ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 1
ณ ริมสระว่ายน้ำของ The Sunrise Beach Resort เกาะกุลัน ตะวันฉาย หรือ ซัน ใช้เท้าจิกเก้าอี้ที่เธอนอนอยู่ แล้วบิดไปมา พร้อมทั้งส่งเสียงอิ๊อ๊ะและกรี๊ดกร๊าด
“อึ๊ย..อ๊าย..” ตะวันฉายหัวเราะคิกคักแล้วตีขาไปมาอย่างชอบใจ
ตะวันฉายทุบลงบนหมอนอิงที่อยู่ข้างกายแล้วจิก
“อ๊ายยย....” ตะวันฉายใช้มือทุบหมอนรัวๆ อย่างชอบใจ
ที่แท้ตะวันฉายกำลังนอนเอกเขนกอ่านนิยายเรื่อง “อุ่นรักวันฟ้าหนาว” พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวอักษรในหนังสือที่มีโพสท์อิทหลายสีคั่นไว้อยู่หลายหน้า
ตะวันฉายอ่านออกเสียง “ทำไมคุณถึงรักฟ้าล่ะ ทั้งที่ฟ้าไม่มีอะไรดีเทียบเท่าคุณได้เลย มานเมตต์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ตอบว่า...”
ในห้วงคำนึงภาพสวนสวย ที่มีต้นไม้แปลกตาหลุดโลกของเทพนิยาย ผุดขึ้นในหัวของตะวันฉาย มานเมตต์ พระเอกสุดหล่อในนิยายพูดตอบปลายฟ้า
“ทำไมจะไม่มีล่ะ ต้องบอกว่ามีเยอะมากกว่าผมด้วยซ้ำ ทั้งความน่ารัก ความจริงใจ และที่สำคัญ..โลกนี้มันสวยขึ้นตั้งแต่ฟ้าเดินเข้ามาหาผม”
ปลายฟ้า หญิงสาวที่มานเมนต์คุยอยู่ก็คือตัวตะวันฉายนั่นเอง
“ปลายฟ้าจ้องหน้าเขานิ่ง ทั้งๆ ที่ปากอยากจะพูดหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เธอกลับไม่สามารถจะเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว มีเพียงแต่น้ำตาแห่งความปลื้มปิติเท่านั้น ที่ค่อยๆไหลออกมาเปื้อนรอยยิ้มของเธอ” ตะวันฉายอ่าน
มานเมตต์เอาผ้าเช็ดหน้าค่อยๆบรรจงเช็ดหน้าของปลายฟ้า
“ผมจะไม่สัญญาว่าจะอยู่กับฟ้าจนกัลปาวสาน แต่ขอให้ฟ้ารู้ไว้ว่าทุกวันที่ผมยังมีลมหายใจ ผมจะอยู่เคียงข้างกับฟ้าทุกวัน....ผมรักฟ้าครับ” มานเมนต์พูด
มานเมตต์และปลายฟ้ากอดกันอย่างมีความสุข
ตะวันฉายกัดริมฝีปาก ดึงผ้า ทุบหมอนแล้วเอาหมอนอุดปากตัวเองก่อนจะกรี๊ด
“กรี๊ดดด...โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว อยากจะบ้า.....หวานเว่อร์ จะมีใครมาพูดอย่างนี้กับเรามั่งไหมนะ ..อย่างนี้ต้องขีดไว้ โลกนี้มันสวยขึ้นตั้งแต่ฟ้าเดินเข้ามาหาผม”
ตะวันฉายลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบดินสอกดลายน่ารักจากกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ตัวมาขีดประโยคที่ชอบ ก่อนจะหยิบโพสท์อิทซองเล็กๆออกมาดึงแปะที่หัวกระดาษไว้ แล้วล้มตัวลงนอนอ่านต่อ
เสียงเพลงสากลจากกีต้าร์โปร่งดังแว่วมา เมฆกำลังเล่นกีต้าร์ให้ลูกทัวร์ฟังอยู่บนเรือสปีทโบ๊ท ในระหว่างที่กลับจากดำน้ำ ฝรั่งบางคนร้องตามอย่างมีความสุข ส่วนบางคนแกะกล้องออกมาจากกล่องกันน้ำเพื่อเอามาถ่ายรูปเมฆ เมฆร้องเพลงจบ ฝรั่งทุกคนปรบมือให้
“Wow! Khun Mek, you’re both the best tour guide and the best entertainer. How can you do that,man?” ฝรั่งคนหนึ่งชม
เมฆยิ้ม “Tour company is my career, but music is my life. I love it.”
เมฆพูดจบก็มองกีตาร์แล้วแอบถอนใจ
ฝรั่งหญิงคนหนึ่งพูดล้อเล่น “I promise. I’ll come back to give you a hard time again. Because I really love the way you treat us.”
ฝรั่งคนอื่นๆเห็นด้วยแล้วปรบมือชื่นชม เมฆยิ้มรับ
“Thank you, Thank you very much indeed.”
เมฆลุกขึ้นมองไปก็เห็นฝั่ง
“Ok, Finally we come back to the Resort.”
“Oh no! I really need one more song.” ฝรั่งหญิงคนนึงกล่าว
เมฆยิ้ม “At the dinner time.”
ทุกคนปรบมือแสดงความยินดี
“So, I’ll see you all at the lobby around 7 sharp.” เมฆกล่าว
สปีดโบ้ทแล่นมาจอดที่หน้าหาด เมฆโดดลงจากเรือแล้วช่วยรับลูกทัวร์ลงมา ฝรั่งคนหนึ่งสะพายกล้องถ่ายรูปใต้น้ำกับข้าวของอื่นลงมาบนหาดแล้วก็วางของทั้งหมดลงก่อนจะหันไปช่วยภรรยาลงจากเรือ ทันใดนั้น โจรหน้าโหด ตัวใหญ่สองคนวิ่งราวกล้องถ่ายรูปกับกระเป๋าของภรรยาฝรั่งไป ลูกทัวร์ตกใจร้องโวยวาย เมฆหันไปเห็นโจรกำลังวิ่งหนี
“เฮ้ย!”
เมฆวิ่งไล่โจรทั้งสอง ขณะที่กลุ่มฝรั่งวิ่งตามไป
ตะวันฉายยังนอนอ่านนิยายอย่างสบายอารมณ์ ครู่หนึ่ง เสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น ตะวันฉายเซ็ง
“โฮ้ย กำลังอินเลย โทรมาทำไมเนี่ย” ตะวันฉายหยิบมือถือจากในกระเป๋ามารับอย่างเซ็งๆ โดยไม่ได้ดูหน้าจอก่อนจะพูดเสียงห้วน “ฮัลโหล”
สายรุ้ง แม่ของตะวันฉายมีสีหน้าอึ้งและงง
“อารมณ์ไม่ดีเหรอลูก งานยุ่งเหรอจ๊ะ” สายรุ้งถาม
ตะวันฉายสะดุ้งแล้วยิ้มแหย ก่อนจะวางหนังสือ แล้วพูดเสียงหวาน
“อุ้ย แม่..แหะๆ ขอโทษค่ะ พอดี..” ตะวันฉายหาข้อแก้ตัว “ซันกำลังวุ่นตรวจห้องอยู่ค่ะ”
“ห้องของกรุ๊ป Travel T หรือเปล่าลูก”
ตะวันฉายงง “Travel T?”
“ใช่สิ Travel T กรุ๊ปนี้จะส่งกระเป๋ามาก่อน ส่วนแขกเขาจะไปดำน้ำ แล้วกลับเช็คอินเย็น ที่แม่ให้บล็อกห้องหน้าหาดทั้งหมดไง”
“เอ่อ...คือ”
ตะวันฉายพยายามนึกคิดหาคำตอบ
เมฆวิ่งตามมาตะครุบตัวโจรที่ขโมยกล้องไว้ได้ แต่โจรอีกคนที่กระชากกระเป๋ารีบมาดึงเมฆออก จนเกิดการต่อสู้กันแบบสองรุมหนึ่ง โจรหนึ่งควักมีดออกมาจะแทงแต่เมฆหลบได้แล้วก็เตะมีดกระเด็นแต่เขาก็โดนโจรสองกระโดดถีบจนเสียหลักล้มลง
ผู้คนที่หน้ารีสอร์ทร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความตกใจ ฝรั่งลูกทัวร์ของเมฆวิ่งตามมาด้วยท่าทางแตกตื่น ฝรั่งเจ้าของกล้องเข้าไปช่วยเมฆ แต่ก็ถูกโจรทำร้ายจนล้ม แล้วโจรทั้งสองก็วิ่งหนีเข้าไปในล้อบบี้ของรีสอร์ท เมฆจะตามไปแต่ก็เป็นห่วงแขกเลยรีบกลับไปช่วยฝรั่ง ฝรั่งคนอื่นๆ รีบวิ่งมาดูคนที่บาดเจ็บ
“Are u alright?” เมฆถาม
“Fine. Don’t worry.”
“Ok.” เมฆพูดกับทุกคน “Everybody please stay here. I’ll manage it.”
ฝรั่งทุกคนพยักหน้ารับ เมฆลุกขึ้นทั้งที่ยังสะบักสะบอมก่อนจะวิ่งตามโจรเข้าไปในรีสอร์ท
สายรุ้งยังคงสงสัย “ว่าไงซัน? ตกลงทุกอย่างเรียบร้อยไหมลูก”
เกริกไกร พ่อของตะวันฉายที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆสายรุ้งชักเอะใจจึงคว้ามือถือสายรุ้งมาคุยเอง
“นี่ ยายซัน ตกลงเราทำงานอยู่หรือเปล่า หรือไปแอบอ่านนิยายเพ้อฝันอยู่ที่ไหนอีก”
พอได้ยินเสียงพ่อดุตะวันฉายก็ถอนใจด้วยความเซ็ง
“เปล่าเลยนะ พ่อล่ะก้อชอบมองโลกในแง่ร้าย ระวังจะแก่เร็วนะคะ” ตะวันฉายว่า
“ไม่ต้องมาถ่วงเวลาเลยนะ ตกลงห้องของ Travel T เรียบร้อยไหม ถ้ารายนี้มีปัญหาพ่อไม่ยอมนะ เพราะเขาเป็น Top Account ของเรา”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านจีเอ็ม ซันลงมือดูแลเองทู้กกกอย่าง แทบจะทำเตียงทำห้องน้ำเองอยู่แล้ว รับรองเรียบร้อยค่ะ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่ประชุมในเมืองเสร็จแล้วจะรีบกลับ”
เกริกไกรวางสายด้วยสีหน้าเครียด
“มีอะไรคะ” สายรุ้งถาม
“ลูกมันบอกว่ามันดูแลทุกอย่างหมดแล้ว”
สายรุ้งงง “ก็ดีสิคะ แล้วคุณจะห่วงอะไรอีก”
เกริกไกรถอนใจ “ห่วงว่าเราเชื่อลูกได้เหรอ”
สายรุ้งชะงักแล้วคิดตามทันที ตะวันฉายลุกจากเตียงเดินไปที่โทรศัพท์ภายในแล้วกดโทรออก
“กรุ๊ป Travel T เรียบร้อยใช่ไหม....อืมๆๆ ดีๆแค่นี้แหล่ะ....ไม่เอา...ฉันจะไปรับทำไม...รู้ว่าเป็นวีไอพีกรุ๊ป แต่ฉันยุ่ง...เอางี้ ตอนนี้เวรพี่อ้อเป็นซุปใช่ไหม งั้นให้พี่อ้อเอาพวงมาลัยไปรับตอนแขกมาอินแล้วกัน”
ตะวันฉายวางสายด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ตื่นเต้นอะไรนักหนา กระเป๋าก็เข้าห้องแล้วนี่”
ตะวันฉายยักไหล่แล้วเดินกลับนั่งอ่านนิยายต่อ
เมฆวิ่งตามโจรเข้ามาในรีสอร์ทแล้วร้องโวยวายให้ รปภ.ช่วยจับ
“ช่วยด้วยครับพี่ โจรวิ่งราวครับ”
รปภ.รีบวิ่งมาสมทบกับเมฆตามโจรทั้งสองไปจนถึงล้อบบี้ แล้วจึงเข้าไปช่วยเมฆต่อสู้กับโจรจนคนในล้อบบี้กรี๊ดกร๊าดตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ” อ้อถาม
รวมทั้งพนักงานชายหญิง และแม่บ้าน 4-5 คน ต่างออกมายืนดูกันอย่างตกใจ
เมฆสู้จนกล้องหลุดจากมือโจรแล้วกลิ้งไปบนพื้น โจรจะกลับมาเอากล้อง แต่เมฆก็เตะโจรจนกระเด็น แล้วจะเข้าไปรวบโจรเพราะคิดว่าอยู่หมัดแล้ว ทันใดนั้นโจรก็ชักมีดออกมาแล้วปาดใส่เมฆ แต่เมฆหลบทัน ขณะที่รปภ.ยังสู้อยู่กับโจรอีกคนหนึ่ง แต่สุดท้ายโจรก็หนีไปพร้อมกับกล้องและกระเป๋าทั้งสองคน เมฆเดินหัวเสียกลับมา สักพักกลุ่มฝรั่งก็วิ่งตามมา
“I’m terribly sorry That I can’t take your things back.” เมฆบอก
ฝรั่งคนนั้นมีสีหน้าเซ็งพร้อมทั้งด่าโจร อ้อรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาเมฆ
“เกิดอะไรขึ้นคะ กลุ่มลูกค้ามาจากไหนคะ” อ้อถาม
“ผมพาแขก Travel T มาเช็คอิน แล้วไอ้โจรสองคนนั่นมันวิ่งราวของแขกผม” เมฆบอก
“ตายจริง!” อ้อพึมพำ “วีไอพีกรุ๊ปนี่”
“อย่าเพิ่งตายครับ” เมฆมองไปเห็นกล้องวรจรปิด “ขอดูกล้องวงจรปิดได้ไหมครับ จะได้ใช้เป็นหลักฐานแจ้งตำรวจ”
อ้อหน้าจ๋อย “เอ่อ..พอดีว่า Hard Disc เสียค่ะ ผู้จัดการยังไม่เอาไปซ่อมค่ะ ตอนนี้ทางรีสอร์ทเลยไม่ได้ใช้กล้องวงจรปิดน่ะค่ะ”
“หา! อะไรกัน ไม่มีกล้องวงจรปิด แล้วจะปล่อยให้โจรมันหนีไปได้อย่างนี้น่ะเหรอ” เมฆเห็นพนักงานจ๋อย “ไปตามผู้จัดการคุณมาก่อนแล้วกัน”
ตะวันฉายยังนอนถือหนังสือกางอ่านเหนืออกด้วยสีหน้าไม่เดือดร้อน ก่อนะมองอ้อที่มายืนรายงานหน้าตื่นอยู่ข้างเก้าอี้
“ไม่เอาหรอก ซันไม่ไปดีกว่า”
อ้อร้องเสียงหลง “อ้าว ไหงงั้นล่ะคะ”
ตะวันฉายปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นนั่ง “ก็ไม่เห็นว่าเรื่องจะต้องมาถึงซันเลยนี่คะ พี่อ้อก็ให้ใครก็ได้พาไกด์กับแขกที่เสียหายไปแจ้งความ เท่านี้ก็จบ โอเคนะคะ”
“ว๊าย...ไม่โอค่ะ ไกด์กับแขกโมโหมากเลยนะคะ พี่ว่าคุณซันไปคุยกับเขาหน่อยดีกว่า ไม่งั้นรีสอร์ทเราเสียชื่อแน่”
“จะเสียได้ไง ไม่ใช่ความผิดของรีสอร์ทเราซะหน่อย ถ้าโจรมาขโมยในรีสอร์ทก็ว่าไปอย่าง พี่ไปทำตามที่ซันบอกเถอะค่ะ” ตะวันฉายยืนยัน
เมฆโวยวายใส่อ้ออยู่ที่ล็อบบี้ของรีสอร์ท
“ห่วยแตก! ห่วยมาก! นี่ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรกันเลยใช่ไหม ผู้จัดการคุณนี่ห่วยสุดๆเลยคุณรู้ไหม!”
“ก็..พอรู้ เอ้ย” อ้อยิ้มแห้งๆ “ไกด์ใจเย็นๆก่อนนะคะ เดี๋ยวทางรีสอร์ทจะพาไปแจ้งตำรวจให้นะคะ”
เมฆเสียงเข้ม “ผมไปแน่ แต่ต้องหลังจากคุยกับผู้จัดการของคุณก่อน”
“เอ่อ...แต่ว่าผู้จัดการกำลังยุ่งค่ะ”
“เขาจะยุ่งกว่านี้ถ้าไม่ยอมพบผม” เมฆตะคอก “เขาอยู่ที่ไหน?”
