เสือสมิง ตอนที่ 2
จ่าชิตซึ่งพลางตัวนอนอยู่บนคบไม้มาตลอดทั้งคืน กระทั่งเช้า ได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากข้างล่าง เขาลืมตาขึ้นแต่ไม่ขยับตัวค่อยๆมองไปรอบๆอย่างระวัง เมื่อเสียงเงียบลงจึงปีนลงมาข้างล่าง มองไปรอบๆแล้วรำพึง
“มันต้องเจอสักวันสิน่า...”
สิ้นเสียงจ่าชิตก็มีเสียงคำรามข้างหลัง เขาหันไปพร้อมกับเล็งปืนไปที่ต้นเสียง เสือโคร่งตัวมหึมาจ้องมา จ่าชิตยิงออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ถูกเสือวิ่งหนีเข้าพงไป จ่าชิตตามไปอย่างรวดเร็ว
“คราวนี้เอ็งไม่พ้นมือข้าแน่”
ควันธูปลอยกรุ่นขึ้นมาจากหน้าแท่นบูชาซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องสักการะดอกดาวเรืองเหลืองอร่าม กินรีกับพะอูนั่งข้างๆแม่หมอที่มองอย่างพิจารณา
“ข้ารู้สึกว่าตอนนี้เอ็งสองคนกำลังมีเคราะห์”
“เคราะห์อะไรหรือยาย” กินรีสงสัย
“ยายยังไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นเคราะห์กรรมที่ติดตัวพวกเอ็งมาตั้งแต่ปางก่อน และยายไม่อยากให้พวกเอ็งถูกใครใช้เป็นเครื่องมือ...ผีฟ้ามีหน้าที่รักษาคน ไม่ใช่ฆ่าคน”
กินรีไม่เข้าใจที่แม่หมอพูด พะอูทำท่าถามว่าเป็นเพราะเรื่องหน้ากากหรือเปล่า แม่หมอจึงอธิบาย
“เรื่องหน้ากากมันเป็นแค่ลางบอกเหตุ”
“ฉันไม่เข้าใจ ใครจะเอาพวกเราเป็นเครื่องมือ”
กินรีซัก แม่หมอไม่อยากพูดอะไรจึงตอบเลี่ยงๆ
“บางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ...ยายจะขอให้เจ้าแม่หน้าทองชะเวมะรัต กับชะเวโบน้องชายของท่านช่วยล้าง เคราะห์ให้พวกเจ้า ตั้งสติให้ดี”
กินรีพนมมือ แล้วบอกพะอู
“พนมมือ”
พะอูทำตามแล้วหลับตา แม่หมอหยิบมะพร้าวขึ้นมาแล้วค่อยๆใช้มีดเฉาะเปิดออก พลางบริกรรมคาถา ด้วยภาษาพม่าโบราณ จากนั้นจึงใช้น้ำมะพร้าว ราดรดลงไปบนฝ่ามือของรูปปั้นชะเวมะรัต และชะเวโบ น้ำมะพร้าวกลายเป็นหมอกควัน กินรีเห็นเป็นภาพในภวังค์ของเธอ เป็นภาพบาเยงโบ กษัตริย์แห่งพุกามยิ้มให้
“ชะเวมะรัต เจ้าช่างสวยสง่า กว่านางใดๆจริงๆ บุญของข้าแล้วที่ได้มเหสีเยี่ยงเจ้า”
“หม่อมฉันก็เช่นกัน และสาบานว่าจะขอเป็นทาสรองพระบาททุกชาติไป”
ควันปกคลุมไปทั่วจนสู่ปัจจุบัน...เสียงบริกรรมคาถาจากแม่หมอยังคงดังอยู่
งะดินเดนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ลืมตาอย่างรวดเร็ว เพราะรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่แม่หมอทำให้กินรีกับพะอู
“เจ้าบังอาจกับข้าหรือ...ไม่มีทาง...ชะเวมะรัตต้องเป็นของข้า...”
งะดินเดแค้นจัดสำแดงอิทธิฤทธิ์ทันที
ทันใด แม่หมอเหมือนถูกผลักเข้าที่อกจนหงายหลังกระเด็นไปติดข้างฝา มีเลือดกระอักออกมา กินรีกับพระอูตกใจ รีบเข้าไปประคอง
“ยาย...ยายเป็นอะไร”
แม่หมอตั้งสติได้ มองไปทางเขาสูงอย่างเสียใจแล้วกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรหรอก ยายไม่เป็นอะไร เจ้าแม่คงไม่พอใจยาย”
“เจ้าแม่ไม่พอใจ...ไม่พอใจเรื่องอะไรจ๊ะยาย...หรือว่ากินรีไปทำอะไร”
พะอูส่งเสียงสงสัยเหมือนกินรี แม่หมอปลอบใจทั้งสองคน
“ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเอ็งหรอก”
กินรีกับพะอูไม่หายข้องใจ แต่ไม่ถามอะไรอีก
งะดินเดรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่หมอ หัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจ
“บอกแล้วว่าอย่ากำแหงกับข้า...”
คนรูทั้งสองตัวที่นอนหมอบอยู่ พลอยดีใจไปกับเจ้านายด้วย ทันใด...งะดินเดในภาคของความดีปรากฏตัวขึ้น ในชุดสีขาวหน้าตาอิ่มบุญ
“นี่เจ้ายังไม่คิดจะเลิกก่อกรรมอีกหรือ”
งะดินเดชงัก และตะลึง
“เจ้า...มันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เราแยกกันชัดเจนแล้ว ร่างแห่งความดีอย่างเจ้าทำไมถึงชอบมาวุ่นวายกับข้า”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าทำร้ายคนบริสุทธิ์”
“ใครทำร้ายใครกันแน่...”
“เรื่องมัน 800 ปีมาแล้วนะ...เจ้ายังไม่เลิกอาฆาตอีกหรือ”
“ตราบใดที่ข้ายังไม่สมแค้น ต่อให้เป็นพันเป็นหมื่นปี ก็ไม่มีวันหยุด”
งะดินเดฝ่ายดีรู้สึกสลดใจ
“เช่นนั้น เจ้าก็จมปลักอยู่ที่นี่ต่อไป”
“อย่าคิดนะว่าเจ้าจะขังข้าได้ตลอดไป วันนึงร่างชั่วๆอย่างข้าจะต้องกลืนร่างเจ้าให้ได้”
“ก็ลองดูสิ...”
