xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2

ไม่นานต่อมา ตะวันฉายเดินเซ็งๆ ออกมาที่หน้าสำนักพิมพ์

“เฮ้อ...เอาไงต่อดี กลับบ้านก็ต้องโดนพ่อหัวเราะแน่”
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวาเพราะไม่รู้จะไปไหนต่อ แล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด

ขณะนั้นเอวาเพิ่งอาบน้ำเสร็จอยู่ในชุดเสื้อคลุมเดินตรงมาหยิบโทรศัพท์พอเห็นว่าเป็นเบอร์ตะวันฉายก็ยิ้ม
“โหยย แม่สาวชาวเกาะ หายหน้าหายตาไปเลย มีความสุขกับธรรมชาติจนลืมเพื่อนเลยนะแก”
ตะวันฉายที่มีสีหน้าเซ็งเบื่อโลก”
“ก็เบื่อจะเป็นสาวชาวเกาะนี่แหละ ฉันถึงโทรมาหา”
เอวาดีใจ “นี่แสดงว่าแกอยู่” เอวาร้องเพลง “กทม. เมืองที่คนตกท่อ”
“ก็ใช่น่ะสิ กำลังเซ็งด้วย ออกมาพบฉันได้ไหม เรียกนายนิคมาด้วย”
“ไม่ได้หรอก วันนี้ฉันกับนิคมีงานเล่นดนตรีตอนทุ่มอ่ะ แต่คงไปแสตนด์บายสักห้าโมงเย็น” เอวาบอก
“อืม...งั้นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเดินเหงาๆ ตามประสาผู้หญิงสวยๆบนโลกอันกว้างใหญ่นี่คนเดียวก็ได้ แกกับนิคไปทำงานเถอะ”
เอวาขำ “นี่ซัน ขอร้องเถอะ เยอะไปแระ เอางี้สิ แกก็ไปดูเราสองคนเล่นดนตรีแล้วกัน”
“ไปได้เหรอ ฉันไม่ใช่แขกเขานะ”
“ทำไมจะไม่ได้ คราวที่แล้วฉันยังชวนไอ้ตุ๊กกับไอ้บี๋ไปดูเลย ตกลงไปนะไปเจอกัน...คิดถึง...คิดถึง”
“ก็ได้...กลับบ้านไปก็ไม่รู้จะทำอะไร แล้วจะให้ไปเจอที่ไหนล่ะ” ตะวันฉายถาม

เรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาสุดหรูจอดอยู่ที่ท่าเรือริมแม่น้ำ ตะวันฉายมองที่ชื่อเรือที่เขียนไว้ข้างๆ แล้วก็มองไปรอบๆ พนักงานกำลังเตรียมจัดของ และขนของขึ้นเรือ ตะวันฉายมองแล้วก็ยังไม่ก้าวขึ้นเรือ
“ป้ายบอกชื่องานอะไรก็ไม่เห็นจะมี ใช่หรือเปล่าหว่า แต่ก็น่าจะใช่นะ เรือชื่อนี้ก็มีอยู่ลำเดียวนี่”
ตะวันฉายตัดสินใจเดินขึ้นเรือสักพักก็มีพนักงานยกป้ายมาตั้งบอกชื่องานภาษาอังกฤษ “ประหยัดไฟไม่ให้โลกร้อน” บนป้ายมีชื่อ Hosted by Travel T อยู่ด้วย

เอวานั่งหงุดหงิดอยู่ในรถที่ติดเป็นแพ โดยมีนิคนั่งอยู่ด้วย
“เพราะแกคนเดี๊ยววววเลยจริงๆ ถ้าไม่ต้องไปรับก็ไม่สายแล้ว”
“เอ้า...คุณเอวา ไหงกลายเป็นผมผิดอ่ะ ก็ยืนรอตรงเวลาเป๊ะ แต่แกมัวแต่งหน้าทำผมเยอะเองนะ” นิคแขวะ
“ก็ไอ้ซันน่ะสิชวนเม้าท์อ่ะ” เอวาโบ้ย
“นั่นคนอื่นผิดประจำ” นิคว่า เอวาหยิกแขน “โอ๊ย...โอเคฉันผิดก็ได้ แต่แกจะหงุดหงิดทำไม เพลงก็ไม่ต้องซ้อม งานก็เริ่มเย็นโน่น มีเวลาถมไป”
“ฉันห่วงซันมันต่างหาก ปล่อยไว้คนเดียวนานๆวีนทุกที”
พูดจบโทรศัพท์เอวาก็ดังขึ้นทันที เอวารีบส่งให้นิค
“เฮ้ย....ทำไมล่ะ นี่กะจะให้ฉันโดนด่าคนเดียวใช่ไหม”
“ฉันขับรถอยู่ มันผิดกฎหมาย แกรับหน้าไปก่อน” เอวาบอก
นิคถอนใจเซ็งแล้วกดรับแต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูด เสียงตะวันฉายก็ดังขึ้นมาทันที
“นี่แกสองคนอยู่ไหน”
“แกถึงแล้วเหรอ” นิคถาม
ตะวันฉายยืนอยู่ที่ท่าเรือ
“ถามแบบนี้แสดงว่ายังมาไม่ถึงละสิ” ตะวันฉายสวน
“แฮ่ะๆ ก็สายแป๊บนึง”
“บอกแบบนี้ก็แสดงว่าไม่ต่ำกว่าชั่วโมง”
“เฮ้ย....ไม่รู้ทันสักเรื่องจะได้ไหมอ่ะ”
“ไม่ต้องมาออกนอกเรื่องเลย ตกลงจะเอาไง ฉันมาถึงนานแล้วนะ ยืนคอยจนหน้าจะเป็นฝ้าแล้ว”
นิคหน้าเสีย “เอางี้ เดี๋ยวแกขึ้นไปรอบนเรือก่อนแล้วกัน”
“เฮ้ย ได้ไง ฉันไม่รู้จักใคร”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าใครถามก็บอกว่าพวกฉันเชิญ” นิคบอก
ตะวันฉายวางสายแล้วเดินขึ้นเรือไป

ตะวันฉายเดินขึ้นมาบนเรือท่ามกลางบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงที่ดูหรูหรา บนเวทีมีป้ายภาษาอังกฤษระบุว่างานเลี้ยงนักวิจัยนานาชาติในโครงการ“ประหยัดไฟให้โลกไม่ร้อน” ตะวันฉายตื่นตาตื่นใจ เธอมองไปรอบๆแล้วเดินไปทางหนึ่ง
สักพัก เมฆก็เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง บรรดาพนักงานพากันยกมือไหว้ เมฆเข้าไปถามพนักงานคนหนึ่งที่ดูแลเรื่องการตั้งกล้องตามจุดต่างๆ ในห้องจัดเลี้ยง
“กล้อง 1 นี่ต้องเห็นหน้าประธานตอนกล่าวนะ” เมฆบอก
“ครับคุณเมฆ นี่ไงครับเห็นแน่นอน” พนักงานบอก
พนักงานตัดภาพจากกล้องมุมหนึ่งมาให้ดูทำให้เห็นด้านหลังของตะวันฉายที่เดินอยู่ในงานและกำลังจะเดินขึ้นไปดาดฟ้าเรือ
“นั่นใครน่ะ...คนจากบริษัทเราหรือเปล่า” เมฆถาม
“แต่งตัวอย่างนั้น ไม่น่าใช่นะครับ” พนักงานตอบ
“งั้นเป็นใคร งานเราก็ไม่มีคนไทยนี่นา”
“เดี๋ยวผมวอให้น้องบนดาดฟ้าถามให้ก็ได้ครับ”
“อย่าดีกว่า.. เดี๋ยวผมไปดูเอง” เมฆบอก
เมฆผละออกไปทันที

ตะวันฉายเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ เธอมองไปรอบๆดาดฟ้าที่มุมหนึ่งถูกเตรียมไว้สำหรับเป็นที่แสดงดนตรี ตะวันฉายเดินไปหยุดอยู่ที่หัวเรือแล้วยืนชมวิวแม่น้ำอย่างมีความสุข เมฆเดินตามขึ้นมาที่ดาดฟ้าเรือ เขาเห็นตะวันฉายยืนชมวิวอยู่ก็เดินเข้าไปหา
“ขอโทษนะครับ..คุณ...” เมฆทัก
ตะวันฉายได้ยินเสียงทักจากด้านหลังก็หันมามอง
เมฆกับตะวันฉายตกใจแล้วชี้หน้ากัน “นี่....คุณ !!”

ทั้งสองประหลาดใจที่เห็นอีกฝ่าย

เมฆกับตะวันฉายจ้องหน้ากันด้วยความตกใจ

เมฆเสียงเข้ม "เข้ามาที่นี่ได้ไง?”
"ฉันก็ใช้ขาเดินเข้ามาน่ะสิ" ตะวันฉายตอบกวน
"งั้นก็ใช้ขาเดินออกไปเดี๋ยวนี้เลย งานนี้ห้ามคนนอกเข้ามาวุ่นวาย"
"ฉันไม่ใช่คนนอกนะ มีคนเชิญฉันมา"
"คุณเนี่ยนะ จะถูกเชิญมางานของนักวิทยาศาสตร์ ไหนล่ะบัตรเชิญ"
"เอ่อ...ฉันเป็นเพื่อนกับ...”
เมฆพูดสวนขึ้นทันควัน "ไม่ต้องพูดแล้ว นี่เป็นงานเป็นประชุมการวิจัย ไม่มีใช่ปาร์ตี้เพื่อนฝูง อย่ามามั่ว คุณไปได้แล้ว"
เมฆไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เขาเข้ามาลากแขนตะวันฉายออกไปทันที ตะวันฉายโวยวายลั่น
"นี่ปล่อยฉันนะ คุณจะมาทำกิริยาหยาบคายกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ"
เมฆชะงักแล้วจ้องหน้าทันที "หยาบคายเหรอ ฟังให้ดีนะคุณผู้จัดการรีสอร์ทที่ไม่ใช่นักวิทยาสตร์ คราวที่แล้วที่รีสอร์ทคุณจะสร้างความวุ่นวายยังไงก็ได้ แต่ที่นี่เป็นสถานที่ของผม จะมาทำตัวกากๆที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด"
"หืมม....ไอ้ปากเป็ด มันจะมากไปแล้วนะกล้าว่าฉันกากเหรอ"
ตะวันฉายจ้องหน้าเมฆ เมฆจ้องตะวันฉายอย่างงงๆ จังหวะนั้นตะวันฉายก็เตะเข้าที่หน้าแข้งเมฆจนเขาร้องจ๊าก แล้วตะวันฉายเอากระเป๋าตีเมฆที่ทรุดตัวเพราะความเจ็บ
เมฆตะโกน "ใครก็ได้เรียกตำรวจที มีคนบุกรุกก่อความวุ่นวายในงาน"
พอได้ยินดังนั้นตะวันฉายก็ตกใจรีบวิ่งหนีไปทันที
"ยัยบ้า อย่าให้จับได้นะ ฉันเหวี่ยงเธอลงน้ำแน่"
เมฆวิ่งกะเพลกๆ ด้วยความเจ็บตามลงไป

ตะวันฉายวิ่งลงมาด้านล่างของเรือ เมฆวิ่งไล่ตามจะจับตัวแต่ตะวันฉายรีบวิ่งหนีเข้าห้องประชุมที่ทีมงานกำลังจัดเวที เช็คไฟ เช็คเครื่องเสียงกันอยู่ ตะวันฉายวิ่งเข้ามาแล้วย่องเข้ามาหลบที่หลังฉาก เมฆวิ่งเอามือกุมหัวเข้ามาแล้วหยุดมองไปรอบๆ ทีมงานที่ทำงานหยุดทำแล้วมองไปที่เมฆอย่างงงๆ
"เห็นผู้หญิงท่าทางติงต๊องวิ่งเข้ามาไหม" เมฆถาม
ทีมงานต่างส่ายหน้า เมฆสงสัยจึงมองไปรอบๆ ตะวันฉายแอบดูจากช่องเล็กๆ หลังเวที เธอเห็นเมฆหาไม่เจอก็แอบขำสะใจ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ตะวันฉายตกใจมาก เธอเปิดกระเป๋าคุ้ยหาด้วยความตื่นเต้น พอมองไปอีกทีก็เห็นเมฆจ้องมาที่ฉากที่เธอหลบอยู่

นิคมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้างงจนเอวาสงสัย
"มีอะไรเหรอ" เอวาถาม
"ซันตัดสายอ่ะ" นิคบอก
"ตายแล้ว หรือมันจะโกรธอ่ะที่ทิ้งให้อยู่คนเดียวนานไป เฮ้อ...ไอ้รถบ้าพวกนี้ก็ทำไมต้องมาวิ่งเวลาเดียวกับฉันด้วยนะ"
"พาลซะงั้น" นิคหัวเราะ "ใจเย็นๆ ฉันว่ามันไม่โกรธหรอก ถ้าโกรธน่ะไม่เคยตัดสายมีแต่จะด่าจนพวกเราต้องสายซะเอง"
"จริงด้วย....ถ้าตัดสายก็แสดงว่าไม่ว่าง ถ้าไม่ว่างก็แสดงว่าคงเจอกับพี่เมฆแล้วมั้ง"
"งั้นก็คงทำความรู้จักกันแล้ว เผลอๆป่านนี้คงกำลังคุยกันสนุกถูกคอฮาก๊าก ฮาก๊ากด้วยซ้ำ" นิคบอก

เมฆเดินมาหลังเวทีที่ตะวันฉายหลบอยู่ พอเห็นเมฆตะวันฉายก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะหนี
เมฆส่ายหน้าด้วยความระอาใจ "หมดฤทธิ์หรือยัง"
เมฆเดินหน้าเข้มเข้ามาหาตะวันฉายช้าๆ
"จะไปดีๆหรือจะไปพร้อมกุญแจมือ" เมฆถาม
ตะวันฉายค่อยๆถอยไปชนโต๊ะที่วางของทั้งวิทยุและอุปกรณ์ต่างๆ ตะวันฉายเห็นแก้วน้ำแดง กับกาแฟเย็นของทีมงานวางอยู่ก็คว้าขึ้นมาหนึ่งใบแล้วตั้งท่าจะสาด
"ฉันไปก็ได้ แต่ก่อนไปขอจัดเต็มนิดหนึ่งนะ"
"เฮ้ย อย่าเล่นบ้าๆนะ" เมฆตกใจ
ตะวันฉายจะสาด เมฆเป็นฝ่ายถอยไปชนกับปลั๊กต่อสายไฟแรงสูงของไฟสปอทไลท์ ตะวันฉายเงื้อแก้วแล้วสาดทันที มวลน้ำลอยละลิ่วเข้ากระทบร่างของเมฆที่กำลังร้องโวยวายส่ายหน้าปัดป้อง ตะวันฉายเอาแก้วน้ำใบใหญ่สาดเข้าไปอีก เมฆถอยไปจนมือที่เปียกสะบัดไปโดนปลั๊กไฟพอดี
เมฆและตะวันฉายมองไปที่ปลั๊กไฟด้วยความตะลึง แล้วเมฆก็ร้องจ๊ากเพราะโดนไฟช๊อต
ตะวันฉายตกใจ "ตายแล้ว"

ตะวันฉายรีบขว้างแก้วทิ้งแล้ววิ่งออกไป ขณะที่ทีมงานรีบวิ่งเข้ามาดูเมฆ

ตะวันฉายนั่งกินกาแฟด้วยความหงุดหงิด ส่วนเอวากับนิคเปิดประตูเดินหน้าตื่นมาหาตะวันฉาย

