แผนร้ายแผนรัก ตอนที่ 3
ทางด้านนภาจรีเกลียดขี้หน้าพเยีย จนไม่อยากลงไปร่วมงานเลี้ยง ยังอยู่ในชุดสบายๆ โดยนั่งเล่นอยู่กับน้องหมาปุยฝ้ายที่ในห้อง เชิดหน้าตอบนภัสรพีผู้เป็นพี่ชายที่เข้ามาหา
“น้องไม่สบายค่ะ ปวดศีรษะ คงจะลงไปร่วมงานไม่ได้”
นภัสรพีที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พูดตำหนิเสียงเข้มอย่างรู้เท่าทัน
“โกหกไม่เป็นก็อย่าริโกหก ทำแบบนี้ มันดูถูกทั้งพี่ ดูถูกทั้งตัวเอง”
นภาจรีลุกขึ้นยืน ประสานสายตาอย่างไม่หวั่นเกรง
“ค่ะ น้องไม่โกหกก็ได้ น้องสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร แต่น้องไม่อยากลงไปร่วมงาน พี่ชายพอใจหรือยังคะ”
“หญิงนภา งานจัดที่บ้านของเราเองแท้ๆ แต่เธอไม่ลงไป คนอื่นเค้าจะคิดยังไง” นภัสรพีตำหนิ
“ใครจะคิดยังไงก็ช่าง น้องไม่สนใจ น้องไม่เชื่อว่านังเด็กพเยียเป็นลูกของดารา น้องไม่ยอมรับมัน พี่ชายจะเอาเด็กข้างถนน มายกย่องให้เป็นทายาทศิวาวงศ์ก็ตามใจ น้องไม่ว่า แต่จะให้น้องไปปั้นหน้าว่าชื่นชมยินดีซะเหลือเกิน น้องทำไม่ได้ ขอประทานโทษด้วยค่ะ”
นภาจรีเมินหน้า หันหลังให้ นภัสรพีมองอย่างหนักใจ
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ช่วงบ่าย เสียงเพลงบรรเลงอย่างไพเราะอยู่มุมหนึ่ง อีกมุม นภัสรพีกำลังทักทายญาติผู้ใหญ่ เป็นชายอายุ 80 ปี ท่าทางสง่าเดินมากับหญิงวัย 50 ปี ที่แต่งตัวดูภูมิฐานคนหนึ่ง
“ยินดีด้วยนะ คุณชาย” ญาติผู้ใหญ่ชายยิ้มๆ
“ขอบคุณมากครับ”
“แล้วหลานสาวคนใหม่อยู่ไหนกันล่ะจ๊ะ” ญาติผู้ใหญ่หญิงถาม
“แม่เค้ากำลังไปตามลงมา” หันไปเห็นนภดารา “โน่นไงครับ คุณหญิงมากันโน่นแล้ว”
ทุกคนมองไปที่บันไดห้องโถง นภดาดาราจูงพเยียเดินลงบันไดมา พเยียดูสวยสุดๆ หน้าผมจัดเต็ม สวมเดรสสั้นลูกไม้อย่างหรู เกือบจะกลางคืน แต่ก็ดูดี ใส่เพชรพลอยวูบวาบ
เต็มที่ เดินลงมาด้วยมาดของเจ้าหญิง
ช่างภาพถ่ายภาพกันใหญ่ พเยียยิ้มอย่างสุขสุดๆ นภดารามองพเยียอย่างปลื้มปริ่ม นภัสรพีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาด ไม่เชิงภูมิใจ ออกไปในเชิงปลงๆ
“นั่นแหละครับ พเยีย ศิวาวงศ์”
นภดาราพาพเยียเข้ามาไหว้ญาติผู้ใหญ่ ที่ยืนอยู่กับนภัสรพี พูดแนะนำ
“นี่ท่านชายนพ เป็นลูกผู้พี่ของคุณตา มีศักดิ์เป็นท่านตาอีกคนของหนู นี่หลานพเยียค่ะ ท่านลุง”
พเยียไหว้อ่อนหวาน “พเยียกราบท่านตาค่ะ”
นภดาราแนะนำต่อ “ส่วนนี่ก็หม่อมราชวงศ์ วิภาวลัย ลูกสาวของท่านตา หนูเรียกว่าคุณป้าหญิงก็ได้จ้ะ”
“กราบคุณป้าหญิงค่ะ”
“ไหว้พระเถอะลูก”
นภัสรพีหันไปเห็นเจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีเดินเข้ามา หน้าตายิ้มแย้ม
“อ้าว แสงโชติมา” ประมุขวังศิวาลัยหันไปทางญาติผู้ใหญ่ “ผมต้องขอประทานอภัย ท่านชาย”
“เชิญไปรับแขกเถอะ คุณชาย เชิญๆ”
นภดารากับนภัสรพีเดินนำพเยียเข้าไปหา เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลี ไหว้นภัสรพีอย่างนอบน้อม นภัสรพีตบไหล่ทักทายแสงโชติอย่างคุ้นเคยกันในฐานะญาติสนิท
“แสงโชติ ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มา” หันมาทางพเยีย “พเยีย มารู้จักกับเจ้าลุงแสงโชติ และนี่เจ้าป้ามลุลี”
“สวัสดีค่ะ” พเยียยิ้มแย้ม ไหว้อ่อนช้อย
“ยินดีด้วยนะจ๊ะ ดารา ได้ลูกสาวกลับคืนมา เป็นสาวสวยเลยเชียว” เจ้ามลุลียิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ เจ้าพี่ เอ๊ะ แล้วนี่ มากันสองคนเองเหรอคะ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงของชิษณุพงษ์ดังขึ้นด้านหลัง น้ำเสียงสดใส
“ผมอยู่นี่ครับ”
ชิษณุพงษ์สวมแว่นกันแดดสีชาอันโต มาดเท่ เดินเข้ามา หน้าตายิ้มแย้ม ไหว้กราดทักทายทุกคน
“สวัสดีครับ คุณปู่ คุณอา”
“สวัสดีจ้ะ ชิษณุมาก็ดีแล้ว จะได้รู้จักกันเอาไว้” นภดาราเบี่ยงตัว ให้พเยียเห็นชัดๆ “นี่พเยีย ลูกสาวของอาจ้ะ พเยียจ๊ะ นี่ชิษณุพงษ์ ลูกชายของเจ้าลุง”
พเยียกำลังจะยิ้มให้ชิษณุพงษ์ แต่แล้วพอเห็นหน้าชัดๆ ก็ชะงัก ชิษณุพงษ์ถอดแว่นกันแดดออก ยิ้มกว้าง มองพเยียเต็มตา
“สวัสดีครับ คุณพเยีย ไม่ทราบว่าจำผมได้ไหม”
พเยียหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ นิ่งอึ้ง ตะลึงงัน ทำหน้าไม่ถูก นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนเจอชิษณุพงษ์ครั้งแรก
วันนั้นที่บ้านชิษณุพงษ์ที่เชียงใหม่ พเยียวิ่งออกมาจากบ้าน กอหญ้ากับลุงเติมวิ่งตามมา
“เดี๋ยวก่อน พเยีย จะไปไหน”
“จะกลับแล้ว ฉันไม่เอาหรอก ดูแลคนตาบอดทั้งวัน เหนื่อยตาย”
“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ หนู ไหนตอนแรกว่าอยากหารายได้พิเศษไง” ลุงเติมแปลกใจ
กอหญ้า “ช่วยเค้าหน่อยเถอะนะ พเยีย เค้าน่าสงสารออก”
“แกดูไปคนเดียวเถอะ ฉันไปหาเงินทางอื่นดีกว่า ไปล่ะ” พเยียว่า
ชิษณุพงษ์ได้ยินตะโกนออกมาจากในบ้าน “ไปเลย จะไปไหนก็ไปเลย ฉันไม่ต้องการใครทั้งนั้น ไสหัวไป ไป๊”
พเยียด่ากลับ “ไม่ต้องมาไล่หรอก ฉันไปแน่ ไอ้บอด...อ๊าย”
ชิษณุพงษ์คว้าของในบ้านขว้างออกมาไม่นับ เฉียดหัวพเยีย กอหญ้ากับลุงเติมหลบแทบไม่ทัน พเยียวิ่งหนีไป ด่าดังลั่น
ทุกสายตามองมาที่พเยีย
“สองคนนี้เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอนี่” นภัสรพีถาม
พเยียส่ายหน้า ปฏิเสธปากคอสั่น
“ม..ไม่ทราบซีคะ พเยียจำไม่ได้”
ชิษณุพงษ์เล่าต่อ “ผมเคยไปพักฟื้นอยู่ใกล้ๆ กับโบสถ์บนเขา ลุมเติมเคยพาจ้างคนจากบ้านเด็กกำพร้า ชื่อพเยีย มารับจ้างดูแลผม แต่ว่า...”