งะดินเดฝ่ายดีสั่งสอนด้วยการใช้ลำแสงพุ่งไปกระแทกที่ร่างของงะดินเด จนกระเด็นไปติดถ้ำ งะดินเดคิดสู้ใช้อิทธิฤทธิ์ตอบโต้กลับ ร่างของงะดินเดฝ่ายดีก็กระเด็นไปเหมือนกัน
ในถ้ำสะเทือน คนรูวิ่งหนีออกไปหาที่ซ่อนอย่างตกใจกลัวมาก งะดินเดฝ่ายดีและฝ่ายชั่วต่อสู้กันไปสักพัก ร่างการเหนื่อยอ่อนทั้งคู่
“นึกว่าเจ้าจะทำข้าได้ฝ่ายเดียวหรือ”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากทำร้ายเจ้านักหรือ ข้าทำอะไรเจ้าไป มันก็เหมือนข้าทำร้ายตัวเอง ข้าแค่อยากเตือนสติเจ้าให้เจ้าละความอาฆาตเสีย เราทั้งคู่จะได้หลุดจากบ่วงกรรมเสียที”
งะดินเดไม่ยอม
“เชิญเจ้าเป็นคนดีไปคนเดียวเถอะ ข้ามีวิธีของข้า”
พูดจบงะดินเดก็ใช้อิทธิฤทธิ์วัดเข้าไปที่งะดินเดฝ่ายดี แต่งะดินเดฝ่ายดีก็หลบได้แล้วออกไปนอกถ้ำแล้วยืนอยู่อย่างท้าทาย งะดินเดตามไปหมายจะไปต่อสู้ต่อ แต่เมื่อถึงขอบปากถ้าก็มีไฟพุ่งขึ้นมาขวางไว้ เมื่อออกไปไม่ได้ก็ได้แต่แค้น...
“อย่าคิดนะว่าจะขังข้าในนี้แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้....รอให้ข้าแก่กล้ากว่านี้ก่อนเถอะ...”
ร่างของงะดินเดฝ่ายดีหายไป คนรูที่ซ่อนอยู่วิ่งเข้ามาหาเจ้านายมัน
กินรีประคองแม่หมอนอนลงบนเสื่อที่จัดเป็นที่นอนอยู่กลางบ้าน
“ยาย...ยายเป็นยังไงบ้าง”
“ยายไม่เป็นไร นอนพักสักครู่ก็หาย”
แม่หมอบอกอย่างอ่อนแรง พะอูทำมือว่าท่าทางยายไม่สบายมาก ให้กินรีประทับร่างเจ้าแม่รักษา
“อือ...พี่จะประทับร่างเจ้าแม่รักษายาย”
กินรีเห็นด้วย แม่หมอรีบห้าม
“อย่า...เจ้าจะทำพิธีกลืนบาปให้ยายไม่ได้”
กินรีแปลกใจ
“ทำไมล่ะยาย เจ้าแม่ท่านรักษาคนตั้งมากมาย ทำไมท่านรักษายายไม่ได้”
“วันหนึ่งเอ็งจะเข้าใจเอง ปล่อยยายไว้อย่างนี้แหละ นอนพักกินยาเดี๋ยวก็หาย”
“ไม่ ยายต้องบอกกินรีมาก่อนว่าทำไม...”
แม่หมอยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงผู้ใหญ่สนแว่วเข้ามา
“แม่หมอ แม่หมอ”
แม่หมอสั่ง
“ไปดูซิว่าผู้ใหญ่สนมาทำไม”
กินรีลุกออกไปที่หน้าบ้าน เห็นผู้ใหญ่สนกับจ่อยยืนอยู่
“มีอะไรหรือจ๊ะผู้ใหญ่”
“ยายเอ็งล่ะ”
“ยายนอนอยู่ข้างใน ฉันจะไปบอกให้นะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะรีบไปอนามัยเอายาให้ไอ้เสนมัน แค่ผ่านมาจะบอกว่าจะเผาศพนังหมอนเย็นนี้ ยังไงก็บอกยายเอ็งด้วยนะ”
กินรีนึกขึ้นได้แล้วบอกผู้ใหญ่
“จ้ะ....ผู้ใหญ่จะไปอนามัยหรือ ...ฉันขอไปด้วยคนนะ”
“เอาสิ”
ผู้ใหญ่สนไม่รู้ว่ากินรีจะไปทำไม ยังไม่ทันถามกินรีก็วิ่งเข้าไปในบ้านแล้วบอกพะอู
“พะอู...ดูยายดีๆนะ เดี๋ยวพี่มา”
กินรีรีบวิ่งออกไป พะอูส่งเสียงอ้อแอ้สงสัยว่าจะไปไหน
เกิดไฟไหม้ในห้องตรวจที่อนามัย ภราดรวิ่งมาดู เสียงชะเวมะรัตร้องครวญครางให้ช่วย ด้วยความเจ็บปวด
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
ภราดรวิ่งไปตรงหน้าประตู มีไฟพุ่งออกมา เขาหาทางช่วย
“เดี๋ยวคุณ...ใจเย็นๆนะ ผมกำลังจะเข้าไปช่วย”
ชะเวมะรัตในชุดโบราณจมอยู่ในกองเพลิง
“ช่วยด้วย”
“ใจเย็นๆนะคุณ...”
ภราดรคว้าผ้าห่ม คลุมเข้าไปในห้องฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ชะเวมะรัต เขาแปลกใจและตกใจ
“กินรี....มาเร็วผมมาช่วยแล้ว”
ภราดรตรงเข้าไปจะช่วยชะเวมะรัต...ทันใด ชะเวโบผุดขึ้นมาจากเปลวเพลิงตรงหน้า ภราดรสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์น่ากลัวเพราะถูกเพลิงไหม้ ชะเวโบตรงเข้าบีบคอภราดรจนหายใจไม่ออก พยายามดิ้นรน
ภราดรที่นอนหลับอยู่ในบ้านพักสะดุ้งตื่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งกลัว ทั้งตกใจ เขารู้สึกว่ามันเป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก
“ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว”
ไม่ทันที่ภราดรจะทำอะไรต่อ ประเดิมมาเรียกที่หน้าบ้าน
“หมอครับ...หมอ...ตื่นหรือยังครับ”
ภราดรเดินออกมาในชุดนอน
“รอเดี๋ยวนะประเดิม”
ชายชาวมอญสองคน เดินไปในป่าเพื่อจะไปปางช้างของเสี่ยรงค์ ไม่ห่างกันนัก มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่พวกเขา แต่ทั้งสองคนไม่รู้ตัวว่ากำลังจะมีภัย
“อีกไกลไหมกว่าจะถึงปางช้าง” คนหนึ่งถาม
“ไม่ไกลหรอก พ้นเขานี่ไปก็ถึงแล้ว ที่นั่นน่ะมีงานเลื่อนไม้ทั้งวันเลย”
“ดีจะได้เก็บเงินเป็นกอบเป็นกำ”
ทันใด มีเสียงเสือแว่วเข้ามาข้างหลัง ทั้งคู่หันไปเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ยืนจังก้าอยู่ เสือคำรามน่ากลัว
ชายสองคนหน้าซีดขาสั่นทำอะไรไม่ถูก คนหนึ่งทำใจดีสู้เสือ หยิบไม้ข้างมาแหย่มันไว้แล้วบอกเพื่อน
“หนีไป”
ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะหนีไป เสือก็กระโจนเข้ามาหมายจะกัด คนที่ถือไม้ใช้ไม่ยันสู้กับมัน กำลังจะพลาดพลั้ง จ่าชิตปรากฏตัวขึ้นอย่างทันท่วงที แล้วยิงเสือไปนัดหนึ่งเข้าที่ด้านขวา เสือผงะ ร้องด้วยความเจ็บปวดแล้ววิ่งหนีไป จ่าชิตไม่ตาม
“ทำไมไม่ตามมันไป”
ชายคนนั้นถามเป็นภาษามอญ จ่าชิตจึงตอบเป็นภาษามอญ
“เสือลำบาก ตามไป อันตราย พวกแกกำลังจะไปไหนกัน”
“พวกเรากำลังจะไปรับจ้างทำงานที่ปางช้างเสี่ยรงค์”
“ขอบคุณนายมากที่ช่วยชีวิตเราสองคนไว้ เราเป็นหนี้ชีวิตท่าน” อีกคนบอก
จ่าชิตสะดุดใจเมื่อได้ยินชื่อเสี่ยรงค์
“ปางไม้เสี่ยรงค์หรือ....ฉันอยากวานให้แกสองคนทำอะไรให้หน่อย”
ชายสองคนรับด้วยความเต็มใจ
“ได้สินาย”
จ่าชิตบอกแผนทันที
เบิ้มลูกน้องคนสนิทของเสี่ยรงค์ กำลังคุมคนงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นพม่า และกระเหรี่ยงทำงานอยู่ในปางไม้
“เร่งมือกันหน่อย...”