"เกิดอะไรขึ้น ทำไมแกต้องเรียกให้พวกเรามาที่นี่ ทำไมไม่รอบนเรือ" เอวาถาม
"ฉันก็จะไปคอยพวกแกบนเรือ แต่ดันไปเจอไอ้หมอนั่นน่ะสิ" ตะวันฉายบอก
เอวากับนิคพูดพร้อมกัน "ไอ้หมอนั่น"
"ใช่ ก็นายนภทีป์ผู้บริหารบริษัทนี้ไง หนอย...คิดจะจับฉันโยนจากเรือ ดีว่าฉันสวยและมีสมาธินะเลยเอาคืนมันซะน่วมเลย" ตะวันฉายบอก
นิคกับเอวาตกใจมาก
"เฮ้ย...นี่แกไปทะเลาะกับเจ้าของงานเลยเหรอ" นิคถาม
"ฉันไม่ได้ทะเลาะ นายนั่นต่างหาก รู้ไหมว่าเขาแกล้งฉันตั้งแต่ตอนที่พาแขกไปพักที่รีสอร์ทแล้ว ไม่คิดเล้ยยยยว่าจะซวยมาเจอที่นี่อีก แกสองคนก็เหมือนกัน ฉันว่าไม่ต้องไปเล่นดนตรีให้บริษัทนี้แล้ว บอกรุ่นพี่ของพวกแกไปเลยนะว่าไม่อยากร่วมงานกับพวกโรคจิต"
นิคกับเอวามองหน้ากันด้วยความเครียดพร้อมกุมขมับจนตะวันฉายสงสัย
"มีอะไรเหรอ"
"จะไปบอกรุ่นพี่ยังไงล่ะ ก็เจ้าของงานกับรุ่นพี่น่ะคนเดียวกัน" เอวาบอก
"จริงเหรอ? ต๊าย...งั้นก็ถือเป็นโชคของพวกแกเลยนะ ที่ฉันกระชากหน้ากากนายนั่นออกมา รู้แบบนี้แล้วจะไปเล่นดนตรีให้เขาอีกเหรอ"
นิคกับเอวาพยักหน้าพร้อมกัน ตะวันฉายอยากจะกรี๊ด
"นิค...เอวา ฉันไม่นึกไม่ฝันเลยนะว่าแกสองคนจะเห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนที่คลานตามกันมา"
"ซัน ใจเย็นๆก่อนนะ" เอวาปราม "ฉันว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ ปกติพี่เมฆเขาเป็นคนดีมากๆนะ"
"งั้นฉันก็ไม่ดีน่ะสิ"
"ไม่ใช่อย่างงั้นนะ เอางี้ ฉันว่าแกไปกับเราดีกว่า เข้าไปเคลียร์กับพี่เมฆให้รู้เรื่องไปเลย ไม่แน่นะ แกอาจจะได้เพื่อนที่ดีเพิ่มอีกคนก็ได้
"นี่ยังคิดจะให้ฉันไปเจอไอ้ปากเป็ดนั่นอีกเหรอ" ตะวันฉายบ่น นิคกับเอวาจ๋อยจนตะวันฉายรู้สึกผิดเสียงอ่อนลง "เอาเป็นว่าแกสองคนจะคบนายนั่นฉันไม่ว่า แต่ถ้าฉันอยู่ด้วยเมื่อไหร่จะไม่มีการพูดถึงนายคนนั้นอีก ฉันขอแค่นี้แล้วกัน"
ตะวันฉายลุกพรวดเดินไปแล้วนึกได้จึงเดินกลับมาหยิบแก้วกาแฟแล้วเดินงอนๆออกไปจากร้าน
"เสียดายนะ เพื่อนดีๆสองคน แต่ดันไม่ถูกกันซะงั้น" นิคบอก
"มาคิดเรื่องพี่เมฆดีกว่า ไม่รู้รายนั้นจะว่ายังไง" เอวากังวล
นิคกับเอวามองหน้ากันอย่างเครียดๆ

เมฆกำลังใส่ชุดใหม่แล้วส่องกระจก โดยมีนิคกับเอวานั่งเตรียมเครื่องดนตรีกับโน้ตอยู่ใกล้ๆ
"ดีนะที่แถวนี้ยังมีร้านสูท ไม่งั้นกว่าจะกลับไปบ้านแล้วมาอีกที งานคงเลิก" เมฆบ่น
นิคกับเอวาได้แต่ยิ้มรับแหยๆ เมฆเดินมาหยิบกีตาร์เทียบเสียงแล้วบ่นต่อ
"คิดแล้วก็ฉุน ยัยนั่นกล้าหลอกพี่ด้วยนะว่ามีคนเชิญมา"
"ก็ไหนพี่เมฆบอกว่าเขาเป็นผู้จัดการรีสอร์ท เขาจะมาหลอกทำไม" นิคบอก
"ฮึ...ทำงานแย่ซะขนาดนั้นพี่ว่าอาจจะโดนไล่ออกแล้วมั้ง เลยต้องผันตัวมาเป็นสิบแปดมงกุฎ"
"เอ่อ...พี่เมฆดูจะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มากเลยนะคะ" เอวาถาม
"พี่จะชอบได้ไง เจอกันทีไรต้องมีเรื่องยุ่งๆเข้ามาหาพี่ทุกครั้ง ยัยนี่ต้องถือเป็นตัวโชคร้ายด้วยซ้ำ ไปที่ไหนก็มีแต่หายนะ"
นิคกับเอวามองหน้าแล้วส่ายหน้าระอาใจ
นิคกระซิบ "พอกันทั้งคู่"
เอวากระซิบ "ดีนะที่ไอ้ซันมันไม่ยอมมาเคลียร์ ไม่งั้นคงตีกันต่อ"
"มีอะไรเหรอ" เมฆถาม
"เอ่อ...ป..เปล่าค่ะ" เอวามองไปบนโต๊ะเห็นจานผลไม้มีถ้วยพริกกะเกลือ "นิคเขาจะทานผลไม้ พี่เมฆเอาไหมคะ เอวาซื้อมาจากร้านใต้คอนโด เจ้านี้อร่อยนะไม่เปรี้ยว"
เมฆมองแล้วหยิบถ้วยพริกกะเกลือ "พริกกะเกลือใช่ป่ะที่เขาใช้แช่งคน"
"อย่าบอกนะพี่ว่าจะแช่งผู้หญิงคนนั้น" นิคตกใจ
"ใจมันอยากอ่ะ"
เมฆมองถ้วยพริกกะเกลือด้วยแววตาร้ายสุดๆ นิคกับเอวามองหน้ากันแบบใจไม่ดี

ถนนยามค่ำของกรุงเทพฯ รถติดมาก ตะวันฉายยืนรอเรียกแท็กซี่ แต่ก็ไม่มีคันไหนไป
"โอ๊ย...ไม่รับผู้โดยสารแล้วมาขับแท็กซี่ทำไมกัน ขับกินลมกันเหรอ"
ทันใดนั้นก็มีแท็กซี่ว่างแล่นมา ตะวันฉายโบกมือเรียก รถจอด ตะวันฉายเปิดประตู
"ไปสุขุมวิทซอย....”
"ไม่ไปหรอกรถติด" คนขับแท็กซี่บอก
ตะวันฉายโมโหจึงเปิดประตูค้างไว้แล้วจะเดินไป แท็กซี่เรียก
"น้อง...ปิดประตูให้ด้วยสิ" คนขับแท็กซี่บอก
"เรื่องอะไร พี่ไม่ไปทำไมหนูต้องปิดให้ล่ะ"
ตะวันฉายเดินหนีไป คนขับแท็กซี่โมโหเพราะต้องเอื้อมมาปิดเองแล้วขับออกไป ตอนขับผ่านตะวันฉายเขาก็บีบแตรด่า ตะวันฉายเชิดใส่แล้วเดินไปบ่นไป
"เพราะนายปากเป็ดนั่นคนเดียว ฉันถึงต้องมาเดินสูดควันพิษแบบนี้"
ตะวันฉายเดินไปสะดุดอิฐบล็อคที่แตกอยู่บนฟุตบาท
"ว๊าย....นี่ยังไม่จบมหกรรมความซวยอีกเหรอเนี่ย ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องนายนั่น ยังจะมีอะไรไหมเนี่ย"
ตะวันฉายจ้องพื้นแล้วกระทืบพื้นด้วยความเจ็บใจ พอเงยหน้าหันจะเดินต่อเธอก็ชนโครมกับเสาป้ายบอกทาง

ตะวันฉายยืนนิ่งกลอกตาด้วยความเซ็ง

เมฆวางถ้วยพริกกะเกลือลง

"ไม่เอาดีกว่า ถ้าพี่ไปจองเวรจองกรรมยัยนั่น เดี๋ยวก็ต้องมาเจอกันอีก ขอให้วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตพี่ที่ต้องเจอยายนี่เถอะ"
"ผมว่าเขาก็คงไม่อยากเจอพี่แล้วเหมือนกันนะครับ" นิคบอก
เมฆมองนิคด้วยความสงสัย "รู้ได้ไง นายรู้จักเขาเหรอ"
"เอ่อ...ป...เปล่าครับ ผมก็เดาจากที่พี่เมฆเล่า"
เอวารีบช่วยเพื่อน "ใช่ค่ะ เอวาก็คิดเหมือนนายนิคนะ ต่อให้พี่เมฆกับซะ..เอ๊ย ผู้หญิงคนนั้นมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ก็คงญาติดีกันไม่ได้แน่นอน"
เมฆหัวเราะ "เอวา ไปกันใหญ่แล้ว พี่กับยัยนั่นน่ะเหรอจะมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าพี่รู้ว่าเพื่อนพี่คนไหนเป็นเพื่อนยัยนั่นนะพี่เลิกคบแน่นอน"
นิคกับเอวาหน้าเสียไปทันที
"เอางั้นเลยเหรอครับ" คิคหวั่นใจ
เมฆพยักหน้ารับ
สักพักทีมงานก็เดินมาตามทั้งสามคน
"พี่เมฆครับ แขกขึ้นเรือเรียบร้อยแล้วครับ"
เสียงเพลงดังขึ้น ในขณะที่เรือลำใหญ่แล่นอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาท่ามกลางวิวสวยสองข้างทางแขกผู้ใหญ่ชาวต่างชาตินั่งกินอาหารแล้วก็ชมดนตรีที่ทั้งสามเล่นให้ฟัง ฝรั่งหัวโต๊ะสองคนคุยกัน
“I really love Travel T. They r more than travel company.”
“Khun Mek knows that we need them for the next meeting.”
พูดจบทั้งสองก็หันไปฟังเพลงต่อ พอเพลงจบก็ปรบมือด้วยความชื่นชม

เมฆวางถุงใส่สูทลงบนเตียงแล้วเปิดซองหยิบเสื้อที่เปื้อนน้ำแดงและกาแฟออกมาดูด้วยความเซ็ง
"ยัยบ้าเอ๊ย...ถ้าซักไม่ออกจะจ่ายเงินฉันไหมเนี่ย"
เมฆเอาเสื้อผ้าใส่กลับไปในถุงด้วยความเซ็งและจะเอาไปแขวนหน้าตู้ แต่เขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อมองไปที่โต๊ะในห้อง เมฆรีบแขวนซองสูทแล้วเดินมาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นดู แล้วเขาก็อดอมยิ้มไม่ได้
เมฆมองภาพวาดในกระดาษที่ระบายสีเป็นรูปเมฆนั่งเล่นกีตาร์อยู่และมีลายมือโย้เย้ของหมอกที่เขียนว่า “คุณพ่อที่น่ารักที่สุดในโลก” ด้านล่างมีโบว์เล็กๆ บอกว่าได้างวัลที่หนึ่งติดอยู่ เมฆยิ้มดีใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่

ตกกลางดึก หมอกงอแงไม่ยอมเข้านอน
"ไม่เอา หมอกไม่นอน คุณพ่อกลับแล้วหมอกจะไปหาคุณพ่อ"
"เอ๊ะ..อย่ามาดื้อกับฉันนะ....บอกให้นอนก็นอนสิ" เชอรี่ดุ
เชอรี่จ้องตาดุจนหมอกหงอยอมล้มตัวลงนอน เชอรี่ยิ้มหวานให้
"เป็นเด็กดีแบบนี้ ป้าเชอรี่รักตายเลย" เชอร์รี่ทำเสียงดุ "หลับตาด้วยค่ะ"
หมอกหลับตาทันที เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนในขณะที่เชอรี่กำลังห่มผ้าให้หมอกที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเมฆเข้ามาหมอกก็ลุกขึ้นนั่งยิ้มทันที เชอรี่ก็ยิ้มให้เมฆพร้อมส่งสายตาปิ๊งๆ แต่เมฆไม่ได้สนใจรีบเดินไปนั่งกับหมอก
"พ่อครับ...หมอกวาดรูปได้รางวัลที่หนึ่งด้วย" หมอกบอก
"พ่อเห็นแล้วลูก หมอกของพ่อเก่งมากรู้มั้ย" เมฆชม
"หมอกเก่งเพราะพ่อของหมอกเก่งครับ"
เมฆยิ้ม "ถูกต้องแล้วคร๊าบบบ เราสองคนเป็นพ่อลูกที่เก่งทั้งคู่"
"ตอนนี้คนเก่งต้องนอนแล้วนะคะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน" เชอรี่บอก
เชอรี่รีบแทรกเข้ามาจับตัวหมอกให้นอน
"พ่อนอนกับหมอกได้ไหมครับ หมอกไม่อยากนอนกับ....”
เชอรี่พูดสวนขึ้นมา "คุณหมอกคะ อย่ากวนคุณพ่อสิ"
"นอนนะครับเด็กดี เดี๋ยวพ่อจะอยู่จนหมอกหลับนะครับ" เมฆบอก
เมฆกอดหมอกด้วยความรักแล้วห่มผ้าให้
เวลาผ่านไป หมอกนอนหลับตาพริ้ม เมฆนั่งยิ้มมองสักพักแล้วถอยออกมา พอจะหันหน้าออกเขาก็ตกใจที่เจอเชอรี่ยืนยิ้มหวานอยู่
"แหม...น่ารักทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะคะ"
เมฆยิ้มๆแล้วเดินออกไป เชอรี่หันไปมองหมอกที่หลับอยู่
"คืนนี้แม่..เอ๊ย ป้าขอไปนอนที่อื่นนะคะลูกหมอก"
เชอรี่ปิดไฟแล้วเดินออกไป

เมฆเดินออกมาจากห้องหมอก แล้วเขาก็ได้ยินเสียงปิดประตูพอหันกลับไปเห็นเชอรี่เดินยิ้มมาหา
"คุณเมฆจะนอนหรือยังคะ พี่มีอะไรอยากคุยหน่อย" เชอรี่บอก
"ครับ พี่เชอรี่มีอะไรเหรอครับ หรือว่าหมอกแกซนเกินไป" เมฆถาม
"เรื่องคุณหมอกซนน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ พี่เชอรี่เอาอยู่"
เชอรี่เดินเข้ามาหาเมฆแล้วจ้องด้วยสายตาเจ้าชู้จนเมฆรู้สึกอึดอัด
"พี่สงสารที่คุณหมอกแกขาดแม่ค่ะ คุณเมฆน่าจะหาแม่ให้คุณหมอกนะคะ" เชอรี่ยิ้มยั่ว "และควรจะเป็นคนที่เข้ากับคุณหมอกได้ดีด้วย"
พูดจบเชอรี่ก็ขยับเสื้อคลุมให้ไหล่ตก เมฆตกตะลึง
"คุณคิดยังไงกับสิ่งที่พี่พูดคะ" เชอรี่ถาม
"เอ่อ...เอ่อ...ผม...”
เมฆเดินถอยเชอรี่เดินตาม
"ว่าไงคะ เห็นด้วยใช่ไหมคะ"
"เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกไม่สบาย ขอตัวไปอ้วกก่อนนะครับ"

