถือ ทันใดนั้นเองชินกรก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง เขามองซ้ายมองขวา หาผ้าที่
ตรงกับตัวอย่างผ้าที่อยู่ในมือ แล้วก็เจอผ้าที่ม้วนพับไว้บนชั้น ตรงกับที่เกษรานั่งเก็บของอยู่พอดี
“เจอแล้ว”
ชินกรพุ่งเข้ามาหยิบผ้าที่อยู่บนชั้น แต่ด้วยความลื่นของเนื้อผ้าทำให้กองผ้าอื่นๆที่วางทับกันอยู่หล่นลงมาทั้งกอง และบังเอิญ ร่วงลงมาใส่เกษราที่นั่งอยู่พอดิบพอดี เกษราเงยหน้าขึ้นด้วยสัญชาตญาณแล้วก็ตกใจ เห็นกองผ้ากำลังร่วงลงมา เนื้อผ้าซาตินเบาหวิวแผ่ออกและครอบลงบนตัวเธอราวกับตั้งใจ เกษราร้องด้วยความตกใจ
“ว้ายยยยย!!”
ชินกรหันไปเห็นก็ร้องออกมาพร้อมกัน
“เอ้ยยย !!”
เกษราตกใจ ลุกพรวดขึ้น ปาดป่ายมือจะเอาผ้าออกจากตัว
“ว้ายยย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !”
ชินกรงงอยู่ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่กล้าจับตัว
“คุณผู้หญิงครับ อยู่เฉยๆก่อนนะครับ อยู่เฉยๆนะครับ”
เกษราอยู่ใต้ผ้าสี่ห้าผืนที่คลุมอยู่พอได้ยินเสียงชินกรบอกให้หยุดก็หยุดนิ่ง หายใจหอบด้วยความตื่นตระหนก ชินกรเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ผ้าหยุดแล้ว ค่อยๆยื่นมือมาเปิดผ้าออกทีละชั้น ทีละชั้นจนกระทั่งถึงผ้าผืนสุดท้าย เขาค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าสวยหวาน ตากลมโต ปากอวบอิ่ม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนผ้าสีสด ความงามของเกษราทำให้ชินกรตะลึง...อึ้ง ใจเต้นโครมคราม อ้าปากค้าง พูดไม่ออก เกษรารู้สึกตัวรีบถอยห่างออกมาจากผืนผ้า ก้มหน้า แล้วก็พูดด้วยความเขินอาย
“ขอบคุณมากนะคะ”
เธอหันมาหยิบผ้าของตัวเองแล้วก็หันหลังเดินออกไปเลย ชินกรยังถือผ้ายืนอึ้งอยู่ พอเกษราเดินไปแล้วก็ค่อยรู้สึกตัว
“เอ่อ...คุณครับ...คุณ...คุณ รอด้วยครับ”
ชินกรรีบเดินตามไป แต่เห็นผ้าร่วงเต็มพื้นก็รู้สึกไม่ดี เขาตัดสินใจรีบหันมาพับผ้าให้ทางร้าน พับผ้าไปมองเกษราไปด้วย ร้อนใจแต่ก็ไปไม่ได้
พนักงานส่งถุงให้ เกษรารับถุงผ้ามาพร้อมกับยิ้มตามมารยาท ทั้งที่ในใจอยากจะรีบออกไปจากร้าน พนักงานไหว้อย่างงาม
“ขอบคุณค่ะ”
เกษรารับไหว้ แล้วรีบเดินออกจากร้านไปด้วยความอาย ไม่อยากเจอชินกรอีก ทำหน้าไม่ถูก ชินกรเดินพรวดเข้ามาที่บริเวณเคาท์เตอร์จ่ายเงิน เขารีบมองซ้ายมองขวาหาเกษราเห็นด้านหลังเธอเดินอยู่หน้าร้าน ชินกรยิ้มนิดๆมีหวังแล้วก็รีบวิ่งตามออกไปทันที
เกษราเดินออกมาจากร้านอย่างเร็ว ผ่านผู้คนที่เดินสวนไป เธอเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่อยู่ไม่ไกล ชินกรเดินพรวดออกมาจากร้าน มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นเกษราแล้วก็ถอนใจด้วยความเสียดาย
“ยังไม่ได้ขอโทษเลย เฮ่อ”
เกษราและแย้มเดินออกมจากร้านเสื้อนิภา ทั้งสองคนถือถุงใส่อุปกรณ์ทำขนมมาด้วยพะรุงพะรัง
“เห็นมั๊ยคะคุณเกษ รวมค่าผ้า ค่าตัดแล้ว ไม่แพงอย่างที่คิดนะคะ”
เกษรายิ้มรับ
“แต่ถ้าแพงกว่านี้อีกสัก 50 บาทเกษไม่ตัดแน่”
เกษราตอบยิ้มๆ ทันใดนั้นก็มีรถเก๋งหรูเข้ามาจอดเทียบตรงหน้า เกษรากับแย้มหันไป เห็นว่าธราธรเป็นคนขับมา แย้มตื่นเต้นออกนอกหน้า
“คุณชายใหญ่!”