ไม่ห่างนัก เสี่ยรงค์ขี่ช้างมาถึง กำลังลงจากหลังช้าง เบิ้มรีบไปต้อนรับ
“นายจะมาก็ไม่บอก ผมจะได้เตรียมอะไรไว้ต้อนรับ”
“ไม่เป็นไรเบิ้ม...ว่างๆก็แวะมาดูเด็กๆทำงานบ้าง”
เบิ้มเดินนำเสี่ยรงค์มาที่เต็นท์พักผ่อน
“ตอนนี้เราได้ไม้พอสมควรแล้ว นายจะชักลากเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ”
“ดีมาก...แต่ตอนนี้เรื่องไม่มันเล็กไปแล้ว ฉันอยากดูกิจการอย่างอื่นมากกว่า”
เสี่ยรงค์พูดเป็นนัยๆ เบิ้มเข้าใจและกำลังจะพาเสี่ยรงค์เข้าป่าไปดู ก็มีเสียงพูดกันอื้ออึงเสียงดัง ทั้งคู่หันไปดู ชายชาวมอญสองคนที่จ่าชิตช่วยชีวิตเอาไว้ ขอสมัครงาน แต่คนคุมงานชาวพม่าไม่ยอมรับ
“ตอนนี้ยังไม่รับคนงาน กลับไปซะ” คนคุมงานไล่
“แต่มีคนบอกข้ามาว่าเสี่ยรงค์ต้องการคนงาน ขอพบเสี่ยรงค์หน่อย” ชาวมอญพยายามขอร้อง
“คนงานที่นี่เต็มแล้ว”
“พวกข้าอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล รับพวกข้าไว้เถอะ”
แต่ก่อนที่จะมีเรื่องกัน เบิ้มยิงปืนขึ้นฟ้าไปนัดหนึ่งแล้วปรามแววตาเหี้ยม ทุกคนหยุดและกลัวนั่งก้มศีรษะกันหมด
“อะไรกัน”
“สองคนนี่จะมาสมัครงานครับนาย แต่ผมบอกว่าไม่รับคนงานมันไม่ยอมฟัง”
เบิ้มหันไปบอก
“เราไม่ได้รับคนงานกลับไปเถอะ”
ชาวมอญสองคนหน้าเสียผิดหวัง เสี่ยรงค์เดินเข้ามาดูหน้าทั้งสองคน แล้วบอกเบิ้ม
“รับมันเอาไว้ แล้วให้ไปทำงานข้างใน”
“แต่นาย...เรายังไม่รู้จักมันเลย”
“อยู่ไปก็รู้จักเองนั่นแหละ ไอ้พวกนี้ไม่มีพิษมีภัยหรอก”
เบิ้มพยักหน้ารับแล้วสั่งคนคุมงาน
“จัดที่พักให้มันสองคนแล้วตามไปข้างใน”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างดีใจ เสี่ยรงค์กับเบิ้มเดินแยกไป
สมรักษ์นั่งในห้องทำงานหน้าเครียด ตำรวจเดินเข้ามาจะรายงาน แต่เขาถามขึ้นก่อน
“เป็นยังไงได้วี่แววพวกเสือใจบ้างไหม”
“ไม่เลยครับ เราส่งสายออกไปทุกที่แล้วแต่ก็ยังไม่เจอ”
สมรักษ์ตบโต๊ะปัง
“เป็นไปได้ยังไงดาบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า ไม่มีที่หลบที่ซ่อน ดาบหายังไงถึงไม่เจอ”
“จริงครับหมวด ทั้งพรานป่าที่ชำนาญป่าแถบนี้หลายคนก็ยังพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็นชุมโจรในแถบนี้เลย”
สมรักษ์เริ่มเชื่อและใจเย็นลง
“มันไปหลบอยู่ที่ไหนของมันนะ”
จ่าชิตที่ยังอยู่ในชุดเดิมกลิ่นเหล้าหึ่ง เดินเข้ามา
“เสือใจไม่ได้ปล้นมาสองปีแล้วนะหมวด ป่านนี้มันคงไปตั้งรกรากที่ไหนแล้วมั้ง”
“ไม่จริงฉันมั่นใจว่ามันยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้แหละ”
“ก็แล้วแต่หมวดจะคิด”
สมรักษ์มองสภาพจ่าชิตแล้วเอือม
“นี่จ่าชิต ตั้งแต่ผมย้ายมาที่นี่ก็เข้าปีที่สามแล้ว ผมไม่เคยเห็นจ่าไม่เมาเลย จ่าเป็นอะไรของจ่าหรือ”
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้ หมวดไม่พอใจก็ขังผมสิ...หรือไล่ผมออกเลยก็ได้”
“ขังไปก็เปล่าประโยชน์ จ่าจำได้ไหมว่าผมขังจ่าไปกี่ครั้งแล้ว”
จ่าชิตยียวน
“จำไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรผมไปนอนก่อนล่ะ...เฮ้อ...ง่วง”
จ่าชิตเดินออกไปอย่างไม่สนใจ สมรักษ์แค้นแล้วตวาดเสียงดัง
“จ่าชิต...เอาออกซะดีมั้ง”
ตำรวจเตือน
“ใจเย็นครับหมวด เราต้องพึ่งจ่าชิตนะครับ ทั้งแถบเขาตะนาวศรีนี่ จ่าชิตฝีมือดีที่สุดนะหมวด เอาออกไปเสียดายแย่เลย”
สมรักษ์เข้าใจและเห็นด้วย จึงตัดบทสั่งงาน
“จัดทีมลาดตระเวน ผมจะออกไปล่ามันเอง”
เสือใจกับจงใจอยู่ด้วยกันที่หน้าหลุมศพจันทร์แก้วบนเชิงเขา จงใจเอาดอกไม้วางที่หลุมศพแม่แล้วลุกขึ้นมายืนข้างพ่อ
“จันทร์แก้ว...18 ปีแล้วนะที่จันทร์แก้วจากฉันไป” เสือใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แม่ของจงใจหน้าตาเป็นยังไงคะพ่อเสือ..สวยไหม...”