เมฆรีบวิ่งเข้าห้องแล้วปิดประตู เชอรี่วิ่งตามแต่ก็เข้าไม่ได้
เชอรี่เคาะห้อง "คุณเมฆ เป็นไงบ้าง เปิดให้พี่ช่วยเข้าไปดูแลหน่อยนะคะ คุณเมฆ" เชอรี่เคาะประตูจนเหนื่อย "บ้าจริง เกิดจะมาไม่สบายเอาตอนนี้"
เชอรี่สะบัดสะบิ้งเดินจากไป

เมฆเดินหน้าตื่นมานั่งที่กระจกด้วยความรู้สึกขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงภาพที่เสื้อคลุมเชอรี่ไหล่ตก

"โห...ติดตาเลยเว้ย" เมฆจะอ้วกเอา

ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ด้านเชอรี่เปิดประตูเข้ามาในห้องพักด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุดๆ

"กล่อมดีๆ ไม่ยอม..ต่อไปนี้ต้องเจอปฏิบัติการถึงลูกถึงคน ถึงเนื้อถึงตัว...เผลอ...เจอ...จับ...หลับ..เจอ...ปล้ำ ดูสิว่าจะทนเสน่ห์ยั่วยวนของเชอรี่ได้แค่ไหน"
เชอรี่ยิ้มกับแผนการของตัวเอง

รถของเอวาแล่นมาจอดหน้าคอนโด เอวากับนิคก้าวลงมาจากรถ แล้วนิคก็เห็นอะไรบางอย่างก็รีบวิ่งไปสะกิดเอวา
"เฮ้ย...ดูโน่นสิ"
เอวามองตามไปก็เห็นตะวันฉายนั่งคอยอยู่ที่ล็อบบี้
"นิค...แกอย่าเพิ่งกลับนะ ฉันไม่อยากโดนด่าคนเดียว"
"โห...รักเพื่อนมาก เมื่อกลางวันฉันโดนไปแล้ว รอบเย็นยกให้แกแล้วกัน"
"ไม่ต้องพูดมากไปด้วยกันเลย"
เอวาดึงหูนิค นิคร้องลั่น เอวาลากนิคเข้าไปด้านใน
นิคกับเอวาเดินเข้ามาด้านใน ตะวันฉายเห็นเข้าก็รีบเดินหน้าเศร้าเข้ามาหา
"ซัน ทำไมมาดึกๆป่านนี้ล่ะ" เอวาถาม
"ฉันเหงา...ฉันไม่มีเพื่อนกินข้าวเย็นอ่ะ แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้เม้ามอยกันเลยนะ" ตะวันฉายบอก
"แกหายโกรธพวกฉันสองคนแล้วเหรอ" นิคถาม
ตะวันฉายพยักหน้ารับเศร้าๆ แล้วทั้งสามก็ยิ้มให้กัน

ตะวันฉาย นิค เอวา นั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหารของร้านริมถนนในย่านเยาวราช
"รู้ไหม ฉันดีใจมากเลยนะที่แกหายโกรธ" เอวาบอก
"ตอนแรกก็กะจะโกรธไปสักระยะหรอก แต่พรุ่งนี้ฉันต้องกลับแล้ว เลยไม่อยากแบกความทุกข์กลับรีสอร์ท"
"ไม่ต้องอ้างเลย จริงๆกลัวงอนนานแล้วพวกเราจะโกรธตอบใช่ไหมล่ะ" นิครู้ทัน
ตะวันฉายค้อน "ย่ะ จะว่างั้นก็ได้ เรื่องอะไรฉันจะมาเสียเพื่อนดีๆเพราะนายปากบึนนั่น"
"อ๊าย...แบบนี้รักตายเลย" เอวากอดตะวันฉาย
"แล้วทำไมแกต้องกลับพรุ่งนี้ล่ะ ไม่อยู่รอฟังผลการประกวดก่อนเหรอ"
"กว่าจะประกาศผลตั้งอีกเป็นเดือน ฉันอยู่ไปก็ไม่รู้จะทำอะไร"
"แล้วไม่กลัวคุณพ่อแกเยาะเย้ยแล้วเหรอ"
"อุ๊ย...พ่อจะเอาอะไรมาเยาะ ผลยังไม่ออกก็เหมือนสงครามยังไม่จบ จะมานับศพคนตายได้ไง"
ตะวันฉายลอยหน้าตอบอย่างมั่นใจ

เสียงหัวเราะลั่นบ้านของเกริกไกรที่รีสอร์ท เกริกไกรนั่งหัวเราะ ในขณะที่ตะวันฉายนั่งหน้างออยู่ สายรุ้งนั่งมองเกริกไกรด้วยสายตาไม่พอใจ
"แหม...ดูพ่อจะมีความสุขที่ลูกกลับมามากเลยนะคะ" ตะวันฉายค้อน
"ใครว่า...พ่อมีความสุขที่ทายแม่นมากกว่า เห็นไหม พ่อบอกแล้วว่าจะไปทำไมให้เหนื่อย ยังไงลูกก็อยู่โรงพิมพ์ไม่เกินห้านาที เอ...ต่อไปพ่อควรจะทายผลการประกวดด้วยไหม"
"พ่ออ่ะ...คอยดูนะ ยิ่งพ่อพูดแบบนี้ ซันจะยิ่งต้องทำให้สำเร็จ"
ตะวันฉายลุกขึ้นจะเดินไป เกริกไกรพูดตาม
"ระหว่างรอผลตกรอบ เอ๊ย เข้ารอบ ลูกจะทำงานไปด้วยพ่อก็ไม่ว่านะ ทิ้งไปนานเดี๋ยวกลับมาทำอีกทีจะไม่คล่องต่อไม่ติด"
ตะวันฉายค้อนให้พ่อแล้วเดินไป เกริกไกรมองตามยิ้มๆ สายรุ้งส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
"นี่พ่อ มันชักจะมากไปแล้วนะ ให้ความเคารพลูกบ้างสิ" สายรุ้งว่า
เกริกไกรสะดุ้ง "อะไรนะ"
สายรุ้งโมโห "ตอนลูกยังไม่ได้เขียนงาน พ่อจะใช้วิธีกดดันแบบนี้แม่ก็ไม่ว่า แต่นี่ลูกอดตาหลับขับตานอนเขียนงานจนเสร็จส่งเขาไปแล้ว พ่อจะมากดดันลูกอีกทำไม คิดว่าลูกเราอยากตกรอบให้เยาะเล่นเหรอ"
เกริกไกรอึ้งและนิ่งเงียบฟัง
"ตอนนี้งานมันหลุดมือลูกเราไปแล้ว มันเหนือการควบคุมของซัน ที่เราควรทำก็คือให้กำลังใจลูกไม่ดีกว่าเหรอคะ"
เกริกไกรจับมือสายรุ้ง "ถูกของแม่...พ่อขอโทษนะ"
"ลูกน่าจะเป็นคนที่อยากฟังคำนี้จากพ่อมากกว่านะ"

ตะวันฉายนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะหน้าชายหาด สักพักเกริกไกรก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ
เกริกไกรร้องเพลง "หากพวกเรากำลังสบายจะตบมือพลัน...แป๊ะ..แป๊ะ"
ตะวันฉายถามเสียงขุ่น "จะฝึกร้องเพลงไปเดี่ยวไมโครโฟนเหรอคะ"
เกริกไกรหน้าเสีย "อุ่ย...ไม่ตลกแฮะ"
ตะวันฉายลุกขึ้น "ถ้าพ่อจะมาเยาะเย้ยซันต่อ ขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคะ วันนี้ซันเดินทางมาเหนื่อย"
ตะวันฉายจะเดินไปแต่เกริกไกรเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ซัน...คุยกับพ่อก่อนนะ พ่อขอเวลาแป๊บเดียว"
ตะวันฉายตัดสินใจลงนั่งด้วยความเซ็ง
"พ่อขอโทษนะที่พูดจาไม่ดีกับลูก"
ตะวันฉายมองเกริกไกรอย่างงงๆ "พ่อขอโทษซัน?”
"ใช่...แม่พูดถูก ช่วงเวลานี้มันเหนือการควบคุมของซัน พ่อควรจะเป็นคนที่ให้กำลังใจซันมากที่สุด พ่อเสียใจนะ จากนี้ไปเรามาช่วยกันลุ้นให้ซันเข้ารอบดีกว่า พ่อเอาใจช่วยนะ"
เกริกไกรยิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายโผเข้ากอดเกริกไกร
"ขอบคุณค่ะพ่อ ขอบคุณมากค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะพ่อ ลูกสาวคนสวยของพ่อคนนี้จะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง"
"ลูกหมายถึงเรื่องงานใช่ไหม เพราะเรื่องสวยน่ะพ่อไม่หวังอยู่แล้ว"
ตะวันฉายผละจากการกอดทันที "นี่พ่อว่าซันไม่สวยเหรอ"
"เฮ้ย...เปล่านะ พ่อเลี้ยงของพ่อมาทำไมพ่อจะไม่รู้ว่าลูกของพ่อน่ะสวยที่สุด"
"ค่อยยังชั่วหน่อย"
"พ่อหมายถึงที่สุดท้ายนะ"
"พ่ออ่ะ"
ตะวันฉายแกล้งตีเกริกไกร เกริกไกรรีบลุกแล้ววิ่งหนี ตะวันฉายวิ่งไล่ตาม สายรุ้งเห็นสองพ่อลูกวิ่งไล่กันไปทั่วหาด

สายรุ้งยิ้ม "ครอบครัวของฉัน"

เมฆเอารูปที่หมอกวาดให้ใส่กรอบอย่างดีและติดโบว์รางวัลไว้ที่ด้านหน้ามาแขวนกับผนัง พอแขวนเสร็จเมฆก็ถอยออกมายืนดูแล้วยิ้มปลื้ม

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในห้องทำงานของเขาก็ดังขึ้น เมฆเดินไปกด Speaker
"คุณเมฆคะ สายจากเยอรมันค่ะ" เลขาบอก
"ใครน่ะ"
"เธอเป็นคนไทยค่ะ แต่ถามชื่อแล้วไม่ยอมบอกค่ะ เธอบอกว่าคุณรู้จักเธอดี"
เมฆพึมพำกับตัวเอง "หรือจะเป็น...ไม่น่า..เป็นไปไม่ได้"
"คุณเมฆจะให้โอนสายเข้าไปเลยไหมคะ"
"โอนมาเลย"
เสียงสัญญาณโอนสายเข้ามา เมฆยืนนิ่งจ้องโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่ยอมพูดจนปลายสายทักขึ้นมา "ฮัลโหล...ฮัลโหล"
เมฆผงะไปหลังจากได้ยินเสียง
"ตกลงโอนสายให้ฉันคุยกับเมฆหรือยังคะ ฮัลโหล..ทำไมเงียบจัง"
"สวัสดีครับผมเมฆ"
"เมฆ...เมฆจริงๆด้วย ฟ้าเองนะ" อิงฟ้าดีใจ
เมฆทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนแรง

อิงฟ้าในชุดหรูกำลังนั่งดื่มกาแฟและคุยโทรศัพท์อยู่ในร้านกาแฟที่เยอรมัน
"เมฆเป็นยังไงบ้างสบายดีไหม" อิงฟ้าถาม เมฆเงียบ "เมฆ...ยังอยู่หรือเปล่า"
"อยู่" เมฆตอบสั้นๆ
"ได้ยินหรือเปล่า ฟ้าถามว่าเป็นไงบ้าง"
"มีธุระอะไร"
"แหม...ฟ้าก็คิดถึงน่ะสิถึงโทรมา ตอนแรกโทรมือถือแต่เมฆเปลี่ยนเบอร์ใช่ไหม จะโทรไปที่บ้านก็ไม่แน่ใจว่าเมฆยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า เลยลองโทรมาที่บริษัท เห็นเลขาบอกว่าตอนนี้เมฆดูแลทุกอย่างเลยเหรอ"
เมฆกัดฟัน "เข้าเรื่องเถอะ มีอะไรก็ว่ามา"
"เมฆยังโกรธฟ้าอยู่ใช่ไหม"
"ถ้าไม่มีธุระอะไรผมจะวางสาย มีงานต้องทำอีกเยอะ"
"ฟ้ารู้ว่า ถึงฟ้าจะพูดคำว่าขอโทษกี่ครั้ง เมฆก็คงไม่ยกโทษให้ แต่ฟ้าก็อยากจะพูดว่า....”
เมฆพูดสวนขึ้น "ฟ้า...มันจบแล้ว....มันจบไปนานแล้ว หวังว่าจะไม่โทรมาอีกนะ"
"เมฆเดี๋ยว....”
เมฆกดวางสายทันที เขามองโทรศัพท์ด้วยความโกรธพร้อมกับกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ แล้วจึงกดโทรศัพท์หาเลขา
"วันนี้ผมไม่รับสายนะ"

อิงฟ้ากดต่อโทรศัพท์อีกครั้ง
"ช่วยต่อคุณนภทีป์ด้วยค่ะ....ติดธุระเหรอคะ...ไม่เป็นไรค่ะขอบคุณ"
อิงฟ้ากดวางสายแล้วยิ้มพอใจ เธอเปิดกระเป๋าถือหยิบกล่องเล็กๆจากกระเป๋ามาเปิดดูสร้อยทองคำขาวมันวาวเส้นหนึ่งที่อยู่ภายในกล่อง อิงฟ้าหยิบสร้อยออกมาดูด้วยความชื่นชมพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวในอดีต

อิงฟ้านึกถึงตอนที่เธอยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและเปิดกล่องสร้อยออกดู พอเห็นเป็นสร้อยก็ฝืนยิ้มให้กับเมฆที่นั่งตรงข้าม
"ตอนนี้ผมอาจจะให้ได้แค่นี้ แต่อีกไม่นานพอจบ ผมทำงาน ผมก็จะมีเงินซื้อจี้ให้ฟ้า สร้อยเส้นนี้จะได้สวยสมบูรณ์แบบเหมือนชีวิตคู่ของเรา" เมฆบอกอิงฟ้า
"ฟ้าอยากจะแต่งงานกับคนที่ดูแลฟ้าได้ทั้งชีวิต"
"ฟ้าคิดว่าผมจะดูแลฟ้าไม่ได้ใช่ไหม"
"มันหมดเวลาสำหรับ puppy love แล้วล่ะ..เมฆ"
"แต่เราเป็นของกันและกันแล้วนะฟ้า"
"เมฆ...เราคิดถึงอนาคตกันดีกว่า"
"ฟ้ามีคนอื่นหรือเปล่า?”
อิงฟ้ายิ้ม "ฟ้าสามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเมฆได้นะ"
เมฆอึ้งแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง อิงฟ้าเอากล่องสร้อยใส่กระเป๋าแล้วหยิบหนังสือเรียนก่อนจะเดินจากไป