ตะวันฉายยังนอนอ่านนิยายอย่างมีความสุขอยู่ที่ริมสะว่ายน้ำ แขกที่เป็นคู่รักสองคนเดินลงมาเล่นน้ำ
ตะวันฉายอ่านออกเสียง “มานเมตต์ดึงหนังสือออกจากมือรินนาอย่างแผ่วเบา แล้วก้มลงจูบที่หน้าผาก อึ๋ย กรี๊ดอีกแล้ว ตาบ้า...นายนี่มันปากอย่างใจอย่างจริงๆ เลย”
ทันใดนั้นก็มีมือมาดึงหนังสือออกจากมือตะวันฉายไปทันที
ตะวันฉายผุดลุกขึ้นมานั่ง “อร๊าย...อะไรกันเนี่ย” ตะวันฉายเห็นหน้าเมฆที่ยืนจ้องเอาเรื่องอยู่ “คุณเป็นใคร” ตะวันฉายมองไปที่อ้อ “พี่อ้อ...นายปากเป็ดนี่เป็นใคร”
เมฆกับอ้อถึงกับสะดุ้งพร้อมกันที่ได้ยินตะวันฉายเรียกเมฆเช่นนั้น เมฆมองตะวันฉายแบบอึ้งไป
ตะวันฉายนึกได้จึงพึมพำ “หรือว่าเป็นโจร โหงวเฮ้งกระเด็นออกมานอกหน้าซะขนาดนี้” ตะวันฉายตะโกนลั่น “รปภ. ช่วยด้วย โจรบุกรีสอร์ท Help!...Somebody…helps!”
แขกในสระตกใจพากันมองหาโจรเลิ่กลั่ก
“นี่คุณ! หุบปากก่อนได้ไหม จะแหกปากหาพระแสงของ้าวที่ไหน” เมฆว่า
ตะวันฉายอึ้งไป อ้อรีบบอก
“เขาไม่ใช่โจรค่ะ โจรน่ะหนีไปแล้ว” อ้อกระซิบ “คุณนี่เป็นไกด์จาก Travel T”
ตะวันฉายอึ้งไปเล็กน้อย “Travel T เหรอ?”
“ใช่...ลูกค้าของที่นี่ไง แล้วคุณ...” เมฆมองหน้าตะวันฉายอย่างเอาเรื่อง “ฮึ....เนี่ยน่ะเหรอ ผู้จัดการ The Sunrise Beach Resort”
“ใช่”
“ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย” เมฆต่อว่า
“เรื่องอะไรมาว่าฉัน”
“มีโจรเข้ามาทำร้ายแขกของโรงแรม แต่คุณกลับยังนอนอ่านนิยายหน้าตาเฉย ไม่รับผิดชอบยังน้อยไปด้วยซ้ำ น่าจะบอกว่าไม่มีมนุษยธรรมถึงจะถูก”
“ก็ให้พนักงานพาไปแจ้งความแล้วไง ยังจะเอาอะไรอีก”
“เอาหลักฐานจากกล้องวงจรปิด”
ตะวันฉายตอบทันที “เสีย”
“รู้แล้ว” เมฆว่า
“ดี หมดธุระฉันแล้ว เอาหนังสือคืนมานี่”
ตะวันฉายจะดึงหนังสือจากมือเมฆ แต่เมฆไม่ให้ก่อนจะปาลงสระน้ำ ตะวันฉายกรี๊ดลั่น
“กรี๊ดดดด...หนังสือฉัน..ไอ้เลว..ไอ้คนใจร้าย รู้ไหมว่าหนังสือมีค่ากับฉันแค่ไหน”
“ทีงี้ละคิดได้ ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของแขกผมแล้วละสิ” เมฆบอก
ตะวันฉายและเมฆเดินหน้าเข้าหากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ อ้อตกใจ
“ฟังให้ดีนะนายไกด์ เรื่องของแขกนายน่ะเหตุมันเกิดที่หาด ไม่เกี่ยวกับรีสอร์ทเลย ถ้าคุณไปแจ้งตำรวจนะ ป่านนี้คงจับโจรได้แล้วมั้ง ความผิดคุณชัดๆ ที่ปล่อยให้โจรหนีไปได้” ตะวันฉายว่า
“อ้าว พูดชุ่ยๆอย่างนี้ได้ยังไง เรื่องเกิดที่หาด แต่หน้าหาดรีสอร์ทของคุณนะ แล้วมันก็หนีเข้ามาในรีสอร์ทของคุณ คุณก็ควรจะช่วยเหลือในฐานะเจ้าของพื้นที่สิ”
“ได้ ถ้านายอยากให้เจ้าของพื้นที่ช่วย ก็ไปแจ้งกรมอุทยานแห่งชาติสิ..จบป่ะ”
เมฆถึงกับอ้าปากค้างเพราะไปไม่เป็น
“แล้วก็เก็บหนังสือมาคืนฉันด้วย” ตะวันฉายพูดแล้วก็เดินออกไป
“นี่เรามาเกาะกุลัน หรือเกาะนรกกันแน่วะ” เมฆรำพึง
เมฆหันไปมองอ้อ อ้อหัวเราะแหะๆ พร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
เมฆวางหนังสือนิยายเปียกๆ ลงบนโต๊ะหน้าเกริกไกรในห้องทำงานของเกริกไกร โดยมีอ้อยืนหน้าเสียร่วมรับผิดอยู่ข้างๆ เกริกไกร
“ผมโยนหนังสือของพนักงานคุณลงสระ แล้วผมก็รับผิดชอบเก็บมาให้แล้ว ส่วนเรื่องที่แขกเสียหาย ทางรีสอร์ทคุณ ก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบเรื่องที่เกิดเช่นกันนะครับ” เมฆบอก
เกริกไกรหันมองอ้อด้วยสีหน้าเครียด “คุณตะวันฉายช่วยเหลืออะไรแขกบ้าง”
“ก็...ให้อ้อพาแขกไปแจ้งความค่ะ” อ้อตอบ
“แค่นี้เหรอ?”
“ค่ะ”
เกริกไกรกุมขมับ
“นี่ถ้าผมไม่มาเอง ผมคงไม่เคยรู้ว่าบริษัทของผมไม่ควรส่งแขกมาที่นี่” เมฆพูดต่อ
“บริษัทของคุณ...เอ่อ..ขอประทานโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณไกด์ชื่ออะไร”
เมฆส่งนามบัตรให้ “ผม นภทีป์ ครับ”
เกริกไกรสะดุ้ง “ห๊า...คุณนภทีป์!!”
เกริกไกรทุบโต๊ะด้วยความโมโหก่อนจะตะโกนลั่น
“ไปเรียกตะวันฉายมาเดี๋ยวนี้....”
เกริกไกรกำมือแน่นจนเมฆมองแล้วก็สยองเพราะรู้สึกเจ็บมือแทน
ตะวันฉายกำลังกอดและหอมสายรุ้งอย่างประจบ
“คิดถึงแม่จังเลย ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วอย่างนี้” ตะวันฉายประจบ
“เอ๊ะ ฟังดูแปลกๆนะ เหมือนจะคิดถึงจริง แต่ก็เหมือนไม่อยากให้กลับมาเร็ว ไปทำอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย”
“อุ๊ย เปล่าเลย แหม แม่อ่ะ เหมือนพ่อเลย ชอบหาว่าซันทำแต่เรื่อง”
ทันใดนั้น อ้อก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“งานเข้าแล้วค่ะคุณซัน คุณเกริกไกรเรียกพบด่วนค่ะ” อ้อบอก
สายรุ้งคาดคั้น “ตกลงไปทำอะไรไว้”
สายรุ้งมีสีหน้างุนงง แต่ตะวันฉายเบะปากเพราะรู้ว่าเรื่องอะไร
ตะวันฉายเคาะห้องแล้วก็เปิดเข้ามา พอเห็นหน้าเมฆเธอก็เชิดใส่ก่อนจะเดินไปหาเกริกไกรจนเห็นหนังสือนิยายวางอยู่บนโต๊ะของเกริกไกร ตะวันฉายดีใจ
“หนังสือของฉัน....โถ...ดูสิ เปียกหมดเลย”
เกริกไกรรีบดึงหนังสือกลับมา
เกริกไกรพูดเสียงเข้ม “ผู้จัดการ ผมรู้เรื่องหมดแล้ว ทำไมคุณไม่ช่วยแขกให้มากกว่านี้”
“ดิฉันยืนยันว่าการช่วยเหลือทำอย่างเต็มที่แล้วค่ะ”
เมฆฉุน “อ่านนิยายน้ำเน่าตอนที่แขกได้รับความเสียหาย แถมยังพูดจาหยาบคาย ไร้มนุษยธรรม แบบนี้เรียกช่วยเต็มที่เหรอ”
“แล้วจะให้ทำไง ให้ฉันขี่ม้าควงปืนไล่ยิงโจรหรือไง”
“คุณเกริกไกร ผมขอเสนอให้ไล่ผู้จัดการคนออก” เมฆบอก
เกริกไกรกับตะวันฉายร้องออกมาพร้อมกัน “ไล่ออก”
“ใช่...เพราะถ้าผู้จัดการคนนี้ยังทำงานอยู่ ผมจะถือว่าทางรีสอร์ทไม่ได้แสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจะยกเลิกสัญญา และอาจจะลงประจานทุกสื่อถึงบริการแย่ๆของที่นี่”
เกริกไกรปาดเหงื่อที่ไหลพลั่กๆ
ตะวันฉายหัวเราะขำ “โห...กลัวมาก เพิ่งรู้ว่าบริษัทนี้เขาให้ไกด์มีอำนาจบริหารด้วย”
“ใครบอกว่าเขาเป็นแค่ไกด์” เกริกไกรรีบบอก
ตะวันฉายชักงง “อ้าว แล้วเป็นใครอ่ะ”
สายรุ้งตกใจเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอ้อ
“อะไรนะ...คุณนภทีป์นำทัวร์เองเลยเหรอ”
สายรุ้งถึงกับจะล้มเป็นลม
“ว้าย...คุณรุ้ง อย่างเพิ่งเป็นลมค่ะ ตรงพื้นแข็งล้มไปหัวแตกผมเสียทรงนะคะ” อ้อเตือน
สายรุ้งทรงตัวได้ทันทีแต่ก็เกาะเสาแน่น
“โอ๊ย ตายๆๆๆๆ เจ๊งกันล่ะงานนี้ ยัยซันนะยัยซัน ปกติมีปัญหากับแขกพ่อแม่ก็จะแย่แล้ว คราวนี้เล่นเจ้าของบริษัททัวร์รายใหญ่เลย ต่อไปจะเอาอะไรกินกัน”
“จริงด้วยค่ะ Travel T ส่งแขกให้เราปีหนึ่งๆ เป็นพันๆ Room nights ด้วย” อ้อบอก
“อ้อ...ฉันจะทำไงดี”
“ของคุณรุ้ง อ้อไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ของอ้อ...สงสัยพรุ่งนี้อ้อคงจะไปลองส่งใบสมัครตามโรงแรมอื่นๆดู”
สายรุ้งค้อน “นี่แม่อ้อ...เร็วไปไหมยะ ถ้าเกิดเรื่องนี้เคลียร์ได้ หล่อนไม่ต้องกลับมาเลยนะ”
อ้อยิ้มแหย “แฮ่ะๆ อ้อล้อเล่นค่ะ แหม...ใครจะกล้าทิ้งงานรีสอร์ทที่รายได้ดีที่สุดในเกาะไปได้ละคะ เจ้านายอย่างคุณเกริกไกร คุณรุ้ง คุณซัน ก็ดีเป็นทอง อ้อคงทำจนอายุ 80 ล่ะค่ะ”
“พอแล้วย่ะ เลียฉันซะเปียกไปทั้งตัวแล้ว” สายรุ้งถอนใจ “เฮ้อ...ขอให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีด้วยเถอะ”
เกริกไกรเอานามบัตรส่งให้ตะวันฉาย ตะวันฉายรับไปดู
เกริกไกรกระซิบ “คุณนภทีป์เป็นถึงประธานบริษัท Travel T เชียวนะ”
เมฆกระหยิ่มยิ้มย่องสะใจในขณะที่มองตะวันฉาย ส่วนตะวันฉายยังยืนนิ่ง
เกริกไกรขยิบตาให้ตะวันฉาย ตะวันฉายมองงงๆ พร้อมทั้งส่ายหน้าไม่เข้าใจ
เกริกไกรกระซิบ “ขอโทษสิ”
ตะวันฉายพูดเสียงดัง “ขอโทษทำไมคะ เขาสิต้องขอโทษเรา”
เมฆที่กำลังเท้าเก้าอี้ด้วยสายตามีชัยถึงกับแทบตกเก้าอี้
“อะไรนะ จะให้ผมขอโทษคุณงั้นเหรอ”
เกริกไกรจะอ้าปากพูด แต่ตะวันฉายโบกมือห้าม
“ก็ถ้าคุณเป็นประธานบริษัทแล้วมานำทัวร์ ก็แสดงว่าไม่ใช่ไกด์ หรือถ้าใช่ก็เอาบัตรไกด์มาแสดงสิ” ตะวันฉายรีบบอก
“เอ่อ...ผมมาแทนไกด์ของบริษัท คือ...คือเขาป่วย คนอื่นก็ติดกรุ๊ปหมด ผมเลยต้องมาเอง”
“สรุปคุณเป็นไกด์เถื่อน งั้นฉันจะฟ้องกลับ เอาให้ปิดบริษัทไปเลย” ตะวันฉายหันไปพูดกับเกริกไกร “ไม่ต้องกลัวค่ะ งานนี้เราชนะแน่”
ตะวันฉายกระหยิ่งยิ้มเยาะที่เอาชนะได้ เมฆเจอไม้นี้ก็อึ้ง เขาลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ผมจะส่งทนายมาคุยเรื่องการยกเลิกสัญญานะครับ พรุ่งนี้กรุ๊ปของผมจะเช็คเอ๊าท์ก่อนกำหนด ส่วนกรุ๊ปที่เหลือที่จองไว้ก็ขอยกเลิกแล้วกัน” เมฆพูด
เมฆเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห
“คุณนภทีป์...เดี๋ยวสิครับ” เกริกไกรเรียก
เมฆปิดประตูใส่หน้าสองพ่อลูก เกริกไกรจ้องหน้าตะวันฉายด้วยความโมโห
“รู้ไหมว่าแต่ละ Account ฝ่ายการตลาดของแม่เขาเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้มา แล้วคนทั้งโรงแรมเขาเหนื่อยแค่ไหนเพื่อจะรักษามันเอาไว้ให้ได้นานที่สุด แต่ลูกใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการเสียมารยาทกับแขกแล้วทำให้อีกหลายสิบชีวิตที่นี่ต้องมีรายได้ลดลง พ่อผิดหวังในตัวลูกมาก”
ตะวันฉายจ๋อยไปทันที
“พ่อคะ ซันขอโทษ” ตะวันฉายเห็นเกริกไกรยังนิ่ง “พ่อไม่เอาน่าอย่าขรึมแบบนี้สิ พ่อไม่เคยเป็นแบบนี้นะคะ โอเค จะให้ซันทำอะไรก็ได้ซันยอมหมดแล้ว”
“แน่ใจนะว่าจะทำได้”
“พ่อจะให้ทำอะไรอ่ะ”
เกริกไกรยิ้มร้าย
เมฆกำลังเดินอย่างอารมณ์เสียมาตามทางในรีสอร์ท แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเกริกไกรเรียก
“คุณนภทีป์ครับ รอด้วยครับ”
เมฆหันกลับไปก็เห็นเกริกไกรวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมทั้งลากตะวันฉายตามมา
“มีอะไรครับ” เมฆถาม
เกริกไกรดึงให้ตะวันฉายไปยืนประจันหน้ากับเมฆ ตะวันฉายยืนนิ่งจนเกริกไกรต้องสะกิด
ตะวันฉายพูดกับนภทีป์ “ฉันขอโทษ....ค่ะ”
“แค่นี้น่ะเหรอ” เมฆถาม
“ผมจะรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายของลูกทัวร์คุณทั้งหมด รวมถึงค่ารักษาพยาบาลคนที่บาดเจ็บด้วย พร้อมกับให้ห้องพัก และอาหารฟรีดีไหมครับ แต่ถ้ายังไม่พอใจ จะให้เราทำอะไรให้อีก ก็บอกได้เลยนะครับ” เกริกไกรบอก
“ถ้าผมบอกแล้วมันจะไม่เป็นการขอมากเกินไปหรือครับ” เมฆถาม
“ไม่หรอกครับ เราทำธุรกิจกันมานาน เรื่องแค่นี้สบายอยู่แล้ว”
“ผมต้องการให้คุณตะวันฉายมาเป็น Butler ดูแลผมกับกรุ๊ปทัวร์ตลอด 24 ชั่วโมงที่เราพักที่นี่” เมฆบอก
ตะวันฉายโวยวายด้วยความลืมตัว “บ้าสิ จะเกินไปแล้วนะ ยังไงฉันไม่ยอมหรอก”
“เป็นอันว่าตกลงครับ” เกริกไกรตัดบท
ตะวันฉายตกใจ “หา...อะไรนะคะ”
ตะวันฉายอึ้ง เมฆยิ้มสะใจ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตะวันฉายสะพายกระเป๋าเดินหน้าง้ำหน้างอเข้ามาในบ้านพัก เกริกไกรเดินตามหลังและพยายามง้อลูกสาว
“ซัน อย่าทำตัวเป็นเด็กอย่างนี้สิ พ่อดุ ก็เพราะพ่อหวังดีนะ แล้วเราก็ตกลงกันแล้วนะ”
“แต่เราตกลงกันว่าซันจะขอโทษแล้วพ่อจะชดใช้ให้เขาแค่นั้น แต่พ่อไปยกซันให้เป็น Butler เขาทำไม”
“ก็เขาขอ”
“แล้วนี่ถ้าเขาขอลูกสาวพ่อไปเป็นทาสพ่อก็คงให้สิ”
เกริกไกรพึมพำ “ก็ดีนะ เผื่อนิสัยจะดีขึ้น”
“พ่ออ่ะ!!”