“สวยสิลูก ทั้งสวย สง่า และมีตระกูล”
เสือใจนึกถึงเรื่องเก่า
เหตุการณ์เมื่อ 18 ปีที่แล้ว...ที่กระท่อมเสือใจ ซึ่งเวลานั้นเป็นกระท่อมมุงแฝก และฝาขัดแตะไม้ไผ่ ชั้นเดียวติดดิน หญิงในชุมโจรคนหนึ่งกำลังต้มน้ำอยู่ ส่วนแววกำลังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมกอด
ขณะที่หมอตำแยกำลังสาละวนอยู่กับจันทร์แก้ว เมียเสือใจที่กำลังตกเลือดอย่างหนัก
เสือใจกับทศเดินมาหยุดที่ประตูกระท่อม เสือใจมองดูเด็กในอ้อมแขนของแวว
“นั่นลูกข้าหรือนังแวว”
“ใช่จ๊ะพ่อเสือ เป็นผู้หญิงน่ารักเชียว”
แววส่งเด็กให้เสือใจ ซึ่งรับมาอุ้มอย่างงกๆเงิ่นๆ ไม่ถนัด
“แล้วเมียข้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
แววหันไปมองหมอตำแยที่กำลังจะพยายามห้ามเลือดให้จันทร์แก้ว พลางส่ายหน้า เสือใจรีบส่งเด็กคืนให้แวว แล้วปราดเข้าไปหาจันทร์แก้วนอนหายใจรวยรินอยู่บนแคร่ ใบหน้าซีดขาว เพราะตกเลือดอย่างหนัก
“เมียข้าเป็นอย่างไรบ้างยาย”
“ข้าก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว แต่เลือดมันออกมาก เสือใจทรุดลงนั่งข้างแคร่ มองดูจันทร์แก้วอย่างเวทนา ฝ่ามือที่สากหนา ลูบเส้นผมของเธอเบาๆ
“เอ็งจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”
จันทร์แก้วเอื้อมแขนมาจับมือของเสือใจไปกุมเอาไว้ เสือใจยกมือข้างนั้นขึ้นมาจูบเบาๆ
“ข้าขอโทษ...ที่เอาเอ็งมาลำบากอย่างนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เสือ...มันเป็นเวรกรรมของข้าเอง...”
“เอ็งอย่าพูดอย่างนี้จันทร์แก้ว ข้าผิดเอง ที่ไปฉุดเอ็งมา”
น้ำตาของจันทร์แก้วเอ่อรินออกมา
“พี่ทำดีที่สุดแล้วพี่เสือ ฉันไม่โทษพี่หรอก แต่ฉันอยากจะขอร้องพี่สักอย่างหนึ่ง...”
“บอกมาเถอะจันทร์แก้ว จะสักกี่อย่าง ร้อยอย่าง พันอย่าง ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง แม่แต่ชีวิตของข้า”
“อย่าพูดเรื่องตายสิพี่ ถ้าพี่เป็นอะไรไป แล้วใครจะเลี้ยงลูกสาวของเราล่ะ”
“เอ็งหมายความว่ายังไงเอ็งต้องเลี้ยงดูลูกสิ...หรือว่าเอ็ง...”
“ฉันคงไม่ไหวแล้วล่ะพี่เสือ สิ่งที่ฉันอยากขอร้องพี่ ก็คือช่วยเลี้ยงดูลูกฉันให้ดีด้วย อย่าให้ชีวิตมันเหมือนกับฉัน พี่อย่าพาลูกเร่ร่อนไปไหนอีก ขอให้ปักหลักอยู่ที่นี่ เลิกเป็นเสือปล้นเสียทีเถอะพี่…”
พูดจบดวงตาของจันทร์แก้วก็หรี่ลง ก่อนที่คอจะพับสิ้นใจ เสือใจรั้งร่างนั้นขึ้นมาโอบกอดเอาไว้
“จันทร์แก้ว...ข้ารับปากเอ็ง”
เสือใจมองดูทารกน้อยแล้วเรียกชื่อ
“พ่อจะเลี้ยงเจ้าให้ดีที่สุด...จงใจลูกพ่อ”
เสือใจน้ำตาคลอเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า จงใจปลุกพ่อจากภวังค์
“กลับกันเถอะพ่อเสือ”
“อืม...ไป”
สองพ่อลูกพากันเดินกลับไปที่ชุมโจร
ระรินกับเดือนช่วยกันตรวจคนไข้ชาวบ้าน ระรินไม่ชอบหน้าที่ของตัวเองเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยเต็มใจทำ
“เอ้าลุง...เป็นอะไรมาอีกล่ะ เมื่อสองวันก่อนเพิ่งมาหาหมอเองไม่ใช่หรือ” ระรินถามอย่างไม่พอใจ
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกหมอ แต่จะมาขอยาเพิ่ม”
ระรินโวยวาย
“หา...ขอยาเพิ่ม...คราวที่แล้วให้ไป 20 เม็ด หมดแล้วหรือ ลุงเอาไปทำอะไร”
“ก็เอาไปกินตามหมอสั่งนั่นแหละ...กินหลังอาหาร”
“สองวันมันก็น่าจะหมดไปแค่ 6 เม็ดได้มั้งลุง” เดือนสงสัย
“ใครบอก ไม่ถึงสองวันก็หมดแล้ว”
“ลุงกินยังไง...”
“ก็กินหลังอาหารตามที่บอกนั่นแหละ พอกินข้าวเสร็จก็กิน กินขนมเสร็จก็กิน ทิดมีเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้ก็กิน วันนึงผมกินอาหารตั้งหลายมื้อ ยาก็ต้องหมดสิครับ”
ระรินกับเดือนรู้สึกเซ็งในความไม่รู้เรื่องของชาวบ้าน
“เอาไปลงรายการคดีเด็ดดีไหมเนี่ย....” ระรินบ่น
“มาลุง เดี๋ยวหนูเอาให้ คราวนี้กินสองเวลาหลังอาหารเช้าเย็นก็พอนะ”
เดือนลุกออกไป เสียงผู้ใหญ่สนเรียกดังมาจากด้านหน้า
“หมอครับ...หมอภราดรครับ”
ระรินได้ยินจึงเดินไปดู เห็นผู้ใหญ่สน จ่อย และกินรียืนอยู่
“มีธุระอะไรกันหรือ”
“หมอภราดรให้ผมมาเอายาบำรุงสมองครับ” ผู้ใหญ่สนบอก
ระรินมองกินรีด้วยหางตาแบบเหยียดๆ แล้วหันบอกผู้ใหญ่สน
“หมอยังไม่มา ฉันจะไปเอามาให้...รอเดี๋ยว”
เสือสมิง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ประเดิมขับรถให้ภราดร ขณะที่จะไปอนามัย เขาสังเกตเห็นภราดรดูเหม่อลอย
“หมอไม่สบายหรือเปล่าดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
ภราดรยังคงเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ใจลอยคิดถึงเรื่องที่ตัวเองฝัน
“หมอ...หมอ...”