ธราธรเดินลงมาจากรถพร้อมกับยิ้มอบอุ่น เกษราวางของไว้ที่พื้นและยกมือไหว้อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะพี่ชายใหญ่”
แย้มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ธราธรรับไหว้
“สวัสดีครับน้องเกษ สวัสดีครับป้าแย้ม มาซื้อของเหรอครับ”
“ค่ะ เป็นของสำหรับทำขนมพรุ่งนี้ค่ะ”
“แล้วจะกลับเลยหรือเปล่า พี่จะได้ไปส่ง”
เกษราอึกอัก เกรงใจ แย้มคันปากเลยโพล่งออกไปแทนทั้งที่ยืนอยู่ไกลพอควร
“ใช่ค่ะ คุณหนูเกษกำลังจะกลับค่ะ”
เกษราหันมาดุแย้มด้วยสายตาที่พูดจาไม่สำรวม แย้มหลบหน้ารู้ว่าไม่ดี แต่ก็ตั้งใจทำเพื่อนาย ธราธรยิ้มอย่างเข้าใจ และพูดต่อไม่ถือสา
“ของเยอะแยะแบบนี้ให้พี่ไปส่งนะครับ...มาครับพี่ช่วย”
เกษราส่งให้อย่างเกรงใจ
“ขอบคุณค่ะ”
ธราธรรับของมาและเดินนำไปที่รถ เปิดประตูวางของและเปิดประตูให้เกษราด้วยท่วงท่าสำรวจและผู้ดี
“เชิญครับ”
เกษรายิ้มรับนิดๆ เดินขึ้นรถไป แย้มยิ้มกว้างดีใจตื่นเต้นแทนนาย ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปที่ตอนหลังของรถ
ธราธรเดินกลับมาที่นั่งคนขับและขับรถออกไป
ตกตอนค่ำ ธราธรขับรถมาจอดที่หน้าวังเทวพรหม เขาเดินลงมาเปิดประตูให้เกษรา แย้มเปิดลงเองพร้อมถือถุงของมายืนรอเจ้านาย เกษราลงจากรถ ธราธรหันไปมองที่หน้าร้านขนมแล้วก็ถามขึ้น
“ขนมขายดีมั้ยครับ”
แย้มตอบแทนด้วยอารามอยากอวด
“ขายดีค่า วันนี้ขายหมดตู้เลยนะคะ ขนมของคุณเกษอร่อย ใครได้กินต้องกลับมาซื้ออีก บางทีนะคะสั่งล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์เลยค่ะ”
เกษราเอ็ดเบาๆด้วยความเกรงใจธราธร
“ป้าแย้ม...”
แย้มหยุดพูดทันที ก้มหน้างุด ธราธรไม่ถือสา พูดอย่างอารมณ์ดี
“ป้าแย้มพูดแบบนี้ดีเลย พี่จะได้สั่งจองขนมสำหรับงานลี้ยงวันศุกร์ไว้ล่วงหน้า อย่างละสองถาด ทองหยิบ ฝอยทอง และเม็ดขนุน ผลไม้แกะสลักอีกหนึ่งชุดสำหรับประดับโต๊ะอาหาร”
“อย่าสั่งซื้อเลยค่ะพี่ชายใหญ่ ให้เกษทำให้นะคะ”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ ของซื้อของขาย ไข่ฟองหนึ่งก็หลายสลึง ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน จะมาทำให้ฟรีๆไม่ได้หรอก”
“งั้นเกษคิดแต่ค่าไข่กับผลไม้นะคะ เพราะเกษตั้งใจ อยากจะทำให้พี่ชายใหญ่ทานค่ะ”
ธราธรยิ้มรับ
“ได้ครับ งั้นพี่ก็ขอขอบคุณแทนน้องๆด้วย”
แย้มแอบฟังเจ้านายคุยกันแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามไปด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เกษยินดี ขอบคุณพี่ชายใหญ่ที่มาส่งนะคะ”
ธราธรยิ้มรับ
“ยินดีครับ แล้วพบกันวันศุกร์นะครับ”
เกษรายกมือไหว้
“ค่ะ...สวัสดีค่ะ”