พเยียเห็นชิษณุพงษ์ทำท่าเหมือนจะพูดอีกยาว รีบพูดตัดบท
“ไม่รู้สิคะ พเยียความจำไม่ค่อยดีน่ะค่ะ จำคนไม่ค่อยเก่ง ขอโทษทีนะคะ” รีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณแม่ขา พเยียขอตัวไปทำธุระส่วนตัวแป๊บนึงนะคะ”
พูดจบพเยียเดินหนีไปเฉยเลย ทุกคนมองตาม งงๆ
“แปลก ผมจำเสียงเค้าได้ ต้องเป็นพเยียคนเดียวกันแน่ๆ ทำไมเค้าต้องแกล้งทำเป็นจำผมไม่ได้”
นภัสรพีมองหน้านภดาราเป็นเชิงตำหนิ นภดาราแก้แทน
นภดารากับชิษณุพงษ์ “พเยียแกคงจะอาย ไม่อยากให้ใครมารื้อฟื้น ว่าแกมาจากไหน .. เด็กมีปมด้อยก็แบบนี้ล่ะจ้ะ หลานอย่าถือสาเลยนะจ๊ะ”
ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับ แต่ยังไม่คลายสงสัยในตัวพเยีย
อรรถกับสกุณาเพิ่งมาถึงเดินเข้าในงาน ในมือมีกล่องของขวัญ สกุณาซุบซิบนินทา
“มันน่าสงสัยไหมล่ะคะ จู่ๆ คุณนภดาราก็มีลูกสาวตัวเบ้อเร่อเบ้อร่าโผล่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน”
“เห็นว่าถูกส่งไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัดตั้งแต่เกิด เพิ่งจะรับกลับเข้ามาอยู่ที่วังศิวาลัย เลยจัดงานเลี้ยงเปิดตัวกันเป็นการใหญ่”
“อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงเด็ก ฉันหมายถึงว่า คุณนภดาราไม่ได้แต่งงาน จู่ๆ มีลูกขึ้นมาได้ยังไง ใครเป็นพ่อเด็กคะ”
“เห็นว่าเป็นคนในวังนี้แหละ รักกันแต่ยังไม่ทันได้ตกแต่ง ก็มาตายไปซะก่อน”
สกุณาหัวเราะคิกคักชอบใจ “แหม คุณดาราเห็นท่าทางหงิมๆ ไม่นึกว่าจะไวไฟ ยัยเด็กนี่ก็โชคดีชะมัด” สีหน้าวาดหวังขณะพูดประโยคต่อมา “หลานสาวคนเดียวของคุณชายนภัส มรดกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ลำพังแค่วังศิวาลัยที่เดียว มูลค่าก็ไม่รู้กี่ร้อยล้านเข้าไปแล้ว น่าเสียดาย ลูกชายคุณมันตาต่ำ”
“อย่าไปพูดถึงมันเลยน่ะ”
“ไม่พูดไม่ได้หรอกค่ะ” อรรถพยักเพยิดไปทางหน้าประตู “เพราะมาโน่นแล้ว”
สองคนหันไป เห็นรถของอิศรแล่นมาจอด อิศรมากับกอหญ้า อรรถชักสีหน้า ไม่พอใจ
อิศรเดินมากับกอหญ้า กอหญ้าชะงักเท้า มองเข้าไปในบ้าน เห็นแต่คนที่เธอไม่รู้จัก กอหญ้าอิดออด ไม่ยอมเดินต่อ
“ฉันไม่รู้จักใครซักคน ไม่รู้จะให้ฉันมาทำไม”
“ก็มาเป็นเพื่อนฉันไง” อิศรกวน “อ้อ ไม่ใข่สิ เป็นคู่รัก”
“คู่รักอะไร มั่ว ฉันเพิ่งรู้จักกับคุณได้ไม่กี่วัน เราจะรักกันได้ยังไง”
“ก็รักแรกพบไง” อิศรยั่ว “เธอจำไม่ได้เอง เอ้า จะไปรึยัง หรือจะให้อุ้มอีก” กอหญ้าเชิดเชอะ ใส่ อิศรทำท่าเจ้าชู้ “อุ้มก็อุ้ม มา ชอบใช่ไหม”
อิศรจะเข้าไปอุ้ม กอหญ้าเขิน ผลักอิศรให้ออกไปห่างๆ อิศรตวัดวงแขนกอดตัวกอหญ้ามาโอบไว้ กอหญ้าทุบอิศร แล้ววิ่งหนี แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสกุณากับอรรถยืนอยู่หน้าตาบึ้งตึง
“แกนึกยังไง ถึงได้พา...” ไม่อยากเอ่ยชื่อ พยักเพยิดไปทางกอหญ้า “มาที่นี่”
“กอหญ้าเป็นแฟนผม ทำไมจะมาไม่ได้ ทีพ่อยัง...” อิศรปรายตามองไปยังสกุณา
กอหญ้าดึงแขนอิศรปราม “พอเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกันเพราะฉันเลย อายเค้า”
สกุณาสอดขึ้นมา จงใจด่ากอหญ้า “พวกฉันต่างหากที่ต้องอาย อยู่ดีๆ ก็มีเด็กข้างถนน มาจากไหนไม่รู้ มาทำตัวเหมือนเป็นญาติ นี่ถามจริงๆ เถอะ ใจคอจะเกาะคุณอิศรเป็นปลิงไปทุกที่เลยหรือไง”
อิศรฉุนกึก “นี่ เธอ”
อิศริไม่ทันจะตอบโต้ กอหญ้าเสียใจ จะวิ่งหนีกลับออกไป อิศรขวางไว้
“กอหญ้า เดี๋ยวก่อน”
กอหญ้าหันไปอีกทาง เดินแกมวิ่งหนีไปในสวนด้านหนึ่งของวังศิวาลัย อิศรจะตาม อรรถคว้าแขนไว้
“เจ้าอิศร”
อิศรสะบัดหลุด แล้ววิ่งตามกอหญ้าไป
นภดาราเดินเข้ามาหาแม่ชื่น ดึงหลบมุมมา แล้วถามอย่างหนักใจ
“ตกลงว่าไงจ๊ะ แม่ชื่น หาคุณหนูเจอไหม”
“ไม่ได้อยู่ในบ้านแน่ค่ะ ชื่นหาจนทั่วแล้ว ไม่รู้หนีไปหลบอยู่ตรงไหน แขกผู้ใหญ่ถามหาตัวกันให้วุ่น นี่คุณชายก็ชักจะโมโหแล้วนะคะ”
“ชื่นลองไปดูในบ้านอีกทีนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยหาข้างนอกนี่เอง”
นภดาราออกเดินเข้าไปในสวน มองหาพเยียต่อไป
นภดาราเดินเข้ามาที่สวนด้านหน้า ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกๆ จึงหันขวับไปดู ที่หลังพุ่มไม้ นภดาราเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งชันเข่า ซบหน้าร้องไห้ ร่างนั้นดูบอบบาง น่าทะนุถนอม นภดารามองนิ่ง รู้สึกสงสารจับใจอย่างประหลาด
กอหญ้าเช็ดน้ำตาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นนภดารายืนอยู่ตรงหน้า เยื้อนยิ้มบางๆ สีหน้าอ่อนโยน แววตาเปี่ยมปราณี แสงแดดยามบ่ายสาดส่องใบหน้าของเธอหวานละมุน ดูเหมือนนางฟ้าใจดี
“ร้องไห้ทำไมคะ หนู” นภดาราลงนั่งข้างๆ “เสียใจเรื่องอะไร”
เสียงนภดาราหวานนุ่มนวล กอหญ้ารู้สึกไว้ใจผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด อยากคุยด้วย อยากระบายให้ฟัง
“หนูไม่อยากอยู่ที่นี่เลยค่ะ อยากไปให้พ้นๆ แต่ไม่รู้จะไปไหน”
นภดาราแปลกใจ “ทำไมล่ะคะ ทำไมถึงอยากไปให้พ้นๆ” ยิ้มสัพยอก “ที่นี่ไม่ดียังไง”
“ที่นี่มีแต่คนดูถูกคน ไม่มีใครต้อนรับหนู ไม่มีใครอยากให้หนูอยู่ที่นี่” กอหญ้าว่า
“ใครว่าจ๊ะ” นภดารายิ้มแย้ม ถ้า “ที่นี่” ที่หนูว่า หมายถึงที่บ้านนี้ล่ะก้อ ฉันขอบอกเลยว่า ฉันเต็มใจต้อนรับหนู” กอหญ้ามองอย่างแปลกใจ นภดารายืดตัวอย่างสง่างามขณะแนะนำตัว “ฉันชื่อนภดาราจ้ะ หม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ และที่นี่คือบ้านของฉัน”
กอหญ้าตกใจ “อุ๊ย คุณนภดารา!” รีบยกมือไหว้ “หนูขอโทษค่ะ”
นภดาราส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ยิ้มใจดี “แล้วหนูล่ะจ๊ะ หนูชื่ออะไร”
กอหญ้ายังไม่ทันตอบ อิศรก็ตามมาพอดี
“เค้าชื่อกอหญ้าครับ คุณอา”
นภดารายิ้ม “อิศร”
อิศรยกมือไหว้ เข้ามายืนชิด จับแขนกอหญ้าไว้ แสดงความเป็นเจ้าของ
“กอหญ้ามากับผมครับ แต่มีคนไปหาเรื่องเค้า เค้าเลยหนีผมมาหลบอยู่ที่นี่”
กอหญ้าเอาศอกกระแทกอิศรให้ออกห่าง นภดารามองกอหญ้าอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ กอหญ้า ที่นี่เป็นบ้านของฉัน หนูเป็นแขกของฉัน”
พลางนภดารายื่นมือไปตรงหน้ากอหญ้า กอหญ้ายิ้มออกมา วางมือของเธอลงในมือของนภดาราอย่างเชื่อใจ ไว้ใจ นภดารากุมมือกอหญ้า ให้ความอบอุ่น
“ไปกับฉัน แล้วไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
“ค่ะ”
นภดาราจูงกอหญ้าเดินไป มีอิศรเดินตามหลัง กอหญ้าลอบมองนภดาราด้วยความรักอย่างสนิทใจ
ด้านแม่ชื่นเดินมองหาพเยีย ผ่านบริเวณหน้าห้องน้ำจึงร้องเรียก
“คุณหนูคะ คุณหนู คุณหนูพเยีย อยู่ไหนคะ”
พเยียยืนหลบตั้งสติอยู่มุมห้อง ได้ยินเสียงแม่ชื่นก็รวบรวมความมั่นใจ เดินออกมา
“อยู่นี่” พเยียเชิดหน้าถาม “มีอะไร”
หัวหน้าแม่บ้านมองตรงๆ อย่างตำหนิ “คุณดาราให้หาค่ะ มีแขกสำคัญที่อยากให้คุณหนูรู้จักเอาไว้”
“แล้วไอ้บอด... เอ๊ย นายชิษณุพงษ์อะไรนั่นน่ะ กลับไปหรือยัง”
ชิษณุพงษ์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“ยังครับ”
พเยียอึ้ง ชิษณุพงษ์เดินเข้ามาหาพเยีย
“ผมเดินตามหาคุณอยู่ตั้งนาน มีเรื่องสำคัญอยากจะถาม”
พเยียหน้าเสีย รีบอ้าง
“ฉันต้องรีบไปหาคุณแม่ ไปสิ แม่ชื่น ไป”
ชิษณุพงษ์ขวางไว้ แล้วหันไปบอกแม่ชื่นอย่างสุภาพ
“ผมขอถามอะไรคุณพเยียสองสามคำเท่านั้น นะครับ”
แม่ชื่นพยักหน้า แล้วเดินเลี่ยงออกไปนิดนึง แต่ตาจ้องเป๋ง อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร พเยียหมดทางหนี หน้าเสีย
“จะถามอะไรก็ว่ามา”
ชิษณุพงษ์ถาม “กอหญ้าอยู่ที่ไหน”
พเยียตกใจ แล้วรีบปฏิเสธกลบเกลื่อน “พูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง”
พร้อมกันนั้นพเยียจะเดินหนี ชิษณุพงษ์คว้าแขนไว้ พูดคาดคั้นอย่างสุภาพ
“คุณอาดาราเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว คุณนั่งรถลงมาจากเชียงใหม่พร้อมคุณแม่ยุพา ลุงเติมบอกผมว่ากอหญ้าก็อยู่ในรถคันนั้นด้วย แล้วเค้าหายไปไหน”
“ฉันไม่รู้”
ชิษณุพงษ์ไม่เชื่อ “อะไร! เพื่อนหายทั้งคน คุณไม่สนใจ ไม่คิดจะตามหาเลยเหรอ”
พเยียย้อน “ตามยังไง ตำรวจเค้ายังไม่รู้เลยว่ามันหายไปไหน รถคว่ำไม่รู้กี่ตลบ ฉันฟื้นขึ้นมาก็เห็นคนอื่นตายไปหมดแล้ว ไม่แน่ นังกอหญ้ามันอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
พเยียสะบัดหลุด แล้วเดินหนีไปไวๆ ชื่นรีบตาม ทิ้งชิษณุพงษ์ให้ยืนอึ้งกับข่าวใหม่ของกอหญ้าที่ได้ยินอยู่อย่างนั้น
แผนร้ายแผนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ขณะเดียวกันกอหญ้ากำลังไหว้ทักทายนภัสรพีอย่างนอบน้อม นภัสรพีรับไหว้ มองอย่างเอ็นดู
“ชื่อกอหญ้าเหรอ” คุณชายทักยิ้มๆ ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก “ชื่อคุ้นๆ นะ เหมือนฉันเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”
นภดาราคุยให้ฟังใบหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนนี้หนูกอหญ้าพักอยู่ที่บ้านอิศรนี่เองค่ะ คุณพ่อ บ้านติดกัน แถมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกพเยีย ลูกเลยอยากให้คบหากันเอาไว้” นภดาราหันมาพูดกับกอหญ้า “ฉันอยากให้พเยียมีเพื่อน”
“ดีครับ กอหญ้าก็จะได้มีเพื่อนเหมือนกัน” อิศรเห็นด้วยหันมาถามกอหญ้า “ดีไหม”
กอหญ้ารับปาก “ค่ะ”
แม่ชื่นเดินนำพเยียเข้ามาพอดี พเยียส่งเสียงนำมาก่อนตัว
“คุณแม่ขา พเยียมาแล้วค่ะ”
นภดาราหันไปหา พเยียกอดประจบ ไม่ทันเห็นกอหญ้าที่ยืนแอบหลังอิศรอยู่ด้วยความเจียมตัว
“คุณแม่เรียกหาพเยียเหรอคะ”
“จ้ะ แม่จะแนะนำให้หนูรู้จักกับคุณอิศร ลูกคุณลุงอรรถที่อยู่บ้านติดกับเรา” นภดาราหันไปหาอิศร “อิศรจ๊ะ นี่พเยียจ้ะ”
พเยียเห็นอิศร ยิ้มหวานหว่านเสน่ห์สุดๆ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
อิศรยิ้มตอบ
“สวัสดีครับ” อิศรดึงกอหญ้ามาแนะนำ “แล้วนี่แฟนผมครับ ชื่อกอหญ้า”
พเยียชะงัก ในจังหวะที่กอหญ้าก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างอิศร
กอหญ้ายิ้มสดใส “สวัสดีค่ะ คุณพเยีย”
พเยียตกตะลึง อึ้ง ตัวแข็งทื่อ เหมือนโดนผีหลอก นภัสรพี นภดารา และชื่นสังเกตเห็น มองพเยียด้วยความแปลกใจ
“พเยีย เป็นอะไรไปลูก” นภดาราถาม
พเยียไม่ได้ยินนภดารา พึมพำ “แก...”