เมฆกำมือแน่นเมื่อนึกถึงอดีตอันเจ็บปวดแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง เขามองออกไปข้างนอกอย่างจะระบายอารมณ์ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา เมฆเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วกดโทรศัพท์
"คุณจุ๋ม ผมขอ forecast revenue ของ 2 เดือนหน้าหน่อย"
"แต่ยังไม่ถึงกำหนดส่งจากฝ่ายการตลาดเลยนะคะ"
"ไม่เป็นไร งั้นเรียกฝ่ายการตลาดที่อยู่ที่บริษัทมาพบผมหน่อย บอกเขาว่าเอางานมาทำที่นี่ ผมจะช่วยเขาเอง"
เลขางง "อะไรนะคะคุณเมฆ"
"ผมจะช่วยฝ่ายการตลาดทำงานครับ"
"ได้ค่ะ จุ๋มจะแจ้งเดี๋ยว พวกเขาคงดีใจนะคะที่คุณเมฆลงมือเอง"
เมฆกดวางสายด้วยสีหน้าเครียด
"ตอนนี้ผมมีอนาคตที่ต้องคิดถึงมากกว่าคุณ....อิงฟ้า"

เมฆพึมพำ

ติดตาม ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

อิงฟ้านั่งดูสร้อยแล้วยิ้มก่อนจะหยิบจี้ออกมาจากกระเป๋าแล้วใส่จี้นั้นเข้ากับสร้อย แล้วสวมสร้อยเส้นนั้น เธอเอามือลูบที่ตัวสร้อยด้วยสีหน้ามีความสุข ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่ถนนนอกร้าน

ชายคนหนึ่งพร้อมลูกน้องอีกสองคนก้าวลงจากรถแล้วมองเข้ามาในร้าน
อิงฟ้าหน้าเสีย "เฮลมุท !!”
อิงฟ้ารีบลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินเร็วแบบเนียนๆ ออกไปทางหลังร้าน
เฮลมุทเปิดประตูเข้ามาในร้านโดยเห็นอิงฟ้าเดินไปทางหลังร้านพอดี เขาหันไปบอกลูกน้อง
เฮลมุทสั่งนิ่งๆ “Hinten lade! !!! (หลังร้าน)
เฮลมุทกับลูกน้องรีบตามไปที่หลังร้านทันที

อิงฟ้าเดินออกมาที่ถนนช้อปปิ้งที่มีคนเดินพลุกพล่านแล้วก็คอยมองดูว่าเฮลมุทกับพวกตามทันหรือเปล่า เฮลมุทกับพวกเดินจ้ำตามอิงฟ้า โดยที่เกือบตามไม่ทัน อิงฟ้าเดินมาจนถึงถนนใหญ่ที่ต้องคอยสัญญาณไฟข้ามถนน พวกเฮลมุทตามมาใกล้จะถึงตัว อิงฟ้าตัดสินใจออกวิ่งฝ่าฝูงคน พวกเฮลมุทรีบวิ่งตาม
พวกเฮลมุทวิ่งมาถึงที่ที่มีคนเยอะๆ เฮลมุทเห็นแต่คนเต็มไปหมดแต่ไม่เห็นอิงฟ้า ในขณะที่อิงฟ้า เห็นเฮลมุทเรียกลูกน้องมาคุยแล้วตัดสินใจเดินกลับ
อิงฟ้าค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อน เธอจับสร้อยและจี้กำแน่นด้วยความกังวลก่อนจะรีบเดินไปอีกทาง โดยเหลียวหลังมาดูตลอด เธอเดินจนถึงป้ายรถรางแล้วก็รีบขึ้นรถรางไป

เจ้านายของยุทธการในชุดตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งทำงานอยู่ในห้อง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ยุทธการเปิดประตูเข้ามาในชุดตำรวจยศพันตรี แล้วทำความเคารพเจ้านาย
"ผมพันตำรวจตรียุทธการ มารายงานตัวครับผม"
"ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะสารวัตรใหม่ไฟแรง"
"ขอบคุณครับผม"
"จากประวัติของคุณ ผลงานที่โดดเด่นคือเรื่องปราบปรามยาเสพติด ผมจึงขอตัวคุณมาช่วยงานในหน่วยของเรา"
"ด้วยความยินดีครับผม"
"ตั้งใจทำงานนะ คุณยังมีอนาคตอีกไกล"
จ่าสมเคาะประตูเปิดเข้ามาแล้วทำความเคารพเจ้านายและยุทธการ
"นี่คือจ่าสม เขาจะเป็นผู้ช่วยของคุณ"
ยุทธการยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับจ่าสม

จ่าสมเดินนำยุทธการออกมาจากห้องเจ้านาย
"หน่วยของเราได้ยินชื่อของสารวัตรมานานแล้วครับ ตั้งแต่สารวัตรยังไม่ขึ้นสารวัตรเลยครับ" จ่าสมบอก
"ผมดังขนาดนั้นเลยเหรอจ่า" ยุทธการถาม
"ทั้งเรื่องผลงาน ทั้งเรื่องการทุ่มเทการทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โอ๊ย...อีกสารพัดละครับ"
"เรื่องไม่ดีไม่เคยได้ยินบ้างเหรอจ่า"
"ถ้าเจ้านายสืบไม่เจอแสดงว่าไม่มีครับ"
ยุทธการหัวเราะแก้เขิน แล้วจ่าสมก็พาเดินมาถึงโต๊ะ
"นี่โต๊ะทำงานของสารวัตรครับ ของผมก็อยู่ตรงนั้นครับ"
"ขอบคุณครับจ่า"
จ่าสมจะเดินไปแล้วก็นึกได้ "เอ่อ...สารวัตรมีแฟนหรือยังครับ"
"ทำไมเหรอ"
"จากวันนี้ไปสารวัตรคงเหนื่อยกว่าเดิม บอกแฟนให้เตรียมทำใจนะครับ สารวัตรคนก่อนได้ตำแหน่งได้ผลงานแต่เลิกกับเมีย ของผมนี่ไปทั้งเมียทั้งลูกเลยครับ"
จ่าสมหัวเราะขำก่อนจะเดินไปนั่งทำงาน ยุทธการยิ้มขำแล้วส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
ยุทธการยิ้ม "แฟนเหรอ?.”

ยุทธการนั่งดูทีวีในห้องนอนด้วยความเบื่อหน่าย แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์มาดู หน้าจอมือถือของเขาเป็นรูปตะวันฉายยิ้มร่าเริง ยุทธการมองรูปแล้วอมยิ้ม
ในขณะที่ตะวันฉายนั่งอ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วอมยิ้ม
"แหม...อ่านกี่รอบกี่รอบเราก็เขียนดีแฮะ ป่านนี้พี่ บก.คงอ่านไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน"
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตะวันฉายหยิบมาดูแล้วกดรับ
"พี่ยุทธ ว่าไงคะ หายเงียบไปเลย"
"เวลาพระเอกโดนนางเอกหักอกก็ต้องหลบไปรักษาแผลใจสักระยะสิ ใช่ไหมนักเขียนใหญ่" ยุทธการถาม
"แหม...เยอะตลอดนะพี่ยุทธ แล้วตกลงมีอะไรให้ซันรับใช้คะ"
"รับใช้อะไรกัน พี่จะโทรมาบอกว่าพี่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนะ"
"จริงเหรอ งั้นพี่ยุทธก็เป็นสารวัตรน่ะสิ กรี๊ดดีใจด้วย แหมเสียดายซันเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้จะเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองมื้อใหญ่ให้พี่ยุทธเลย"
"ซันมากรุงเทพฯเหรอ ไม่เห็นบอกพี่เลย"
"พอดีซันเข้าไปส่งนิยายประกวด แล้วก็ไปเยี่ยมนิคกับเอวา พี่ยุทธอย่าโกรธซันนะ"
"ไม่หรอก พี่เข้าใจว่าซันคงยุ่งน่ะ"
"รับรองคราวหน้าถ้าซันไป ซันจะเลี้ยงพี่ยุทธแน่ๆ"
"ได้พี่จะรอนะ"
ยุทธการวางสายแล้วมองรูปตะวันฉายที่โทรศัพท์อีกครั้งก่อนจะถอนใจ

"พี่จะรอซันจริงๆ นะ"

เกริกไกรกับสายรุ้งยืนหน้าเครียดในขณะที่แอบดูตะวันฉายทำงานอย่างหนักหน่วง ทั้งรับแขกเอง เช็คอินเอง แล้วพาแขกไปส่งห้องเอง ขณะที่อ้อกับพนักงานได้แต่ยืนดูเฉยๆ

พอตะวันฉายพาแขกเดินผ่านไป เกริกไกรกับสายรุ้งก็ออกมาจากที่แอบ
"นี่พ่อให้กำลังใจลูกดีเกินไปหรือเปล่า ทำไมช่วงนี้เจ้าซันมันทำงานบ้าเลือดขนาดนี้" เกริกไกรตกใจ
"นั่นสิ ทำตั้งแต่เช้ายันดึก นิยงนิยายไม่เห็นจะสนใจเขียนอีกแล้ว"
"หรือมีปัญหาอะไรในแผนกต้อนรับ แล้วลูกไม่กล้าบอกเรา"
สายรุ้งกวักมือเรียกอ้อ อ้อรีบวิ่งมาหาทั้งคู่
"มีอะไรให้อ้อรับใช้คะ" อ้อถาม
"นี่อ้อ ช่วงนี้ขี้เกียจหรือเปล่า ฉันเห็นนะว่ายืนกันเฉยเลย" สายรุ้งถาม
"อุ๊ย...เปล่านะคะ อ้อกับน้องๆไม่ได้ขี้เกียจ แต่มันไม่รู้จะทำอะไร"
"เฮ้ย เป็นไปได้ไง" เกริกไกรงง
"จริงค่ะจีเอ็ม งานทุกอย่างคุณซันฟาดเรียบ ตั้งแต่บล็อกห้อง เตรียมการ์ด เตรียมกุญแจ เช็คอิน เช็คเอ้าท์ ส่งแขกขึ้นห้อง ยันทำทะเบียนแขกเข้าพักส่งตำรวจ นี่ถ้าทำห้องเองด้วยได้ อ้อว่าคงได้เห็นคุณซันขัดห้องน้ำกันละค่ะ ยิ่งสองสามวันนี้นะคะขนาดงานรีพอร์ตของรอบดึก คุณซันยังทำเตรียมไว้ให้เลยค่ะ แม่พวกรอบดึกงี้นอนสบายไปเลย"
"เขาเป็นอะไรของเขานะ" สายรุ้งสงสัย
"อ้อ ก็อยากถามเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบคุณรุ้งให้คุณซันทานแบตเตอรี่รถทัวร์แทนข้าวหรือเปล่าคะ เธอถึงได้มีพลังมหาศาล เครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนี้" อ้อแซว
"นี่แม่อ้อ ถ้าเธอยังออกความเห็นอีกคำเดียว ฉันจะต้มแบตรถทัวร์ให้เธอกิน" สายรุ้งว่า
"พูดแบบนี้แสดงว่าอ้อหมดประโยชน์แล้ว งั้นขอตัวนะคะ"
อ้อเดินจ๋อยๆคอตกกลับเคาเตอร์ไป
"ตกลงเอาไงดีคะพ่อ ฟังจากยัยอ้อแล้ว ท่าทางปัญหาจะอยู่ที่ลูกเรา"
"พ่อคิดว่าพ่อรู้นะว่ามันคืออะไร" เกริกไกรบอก
เกริกไกรครุ่นคิดอย่างหนัก

ตะวันฉายส่งแขกเสร็จก็เดินออกมาจากบ้านพักไปตามทางเดิน แล้วเกริกไกรก็โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง
"ไง ลูกสาว ซึมเป็นหมาหงอยเลยนะช่วงนี้ นิยายของเราไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกใช่มะ"
ตะวันฉายค้อน "ทำเป็นจิ๊กโก๋มุมตึกไปได้ นี่ตั้งใจมาดักเหน็บแนมกันใช่ไหมคะพ่อ"
เกริกไกรยิ้ม "ไม่หรอก พ่อบอกแล้วไงว่าจะให้กำลังใจลูก" เกริกไกรกอดคอลูกสาวแล้วเดินไปด้วยกัน "พ่อพูดจริงไม่ได้โม้นะ พ่อเป็นห่วงซันนะลูก
ตะวันฉายยิ้ม "ขอบคุณค่ะพ่อ"
"แล้วตกลงปัญหามันคือ?” เกริกไกรถาม
ตะวันฉายถอนใจ "พ่อเดาถูกแล้วค่ะ นี่ก็เดือนหนึ่งแล้ว ทำไมไม่มีใครติดต่อมาเลย"
"เขาไม่ติดต่อมาก็ไม่เป็นไร เราก็ติดต่อไปสิลูก"
"จะดีเหรอคะ"
"ดีหรือเปล่าพ่อไม่รู้ รู้แต่ว่าความเป็นความจริงที่ลูกต้องเจอ และมันน่าจะทำให้ลูกคลายความอึดอัดลงได้บ้าง เพราะถ้าเขาอ่านเราก็รู้ผลว่าติดหรือไม่ติด แต่ถ้ายังไม่อ่านก็ได้รู้ผลว่าต้องรอต่อไป"
"ไม่ดีกว่าค่ะ ซันชักเริ่มกลัวความจริงแล้ว"
เกริกไกรยิ้ม "ความจริงน่ะเรากลัวมันได้...แต่เราหนีมันไม่ได้นะซัน"
ตะวันฉายคิดด้วยความกังวล

สายรุ้ง อ้อ และพนักงานยืนอยู่ที่เคาเตอร์ เกริกไกรเดินมากับตะวันฉาย
"เป็นไงบ้างคะ" สายรุ้งถาม
"เราคุยกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหมลูก" เกริกไกรหันไปถามลูกสาว
เกริกไกรหันไปยิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายพยักหน้ารับ แต่สายรุ้งมองสองพ่อลูกอย่างงงๆ
"งั้นพ่อกับแม่รออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวซันจะเข้าไปโทรถามผล" ตะวันฉายบอก
"สู้สู้นะคะคุณซัน....fighting ซารังเฮโย" อ้อให้กำลังใจ
ตะวันฉายสูดลมหายใจลึกๆแล้วเดินผ่านหลังเคาเตอร์เข้าห้องทำงานไป
"ก็อย่างที่เราคิดกัน ลูกกลัวผลประกวดนิยาย พ่อก็เลยให้เขาโทรไปถามซะเลย" เกริกไกรบอก
"เจ้าพ่อคู้ณ ขอให้ซันผ่านเข้ารอบทีเถอะ"
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของตะวันฉายดังลั่น
"กรี๊ดดดดด กรี๊ดๆๆ"
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องทำงานของตะวันฉายทันที แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็แทบช็อคเมื่อเห็นตะวันฉายนอนสลบอยู่ที่พื้น
"ซัน เป็นอะไรลูก!” สายรุ้งตกใจ
"ซัน/คุณซัน!” ทุกคนตกใจ
ทุกคนรีบเข้าไปประคองตะวันฉาย

ตะวันฉายร้องไห้ไป ดมยาดมไป โดยมีอ้อช่วยพัดให้ ส่วนสายรุ้งบีบนวดอยู่ข้างๆ
"ซันโทรไปที่สำนักพิมพ์" ตะวันฉายสะอึกสะอื้น
สายรุ้งลุ้น "แล้วยังไงลูก"
เกริกไกรตื่นเต้น "เขาบอกผลแล้วใช่ไหม"
"เขาบอกว่าจะประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบวันพรุ่งนี้" ตะวันฉายร้องไห้โฮ
"โธ่ แล้วร้องไห้ทำไม" เกริกไกรถาม
"ก็ซันใจร้อน เลยอ้อนวอนขอรู้ผลก่อน เขาบอกว่า..”
ทุกคนลุ้น "ว่า.. “
ตะวันฉายร้องกรี๊ดแล้วจะสลบอีก แต่เกริกไกร กับสายรุ้งฉุดมือไว้คนละข้าง
"อย่าเพิ่งเป็นลม บอกผลมาก่อน"