แย้มยกมือไหว้ด้วย ธราธรรับไว้ทั้งสองคน แล้วเดินกลับขึ้นรถขับออกมาผ่านวังเทวพรหม ผ่านประตูวังที่ดูทรุดโทรม ธราธรมองกระจกหลังเห็นเกษราที่กำลังเดินเข้าบ้านไป เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างมีอะไรบางอย่างกดทับความรู้สึกอยู่
เกษราเดินมาสักสองสามก้าวก็หยุดยืน ปล่อยให้แย้มเดินเข้าบ้านไป เธอหันมามองรถหรูของธราธรที่
แล่นห่างออกไปแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเหนื่อยๆในใจอย่างบอกไม่ถูก
เย็นนั้นก่อนถึงวันจัดงานหนึ่งวัน...หน้าวังจุฑาเทพ บรรยากาศสดใส ผู้คนเดินไปมาคึกคักเตรียมจัดงาน หม่อมเอียดยืนมองการเตรียมงานอยู่ในซุ้มต้นไม้เก๋ๆ ถนอมวิ่งเข้ามา พร้อมกับถามอย่างนอบน้อม
“คุณท่านจะให้วางโต๊ะอาหารไว้ตรงไหนขอรับ”
“ของคาวตั้งด้านโน้น โต๊ะขนมหวานของหนูเกษแยกไว้ตรงนั้น” หม่อมเอียดชี้บอกตำแหน่ง “สำหรับเด็กๆชายใหญ่อยากให้จัดแบบฝรั่ง ที่เขาเรียกว่าบุฟเฟ่ต์ แต่สำหรับผู้ใหญ่ให้ยกมาบริการที่โต๊ะ”
“ขอรับคุณท่าน”
ถนอมกำลังจะไป หม่อมเอียดนึกได้สั่งงานต่อ
“อ้อ...แล้วโต๊ะของผู้ใหญ่จัดไว้ในบ้านจะได้คุยกันสะดวก ไม่หนวกหูเสียงดนตรี ส่วนเด็กๆจัดไว้หน้าเวที จะได้ออกมาเต้นรำได้ง่ายๆ คืนนั้นชายพีร์จะว่าจ้างนักดนตรีมา ไม่เปิดแผ่นเสียง เธอบอกว่าไม่หรู”
“ขอรับคุณท่าน”
ถนอมขยับจะไป หม่อมเอียดหันไปเห็นสายไฟก็พูดขึ้น
“สายไฟพวกนี้...เก็บซ่อนไว้ให้ดีๆ อย่าให้เกะกะ แขกเดินไปมาจะสะดุดเอาง่ายๆ ส่วนโต๊ะจัดแล้วคลุมผ้าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ค่อยตกแต่ง จัดจีบโต๊ะเก้าอี้และเก็บรายละเอียดที่เหลือ”
“ขอรับคุณท่าน”
คราวนี้ถนอมไม่ไป รอฟังต่อ เผื่อจะมีอีก หม่อมเอียดมองไปรอบๆ หันมาเห็นถนอมยังยืนอยู่ก็เอ็ด
“ขอรับแล้วก็ไปจัดการสิ ยืนอยู่ตรงนี้แล้วงานจะเรียบร้อยมั้ย”
ถนอมรีบรับคำ
“ขอรับๆ คุณท่าน!”
ถนอมรีบวิ่งไปปฎิบัติงานตามสั่ง ลนลาน งงๆว่านึกว่าจะมีอีก...หม่อมเอียดส่ายหน้านิดๆ แล้วก็คิดถึงงานในครัว
“ในครัวเตรียมงานเสร็จหรือยังนะ”
หม่อมเอียดเข้ามาดูงานในครัว ย่าอ่อนตอบอย่างมั่นใจ ข้างๆมีแจ๋วนั่งพัดให้ไม่ห่าง
“อู้ยยยยยย...เสร็จแล้วค่ะคุณพี่ รับรองมือชั้นอ่อนแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมตั้งแต่เมื่อบ่าย พรุ่งนี้แม่สมศรีลงมือปรุงแต่เช้า แป๊บเดียวก็เสร็จค่า”
สมศรีนั่งแกะสลักผักอยู่ไม่ห่างออกไป ก้มหน้านิดๆ รับบัญชาคนรับใช้คนอื่นกำลังจัดจานชามห่างออกไป หม่อมเอียดมองไปรอบๆด้วยความพอใจ
“ดี...แม่อ่อนคุมใกล้ชิดแบบนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องห่วง วังจุฑาเทพไม่ได้จัดงานกันบ่อยๆ จัดแต่ละทีมีแต่คนสนใจ เราจะทำให้เสียชื่อไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องพร้อม และดีที่สุด!”