ภราดรรู้สึกตัวสะดุ้ง
“มีอะไรหรือ ประเดิม”
“หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...พักนี้ผมฝันประหลาดๆ และดูมันเหมือนจริงมากเลย”
“โธ่...นึกว่าอะไรที่แท้ก็ฝันร้าย อย่าไปคิดมากเลยครับ คุณหมออาจจะมาอยู่ใหม่ คงยังไม่คุ้นที่คุ้นทาง ผมว่าอีกหน่อยก็ชินไปเองน่ะครับ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
ภราดรรู้สึกดีขึ้นกับคำปลอบใจแต่ในใจยังกังวล
กินรีนั่งรอภราดรด้วยความกังวลใจ ผู้ใหญ่สนปลอบใจ
“ใจเย็นๆกินรี เดี๋ยวหมอก็คงมา”
“จ้ะ...กินรีเป็นห่วงยายจริงๆไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง”
“แปลกจริงๆว่าทำไมผีฟ้าถึงรักษาไม่ได้...” ผู้ใหญ่สนสงสัย
ระรินกับเดือนเอายาออกมาให้ผู้ใหญ่
“กินวันละสามเวลาหลังอาหารนะคะผู้ใหญ่” เดือนบอก
“ขอบใจนะ”
ผู้ใหญ่สนรับยาไปแล้วนั่งลง
“นี่ผู้ใหญ่ได้ยาไปแล้วก็พากันกลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่อยากต้อนรับพวกแม่มดหมอผี” ระรินพูดประชด
กินรีรู้ดีว่าระรินหมายถึงตัวเองแต่ก็อดทนนั่งรอ ผู้ใหญ่สนหันมาอธิบาย
“กินรีเขารอหมอภราดรน่ะ...แม่หมอไม่สบายมาก อยากให้หมอภราดรไปดูเสียหน่อย”
“อ้าว...ไม่สบาย..ทำไมไม่รักษากันเองล่ะ..เห็นรักษาคนโน้นรักษาคนนี้ ...อ๋อ..แสดงว่าที่รักษาคนวันก่อนก็หลอกลวงทั้งเพ...”
ระรินหัวเราะเยาะ กินรีทนไม่ไหว โต้กลับ
“ฉันไม่ได้หลอกลวง แต่มันมีความจำเป็นบางอย่าง ที่เรารักษาไม่ได้”
“จำเป็นอะไร..บอกมาสิ...”
“เอ่อ...เอ่อ...” กินรีไม่รู้จะอธิบายยังไง
“นั่นไง...ไม่มีคำตอบแสดงว่า พวกเธอมันพวกสิบแปดมงกุฎหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆ ไป..กลับไปได้แล้ว รักษาไม่ก็ปล่อยให้ตายไปก็แล้วกัน”
ระรินพูดแรงจนผู้ใหญ่สน จ่อย และกินรีอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำแบบนี้จากนางพยาบาล แต่ยังไม่มีใครทำอะไรภราดรที่เพิ่งมาถึงก็โพล่งขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คุณพูดอะไรของคุณน่ะ คุณระริน”
“เอ่อ..คือว่า...”
ระรินหน้าซีด พยายามจะแก้ตัวแต่ ภราดรไม่สนใจหันไปหากินรี
“มีอะไรหรือกินรี”
กินรีมองหน้าภราดรแล้วยิ้มออก
แม่หมอนอนซมอยู่กลางบ้าน พะอูดูแลอยู่ไม่ห่าง มะค่าเอาข้าวต้มร้อนๆมาให้
“ข้าวต้มร้อนๆจ้ะ ยาย”
“ขอบใจเอ็งมากนะ นังมะค่า”
พะอูชะเง้อมองกินรี มะค่าจึงบอก
“เดี๋ยวพี่กินรีก็คงมา..เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก ..มายายฉันป้อนข้าวให้นะ...”
มะค่าป้อนข้าวยาย พะอูสบายใจแล้วทำท่าบอกมะค่าว่าจะไปตักน้ำที่ลำธาร มาใส่ตุ่ม
“เอ็งจะไปตักน้ำที่ลำธารหรือ...ไปเถอะ ข้าดูยายให้”
พะอูพยักหน้ารับ แล้วลงจากเรือนไป
งะดินเดนั่งสมาธิแล้วลืมตาขึ้น ร่างการเขาอ่อนแรง แต่จิตใจรับรู้ถึงแม่หมอ
“บอกแล้วว่าอย่าเล่นกับข้า....ทุกอย่างมันต้องเป็นของข้า...ทุกอย่างมันต้องขึ้นอยู่กับข้า”
งะดินเดมองไปที่เนื้อหนังตัวเองที่ทรุดโทรม แล้วหันไปสั่งคนรู
“ออกไปหาหัวใจมนุษย์มาให้ข้าอีก เอามามากๆ ข้าจะต้องสร้างพลังชีวิต...ข้าจะต้องออกจากที่นี่ให้ได้ ข้าต้องชำระความแค้นด้วยมือของข้าเอง...ไป...”
คนรูรนรานวิ่งออกไปด้วยความเกรงกลัว งะดินเดส่งเสียงคำรามก้องป่า
พะอูกำลังตักน้ำได้ยินเสียงคำรามดังมาจากแดนไกล เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปรอบๆ มองหาที่มาของเสียง
แล้วก็เห็นว่าพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม มีอะไรบางอย่างวิ่งผ่านมาแล้วตรงเข้าไปในป่า พะอูสงสัยแล้วเอามีดสั้นคู่ใจเหน็บเอวแล้วข้ามน้ำตามสิ่งนั้นไป
จ่อยขับรถให้ผู้ใหญ่สนนั่งมาข้างๆ ด้านหลังภราดรกับกินรีนั่งอยู่ด้วยกัน ภราดรมองกินรีแล้วนึกถึงชะเวมะรัตในความฝัน
“เหมือนจริงๆ”
“เหมือนอะไรหรือคะหมอ” กินรีหันมาถามแปลกใจ
“เอ่อ..ไม่มีอะไรครับ...แม่หมอมีอาการยังไงหรือครับ”
“แกทรุดลงแล้วไม่มีแรงเฉยๆ”
กินรีพูดได้แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมากระตุกที่หัว ทำให้ปวดขึ้นมาวูบหนึ่ง
“โอ๊ย...”
“กินรี...เป็นอะไร”
“อยู่ดีๆก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา”
“เธอน่าจะให้ฉันตรวจสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ...กินรีหายแล้ว”
“ดื้อจริงๆ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วขอฉันตรวจดูอาการหน่อยก็แล้วกัน”
ภราดรแสดงความจริงใจ กินรีได้แต่ยิ้มรับ
ชุดปฏิบัติการของสมรักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในป่า มีตำรวจมาด้วย 6 คน ทั้งหมดค้นหาชุมเสือ ดาบตำรวจคนหนึ่งเป็นหัวหน้าชุดหันมาบอกทุกคน
“หยุดพักตรงนี้ก่อน”
ทั้งหมดหยุดพัก สมรักษ์สงสัย
“หยุดทำไมดาบ”
“นี่ใจคอหมวด จะไม่พักบ้าเลยหรือ เราเดินกันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ”
สมรักษ์นึกได้
“โทษทีดาบ ผมใจร้อนไปหน่อย ผมอยากจับเสือใจให้มันหมดเรื่องหมดราวไปซะที”
จ่าคนหนึ่งถาม...