ตะวันฉายเบะปาก "ซันตกรอบ" ตะวันฉายร้องไห้โฮ

ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อสงสารตะวันฉาย สายรุ้งเข้าไปกอดปลอบลูก

"โถ ลูกแม่...แม่ว่าแล้ว"
ตะวันฉายชะงัก "แม่ว่าแล้วได้ไงคะ"
"เอ่อ...คือ แม่ว่าแล้วว่าลูกไม่น่าจะตกรอบเลย" สายรุ้งรีบแก้
"ถูกค่ะ ซันก็มั่นใจมากๆว่าซันเขียนดี พ่อกับแม่ก็เห็นแววของซันตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอคะ ถ้าเป็นงานเขียน ซันกินขาด ตั้งแต่จดหมายลาป่วย ยันประกวดเรียงความของโรงเรียน แล้วทำไมคราวนี้พลาด นี่มันนิยายเรื่องแรกในชีวิตซันเลยนะ" ตะวันฉายจะร้องไห้อีก
"ไม่ต้องร้องๆ ไม่ได้เขียนนิยาย ก็ช่วยพ่อทำรีสอร์ทนี่ไง ต่อไปนี้เราก็กลับมาทำงานอย่างมีความสุขนะลูก" เกริกไกรบอก
"ไม่ค่ะ นี่ยังไม่ครบปี ซันยังมีเวลา คราวนี้ซันจะทุ่มเทอย่างจริงจัง"
"ซันหมายความว่ายังไง" สายรุ้งถาม
"ซันขอลางานยาวเลยแล้วกัน คราวนี้ถ้าซันไม่ได้เป็นนักเขียนนิยาย ซันจะไม่กลับมาบ้านเลยคอยดู"
เกริกไกรกับสายรุ้งตกใจ "หา!”
"เอางั้นเลยเหรอคะคุณซัน" อ้อถาม
"พรุ่งนี้เช้าซันจะเข้ากรุงเทพฯ"
"เฮ้ย พ่อยังไม่ตกลงเลยนะ"
"แต่ซันตกลงใจแล้วค่ะ เป็นไงเป็นกัน"
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อพากันเหวอไป
ตะวันฉายมีสีหน้าจริงจังและแววตามุ่งมั่น

เมฆจูงมือหมอกมาถึงหน้าห้องเรียนในตอนเช้า หมอกหันมายิ้มให้เมฆ
"ถึงห้องหมอกแล้วครับ" หมอกบอก
"งั้นพ่อไปก่อนนะ ตั้งใจเรียนนะครับ"
"ครับ"
"มา หอมก่อน"
หมอกหอมแก้มเมฆซ้ายขวาก่อนจะวิ่งเข้าห้องเรียนไป เมฆเดินออกมาเห็นพ่อ แม่ ลูก หลายคู่เดินจูงมือกันมาเขามองอย่างเศร้าๆ

ตะวันฉายไหว้เกริกไกรกับสายรุ้งแล้วก้าวขึ้นเรือสปีดโบ้ท ตะวันฉายโบกมืออย่างร่าเริงอยู่บนเรือที่กำลังแล่นออกไป
"บ๊ายบายค่ะ รักพ่อกับแม่นะคะ"
สายรุ้งโบกผ้าเช็ดหน้าให้ ส่วนเกริกไกรโบกมือแบบหงอยๆ
"โชคดีนะลูก" สายรุ้งหันมาเห็นเกริกไกรโบกมืออย่างเหี่ยวแห้ง "พ่อ โอไหมเนี่ย"
"ไม่โออ่ะแม่ พ่อเป็นห่วงลูก กลัวลูกเสียใจ เห็นแล้วมันร้าว...”
สายรุ้งปลอบ "พ่อ ลูกน่ะโตแล้ว ยังไงเขาต้องมีชีวิตของเขา เราก็ได้แต่ให้กำลังใจเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ลูกต้องการมากนะพ่อ"
เกริกไกรสูดลมหายใจ "ก็ได้" เกริกไกรหันไปทางเรือ แล้วชูหมัด พร้อมตะโกนลั่น “Fighting ลูกรัก"
เรือแล่นออกไปไกลแล้ว
สายรุ้งทัก "ช้าไปหรือเปล่าพ่อ"
เกริกไกรหันมายิ้มแหยๆ สายรุ้งพลอยหัวเราะไปด้วย เธอหยิกแก้มสามีอย่างรักใคร่

ตะวันฉายยืนอยู่หน้าสำนักพิมพ์พราวฝัน
"เราจะตกรอบได้ไง ประกาศผลผิดแน่ๆ"

ตะวันฉายถูกรปภ.หิ้วแขนพาออกมานอกประตูบริษัทในขณะที่ตะวันฉายร้องโวยวาย
"โอ๊ย ปล่อย เจ็บนะ ฉันจะเข้าไปพบบอกอ ทำไมต้องห้ามด้วย"
"ก็บอกแล้วว่าบอกอไม่ว่าง ยังจะแอบย่องเข้าไปอีก หรือว่าเป็นโจร"
"ฉันไม่ใช่โจร ฉันเป็นนักเขียน ว่าที่นักเขียนระดับซีไร้ท์ด้วย อยากได้ลายเซ็นไหมล่ะ มา ฉันเซ็นให้"
ตะวันฉายหยิบปากกาในกระเป๋าออกมาจะเซ็นที่เสื้อรปภ. รปภ.รีบปัดออก
"เฮ้ย ไม่เอา บ้าหรือเปล่าเนี่ย ไปๆๆ"
"โว้ย รมณ์เสีย ไม่เคยมีความฝันหรือไง คิดดู ที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้มันใช่ที่ใจอยากทำไหม เคยโดนกีดกัน ขัดขวางไม่ให้ทำสิ่งที่รักไหม แล้วคุณสู้แค่ไหน จะยอมเสียใจไปตลอดชีวิตใช่ไหม"
รปภ.ยิ่งฟังก็ยิ่งจ๋อย ตะวันฉายได้ทีก็บิ๊วต่อ
"นี่แสดงว่าพี่ก็มีความฝันเหมือนกัน พี่ฝันอยากเป็นอะไรเหรอ"
รปภ.โพล่งออกมา "ผม..ฝันอยากจะเป็นพระเอกอย่างเคน ธีรเดชครับ"
ตะวันฉายอึ้ง "หา..อย่างนั้นเลยเหรอ เอ่อ แหะๆ ถ้าอย่างนั้น พี่คงจำใจต้องยอมแพ้สินะคะ"
รปภ.พยักหน้าแล้วจะร้องไห้
ตะวันฉายเล่นละครต่อ "แต่หนูจะไม่ยอมแพ้" เธอบีบน้ำตา "พี่รู้ไหม ว่าหนูเป็นมะเร็ง จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"
"มะเร็งเหรอ"
"ใช่ค่ะ ระยะสุดท้ายและท้ายสุดแล้ว แต่หนูก็จะเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ หนูจะสู้ๆๆๆ"
รปภ.ร้องไห้สงสารตะวันฉาย
ตะวันฉายยิ้มเผล่ "ให้หนูเข้าพบบอกอได้แล้วใช่ไหมคะ"

รปภ.ยังสะอื้นอยู่ ตะวันฉายเลยย่องเข้าไปด้านในตึกทันที

บก.จ้องหน้าตะวันฉายดุๆ

"ไม่ผ่านค่ะ คอนเฟิร์ม ว่านิยายของคุณไม่ผ่าน"
"ทำไมล่ะคะ มันไม่ดีตรงไหน ช่วยอธิบายให้ละเอียดได้ไหมคะ" ตะวันฉายถาม
"จริงๆเรื่องของคุณก็มีอะไรดีๆอยู่เยอะ แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่า คุณไม่เคยมีแฟนใช่ไหม"
"เอ่อ...ก็.." ตะวันฉายยิ้มแหย "ค่ะ แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกันล่ะคะ"
"ก็ความรักของพระนางของคุณ มันเป็นความรักที่ดูไม่จริง แล้วก็จับต้องไม่ได้"
ตะวันฉายเถียงทันที "ไม่จริงยังไงคะ นางเอกมีความรักที่ยิ่งใหญ่มากนะคะ เป็นตั้งคุณหนูไฮโซ แต่เลือกที่จะรักคนสวน"
ตะวันฉายเคลิ้มฝันเพราะนึกถึงเรื่องที่เธอเขียน

ตะวันฉายนึกถึงภาพเธอเป็นนางเอกนิยายของตัวเอง
"ภัตติมาโผเข้าสู่อ้อมกอดของนาวิน"
"ภัตจะไม่กลับไปที่บ้านอีกแล้ว ภัตจะอยู่กับวินตลอดไป ภัตไม่ต้องการเงินทองอะไรทั้งนั้น ภัตขอแค่มีแต่วินก็พอ"
"แต่วินกำลังจะตาย"
"ภัตจะให้หัวใจกับวิน"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะสิ"
"ภัตจะอยู่ในใจวินตลอดไป"

ตะวันฉายร้องไห้น้ำตานองหน้าเพราะซาบซึ้งกับเรื่องที่ตัวเองเขียน
"เห็นไหมคะ ว่านางเอกเสียสละขนาดไหน สมัยนี้หาได้ยากนะคะ"
บก.มองตะวันฉายหน้านิ่ง ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นก็ค่อยๆ เงียบลงและเลิกฟูมฟาย
"ไม่ซึ้งเลยเหรอคะ"
"คุณเชื่อเหรอคะ ว่านางเอกของคุณจะรักกับคนสวนได้"
ตะวันฉายอึ้ง "เอ่อ..”
"พี่คิดว่าตัวคุณเองก็คงไม่ได้มีสเป็คผู้ชายแบบนี้แน่ อ่านแล้วมันไม่รู้สึกเลย ความรักมันบางมาก จนไม่เชื่อว่าจะมีการเสียสละชีวิตกันได้ พี่ขอแนะนำนะ ถ้าคุณเข้าใจความรัก ก็จะเข้าใจตัวละคร ไม่ว่าพระนางของคุณจะต่างชนชั้นกันแค่ไหน ก็ทำให้เชื่อได้ ถ้าคุณเข้าใจความรัก เพราะการเข้าใจความรักก็จะทำให้คุณเข้าใจตัวละคร"
"เข้าใจความรักเหรอคะ"
"ค่ะ...และถ้าคุณยังไม่มี ก็คงต้องออกตามหาแล้วล่ะค่ะ ถ้าเจอมัน ทำความเข้าใจกับมัน แล้วกลับมาหาพี่นะคะ"
บก.ยิ้มอย่างใจดีพร้อมกับพยักหน้า ตะวันฉายถอนหายใจ

ตะวันฉายเดินคอตกออกมาจากห้องบก. บก.รีบเปิดประตูออกมาเรียกไว้
"คุณตะวันฉาย"
ตะวันฉายหันมาอย่างหงอยๆ "คะ"
"พี่ลืมไปอย่าง ที่คุณบอกว่าเป็นมะเร็ง พี่ขอให้คุณเข้มแข็งไว้นะคะ พี่เป็นกำลังใจให้"
บก.จับมือตะวันฉายเพื่อให้กำลังใจ แต่ตะวันฉายิ้มรับเจื่อนๆแล้วดึงมือออก
"หนูขี้เกียจเป็นมะเร็งแล้วค่ะ หนูขอตายเลยดีกว่า" ตะวันฉายเดินคอตกออกไป
บก.ยืนงง
ตะวันฉายเดินออกมาในขณะที่น้ำตาไหลไม่หยุด เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากด
"เอวา เหรอ ถ้าฉันตายแกจะคิดถึงฉันไหม"


ตะวันฉายเดินซึมๆมายืนกลางสะพาน เอวากำลังขับรถมองสองข้างทาง ส่วนนิคที่นั่งข้างๆ กดโทรศัพท์ไปด้วย
"ไม่รับสายอีกแล้ว ว่าแต่สะพานนี้แน่เหรอ แล้วรู้ได้ไงว่าไอ้ซันมันจะอยู่ที่นี่"
"ก็ไม่รู้อ่ะที่ที่ไอ้ซันมันจะไปได้ ฉันก็นึกออกแค่ที่นี่ที่เดียว นี่แหละ"
นิคมองไปจนเจอ "เฮ้ย...นั่นไง"
เอวามองตามไปจนเห็นตะวันฉายกำลังจะปีนสะพาน

นิคตกใจ "เร็วเข้าไอ้ซันกำลังจะโดดแล้ว"

[ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว]

ตะวันฉายมีสีหน้าเศร้าสุดๆ กำลังมองออกไปยังแม่น้ำกว้างไกล แล้วเธอก็ตัดสินใจเกาะราวสะพานเพื่อเริ่มจะปีน ทันใดนั้นเอวาก็รีบปาดรถจอดจนนิคแทบหน้าคว่ำ แล้วทั้งสองก็รีบลงจากรถแล้ววิ่งตะโกนไปด้วย

“ซัน....ไอ้ซัน....อย่านะ...อย่าโดด”
นิคกับเอวารีบตะครุบตัวตะวันฉายแล้วกระชากลงมาจนทั้งสามคนล้มกองมาทับกัน นิคกับเอวาฉุนมากจึงระดมด่าตะวันฉายไม่ยั้ง
“จะบ้าเหรอแก ทำไมถึงคิดโง่ๆแบบนี้” เอวาต่อว่า
“ใช่...แพ้ครั้งเดียวไม่หมายความว่าจะทำไม่ได้ตลอดชีวิตนี่” นิคเสริม
“ซัน ตราบใดที่คนเรายังมีลมหายใจ เราก็ยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นใหม่นะ แต่ถ้าแกตาย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดโอกาสด้วยตัวแกเอง”
“พวกเราเรียนหนังสือกันมาเพื่ออะไร ก็เพื่อจะมีโอกาสในการต่อสู้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ ถ้าคิดว่าโอกาสยังมีไม่มากพอ ก็ไปเรียนเพิ่ม หรือ ไปฝึกฝนเพิ่มสิ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องถึงกับจะฆ่าตัวตายเลย”
“คิดถึงพ่อแม่แกด้วยนะ”
“ไหนจะกิจการของแกอีก คนอื่นที่เขามีน้อยกว่าเขายังไม่อ่อนแอแบบนี้เลย”
ตะวันฉายร้องออกมาอย่างอัดอั้นใจ “โอ๊ย...หยุดก่อน...ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตาย”
นิคกับเอวามองหน้ากันอย่างงงๆ
“แล้วเมื่อกี้....แก...จะโดดไม่ใช่เหรอ” เอวาถาม
“เปล่า ฉันจะปีขึ้นไปร้องตะโกนระบายความเก็บกดอ่ะ แบบพวกนางเอกหนังไง นี่จะทำให้ดู”
พูดจบตะวันฉายก็ลุกแล้วปีนขึ้นไป แต่พอสูงขึ้นไปก็เริ่มกลัวจึงถอยลงมา สุดท้ายตะวันฉายก็อยู่สูงกว่าพื้นนิดเดียวแล้วเธอก็ตะโกน
ตะวันฉายป้องปากตะโกน “โวยยย”
ระหว่างนั้นมีคนเดินข้ามสะพานผ่านมาพอดี เขาถึงกับก็สะดุ้ง
“เฮ้ย...จะบ้าเหรอน้อง”
ตะวันฉายจ๋อย พร้อมกับยกมือไหว้ แล้วรีบลงมาหานิคกับเอวา
“เป็นไงเท่ห์ไหม” ตะวันฉายถามเพื่อน
นิคกับเอวายืนจ้องหน้าตะวันฉายด้วยความฉุน แล้วก็พากันเดินขึ้นรถ
“เฮ้ย รอฉันด้วย”
ตะวันฉายรีบวิ่งตามจนเกือบไม่ทัน