หม่อมเอียดประกาศก้องอย่างภูมิใจ
บรรยากาศยามค่ำคืนในงาน วงดนตรีเล่นเพลงตามสมัย คึกคัก ไฟระยิบระยับ โต๊ะอาหาร
จัดไว้อย่างสวยหรูดูมีชาติตระกูล ซุ้มอาหารมีทั้งอาหารคาวชุดใหญ่ และอาหารหวานประดับด้วยผลไม้
แกะสลักสวยโดดเด่น หม่อมเอียดและย่าอ่อนอยู่ในชุดผ้าไหมเรียบหรูตามสมัยดูสง่าสมวัย
“เป็นอย่างไรบ้างคะคุณพี่...ทุกอย่างพร้อมและดีที่สุด ถูกใจคุณพี่มั้ยคะ”
“รอให้จบงานก่อน แล้วฉันถึงจะตอบได้ แล้วพวกคุณชาย...แต่งตัวกันเสร็จหรือยัง”
หม่อมเอียดนึกถึงหลานๆ 5 คุณชาย
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 1 (ต่อ)
5 คุณชาย แต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เสื้อผ้า หน้า ผม เข็มขัด รองเท้า เนี้ยบกริบ แต่ละคนหล่อเท่คนละแบบ
หล่อสง่างามแบบธราธร หล่ออบอุ่นแบบปวรรุจ หล่อนิ่งเนี้ยบแบบพุฒิภัทร หล่อเข้มแกมกรุ้มกริ่มแบบรัชชานนท์ และหล่อสดใสขี้เล่นสไตล์รณพีร์
เทวพันธ์เดินเข้ามาในงาน แม้จะสูงวัยแต่ความสง่าอย่างผู้ดียังมีอยู่ ด้านหลัง มารตี และวิไลรัมภาเดินตามมาในชุดเปรี้ยวล้ำนำสมัย วิไลรัมภาใส่กระโปรงบานสั้นเหนือเข่า แต่งหน้าจัดกว่าปกติแต่ไม่จัดจนเกินงาม แต่มารตีจัดเต็มปากแดงเข้มมาแต่ไกล ด้านหลังสองสาว เป็นเกษราเดินตามมาห่างๆเธอมาในชุดสวยหวานไม่หวือหวาแต่เข้ากับหน้าตาและบุคลิคทำให้ดูสง่ากว่าน้องๆ ก่อนจะเดินเข้างาน เทวพันธ์หยุดเดินและหันมามองลูกสาวทั้งสามอีกครั้งด้วยความภูมิใจ
“วันนี้ลูกสาวของพ่อสวยมากๆ พ่อมั่นใจว่าลูกของพ่อจะต้องสวยที่สุดในงาน สวยจนคุณชายทั้ง 5 ต้องตกตะลึง!”
มารตี และวิไลรัมภายิ้มรับหน้าชื่น เกษรายิ้มนิดๆ ไม่เหลิงลอยกับคำชม
หน้าเวทีจัดงานในมุมสวยไฟระยิบระยับคุณชายทั้ง 5 เดินเข้ามาในงาน ธราธรอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยปวรรุจ และพุฒิภัทร ปิดท้ายด้วยรณพีร์อยู่ฝั่งเดียวกับปวรรุจและรัชชานนท์อยู่ฝั่งเดียวกับพุฒิ
ภัทร ทั้ง 5 คนเดินเข้ามาอย่างเท่สุดๆ สะดุดตาคนทั้งงาน หม่อมเอียดกับย่าอ่อนยืนอยู่ในงาน มองคุณชายทั้ง 5 ด้วยความชื่นชม
“เจ้าของงานลงมาแล้ว เราก็เข้าไปรอแขกของเราในบ้านก็แล้วกัน ปล่อยให้พวกคุณชายดูแลแขกกันเอง ตามประสาเด็กๆ ไม่ต้องเกร็งที่มีผู้ใหญ่มานั่งคุม”
“ค่ะคุณพี่”
หม่อมเอียดเดินนำไป ย่าอ่อนเดินตาม ก่อนไปยังหันมามองหลานด้วยความปลื้ม ธราธรเดินนิ่งแต่แววตาอบอุ่น ปวรรุจยิ้มนิดๆ พุฒิภัทรหน้านิ่งแววตาเย็นชามากกว่าธราธรแต่แฝงไว้ด้วยพลังบางอย่างที่สะกดสาวๆได้อยู่หมัด รัชชานนท์มองสาวๆยิ้มกริ่มแอบกวนชวนค้นหา ส่วนรณพีร์มองสาวๆพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างเป็นกันเองสุดๆ สาวๆที่นั่งอยู่ในงานหันมามองด้วยความตื่นเต้น หนุ่มๆก็มองด้วยความชื่นชม
วิไลรัมภา และ มารตี ยืนอึ้งตะลึงงัน
“พี่ชายภัทร...ตัวจริงสมาร์ทกว่าที่คิดไว้อีก” มารตีกระซิบ
พุฒิภัทรเดินเข้ามาในงาน ทักทายกับแขกผู้ใหญ่ วิไลรัมภามองรณพีร์แววตาเป็นประกาย