สายรุ้งรีบเดินเข้ามาหาสองพ่อลูกอย่างเป็นกังวล
“พ่อ ลูก เป็นยังไงกันบ้าง คุณนภทีป์เขาว่ายังไง”
ตะวันฉายไม่ตอบแต่หันไปทำตาขวางใส่เกริกไกรก่อนจะเดินสะบัดก้นหนีไป
“อ้าว ซัน...” สายรุ้งถามเกริกไกร “ลูกเป็นอะไรไปน่ะพ่อ”
“ก็มันงอนพ่อน่ะสิ แม่..ช่วยหน่อยนะ”
ตะวันฉายเดินหน้าตึงมาที่ชายหาด โดยมีสายรุ้งเดินตามมา
“แม่ไม่ต้องมาง้อซันแทนพ่อเลย ซันยังไม่หายโกรธหรอก ให้ซันไปรับใช้นายนั่นได้ไง พ่อใจร้าย”
“ก็เราทำผิด ต้องยอมรับผิดสิ ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้การแก้ปัญหานะ” สายรุ้งบอก
“ใครว่าซันอยากทำงานนี้ล่ะ พ่อนั่นแหละยัดเยียด บังคับขู่เข็ญให้ซันต้องเรียนการโรงแรม แล้วยังบังคับให้ทำงานอีก”
เกริกไกรที่แอบดูอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เดินออกมาโวยวาย
“เห็นไหมแม่ ดูมันสิ ดูมัน มันด่าพ่อลับหลัง”
“ลับหลังที่ไหน รู้หรอกว่าพ่อแอบฟังอยู่” ตะวันฉายบอก
“แม่ไม่ต้องไปง้อมันแล้ว อะไรกันทำงานได้สองเดือน ทะเลาะกับแขกไปแล้วสี่คดี รายของคุณนภทีป์นี่รู้ไหมเล่นซะเกือบเสียหายเป็นล้านๆ ถ้ายังทำแบบนี้อีกหน่อยที่นี่คงปิดก่อนพ่อกับแม่ตายแหงๆ”
“ก็คนมันไม่อยากทำ จะทำให้มันได้ดีได้ไงล่ะคะ คนอย่างซัน ถ้าจะทำอะไรได้ดี ก็ต้องทำสิ่งที่รักเท่านั้น”
“เป็นนักเขียนนิยายน่ะเหรอ โอ๊ย กว่าเราจะโด่งดัง ก็แก่ตายคาเกาะพอดี” เกริกไกรว่า
“พ่ออ่ะ”
“ก็จริงไหมล่ะ ขนาดเรียงความของลูกครูยังบอกว่าไม่สนุกเลย แล้วจะดังจากเขียนนิยายได้ไง”
“ได้สิ ถ้าพ่อให้โอกาส”
เกริกไกรกับสายรุ้งมองหน้ากัน
“ซันหมายความว่าไงลูก” สายรุ้งถาม
ตะวันฉายพูดเสียงเข้ม “ซันขอเวลาหนึ่งปี ถ้าซันเป็นนักเขียนมีชื่อได้ พ่อกับแม่จะต้องเลิกเซ้าซี้ให้ซันทำธุรกิจ”
เกริกไกรนิ่งไปแล้วก็หัวเราะก๊ากออกมากับท่าทีขึงขังของลูกสาว
“ฮ่าๆๆ ปีเดียวนี่นะ”
ตะวันฉายยิ่งฉุนเข้าไปใหญ่ “แม่ ดูพ่อดิ พ่อไม่เชื่อซันใช่ไหม”
“อย่าว่าอย่างนั้นอย่านี้เลยนะ แม่ก็ไม่เชื่อจ้ะ” สายรุ้งว่า
“แม่อ่ะ ซันไม่คุยกับพ่อกับแม่แล้ว”
ตะวันฉายจะเดินหนีไปแต่เกริกไกรเรียกไว้
เกริกไกรพูดเสียงเข้ม “งั้นพ่อรับคำท้า” เกริกไกรหัวเราะก๊ากออกมา “เป็นไง จริงจังเหมือนไอ้ซันไหมแม่”
“พ่อ...พ่อทำให้ซันร้าวรานหัวใจมากเลยนะ” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายกรี๊ดแล้วกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะวิ่งหนีไป
“นั่นแน่...เล่นสำนวนนักเขียนทิ้งท้ายซะด้วย ดูลูกสาวแม่สิ หนักข้อขึ้นทุกวัน”
สายรุ้งส่ายหน้า “พ่อลูกคู่นี้นี่จริงๆเลย ชะรอยแม่คงสมานลำบาก”
พูดจบสายรุ้งก็เดินไป เกริกไกรอึ้ง
“โห...นี่ก็อีกคน นิยายเก่ากว่าของลูกซะอีก”
เกริกไกรกับสายรุ้งในชุดนอนแอบมาดูตะวันฉายที่กำลังพิมพ์คอมพิวเตอร์และจดอะไรไปด้วยความเซ็ง แล้วทั้งสองก็รู้สึกสงสารลูก
“ซันก็เหมือนแม่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย แม่ก็อยากเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังเหมือนกัน” สายรุ้งพูดเบาๆ
“แต่แม่ก็ทิ้งฝันเพื่อจะมาอยู่กับพ่อ พ่อขอโทษนะ” เกริกไกรบอก
“ขอโทษทำไม แม่เต็มใจเลือกเอง แต่อย่างน้อยแม่ก็มีโอกาสได้เลือกนะ”
“เอ้า...นี่ก็ให้โอกาสซันมันแล้วไง”
“แหม...แต่พ่อก็ไม่น่าไปเยาะเย้ยลูกนะ” สายรุ้งว่า
“พ่อรู้ แต่ที่พ่อเคี่ยวเข็ญลูก ก็เพราะอยากให้ลูกเราทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง ไม่ใช่งานที่บ้านก็ไม่ทำ งานเขียนก็ไม่ไปไหนสักที พ่อเป็นห่วงอนาคตของลูก”
สายรุ้งมองเกริกไกรอย่างงงๆ “นี่ตกลงพ่อจะบอกว่าที่ทำไปคือการให้กำลังใจลูกงั้นเหรอ”
“พ่อก็ให้ในแบบของพ่อนี่แหละ”
สายรุ้งค้อนเกริกไกร แต่เกริกไกรอมยิ้มให้สายรุ้งแล้วทำเป็นหาวก่อนจะ เดินออกไป
สายรุ้งมองตะวันฉายแล้วเดินตามเกริกไกรไป
ตะวันฉายยังคงนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเปิดอินเทอร์เน็ทดูเว็ปต่างๆ คลิกไปเรื่อยๆ อย่างเซ็งๆ แล้วก็ต้องตาโต
“สำนักพิมพ์พราวฝัน ประกวดนิยายนักเขียนหน้าใหม่” ตะวันฉายรีบคลิกเข้าไปดูรายละเอียดด้วยความตื่นเต้น “หัวข้อเรื่องรักโดนใจ ผ่านรอบแรก ได้อบรมกับนักเขียนมืออาชีพ ถ้าชนะได้เงินรางวัลสามแสน พร้อมทั้งได้ตีพิมพ์ด้วย ให้เวลา 3 เดือน”
ตะวันฉายยิ้มย่องฝันหวาน
ตะวันฉายนึกถึงภาพตัวเองนั่งยิ้มกุมมือพร้อมกับมองไปบนเวทีอย่างลุ้นๆ ว่าตนจะได้รางวัลหรือไม่
“รางวัลชนะเลิศ ได้แก่...นิยายเรื่องตะวันฉายในรัก ของคุณตะวันฉายค่ะ” พิธีกรบนเวทีประกาศ
ตะวันฉายดีใจ เสียงปรบมือจากแฟนคลับดังเกรียวกราว ตะวันฉายลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มดีใจสุดๆ
“ขอเชิญขึ้นมารับรางวัลจากบก.พราวฝันเลยค่ะ”
ตะวันฉายขึ้นไปรับรางวัลบนเวที แฟนคลับสาววัยรุ่นกรี๊ดสนั่น
เวลาต่อมา แฟนคลับมารุมกรี๊ดและขอลายเซ็นตะวันฉาย
“พี่เป็นนักเขียนนิยายที่สวยที่สุดเลยค่ะ/ขอลายเซ็นด้วยค่ะ /จะมีภาคสองไหมคะ /นางเอกใช่พี่หรือเปล่าคะ / พี่หนูขอถ่ายรูปด้วย/ เอ๊ะเธออย่าเบียดสิ....”
ต่อมา บก. พราวฝันบอกข่าวดีแก่ตะวันฉาย
“ตะวันฉาย หนูจะดังใหญ่แล้วนะ ผู้จัดละครเขาโทรมาแย่งซื้อเรื่องของหนูกันใหญ่เลยนะ แอบชมด้วยนะว่าคนเขียนก็สวย นิยายก็สนุก”
ตะวันฉายดีใจ “ละครเหรอคะ นิยายของหนูกำลังจะเป็นละครเหรอคะ ไชโย”
ตะวันฉายยิ้มจนแก้มแทบปริ
ตะวันฉายหัวเราะหึๆอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียว
“ทีนี้พ่อกับแม่จะได้รู้สักที ว่าเรามันเจ๋งขนาดไหน ไม่ใช่สักแต่เกิดมาสวยและฉลาด นิยายเราอุตส่าห์บ่มมานาน เอามาปัดฝุ่นเขียนต่ออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว”
ไฟส่องเฉพาะที่หน้าตะวันฉายซึ่งกำลังยิ้มร้าย
“อย่าว่าแต่ปีเลย รออีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น เราก็จะได้ไปเดินสายแจกลายเซ็น จากนั้นนิยายของเราก็จะกลายเป็นมรดกโลกกก..ฮ่าๆๆๆ”
ตะวันฉายรีบมานั่งที่หน้าจอแล้วคลิกๆไปที่แฟ้มงานที่เคยเซฟไว้ชื่อ “ตะวันฉายในรัก”เธอคลิกเปิดแฟ้ม แล้วหลับตา สูดลมหายใจ
“โอเค ลุย..” ตะวันฉายลงมือพิมพ์ด้วยความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังทันที
เช้าวันใหม่ เมฆที่สวมกางเกงเซิร์ฟบอร์ดกำลังเดินถือกระดานโต้คลื่นขึ้นจากทะเล เขาเอา
กระดานไปวางคืนที่ซุ้มให้บริการกระดานโต้คลื่นของรีสอร์ทที่อยู่ด้านหน้า แล้วเดินเข้าไปในรีสอร์ท
เมฆเดินตัวเปียกในสภาพถอดเสื้อสวมกางเกงเซิร์ฟบอร์ดมาที่ล็อบบี้ อ้อแอบมองตาวาวแล้วกลืนน้ำลายก่อนจะรีบวิ่งมายิ้มหวาน
“ยินดีรับใช้ดุจทาสในเรือนเบี้ยค่ะคุณนภทีป์” อ้อบอก
“ช่วยบอกให้คุณตะวันฉายเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ไปให้ผมที่ห้องด้วยนะครับ” เมฆขอ
อ้อยิ้มเจื่อน “เธอสั่งว่าห้ามรบกวนค่ะ”
“ดี...งั้นบอกมาว่าผมจะรบกวนเขาได้ที่ไหน”
“เอ่อ...” อ้อยิ้มแหย
ตะวันฉายกำลังรัวนิ้วพิมพ์นิยายอย่างลื่นไหล ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ตะวันฉายไม่ได้ยิน เสียงเคาะประตูดังมากขึ้นและถี่ขึ้น จนตะวันฉายปรี๊ดแตก เธอเดินไปที่ประตู
“โอ๊ย..บอกไม่ให้รบกวนไง สมาธิแตกกระเจิงหมดแล้ว” ตะวันฉายเปิดประตูผลัวะมาเจอเมฆยืนอยู่ก็อึ้ง
ตะวันฉายหลบตา “นี่กล้าบุกมาถึงนี้เลยเหรอ มีอะไร”
“มาตามไปรับใช้” เมฆบอก
“ไม่ว่าง” ตะวันฉายจะปิดประตู
เมฆยันประตูไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องทันที เขามองๆไปที่คอมพิวเตอร์
“แอบทำอะไรอยู่ กำลังยักยอกเงินบริษัทอยู่ใช่ไหม” เมฆว่า
“จะบ้าเหรอ” ตะวันฉายรีบมาบังคอมพิวเตอร์ไว้
“พิมพ์อะไรน่ะ หรือว่าเป็นพวกแฮ็คเกอร์ ปั่นกระแสในเน็ต เรียกตำรวจจับดีกว่า” เมฆยกโทรศัพท์ในห้องขึ้นจะโทรออก
ตะวันฉายคว้าหูโทรศัพท์มากระแทกคืนที่เครื่อง “โอ๊ย จะให้ทำอะไรว่ามา”
เมฆยิ้มกวน
เมฆยื่นกางเกงที่เปียกออกมาจากในห้องน้ำ ตะวันฉายยืนอยู่หน้าห้องน้ำถึงกับตกใจจนตาโต
เมฆโผล่หน้ามาจากห้องน้ำ “เอาไปซักให้ด้วย”
“จะเรียกแม่บ้านมารับ” ตะวันฉายรีบบอก
“นั่นเป็นปัญหาของเธอ แต่ตอนนี้รับไปก่อน”
ตะวันฉายดึงกางเกงมาอย่างโกรธๆและรังเกียจสุดๆ แล้วเธอจะเดินออกไป
“เดี๋ยว ยังไม่หมด”
“อะไรอีกล่ะ”
เมฆโยนกางเกงในออกมาให้ ตะวันฉายมองกางเกงในที่ตกแหมะอยู่ตรงหน้าแล้วก็กรี๊ดลั่นพร้อมทั้งวิ่งออกไป
เมฆที่นุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูห้องน้ำออกมาหัวเราะ
ตะวันฉายเดินหนีเข้ามาในห้องทำงานด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้บ้า เมื่อไหร่มันจะไปๆซะทีนะ”
เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น ตะวันฉายเดินไปรับสายอย่างเซ็งๆ
“สวัสดีค่ะ”
เสียงเมฆดังจากปลายสาย “นี่คุณ ผมอยากได้ไม้ถูหลัง หาให้หน่อยสิ”
ตะวันฉายตอบเสียงห้วน “ไม่มี”
เมฆที่ยังนุ่งผ้าขนหนูพูดโทรศัพท์อยู่ที่เตียง
“ไม่มี ก็ไปหาสิ Customer is the King น่ะรู้จักไหม หรือจะให้เรียกจีเอ็มของคุณมาอธิบายให้ฟัง”
ตะวันฉายกระแทกหูโทรศัพท์ด้วยความเจ็บใจ แล้วเธอก็คิดอะไรได้
“ไม้ถูหลังเหรอ ได้ จัดให้” ตะวันฉายยิ้มร้าย
ตะวันฉายมายืนเคาะประตูบ้านพักของเมฆ โดยซ่อนไม้ถูหลังไว้ข้างหลัง
“คุณ ฉันเอาไม้ถูหลังมาให้แล้ว”
เมฆที่นุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูออกมา
“ขอบใจมากคุณบัทเลอร์ ให้ถูให้ด้วยได้ไหม”
ตะวันฉายเอาไม้ถูหลังออกมาถูที่ตัวเมฆเป็นการใหญ่ เมฆร้องโวยวายพร้อมกับหลบเป็นพัลวันเข้าไปในห้อง ตะวันฉายยังไม่ยอมหยุดเธอขัดถูตัวเมฆจนแดงเถือก
“โอ๊ย ยายบ้า เจ็บนะ อย่ามาเล่นสกปรกอย่างนี้นะ”
“คุณต่างหากที่เล่นสกปรกกับฉันก่อน เป็นไงล่ะ บริการขัดหลัง สะอาดถึงใจมั้ย”
“ยัง ยังไม่สะอาด”
“งั้นฉันขัดปากให้ด้วยแล้วกัน”
ตะวันฉายจะเอาไม้ขัดไปที่ปากเมฆ เมฆปกป้อง
“ที่ว่ายังไม่สะอาดน่ะหมายถึงเข้ามาขัดกันในนี้แล้วกัน”
เมฆดึงมือตะวันฉายเข้าไปในห้องน้ำ
ตะวันฉายดิ้น “เฮ้ย ไม่ไป อย่าเล่นอย่างนี้นะ ไอ้โรคจิต”
เมฆดึงตะวันฉายเข้ามาในห้องน้ำ ตะวันฉายร้องโวยวาย แล้วเมฆก็จับมือตะวันฉายให้ขัดส้วม
“ชอบขัดนักใช่ไหม ขัดส้วมให้สะอาดเลยนะ”
ตะวันฉายพยายามดึงมือออก แต่เมฆจับไว้แน่นพร้อมทั้งบังคับให้ขัดโถชักโครก
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า” ตะวันฉายทั้งดิ้นทั้งเตะเมฆ
“เตะเหรอ” เมฆเปิดฝักบัว ดึงมาฉีดใส่ตะวันฉายส่วนอีกมือก็ยังจับมือตะวันฉายที่ถือแปรงขัดส้วมอยู่
ตะวันฉายร้องโวยวาย มือข้างหนึ่งก็พยายามคว้าสายฉีดชำระมาฉีดใส่เมฆบ้าง
“เฮ้ย นั่นมันเอาไว้ฉีดก้นนะ” เมฆร้องลั่น
“เอามาฉีดหน้าคุณก็เหมือนกันนั่นแหละ” ตะวันฉายฉีดใส่ไม่ยั้ง
เมฆเก็บฝักบัวแล้วมาคว้าสายฉีดจากตะวันฉาย ทั้งสองแย่งกันไปมาจนผ้าขนหนูของเมฆหลุด
เมฆตกใจ “เฮ้ย!” เขาก้มมองตัวเอง
ตะวันฉายหยุดแล้วก้มมองตามก่อนจะร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไป เมฆรีบดึงผ้าขึ้นมาพันไว้แล้วก็หน้าจ๋อยไปเหมือนกัน
ตอนบ่าย เมฆคอยดูแลให้ลูกทัวร์ได้ทำกิจกรรม ทั้ง เล่นเรือกล้วย สกีน้ำ เล่นร่มชูชีพ ฯลฯ เวลาผ่านไปเมฆเดินนำพนักงานแจกน้ำมะพร้าวให้กับลูกทัวร์ที่นอนอาบแดดอยู่
เมฆเดินมาที่มุมหนึ่งเพื่อจะนั่งพัก แล้วก็มีฝรั่งเดินถือหนังสือท่องเที่ยวที่มีรูปโคมลอยมาถามเมฆ
“Do you know this, Khun Mek?”