ตะวันฉายยืนซื้อไอศกรีมใส่ขนมปังสามก้อนจากคนขาย แล้วเดินเอามายืนให้นิคกับเอวาที่นั่งริมแม่น้ำ แต่ทั้งคู่งอนไม่ยอมรับ
“คราวหน้าไม่เล่นแบบนี้อีกนะ ใจหายหมด” เอวาต่อว่า
ตะวันฉายยิ้มจ๋อยๆ นิคกับเอวาถอนใจด้วยความระอา แล้วจึงหยิบเอาไอศกรีมไปคนละหนึ่งก้อน ทั้งสามนั่งกินไอศกรีมด้วยกัน
“บก.เขาบอกว่าฉันไม่รู้จักความรักเลยทำให้เรื่องของฉันมันไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ โดนไปขนาดนี้ อนาคตนักเขียนอันรุ่งโรจน์ของฉันคงต้องปิดฉากตั้งแต่ม่านยังไม่เปิดแล้วมั้ง” ตะวันฉายตัดพ้อ
เอวานิ่งคิดไปครู่ใหญ่ “ไม่เห็นจะยากเลย ถ้าแกไม่รู้จักความรัก ก็ไปมีแฟนสิเดี๋ยวก็รู้จักเอง”
นิคที่กินอยู่ถึงกับหัวเราะพรวดและสำลักทันที
“โห คงหาได้หรอก เรียนมาด้วยกัน 4 ปี ไม่เห็นมีใครจีบแกติดสักคน” นิคบอก
“ก็ฉันไม่ได้เลือกแบบสุ่มสี่สุ่มห้านี่ สเปคคนจะมาเป็นแฟนฉันมันต้องหล่อ หน้าที่การงานดี นิสัยดีเป็นสุภาพบุรุษชาติตระกูลเริ่ด อารมณ์ขันเล็กน้อยพองาม รักครอบครัว รักษ์โลก มีเมตตา สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา รักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี ถ้าไม่ได้แบบนี้ก็ไม่เอา” ตะวันฉายร่ายยาว
นิคพึมพำ “นี่มันเอาคำขวัญวันเด็กมาเป็นเสป็คเหรอวะ”
“อะไรที่เป็นข้อดีฉันเอาหมดแหล่ะ เพราะฉันคู่ควรกับคนดี”
“แล้วไอ้คนดีของแกเนี่ยจะไปหาที่ไหน” เอวาถาม
“อ๋อ...ก็พี่ยุทธการของไอ้ซันไง บร๊ะจ้าวโจ๊ก คนนี้ดีอย่างเทพเลย” นิคบอก
เอวาอึ้งไปเล็กน้อย
“พี่ยุทธอ่ะนะ” ตะวันฉายจินตนการ

ภาพในจินตนาการผุดขึ้นในหัวตะวันฉาย เป็นภาพแฟลตตำรวจเก่าๆโทรมๆ บรรยากาศหลอนๆ ตะวันฉายที่ม้วนผมด้วยโรลกำลังถูพื้นในสภาพสุดโทรม ยุทธการใส่ชุดตำรวจเดินแหวกออกมาจากตู้เสื้อผ้าพลาสติก
ยุทธการพูดเหมือนไปซื้อของ “ซัน พี่ไปจับโจรก่อนนะ เดี๋ยวมา”
ตะวันฉายเซ็ง “จับโจรอีกละ จับโจรทุกวันเลย พี่ยุทธไม่มีเวลาให้ซันเลยนะ”
ยุทธการพูดนิ่งๆ “เป็นเมียพี่ต้องอดทน” ยุทธการเดินออกไป
ตะวันฉายกรี๊ดลั่น “อ๊าย..ไอ้พวกโจร ทำไมไม่ไปหางานสุจริตทำ สงสารคนมีผัวเป็นตำรวจบ้างสิโว้ย” ตะวันฉายกรี๊ด

ยุทธการกำลังไล่จับจับผู้ราย เขาวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วยิงใส่กัน สักพักตะวันฉายก็วิ่งถือปิ่นโตหลบวิถีกระสุนมาหายุทธการที่อยู่หลังต้นไม้
ตะวันฉายปาดเหงื่อ “พี่ยุทธ ซันเอาปิ่นโตมาส่ง พักกินข้าวก่อนนะ”
“ขอบใจจ้ะ ซันจัดสำรับรอได้เลย”
ตะวันฉายวิ่งหลบกระสุนแล้วไปจัดการปูเสื่ก่อนจะอวางปิ่นโต ยุทธการกลิ้งหลบกระสุนมาถึงเสื่อพอดี ทั้งสองยิ้มหวานให้กัน แล้วเพลงรักสมัยโบราณก็ดังขึ้น
ตะวันฉายส่งจานข้าวให้ แล้วโจรก็ยิงมา ทั้งสองจึงก้มหลบกระสุนแล้วลุกมากินข้าวด้วยกันต่อ
“เห็นไหม แค่นี้เราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันแล้ว” ยุทธการบอก
กระสุนพุ่งมาโดนปิ่นโตจนกระเด็นไป ทั้งสองป้อนอาหารให้กันและกัน

ในขณะที่อีกมือของยุทธการก็ยิงปืนไปด้วยโดยไม่ได้หันไปดูโจรแต่กลับจ้องตาซึ้งกับตะวันฉาย

เมื่อจินตนการได้ดังนั้น ตะวันฉายก็ทำหน้าสยอง

“โอย ไม่ไหวๆ นอกจากจะขาดอารมณ์ขัน แล้วก็ยังเสี่ยงเกิ๊นน”
“ทำไมอ่ะ ฉันว่าพี่ยุทธเขาดูเหมือนจะชอบแกนะ” เอวาบอก
“ไม่ใช่แค่ชอบนะ เพิ่งจะขอฉันเป็นแฟนด้วยแต่ฉันไม่เอาหรอก พี่ยุทธเหมือนพี่ชายฉันมาตั้งแต่เด็ก ยังไงก็คิดเป็นอื่นไม่ได้”
เอวาแอบอมยิ้ม
“งั้นก็ไม่ต้องหาแล้ว ฉันว่าแกเปลี่ยนจากนิยายไปเขียนสารคดีแทนแล้วกัน เพราะผู้ชายที่แกอยากได้น่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก” นิคว่า
“มีสิทำไมจะไม่มี” ตะวันฉายอมยิ้มเขิน “เขาชอบฉันมากด้วย”
เอวากับนิคมองหน้ากันด้วยความแปลกใจแล้วก็หันมาจ้องหน้าตะวันฉายอย่างคาดคั้น ตะวันฉายนึกได้ก็ตกใจและรีบปิดปาก
“เดี๋ยวนี้มีเม้มกับเพื่อนเหรอ” เอวาจ้องหน้า
ตะวันฉายหน้าเสีย

รถของเอวาแล่นมาจอดหน้าคอนโดตะวันฉาย ตะวันฉายยังง้อเอวากับนิคที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ในรถ
“เฮ้ย...พวกแกอย่างทำแบบนี้สิ ฉันเสียใจนะ”
“แล้วแกมีความลับกับเพื่อนฉันก็เสียใจเหมือนกัน” เอวาว่า
“มันก็ไม่ใช่ความลับหรอก”
เอวากับนิคถามพร้อมกัน “งั้นใคร”
“บอกไม่ได้จริงๆ”
นิคกับเอวาหันหน้าหนีไปคนละทาง ตะวันฉายที่นั่งด้านหลังจ๋อยแล้วจึงก้าวลงจากรถไปยืนโบกมือให้เพื่อนหน้าละห้อย เอวากับนิคไม่มองแล้วก็ออกรถไปเลย พอเอวาขับรถออกมาได้หน่อยเธอก็มองตะวันฉายทางกระจกหลัง นิคก็แอบหันหลังไปมองด้วย
“เราสองคนกดดันมันมากไปหรือเปล่าวะ ซันมันเพิ่งอกหักจากประกวดนิยายนะ” นิคกังวล
“ก็ที่ฉันทำนี่แหล่ะที่จะช่วยให้มันเขียนนิยายได้ ถ้าเราไม่เค้นให้มันพูดว่ามันชอบใครแล้วจะช่วยมันยังไง”
“โอเค..เข้าใจละ แกนี่มันร้ายเหมือนกันนะเนี่ย”
นิคกับเอวาหัวเราะกันคิกคัก

เก่งกำลังนั่งดูทีวีถ่ายทอดสดฟุตบอลอยู่ สักพักเชอรี่ก็เดินเข้ามา
“คุณหมอกหลับแล้วเหรอครับ” เก่งถาม
“จ้ะ แล้วเก่งรอคุณเมฆเหรอ” เชอรี่ถามกลับ
“ครับ”
“เก่งไปนอนเถอะ ฉันรอเอง”
“จะดีเหรอครับเดี๋ยวคุณเมฆจะว่าผมไม่รอปิดไฟปิดประตู”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ฉันทำให้ก็ได้ แล้วฉันมีเรื่องคุณหมอกที่จะปรึกษาคุณเมฆด้วย”
“งั้นก็ดีเลยครับ ผมก็ง่วงเหมือนกัน”
เก่งเดินออกไป เชอรี่มองตามแล้วยิ้มด้วยความพอใจ
เชอรี่วอร์มเสียง “ฮา..ฮะ..ฮ่า..ฮ้า..คุณเมฆขา...คุณเมฆขา...สูงอีกหน่อยดีกว่าจะได้ดูง้องแง้งหน่อย...คุณเมฆขา เอาโทนนี้แหล่ะ”

ประตูรั้วบ้านของเมฆเปิดออก เมฆขับรถเข้าไปจอด พอลงมาจากรถก็แปลกใจที่เห็นบ้านมืด
“เก่ง...เก่ง...” เมฆเรียก
เมฆเดินไปเปิดท้ายรถแล้วหยิบกระเป๋ากีตาร์ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป สายตาของใครบางคนกำลังแอบดูเมฆในตอนเข้าบ้านมาแล้วล็อคบ้าน
“เก่ง...นอนแล้วเหรอ เออ..ไอ้นี่บอกแล้วถ้าจะนอนก่อนให้ล็อคบ้านด้วย” เมฆส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
เมฆเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำมาดื่ม เขาเดินขึ้นชั้นบน ใครบางคนแอบมองเมฆจากชั้นล่างก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องหมอกงอย่างเบาๆ จนได้ยินเสียงเบาๆของเมฆพูดว่า “ ฝันดีนะครับหมอก “ แล้วเมฆก็เปิดประตูห้องนอนตัวเองแล้วเดินเข้าไป
เชอรี่ที่แอบดูอยู่ยิ้มร้ายด้วยความพอใจ เขาเดินไปที่แผงสวิทช์ไฟแล้วสับสวิทช์ทันที ไฟจากห้องนอนเมฆและไฟชั้นบนดับพรึ่บทันที
เสียงเชอรี่ในคีย์เดียวกับที่ซ้อมไว้ดังตามมาทันที “คุณเมฆขาพี่เชอรี่กลัว”

เมฆถือไฟฉายเดินออกมาจากห้องหมอก พอเดินไปถึงหน้าห้องตัวเองก็ต้องตกใจที่เห็นเชอรี่ยืนรออยู่
“คุณเมฆขาพี่เชอรี่กลัวค่ะ” เชอรี่ร้องอ้อน
“เบาๆครับ เดี๋ยวหมอกตื่น”
เชอรี่เข้าไปกอดเมฆ “ได้ค่ะ แต่ให้พี่เชอรี่อยู่ด้วยนะคะ”
“พี่เชอรี่ปล่อยผมเถอะครับ”
“ไม่เอาค่ะพี่กลัว”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ไฟดับ เดี๋ยวผมลงไปดูให้”
“อย่าไปดูเลยค่ะ พรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมาดู”
“แต่ผมว่าดูหน่อยก็ดีนะครับ” เมฆมองไปข้างนอกบ้าน “มันเหมือนเราดับอยู่บ้านเดียว ไม่รู้มีอะไรที่แผงไฟหรือเปล่า”
“ไม่เอาค่ะพี่ว่าพรุ่งนี้เถอะนะคะ แต่คืนนี้ขอพี่เชอรี่นอนด้วยนะคะ”
“เฮ้ย...ไม่ได้ครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ คุณเมฆก็พ่อหม้ายพี่ก็ตัวคนเดียว ของมันได้อยู่แล้ว”
เชอรี่พยายามจะดึงเมฆเข้าห้อง
“พี่เชอรี่ อย่าครับ อย่าทำแบบนี้ ผมขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตผมเถอะ”
เมฆแกะแขนเชอรรี่ออกแล้ววิ่งไป เชอรี่วิ่งตาม
“คุณเมฆอย่าทิ้งพี่ค่ะ พี่กลัวความ...” เชอรี่ยังพูดไม่จบก็ร้องออกมา “ว๊าย”
เสียงตกบันไดดังขึ้นหลายครั้ง เมฆส่องไฟฉายไปที่ชั้นล่างก็เห็นเชอรี่นอนอยู่ที่พื้น

ไม่นานหลังจากนั้น ไฟทั้งชั้นบนและชั้นล่างก็สว่างขึ้นพร้อมเสียงไซเรนรถพยาบาล

ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

รถของเมฆแล่นมาจอดหน้าบ้าน เมฆประคองเชอรี่ที่ใส่เฝือกอ่อนที่คอพร้อมทั้งพันแขนพันขาลงมา พอลงจากรถเชอรี่ก็สะบัดมือออกจากเมฆทั้งๆที่เจ็บแต่ก็ทำท่าทางเชิดใส่

เชอรี่โกรธ ไพี่เชอรี่เดินเองได้ค่ะ”
“พี่เชอรี่ครับ อย่าถึงกับต้องลาออกเลยนะครับ”
“ในเมื่อคุณเมฆไม่รักพี่ พี่ก็ขอไปตามทางของพี่ ยังมีพ่อหม้ายรวยๆลูกเล็กๆรอพี่อีกเยอะ”
“แต่ผม...”
เชอรี่ยกมือปิดปากเมฆ “คุณเมฆหมดสิทธิ์นั้นไปแล้วค่ะ รอพี่ตรงนี้ พี่เก็บของแป๊บเดียว เดี๋ยวช่วยไปส่งพี่ที่ท่ารถด้วยนะคะ”
เมฆมองตามเชอรี่ด้วยความกลุ้ม

เช้าวันใหม่ หมอกในชุดนอนยังนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีเก่งยืนปลุกอยู่ข้างๆ
“คุณหมอกครับ ตื่นเถอะครับ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย คุณหมอกครับ”
หมอกลืมตามาแล้วมองไปทั่วๆ
“ป้าเชอรี่ล่ะ” หมอกถาม
“เห็นคุณเมฆบอกว่าลาออกไปเมื่อคืนครับ”
หมอกดีใจ “เย้ๆๆๆ ดีใจจังเลย”
“งั้นคุณหมอกไปอาบน้ำนะครับ วันนี้พี่เก่งอาบให้ แล้วจะได้ไปโรงเรียน”
“ไม่เอา...ไม่ไปโรงเรียน”
“ไม่ได้ครับ”
เก่งจะจับตัวหมอกแต่หมอกกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งหนี เก่งวิ่งไล่แต่ไล่ไม่ทัน หมอกวิ่งออกนอกห้องไปทันที