“ลาดตระเวนมาจนทั่วแล้วทำไม่ไม่เจอชุมเสือของเสือใจสักที”
“ไม่รู้สิ...ยังไงก็ต้องหาต่อไป..คำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่ง” ดาบบอก
“ใช่...ยังไงต้องปิดคดีให้ได้” สมรักษ์ยืนยันหนักแน่น
เสือทศกับเสือชิน ออกมาดูลาดเลา ไม่ห่างจากที่กลุ่มตำรวจนั่งพักนัก
“พ่อเสือกลัวอะไรไม่เข้าท่า ไม่เห็นต้องมา ดูลาดเลาอะไรเลย ยังไงตำรวจก็ไม่มีทางหาเราเจออยู่แล้ว” เสือชินบ่น
“เหอะน่า...เพื่อความปลอดภัย...”
เสือทศยังพูดไม่จบก็มองไปเห็นกลุ่มตำรวจนั่งพักอยู่
“ก้มลง...นั่นตำรวจ...”
ทั้งคู่ซุ่มลงกับพุ่มไม้ เสือชินคาดเดา
“มันคงตามล่าเราจริงๆด้วย...พ่อเสือคาดไม่ผิดจริงๆ..เรารีบไปรายงานพ่อเสือเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน...ข้าขอคิดบัญชีไอ้หมวดนั่นก่อน คราวที่แล้วเล่นข้าซะอ่วมเลย”
เสือชินปราม
“จะดีหรือพี่ทศ มัน 7 เราสอง”
“แต่เอ็งอย่าลืมนะว่านี่มันถิ่นเรา ทางหนีทีไล่เป็นยังไง เราชำนาญกว่ามันเยอะ ข้าขอเป่าไอ้หมวดนั่นก่อน ข้าถึงจะนอนหลับ...ไป”
ทั้งคู่ลอบเข้าไปใกล้กลุ่มตำรวจ
ชุดปฏิบัติการของสมรักษ์นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ เสือทศกับเสือชินลอบไปคนละฝั่งซุ่มอยู่ในที่กำบัง สมรักษ์หยิบกระติกน้ำมาดื่ม เสือทศเล็งปืนยาวมาที่สมรักษ์ แล้วกำลังจะเหนี่ยวไก จังหวะที่เสือทศเหนี่ยวไก พอดีมีแมลงมาตอมตาสมรักษ์ เขายกมือปัด เป้าเลยเคลื่อน กระสุนของเสือทศพุ่งเข้าที่กระติกน้ำในมือสมรักษ์กระเด็นไป ทุกคนรู้ตัว สมรักษ์สั่ง ทุกคนเข้าที่กำบัง
“ทุกคนระวัง”
เสือทศเสียดายและสบถออกมา
“ระยำเอ๊ย...”
ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ สมรักษ์และตำรวจมองหาที่มาของกระสุนนัดนั้น ทันใดเสือทศและเสือชินกระหน่ำยิงเข้าใส่สมรักษ์อย่างเมามัน
สมรักษ์และตำรวจที่หลบอยู่ เห็นเสือทศกับเสือชิน ทั้งสองฝ่ายยิงตอบโต้กัน จังหวะหนึ่งเสือทศย่ามใจ อ้อมมาข้างหลัง
“เฮ้ย...”
สมรักษ์หันมาหน้าตื่น เพราะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ เสือทศเหนี่ยวไก
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น สมรักษ์ไม่เป็นอะไร แต่เสือทศล้มลง เพราะถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้ายด้านหลัง เสือทศกลิ้งหลบไป
สมรักษ์อึ้งไปเมื่อเห็นว่าคนที่มาช่วยคือจ่าชิต
จ่าชิตเดินตรงเข้าไปยิงสองเสืออย่างไม่เกรงกลัว เสือทศหลบไปสมทบเสือชิน
“เป็นยังไงบ้างพี่ทศ”
“เรื่องเล็ก...ชิ่งก่อนดีกว่า...ไป...”
เสือทศและเสือชินยิงทิ้งทวนไปหนึ่งชุดแล้วพากันหนีไป สมรักษ์กับทุกคนรีบตามไป
เสือชินประคองเสือทศ วิ่งหนีไปตามป่า รอยเลือดหยดเป็นทาง
“ใจเย็นๆนะพี่ ใกล้ถึงชุมเสือแล้ว”
“ข้ายังไหว...”
เสือทศเจ็บแต่ใจยังสู้ รวบรวมกำลังวิ่งต่อไป ด้านหลังห่างออกไปไม่มาก แต่มองไม่เห็นกัน จ่าชิตกับสมรักษ์และตำรวจยังคงตามมา
เสือชินพาเสือทศมาถึงต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่ง
“เฮ้ย...หยุดก่อน...ตรงนี้แหละ”
เสือทศเด็ดใบไม้มาใบหนึ่งแล้วเสกคาถา ทันใดประตูมิติเปิดให้ผ่านเข้าไปในเขตชุมเสือ ทั้งคู่วิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
จ่าชิตวิ่งนำมาถึงต้นไม้แล้วเห็นรอยเลือดหยุดอยู่แค่นั้น สมรักษ์ตามมาถึงแล้วถาม
“มีอะไรหรือจ่า”
“อยู่ดีๆรอยเลือดก็หายไป”
“เป็นไปได้ยังไง เราก็ตามมันมาติดๆนี่นา”
จ่าชิตส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน
ภราดรฉีดยาให้แม่หมอ ขณะที่กินรี มะค่า ผู้ใหญ่สนและจ่อยนั่งมองอยู่
“ผมฉีดยาบำรุงให้แล้ว แม่หมอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่อ่อนเพลียเฉยๆ ช่วงนี้แม่หมอต้องพักผ่อนเยอะๆนะ แล้วอย่าลืมกินยาตามที่หมอบอกด้วยล่ะ”
แม่หมอหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยา ในใจครุ่นคิดเรื่องภราดรแต่ไม่พูด
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” กินรีบอก
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” ภราดรยิ้มให้
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะ”
ผู้ใหญ่สนกับจ่อยลุกออกไป กินรีกับภราดรเดินตามไปส่ง
“เย็นนี้ผมจะเผาศพนังหมอนมัน ถ้าว่างเชิญหมอด้วยนะครับ” ผู้ใหญ่สนหันมาบอก
“ว่างครับ ผมบอกให้ประเดิมมารับตอนเย็น”
“ขอบคุณครับแล้วเจอกัน”
ผู้ใหญ่สนกับจ่อยแยกไป กินรีขอตัวขึ้นบ้าน ภราดรยื้อไว้
“เดี๋ยวสิครับ...ผมขอคุยด้วยหน่อยนะครับ”
“เดี๋ยวยายว่าเอาค่ะ”
“แต่คุณลืมไอ้นี่ไว้ครับ”
กินรีหันกลับไปเห็นว่าหมอภราดรชูปิ่นปักผมของเธอขึ้นมา
“ปิ่นปักผมของฉัน”
“ผมเก็บได้คืนนั้น”
“ขอบคุณนะคะ นี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ทิ้งไว้ให้ฉัน”
“แม่คุณ...”