พเยียถอยหลังกรูด ใจสั่นทำอะไรไม่ถูก นภดารากับนภัสรพียิ่งแปลกใจ
นภัสรพีดุ “พเยีย”
พเยียสะดุ้งเฮือก หันไปมองนภัสรพี เห็นสีหน้าดุดัน พเยียหันหลังกลับ วิ่งหนีไป
อิศร กอหญ้ามองตามงงๆ นภดาราทั้งตกใจ ทั้งแปลกใจ
“พเยีย... ลูก” นภดาราหันมาหาอิศรและกอหญ้า “พเยียเป็นอะไรไปไม่ทราบ อาขอตัวไปดูลูกก่อนนะจ๊ะ”
นภดาราจะวิ่งตามพเยียไป นภัสรพีคว้าแขนไว้
“ไม่ต้อง ดารา ไม่ต้องไป”
สีหน้านภัสรพี โกรธ เอาเรื่องสุดๆ
พเยียหลบเข้าในห้องตัวเอง หวาดกลัวและกลัดกลุ้มมาก เดินพล่านไปมา
“นังกอหญ้า มันยังไม่ตาย มันยังไม่ตาย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พเยียสะดุ้งเฮือก ได้ยินเสียงแม่ชื่นตะโกนเข้ามา
“คุณหนูคะ เปิดประตูด้วยค่ะ”
พเยียลนลาน มือไม้สั่นไปหมด
พูดกับตัวเอง “ซวยแน่ ฉันจะทำยังไงดี หนี ต้องหนี” รีบตะโกนตอบ “ออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป”
ที่หน้าห้องเวลานั้น แม่ชื่นยืนอยู่กับนภัสรพี ที่หน้าตาโกรธจัด
“ท่าทางไม่ยอมเปิดแน่ค่ะ คุณชาย ไขกุญแจเข้าไปเลยไหมคะ”
นภัสรพีเดินเข้าไปเคาะประตู พูดเสียงหนัก
“พเยีย เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ส่วนในห้อง พเยียที่กำลังเก็บเครื่องเพชร ของมีค่าทั้งหมดใส่กระเป๋าถึงกับชะงัก หน้าซีดเผือด เสียงนภัสรพีดังขึ้นอีก
“ฉันบอกให้เปิดประตู ได้ยินไหม นี่เป็นคำสั่ง”
พเยียเอาสร้อยเพชร แหวนเพชร ยัดใส่ในอกเสื้อมือไม้สั่น
ครู่ต่อมาพเยียเปิดประตู หน้าตาหวาดหวั่น เห็นว่าที่หน้าประตูห้องนภัสรพียืนอยู่กับชื่น
“เห็นที ฉันคงต้องจัดการกับเธอให้เด็ดขาด”
นภัสรพีเดินเข้าไปในห้องพเยีย ปิดประตู พเยียยืนตัวสั่น หน้าซีด นภัสรพีดุเสียงเข้ม
“เธอทำอะไรของเธอ พเยีย”
“คือ...คือหนู...”
พเยียอึ้ง อึกอัก ไม่รู้ว่านภัสรพีรู้อะไรมาบ้าง นึกข้อแก้ตัวไม่ออก ได้แต่ยืนหน้าซีด ปากสั่น
“จากเด็กกำพร้ายากจน ฉันให้โอกาสเธอ ชุบตัวจนเป็นเจ้าหญิง นึกไม่ถึงเลย ว่าเธอจะทำตัวเลวร้ายอย่างนี้”
พเยียเข้าใจผิด ลนลานแก้ตัว “หนู...หนูผิดไปแล้วค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ” พเยียคุกเข่าลงยกมือไหว้ปลกๆ “อย่าทำอะไรหนูเลยค่ะ ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ”
นภัสรพีเสียงดัง “ไม่ได้!” พเยียแทบช็อก “เธอเป็นคนเรียกร้องอยากจะจัดงานนี้ ให้ใครๆ ยอมรับ แต่กลับทำตัวบ้าๆ บอๆ ไร้มารยาทสิ้นดี”
พเยียฟังแล้วงง ชักเอะใจว่านภัสรพีคงจะไม่ได้พูดเรื่องเดียวกับที่เธอกำลังคิดกลัวอยู่
“อะไรนะคะ”
นภัสรพีตำหนิต่อ “อย่านึกว่าเป็นลูกของนภดารา เป็นหลานของฉัน แล้วจะทำตัวยังไงก็ได้”
พเยียเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ละล่ำละลักถามนภัสรพี
“เดี๋ยวค่ะ ตะกี๊คุณตาพูดว่า พเยียเป็นหลานของคุณตา พเยียยังเป็นหลานของคุณตาอยู่เหรอคะ”
นภัสรพีมองพเยียอย่างขัดใจ เหมือนโกรธที่พูดไม่รู้เรื่อง
“ตอนนี้ยังเป็นอยู่ แต่เธอต้องลงไปขอโทษหนูกอหญ้า ไปอธิบายว่าไอ้กิริยาเลวๆ เมื่อตะกี๊นี้ มันหมายความว่ายังไง ไม่งั้น ฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
พเยียงง แต่ก็แอบโล่งใจ “นี่หมายความว่า”
นภัสรพีดุ “ลงไปกับฉัน ไปขอโทษหนูกอหญ้าเดี๋ยวนี้”
นภพัสรพีเดินไปเปิดประตู แล้วเดินนำออกไป พเยียยังยืนอึ้งอยู่ แปลกใจที่ทุกคนยังไม่รู้เรื่องที่เธอทำร้ายกอหญ้า สาวแสบคิดในใจ
“นังกอหญ้ายังไม่ได้บอกความจริงกับแม่ กับตาของมัน ทำไม...นี่มันจะมาไม้ไหนเนี่ย”
นภัสรพีหันมาเรียกซ้ำ
“พเยีย!”
“ค่ะๆ”
พเยียรีบเดินตามนภัสรพีไป สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างที่สุด
ส่วนภายในงานเลี้ยง นภดาราจำต้องเล่าเรื่องโกหก แก้ตัวแทนพเยียกับอิศรและกอหญ้า
“ตอนเด็กๆ พเยียเค้า เอ่อ...ไม่ค่อยแข็งแรง เลยถูกแยกไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัด” นภดาราหันมาพูดขอโทษขอโพยกับกอหญ้า “พเยียเค้าเลยรู้สึกว่าถูกแม่ทอดทิ้ง จิตใจของเค้าเลยไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ อาจจะพูดหรือทำอะไรไม่ค่อยน่ารัก ฉันหวังว่าหนูกอหญ้าคงจะให้อภัยนะจ๊ะ”
กอหญ้ารู้สึกสงสารพเยีย “ค่ะ หนูไม่โกรธหรอกค่ะ หนูเข้าใจ หนูเองก็ไม่ต่างอะไร กับคุณพเยีย เป็นเด็กที่พ่อแม่...”
กอหญ้ายังพูดไม่จบ นภัสรพีเดินนำพเยียเข้ามา อิศรร้องทักขัดจังหวะเสียก่อน
“คุณพเยียมาแล้ว”
นภดาราหันขวับ แล้วโผเข้าไปหาอย่างห่วงใย
“พเยีย ลูก” พลางลูบหน้าลูบหลัง “หนูเป็นอะไรหรือเปล่า”
นภัสรพีพยักหน้าให้พเยีย พเยียเดินขาสั่นเข้าไปหากอหญ้า ลุ้นสุดๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะ กอหญ้า ตะกี๊ฉันตกใจน่ะ”
กอหญ้าถามน้ำเสียงปกติ “ตกใจอะไรคะ”
พเยียมองหน้ากอหญ้าอย่างงุนงง แปลกใจ ครุ่นคิดอยู่ในใจ
“มันไม่พูดความจริง แล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเรา มันต้องการอะไรกันแน่”
นภดาราเห็นพเยียนิ่ง เลยเตือน “ว่าไงล่ะจ๊ะ พเยีย กอหญ้าเค้าถามว่าหนูตกใจอะไร”
พเยียจ้องมองตากอหญ้าอย่างค้นหา หยั่งเชิง เห็นแววตากอหญ้าใสบริสุทธิ์ มีแต่ความจริงใจ ยิ่งไม่เข้าใจ
“คุณตกใจเพราะเห็นหน้าฉันเหรอคะ” กอหญ้าถาม
“เปล่า” พเยียตัดบท “เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกัน” คว้ามือกอหญ้า “มากับฉันทางนี้ดีกว่า ฉันอยากคุยกับเธอ”
พเยียลากแขนกอหญ้าไป กอหญ้าหันมองอิศรเลิ่กลั่ก นภดาราบอกกับอิศร
“ให้ไปเถอะจ้ะ อิศร เค้าจะได้ปรับความเข้าใจกัน”
อิศรยิ้มรับอย่างเกรงใจ อดมองตามอย่างห่วงๆ ไม่ได้ นภัสรพีมองอาการของพเยียอย่างแปลกใจนิดๆ
พเยียผลักกอหญ้าเข้าไปในห้องน้ำ ตัวเองตามเข้าไปแล้วล็อกประตู
“บอกมานะ ว่าแกมาที่นี่ทำไม แกต้องการอะไร”
กอหญ้างง เพราะจำไม่ได้
“คุณพเยีย พูดเรื่องอะไรคะ”
พเยียเข้าไปบีบแขนกอหญ้า จนกอหญ้ารู้สึกเจ็บ แต่ไม่กล้าตอบโต้
“นังบ้า อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แกบอกมา ต้องการอะไร” บีบแขนแรงขึ้นอีก “บอกมานะ แกคุยอะไรกับยัยหม่อมหลวงนั่น แกบอกอะไรมันไปบ้าง”
“ฉัน ฉันไม่เข้าใจ โอ๊ย...คุณพเยียปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันเจ็บ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
พเยียโกรธ ผลักร่างกอหญ้าไปจนติดผนัง บีบคอกอหญ้าถามคาดคั้น
“นังกอหญ้า แกเล่นเกมบ้าบออะไรของแก แกต้องการอะไร บอกมานะบอกมา” กอหญ้าดิ้น ส่ายหน้า “ถ้าแกไม่บอก ฉันจะบีบคอแกให้ตายคามือเลย”
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ คุณพเยีย ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าฉันเคยทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ฉันขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้จริงๆ ฉันจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ”
พเยียมองกอหญ้าที่น้ำตาคลอๆ อย่างแปลกใจ คลายมือออก
“อะไรนะ” พเยียมีท่าทีแปลกใจมาก “นี่แก...”
“ฉันประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ความจำเสื่อม ฉันจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ แม้กระทั่งเรื่องของตัวเอง”
พเยียตาค้าง อึ้ง ปล่อยมือจากกอหญ้า
“นี่แก” พเยียไม่อยากเชื่อ “แกหมายความว่ายังไง”
“ฉันจำอะไรไม่ได้จริงๆ ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน เคยทำอะไรมาบ้าง รู้แค่ว่าฉันชื่อกอหญ้า เป็นลูกกำพร้า คุณอิศรเค้าบอกฉันเท่านี้เองค่ะ”
พเยียมองหน้ากอหญ้านิ่ง นาน ใคร่ครวญ
“แล้วคุณอิศรนั่นน่ะ เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับตัวแกอีกบ้าง”
“เค้าก็รู้เท่านั้นล่ะคะ เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” กอหญ้าเริ่มเอะใจ “แต่คุณรู้จักฉันใช่ไหมคะ คุณโกรธฉัน ฉันตกใจที่เห็นหน้าฉัน แปลว่าเราต้องเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ ใช่ไหมคะ”
พเยียชะงัก รีบปฏิเสธ
“เปล่า ไม่ ไม่ใช่ ฉันไม่เคยรู้จักเธอ เราไม่เคยรู้จักกัน”
“แต่ตะกี๊ที่คุณพูดกับฉัน...”
“ไม่! ฉันไม่เคยรู้จักกับเธอ ฉันแค่จำคนผิด ก็เท่านั้นเอง”
กอหญ้าหน้าตาไม่เชื่อแต่ไม่กล้าเซ้าซี้ พเยียย้ำหนักแน่น
“ฉันจำคนผิด ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษทีนะ ที่ทำให้ตกใจ”
พเยียยิ้มออกอย่างสะใจ แล้วเดินออกไปจากห้องน้ำ กอหญ้ายืนอึ้ง ไม่เข้าใจ
ขณะเดียวกันตรงมุมหนึ่งของบริเวณงานในวังศิวาลัย อิศรเดินงุ่นง่าน ชะเง้อชะแง้มองหากอหญ้าด้วยความเป็นห่วง
“พากันไปไหนนะ”
อิศรเหลียวหน้าเหลียวหลังแล้วไปชนกับชายคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
“ขอโทษครับ” ที่แท้เป็นชิษณุพงษ์
“ผมต่างหากครับ ที่ต้องขอโทษ มัวแต่มองหาคน ไม่ทันระวังเอง” อิศรมองแล้วต้องชะงัก เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าชิษณุพงษ์ชัดๆ “คุณ”
ชิษณุพงษ์ไม่ได้เอะใจ เพราะไม่เคยเห็นหน้าอิศร ไม่เคยได้ยินเสียงด้วยซ้ำ ตอนอิศรมีเรื่องกับกอหญ้า “ผม...ชิษณุพงษ์ครับ ผมเป็นลูกชายของเจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลี”
อิศรพึมพำ “จากเชียงใหม่”
“ครับ” ชิษณุพงษ์เห็นแววตาอิศรที่จ้องมองตน ก็นึกสงสัย “คุณคงเคยเจอผมตอนก่อนผ่าตัด ตอนนี้สายตาผมมองเห็นเป็นปกติแล้วครับ”
“อ้อ ครับ ยินดีด้วย” อิศรยิ่งมั่นใจนักว่า ชิษณุพงษ์ต้องเป็นคนที่รู้จักกับกอหญ้าแน่ๆ จึงรีบตัดบท “ขอโทษทีครับ ผมมีธุระด่วน ขอตัวก่อน”
อิศรหันหลัง เดินจ้ำอ้าวหนีออกมาเลย ชิษณุพงษ์มองตามแปลกใจนิดๆ พอดีเสียงเจ้ามลุลีดังขึ้น
“ชิษณุ” ชิษณุพงษ์หันไปหาผู้เป็นมารดา “มาหลบอยู่นี่เอง ไปลาท่านผู้ใหญ่เถอะลูก เจ้าพ่อว่าจะกลับแล้ว”
ชิษณุพงษ์รับคำแล้วเดินตามมลุลีไป
ตรงมุมสงบในวังศิวาลัย อิศรเดินลนลาน มองหากอหญ้า ท่าทางร้อนใจ ไม่อยากให้เจอชิษณุพงษ์
“ไปไหนนะ ยัยตัวดี ถ้าเจอเพื่อนเก่าเข้าล่ะก็ เรื่องยาวแน่”
ทันใดนั้น อิศรเห็นกอหญ้าเดินก้มหน้าก้มตาออกจากด้านในบ้าน อิศรเดินไปคว้าตัวไว้
“กอหญ้า” อิศรเห็นกอหญ้าตาแดงๆ ก็ตกใจ “เป็นอะไร เธอร้องไห้นี่”
“ฉันอยากกลับบ้านค่ะ เดี๋ยวนี้เลย เรากลับบ้านกันนะคะ” กอหญ้าขอร้อง
อิศรยิ่งห่วง “มีเรื่องอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงพร้อมมีเรื่อง “ใครทำอะไรเธอ”
กอหญ้ายังตกใจที่ถูกพเยียทำร้าย ขอร้องอิศรอย่างร้อนรน ร้อนใจ “พาฉันกลับบ้านก่อนเถอะค่ะ อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะคะ ฉันอยากออกไปจากที่นี่เร็วๆ”
อิศรนึกถึงชิษณุพงษ์ขึ้นมา พยักหน้า
“จริงสิ ดีเหมือนกัน งั้นเราไปลาคุณอาดาราก่อน” จู่ๆ นึกระแวง “เออ ไม่ต้อง ฉันไปเอง เธอไปนั่งรอในรถดีกว่า เดี๋ยวฉันตามไป”
กอหญ้าพยักหน้ารับ อิศรรีบออกไป
กอหญ้าเดินมาถึงรถของอิศรที่จอดอยู่ข้างถนนในวัง ฝั่งตรงข้ามของถนนมีรถตู้หรูหราราคาแพงจอดอยู่ กอหญ้ายืนพิงรถรออิศร
คนขับรถตู้ฝั่งตรงข้ามสตาร์ทรถ แล้วกุลีกุลจอเปิดประตูรอท่า เห็นเจ้าแสงโชติ และเจ้ามลุลี เดินมาที่รถ มีชิษณุพงษ์เดินตามหลังมาห่างๆ
“เชิญครับ เจ้า”
เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีขึ้นรถชิษณุพงษ์ยืนรอ แล้วหันไปเห็นกอหญ้าที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนน ชิษณุพงษ์ชะงัก
กอหญ้าหันหน้ามาพอดี ดวงหน้าสวยงามนั้นทำเอาชิษณุพงษ์มองอย่างตกตะลึงเหมือนต้องมนตร์
กอหญ้าเห็นชิษณุพงษ์ ทั้งสองประสานสายตากัน เหมือนเกิดความรู้สึกผูกพันและคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ชิษณุพงษ์ยิ้มให้ทักทาย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” กอหญ้ายิ้มตอบทักกลับอย่างมีมารยาท
ชิษณุพงษ์ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกอหญ้า น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหูนัก ชิษณุพงษ์พึมพำ
“เสียงนั่น”
ชิษณุพงษ์ทำท่าจะข้ามถนนมาหากอหญ้า พอดีอิศรเดินมาถึงที่รถและพูดกับกอหญ้า ชิษณุพงษ์ชะงักฟัง
“อ้าว มายืนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปรอในรถ”
กอหญ้าหันไปสนใจอิศร “ก็กุญแจอยู่ที่คุณ”
อิศรยิ้มแก้เก้อ “เออ จริง” พลางเปิดประตูให้ “ไป กลับบ้านกันดีกว่า”
กอหญ้าก้าวขึ้นรถ อิศรปิดประตู แล้วเห็นชิษณุพงษ์ยืนมองอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม อิศรตกใจ รีบขึ้นรถพรวด
“คุณครับ คุณ เดี๋ยวก่อน”
ชิษณุพงษ์เรียกไว้ จังหวะกันนั้น เจ้าแสงโชติชะโงกหน้าออกมาจากรถเรียกลูกชาย
“ชิษณุ ขึ้นรถ”
“เดี๋ยวครับ เจ้าพ่อ”
อิศรรีบฉวยโอกาส ออกรถไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย คุณ คุณครับ เดี๋ยว หยุดก่อน”
ชิษณุพงษ์วิ่งตาม อิศรเร่งรถออกไปทิ้งห่าง ขณะที่กอหญ้านั่งไม่รู้เรื่อง จนรถลับตาไป ชิษณุพงษ์หยุดหอบ รถตู้ขับตามมาจอดเทียบ เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีลงมาถามอย่างแปลกใจ
“นั่นใครกันลูก แล้วไปวิ่งตามเค้าทำไม”
“ผู้ชายเป็นใครก็ไม่ทราบครับ แต่ผู้หญิงคนนั้น เสียงเค้า...เสียงเค้าเหมือนกอหญ้าเลย”
ชิษณุพงษ์มั่นใจว่าเขาฟังไม่ผิดแน่
แผนร้ายแผนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตกตอนเย็นชิษณุพงษ์ เรียกลุงเติมมาพบที่ห้อง เล่าเรื่องกอหญ้าที่ตนเจอตอนบ่าย ลุงเติมตอบอย่างลังเล
“ครับ หนูกอหญ้าแกก็ ตัวเล็กๆ ตาโตๆ ปากนิด จมูกหน่อย ที่เล่ามาฟังๆ ดูก็เหมือนจะใช่อยู่นะครับ
“เสียงเค้าก็เหมือน...ฉันจำเสียงเค้าได้” ชิษณุพงษ์บอกอย่างมั่นใจ
“แต่ เอ .. ถ้าเป็นหนูกอหญ้าจริงๆ แกต้องจำคุณชิษณุได้อยู่แล้ว”
“ก็นั่นแหละ ที่ทำให้ฉันไม่แน่ใจ ถ้าเป็นกอหญ้าจริงๆ เค้าก็ต้องจำฉันได้แน่ๆ แต่ผู้หญิงคนนั้น เค้าทำท่าเหมือนไม่รู้จักฉัน”
ลุงเติมมั่นใจ “งั้นก็ต้องไม่ใช่หนูกอหญ้าแน่นอน”
ชิษณุพงษ์ลงนั่ง ครุ่นคิด ยังคาใจ ที่กอหญ้าทำเหมือนไม่รู้จักเขา
“แต่ว่า...ทำไมฉันรู้สึกเหมือนกับว่าใช่ เหมือนกับว่าเค้าคือกอหญ้าของฉันจริงๆ ทำไม...”