หมอกวิ่งหนีเก่งด้วยท่าทางสนุกสนาน เก่งพยายามวิ่งไล่จับ หมอกเอาหนังสือขว้างใส่เก่งจนเก่งต้องหลบพัลวัน
“คุณหมอกครับ อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวผมฟ้องคุณพ่อนะครับ”
เมฆในชุดทำงานเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“หมอก ทำไมยังไม่อาบน้ำอีกละลูก”
“คุณเมฆช่วยผมทีครับ ผมไล่ตามจนเหนื่อยแล้ว” เก่งบอก
หมอกวิ่งมากอดเมฆ “หมอกไม่ไปโรงเรียนนะครับ”
“ไม่ได้ครับ ถ้าหมอกอยู่บ้านก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ไม่มีความรู้นะ” เมฆบอก
“แต่หมอกอยากอยู่บ้าน!”
“ได้ครับ...ถ้าหมอกอยู่บ้าน ต่อไปนี้ก็จะไม่มีการออกจากบ้านไปเที่ยวสวนสนุก ไม่มีการกินไอติม หมอกจะต้องอยู่แต่ในบ้าน แล้วเวลาพ่อไปกินพิซซ่าพ่อก็จะไม่พาหมอกไป”
“ไม่เอาหมอกไปด้วย พ่อให้หมอกไปด้วยนะครับ”
“ก็หมอกอยากอยู่บ้านนี่ พ่อก็ต้องไปคนเดียว แต่ถ้าหมอกอยากให้พ่อพาไปเที่ยว วันที่ต้องไปโรงเรียนหมอกก็ต้องไปเรียนหนังสือนะครับ”
“ครับผม งั้นหมอกไปอาบน้ำนะครับ”
เมฆยิ้ม หมอกวิ่งปรู๊ดขึ้นไปชั้นบนทันที
“คุณหมอกนี่แกกลัวแค่คุณเมฆกับป้าเชอรี่สองคนจริงๆเลยนะครับ” เก่งบอก
“ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยนะ ไว้ฉันจะรีบหาคนมาดูนายหมอก”
“ไม่เป็นไรครับคุณเมฆ ผมว่าผมเอาอยู่”
เก่งวิ่งตามหมอกขึ้นชั้นบน สักพักก็มีเสียงโพล้งเพล้งเหมือนของตก ตามมาด้วยเสียงเก่งร้องลั่นบ้าน
“คุณหมอกทำไมเอาน้ำมาราดพื้นล่ะครับ มันลื่น”
เสียงหมอกหัวเราะสะใจดังขึ้น เมฆถอนใจด้วยความเครียดขึ้นมาทันที

เอวานั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องที่คอนโด แล้วเธอก็พักดื่มกาแฟทันใดนั้นเสียงโทรศัพก็ท์ดังขึ้น เอวาเดินไปหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นชื่อ “ซัน” เอวาอมยิ้มแล้วรอสักครู่ก่อนจะกดรับ
เอวาทำเสียงโกรธ “ว่าไง”
“เอวา...แกยังโกรธฉันเหรอ”
“ก็แกไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนนี่ หมดธุระแล้วใช่ไหม แค่นี้นะ”
“เอ๊ย...เดี๋ยวๆๆๆ ฉันบอกแล้ว ฉันจะบอกทุกอย่าง เดี๋ยวแกกับนิคมาเจอฉันที่คอนโดนะ”
เอวายังทำเสียงตึง “ได้ แค่นี้นะ”
เอวากดวางสายแล้วยิ้มพอใจก่อนจะรีบกดโทรออก
“นิค กรี๊ดดดด.....สำเร็จแล้วแก”

เอวากับนิคนั่งจ้องหน้าตะวันฉายด้วยใบหน้าดุๆ ตะวันฉายนั่งจ๋อยๆ แล้วค่อยๆยื่นหนังสือลงตรงหน้าทั้งคู่ เอวากับนิคยังไม่หยิบแต่เหลือบตาลงดูอย่างไว้เชิง แล้วก็ทั้งสองต้องขมวดคิ้วเพ่งมองก่อนจะหยิบหนังสือมาดูแล้วมองหน้ากันแบบงงๆ
“หนังสือเลนส์ถ่ายภาพ??? เกี่ยวอะไรกับเรื่องผู้ชายที่ชอบแก” เอวาถาม
“จำตอนที่ฉันไปสมัครเข้าชมรมดนตรีสากลแล้วเราได้รู้จักกันได้ไหม” ตะวันฉายถามกลับ
“จำได้สิ ตอนนั้นแกมาจากคณะบริหาร เดินเข้ามาบอกรุ่นพี่ว่าอยากหัดร้องเพลง ฉันสองคนต้องมาเล่นดนตรีให้แกเทสเสียง แต่ฉันเองพอได้ยินเสียงแกยังแทบปิดหูเล่น” เอวาบอก
“แกมาเรียนอยู่สองวันพอเรารู้จักกันแกก็มาลาออกแล้วแกก็ย้ายไปชมรมโฟโต้ แต่พวกเราก็สนิทกันตั้งแต่นั้นมา” นิคพูดต่อ
ตะวันฉายพยักหน้ารับ แล้วนิคกับเอวาก็อึ้งเมื่อนึกขึ้นได้ ทั้งสองมองหนังสือพร้อมกันแล้วมองหน้าตะวันฉาย
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “อย่าบอกนะว่าแกไปเจอผู้ชายของแกที่ชมรมโฟโต้”
ตะวันฉายยิ้มเขิน “แม่นแล้ว”

เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ตะวันฉายในชุดนักศึกษาปี1มายืนอยู่หน้าชมรมถ่ายภาพ ซึ่งประตูทางเข้าห้องชมรมติดม่านมู่ลี่ที่ทำจากแผ่นฟิล์มเอาไว้
ตะวันฉายพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน “โห ขลังอ่ะ นี่เราไม่ได้ถ่ายรูปด้วยฟิล์มมานานแค่ไหนแล้วนะ”
“ไปเรียนร้องเพลงเถอะซัน ป่านนี้นิคกับเอวามาแล้ว” เพื่อนบอก
แล้วเพื่อนก็เดินไป ตะวันฉายเอามือไล้มูลี่ไปทางหนึ่ง แต่พอไล้กลับ เธอก็เห็นธีรภพยืนยิ้มอยู่หลังม่านนั้น ตะวันฉายอึ้งตะลึงงันทั้งๆ ที่มือยังจับมู่ลี่ค้างไว้ ธีรภพยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เท่ และอบอุ่น เพียงเท่านั้นตะวันฉายก็ปล่อยมู่ลี่อย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ธีรภพก็เปิดมู่ลี่ขึ้นมาอีกแล้วยิ้มขำ ก่อนจะเอาสายรัดเกี่ยวมู่ลี่ไว้ข้างประตู
“มาสมัครเข้าชมรมเหรอครับ” ธีรภพถาม
ตะวันฉายอึ้ง “เอ่อ…ค่ะ”
ธีรภพยิ้มอย่างใจดี “ยินดีต้อนรับครับ พี่ชื่อธีร์ อยู่ปีสี่บัญชี เป็นกรรมการชมรม”

“ซันค่ะ อยู่ปีหนึ่งบริหารการโรงแรมภาคภาษาอังกฤษค่ะ”

รถบัสของมหาวิทยาลัยแล่นอยู่บนถนนขึ้นเขาที่สวยงาม หลังจากนั้น ตะวันฉายและทุกคนก็แยกย้ายกันไปตั้งเต็นท์
เสียงตะวันฉายเล่าให้เอวากับนิคฟังต่อ “หลังจากที่ฉันสมัครเป็นสมาชิกไป พี่ธีร์เขาก็ยังไม่จีบฉันนะ คงไม่กล้ามั้ง”
“แล้วตกลงไปชอบกันตอนไหน” เอวาถาม
“ตอนปิดเทอมเล็กปีหนึ่งนั่นแหล่ะที่ชมรมพาไปออกค่ายเรียนถ่ายรูป”

ผีเสื้อเกาะอยู่บนดอกไม้ที่อยู่ในเฟรมกล้องที่กำลังปรับโฟกัสซูมเข้าซูมออกโดยธีรภพ ตะวันฉายเดินถือกล้องถ่ายดอกไม้ ต้นไม้ เห็ด ฯลฯ มาเรื่อย ๆแล้วเธอก็เห็นผีเสื้อตัวที่ธีรภพกำลังจับภาพอยู่ ตะวันฉายยิ้มดีใจจึงทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่สังเกตเห็นธีรภพ
“อุ๊ย ผีเสื้อ” ตะวันฉายจะเข้าไปจับ “สวยจังเลย”
ธีรภพตกใจแต่ก็กดชัตเตอร์พอดี จึงจับภาพตะวันฉายแทน
ธีรภพร้องดังลั่น “อ้าว..เฮ้ย ซัน”
ตะวันฉายตกใจแล้วหันไปมอง พอเห็นธีรภพเธอก็ยิ้มเขิน
“พี่ธี...แอบถ่ายซันเหรอคะ”
ธีรภพงง “เปล่า พี่จะถ่ายผีเสื้อ ตัวที่ซันจับน่ะครับ”
ตะวันฉายหน้าแตก “อ้าว ขอโทษค่ะ”
ธีรภพขำ “ไม่เป็นไรครับ” ธีรภพมองที่กล้องก็เห็นภาพตะวันฉายกำลังตะครุบผีเสื้อเขาก็ยิ่งขำ “มาดูนี่สิ”
ตะวันฉายเดินมาดูที่จอกล้องธีรภพก็เห็นภาพตัวเองจะจับผีเสื้อด้วยท่าตลกๆ
“น่าเอาไปขยายติดที่ชมรมเนอะ” ธีรภพบอก
“โหย พี่ธีอ่ะ น่าเกลียดจะตาย”
“ใครว่า น่ารักออก ธรรมชาติสุดๆเลย พี่ชอบมากกว่าภาพผีเสื้ออีก”
“จริงเหรอคะ”
ธีรภพพยักหน้ารับ ตะวันฉายยิ้มเขินด้วยความปลื้มสุดๆ แล้วธีรภพก็เดินแยกไป ตะวันฉายแอบเอากล้องมาตามถ่ายธีรภพแบบเนียนๆ เวลาธีรภพเผลอ
“ฉันน่ะมั่นใจว่าพี่ธีร์แอบถ่ายฉันชัวร์ แล้วมาฟอร์ม” เสียงตะวันฉายบอกกับเอวาและนิค
“คิดไปเองป่าว” นิคท้วง
“ฟังให้จบก่อนสิ”

รถบัสแล่นกลับ ตะวันฉายที่นั่งอยู่ในรถบัสแอบมองธีรภพที่นั่งเขียนอะไรอยู่ด้านหน้า สักพักก็มีน้องคนหนึ่งตะโกนลั่นมาด้วยความตกใจ
“ว้ายพี่ขา กุ๊กไก่เป็นลม”
ธีรภพ ตะวันฉาย รวมทั้งคนอื่นๆตกใจ จะเข้าไปดู
“อย่ามุงครับ” ธีรภพพูดแล้วเดินไปชนตะวันฉายจนหนังสือคู่มือใช้เลนส์หล่น
ตะวันฉายก้มเก็บให้ “พี่ธีคะ” ตะวันฉายยื่นหนังสือให้
“งั้นพี่ฝากไว้ก่อนนะ” ธีรภพหันไปดูแลคนที่เป็นลม
ตะวันฉายรับหนังสือมาแล้วก็ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ อย่างเป็นห่วงเพื่อนโดยไม่ได้สนใจหนังสือ ธีรภพเอายาดมกับน้ำให้รุ่นน้องดื่มแล้วคอยพัดให้ ตะวันฉายเปิดหนังสือดูก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ในนั้นพร้อมปากกา ตะวันฉายหยิบมาดูแล้วอมยิ้ม
“อิงแอบแนบอิงฟ้า รักทาบทาอาบหัวใจ แสงอาทิตย์เรืองรำไพ ล้อมดวงใจเราสองคน...ผมคงได้แค่ฝัน ที่จะเป็นคนได้ดูแลคุณตลอดไป ..ธีร์”

ตะวันฉายเล่าให้เอวากับนิคฟังแล้วยิ้มเคลิ้มฝัน
“ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นฉัน แสงอาทิตย์ก็คือ ตะวัน เรืองรำไพ ก็หมายถึงฉาย แสงอาทิตย์เรืองรำไพ ก็คือตะวันฉาย”
“ก็เป็นไปได้นะ” เอวานึกได้ “แต่หลังจากนั้นพี่เขาก็จบนี่ฉันจำได้”
ตะวันฉายเซ็ง “ใช่อ่ะสิ พอถึงกรุงเทพฯ ฉันก็ลืมคืนหนังสือ ตอนเปิดเทอมถึงได้รู้ว่าพี่เขาจบสามปีครึ่ง แล้วได้ทุนไปฝึกงานต่อที่ต่างประเทศอีกปีกว่า ขนาดวันรับปริญญายังไม่มาเลย ฉันก็เลยต้องเก็บหนังสือนี่ไว้จนป่านนี้”
“แล้วหลายปีมานี่แกไม่สืบหาบ้างเหรอ” เอวาถาม
“ก็สืบตลอด ทั้งเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม สารพัดแต่ก็ไม่มี แถมทุกครั้งที่ชมรมมีงานสังสรรค์ ฉันก็ไปจนเลิกไปแล้ว เพราะรุ่นพี่ธีร์ไม่โผล่สักคน”
“แสดงว่าไม่ได้กูเกิ้ลหาละสิ” นิคถาม
“ลองมาหมดแล้ว ไม่มี” ตะวันฉายบอก
“งั้นก็คงต้องปิดคดีแล้วว่ะ” นิคหยิบหนังสือมาเปิดเล่นๆแล้วก็ชะงัก “เฮ้ย...เอวา”
ตะวันฉายกับเอวาตกใจจึงรีบชะโงกหน้าไปดู นิคชี้ลายมือชื่อในหนังสือที่เขียนไว้แสดงความเป็นเจ้าของ
“พี่เขาชื่อ ธีรภพ พิพัฒนพงษ์สกุล เหรอ” นิคถาม
“ทำไม...พวกแกรู้จักเขาเหรอ?” ตะวันฉายถามกลับ
“ฉันกับนิคไม่รู้จักหรอก แต่อาจจะทำให้แกเจอกับพี่เขาได้” เอวาบอก
ตะวันฉายงง “นี่...พวกแกไม่ได้ล้อฉันเล่นนะ”

นิคลากเอวาออกมาหน้าห้องของตะวันฉาย
“แกจะบ้าเหรอ แกก็รู้นี่ว่า....” นิคยังพูดไม่จบ เอวาก็สวนขึ้น
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ไอ้ซันมันได้รู้เรื่องพี่ธี เราต้องช่วยมัน”
นิคพยักหน้ารับแต่พอมองไปที่ตะวันฉายที่ยังนั่งงุนงงอยู่ในห้องเขาก็ถอนใจด้วยความเครียด
“หวังว่าไอ้ซันมันคงสมหวังนะ”

รถของเอวาจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังผับแห่งหนึ่ง ตะวันฉายมองไปที่ผับอย่างงงๆ
“ฉันจะเจอพี่ธีที่นี่เหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ฉันจะให้เจอคนๆหนึ่งที่เขาจะทำให้แกเจอพี่ธี” เอวาบอก
“อุ๊ย ตื่นเต้น เหมือนนิยายสืบสวนสอบสวนเลย”
นิคชี้ไป “นั่นไงมาแล้ว”
ตะวันฉายเห็นรถคันหนึ่งแล่นมาจอด สักพักเมฆกับหมอกก็ลงมาจากรถ
ตะวันฉายตกใจ “ว๊าย...ไอ้ปากเป็ด”
ตะวันฉายรีบก้มลงหลบทันที นิคกับเอวามองหน้ากันอย่างเครียดๆ
“ซวยจริงๆทำไมต้องมาเจอนายนี่อีกนะ รอแป๊บนะให้นายนั่นไปก่อน” ตะวันฉายพยายามหลบ
“รอไม่ได้หรอก เพราะเราต้องถามข้อมูลจากพี่เมฆ” เอวาบอก
ตะวันฉายลุกพรวดขึ้นแต่ยังหลบหลังเก้าอี้ที่นิคนั่ง “แล้วนายนั่นมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องในครอบครัวของฉันด้วย”
“พี่เมฆเป็นน้องชายพี่ธี” นิคบอก
“ห๊า...อะไรนะ น้องสามีในอนาคตฉันเหรอ”
ตะวันฉายโผล่หน้าแล้วจ้องไปที่เมฆที่กำลังเดินจะเข้าหลังร้านกับหมอก ทันใดนั้นเมฆก็รู้สึกเหมือนจำรถเอวาได้จึงหันมามอง ตะวันฉายรีบหลบ แต่เมฆก็จูงหมอกเดินเข้ามา
“เอวา แกออกรถเร็วสิ” ตะวันฉายสั่ง
“ไม่ทันแล้วอ่ะ พี่เมฆมาแล้ว” เอวาบอก
ตะวันฉายกุมขมับ “ให้มันได้อย่างนี้สิ”
เมฆเดินมาถึงรถ เอวาเปิดกระจกลง ตะวันฉายรีบหลบหลังเบาะแล้วทำตัวลีบสุดๆ พร้อมกับเอากระเป๋าบังหน้า
เมฆพูดกับหมอก “หมอกไหว้พี่นิคกับพี่เอวาสิลูก” เมฆถามนิคและเอวา “มาแล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะ”
“ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ เอวากับนิคว่าจะชวนพี่เมฆไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหมคะ” เอวาถาม
ตะวันฉายมีสีหน้าหงุดหงิดและอยากเขกหัวเอวา
เมฆยิ้ม “พี่ทานกับหมอกมาแล้ว ตามสบายเถอะ งั้นพี่เข้าไปก่อนนะ”
เมฆกับหมอกจูงมือกันเดินเข้าหลังร้านไป ตะวันฉายโผล่หัวขึ้นมาจ้องหน้าเพื่อนทั้งสอง
“เคลียร์ด่วน!”