“พี่ชายพีร์ก็น่ารักกว่าที่เขาร่ำลือ อยู่กรุงเทพด้วยกันมาตั้งนาน บ้านก็ไม่ไกลกัน ทำไมตั้งแต่โตมาถึงไม่เคยเจอกันก็ไม่รู้”
เทวพันธ์หันมาทางวิไลรัมภา
“หลังจากนี้ก็หมั่นมาหาพี่เขาสิ จะได้เจอกันบ่อยๆ”
เกษราส่ายหน้านิดๆกับความคิดของน้องๆและพ่อตัวเอง
“เราไปทักทายพวกคุณชายกันดีกว่า พวกเขาจะได้รู้ว่าเรา...มาแล้ว!” เทวพันธ์พูดต่อ
วิไลรัมภากับมารตีหน้าบาน
“ค่ะคุณพ่อ”
เทวพันธ์เดินนำไปอย่างมั่นใจ วิไลรัมภา มารตีเดินประกบอย่างภูมิใจ ราวกับเป็นเจ้าของเสียเอง เกษรามองแล้วก็แอบหน่ายใจ เดินตามไปแบบเสียไม่ได้
ปวรรุจเป็นคนแรกที่หันมาเห็นแขกที่กำลังเดินมา เขาหันมาบอกอีก 4 หนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน
“บ้านเทวพรหมมาแล้ว”
รณพีร์ รัชชานนท์หันขวับ ธราธรและพุฒิภัทรหันตามไป เทวพันธ์เดินนำเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้ม สามสาวเดินตามมา วิไลรัมภา มารตียิ้มกว้าง รณพีร์ตาวาวนิดๆกับความเปรี้ยวสะดุดตา รัชชานนท์ยิ้มกริ่ม...ไม่เลว ธราธรยกมือไหว้เป็นคนแรก
“สวัสดีครับคุณอา”
ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ไหว้ตาม
“สวัสดีครับ”
เทวพันธ์รับไหว้
“สวัสดี” เทวพันธ์มองพุฒิภัทรและรัชชานนท์ “ชายภัทรกับชายเล็กเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ ถ้าไม่บอก อาคงจำไม่ได้...ชายพีร์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่จบไฮสคูลกลับมาก็เข้าเรียนนายร้อย อาก็ไม่เคยได้เจอเลย”
รณพีร์ยิ้มรับแต่ตามองมาที่วิไลรัมภาไม่วางตา จนเทวพันธ์รู้สึกได้ รีบพูดขึ้น
“เกษรา มารตี วิไลรัมภา สวัสดีคุณชายสิลูก”
สามสาวยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ห้าคุณชายรับไหว้
“สวัสดีครับ”
ธราธรพูดขึ้นอย่างสุภาพ
“เชิญคุณอาทางนี้เลยครับ หม่อมย่ารออยู่แล้ว”
เทวพันธ์ยิ้มรับ แต่ยังไม่ทันไป รณพีร์พูดขึ้นต่อ
“ฝ่ายสาวๆ นั่งทางโน้นครับ พี่ชายพีร์ พี่ชายภัทร กับพี่ชายเล็ก”
พุฒิภัทรหันมางงๆ แต่รัชชานนท์ยิ้มรับลูก
“...จะช่วยดูแลเอง เชิญครับ”
รณพีร์เดินนำไป พุฒิภัทรจำต้องตามน้ำพร้อมกับผายมือให้เดินนำไปก่อน วิไลรัมภารีบเดินตามไป ตามมาด้วยมารตีที่มองพุฒิภัทรไม่วางตา เกษรากำลังจะเดินไปด้วย ปวรรุจก็พูดขึ้น
“พี่ชายใหญ่คอยต้อนรับคุณเกษเถอะครับ ผมพาคุณอาไปหาหม่อมย่าเอง...หม่อมย่าจัดโต๊ะพิเศษ สำหรับคุณอาและแขกผู้ใหญ่ไว้ด้านใน เชิญครับ”
ปวรรุจเดินนำไปที่ห้องอาหารด้านใน เทวพันธ์เดินตาม
ตรงนั้นเหลือเพียงธราธร และเกษรายืนอยู่กันแค่สองคน ความมีพิธีรีตองเล็กๆ ค่อยๆ แผ่ออกมา
เทวพันธ์เดินตามปวรรุจไป แต่หันมามองลูกอีกที เห็นว่าวิไลรัมภา และมารตี กำลังนั่งที่โต๊ะมีพุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์คอยดูแล ในขณะที่เกษรากำลังยืนอยู่กับธราธร ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี เทวพันธ์ยิ้มนิดๆ ย่ามใจ กะว่าคืนนี้ต้องเป็นคืนของเทวพรหมแน่ๆ
ธราธรยืนอยู่กับเกษรา ต่างคนต่างทำตัวไม่ค่อยถูก ธราธรพูดขึ้นก่อน
“วันนี้น้องเกษ...”