กอหญ้าเล่าให้อิศรฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำบ้านศิวาลัย อิศรทบทวนอย่างชั่งใจ
“คุณพเยียอาจจะจำคนผิดจริงๆ ก็ได้ คนอย่างคุณพเยีย ศิวาวงศ์ จะมารู้จักเด็กกำพร้าอย่างเธอได้ยังไง”
กอหญ้าบอกกับอิศรอย่างสับสน
“ก็นั่นสิคะ แต่คุณดาราบอกว่า คุณพเยียเคยอยู่ที่เชียงใหม่ เค้าอาจจะเคยเจอฉันมาก่อนก็ได้”
“ก็เป็นไปได้อีกนั่นแหละ”
สีหน้ากอหญ้าดูเป็นกังวลมาก “ถ้าเราเคยเจอกันจริง ฉันคงทำให้เค้าไม่พอใจมาก เค้าถึงได้โกรธฉันขนาดนั้น”
“ฉันบอกแล้วว่าเธอน่ะมันแสบ ศัตรูรอบตัวเลยเห็นไหม” อิศรสัพยอก
กอหญ้าถอนหายใจเซ็งๆ พูดประชดชีวิต “ก็จริง ฉันคงเป็นคนไม่ดีมากๆ อย่างที่คุณว่า ถึงได้มีแต่คนเกลียดฉัน อยากจะฆ่าฉัน”
“เฮ้ย ตะกี๊ฉันพูดเล่นนะ กอหญ้า เธอไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น”
“คุณจะรู้ได้ยังไง คุณบอกเอง ว่ารู้จักกับฉันไม่ถึงวัน ฉันอยากรู้จัง ว่าเมื่อก่อนฉันเป็นใคร เคยทำอะไรมา ทำไมใครๆ ถึงได้พากันเกลียดฉันอย่างนี้”
กอหญ้าหน้าเศร้า อิศรมองอย่างเห็นใจ
เช้าวันต่อมา นภดาราเดินลงมาพร้อมกับพเยีย สองคนเข้ามาที่ห้องกินข้าว เห็นนภาจรีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะแล้ว มีแม่ชื่นดูแลให้สาวใช้รินกาแฟให้
“สวัสดีค่ะ อาหญิง”
นภาจรีหันมามอง แล้วมองเลยไปที่พเยีย ที่ยืนลอยหน้าท้าทายอยู่หลังนภดารา
นภาจรีก้มหน้าอ่านคอลัมน์ข่าวสังคมไฮโซ ออกเสียงดังๆ
“คุณชายนภัสรพีจัดงานเลี้ยงเปิดตัวหลานสาวคนสวยกับญาติสนิทมิตรสหายเมื่อบ่ายวานนี้ อีกไม่นาน คนภายนอกคงได้ยลโฉมสาวน้อย นามว่า พเยีย ศิวาวงศ์” เงยหน้ามาพูดกับนภดารา “เอิกเกริกดีนะ” แล้วมองไปยังพเยีย “คงสมใจเธอล่ะสิ”
“ค่ะ” พเยียลงเสียงหนักลากเสียงยาวประชดกลับ “สมใจมากก...”
นภดาราปราม ส่ายหน้าเป็นเชิงตำหนิ “พเยีย”
พเยียย้อนตามประสาเด็กดื้อ “ก็คุณยายหญิงถาม”
“ผู้ใหญ่ถามก็ตอบดีๆ สิลูก”
พเยียเถียงอีก “ก็ถามดีๆ สิคะ จะได้ตอบดีๆ”
นภาจรีสุดทน ลุกพรวดขึ้นยืน ปาหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฟังมันพูดสิ นภดารา”
จังหวะนั้นนภัสรพีเดินเข้ามาพอดี
นภัสรพีพูดตำหนิ “เอะอะโวยวายอะไรแต่เช้า หญิงนภา” มองหน้าทุกคน “มีเรื่องอะไรกัน”
นภาจรีสะบัดหน้า แล้วเดินเชิดออกไป แม่ชื่นรีบตาม นภัสรพีหันมองนภดารา
“อาหญิงดุลูกพเยียน่ะค่ะ พเยียพูดไม่ค่อยเพราะเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“จะตามแก้ตัวแทนลูกไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ นภดารา” คุณชายพูดพลางลงนั่ง หันมามองพเยีย “ไอ้เรื่องกิริยามารยาทของเธอเนี่ย ฉันก็เห็นว่ามันแย่เต็มที” แล้วหันกลับมาทางนภดาราเป็นเชิงสั่ง “ลูกควรจะจัดการได้แล้ว”
“ลูกหาครูมาช่วยสอนแล้วค่ะ”
พเยียเหลียวขวับ “อะไรนะคะ”
นภดาราบอก “ลูกจะเป็นศิวาวงศ์แต่ชื่อไม่ได้ ลูกสาวของแม่ต้องเป็นกุลสตรีที่เพียบ พร้อม ทั้งกิริยามารยาท การเข้าสังคม งานบ้านงานเรือน”
พเยียขัดขึ้น “โอ้ย ไม่เอาหรอกค่ะ การเรือนบ้าบออะไร พเยียไม่เรียน”
นภดาราชะงัก นภัสรพีฉุน พูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“งั้นก็ไปสอบเทียบ เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้” พเยียอึ้ง นภัสรพีลุกขึ้นยืนจ้องหลานกำมะลออย่างโมโห “อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานของฉัน แล้วจะนั่งกินนอนกิน ไม่ต้องทำอะไร” คุณชายพูดกับนภดาราอย่างเอาเรื่อง “ถ้าไม่เรียนการเรือน ก็ต้องไปเรียนวิชาชีพ ไม่ใช่ปล่อยให้หายใจทิ้งไปวันๆ เหมือนคนไม่มีค่า เข้าใจไหม”
“ค่ะ คุณพ่อ”
นภัสรพีลงนั่ง อารมณ์ขุ่นมัว นภดาราพยักหน้าให้สาวใช้รินกาแฟเสิร์ฟ พเยียฮึดฮัดขัดใจ นภดารามองหน้าพเยียเป็นเชิงปราม เอาจริง
ตอนสายวันเดียวกัน ภายในรถที่จอดซุ่มอยู่หน้าบ้านอดิศวร เห็นลุงเติมนั่งอยู่ที่ฝั่งคนขับ ชิษณุพงษ์นั่ง ข้างๆ จับตาดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูรั้วบ้านตลอด
ลุงเติมมีสีหน้าหนักใจ ไม่ค่อยเห็นด้วย “เค้าอยู่บ้านนี้เหรอครับ”
ชิษณุพงษ์ยังจับตาดูที่ประตูขณะตอบชายชรา “ก็เห็นคุณอาดาราว่าหยั่งงั้น”
“แปลก ถ้าหนูที่ชื่อกอหญ้านี่เค้าเป็นคนเดียวกันกับหนูกอหญ้าที่เชียงใหม่ แล้วเค้ามาอยู่ทำไมที่บ้านนี้”
ชิษณุพงษ์พูดด้วยสุ้มเสียงไม่ค่อยพอใจ “คุณอาดาราบอกว่าเค้าเป็นแฟนของคนชื่ออิศร ที่เป็นเจ้าของบ้านนี้”
“ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ คุณคนนี้แกอยู่กรุงเทพฯ แล้วแกจะไปเป็นแฟนกับหนูกอหญ้าของเราได้ยังไง .. ผมว่ากลับเถอะครับคุณ คงจะคนละคนแล้วละ”
พลางลุงเติมจะสตาร์ทรถ ชิษณุพงษ์ห้ามไว้
“เดี๋ยวน่ะ ลุงเติม ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมอยากให้ลุงเติมช่วยดูหน่อย ว่าเป็นกอหญ้าคนเดียวกับรึเปล่า”
ลุงเติมท้วง “แต่คุณคร้าบ ถ้าเค้าไม่ออกมาจากบ้าน เรามิต้องนั่งแกร่วกันอย่างนี้ทั้งวันเหรอคร้าบ...”
ชิษณุพงษ์บอก “เอาน่ะ รอดูต่ออีกแป๊บน่ะ” ประตูบ้านเปิดออก เห็นรถอิศรแล่นออกมา ชิษณุพงษ์ดีใจ “โน่นไง ออกมาแล้ว ผมจำรถได้ ผู้หญิงคนนั้นก็มาด้วย”
รถอิศรแล่นออกไป เห็นมีกอหญ้านั่งไปด้วย ลุงเติมสีหน้าตื่นเต้น ออกรถตามไปทันที
กอหญ้าหันมาถามอิศรซึ่งกำลังขับรถแล่นมาตามท้องถนน
“เราจะไปไหนกันคะ”
“ไม่บอก เซอร์ไพรส์” อิศรยิ้มกริ่ม
กอหญ้าหมั่นไส้ “ตลอด คุณนี่จะทำอะไรให้มันตรงไปตรงมาเหมือนคนอื่นเค้าไม่ได้หรือไงนะ”
“ไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ เป็นแฟนฉันต้องอดทน”
“ฉันยังไม่ได้เป็นแฟนคุณซะหน่อย มั่ว”
อิศรหันมาทำหน้าเจ้าชู้ “ยังไม่เป็น งั้นเป็นเลยไหม ตอนนี้เลย”
“บ้า” กอหญ้าเงื้อมือจะทุบ “อย่ามาทะลึ่ง เดี๋ยวเหอะ ขับรถไป”
อิศรหัวเราะ ขับรถไป ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกตาม
ไม่นานนัก อิศรพากอหญ้าเดินเข้ามาหน้าโบสถ์ฝรั่งสวยงามแห่งหนึ่ง กอหญ้าถามอย่างแปลกใจ
“คุณเป็นคริสเตียนเหรอคะ”
“เปล่า แต่ฉันเห็นเธออยู่ที่โบสถ์มาตั้งแต่เด็ก ฉันเลยเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็น” อิศรยิ้มๆ ทำหน้าตาน่ารัก “แล้วฉันเห็นว่าเธอไม่ค่อยสบายใจ เลยคิดว่าถ้าเธอได้มาไหว้พระ ก็คงจะดี”
กอหญ้ายิ้ม มองอิศรอย่างขอบคุณ แต่ไม่วายเหน็บ
“ทำดีก็เป็นนะ”
“พูดมากน่ะ เข้าไป” อิศรดันไหล่กอหญ้าเดินไป
“อ้าว แล้วคุณไม่เข้าไปกับฉันเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ใช่คริสเตียนนี่ แล้วฉันมีธุระต้องโทรศัพท์นิดหน่อย เธอเข้าไปเถอะ ตามสบาย”
กอหญ้ายิ้มให้ แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ครู่หนึ่ง กอหญ้าเดินไปด้านหน้า คิดๆ อยู่สักครู่ แล้วค่อยๆ คุกเข่าลงที่เก้าอี้หน้าแท่นบูชาด้วยความคุ้นเคย
อิศรแอบมองจากด้านนอกที่ประตู เห็นกอหญ้าก้มหน้าลงภาวนา อิศรยิ้ม แล้วเดินออกไป หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.สั่งงานลูกน้องในออฟฟิศ
เวลาผ่านไปสักระยะ ภายในโบสถ์ มองจากด้านหลังเห็นชิษณุพงษ์ยืนมองกอหญ้าอยู่เงียบๆ จากด้านข้าง แล้วค่อยๆ เดินเข้ามา ช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่กอหญ้าตลอด
กอหญ้าภาวนาเสร็จ ได้ยินเสียงฝีเท้า เลยหันมายิ้มให้ คิดว่าเป็นอิศร แต่พอเห็นเป็นชิษณุพงษ์ ก็จำได้ รอยยิ้มจางลง
“คุณ...”
ชิษณุพงษ์เรียกอย่างลังเล “กอหญ้า”
กอหญ้าลุกขึ้นยืน ท่าทีงงๆ “คุณรู้จักดิฉันเหรอคะ”
ชิษณุพงษ์ชะงัก แปลกใจกับคำถาม “เธอคือกอหญ้าหรือเปล่า”
“ค่ะ ฉันชื่อกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์สวนขึ้นมาอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมเธอจำฉันไม่ได้ หรือว่าเธอไม่ใช่กอหญ้าคนเดิมแล้ว”
“ขอโทษนะคะ ฉันจำใครไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าฉัน...”
กอหญ้ายังพูดไม่จบ อิศรก็กลับเข้ามาขัดจังหวะพอดี
อิศรเรียกเสียงดัง “กอหญ้า”
ทั้งสองหันไปมอง เห็นอิศรรีบเดินเข้ามาจับแขนกอหญ้าอย่างปกป้อง หวงแหน
“คุณมาวุ่นวายอะไรกับแฟนผม”
ชิษณุพงษ์มองกอหญ้ากับอิศรพูดขึ้นมาอย่างน้อยใจ “เพราะเขาใช่ไหม เธอถึงได้ทำเป็นลืมฉัน”
“ไม่ใช่นะคะ คือว่าฉัน...”