“Sky Lanterns or in Thai we call Kom Loi.” เมฆตอบ
“where can we get this. I and my wife’d like to do this once.”
“Normally they play in the northern part of Thailand. Anyway I think I can arrange for you”
“Really, Oh Khun Mek, you r so sweet.”
เมฆยิ้มให้ฝรั่งที่มาถาม
ตะวันฉายเดินออกมาจากออฟฟิศทะลุออกมาทางล็อบบี้ เธอสะพายกระเป๋ามาหนึ่งใบ ตะวันฉายเดินมาเจอเมฆที่เดินมาทางนั้นพอดี
ตะวันฉายตกใจ “ไอ้โรคจิต!”
ตะวันฉายจะวิ่งหนี แต่เมฆฉวยข้อมือเธอไว้
“จะไปไหน”
“จะกลับบ้าน น่ะสิ”
“งานเธอยังไม่เสร็จ เดี๋ยวผมจะพาลูกทัวร์ไปลอยโคมที่ริมหาด คุณเตรียมโคมมาให้ด้วย”
“ไม่เอา ฉันจะไม่ทำอะไรให้คุณอีกแล้ว ถ้าบังคับฉันๆจะแจ้งตำรวจข้อหาที่คุณอนาจารฉันเมื่อเย็น”
“ผมก็บอกจีเอ็มของคุณว่าคุณเอาแปรงขัดส้วมมาขัดตัวผมซะถลอกปอกเปิก แถมยังเป็นคนดึงผ้าผมออกด้วย เอ...หรือผมจะแจ้งตำรวจว่าผมโดนอนาจารดีน้า”
ตะวันฉายยืนกัดฟันด้วยความโกรธ
“ตกลงจัดโคมให้ด้วยนะ งานนี้” เมฆพูดเน้น “ไม่ได้....ไม่ได้” แล้วเมฆก็เดินไปทันที
“หนอย คิดว่าฉันจะยอมแพ้เหรอ”
ตะวันฉายคิดนิดหนึ่งแล้วยิ้มร้าย เธอเดินไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์ล็อบบี้
“กางเกงของคุณนภทีป์ซักเสร็จแล้วใช่ไหมคะ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ตะวันฉายวางสายแล้วหันมาเอาศอกเท้าเคาท์เตอร์ทั้งสองข้าง เธอใช้มือหนึ่งลูบคางแล้วหัวเราะหึๆ เหมือนตัวร้ายในหนัง ในละคร
เมฆพากลุ่มฝรั่งมาลอยโคมที่ริมหาด ตะวันฉายที่ยังสะพายกระเป๋าอยู่ถือโคม 2 อันที่ยังพับอยู่ตามมา
เมฆอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ “เดี๋ยวเราจะลอยโคมยี่เป็งกันนะครับ ความจริงเป็นประเพณีของชาวเหนือ ที่เชื่อกันว่าจะลอยความทุกข์ออกไป”
ตะวันฉายพูดอังกฤษ “ฉันจะแบ่งโคมให้กลุ่มละอัน คนนึงจุดไฟ ที่เหลือช่วยกันจับโคมให้ตั้งขึ้นมานะคะ”
ตะวันฉายแบ่งโคมให้กลุ่มเมฆ 1 อัน แล้วหยิบไฟแช็คออกมาจากกระเป๋าก่อนจะส่งให้
“หวังว่าคงไม่แกล้งเอาโคมมีรูขาดมาให้นะ ถ้าโคมไม่ลอย แล้วฝรั่งไม่ประทับใจ ฉันเอาเรื่องแน่” เมฆว่า
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วง ลอยไปไกลแน่”
เมฆจุดโคมโดยมีฝรั่งสองคนช่วยจับ ตะวันฉายจุดกับคนที่เหลือ โดยที่ทั้งสองกลุ่มอยู่ใกล้ๆ กัน กลุ่มเมฆจุดเสร็จก่อน ฝรั่งเฮชอบใจ แต่ก็ยังไม่ปล่อยโคม
เมฆหันมาเร่งตะวันฉาย “นี่เธอ เสร็จหรือยัง”
กลุ่มตะวันฉายจุดไฟแล้วแต่กำลังช่วยกันขยับโคมให้ควันเข้าไปเยอะๆ
ตะวันฉายพูดกับเมฆ “ควันมันเข้าไปน้อยอย่างนี้ คงลอยไม่สูงแน่ๆ ต้องเติมเชื้อเพลิงอีกหน่อย “ ตะวันฉายหยิบกางเกงของเมฆออกมาจากกระเป๋าแล้วแกล้งสะบัดให้เมฆเห็น
เมฆเห็นก็ร้องโวยวาย แต่ก็ยังปล่อยโคมไม่ได้
“เฮ้ย กางเกงฉัน ยายบ้า จะทำอะไรน่ะ”
ตะวันฉายยัดกางเกงเมฆใส่ไปบริเวณกากมะพร้าวที่ไฟกำลังลุก ทำให้ไฟลุกมากขึ้นและควันลอยเข้าไปในโคมมากขึ้น โคมพองได้ที่
“เอาล่ะได้ที่แล้ว” ตะวันฉายพูดกับฝรั่งทั้งสองกลุ่ม “เราจะปล่อยกันแล้วนะคะ พร้อมนะ 1..2.. 3..ปล่อยเลยค่า”
เมฆร้องโวยวายขณะที่ตะวันฉายกำลังพูด แล้วโคมก็ถูกปล่อยไปพร้อมกับเสียงร้องโวยวายของเมฆ ตะวันฉายปรบมือพร้อมกับกระโดดดีใจ ก่อนจะโบกมือให้โคมที่ลอยไป
“ยายบ้า เอากางเกงฉันคืนมา..ตัวนี้ฉันรักมากนะโว้ย..ยายซาดิสท์ ฯลฯ” เมฆโวยวาย
ตะวันฉายพูดเหน็บเมฆ “ไปเลยค่า ไปไกลๆเลย ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีกนะคะ”
“เธอ เธอตายแน่...” เมฆโกรธจัด
กลางดึก ตะวันฉายที่อยู่ในชุดนอนทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนพร้อมกับยิ้มขำเรื่องเมฆ
“ร้องเป็นตุ๊ดเลย สมน้ำหน้า” ตะวันฉายหัวเราะสะใจดังขึ้นเรื่อยๆ
เกริกไกรและสายรุ้งเดินผ่านห้องตะวันฉายแล้วได้ยินเสียงหัวเราะลั่นก็แปลกใจจึงแอบฟัง
“พ่อ.....ลูกเรามันจะบ้าหรือเปล่า” สายรุ้งเป็นห่วง
“นั่นน่ะสิ เพราะอย่างนี้ไง พ่อถึงไม่อยากให้ลูกมันเขียนหมกมุ่นนิยาย”
เกริกไกรและสายรุ้งมีสีหน้ากังวลแต่ก็ยังแอบฟังต่อไป
เมฆวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยสีหน้าแช่มชื่นที่ชายหาดยามเช้า สักพักตะวันฉายก็วิ่งหอบตามหลังมา เมฆหันมาดูตะวันฉายแล้วพูด
“เร็วหน่อยสิ”
“ฉันไม่ได้อยากมาวิ่งนี่ คนยังไม่ตื่น เรียกมาทำไมตั้งแต่ยังไม่สว่าง” ตะวันฉายหอบ
“ฉันต้องการเพื่อนวิ่ง เธอก็ต้องมาวิ่ง ตามมาเร็ว” เมฆวิ่งต่อไป
ตะวันฉายจำใจวิ่งตามไปด้วยความโมโห
เมฆวิ่งตามตะวันฉายมาตามชายหาด ขณะที่ตะวันฉายวิ่งไปหาวไป ทันใดนั้นเมฆก็เหลือบไปเห็นวิวตรงหน้าสวยมากจนเขาถึงกับชะงักไปทันที ตะวันฉายวิ่งมาชนเข้ากับเมฆเต็มแรงจนเมฆเซ
“เฮ้ย คนนะไม่ใช่ผ่าแดงชนเข้ามาได้” เมฆว่า
ตะวันฉายได้ยินก็ชักฉุน
“ฉันก็คน ไม่ใช่วัวกระทิง แล้วนายเป็นอะไรห๊ะ วิ่งอยู่ดีๆก็มาหยุดเฉยเลย”
เมฆพยักเพยิดไปที่ชาวประมงที่กำลังดึงอวนอยู่บนเรือ
“โน่นแน่ะ ฉันเห็นวิวสวยดีก็เลยหยุดดู” เมฆบอก
“แหงล่ะ เกาะนี้มีแต่วิวสวยๆ”
“เสียดายที่มีเธอเลยทำให้ที่นี่ดูเสื่อมโทรมขึ้นมาทันที”
ตะวันฉายเหล่มองเมฆ
“นี่นายไกด์เถื่อน ฉันไม่ได้มีหน้าที่มายืนให้นายหลอกด่านะ ตกลงไม่วิ่งแล้วใช่ม่ะ งั้นฉันกลับ”
ตะวันฉายหันหลังกลับแต่เมฆรีบคว้าแขนเธอไว้
“เดี๋ยว!!”
ตะวันฉายเซตามแรงดึงของเมฆจนมาอยู่ที่อ้อมอกของเมฆ เมฆตกใจปล่อยตะวันฉายล้มลงทันที
“เย้ยยยย!!! ไอ้ปากเป็ด ฉันเจ็บนะ” ตะวันฉายว่า
“ช่วยไม่ได้ฉันไม่ชอบอยู่ใกล้มลพิษอย่างเธอ ตกลงจะกลับแล้วใช่ป่ะ งั้นฉันไปล่ะ”
พูดจบเมฆก็วิ่งออกไปทันที
ตะวันฉายกัดฟันกรอดๆ ด้วยความเจ็บใจ เธอกำทรายที่พื้นปาตามหลัง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ขอให้หกล้มหน้ามุดทรายตายไปเลย”
เมฆหันมาวิ่งทำท่าเยาะเย้ยตะวันฉาย แต่แล้วเขากลับสะดุดท่อนไม้หกล้มจริงๆ
“เย้ยย!!”