ธราธรกำลังจะพูดว่าสวย...แต่เขาเหลือบไปด้านหลังของเกษราเห็นแขกผู้มาใหม่คือระวีรำไพกำลังเดินมากับอาทิตยรังสีและกัลยา ผู้เป็นภรรยา และระวีรำไพอยู่ในชุดราตรีสวย สง่า ดูแปลกตาไปอย่างคาดไม่ถึง ราวกับเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย ธราธรมองอึ้งอยู่โดยไม่รู้ตัว เขามองตามระวีรำไพราวกับต้องมนต์ ปวรรุจเดินมาหาธราธร แล้วก็ต้องชะงักกับอาการตะลึงงันของพี่ชาย ปวรรุจมองตามสายตาพี่ชายเห็นระวีรำไพเดินเข้างานมากับอาทิตยรังสีและกัลยา มีหนุ่มๆมองตามตลอดงาน ปวรรุจหันกลับมามองธราธรอีกครั้งเห็นยังมองตามไม่วางตา ปวรรุจขมวดคิ้ว ครุ่นคิด...เกษราสงสัย มองธราธร แล้วก็ถามขึ้น
“พี่ชายใหญ่คะ”
ธราธรสะดุ้งนิดๆ ดึงสติกลับมาที่เกษรา
“ครับ”
“พี่ชายใหญ่จะพูดอะไรหรือเปล่าคะ”
ธราธรงงนิดๆ แล้วก็นึกออก
“อ๋อ...คือ...พี่จะบอกว่า...วันนี้น้องเกษสวยมากครับ”
ธราธรชมอย่างจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ”
เกษรายิ้มนิดๆอายเล็กน้อยที่โดนชมแต่ไม่ตื่นเต้นตูมตาม ธราธรหันไปมองทางอาทิตยรังสี กัลยา และระวีรำไพ ที่ยืนอยู่หน้างาน ยังไม่มีใครพาไปที่โต๊ะ ปวรรุจเดินมาเห็นก็พูดขึ้นอย่างรู้ใจ
“พี่ชายใหญ่ครับ ผมพาคุณเกษไปนั่งที่โต๊ะเอง พี่ชายจะได้ไปต้อนรับคุณอาหม่อม กับคุณอากัลยา”
ธราธรคิด แล้วตัดสินใจ
“งั้นพี่ฝากน้องเกษด้วย เรียบร้อยแล้วพี่จะตามไป”
เกษราและปวรรุจยิ้มรับ ธราธรเดินไปหาอาทิตยรังสี
“เชิญครับ”
ปวรรุจเดินนำเกษราไปอย่างสุภาพ หันกลับมามองธราธรนิดๆ แววตาคาใจ
ระวีรำไพยืนอยู่หน้างาน มองซ้ายมองขวาหาเจ้าของงานด้วยความตื่นเต้น เสียงธราธรดังขึ้นจากด้านหลัง
“สวัสดีครับคุณอา”
ระวีรำไพสะดุ้งนิดๆ ใจเต้นโครมครามไม่รู้ตัวเธอค่อยๆหันมาเห็นธราธรยืนอยู่อย่างหล่อ ธราธรยิ้มกว้างให้ ระวีรำไพพยายามระงับความตื่นเต้นและยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่ชายใหญ่”
ธราธรรับไหว้
“สวัสดีครับน้องปราง พี่เกือบจำไม่ได้ สวยมากครับ”
ธราธรชมแบบจริงใจ จริงจัง แต่เป็นธรรมชาติต่างจากที่ชมเกษรา ระวีรำไพยิ้มอาย
“ขอบคุณค่ะ”
ระวีรำไพดีใจ ใจเต้นโครมครามไม่ต่างจากเกษราเช่นกัน อาทิตยรังสียืนมองสองคนคุยกับแล้วก็ยิ้มพอใจ กัลยาลอบมองอาทิตยรังสีอย่างรู้ใจก่อนจะหันมาพูดกับธราธร
“งานจัดได้หรูหรามากค่ะคุณชาย ไม่เสียชื่อวังจุฑาเทพจริงๆ”
กัลยาพูดด้วยความชื่นชม
หม่อมเอียดกับย่าอ่อน ยืนคุยอยู่กับอาทิตยรังสี และกัลยา มีธราธรยืนตรงกลาง ระวีรำไพยืนอยู่ข้างๆ ทั้งหมดอยู่ในห้องกินข้าว ภายในวัง มีเด็กรับใช้ยืนคอยดูแลอยู่ห่างๆ
ทั่วทั้งห้องเงียบ เสียงดนตรีเข้าไม่ถึง...หม่อมเอียดยิ้มรับด้วยความภูมิใจ
“ขอบใจมากจ้ะ นานๆในวังจะมีงานสักที ต้องเต็มที่กันหน่อย”
ย่าอ่อนยิ้มแย้ม
“ดีใจมากเลยนะคะที่คุณชาย กับคุณกัลยามาร่วมงานได้”
“ใช่ นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน งานสุดท้ายก็งานเห็นจะเป็น งานแต่งท่านชายพจน์ ตอนนั้นหนูมะปรางยังตัวเท่าเมี่ยง”
“ดูตอนนี้สิคะ โตเป็นสาวแล้ว ดู๊...ยิ่งโตยิ่งสวย”
ธราธรแทรกยิ้มๆ
“เป็นดรัมเมเยอร์ของมหาวิทยาลัย 3 ปีซ้อน ไม่สวยได้ยังไงครับ”
ระวีรำไพยิ้มอายๆ ก้มหน้างุด น่าเอ็นดู หม่อมเอียดจะหันมาทางอาทิตยรังสี
“เชิญคุณชายนั่งกับป้าในห้องนี้ ส่วนหนูมะปรางให้ชายใหญ่พาไปนั่งกับกลุ่มเด็กๆด้านนอก จะได้สนุกกันเต็มที่”