กอหญ้าจะอธิบาย แต่ถูกอิศรพูดขัดขึ้นมา “กอหญ้าไม่เคยรู้จักคุณ แล้วก็ไม่อยากจะรู้จักด้วย ไป กอหญ้า”
อิศรดึงแขนกอหญ้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ชิษณุพงษ์มองตาม อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกอะไรได้ วิ่งตามไป
ชิษณุพงษ์วิ่งตามอิศรกับกอหญ้าออกมาที่หน้าโบสถ์
“เดี๋ยวก่อน หยุดก่อน”
อิศรไม่หยุด ชิษณุพงษ์วิ่งไปขวางทั้งคู่เอาไว้
“เดี๋ยวก่อน กอหญ้า”
อิศรโมโห “อะไรของคุณ”
ชิษณุพงษ์ไม่ตอบ เข้าไปคว้ามือข้างขวาของกอหญ้ามา กอหญ้าตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
อิศรชักโกรธ “เฮ้ย”
อิศรกระชากตัวชิษณุพงษ์ แล้วผลักออกไป ก่อนจะพากอหญ้าวิ่งไปที่รถที่จอดรถอยู่หน้าโบสถ์ ชิษณุพงษ์ตั้งหลักได้ วิ่งตามไป ดึงแขนกอหญ้าไว้อีก
“กอหญ้า”
กอหญ้าตกใจ สะบัดมือสุดแรง “ปล่อยฉันนะ”
ชิษณุพงษ์ไม่ปล่อย อิศรถลันเข้ามาต่อยโครม
“ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้”
ชิษณุพงษ์เซไป พอดีลุงเติมวิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“คุณชิษณุ” ชายชราเข้ามาประคองชิษณุพงษ์ “อะไรกันครับ”
“เขาจะทำร้ายฉัน” กอหญ้าบอก
ลุงเติมหันมอง เห็นกอหญ้า ชะงัก
“หนูกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์กับลุงเติมคุยกันมา ทั้งสองต่างแปลกใจ
“คุณเชื่อตาคนแก่สิเอ้า นั่นน่ะมันหนูกอหญ้าของเราชัดๆ รูปร่างหน้าตาหยั่งกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน” ลุงเติมบอกอย่างมั่นใจ
“แล้วทำไมเค้าไม่ยอมรับ ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้จักเราด้วย”
“ก็นั่นน่ะซีครับ... เออ รึว่าหนูกอหญ้าแกกลัวผู้ชายคนนั้นจะหึง ท่าทางร้ายเอาเรื่องอยู่นะครับนั่น” ลุงเติมหมายถึงอิศร
“ไม่! กอหญ้าไม่ใช่คนแบบนั้น...ฉันว่าเค้าคงต้องมีความจำเป็นอะไรบางอย่าง” ชิษณุพงษ์ใคร่ครวญครุ่นคิด “คุณอิศรคนนั้นก็ท่าทางมีพิรุธ ฉันว่าเค้าสองคนต้องกำลังปิดบังอะไรเรา”
ชิษณุพงษ์มั่นใจ คิดว่าจะหาทางพิสูจน์ความจริงให้ได้
รถของอิศรแล่นเข้าจอดที่หน้าบ้าน อิศรดับเครื่อง แล้วหันมองกอหญ้าที่นั่งนิ่ง ใช้ความคิด
“เป็นอะไร” กอหญ้าเหลือบตามอง “นั่งเงียบมาตลอดทางเลย”
“เขารู้จักฉัน ฉันเชื่อว่าผู้ชายสองคนนั้น เค้าเคยรู้จักฉันจริงๆ”
“ใช่” อิศรยอมรับ
“อ้าว! คุณก็เชื่อเค้า แล้วทำไมคุณโกหก ทำไมคุณไม่ยอมให้เค้าพูดกับฉันล่ะคะ”
“ฉันไม่ไว้ใจ เค้ามาเจอเธอที่โบสถ์ได้ แปลว่าเค้าต้องสะกดรอยตามเธอมา ถ้าเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมต้องทำขนาดนั้น เค้าอาจจะเป็นคนที่ตีหัวเธอ คิดฆ่าเธอก็ได้” อิศรไปโน่น
กอหญ้าหวั่นๆ แต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดี “ท่าทางเค้าก็เป็นคนดีนะ”
“อ๋อ เห็นมันหล่อ” อิศรแขวะ กอหญ้าค้อนขวับ “นี่จะบอกให้นะ คนร้ายที่หน้าตาดีๆ มีเยอะแยะไป”
“อย่างคุณ?” กอหญ้าเย้า
อิศรเอานิ้วดีดปากกอหญ้า “นี่แน่ะ” ชายหนุ่มพูดจริงจัง “จำไว้นะ กอหญ้า ระหว่างที่เธอยังจำอะไรไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าคนที่ทำร้ายเธอเป็นใคร ห้ามบอกใครทั้งนั้น ว่าเธอคือกอหญ้าจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เชียงใหม่ โอเค้”
กอหญ้าเห็นความห่วงใยในสายตาของอิศร เลยพยักหน้า
อิศรพากอหญ้าเดินเข้ามาด้านใน พรรออยู่ หน้าตาตื่นเต้น
“มีอะไร พร”
“คุณสกุณาให้มาเชิญค่ะ”
อิศรนิ่วหน้า ทำท่าจะปฏิเสธ พรรีบบอก
“มีแขกมารอพบคุณกอหญ้าค่ะ แขกสำคัญ”
อิศรกับกอหญ้ามองหน้ากัน แปลกใจ
อิศรพากอหญ้าเดินเข้ามา เห็นสกุณานั่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หันหลังอยู่ พอสกุณาเห็นทั้งสองเข้ามา รีบลุกขึ้นยืน
“อุ๊ย มากันแล้วค่ะ”
หญิงนั้นลุกขึ้น หันมา เธอคือนภดารา
“คุณ” กอหญ้ายกมือไหว้อย่างแปลกใจ
“ฉันเองจ้ะ กอหญ้า”
กอหญ้าแปลกใจไม่หาย “คุณมาหาหนูเหรอคะ”
สกุณาชิงพูด เสียงตำหนิ “คุณดาราเธอมารอตั้งนาน”
นภดาราเดินเข้าจูงกอหญ้ามานั่งข้างๆ อย่างรักใคร่สนิทใจ
“อย่าไปตำหนิแกเลยค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า” นภดาราพูดกับกอหญ้า “ฉันมีเรื่องจะมาขอร้องหนูน่ะจ้ะ”
กอหญ้าฟังแล้วรู้สึกแปลกใจมาก
“จะให้หนูไปเรียนการเรือนกับคุณพเยียเหรอคะ”
“จ้ะ” นภดารายิ้ม แต่เห็นกอหญ้าหน้าตากังวลก็รีบอธิบาย “เรียนทำขนม ทำอาหาร ทำงานฝีมืออะไรพวกนี้น่ะจ้ะ สนุกๆ ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร”
อิศรรู้ดีว่ากอหญ้ากลัวพเยีย เลยช่วยปฏิเสธอย่างสุภาพ
“เอ่อ ผมเกรงว่ากอหญ้าคงจะไม่สะดวกน่ะครับ
สกุณาเสียงหวาน แต่ร้าย “ทำไมล่ะคะ คุณอิศร วันๆ น้าก็เห็นแม่กอหญ้าได้แต่กินๆ นอนๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรอยู่แล้วนี่คะ”
กอหญ้าหน้าเจื่อน ละอายใจ อิศรทำหน้าเหมือนอยากจะสวนกลับแรงๆ แต่ไม่กล้า เพราะเกรงใจนภดารา
นภดาราเองก็รู้สึกได้ว่าสกุณาไม่ชอบกอหญ้า
“ไปเถอะนะจ๊ะ ไปหาอะไรทำสนุกๆ ที่บ้านฉัน” นภดาราพูดแดกดันสกุณานิ่มๆ “ยังไงก็น่าจะสบายใจดีกว่าอยู่ที่บ้านนี้นะ”
กอหญ้าพยักหน้า เห็นด้วย “ค่ะ”
นภดาราเอื้อมมือไปกุมมือกอหญ้า บีบอย่างเห็นใจ กอหญ้ายิ้มรับ รู้สึกรักผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน
กอหญ้าเดินมาส่งนภดาราที่รถ ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน นภดาราชวนคุย ดูออกว่ากอหญ้ามีปัญหา
“หนูอยู่ที่นี่ ท่าทางไม่คงค่อยมีความสุขนัก”
“ค่ะ คุณพ่อคุณอิศรกับคุณสกุณาเขาไม่ค่อยชอบที่หนู” กอหญ้าจะพูดว่าเป็นเด็กกำพร้า แต่นึกถึงคำเตือนของอิศร เลยไม่พูดเปลี่ยนเป็น “หนูจน”
“ถ้าหนูลำบากใจ ขอให้จำไว้นะว่าประตูของวังศิวาลัย จะเปิดต้อนรับหนูเสมอ”
กอหญ้าไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
“ฉันไปก่อนล่ะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะให้รถมารับเธอแต่เช้า”
นภดาราขึ้นรถไป อิศรเดินออกมาสมทบ
“ท่าทางคุณอาดาราจะชอบเธอมาก”
“ฉันก็ชอบท่านค่ะ ท่านใจดี แล้วก็น่ารักเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าคนน่ารักอย่างนี้ จะมีลูกอารมณ์ร้ายเหมือนคุณหนูพเยีย”
อา....กอหญ้าไม่รู้สักนิดว่า ผู้หญิงที่ตนรักอย่างสนิทใจนี้ คือแม่บังเกิดเกล้าของเธอนั่นเอง
แผนร้ายแผนรัก ตอนที่ 3 (ต่อ)
กอหญ้าอึ้ง ที่ชายชราเรียกตนอย่างคุ้นเคย หันมองหน้าอิศรอย่างแปลกใจ ชิษณุพงษ์ลุกขึ้นมาถามลุงเติม
“เค้าคือกอหญ้าใช่ไหมลุง” ลุงเติมพยักหน้า “บอกเค้าซี ว่าเค้าคือกอหญ้า เพื่อนของผม”
ลุงเติมหันกลับมาถามกอหญ้า “หนูกับคุณชิษณุเป็นเพื่อนกัน ตอนที่หนูอยู่เชียงใหม่ จำไม่ได้เหรอ”
กอหญ้าอึ้งที่มีคนรู้จักเธอจริงๆ อิศรโวยวายกลบเกลื่อน
“แฟนผมไม่เคยอยู่เชียงใหม่ เค้าไม่เคยรู้จักพวกคุณ”
กอหญ้าเหวอ มองหน้าอิศรอย่างงงๆ ไม่เข้าใจ ว่าทำไมพูดอย่างนั้น
“แต่นี่มันหนูกอหญ้าชัดๆ” ลุงเติมเถียง
อิศรขึ้นเสียง “ไม่ใช่”
“กอหญ้าเพื่อนผม ที่นิ้วนางข้างขวาของเค้า จะมีแหวนใส่ไว้ตลอดเวลา แหวนที่เป็นรูปดาว” ชิษณุพงษ์นึกได้