ตะวันฉายเอามือปิดปาก
“อุ๊ย วาจาสิทธิ์ แต่สะใจ”
ตะวันฉายลุกขึ้นมาหัวเราะร่าเยาะเย้ยเมฆ ก่อนจะวิ่งสวนออกไปทันที เมฆลุกขึ้นเอามือปัดก้นด้วยความเจ็บใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)
เวลาผ่านไป ตะวันฉายกำลังจะล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อย แต่แล้วมือถือก็ดังขึ้นอีก
“คุณตะวันฉายคะ กรุ๊ปคุณนภทีป์จะเช็คเอ้าท์ คุณนภทีป์อยากให้คุณไปส่งที่ท่าเรือน่ะค่ะ” อ้อบอก
ตะวันฉายมึน เธอวางโทรศัพท์แล้วกรี๊ดลั่นห้อง
ที่ท่าเรือเฟอร์รี่ เกริกไกรกับสายรุ้งมายืนส่งกลุ่มลูกทัวร์ของเมฆขึ้นเรือ ตะวันฉายแบกกระเป๋าของเมฆตามมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ฝรั่งที่ของหายขอบคุณเกริกไกร
“ขอบคุณมากสำหรับการชดใช้และการดูแลที่ดีของรีสอร์ท ผมไม่เคยเห็นทีไหนบริการดีเท่านี้มาก่อน และผมจะกลับมาพักอีกแน่ๆ”
“ครั้งนี้ผมจะยกโทษให้ แต่ถ้าคราวหน้ามีเรื่องอีก ผมคงไม่ส่งแขกมาที่นี่อีก เพราะผมก็ต้องรักษาลูกค้าเช่นกัน” เมฆบอก
“ครับ รับรองว่าคราวหน้าผมจะมาดูแลต้อนรับเองเลย” เกริกไกรพูดกับตะวันฉาย “ตะวันฉายไปลาคุณนภทีป์เขาซะ เอาแบบดีๆหวานๆนะ”
ตะวันฉายยิ้มหวานแล้วเดินไปไหว้อย่างงามจนเมฆงง
“ลาก่อนนะคะ ขอบคุณนะคะที่มาพักที่รีสอร์ทของเรา หวังว่าคงประทับใจไม่รู้ลืมนะคะ” ตะวันฉายแอบกระซิบ “หวังว่าคราวหน้าคงจะให้ไกด์ที่ถูกกฎหมายมานะ จะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความไม่ชอบหน้า
เกริกไกร สายรุ้ง และตะวันฉายก้าวลงจากรถที่จอดอยู่ใกล้ๆล็อบบี้
“เฮ้อ โล่ง ไอ้ไกด์นรกกลับไปซะที” ตะวันฉายถอนหายใจ
“ซัน ไปว่าคุณนภทีป์เขาอย่างนั้นทำได้ยังไง นิสัยไม่ดีนะเรา” สายรุ้งว่า
“ก็มันจริงนี่คะแม่ กวนโอ๊ยซะไม่มี วันนี้ขอเจอแต่ลูกค้าดีๆเทพๆทีเถอะ ซันจะดูแลให้เป็นพิเศษเลย”
ยุทธการที่ยืนหันหลังอ่านหนังสืออยู่ที่ล็อบบี้หันมา ตะวันฉาย เกริกไกรและสายรุ้งเห็นก็ดีใจมาก
“อ้าว ยุทธการ”
ยุทธการยิ้มเท่ในแบบฉบับของผู้ชายอบอุ่น
ตะวันฉาย ยุทธการ เกริกไกร และสายรุ้งนั่งคุยกันอยู่ที่โถงรับแขก
“ยุทธลาพักร้อนมาเหรอลูก” สายรุ้งถาม
“ครับ แต่ลาได้ไม่กี่วัน ไม่รู้จะไปไหนเลยขอมาพักที่นี่” ยุทธการบอก
“เอาเลย เรามันคนกันเองอยู่แล้ว อยากมาเมื่อไหร่ก็มาเลย” เกริกไกรพูด
“เดี๋ยวให้ผู้จัดการซันเขาดูแล” สายรุ้งพูดยิ้มๆ
เกริกไกรพูดกับลูกสาว “แล้วอย่าก่อเรื่องอีกล่ะ”
“อีกละ มีอะไรดีมั่งไหมเนี่ย ลูกสาวพ่ออ่ะ” ตะวันฉายพูดกับยุทธการ “พี่ยุทธอยากไปที่พักหรือยังคะ ซันไปส่ง”
“ไปสิ” ยุทธการหันมาพูดกับเกริกไกรและสายรุ้ง “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไปเถอะลูก”
ตะวันฉายพายุทธการเดินไป เกริกไกรกับสายรุ้งแอบมองตาม
“เด็กคู่นี้จะชอบกันหรือเปล่านะพ่อ” สายรุ้งลุ้น
“ถ้าจริงก็ดีก็ดีน่ะสิ” เกริกไกรบอก
“พ่อไม่หวงลูกสาวบ้างเหรอ”
“ถ้าได้อย่างยุทธการนะไม่หวงหรอก นายตำรวจอนาคตไกล นิสัยดี แถมพ่อแม่ก็เป็นเพื่อนสนิทกัน อย่างนี้คงทำให้ยัยซันมีความสุขได้”
สายรุ้งยิ้มให้เกริกไกร เกริกไกรโอบไหล่สายรุ้งไว้
ตะวันฉายกับยุทธการเดินคุยมาเรื่อยๆ ตามทางเดินไปบ้านพัก
“ซันนะซัน เรียนจบกลับมาตั้งสองเดือน ไม่เคยติดต่อพี่เลย โทรมาก็ไม่ค่อยรับ ไม่คิดถึงกันแล้วใช่ไหม”
“ก็คิดถึง แต่พอจะโทรแล้วก็ไปทำโน่นทำนี่เลยลืม”
“ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วถึงลืมพี่ชายคนนี้นะ”
“อู๊ยย..มีก็ดีสิ”
ยุทธการยิ้มออก “งั้นคืนนี้พี่นัดซันทานข้าวนะ”
ตะวันฉายงง “จะนัดทำไม ก็ไปทานที่บ้านด้วยกันสิ”
“ก็พี่อยากทานที่ร้านริมหาดนี่”
“เอ้าๆ ก็ได้ เพื่อเป็นการต้อนรับพี่ยุทธ ซันตามใจทุกอย่าง”
ยุทธการยิ้มดีใจ ทั้งสองเดินมาถึงหน้าบ้านพัก
“ซันส่งพี่ยุทธแค่นี้นะ ต้องไปทำงานต่อ แล้วเย็นนี้เจอกัน”
“โอเค”
ตะวันฉายยิ้มให้แล้วเดินไป ยุทธการมองตาม
ยุทธการมองทะเลจากระเบียงห้องพักแล้วก็คิดถึงวันเก่าๆ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา วันนั้นตะวันฉายกับเพื่อนๆกำลังร้องเต้นอย่างเต็มเหนี่ยอยู่ที่มหาวิทยาลัยวเพื่อขอรับบริจาคเงินสมทบทุนสร้างห้องสมุดให้กับโรงเรียนในต่างจังหวัด
“ช่วยสมทบทุนสร้างห้องสมุดให้โรงเรียนชาวเขาด้วยค่า..จะบริจาคเป็นหนังสือก็ได้นะคะ” ตะวันฉายพูด
ยุทธการในชุดตำรวจเดินมามองแล้วอมยิ้ม ตะวันฉายหันมาเห็น
“พี่ยุทธ” ตะวันฉายวิ่งมาหา แล้วดึงมือไป “มานี่เลย มาช่วยซันถือกล่องรับบริจาคหน่อย” ตะวันฉายเอากล่องมาจากเพื่อนให้ยุทธการถือ แล้วบอกเพื่อนๆ “เฮ้ย พวกเรา ออกมาเต้นกันให้หมดเลย”
ตะวันฉายกับเพื่อนๆมายืนเรียงหน้ากระดานแล้วเต้นท่าประหลาดๆตลกๆ
ยุทธการหัวเราะในความบ้าและน่ารักของตะวันฉาย
ภาพเหตุการณ์ตอนที่ยุทธการกลับมาถึงบ้าน แล้วพ่อกับแม่เข้ามาคุยกับเขาย้อนกลับมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง
“ไปรับไปส่งหนูซันเขาเช้าถึงเย็นถึงอย่างนี้ ตกลงมีแววพัฒนาบ้างไหม” พ่อถาม
ยุทธการยิ้มเขิน “ก็ยังเป็นพี่น้องน่ะครับ”
“พี่น้อง! อะไรกันตายุทธ ถามจริงๆ ชอบหนูซันหรือเปล่าเนี่ย” แม่ถาม
“..ชอบสิครับ ชอบมากด้วย”
“ชอบก็จีบเลยสิ มันต้องรุกแล้ว พ่อกับแม่อยากได้หนูซันมาเป็นสะใภ้”
“งั้นพ่อกับแม่ช่วยพูดกับอาเกริก อารุ้งให้ทีสิครับ” ยุทธการบอก
“เฮ้ย ได้ไง ของอย่างนี้มันต้องลุยเอง ทีจับผู้ร้ายล่ะเก่ง จับผู้หญิงดีๆก็ต้องเก่งด้วยสิ แล้วก็รีบๆหน่อยนะ หนูซันน่ะอยู่ปี 4 แล้ว อีกไม่นานก็เรียนจบ ขืนช้า เดี๋ยวโดนใครคว้าไปไม่รู้ด้วย”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ยุทธการก็นั่งเครียด
“เอาไงเอากัน จะไม่เสียเวลารออีกแล้ว” ยุทธการมีสีหน้ามุ่งมั่น
ยุทธการนั่งรอตะวันฉายอยู่ที่โต๊ะอาหารริมทะเล ในมุมที่จัดไว้สวยงามโรแมนติกเป็นพิเศษ ยุทธการอยู่ในชุดหล่อกำลังนั่งอมยิ้มเพราะคิดคำพูดที่จะพูดกับตะวันฉาย สักพักตะวันฉายก็วิ่งกระหืดกระหอบมาในชุดเดิม พอเห็นยุทธการนั่งรอที่โต๊ะ เธอก็ตะโกนเรียก
“พี่ยุทธ” ตะวันฉายเดินเข้าไปนั่งโดยไม่สังเกตบรรยากาศร้านเลย “โทษนะที่มาสาย ซันมัวแต่เขียนนิยายเพลินน่ะ”
ยุทธการยิ้มๆ “ไม่เป็นไร แต่ให้พี่เป็นพระเอกสักเรื่องนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งหล่อทั้งใจดีแบบพี่ยุทธเป็นพระเอกของซันได้สบาย”
ยุทธการยิ้มปลื้มด้วยความดีใจ ตะวันฉายหยิบน้ำมาดื่มแล้วเพิ่งสังเกตเห็นบรรยากาศร้านก็แปลกใจ
“โห วันนี้จัดซะสวยเลย สงสัยจะมีแขกคู่รักมาที่ร้าน”
ยุทธการเอาแต่มองหน้าตะวันฉายแล้วก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ตะวันฉายคุยต่อ
“พี่ยุทธรู้ไหมว่า ปกติรีสอร์ทจะตั้งโต๊ะตรงนี้ตกแต่งแบบนี้ สำหรับคู่รัก ฮันนีมูน หรือมาฉลองครบรอบแต่งงาน”
“เท่าที่พี่รู้ยังมีอีกอย่างนะ” ยุทธการบอก
“ก็ขอแต่งงานไง” ตะวันฉายพูดขึ้น
“ใช่” ยุทธการหยิบช่อดอกไม้ส่งให้ตะวันฉาย “พี่รักซัน และอยากจะขอดูแลซันตลอดไปเปิดโอกาสให้พี่เป็นได้มากกว่าพี่ชายได้มั๊ย”
ทันใดนั้นวง quartet ก็บรรเลงเพลงขึ้นจากมุมใกล้ๆ ตะวันฉายหันขวับไปมองแล้วก็หันกลับมามองยุทธการที่ยังเอาแต่นั่งยิ้ม ตะวันฉายอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก
ตะวันฉายรับดอกไม้มาแบบงงๆ lส่วนดนตรียังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง ยุทธการเข้าไปจับมือตะวันฉายให้มาเต้นรำด้วยกัน ตะวันฉายทำท่าเงอะงะในขณะที่มือก็ยังถือดอกไม้อยู่เลยยกช่อดอกไม้ขึ้นมาจนช่อดอกไม้ทิ่มหน้ายุทธการ
ยุทธการยิ้มแล้วเอาช่อดอกไม้วางบนโต๊ะก่อนจะจับมือตะวันฉายเต้น
ยุทธการกับตะวันฉายเต้นรำด้วยกัน ยุทธการยิ้มมีความสุข แต่ตะวันฉายรู้สึกอึดอัดจนไม่กล้าสู้ตาของยุทธการ
“รู้ไหมว่าตลอดสองเดือนที่ซันเรียนจบกลับมาที่นี่ พี่คิดถึงซันมาก”
ตะวันฉายยิ้มรับเจื่อนๆ “เหรอ”
“เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกของพี่มันเปลี่ยนไปตอนไหน รู้แต่ว่าสี่ปีที่ซันไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ พี่มีความสุขมากๆที่ได้ดูแลใกล้ชิดซัน และวันนี้พี่ก็มั่นใจแล้วว่าชีวิตของพี่ที่เหลือขาดซันไม่ได้....เราอย่าจากกันอีกเลยนะ”
ตะวันฉายอึ้ง “พี่ยุทธ”
ตะวันฉายเริ่มถอนใจด้วยความเครียด เธอก้าวเท้ามั่วจนเหยียบเท้ายุทธการ
ยุทธการร้องลั่น “โอ๊ยย”
“ขอโทษค่ะพี่ยุทธ”
“พี่ว่าเราไปนั่งกันดีกว่านะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งกำลังแอบดูตะวันฉายกับยุทธการ ทั้งสองเห็นทั้งคู่เต้นรำด้วยกันและเห็นตะวันฉายเหยียบเท้ายุทธการไปหลายที เกริกไกรกับสายรุ้งรู้สึกเจ็บตามทุกที
“โถ...ว่าที่ลูกเขย กว่าจะจบเพลงคงเท้าบวมเดินไม่เป็นคนพอดี”
เกริกไกรขำเอ็นดู แต่สายรุ้งมองแล้วเดินแยกออกไปโดยที่เกริกไกรไม่รู้ตัว
“แต่ว่าคู่นี้มันก็น่ารักเหมือนคู่ของเราตอนหนุ่มๆสาวๆเลยนะ พ่อก็เคยชวนแม่เต้นรำแบบนี้จำได้หรือเปล่า”
เกริกไกรถามแต่ก็ไม่มีสายตอบเขาจึงหันไปมองก็เห็นสายรุ้งเดินไปแล้ว
“เอ้า....จะไปก็ไม่เรียก”
เกริกไกรเดินตามสายรุ้งไปพอไปถึงก็เห็นสายรุ้งยืนหน้าเครียด
“เป็นอะไรน่ะแม่”
“ถ้าลูกแต่งงานกับตำรวจ อีกหน่อยก็ต้องย้ายไปโน่นมานี่น่ะสิพ่อ” สายรุ้งว่า
“ก็คงอย่างนั้น”
“ก่อนหน้านี้เราก็ส่งไปเรียนที่กรุงเทพฯ จบกลับมาไม่ทันไรแต่งงานย้ายไปอีกแล้วเหรอ”
เกริกไกรจับมือสายรุ้ง “พ่อรู้ว่าแม่จะคิดถึงลูก พ่อก็เหมือนกัน แต่ถ้ามันเป็นชีวิตของเขาความสุขของเขา เราก็ต้องยินดีนะ”
สายรุ้งยิ้มรับเศร้าๆ เกริกไกรยิ้มปลอบแล้วโอบไหล่เดินไปด้วยกัน
ตะวันฉายยังคงแอบเหม่อมองออกไปในขณะที่เต้นรำกับยุทธการ แล้วส้นรองเท้าของตะวันฉายก็เจาะเข้ากลางเท้ายุทธการจนยุทธการร้องออกมา
“โอ๊ย!”
ตะวันฉายสะดุ้ง “อุ๊ย...ซันเหยียบอีกแล้วเหรอ”
ยุทธการยิ้มแหย “คราวนี้มันเป็นส้นร้องเท้าซันน่ะ”
“ซันจะระวังมากขึ้นนะ”
“พี่ว่าเราพอก่อนเถอะ ทานข้าวกันดีกว่า”
ยุทธการโบกมือบอกให้ดนตรีหยุดเล่นแล้วเดินกะเผลกๆ ประคองตะวันฉายไปนั่งที่โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟเอาเครื่องดื่มมาให้ทั้งคู่ ยุทธการยกแก้วชู
ยุทธการยิ้ม “เพื่อความรักของเรา”
ตะวันฉายนั่งนิ่งจนยุทธการขมวดคิ้วสงสัย
“พี่ยุทธ....” ตะวันฉายตัดสินใจพูด
ยุทธการยิ้มอย่างตั้งใจฟังสิ่งที่ตะวันฉายจะพูด
เกริกไกรกับสายรุ้งที่อยู่ในชุดนอนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ด้วยกัน สักพักตะวันฉายก็เดินเข้าบ้านมา ทั้งคู่รีบวิ่งไปรับลูกทันที
“ทำไมกลับเร็วละลูก” สายรุ้งถาม
ตะวันฉายงง “ก็ทานข้าวเสร็จก็กลับสิคะ”
“เฮ้ย...อะไรกันตายุทธนี่ เห็นเริ่มต้นด้วยเต้นรำ นึกว่าจะมีโปรแกรมโรแมนติคต่ออีก ทำไมจบซะเร็วเลย” เกริกไกรบ่น
“นี่พ่อกับแม่แอบดูซันเหรอ?” ตะวันฉายถาม
เกริกไกรกับสายรุ้งยิ้มรับเจื่อนๆ
“แหม...แม่ก็แค่อยากร่วมลุ้นน่ะจ้ะ”
“ว่าแต่มีอะไรตกลงกันไม่ได้หรือเปล่า อย่างวันหมั้น วันแต่งงาน ถ้าเขาไม่สะดวกเราจัดให้นะ หรือถ้ามีปัญหาสินสอดอะไรไม่ต้องห่วง ไอ้เกี๊ยงพ่อตายุทธน่ะมันมีบุญคุญกับพ่อให้พ่อลอกข้อสอบแต่เด็ก บอกไปเลยพ่อไม่เรียก”
“พ่อคะแม่คะ....ซันยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ซันยังไม่เป็นนักเขียนชื่อดังกระฉ่อนให้พ่อกับแม่ยอมรับ”
“โห...พ่อว่างั้นซันเปลี่ยนมาคิดเรื่องแต่งงานเถอะ เพราะกว่าลูกจะมีชื่อเสียงโด่งดัง พ่อกับแม่คงไปเกิดใหม่แล้ล่ะลูก”
“กรี๊ดดดดด พ่ออ่ะ....ดูถูกซันอีกแล้วนะ ซันไม่คุยด้วยแล้ว”
ตะวันฉายงอนเดินหนีไปทันที
“ตกลงนี่ลูกเราชอบหรือไม่ชอบตายุทธเนี่ย” สายรุ้งงง
สายรุ้งมองเกริกไกร เกริกไกรยักไหล่เพราะไม่รู้เหมือนกัน
เวลาผ่านไป ยุทธการนั่งดูช่อดอกไม้ในมืออยู่ริมทะเลใต้ดวงจันทร์กลมโตพลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ตะวันฉายนั่งนิ่งจนยุทธการขมวดคิ้วสงสัย
“พี่ยุทธ....”