ระวีรำไพ และธราธรยิ้มรับ ก่อนจะหันมามองหน้ากัน และยิ้มให้กัน อาทิตยรังสีหันมาเห็นพอดี...อาทิตยรังสียิ้มนิดๆที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ เทวพันธ์นั่งอึดอัดๆ อยู่ ในใจคิดถึงแต่เรื่องแต่งงานของลูกๆ อยากรีบๆพูด
เกษรานั่งหน้าเบื่ออยู่ที่โต๊ะ ไม่เห็นสนุกเหมือนที่หม่อมเอียดพูด มีปวรรุจน์นั่งอยู่ข้างๆ ถัดไปเป็นมารตีนั่งส่งสายตาให้พุฒิภัทรที่นั่งห่างออกไป แต่พุฒิภัทรไม่สนใจเท่าไหร่นั่งหน้านิ่งๆ มารตีใส่จริตนิดๆ
“พี่ชายภัทรขา พี่ชายตัดสินใจหรือยังคะว่าจะทำงานที่ไหน”
“ยังเลยครับ”
“มาทำงานโรงพยาบาลเดียวกันมารตีมั้ยคะ”
มารตียิ้มมีหวัง พุฒิภัทรนิ่ง คิด แต่ไม่ได้ตอบ รัชชานนท์นั่งต่อจากพุฒิภัทร ถึงกับอมยิ้มนิดๆ รู้เลยว่าพี่ชายกำลังโดนผู้หญิงทอดสะพาน รัชชานนท์กระดกเครื่องดื่มเข้าปาก กึ่มๆ...รณพีร์นั่งติดกับวิไลรัมภาที่พูดไม่หยุด
“วันนี้เป็นครั้งแรกที่รัมภาทานอาหารแบบบุฟเฟ่ ที่ต้องเดินไปตักเอง เลือกเอง ยกจานอาหารมาที่โต๊ะเอง รัมภาไม่เคยทำเลยนะคะ ปกติจะมีคนรับใช้ทำให้ตลอด แค่รัมภามานั่งที่โต๊ะอาหารทุกอย่างก็วางพร้อมแล้ว แต่จะว่าไป...ได้ทำเองบ้างก็ดีนะคะ ทำให้รัมภาได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตของคนธรรมดา ที่ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนเหมือนพวกเรา”
“ครับ”
รณพีร์คิดในใจแหะๆ พูดเยอะจัง วิไลรัมภาแปลกใจ
“ทำไมพี่ชายพีร์พูดน้อยจังเลย ตั้งแต่คุยกันมา พี่ชายพีร์พูดแต่ ครับ แล้วก็ ครับ เอ๊ะ หรือว่า...รัมภาพูดมากเกินไป”
รณพีร์ลืมตัว
“ครับ !”
วิไลรัมภาหน้าเสีย รัชชานนท์กลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน รณพีร์รู้สึกตัวรีบแก้
“เอ้ย...ไม่ใช่ครับ น้องรัมภาไม่ได้พูดมากเกินไปเลยครับ แหะๆ”
รณพีร์ยิ้มกลบเกลื่อน วิไลรัมภายิ้มเชื่อ เกษราฟังน้องๆแล้วก็เหนื่อยใจ หันมาถามปวรรุจที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณชายรุจคะ เกษขอไปล้างมือหน่อยนะคะ”
“เชิญครับ ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังนี่เองครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เกษราลุกเดินออกไป...เธอเดินเข้ามาในห้องน้ำ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“เฮ่อ...”
เกษรารู้สึกหนักอก หนักใจ และไม่สนุกกับงานเป็นอย่างมาก
ชินกรเดินเข้ามาในงาน เขามองไปรอบๆ ประหม่านิดๆ ไม่รู้จักใคร ชินกรมองหา ทันใดนั้นเสียงธราธรดังขึ้น
“อาจารย์ชินกร”
ชินกรหันไปตามเสียง เห็นธราธรกับระวีรำไพเดินมา ระวีรำไพยกมือไหว้อย่างสวย
“สวัสดีค่ะอาจารย์ชินกร”
เกษราเดินออกจากวัง มองเข้าในงาน สูดลมหายใจเข้าปอด เตรียมเข้างานอีกครั้ง...ธราธรพูดกับชินกรด้วยความสุภาพ
“เชิญอาจารย์ชินกรมานั่งด้วยกันทางนี้ครับ ผมจะแนะนำให้รู้จักกับน้องๆ”
“ครับ”
ชินกรรับคำแล้วก็หันหน้าเข้ามาในงาน กำลังจะเดินตามธราธรไป ทันใดนั้นเองเกษราก็เดินเข้างานมาอย่างช้าๆ ในระยะไม่ห่างมาก ชินกรปรายตาไปเห็นพอดีเขาถึงกับชะงักงัน อึ้งตะลึงเหมือนอยู่ในฝัน เกษราหันมาเห็นชินกรพอดีก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงเหมือนกัน และทั้งสองคนก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“คุณ!”