กอหญ้ามองหน้าอิศรอีกเป็นเชิงถาม อิศรยิ้มเยาะ แล้วยกมือขวาของกอหญ้าขึ้นมา
ชิษณุพงษ์มองเห็นที่นิ้วว่างเปล่า
“กอหญ้าของฉัน ไม่เคยมีแหวนแบบนั้น เค้าไม่ใช่กอหญ้าของคุณ เลิกมายุ่งกับเค้าได้แล้ว” อิศรหันมาทางกอหญ้า “ไป กอหญ้า”
อิศรดึงแขนกอหญ้าไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ชิษณุพงษ์มองตาม รู้สึกสับสนและ เสียใจ
พเยียเดินฮัมเพลงสบายใจออกมาจากห้อง แต่งตัวสวยจะไปช้อปปิ้งเดินลงมา ส่วนชั้นล่าง ตรงห้องโถงเสียงโทรศัพท์ดัง ศรีเดินมารับ
“สวัสดีค่ะ วังศิวาลัยค่ะ”
แม่ชื่นเดินมาพอดี หยุดฟัง
“คุณหนูพเยียเหรอคะ ค่ะ ซักครู่นะคะ”
พเยียเดินผิวปากลงมาพอดี ศรีรีบเข้าไปหา
“คุณหนูคะ มีโทรศัพท์มาค่ะ คุณชิษณุพงษ์จะเรียนสายด้วย”
พเยียชะงัก “ชิษณุพงษ์! .. บอกไปว่าฉันไม่อยู่”
ศรีเหวอ แม่ชื่นเข้ามาได้ยินพอดี
“ไม่ได้หรอกค่ะ อยู่จะให้บอกว่าไม่อยู่ได้ยังไง”
พเยียมองชื่นอย่างเกลียดชัง
“อย่า...” ทำปาก ไม่มีเสียง “เสือก” แล้วสั่งเสียงดัง “ศรี ไปสั่งคนรถให้เอารถออก ฉันจะไปช้อปปิ้ง”
ศรีลนลานวิ่งออกไป แม่ชื่นคว้าหูโทรศัพท์ เดินเข้ามาหา หน้าตาเอาเรื่อง
แม่ชื่นรับสาย “คุณหนูพเยียอยู่ค่ะ กำลังจะออกไปข้างนอก” พลางหันมาพูดกับพเยีย “ถ้าคุณเสียมารยาทแบบนี้ ฉันจะฟ้องคุณชาย” แล้วส่งโทรศัพท์ให้ “เชิญค่ะ”
พเยียจำใจรับมา หน้าตาโกรธจัด กระแทกเสียงใส่ชิษณุพงษ์
“มีอะไร” พเยียฟัง แล้วกรี๊ดใส่ “ไม่ต้องมา ฉันไม่อยากเจอแก ฉันไม่คุย ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ก็บอกแล้วไง ฉันไม่รู้จักมัน แค่นี้นะ”
พเยียกดตัดสาย ปาโทรศัพท์ใส่ชื่น แล้วเดินโครมๆ ออกไป
ชื่นมองตามอย่างสงสัย
ครู่ต่อมาที่มุมหนึ่งในสวนสวยของวังศิวาลัย นภาจรีกำลังแปรงขน เสริมสวยให้น้องหมาปุยฝ้าย ระหว่างที่ชื่นมาเล่าเรื่องพเยียให้ฟัง
ฟังแล้วนภาจรีรู้สึกแปลกใจ “ชิษณุมีอะไรอยากคุยกับแม่พเยีย”
“ถ้าชื่นเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องคนที่ชื่อกอหญ้า”
นภาจรีฉงน “กอหญ้า? ใครกัน”
“ชื่นก็ไม่แน่ใจค่ะ คุ้นๆ ว่าจะเป็นใครซักคน ที่มาด้วยกันจากเชียงใหม่”
นภาจรีใช้ความคิด ทวนชื่อ
“กอหญ้า ชื่อคุ้นจริง เหมือนเคยได้ยินที่ไหน” แล้วนึกได้ “คนที่ตำรวจเค้ามาตามหาไง แม่ชื่น คนที่เค้าบอกว่านั่งรถมาด้วยกัน แต่หายตัวไปน่ะ”
“นั่นล่ะค่ะๆ ชื่นเห็นคุณชิษณุตามเซ้าซี้คุณพเยียตั้งแต่วันงานเลี้ยงแล้ว แล้วอย่าหาว่าชื่นอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ คุณหญิง ท่าทางคุณหนูพเยียแปลกๆ ดูไม่ค่อยอยากพูดกับคุณชิษณุเท่าไหร่ เอาแต่หนีท่าเดียวเลย”
นภาจรีหันมองหน้าแม่ชื่น ตาวาว แล้วอุ้มปุยฝ้ายลุกขึ้นทันที
“ต่อโทรศัพท์ไปบ้านเจ้าแสงโชติให้ฉันที แม่ชื่น”
ชื่นสงสัย “คุณหญิงจะพูดกับใครคะ”
นภาจรียิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์ “จะว่าไป ฉันกับแสงโชติก็เป็นญาติสนิทกัน ฉันจะคิดถึง อยากจะคุยกับหลานชายบ้างไม่ได้หรือไง”
แม่ชื่นรู้เรื่องและเข้าใจทันที นภาจรียิ้มสะใจ
คืนนั้นที่ห้องทำงานของอิศร ภายในบ้านอดิศวร สุบรรณ เลขาจอมทะเล้นหอบเอาสัญญาซื้อขายที่ดินปึกใหญ่มาให้อิศรเซ็น
อิศรก้มหน้าก้มตาเซ็นตรงที่สุบรรณทำเครื่องหมายทีละหน้าๆ เซ็นไปบ่นไป
“ทำไมต้องเซ็นเยอะหยั่งงี้วะ”
“สัญญาซื้อขายที่ดินก็แบบนี้ ทุกทีไม่เห็นบ่น” สุบรรณว่าพลางมองไปด้านบน พูดล้อๆ เจ้านาย “จะรีบไปไหน มีใครรออยู่ข้างบนเหรอครับ”
อิศรด่า “ทะลึ่ง กอหญ้าเค้าบ่นปวดหัว กินยาแล้วนอนหลับไปแล้ว”
สุบรรณฟังแล้วเป็นห่วง พูดเสียงจริงจัง “ที่โดนตีหัวยังไม่หายอีกเหรอครับ”
“บางทีก็ยังมีปวดหัวบ้าง” พูดแล้วก็นึกกังวล “แต่ยังจำอะไรไม่ได้เลย”
สุบรรณล้ออีก “ก็เสร็จโจร”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ฉวยโอกาสกับคนความจำเสื่อมหรอกโว้ย เอ้า หมดแล้ว”
อิศรผลักเอกสารคืนให้ สุบรรณหยิบเอกสารมาอีก 2-3 แผ่น
“ยังครับ เซ็นใบมอบฉันทะด้วย ผมจะได้ไปจัดการเรื่องโอนแทนคุณอิศร”
“ไม่ต้อง พรุ่งนี้ฉันไปทำเอง” สุบรรณแปลกใจ “ฉันมีธุระอย่างอื่นให้แกทำ”
ไม่นานนัก สุบรรณหอบกระเป๋าเอกสารเหมือนจะเดินหนี พุ่งตรงไปที่รถคันเล็กๆ ของตนที่จอดอยู่ อิศรวิ่งตามมา
“เฮ้ย เดี๋ยว กลับมาก่อน” อิศรมาขวางไว้ “แกจะหนีไปไหน สุบรรณ” โวยวายใส่ “ฉันขอให้แกไปเรียนทำอาหารเป็นเพื่อนกอหญ้า แกยังไม่ได้ตอบฉันเลย”
สุบรรณตอบชัดเจน ไม่เกรงใจ “ผมไม่ไป ผมไม่ชอบทำกับข้าว”
“ฉันสั่ง แกต้องไป เพราะแกเป็นลูกน้องฉัน”
“งั้นผมลาออก”
สุบรรณทุ่มกระเป๋าเอกสารใส่อิศรพลั่ก อิศรตัวงอ สุบรรณหนีไปเปิดประตูรถ อิศรเข้าไปกระชากตัวไว้ กดสุบรรณกับรถ สุบรรณร้องลั่น
“โอ๊ย ปล่อยผม คุณอิศรจะทำอะไร”
อิศรพูดจริงจัง “สุบรรณ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แกก็รู้ กอหญ้าอยู่ในอันตราย มีคนต้องการฆ่าเค้า”
สุบรรณเถียง “ไอ้คนที่ตีหัวคุณกอหญ้าวันนั้นน่ะเหรอครับ ป่านนี้มันเผ่นไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วที่แน่ๆ มันไม่ไปเรียนทำอาหารหรอกครับเจ้านาย”
“แต่ฉันสังหรณ์ใจ ว่าถ้ามันรู้ว่ากอหญ้ายังไม่ตาย มันต้องกลับมาอีกแน่แกเชื่อฉันสิ”
อิศรพูดด้วยน้ำเสียงกังวลจริงจัง จนสุบรรณพลอยกลัวไปด้วย
พเยียใส่ยีนส์ฟิตเปรี๊ยะ แต่งตัวแต่งหน้าจัดเหมือนจะออกไปข้างนอก ฉีดน้ำหอมฟุ้งทั่วตัว แล้วหยิบแหวน สร้อยข้อมือมาใส่เต็มที่ เสียงเคาะประตู พเยียชะงัก
“ใคร”
นภดาราเดินเข้ามาหา เตือนเสียงเรียบๆ ไม่ดุ
“พูดไม่มีหางเสียงเลยลูก”
พเยียชักจะเบื่อ “มีอะไรคะ คุณแม่”
นภดารามองพเยียแต่งตัว “ทำไมแต่งตัวแบบนี้จ๊ะ” เห็นพเยียนิ่ง “วันนี้หนูมีเรียนทำอาหาร ลืมไปแล้วหรือไง”
“บอกแล้วไงคะว่าไม่เรียน ไม่ชอบ”
“ไม่ได้จ้ะ ถ้าหนูอยากให้คุณตาคุณยายรัก หนูก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็น”
พเยียจะเถียง เห็นนภดารามองหน้า เอาจริง
“ลูกสาวของแม่ทำได้ใช่ไหมจ๊ะ”
พเยียเลยถอนใจเฮือก ถอดแหวน ถอดกำไลโยนลงบนโต๊ะแต่งตัว พลางบ่น
“เรียนอยู่ได้คนเดียว เบื่อตาย”
นภดารายิ้มออก เมื่อเห็นพเยียยอมทำตาม พูดปลอบใจ
“ไม่เบื่อหรอกจ้ะ แม่หาคนมาเรียนเป็นเพื่อนลูกแล้ว” พเยียนิ่วหน้าฉงน “หนูกอหญ้าไง”
พเยียอึ้ง นึกไม่ถึง
ไม่นานต่อมาศรีเดินนำกอหญ้ามานั่งรอที่ห้องรับแขก
“เชิญคุณรอที่นี่ก่อนนะคะ ดิฉันจะไปเรียนคุณดารา”
“ค่ะ”
ศรีจะออกไป เสียงนภัสรพีดังขึ้น
“ใครมาพบคุณดาราเหรอ ศรี”
กอหญ้ารีบลุกขึ้น เห็นนภัสรพีแต่งตัวจะไปทำงาน เดินมาจากห้องรับประทานอาหาร มีนภาจรีและแม่ชื่นเดินตามมาข้างหลัง
นภัสรพีทักอย่างแปลกใจ “อ้าว หนูนั่นเอง”
กอหญ้าพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมและอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะ ท่าน” มองไปที่นภาจรีกับแม่ชื่น แล้วไหว้อย่างเรียบร้อย “สวัสดีค่ะ”
นภาจรีกับแม่ชื่นรับไหว้ มองกอหญ้าอย่างเอ็นดู
นภัสรพีแนะนำ “นี่น้องสาวฉัน หม่อมราชวงศ์หญิงนภาจรี ส่วนแม่ชื่นหนูก็รู้จักแล้วนี่ ใช่ไหม” คุณชายหันมาทางน้องสาว “หนูคนนี้เป็นเพื่อนของอิศร ลูกชายคุณอรรถ เพื่อนบ้านเรานี่เอง ชื่อหนูกอหญ้า”