ยุทธการยิ้มตั้งใจรอฟังสิ่งที่ตะวันฉายจะพูด
“ซันไม่ได้คิดกับพี่ยุทธแบบนั้น”
ยุทธการอึ้งไปครู่นึง “ซันมีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอ”
“เปล่า...แค่ซันยังไม่คิดเรื่องนี้ ซันยังมีความฝันที่ต้องทำให้สำเร็จ”
“ถ้าเป็นเรื่องการเป็นนักเขียนนิยายของซัน พี่ว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับความรักของเราตรงไหน นักเขียนคนอื่นเขาก็มีครอบครัวไปด้วยได้นี่”
“แต่ไม่ใช่ในตอนเริ่มต้นสำหรับซัน ซันอยากมุ่งมั่นกับเรื่องงานอย่างเดียว”
ยุทธการนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็ถอนหายใจ
“ซัน ยังไงพี่ก็รักซันนะ”
ยุทธการลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับมองไปที่ชายหาดหน้าบ้านตะวันฉาย ไฟในห้องตะวันฉายยังคงเปิดอยู่ ยุทธการเดินถือช่อดอกไม้เดินกลับไปทางรีสอร์ท
ตะวันฉายที่อยู่ในห้องสูดลมหายใจยาว สายตาของเธอมุ่งมั่น นิ้วจรดอยู่ที่แป้นพิมพ์หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเลื่อนเคอร์เซอร์ไปบนตัวอักษรที่เต็มพรืดอยู่หน้าจอ นาฬิกาภายในห้องบอกเวลาตีหนึ่งสามสิบนาที เข็มวินาทียังคงขยับไปเรื่อยๆ ตะวันฉายก็ยังรัวกดแป้นพิมพ์อย่างต่อเนื่อง
หน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มพรึดไปด้วยตัวอักษร บางบรรทัดถูกลบออกแล้วพิมพ์ใหม่ ลบออกแล้วพิมพ์ใหม่อยู่หลายครั้ง เข็มนาฬิกาเดินมาหยุดที่เวลาแปดโมงเช้าพอดี ตะวันฉายยิ้มออกมา เธอบรรจงกดแป้นพิมพ์บนตัวอักษรห้าตัวสุดท้ายลงไปว่า “อวสาน”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
เสียงสายรุ้งดังเข้ามา “ซัน..ตื่นได้แล้วลูก”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ สายรุ้งจึงเปิดประตูเข้ามาทำท่าจะเรียกอีกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นตะวันฉายหลับฟุบอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ในขณะที่พริ้นเตอร์ยังคงทำงาน ต้นฉบับหนังสือของตะวันฉายถูกพิมพ์ออกมาทีละแผ่นๆ สายรุ้งเดินเข้ามาหยิบต้นฉบับดูแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
เมฆนั่งรัวกีตาร์อยู่บนโต๊ะของพนักงานคนหนึ่งในบริษัท พนักงานบริษัทหลายคนทั้งนั่งทั้งยืนฟังเมฆแบบสบายๆ
“ไม่ต้องสงสัยว่าวันนี้ผมจะให้ทุกคนพักการทำงานเพื่อมาฟังผมเล่นกีตาร์นะครับ ผมไม่ใจดีขนาดนั้น” เมฆยิ้ม
พนักงานทุกคนหัวเราะเป่าปากให้เจ้านายอย่างอารมณ์ดี เมฆเริ่มเกากีตาร์เพลงช้าแล้วพูดทับเหมือนดีเจ
“ผมแค่อยากจะบอกข่าวดีกับทุกคนว่า....”
ไฟมืดลง ด้านหลังเมฆมีการฉายโปรเจ็คเตอร์เป็นรูปการ์ตูนเงิน “- 50 ล้าน” ตัวสีแดง
“ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาบริษัทเรามีหนี้สินพอควรและตัวเลขของเราก็ติดลบมาตลอด แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว” เมฆบอก
ทุกคนปรบมือเฮลั่น ภาพการ์ตูนตัวเลขด้านหลังหายไปกลายเป็นภาพเงินกองโตมาแทนที่
“ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราจะเห็นตัวเลขกำไรกันซะที” เมฆพูดต่อ
ภาพการ์ตูนด้านหลังเมฆกลายเป็นเครื่องหมาย + อันใหญ่ลอยเต็มจอไปหมด พนักงานทุกคนเฮและกรี๊ดอย่างมีความสุข
“และยิ่งไปกว่านั้นทุกโปรแกรมของเราเต็มหมดถึงสิ้นปี!”
เมฆรัวกีตาร์เร็วขึ้นเรียกเสียงกรี๊ดเสียงเฮจากพนักงานให้ดังขึ้นอีก ไฟสว่างขึ้น เลขาฯ เข็นรถเข็นบรรจุถังใส่แชมเปญมาที่กลางห้องพร้อมรถอาหารนานาชนิด
“ถึงเวลาฉลองกันแล้วใช่ไหมครับ” เมฆหันไปพูดกับวิวัฒน์ “พี่วัฒน์ของพวกเราให้เกียรติเปิดงานหน่อยครับ”
วิวัฒน์เขย่าขวดแชมเปญแล้วเปิดออก แชมเปญพุ่งกระฉูด เลขารินแชมเปญแจก
วิวัฒน์มองเมฆด้วยสายตาภาคภูมิใจและยกนิ้วยอมรับ
เมฆเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วเอากีตาร์วางใกล้ๆโต๊ะทำงานก่อนจะนั่งเอนหลังคลายเหนื่อย เขามองไปที่คอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างอยู่ ซึ่งหน้าจอเป็นรูปถ่ายของเขากับหมอกที่ตั้งเป็นวอลล์เปเปอร์
เมฆลงมือทำงานต่อ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นแล้วประตูก็เปิดออก วิวัฒน์ถือแก้วแชมเปญเดินเข้ามาที่โต๊ะ
“ทำไมรีบหลบมาซะล่ะ ประธานหนุ่มยอดศิลปิน” วิวัฒน์ถาม
“ไม่หรอกครับพี่วัฒน์ แต่ผมไปทัวร์ซะหลายวัน เลยยังไม่ได้เซ็นเช็ค เดี๋ยวเสียเครดิตหมด”
“สังสรรค์ก่อนแล้วค่อยทำก็ได้”
“อย่าดีกว่าครับ เดี๋ยวผมต้องไปรับหมอกแล้วก็ต้องไปเล่นดนตรีแล้ว”
“เมฆ พี่ว่านายพักบ้างก็ได้นะ วันๆ นายมีทั้งเรื่องงานที่บริษัททั้งเรื่องลูกแล้วยังจะเล่นดนตรีกลางคืนอีก พี่ว่านายน่าจะเลิกเล่นดนตรีนะ”
เมฆยิ้ม “สำหรับผมดนตรีมันคือความสุขคือชีวิตของผมครับ ถ้าผมเลิกเล่นมันเมื่อไหร่ ก็คงไม่ต่างจากร่างกายที่ไม่มีลมหายใจ”
วิวัฒน์หัวเราะ “ฮ่าๆๆ เอาละๆ พี่ยอมแล้วคร๊าบบบคุณศิลปิน ไอ้ธีร์คงภูมิใจมากนะ ถ้ารู้ว่าน้องชายนักดนตรี แต่มาช่วยทำให้บริษัทเรามาได้ไกลขนาดนี้ ขอบใจนะเมฆ นายไม่ได้ทำให้ไอ้ธีร์คนเดียว แต่นายทำให้พวกเราทุกคนด้วย พี่ขอบใจจริงๆ”
วิวัฒน์ยิ้มแล้วเดินออกไป
“ผมทำเพื่อหมอกลูกของผมด้วยครับ”
เมฆก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ยุทธการถือกระเป๋าลงมาที่ล็อบบี้ อ้อที่ยืนอยู่หน้าแผนกต้อนรับรีบเดินเข้าไปหา
“อุ้ย คุณยุทธจะเอ้าท์เหรอคะ”
“ครับพี่อ้อ” ยุทธการตอบ
“ไหนว่าจะอยู่สามคืนไงคะ”
“เอ่อ...ผมมีธุระครับ”
“ธุระอะไรคะ หรือว่ามีปากเสียงกับคุณซัน บอกอ้อได้นะคะ อ้อไม่เม้าท์หรอกค่ะ อ้อเม้าท์ไม่เป็นค่ะ”
พูดจบอ้อก็รีบเดินออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วมายืนตะแคงหูรอฟัง
เสียงตะวันฉายดังขึ้น “พี่อ้อ!”
อ้อยังไม่รู้ตัว “แหม...ไม่ต้องขนาดเลียนเสียงคุณซันก็ได้ค่ะ อ้อขอเนื้อความเลยค่ะ ไม่เน้นลีลา”
ตะวันฉายเดินมาสะกิดอ้อจากด้านหลัง อ้อหันกลับไปเห็นก็สะดุ้งแล้วรีบก้มหน้าเดินกลับเข้าเคาน์เตอร์ไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ตะวันฉายพูดกับยุทธการ “จะรีบไปวันนี้เลยเหรอพี่ยุทธ”
ยุทธการก้มหน้า
ตะวันฉายกับยุทธการยืนคุยกันอยู่สองคน
“ทำไมต้องรีบกลับด้วยล่ะ” ตะวันฉายถาม
“ไม่รู้สิ ก็พี่อกหักนี่” ยุทธการบอก
“จ้า....แหม...ทำเป็นเยอะนะ พี่ยุทธสุดหล่อของซันน่ะยังไงก็ต้องมีผู้หญิงดีๆอีกเยอะมาให้เลือก”
“เขาชื่อซันกันหรือเปล่าล่ะ”
“พี่ยุทธฟังซันนะ ไม่ว่าจะยังไงพี่ยุทธก็จะเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของซันตลอดไป”
“งั้นซันก็ฟังพี่ด้วยนะ ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็จะรอซัน รอวันที่ซันเปิดใจให้พี่ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนพี่ก็จะรอ”
ยุทธการยิ้มให้ตะวันฉายก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินจากไปขึ้นเรือ ตะวันฉายมองตามแล้วถอนใจ
ณ บ้านที่เป็นโฮมออฟฟิศของเมฆ เก่ง ชายรับใช้ร่างแคระกำลังล้างรถอย่างสุดความสามารถด้วยการต่อเก้าอี้ปัดกวาดเช็ดจากมุมหนึ่ง พอจะเปลี่ยนมุมก็ต้องย้ายเก้าอี้แล้วปีนไปเช็ด
ในห้องแต่วตัว เมฆเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังจะปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนชามตกแตก ตามด้วยเสียงร้องไห้จ้าของเด็กคนหนึ่ง
เมฆตกใจ “หมอก !!”
เมฆผลุนผลันลงไปข้างล่างทันที
เมฆผลุนผลันเข้ามาในห้องครัว หมอกพยายามปัดเศษอาหารตามเสื้อ โดยมีชามก๋วยเตี๋ยวตกแตกอยู่บนพื้น
“พ่อครับ หมอกร้อน” หมอกบอก
เมฆคว้าผ้าเช็ดปากของหมอกแล้วเอาน้ำเย็นในเหยือกราดก่อนจะรีบเช็ดแขนของหมอก ในขณะที่หมอกยังร้องไห้ด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับคนดี แล้วนี่หมอกยกชามเองเหรอครับ” เมฆถาม
“พี่เพ็ญบอกให้หมอกหัดเวฟก๋วยเตี๋ยวกินเองครับ”
เมฆโมโห “แล้วพี่เพ็ญไปไหน”
หมอกส่ายหน้า
ทันใดนั้นเก่งก็วิ่งเข้ามาอีกทางพอเห็นหมอกเข้าเก่งก็ตกใจ
“คุณหมอก”
เมฆพูดกับเก่ง “ไปเอายาที่ทาแก้น้ำร้อนลวกให้หน่อย”
เก่งรีบวิ่งออกไป
“ไม่ร้องนะครับ ลูกผู้ชายต้องอดทนนะ” เมฆบอก
เก่งกลับเข้ามาพร้อมยาหนึ่งหลอดส่งให้เมฆ เมฆเริ่มทายาให้หมอก
เมฆถามเก่ง “เพ็ญบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”
“เปล่าครับ แต่ผมเห็นยืนคุยอยู่ข้างนอกบ้านครับ” เก่งตอบ
เมฆทายาเสร็จก็กอดหมอกเพื่อปลอบโยน
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมฆเดินออกจากบ้านมาด้วยความหงุดหงิด จนกระทั่งมาเห็นเพ็ญยืนคุยกับผู้ชายอยู่ที่รถแท๊กซี่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน
“เพ็ญ !!”
เพ็ญหันมาตามเสียงเรียกพอเมฆดุ เธอก็ทำหน้าเบื่อๆแล้วเดินมาหา
เมฆนั่งอยู่บนโซฟา โดยมีเก่งคอยดูแลหมอก ส่วนเพ็ญยืนหน้างออยู่ข้างๆ
เมฆฉุน “ทำไมถึงปล่อยให้หมอกอุ่นอาหารเอง หมอกเพิ่งจะสามขวบเองนะ”
“สามขวบแต่ฤทธิ์ยังกับเด็กสิบขวบ ถ้าคุณเมฆคิดว่าเพ็ญดูแลคุณหมอกไม่ดี เพ็ญก็ขอลาออกค่ะ”
“เฮ้ย..เดี๋ยวก่อนสิ...ฉันยังไม่ได้ไล่เธอนะ”
“คุณเมฆไม่ไล่ เพ็ญก็จะออกไปแต่งงานอยู่ดี” เพ็ญบอก
เมฆเสียงอ่อนลง “เพ็ญใจเย็นๆก่อนนะ เธอมีอะไรไม่สบายใจก็คุยกันก่อน”
“ไม่มีหรอกค่ะ แต่ตอนนี้แฟนเพ็ญเขาเช่าแท็กซี่ได้แล้ว เพ็ญก็เลยอยากออก” เพ็ญมองหมอกอย่างไม่ชอบใจ “อีกอย่างเพ็ญก็เบื่อที่จะรับมือกับคุณหมอกแล้ว เด็กอะไร้ซนยังกะลิง”
หมอกแลบลิ้นใส่เพ็ญ เมฆเห็นแบบนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“พอกัน” เมฆพูดกับเพ็ญ “ถ้างั้นฉันคงขัดไม่ได้ แล้วเพ็ญจะออกเมื่อไหร่”
“วันนี้ค่ะ”
เมฆตกใจ “ห๊า...ทำไมมันเร็วนักล่ะ อยู่สักอาทิตย์ไม่ได้เหรอ ขอเวลาฉันหาคนแทนเธอก่อน”
“ไม่ไหวล่ะค่ะ ขืนอยู่กับคุณหมอกอีกสักอาทิตย์ เพ็ญคงหน้าแก่กว่าแฟนเพ็ญจนเขาไม่เอาเป็นเมีย เพ็ญไปดีกว่า คุณเมฆจ่ายเงินเพ็ญมาถึงวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็พอค่ะ”
เมฆจำใจหยิบกระเป๋าสตางค์มานับเงินแล้วส่งให้ เพ็ญยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะรับแล้วเดินออกไป
เมฆหันไปมองหมอกด้วยสีหน้าหนักใจปนเซ็ง
“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมดูแลคุณหมอกไปก่อนก็ได้” เก่งพูดกับหมอก “ไปครับ ไปอาบน้ำกัน”
เก่งจะอุ้มหมอกแต่อุ้มไม่ไหว ส่วนหมอกก็กอดเมฆแน่น
“ไม่เอา...ไม่อาบ ออกไป!” หมอกโวยวาย
เมฆดุ “หมอก...ทำไมทำแบบนี้ เดี๋ยวคืนนี้พี่เก่งโกรธไม่มาอยู่เป็นเพื่อนจะทำยังไงครับ”
หมอกร้องลั่น “ไม่เอา หมอกจะไปกับพ่อ”
หมอกร้องลั่นบ้านพร้อมกับกอดเมฆแน่น เก่งเดินมาจะดึงหมอกแต่หมอกถีบทีเดียวเก่งก็ล้มกลิ้ง เมฆกับเก่งมองหมอกด้วยความเครียด
ในห้องพักนักดนตรีของคลับแห่งหนึ่ง เอวากำลังดูโน้ตเพลงจากไอแพด ส่วนนิคกำลังเช็ดเครื่องเป่า เอวาหยิบมือถือมาดูเวลา
“เฮ้ย..นิค ทำไมป่านนี้พี่เมฆยังไม่มาอีกวะแก”
“เอ้า...จะรู้ไหม แต่งหน้าอยู่มั้ง” นิคว่า
“ไอ้บ้า กวนแต่หัววันเลยนะ ฉันซีเรียสนะเว้ย ปกติพี่เมฆไม่เคยสาย แกว่าพวกเราควรโทรตามไหม” เอวาเปลี่ยนใจ “ไม่เอาดีกว่ารออีกแป๊บละกัน” เอวาดูเวลา “หรือควรจะโทรดี เพราะนี่มันก็ทุ่มจะครึ่งแล้ว เอาไงดีวะแก”
นิคมองเอวาแล้วยิ้มกับอาการวิตกกังวลของเธอ เขาหยิบเครื่องดนตรีคู่กายขึ้นมาเป่าสี่ปรื้ดใส่เอวา
“แกเม้าท์ชั้นเหรอ” เอวาฉุน
“เปล๊า..ลองเสียง” นิคบอก
“ฉันฟังออกนะ..แกเป่าว่า “วิตกจริต”
“อะจ๊ากกก....ฟังออกด้วย!!”