ตะวันฉาย เอวา และนิคนั่งอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟ
“พี่เมฆเขาจบดุริยางคศิลป์จากเชียงใหม่ ตอนที่เราสองคนไปสมัครเล่นที่ผับ เขาก็เดี่ยวกีตาร์คลาสิคอยู่ก่อนแล้ว พี่เจ้าของผับเลยให้ลองรวมวงกัน ก็เลยรู้จักเขาตั้งแต่นั้นมา” นิคเล่า
ตะวันฉายทำหน้าเซ็ง “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้อยากรู้ประวัตินายปากเป็ด ที่ฉันอยากรู้คือพี่ธี ตกลงฉันจะได้เจอพี่ธีเมื่อไหร่”
“ก็ขึ้นอยู่กับพี่เมฆ เพราะเท่าที่รู้เขาเป็นพี่น้องกัน” เอวาบอก
“นายเมฆเป็นน้องพี่ธี?”
“ก็บริษัททัวร์ทราเวิล ทีนั่นแหล่ะ พี่เมฆเคยเล่าว่าดูแลแทนพี่ชาย ซึ่งก็คือชื่อกับนามสกุลที่แกบอก”
“แล้วเขาบอกบอกไหมว่าพี่ธีไปไหน” ตะวันฉายถาม
“ฉันก็เคยถามเหมือนกันนะ แต่พี่เมฆก็บอกแค่ว่าไม่อยู่ พวกเราก็ไม่ได้สนใจด้วย นี่แหล่ะที่พวกเราถึงต้องพาแกไปคุยกับพี่เขาไง” นิคบอก
ตะวันฉายกุมขมับ “ตาย....ความรักของฉันมันจบตั้งแต่เริ่มต้นเลยใช่ไหมเนี่ย”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเอวาก็ดังขึ้น เอวาหยิบมาดูแล้วหันไปมองหน้าตะวันฉาย

หมอกดิ้นงอแงอยู่ในอ้อมกอดของเมฆ ในขณะที่มือเมฆถือโทรศัพท์คุยไปด้วย
“ไม่เอา หมอกไม่อยู่ในนี้ หมอกจะไปเล่นข้างนอก”
“หมอก...เบาๆสิลูก” เมฆพูดโทรศัพท์ “เอวาเหรอ สงสัยคืนนี้พี่ต้องกลับแล้ว นายหมอกน่ะสิงอแงจะไม่ยอมอยู่ในห้องนักดนตรี จะออกไปเล่นข้างนอกท่าเดียว”
“อ้าว...แล้วพี่เลี้ยงของหมอกล่ะคะ” เอวาถาม
“ออกอีกแล้ว จะปล่อยไว้บ้านเก่งก็เอาไม่อยู่ พอพามานี่ก็งอแงอีก ตอนนี้ใครที่นี่ก็เอาไม่อยู่”
“ว้าเสียดาย ไม่เป็นไรค่ะ เอวากับนิคเล่นกันสองคนได้”
“ขอบคุณมากนะ” เมฆบอก
“ค่ะ...” เอวานึกขึ้นได้ “อุ๋ยๆๆๆ เดี๋ยวค่ะพี่เมฆ”
“มีอะไรเหรอ”
“เอวานึกออกแล้วค่ะวาจะจัดการยังไงกับนายหมอก เดี๋ยวเอวาเข้าไปนะคะ”
เอวากดวางสายแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม นิคกับตะวันฉายที่นั่งอยู่ที่โซฟามองหน้ากัน
“ฉันรู้แล้วว่าแกจะสืบหาพี่ธีโดยไม่ต้องถามพี่เมฆยังไง” เอวาบอก

ที่ร้านกาแฟ ตะวันฉายกับหมอกนั่งข้างๆ กันแล้วเหล่ใส่กันแบบมีชั้นเชิง
ตะวันฉายหันมาถลึงตาใส่เอวา “จะบ้าเหรอเอวา จะให้ฉันเลี้ยงลูกนายปากเป็ดเนี่ยนะ นิสัยเหมือนพ่อหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็ช่วยๆกันอ่ะนะ” เอวาบอก
“แล้วแม่เขาไปไหนซะล่ะ” ตะวันฉายถาม
“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่พี่เมฆไม่พูด” นิคว่า
“แหม... นายคนนี้นี่ความลับเยอะจังนะ”
“ฉันถึงบอกไง ว่าเราจะได้รู้ทุกอย่างก็จากหมอกนี่แหล่ะ” เอวารีบบอกตะวันฉายยิ้มร้ายก่อนจะมองไปทางหมอก “นายเสร็จฉันแน่” ตะวันฉายนึกได้ “ว่าแต่นายปากเป็ดไม่รู้แน่นะว่าฉันเป็นพี่เลี้ยงลูกเขา”
นิคกับเอวายักไหล่พร้อมยิ้มกวนๆให้ตะวันฉายพร้อมกัน

เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เอวายิ้มให้เมฆหลังจากเจรจาเรื่องช่วยเลี้ยงหมอกกับเขาในห้องพักนักดนตรี
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพื่อนเอวาคนนี้รักเด็กยิ่งกว่านางงามซะอีก เขามีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กมาเยอะมว๊าก พี่เมฆสบายใจได้ค่ะ” เอวาบอกเมฆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ก็สบายใจ งั้นเราเตรียมตัวกันเถอะ” เมฆว่า
เมฆเดินแยกไปเปิดกระเป๋ากีตาร์เตรียมตัว นิคลากเอวากระซิบกัน
“เราการันตีคุณภาพไอ้ซันมันเว่อร์เกินไปหรือเปล่าอ่ะ อย่าลืมสิว่าฤทธิ์เจ้าหมอกน่ะขนาดไหน” นิคกระซิบ
“แหม...แล้วแกล่ะ ไม่รู้ฤทธิ์ไอ้ซันเพื่อนเราหรือไง”
“เออ...จริงของแก มวยคู่นี้น่าสนใจว่ะ ฮ่าๆๆ”

หมอกเทแก้วกาแฟจนหกเลอะเทอะ ตะวันฉายต้องคอยแย่ง
“หมอกครับอย่าทำเลอะสิ มาคุยกับพี่ดีกว่านะ...คุณลุงธีรู้จักไหม”
หมอกไม่ตอบแต่ตักเค้กกินจนเลอะเทอะ ตะวันฉายรีบเข้าไปป้อน
“มาพี่ป้อนนะ ไหนบอกสิคุณลุงอยู่ไหนเอ่ย”
“ไม่มีลุงครับ มาเล่นกันเถอะ”
“คุณแม่ล่ะ” ตะวันฉายพยายามถามต่อ
“จะเล่น วิ่งเล่น”
พูดจบหมอกก็หยิบแก้วกาแฟแต่แก้วหลุดมือตก แล้วเขาก็หยิบโน่นนี่นั่นจนตะวันฉายต้องดึงไว้เป็นพัลวัน
“นี่นายหมอก พ่อเธอตอนเด็กพูดยากแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย ว๊าย...”
หมอกปัดถ้วยน้ำจนเลอะชุดตะวันฉาย
“ขอร้องเถอะ” ตะวันฉายยกมือไหว้ “หยุดซนสักแป๊บนะ แล้วเรามาคุยกันเอาไหม”
หมอกส่ายหน้า
“หืม...เล่นแบบนี้ใช่ไหม...ได้...บังอาจลองดีกับเงือกสาวชาวเกาะอย่างตะวันฉายเหรอ เห็นดีกันแน่”
ตะวันฉายจ้องหน้าหมอกจนควันออกหู หมอกจ้องกลับแต่เริ่มกลัว ตะวันฉายกางกรงเล็บแล้วอุ้มหมอกมานั่งตักก่อนจะจั๊กกะจี๋แล้วหอมแก้มซ้ายขวา หมอกหัวเราะชอบใจ

เมฆ เอวา และนิคเล่นดนตรีด้วยกันจนจบ แขกปรบมือกันลั่นร้าน ทั้งสามยกนิ้วให้กัน ทั้งสามเดินกลับเข้ามาในห้องพักนักดนตรี
“นี่ถ้าวันนี้ไม่ได้เพื่อนเอวาช่วยดูหมอก พี่คงไม่มีสมาธิดีแบบนี้” เมฆบอก
“ยินดีค่ะ”
“แล้วพี่จะไปรับหมอกได้ที่ไหน” เมฆถาม
นิคกับเอวามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เดี๋ยวเราไปรับหมอกให้ก็ได้ครับ พี่เมฆรออยู่นี่แหล่ะ” นิคบอก
“เฮ้ย ไม่ได้สิ ตอนเย็นก็เอาไปส่งให้พี่แล้ว ตอนนี้ให้พี่รับเถอะ พี่เกรงใจ”
“อุ๊ย...ไม่ต้องเกรงใจค่ะ เดี๋ยวเราไปรับแล้วไปส่งให้ที่บ้านเลย” เอวาบอก
“นั่นยิ่งไปกันใหญ่ จะขับรถอ้อมกันไปกันมาทำไม เราสองคนกลับไปเถอะพี่ไปรับหมอกเอง”
“ให้เราสองคนไปเถอะนะครับเราเต็มใจ” นิคยืนยัน
“เอางี้ ไปด้วยกันนี่แหล่ะ เขาอยู่ใกล้ๆแถวนี้ไม่ใช่เหรอ พี่อยากขอบคุณเขาด้วย”
นิคกับเอวามองหน้ากันเพราะตัดสินใจไม่ถูก

ตะวันฉายอยู่ในสภาพหัวยุ่ง หน้าตาเลอะเทอะ มีวิปครีมติดปาก และมีสีหน้าตกใจสุดขีดอยู่ที่ร้านกาแฟ
“อะไรนะนายปากเป็ดอยากเจอฉัน พวกแกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง” ตะวันฉายตกใจ
ตะวันฉายรีบคว้าหมอนหรือหนังสือมาปิดบังหน้าแล้วโผล่หัวดูรอบๆด้วยความหวาดระแวง นิคกับเอวาหัวเราะเพื่อน
“นี่ ฉันกันพี่เมฆไปเรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง ตอนนี้เขารออยู่ที่ลานจอดรถ” เอวาบอก
ตะวันฉายโล่งใจก่อนจะโยนหมอนกลับไปที่เดิม
“ที่จริงๆพี่เมฆเขาก็แค่อยากขอบคุณที่แกเลี้ยงหมอกให้ แกน่าจะถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจกันเลย” นิคเสนอ
“ไม่เอาหรอก ยังไงชาตินี้ฉันก็ไม่ยุ่งกับนายนี่อีกแล้ว”
หมอกหลับอยู่บนตักตะวันฉายในขณะที่บนโต๊ะมีสภาพเลอะเทอะมาก
“ขนาดเกลียดพ่อแต่รักลูกเขานะเนี่ย” นิคแซว
“แหม...ก็เด็กนี่น่ารักนี่ ซนแต่ฉลาดมากเลยนะ เสียแต่ฉันต้องจ่ายค่าเสียหายให้ร้านเขาไปครึ่งหมื่น แถมเค้นอะไรเรื่องลุงเรื่องแม่นายหมอกนี่ก็ไม่รู้สักอย่าง”
“ตกลงค่าจ้างก็ไม่ได้ เสียเงิน และไม่ได้เรื่องอีก” เอวาสรุป
ตะวันฉายหน้างอไปทันที
“ซัน แกคิดดีๆนะ ตอนนี้เรามีทางเดียวที่จะรู้ว่าพี่ธีอยู่ไหนก็คือพี่เมฆนะ ถ้าแกไม่ถามเขาที่เป็นน้องชายแล้วแกจะทำยังไง”
“กลัวอะไร สวย เก่ง ฉลาด แสนซน ปนน่ารักอย่างฉัน เดี๋ยวก็หาทางได้ แต่จะให้ไปขอความช่วยเหลือนายนั่นอย่าหวังซะให้ยาก” ตะวันฉายยืนยัน
“ตามใจ งั้นก็เอาหมอกมาจะพาไปคืนพ่อเขา”
ตะวันฉายมองหมอกหลับแล้วก็แอบยิ้มก่อนตัดใจส่งให้เอวากับนิคอุ้มไป

เมฆรับหมอกจากนิคไปอุ้ม ส่วนเอวายืนอยู่ข้างๆ
“น่าเสียดายนะ พี่เลยไม่ได้เจอเพื่อนนิคกับเอวาเลย คงรบกับนายหมอกจนเหนื่อยละสิถึงรีบนอน
เอวาหน้าเจื่อน “ก็ประมาณนั้นค่ะ”
“ยังไงก็ฝากขอบคุณเพื่อนด้วยนะ” เมฆบอก
ตะวันฉายเดินมายืนเท้ารถของเอวาเพื่อแอบดู
“แล้ววันอื่นๆล่ะครับ พี่เมฆจะทำไง เพราะถ้ายังไม่ได้คนแล้วพี่ก็ไม่ฝากที่ผับช่วยเลี้ยงจะลำบากนะครับ” นิคเป็นห่วง
“พี่ก็ยังไม่รู้เลย ตอนนี้ทางศูนย์ก็ไม่มีคนด้วย แต่ไม่เป็นไรหรอกช่วงนี้ก็คงต้องกระเตงมาฝากที่นี่เลี้ยงไปก่อน” เมฆยิ้ม “พี่กลับก่อนนะ”
กำลังโหลดความคิดเห็น