ธราธรและระวีรำไพหันมาด้วยความแปลกใจ เกษราและชินกรมองหน้ากันต่างคนต่างตะลึง ธราธรถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“น้องเกษ กับอาจารย์ชินกรรู้จักกันด้วยเหรอครับ”
เกษรากับชินกรตอบพร้อมกัน
“ไม่รู้จักค่ะ / ไม่รู้จักครับ”
ธราธรงง
“อ้าว...แล้ว...”
ชินกรรีบอธิบาย
“คือเราสองคนเจอกันโดยบังเอิญเมื่อสามสี่วันก่อน มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน่ะครับ แต่เรายังไม่ได้คุยกัน ก็เลยยังไม่รู้จักกัน”
ธราธรยิ้ม
“ผมแนะนำให้รู้จักกันเองครับ” ธราธรหันมาทางระวีรำไพ “น้องมะปรางด้วย จะได้รู้จักกันทั้งหมด”
ธราธรหันมาทางเกษรา ระวีรำไพยิ้มรับอย่างสดใส ธราธรแนะนำ
“น้องปรางครับ นี่หม่อมหลวงเกษรา แห่งวังเทวพรหม”
ระวีรำไพยกมือไหว้ เกษรารับไหว้
“น้องเกษครับ นี่อาจารย์ชินกรเพื่อนพี่ที่กรมศิลป์”
เกษรายกมือไหว้ ชินกรรับไหว้
“และน้องมะปราง หม่อมหลวงระวีรำไพ แห่งวังแสงอาทิตย์”
เกษรายิ้มให้ระวีรำไพ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณปราง”
“เช่นกันค่ะคุณพี่”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร ชินกรมองเกษราแววตาชื่นชมเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ธราธรมองทุกคนด้วยความพอใจ ทั้งสี่คนไม่รู้เลยว่าจากการรู้จักกันในครั้งนี้จะนำพาไปพบกับความผูกพันอันยิ่งใหญ่ภายในเวลาอีกไม่นาน เสียงดนตรีคึกคักดังแทรกเข้ามา
“ดนตรีเริ่มแล้ว ไปเต้นรำกันเถอะ”
ธราธรพูดอย่างอารมณ์ดี
วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงเต้นรำ รณพีร์โพล่งขึ้นมา
“ผมขอเปิดฟลอร์นะครับ”
วิไลรัมภาตาโตวาวว่าเป็นฉันแน่ๆ พุฒิภัทรหันมาปราม
“ชายพีร์ เราเป็นเด็กรอก่อน ต้องให้ผู้ใหญ่มาเปิด”
มารตีหันมาถาม
“แล้วอย่างพี่ชายภัทรเป็นผู้ใหญ่พอหรือเปล่าคะ”
“ก็พอ...”
มารตียิ้มกว้าง
“แต่พี่ไม่ชอบเต้นรำ”
มารตีหุบยิ้มทันที...เซ็งเลย รัชชานนท์หันไปเห็นธราธรเดินมาพอดีก็พูดขึ้น
“ผู้ใหญ่ตัวจริงมาโน่นแล้วครับ”
ทุกคนหันไป เห็นธราธรเดินมา ระวีรำไพและเกษราเดินประกบมา ชินกรเดินรั้งท้าย รณพีร์มองระวีรำไพตาเป็นประกาย ธราธรเห็นทุกคนมองมาก็ถามด้วยความแปลกใจ
“คุยอะไรกันอยู่ ทำไมมองพี่แปลกๆ”
ปวรรุจทำหน้าที่รายงาน
“ชายภัทรยังไม่อนุญาตให้ชายพีร์เต้นรำ ให้รอพี่ชายใหญ่มาเปิดฟลอร์น่ะครับ”
รณพีร์เดินพรวดมาหาธราธรแล้วก็ถามด้วยความอยากรู้
“ว่าแต่บิ๊กบอส...รู้หรือยังว่าจะเลือกใครเป็นคู่เต้นรำ”
ธราธรชะงักไป เกษรา และระวีรำไพก็ชะงักตามไปด้วย ต่างคนก็ต่างคิดว่าอาจจะเป็นตัวเอง แอบก้มหน้านิดๆ อายต้องเป็นเราแน่ๆ
ธราธรค่อยๆ หันมามองเกษรา แล้วก็หันมามองระวีรำไพ...จะตัดสินใจเลือกใครดี
ติดตาม สุภาพบุรุษจุฑาเทพ "คุณชายธราธร" ตอนที่ 2