“เสียไปนานแล้วค่ะ...”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“อีกนานกว่าคนรถคุณหมอจะมา ถ้าไม่รังเกียจกินข้าวเย็นที่บ้านกินรีก่อนนะคะ กินรีกำลังจะไปทำกับข้าว”
ภราดรยิ้มรับแทนคำตอบ เมื่อถูกชวน
เสือใจถอดสายสร้อยที่มีเขี้ยวเสืออันใหญ่คล้องอยู่ จากนั้นได้ท่องคาถา บังเกิดแสงเรืองด้วยอิทธิฤทธิ์ แล้วเอาวางบนหิ้ง ก่อนจะไปอาบน้ำ จงใจวิ่งหน้าตื่นมาบอก
“แย่แล้วพ่อเสือ พี่ทศถูกยิงมา”
“มันอยู่ไหน”
“ศาลากลางหมู่บ้าน ลุงหมอชมกำลังดูให้อยู่”
เสือใจหยิบสายสร้อยสวมแล้วออกไปทันที จงใจตามไปติดๆ
เสือทศนอนให้ลุงชมรักษาบาดแผลอยู่ มีชาวบ้านมาดูสามสี่คน แวว แก้ว และหินอยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
เสือใจถามทันทีที่มาถึง เสือทศตอบเลี่ยงๆ
“ฉันออกไปดูลาดเลาตามที่พ่อเสือสั่ง แล้วเจอกับไอ้พวกหมวดนั่นเข้าเลยยิงกันนิดหน่อย”
เสือใจไม่ค่อยเชื่อ มองไปที่เสือชิน
“จริงหรือไอ้ชิน”
“จริงจ้ะ...พ่อเสือ” เสือชินตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ไม่ใช่ว่าเอ็งสองคนไปเปิดฉากก่อนนะ”
เสือทศรีบแก้ตัว
“โธ่...พ่อเสือ...มันตั้ง 7 ฉัน 2 จะไปเปิดฉากได้ยังไง”
เสือใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่ว่าอะไร แล้วไล่คนที่มามุงออกไป
“เอาล่ะ...พวกเอ็งจะมามุงกันทำไม จะไปทำอะไรก็ไปทำ นังแวว กับข้าวกับปลาเสร็จแล้วรึ”
“เอ่อ...ยังจ้ะ...ไปเด็กๆ ไปช่วยกันทำกับข้าวดีกว่า”
แววชวนจงใจ หิน แก้ว ออกไป เสือใจหันมาถามลุงชม
“อาการเป็นยังไงบ้างลุงชม”
“กระสุนทะลุไปไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ที่สำคัญอะไร”
“แล้วมันรู้ทางเข้าที่นี่ไหม” เสือใจหันมาถามเสือทศอย่างกังวล
“ไม่จ้ะ...ฉันใช้คาถาเปิดป่าเข้ามา”
เสือใจเบาใจและโล่งอก
สมรักษ์กับจ่าชิตและตำรวจ ยังคงเดินตามล่าเสือทศกับเสือชิน
“น่าเจ็บใจจริงๆ ไม่น่าปล่อยมันรอดไปเลย” สมรักษ์บ่น
“เย็นแล้ว...ผมว่ากลับกันก่อนเถอะ” จ่าชิตออกความเห็น
“ยัง...เราต้องล่ามันให้เจอ”
“ป่านนี้มันไปไกลแล้วล่ะหมวด...อย่าดื้อนักเลยป่าแถวนี้มันชำนาญกว่าเรา ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าก็โดนอีกโป้งนึงหรอก คราวนี้ผมว่าหมวดอาจจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อกี้ก็ได้”
สมรักษ์มองพวกตำรวจที่พยักหน้าเห็นด้วยกับจ่าชิต
“ก็ได้...กลับก็กลับ”
จ่าชิตเดินนำไปสมรักษ์เรียก
“จ่า...ขอบใจนะที่ช่วยผมไว้”
จ่าชิตยิ้มแทนคำตอบ แล้วเดินนำไป
มะค่ากับกินรีช่วยกันยกอาหารมาที่ชานเรือน ภราดรนั่งรออยู่แล้ว
“กับข้าวที่บ้านป่าก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอกินได้หรือเปล่า”
กินรีถามอย่างไม่สบายใจ เพราะอาหารมีแค่ปลาทอด น้ำพริกกับผักลวก
“ได้สิ...ผมกินง่ายอยู่ง่าย..มา มากินด้วยกันกินรี มะค่า”
“ตามสบายเลยพี่กินรี คุณหมอ ฉันต้องกลับบ้านก่อน เย็นแล้ว เดี๋ยวโดนแม่ว่าเอา” มะค่าบอก
“ตามใจ...ขอบใจมะค่ามากนะ อ้อ...พี่ฝากตะเกียงไปคืนแม่ด้วยนะ แขวนอยู่ข้างล่างน่ะ”
“จ้ะ...”
มะค่าลงเรือนไป ภราดรชวนคุย
“เรื่องหน้ากากที่ตก...ประเดิมบอกว่า มันจะทำให้เกิดลางร้าย”
“ชาวบ้านเขาเชื่อกันอย่างนั้นค่ะ ว่าถ้าหน้ากากผีฟ้าตกถึงพื้น ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี มันเป็นลางสังหรณ์ของพวกเขาค่ะ”
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณจะเป็นร่างทรงคนนั้น คุณดูสวย แล้วก็สาวเกินกว่าที่จะเป็น เอ่อ...แบบนั้น”
“เราสืบทอดตำแหน่งกันมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยที่เราอพยพมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ลูกสาวคนหนึ่งจะถูกคัดเลือกให้เป็นร่างทรงของผีฟ้าหน้าทอง จนมาถึงยาย แต่ยายไม่มีลูก ไม่มีหลานสืบต่อ ก็เลยถ่ายทอดมาให้ฉัน”
“แล้วคุณก็รับ”
“ได้ช่วยคนอื่นให้มีชีวิตต่อ หรือว่าหมอไม่อยากทำคะ”
“ก็จริงของคุณ ได้ช่วยชีวิตคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ถ้าทำได้ผมก็จะทำเหมือนกัน แต่วิธีของคุณแปลกมาก...คุณทำได้ยังไง ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
“มันเกิดจากความเชื่อและความศรัทธา แต่บางคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ หรือว่าหลอกลวง”
“อย่าไปโทษเขาเลยครับ เพราะบางที ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจ”
“ก็ไม่ได้โทษใครนี่คะ...โดยเฉพาะแฟนคุณหมอ...พยาบาลคนนั้น”
“ถ้าคุณหมายถึงคุณระรินล่ะก็...เอ่อ...ไม่ใช่แฟนผมครับ เธอเป็นพยาบาลผู้ช่วยผมแค่นั้นเอง”
“อ้าว หรือคะ งั้นฉันต้องขอโทษคุณหมอด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ”
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
ใกล้ค่ำ...ขณะเดินทางเข้าเขตป่าตีนเขาที่จะเข้าเขตบ้านสาง อากาศกลับเย็นยะเยือก จ่าชิตรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปลอดภัย จึงหยุดมองไปรอบๆ
“มีอะไรหรือจ่า”
“ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนมีใครกำลังจ้องเราอยู่”
สมรักษ์ขนลุกขึ้นมาทันที แม้ว่าตะวันยังไม่ตกดินความรกครึ้มของต้นไม้ก็ทำให้บรรยากาศดูสลัว
หินก้อนเล็กๆไหลลงมาจากผาเล็กๆด้านหลังสมรักษ์ จ่าชิตหูไวแล้วหันไปมองทันที เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปบนผาเล็กๆ แล้วตะลึงเมื่อเห็นเสือโคร่งตัวมหึมายืนตระหง่านอยู่บนนั้นพร้อมที่จะกระโจนลงมาได้ทุกเมื่อ
พระจันทร์ดวงโตลอยอยู่บนท้องฟ้าสาดสะท้อนแสงสว่างนวลลงมา กระทบกับก้อนหินบนชะเงื้อมผา ซึ่งมีร่างของเสือโคร่งตัวมหึมา ยืนจังก้าเป็นเงาดำทะมึน
“เฮ้ย...เสือ...”