“ใช่...เพราะฉะนั้นอย่าคิดเม้าท์ฉันอีก ไม่งั้นเจอดีแน่”
นิคยิ้มแหย เอวาค้อนใส่แล้วหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือขึ้นมา
“ดูกระเป๋าด้วยนะแก ฉันจะไปโทรตามพี่เมฆ”
นิคเป่าอีกสามพยางค์ว่า “ได้ครับเจ๊”
“ได้ครับเจ๊” โหย.... ไอ้เพื่อนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มาเรียกฉันเจ๊เหรอ”
เอวาจะเอาสมุดโน้ตไล่ตีนิค แต่โทรศัพท์เอวาดังขึ้นมาเสียก่อน เอวารีบดู
“พี่เมฆอ่ะ” เอวากดรับ นิคเดินมาฟังด้วย “อยู่ไหนอ่ะพี่ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก อ้าวเหรอ...แล้วตกลงจะมาไหมอ่ะ”
ตะวันฉายวางต้นฉบับนิยายที่ปริ้นท์เสร็จแล้วตรงหน้าเกริกไกรที่กำลังนั่งแทะถั่วลิสงต้มแกล้มไวน์อย่างเอร็ดอร่อย สายตาของเกริกไกรจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ซึ่งมีถ่ายทอดฟุตบอลโดยไม่สนใจตะวันฉายแม้แต่น้อย ตะวันฉายเลื่อนจานใส่ถั่วออกในขณะที่เกริกไกรจะหยิบถั่ว เกริกไกรมองตะวันฉายอย่างเคืองๆแล้วเลื่อนจานถั่วกลับ แต่พอจะหยิบกินตะวันฉายก็เลื่อนออกอีก
เกริกไกรฉุน “อะไรล่ะลูก” เกริกไกรดูบอลต่อ
“พ่อนี่..ไม่สนใจลูกเลย” ตะวันฉายพยักหน้าให้เกริกไกรมองต้นฉบับ
“สนสิ..” เกริกไกรมองปึกต้นฉบับ “จะเอาไปชั่งกิโลขายใช่มั้ยนั่นน่ะ”
ตะวันฉายอยากจะกรี้ดด้วยความโกรธ “คุณเกริกไกรคะ !!! พูดแบบนี้มันราวกับเอาปลายมีดมากรีดหัวใจกันเลยนะคะ”
สายรุ้งเอาเครื่องดื่มเข้ามาเสิร์ฟ พอเห็นตะวันฉายกำลังจะโวยวายก็รีบพูด
“ก่อนจะตีกันนะ ทานเก็กฮวยอุ่นๆสักแก้วก่อนดีมั้ย” สายรุ้งเห็นต้นฉบับ “อ้าว..ปริ้นท์เสร็จแล้วเหรอ ให้แม่อ่านได้มั้ย”
“ได้สิคะแม่...ซันนึกแล้วเชียวว่าแม่นี่แหล่ะคือที่พักพิงหัวใจที่ดีที่สุดของซัน ไม่เหมือนพ่อ” ตะวันฉายค้อน
“ลูกก็คิดถูกแล้วนี่..แล้วจะเอามาให้พ่ออ่านทำไม งานในรีสอร์ทก็ท่วมหัวแล้ว พ่อไม่มีเวลามานั่งอ่านเรื่องเพ้อเจ้อหรอก” เกริกไกรว่า
ตะวันฉายกับสายรุ้งพูดพร้อมกัน “เรื่องเพ้อเจ้อ !!”
“แม่คะ..แม่ไปหลงรักผู้ชายไร้จินตนาการคนนี้ได้ยังไงคะเนี่ย”
“ก็ตอนนั้นแม่ไม่มีตัวเลือกนี่ลูก” สายรุ้งตอบ
“อ้าวแม่....ไหนตอนนั้นบอกว่ามีคนมาจีบเยอะแต่เลือกพ่อไง” เกริกไกรท้วง
“ทางการตลาดเขาเรียกว่า Value added ไงพ่อ ไม่งั้นจะคุมการตลาดจนรีสอร์ทเราขายดิบขายดีแบบนี้เหรอ”
เกริกไกรทำเสียงเศร้า “โธ่...นี่พ่อพลาดเสียตัวให้แม่ไปแล้วเหรอเนี่ย”
สายรุ้งแอบหยิกเกริกไกรจนเขาร้องลั่นบ้าน ตะวันฉายเผลอมองพ่อกับแม่หยอกกันแล้วก็อมยิ้มอย่างมีความสุข
“ยิ้มอะไร สะใจใช่ไหม ดีล่ะพ่อจะเอาไปชั่งกิโลจริงๆ”
“อ๊ายยย..ไม่ได้นะคะ นี่น่ะวรรณกรรมของโลกเลยนะ พ่อลองอ่านแล้วจะรู้ว่าเพราะอะไร เรื่องนี้จึงควรจะได้รางวัลจากการประกวด”
“งั้นผ่านรอบแรกก่อนดีกว่าไหม พ่อค่อยอ่าน....กลัวอ่านเก้อแล้วมารู้ทีหลังว่าตกรอบแรก”
“แม่อ่ะ...พ่อเอาอีกแล้วอ่ะ”
“เอาน่า...ไว้แม่อ่านเองนะ”
ตะวันฉายยิ้ม “ขอบคุณค่ะแม่” ตะวันฉายหันไปพูดกับเกริกไกร “ส่วนพ่อ ไว้รอแย่งซื้ออ่านตอนวางตลาดแล้วกัน”
ตะวันฉายค้อนแล้วเดินกระแทกเท้าปังๆ ขึ้นข้างบน เกริกไกรยิ้มขำแล้วจะหยิบต้นฉบับแต่สายรุ้งแย่งไปก่อน
“ไม่อยากอ่านไม่ใช่เหรอ” สายรุ้งว่า
สายรุ้งเดินเชิดไปพร้อมกับต้นฉบับในมือ เกริกไกรหน้าเหวอ
“แม่...เดี๋ยวสิ พ่อแหย่ลูกมันเล่น”
วงดนตรีสี่ชิ้นกับนักร้องเพลงแจ๊ซเบากำลังขับกล่อมคนในคลับ แขกในร้านนั่งดื่มกินกันไม่เยอะเท่าไหร่ หมอกนั่งเล่นตัวต่อหุ่นยนต์ที่ใส่เป้มาด้วยอยู่มุมหนึ่งในห้องพักนักดนตรี
ในขณะที่เมฆปรับจูนกีตาร์เพื่อขึ้นเวที ผู้จัดการคลับนั่งเล่นกับหมอก ส่วนนิคกับเอวายืนอยู่กับเมฆ
“แล้วทำไมไม่ให้พี่เก่งดูแลล่ะครับ” นิคถาม
“ไม่ได้หรอก หลังๆมานี่หมอกตัวจะเท่าเก่งอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยฟัง วันดีคืนดีก็รังแกเก่งมันด้วยซ้ำ” เมฆบอก
“อะไรน้องหมอกน่ะเหรอคะเดี๋ยวนี้รังแกพี่เก่ง เห็นออกจะเรียบร้อย” เอวางง
“ถ้าออกนอกบ้านตื่นคนแบบนี้ล่ะใช่ แต่อยู่ในบ้านน่ะฤทธิ์ไม่เบาเหมือนกัน ไม่งั้นพี่เลี้ยงไม่หนีกันเป็นว่าเล่นหรอก”
“แบบนี้พี่เมฆก็ต้องหาพี่เลี้ยงใหม่อีกแล้วสิครับ” นิคถาม
เมฆหยุดตั้งสายแล้วมองไปที่หมอกด้วยสีหน้าเครียด “นี่ก็แจ้งศูนย์เขาไปแล้ว แต่ไม่รู้จะได้เมื่อไหร่”
“ช่วงนี้ถ้ายังหาไม่ได้ ก็กระเตงมาไว้ที่นี่ไปก่อนก็ได้ พี่จะให้เด็กๆมันช่วยๆดูให้เวลาเมฆเล่นดนตรี” หนึ่ง ผู้จัดการคลับบอก
“ขอบคุณครับพี่หนึ่ง” เมฆเดินไปลูบหัวหมอก “หมอก เดี๋ยวพ่อมานะครับ หมอกนั่งเล่นอยู่ในห้องนี้ห้ามออกไปไหนนะครับ แล้วก็ห้ามดื้อห้ามซนด้วยนะ ลูกผู้ชายรับปากนะครับ”
หมอกทำท่าตะเบ๊ะแบบทหาร “ได้..ครับผม”
ทุกคนหัวเราะเอ็นดูหมอก เมฆยิ้มแล้วหอมหน้าผากหมอกก่อนเดินออกไป
เมฆเกากีตาร์ขึ้นเพลงทำนองช้าๆ บนเวที แต่เมื่อเปียโนของเอวาและเครื่องเป่าของนิคดังประสาน มันก็กลายเป็นเพลงที่สนุกสนานน่ารัก ทั้งสามเล่นรับส่งกันอย่างสนุกสนาน คนดูตั้งใจฟังและปรบมือตาม หลายเพลงผ่านไป เสียงปรบมือของคนดูดังลั่น ทั้งสามเดินออกมาหน้าเวทีก่อนจะจับมือกันแล้วโค้งให้คนดู
เมฆอุ้มหมอกที่นอนหลับสนิทพร้อมกับกระเป๋ากีตาร์มาที่ลานจอดรถ โดยมีเอวากับนิคเดินตามออกมา นิคเปิดประตูรถด้านหลังให้ เมฆอุ้มหมอกเข้าไปนอนที่หลังรถ
“พี่เมฆ ผมว่าเพลง....ของพี่นี่คนชอบเยอะมากนะครับ เมื่อไหร่พี่จะใส่เนื้อร้องซะที” นิคถาม
“นั่นสิคะ วงอื่นที่มีนักร้องยังบอกเลยว่าคนฟังตั้งใจฟังเพลงนี้ของพี่มากกว่าเพลงที่เขาร้องซะอีก” เอวาเห็นด้วย
“พี่ยังไม่มีเวลา งานมันยุ่ง” เมฆบอก
“งั้นก็ขายแต่เมโลดี้สิพี่ ค่ายพี่จอมเขาอยากได้ไม่ใช่เหรอครับ ให้เขาไปหาคนใส่เนื้อเอง”
“หูยยย ไม่เอา อย่าไปฟังนายนิคนะ เอวาว่าพี่เมฆแต่งเนื้อด้วยน่ะดีแล้ว เพลงของพี่เรื่องอะไรจะให้คนอื่นมาใส่เนื้อ” เอวาท้วง
“ทำไมล่ะ ก็ฉันอยากเห็นเพลงพี่ฉันดังผิดด้วยเหรอ”
“ไม่ผิดแต่พี่เมฆของเรามีศักยภาพทำได้ก็ต้องทำให้ครบสิ แกอยากขายทำนองก็ไปแต่งขายเองสิยะ”
นิคกับเอวาตั้งท่าจะตีกันจนเมฆต้องห้าม
“เอาล่ะๆ พอแล้ว สองคนนี่ประสานเฉพาะดนตรีจริงๆ เรื่องอื่นละตีกันทุกวัน เอาเป็นว่าเราเล่นแบบนี้ไปก่อนแล้วกันนะ” เมฆยิ้ม “พี่ไปล่ะแล้ว อย่าตีกันล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
เมฆขึ้นรถขับออกไป นิคกับเอวาจ้องหน้าเอาเรื่องกัน
“แกนี่มันกวนประสาทฉันจริงๆเลยนะ” เอวาว่า
“ขอโทษนะ ฉันคุยกับพี่เมฆก่อนแล้วเจ๊มาแทรกนะ ที่บ้านเรียกจุ้น” นิคสวน
“เรียกฉันเจ๊อีกแล้ว ฉันอายุเท่าแกนะ”
“อ้าว...ก็หน้าตารีบหนีไปทำไมล่ะ”
“กรี๊ดดดด ดีแล้ว...ต่อไปนี้แกไม่ต้องมานั่งรถฉัน”
เอวาเดินหนี นิคได้สติ
“เฮ้ย...เจ๊...เอ๊ย น้อง อย่าโกรธเลยนะ ขอกลับบ้านด้วย เค้ากลัวโดนฉุดนะ ตะเอง”
เอวาเดินเชิด ส่วนนิคเดินตามไปง้อจนถึงรถ พอเอวากดเปิดรถ นิคก็รีบขึ้นไปอีกฝั่ง เอวาค้อน แต่นิคยักคิ้วกวนๆ ให้
เอวาออกรถกระชากจนนิคหัวทิ่มแล้วรีบรัดเข็มขัดทันที
สายรุ้งวางปึกนิยายลงตรงหน้าตะวันฉายที่อยู่ในชุดนอน
“แม่อ่านรวดเดียวจบเลยนะซัน” สายรุ้งบอก
ตะวันฉายยิ้มกว้าง “แม่น่ารักที่สุดเลยค่ะ ไม่เหมือนพ่อเลย”
“พ่อเขาเป็นผู้ชาย เขาไม่เข้าใจอารมณ์ผู้หญิงอย่างเราหรอก”
“แม่คิดว่าไงคะ...” ตะวันฉายถามแต่ไม่เปิดโอกาสให้สายรุ้งพูด “แม่ชอบใช่ไหม...ซันว่าแล้วแม่ต้องชอบ....แม่เป็นนักอ่านและชอบเขียนนิยาย...ถ้าแม่ชอบแสดงว่านิยายของซัน...เริ่ด ซันจะรีบส่งประกวดให้เร็วที่สุด หลังจากนี้ไม่นาน ซันก็จะกลายเป็นนักเขียน พ่อก็เลิกแซวซันแล้วหันมาปลาบปลื้มที่มีลูกสาว สวย เก่ง ฉลาด แสนซนปนน่ารัก และยังเป็นนักเขียนชื่อดังสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล อิอิอิ สรุปแม่ว่านิยายของซันดีเยี่ยม”
“แม่พูดไปแล้วเหรอ” สายรุ้งถาม
“ดวงตาแม่มันบอกหมดแล้วค่ะ” ตะวันฉายบอก
สายรุ้งยิ้มแหยกับความมั่นใจเกินเหตุของลูกสาว
รถของเมฆแล่นเข้ามาจอดในบ้าน เมฆเปิดประตูลงจากรถแล้วอ้อมมาอีกด้านเพื่ออุ้มหมอกลงมาแล้วเดินเข้าบ้านไป เมฆอุ้มหมอกมาวางที่เตียง เขาห่มผ้าห่มให้หมอกด้วยสายตาเอ็นดูพร้อมกับนึกถึงอดีตที่ผ่านมา....