กอหญ้ายิ้มรับ นภาจรีมองอย่างประหลาดใจ
“ชื่อกอหญ้า”
“ค่ะ” กอหญ้ายิ้มรับ
นภาจรีหันไปมองหน้าชื่น แล้วมองหน้านภัสรพี เหมือนจะพูดอะไร แต่ยังไม่ทันพูด นภดาราก็เดินลงมาพอดี ส่งเสียงทักมาแต่ไกล
“อ้าว หนูกอหญ้ามาแล้ว” กอหญ้าหันไปไหว้ นภดารายิ้มทักอย่างอ่อนหวาน แล้วอธิบายกับนภัสรพี “ลูกชวนกอหญ้ามาเรียนทำอาหารเป็นเพื่อนพเยียค่ะ”
“ดี” นภัสรพียิ้มๆ
ส่วนพเยียในชุดอยู่กับบ้านเดินหน้าหงิกตามลงมา นภดาราหันไปเห็น
“พเยียลงมาพอดี” นภดาราหันไปพูดกับกอหญ้า “อาจารย์วรรณารออยู่ที่ศาลาในสวนแล้ว
จ้ะ เราไปกันเลยไหม”
“ค่ะ” กอหญ้าหันไปไหว้ลาทุกคน “หนูขอตัวก่อนนะคะ”
กอหญ้าเดินตามนภดาราไป นภดาราเดินนำไปหาพเยียที่หน้าหงิกอยู่ พเยียมองกอหญ้าอย่างไม่เป็นมิตร แล้วสะบัดหน้า เดินนำออกไปโดยไม่รอ และไม่ทักทาย
กอหญ้าหน้าเจื่อนๆ นภดารายิ้มปลอบ แล้วจูงมือกอหญ้าเดินตามไป
ที่ด้านหลังสามคน นภาจรียังยืนมองตามกอหญ้าไปจนลับตา อย่างสนใจมาก พลางพึมพำกับตัวเอง
“แปลก ไม่น่าเป็นไปได้”
นภัสรพีฉงน “อะไรของเธอ”
“เด็กชื่อกอหญ้านี่ไงคะ ชื่อแปลกๆ อย่างนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีถึง 2 คน” นภาจรีว่า
“สองคนไหน”
“ก็กอหญ้าคนนี้ กับกอหญ้าคนที่หายตัวไปไงคะ พี่ชาย”
นภัสรพีคิดตาม ยังงงๆ แต่ก็เริ่มคลับคล้ายคลับคลา แม่ชื่นรีบเสริม
“คุณหญิงหมายถึงคนที่ตำรวจเคยมาตามหาที่วังไงคะ คุณชาย คนที่นั่งรถลงมาจากเชียงใหม่พร้อมคุณหนูพเยีย แล้วหายตัวไป หลังจากเกิดอุบัติเหตุน่ะค่ะ คนนั้นก็ชื่อกอหญ้าเหมือนกัน”
นภัสรพีนึกออก เริ่มรู้สึกแปลกใจในความบังเอิญนี้เหมือนกัน
เวลาต่อมาที่ศาลานั่งเล่นภายในสวนด้านหลังของวังศิวาลัย นภดารานั่งอยู่มุมหนึ่ง มองกอหญ้ากับพเยียที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำอาหาร อาจารย์วรรณา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนการเรือนกำลังอธิบาย
ตรงหน้ามีจานขนมจีบไทยที่ทำอย่างประณีตเป็นตัวอย่าง วางอยู่หนึ่งจาน
“วันนี้เราจะทำขนมจีบไทยกันนะคะ เป็นของว่างทานเล่น ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันเท่าไหร่ เพราะว่าทำยาก…”
เสียงพเยียถอนใจเบื่อหน่าย อาจารย์ชะงัก นภดารากระแอมเตือน อาจารย์พูดต่อ
“สิ่งที่ยากก็คือจะทำยังไง ถึงจะปั้นขนมจีบให้เป็นจีบสวยๆ แบบนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาทดลองทำกันดูค่ะ”
เสียงสุบรรณดังขัดขึ้น
“เดี๋ยวก่อนคร้าบ เดี๋ยวก่อน” สุบรรณวิ่งลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ เข้ามา “รอผมด้วย”
ทุกคนมองสุบรรณอย่างแปลกใจว่าเป็นใคร ยกเว้นกอหญ้า
“สุบรรณ! มาทำไมเนี่ย”
นภดาราถามอย่างแปลกใจ “เพื่อนหนูเหรอจ๊ะ กอหญ้า”
สุบรรณหอบไปพูดไป “ผมเป็นผู้ช่วยของคุณอิศรครับ คุณอิศรเห็นคุณกอหญ้าไม่ค่อยสบาย คุณอิศรเป็นห่วง เลยให้ผมมาคอยดูแลครับ”
กอหญ้านึกอาย “ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” แอบไล่เบาๆ “กลับไปไป๊”
นภดาราเข้าใจว่าอิศรเป็นห่วงแฟน เลยตอบยิ้มๆ
“เอาเถอะจ้ะ ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็มาแล้ว” หันไปบอกอาจารย์วรรณา “มีนักเรียนเพิ่มอีกคน อาจารย์คงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“หลายคนก็ดีค่ะ สนุกดี เรามาเริ่มกันเลยนะคะ ขั้นแรก เราจะฝึกนวดดินน้ำมันก่อนนะคะ พอรู้วิธีแล้วค่อยใช้แป้ง”
อาจารย์วรรณาคลึงแผ่นดินน้ำมันสีสวยเป็นแผ่นบางๆ แล้วใช้วงกลมตัดแป้งขนาดเล็กกดตัดดินน้ำมันออกเป็น 4 ชิ้น
เห็นกอหญ้า พเยีย สุบรรณทำตาม ใช้ดินน้ำมันสีต่างกัน กอหญ้าทำอย่างตั้งใจ พเยียกับสุบรรณทำไปอย่างขอไปที
อาจารย์วรรณาคลึงดินน้ำมันเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ สมมุติว่าเป็นไส้ วางลงบนแผ่นดินน้ำมัน
กอหญ้าแบ่งดินน้ำมันมาทำตามวรรณาด้วย เสียงอาจารย์วรรณาอธิบายแทรกมา
“ถูกค่ะ อย่างนั้นแหละ ฝึกไปเรื่อยๆ ให้คุ้นมือ กะดินน้ำมันให้พอดีนะคะ แผ่นหนามากจะไม่สวย ค่อยๆ ทำไปค่ะ”
กอหญ้าตั้งใจทำ นภดารามองกอหญ้า แล้วหันมองพเยียที่ยืนนิ่งอยู่ พเยียเห็นท่าทีของนภดารา จำใจต้องหยิบดินน้ำมันมาทำบ้าง เพราะกลัวจะน้อยหน้ากอหญ้า
ขณะเดียวกันนภาจรีอยู่ที่ริมระเบียง แอบใช้กล้องส่องทางไกล เป็นกล้องอันเล็กๆ ที่ใช้ดูโอเปร่าหรือดูม้าแข่ง คอยส่องดูกอหญ้าที่เรียนทำอาหารอยู่ที่ศาลาในสวนอย่างสนใจ
และเห็นกอหญ้ากำลังก้มหน้าก้มตาคลึงแป้งอย่างตั้งใจ แต่จากมุมที่มอง เห็นหน้าไม่ชัดนัดนภาจรีขัดใจ ชะเง้อชะแง้หามุมเหมาะๆ แม่ชื่นมายืนข้างหลัง มองขำๆ แล้วสะกิดถาม
“ลงไปดูที่ข้างล่างเลยไม่ดีกว่าหรือคะ คุณหญิง”
นภาจรีสะบัดเสียงอย่างไว้ตัว “ไม่! ฉันชังน้ำหน้านังพเยีย ไม่อยากมองหน้ามัน”
ชื่นแย้ง “เราก็ลงไปดูแต่หนูกอหญ้า”
“เค้าได้สงสัยสิแม่ชื่น ว่าฉันไปยืนดูเค้าทำไม ไม่เอาหรอก” นภาจรีนึกได้ ทำเป็นแกล้งพูด “ว่าแต่แม่ชื่นเถอะ อยู่ว่างๆ ไม่ไปดูๆ แลๆ คุณดาราเค้าหน่อยเหรอ”
นภาจรีทำหน้าเชิด ไม่รู้ไม่ชี้ แม่ชื่นเข้าใจว่านภาจรีต้องการอะไร ยิ้มชอบใจแล้วรีบออกไปทันที
ฝ่ายกอหญ้า พเยีย และสุบรรณกำลังปั้นตัวขนมจีบ วรรณาหันไปมองดินน้ำมันในมือพเยีย ที่ดูบิดๆ เบี้ยวๆ
“หนูพเยียขา อันนี้ยังไม่เป็นจีบเลยค่ะ ครูทำให้ดูอีกทีนะคะ”
วรรณาค่อยๆ จับมือพเยียสอน พเยียแทบจะร้องกรี๊ดด้วยความอึดอัด นภดาราเห็นอาการ รีบพูดแทรกขึ้นมา
“พเยียต้องใจเย็นๆ จ้ะลูก ขนมไทยโบราณมันเป็นเหมือนงานศิลปะ ต้องละเมียดละไม ค่อยๆ ทำ”
พเยียพยายามตั้งใจ ทำตามอาจารย์วรรณา
“อย่าแรงค่ะ เบามือนิดนึง”
วรรณามัวแต่สอนพเยีย นภดาราหันไปมองกอหญ้า เห็นเด็กสาวพยายามจีบขนมจีบ แต่ยังบังคับมือไม่ได้ นภดาราเห็นว่าอาจารย์กำลังสอนพเยีย เลยเข้ามายืนใกล้ๆ กอหญ้า จับมือกอหญ้าให้จับดินน้ำมันให้ถูกต้อง
“ต้องเอามือประคองด้านล่างไว้ด้วยจ้ะ มันจะได้เป็นรูปสวย เห็นมั้ยจ๊ะ มันจะไม่เสียรูป อ่ะ... ค่อยๆ ทำดู”
พเยียหันมาดู เห็นภาพนภดารากำลังยิ้มแย้มสอนกอหญ้าก็ชะงัก รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นทั้งสองใกล้ชิดกัน วรรณาสะกิดเตือน
“หนูพเยียต้องจีบให้สนิทกว่านี้อีกนิดค่ะ เวลาทำจริงๆ ต้องให้เห็นไส้แค่นิดเดียว จะได้ดูน่าทาน”
พเยียจำใจหันกลับมาปั้นขนมจีบ แต่แอบมองกอหญ้าด้วยสายตาหวาดระแวง ไม่พอใจ
ที่มุมหนึ่ง ห่างออกไปหน่อย แม่ชื่นค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหลังพุ่มไม้ มองดูกอหญ้าที่กำลังตั้งใจจีบดินน้ำมันตามที่นภดาราสอน
แม่ชื่นเห็นกอหญ้าปั้นจนเสร็จ แล้วเอาอวดให้นภดาราดู
“ใช้ได้ไหมคะ”
“สวย...เก่งมากจ้ะ”
กอหญ้ายิ้มกว้างอย่างดีใจ นภดารายิ้มตอบ ทั้งสองยิ้มแล้วย่นจมูกนิดๆ ด้วยท่าทางอย่างเดียวกัน แม่ชื่นถึงกับชะงัก เขม้นมองอีกครั้ง
กอหญ้าเกือบทำขนมหลุดมือ นภดารารับไว้ทัน ทั้งสองหัวเราะให้กันอีกครั้ง แล้วย่นจมูกนิดๆ ดูเหมือนกันมาก
แม่ชื่นยืนมองภาพตรงหน้าอาการตะลึง รู้สึกสังหรณ์ในใจอย่างประหลาด
ติดตาม "แผนร้ายแผนรัก" ตอนที่ 4