หมอกในวัยหนึ่งขวบนั่งเก้าอี้ ส่วนเมฆนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นหน้าห้องฉุกเฉิน สีหน้าหมอกบ่งบอกว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สักพักยุทธการกับตำรวจลูกน้องก็เดินเข้ามาหาเมฆ เมฆลุกขึ้น ยุทธการส่งซองเอกสารให้
“คุณนภทีป์ชาไหมครับ คุณรับอุปการะเด็กคนนี้แทนพี่ชายใช่ไหมครับ” ตำรวจถาม
เมฆเปิดซองแล้วหยิบใบสูจิบัตรของหมอกออกมา
สูจิบัตรปรากฏชื่อหมอกว่าเด็กชาย ธีรดล พิพัฒนพงษ์สกุล บิดาชื่อ ธีรภพ พิพัฒนพงษ์สกุล ส่วนมารดาชื่อ อิงฟ้า พิพัฒนพงษ์สกุล
เมฆเก็บใบใส่ซองแล้วเดินกลับไปหาหมอกแล้วนั่งลงจ้องหน้าหมอกแล้วดึงหมอกมากอด
เมฆลูบหัวหมอกที่นอนอยู่บนเตียงอย่างทะนุถนอม
“พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อหมอกเองนะ”
เมฆห่มผ้าห่มให้หมอกแล้วเดินออกไปจากห้องนอน หมอกนอนหลับอย่างเป็นสุข
เมฆชงชามานั่งดื่มที่โต๊ะทำงาน แล้วก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาจะเล่นเพลงที่แต่งอีกครั้ง แต่เล่นได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมฆกดรับ
“ว่าไงครับพี่จอม ไม่หลับไม่นอนนะ”
จอมโทรหาเมฆขณะที่กำลังยืนคุมลูกน้องมิกซ์เพลงอยู่ในห้องอัด
“พี่เข้ามามิกซ์เสียงอัลบั้มใหม่ของนักร้องในค่าย” จอมพูดกับลูกน้อง “ลดเสียงซินธ์ลงหน่อยนะ เดี๋ยวพี่กลับมาฟัง”
จอมเปิดประตูเดินออกมาคุยข้างนอก
“ตกลงพี่จะได้ฟังเดโมเพลงของนายเมื่อไหร่ คนทั้งค่ายเพลงพี่เขารอฟังอยู่นะ” จอมบอก
“ผมคงไม่ทำแล้วครับพี่” เมฆตอบ
“เฮ้ย...อะไรกันวะ หรือว่านายไปทำกับค่ายอื่นแล้วไม่กล้าบอกพี่”
“ไม่มีครับ นอกจากพี่จอมแล้วใครเขาจะมาให้โอกาสคนใหม่อย่างผม”
“จะไปรู้เหรอ อาจจะมีคนตาดีเหมือนพี่มาดึงนายไปก็ได้”
“ไม่มีจริงๆครับ”
“โอเค งั้นพี่เชื่อนาย แต่เมฆ นี่มันความฝันนายนะ นายอยากเป็นนักแต่งเพลงแล้วก็เป็นโปรดิวเซอร์เหมือนพี่ไม่ใช่เหรอ นายจะไม่ทำในสิ่งที่นายรักเหรอ”
“ตอนนี้ผมคงต้องทำสิ่งที่มันจำเป็นสำหรับชีวิตผมก่อนครับ”
จอมถอนใจ “เอาล่ะๆ พี่จะโทรมาถามข่าวคราวนายบ่อยๆแล้วกัน ไม่ได้เร่งแต่อยากให้รีบนะเว้ย” จอมหัวเราะ “จะได้มาร่วมงานกันเร็วๆ”
เมฆวางสายแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ฟังทำนองเพลงที่เขาเรียบเรียงโดยมีเสียงร้องไกด์ไว้เรียบร้อยแล้ว
เช้าวันใหม่ เกริกไกรนั่งรอกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะ สักพักสายรุ้งก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“นี่ลูกเรายังไม่ตื่นเหรอ นิยายก็เขียนเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” เกริกไกรถาม
“ตื่นแล้วค่ะ แต่คงเก็บของอยู่”
เกริกไกรงง “เก็บของ? ไปไหน? ไม่ไปทำงานเหรอ”
เสียงตะวันฉายดังขึ้น “ซันจะไปกรุงเทพฯค่ะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งหันไปตามเสียงก็เห็นตะวันฉายที่แต่งตัวสวยเดินลงมานั่งข้างๆแม่พร้อมกับยิ้มกวนๆให้เกริกไกร เกริกไกรมองลูกสาวด้วยความงง
“ซันจะเอาต้นฉบับไปส่งสำนักพิมพ์” ตะวันฉายชูซองสีน้ำตาลใบใหญ่
“ทำไมไม่ส่งทางไปรษณีย์ล่ะ” เกริกไกรถาม
“โอ๊ย..พ่อคะ นั่นน่ะมันไม่คลาสิค วรรณกรรมทรงคุณค่าแบบนี้ซันต้องไปส่งกับมือ บก.ค่ะ”
“ก็ดี จะได้เห็นเขาโยนต้นฉบับลงถังกับตาตัวเอง” เกริกไกรแขวะ
เกริกไกรพูดโดยไม่มองหน้าลูกสาวและเอาแต่กินตลอดเวลา
“พ่อ!!!..ไม่ให้กำลังใจแล้วยังจะทำหน้าเยาะเย้ยอีก แม่ดูสิคะ”
สายรุ้งส่งสายตาปรามเกริกไกร “พ่อ...”
“รีบไปรีบกลับนะ พ่อว่าอยู่ที่สำนักพิมพ์ห้านาทีก็พอนะ” เกริกไกรว่า
ตะวันฉายงอนเกริกไกรก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป เกริกไกรมองตามขำๆ สายรุ้งตีเกริกไกร
เมฆขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบริษัท หนิง เลขาเดินเข้ามารับที่หน้าประตู เมฆส่งแฟ้มเอกสารให้พลางถาม
“ติดต่อเนอร์สเซอรี่ให้ผมหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ โปรไฟล์พี่เลี้ยงเด็กอยู่ที่โต๊ะทำงานคุณเมฆแล้ว” หนิงบอก
“ขอบใจมากนะ”
เมฆมานั่งเปิดแฟ้มดูในห้องทำงาน เขาเปิดดูประวัติของพี่เลี้ยงหลากหลายวัยจนมาหยุดที่ป้าคนหนึ่ง
“เชอรี่..อายุ 45 “ เมฆพยักหน้าพอใจ “จะได้ไม่หนีตามผู้ชายไปอีก”
เมฆยิ้มออก เขากดโทรศัพท์หาหนิง
“ค่ะ คุณเมฆ”
“ช่วยนัดคุณเชอรี่มาคุยกับผมหน่อยนะ เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”
หลายวันผ่านไป เมฆพาเชอรี่เดินดูบ้านชั้นบน
“งานของคุณเชอรี่คือดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกชายผม อย่างอื่นไม่ต้องเพราะเก่งเด็กผู้ชายอีกคนเขาจะช่วยดูแลบ้านให้ วันนี้ผมวานให้เขาไปรับหมอกแทนผม เดี๋ยวคงกลับมา”
“หมายความว่าทั้งบ้านมีเราอยู่กันสี่คนเหรอคะ” เชอรี่ถาม
“ครับ...อาจจะเหงาหน่อยเวลาที่ผมกับหมอกไม่อยู่บ้าน”
“ไม่เป็นไรค่ะ อยู่กันคนน้อยๆไม่เรื่องมากดี เชอรี่ชอบ”
เมฆยิ้ม “ดีครับ” เมฆเดินมาถึงหน้าห้องหมอก “นี่เป็นห้องนอนของนายหมอกเขา”
“แล้วเชอรี่ต้องนอนกับหมอกหรือเปล่าคะ” เชอรี่ถาม
“ก็ได้นะคร้บจริงๆ เตรียมไว้ให้แล้วชั้นล่าง แต่ถ้าคุณเชอรี่กล่อมหมอกเสร็จแล้วจะนอนบนนี้ก็ได้”
เมฆเดินนำเชอรี่ลงบันไดมาที่ห้องรับแขกจนมาเจอกับหมอกที่ขี่คอเก่งเข้าบ้านมา
หมอกตะโกน “พ่อครับ !!”
หมอกดึงหัวเก่งเป็นทำนองว่าให้เบรกแล้วเขาก็กระโดดลงไปหาเมฆ เก่งยืนหอบแฮ่กๆ
“หมอก นี่ให้พี่เก่งเป็นม้าคลานมาจากโรงเรียนอีกแล้วเหรอ” เมฆถาม
“ไม่ครับคุณ วันนี้แค่แบกแต่ให้วิ่งแข่งกับรถเมล์แค่นั้น ผมขอตัวไปรดน้ำต้นไม้ก่อนนะครับ” เก่งบอก
เก่งเดินหอบออกไป เมฆหน้าเสียก่อนจะหันไปมองเชอรี่ เชอรี่ยิ้มหวานให้
“แหม...เด็กผู้ชายซนๆนี่น่ารักนะคะ” เชอรี่บอก
เมฆถอนใจโล่งอก “ค่อยยังชั่วผมละกลัวคุณเชอรี่จะไม่รับงานนี้” เมฆพูดกับหมอก “หมอกครับ นี่ ป้าเชอรี่ ...ป้าเชอรี่จะมาดูแลลูกแทนพี่เพ็ญนะ หมอกห้ามดื้อกับป้าเชอรี่นะครับ พ่อเหนื่อยจะหาคนแล้ว”
หมอกยกมือไหว้ “หวัดดีครับ ป้าเชอรี่”
เชอรี่ยิ้มกับหมอก “จ้ะ..ป้าชื่อเชอรี่..” เชอรี่พูดกับเมฆ “แต่คุณเมฆ เรียกดิฉันว่าพี่ได้มั้ยคะ เรียกป้าน่ะฟังดูยังไงก็ไม่รู้...สี่สิบห้าเองนะคะ ไม่ใช่ห้าสิบสี่”
พูดจบเชอรี่ก็ยิ้มหวานใส่เมฆ เมฆยิ้มตอบโดยไม่ได้คิดอะไร
“ถ้ายังงั้นผมรบกวนพี่เชอรี่พาหมอกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ จะได้ให้หมอกทำการบ้านแล้วทานอาหารเย็นกัน”
เชอรี่พูดกับหมอก “ไปนะคะคุณหมอก..ไปอาบน้ำกัน”
เชอรี่ยิ้มหวานแล้วเข้าไปจูงมือหมอกแต่หมอกไม่ยอมไป
“ไม่เอา...ยังไม่อาบ”
เชอรี่แอบจ้องหน้าดุพร้อมปล่อยรังสีอำมหิต “อาบเถอะค่ะ...อย่าดื้อ” เชอรี่รีบทำเป็นยิ้ม
เชอรี่จับมือหมอกแล้วบีบแน่น หมอกเริ่มกลัว เชอรี่พาหมอกขึ้นไปบนบ้าน เมฆมองตามพร้อมกับยิ้มอย่างไว้ใจเชอรี่
“สงสัยนายหมอกจะชอบคนใจดีแฮะ”
หมอกนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เชอรี่ยกถาดอาหารของหมอกมาวางตรงหน้า หมอกเห็นเข้าก็เบ้ปาก
“ไม่กิน”
เชอรี่ยิ้มเย็นๆ แล้วลูบแขนหมอกเบาๆก่อนจะบีบแล้วตีหน้าเข้ม
“รู้ไหม ป้าน่ะมือหนักนะ เคยตีเด็กแขนหักมาแล้วด้วย”
หมอกตกใจแล้วตะโกน “พ่อ”
เชอรี่เอามือปิดปากหมอก “ถ้าฟ้องเจอดีแน่...กิน!”
หมอกจำใจตักข้าวเข้าปาก เมฆแต่งตัวถือกีตาร์เดินลงมาหาหมอกเห็นทานอาหารได้ก็ยิ้ม
“หมอก พ่อไปทำงานก่อนนะครับ” เมฆพูด หมอกพยักหน้ารับ “แหม...อยู่กับป้าเชอรี่นี่เรียบร้อยดีนะเรา”
เมฆลูบหัวหมอกแล้วจะเดินไป แต่เชอรี่ขวางไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณเมฆ...คือที่ห้องเชอรี่น่ะคะ มันมีปัญหานิดหน่อย”
เมฆส่งสายตาตั้งคำถาม แต่เชอรี่ยังไม่พูดต่อ
เมฆสวมเสื้อกล้ามปีนบันไดขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟบนเพดานในสภาพเหงื่อชุ่มตัว เชอรี่มองดูอยู่ข้างล่างก็กลืนน้ำลายเอื้อกๆ จนสำลัก เมฆเปลี่ยนหลอดไฟจนเสร็จ
“พอดีพาหมอกมาอาบน้ำ เห็นมืดๆ กลัวจะอันตรายน่ะค่ะคุณเมฆ”
“เรียบร้อยแล้วครับ” เมฆบอก
เชอรี่ไม่่ได้มองหน้าเมฆเพราะเอาแต่มองเสื้อชุ่มเหงื่อของเขา
“พี่เชอรี่..เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เมฆเรียกเสียงดังขึ้น “พี่เชอรี่ !”
เชอรี่รู้สึกตัวจึงมองหน้าเมฆ
“คะ..น้องเมฆ...เอ๊ย..คุณเมฆ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“แหม...เร็วจัง”
“อะไรนะครับ”
“เปล่าค่ะ พี่บอกว่าเกรงใจจัง” เชอรี่ส่งสายตาโลมเลีย “ดูสิเปียกเหงื่อไปทั้งตัวเลย”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมคงต้องไปอาบน้ำใหม่ งั้นผมขอตัวนะครับ เดี๋ยวจะสาย”
เมฆรีบเดินออกไป เชอรี่มองตามอย่างเสียดาย
“นึกแล้วเชียวว่าต้องแซ่บ..กรุบๆ กรอบๆ เนื้อแน่นไปหมดเลย”
ยามบ่ายอันแสนวุ่นวายในกรุงเทพฯ ตะวันฉายเดินมายืนตรงด้านหน้าสำนักพิมพ์ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“นี่น่ะเหรอสำนักพิมพ์แจ้งเกิดของเรา เพิ่งรู้ว่าใหญ่โตสมศักดิ์ศรีนักเขียนใหญ่ในอนาคตเลย อิอิ”
ตะวันฉายยิ้มดีใจกับตัวเอง
เวลาผ่านไปตะวันฉายทำตาโต เมื่อได้ฟังเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของหน้าสำนักพิมพ์บอก
“อะไรกันคะ แค่อยากจะเอาไปส่งกับบอกอก็ไม่ได้” ตะวันฉายบ่น
“ไม่ได้สิคะ”
“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงล่ะคะว่าพี่บอกอจะอ่านเรื่องของซัน”
“พี่ก็ตอบแทนพี่บอกอไมได้หรอกค่ะ”
“นั่นไงคะ..ซันเลยต้องเข้าไปคุยกับพี่บอกอเอง นี่มันเป็นการประกวดนิยายนะคะ พี่จะมาทำงานแบบไก่กาไม่ได้ค่ะ”
“ไก่กาเหรอคะ พี่มีเป็นฝูงเลยค่ะคุณน้อง ถ้าอย่างนั้น..ดูนี่สิคะ”
เจ้าหน้าที่ดึงมือซันให้ไปดูด้านหลังเคาน์เตอร์
“นี่คือที่แกะออกมาทำบัญชีรายชื่อแล้วนะคะ” เจ้าหน้าที่ชี้ไปอีกด้านที่มีซองสีน้ำตาลใหญ่ๆ วางอยู่เต็มไปหมด “และโน่นยังอยู่ในซองค่ะ” เจ้าหน้าที่ชี้ไปอีกด้านเห็นคนนั่งรออีกเป็นสิบคนพร้อมต้นฉบับ “และนั่นเขาก็มาเหมือนน้องค่ะ แต่เขารอคิวเป็น” เจ้าหน้าที่ตวาดเบาๆ “ตอนนี้เชิญน้องไปนั่งรอรวมกับพวกเขาได้แล้วค่ะพี่จะนัดให้ตามคิวถ้าบ.ก.ว่าง”
ตะวันฉายหน้าเสีย เริ่มท้อ
ตะวันฉายพึมพำ “มีคนลงประกวดกับเราเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
เจ้าหน้าที่แบมือ ตะวันฉายวางต้นฉบับให้
“มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ของน้องแล้วนะคะ”
ตะวันฉายเซ็ง “ค่ะ ถ้าเข้ารอบพี่ค่อยโทรตามหนู หนูจะมาอีกครั้งนะคะ”
“เปล่าค่ะ เผื่อต้นฉบับไม่ผ่าน พี่จะได้ส่งคืนถูก”
ตะวันฉายอยากจะตอบโต้แต่ก็เก็บปากเก็บคำไว้
ติดตาม "ตะวันฉายในม่านเมฆ" ตอนที่ 2