ตำรวจคนหนึ่งร้องเสียงดัง ทุกคนผงะด้วยความตกใจ เสือโคร่งแยกเขี้ยว ส่งเสียงคำรามก้อง มองไปทางสมรักษ์ที่หลบอยู่ใต้หน้าผาเตี้ยที่มันยืนอยู่
“หมวดระวัง” จ่าชิตตะโกนบอก
เสือโคร่งกระโจนลงมาบนก้อนหิน สมรักษ์เผ่นออกจากข้างก้อนหินที่ซ่อน กระโดดหนี แต่พลาดท่า ลื่นตกลงไปในซอกหินริมตลิ่ง เสือโคร่งจะกระโจนเข้าขย้ำ จ่าชิตยิงปืนใส่เสือไปชุดหนึ่ง พลางตะโกน
“ยิงมัน...”
เสือโคร่งหันกลับมาทางกลุ่มจ่าชิต แล้วกระโจนตัวลอยเข้าหา ทุกคนระดมปืนยิงเข้าใส่
เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! เปรี้ยง !
กระสุนโดนเสือโคร่งเข้าอย่างจัง แรงปะทะจากกระสุนหลายนัด ทำให้เสือโคร่งกระเด็นไปกระทบต้นไม้ แต่มันกลับลุกขึ้นมา กระสุนปืนทำอะไรมันไม่ได้ ทุกคนพากันตกใจ
“จ่าเอาไงดี” ตำรวจร้องถาม
“ยังไม่รู้ แต่วันนี้ ฉันต้องเอาหนังมันไปแปะฝาบ้านให้ได้”
เสือร้ายหันหน้าจังก้ามายังตำรวจที่ยืนตะลึงเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา สมรักษ์ที่อยู่ห่างไปทางข้างหลังตั้งตัวได้แล้วมองไปที่เสืออย่างถนัด เขาตัดสินใจยกปืนขึ้นยิง
เปรี้ยง !!!
กระสุนปืนแล่นออกจากลำกล้อง ปะทะเข้ากับหัวของเสือโคร่งเต็มๆ หัวของมันสะบัดไปตามแรงกระสุน ก่อนที่จะล้มตึงลงกับพื้น
“เสร็จล่ะมึง”
สมรักษ์พยายามชักขาออกมาจากซอกหิน แต่ก็หยุดชะงัก ตาค้าง เพราะร่างของเสือโคร่งที่ล้มลงไปเพราะแรงกระสุนเมื่อครู่นี้ ค่อยๆลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนมันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ก่อนที่จะหันมาแยกเขี้ยวใส่อย่างดุร้าย
สมรักษ์พยายามที่จะขยับตัววิ่งหนี แต่ขาที่ลื่นตกลงมาเมื่อครู่นี้แพลง ขยับไม่ได้ เสือโคร่งกระโจนเข้าใส่ กรงเล็บของมัน ตะกุยเข้าปะทะที่หน้าอกของสมรักษ์จนผงะล้มลงไป จ่าชิตร้องลั่นด้วยความตกใจ
“หมวด !”
จ่าชิต และตำรวจช่วยกันระดมยิงปืนเข้าใส่ แต่กระสุนไม่สามารถที่จะทำอันตรายมันได้ ยิ่งทำให้มันดุร้ายมากยิ่งขึ้น
เสือสมิง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เสือโคร่งหันกลับ กระโจนเข้าหา ตำรวจและจ่าชิต แตกฮือ กระเจิงไปคนละทาง สมรักษ์พยายามที่จะลุกขึ้น แต่ขาที่แพลง ทำให้ลุกยืนไม่ถนัด เสือโคร่งเดินย้อนกลับมา มองดูสมรักษ์ที่กำลังพยายามช่วยตัวเองอยู่ที่ริมห้วย ก่อนที่จะย่างสามขุมเข้าไปหา
จ่าชิตมองไปที่สมรักษ์ด้วยความเป็นห่วง แล้วเล็งปืนยิงเสืออีกครั้ง แต่กระสุนขัดลำกล้อง
“โธ่เว้ย...”
จ่าชิตพยายามคัดกระสุนที่ขัดลำกล้อง แล้วหันไปบอกตำรวจ
“ช่วยหมวดเร็ว”
ตำรวจตั้งสติได้ต่างเล็กปืนไปที่เสือโคร่งที่เข้าใกล้สมรักษ์ทุกที สมรักษ์ยิงปืนใส่เสื้อโคร่งจนหมดแม็ก แต่กระสุนไม่สามารถที่จะระคายผิวของมันได้
เสือโคร่งกระโจนเข้าใส่ พร้อมกับตำรวจยิงปืนไปที่เสือ สมรักษ์ดิ้นรนสุดกำลัง กลิ้งตัวหนี จนหล่นลงไปในน้ำดังตูม ชายหนุ่มพยายามกระเสือกกระสน พยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้จมน้ำ อาศัยสายน้ำคอยพยุงตัว และให้กระแสน้ำช่วยผลักดันให้ตนเองเลื่อนไหล หนีเสืออย่างสุดชีวิต เสือตามสมรักษ์และหายไปด้วยกันทั้งคู่
จ่าชิตกับตำรวจวิ่งมาดู พลางร้องเรียก
“หมวด...หมวด...”
ไม่มีเสียงตอบ ทุกคนพากันเครียดด้วยความเป็นห่วงสมรักษ์
ระรินกับเดือนเดินออกมาจากห้องทำงานด้วยกัน เตรียมจะกลับบ้าน
“ฉันกลับก่อนนะ” เดือนจะแยกไป
“เดี๋ยวสิ...เดี๋ยวไปพร้อมกัน”
ระรินเดินมาที่โต๊ะประเดิม
“นี่นายประเดิม จะมืดค่ำแล้วยังไม่ไปรับหมออีกหรือ”
ประเดิมยียวนกวนประสาทตามประสา
“ผมจะไปเมื่อไหร่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยหรือครับ ท้องไม่ได้ติดกันซะหน่อย เอ....หรือว่าอยากจะท้องติดกัน”
ระรินแทบกรี๊ด
“ไอ้บ้า...ไอ้ลามก...ไอ้คนขับรถเฮงซวย คอยดูนะฉันจะบอกหมอให้ไล่แกออก”
“เชิญไปเพ็ดทูลได้เลย...แต่ตอนนี้ผมยังไม่ว่าง...หมอสั่งว่าว่างแล้วค่อยไปรับก็ได้...ผมกำลังทำตามคำสั่งหมออยู่นะ”
ระรินไม่พอใจ เดือนไม่อยากให้มีเรื่องจึงไกล่เกลี่ย
“พอเถอะระริน...นี่นายประเดิมฉันว่านายรีบไปรับหมอเถอะ กว่าจะถึงบ้านสางก็ค่ำพอดี”
ประเดิมรู้สึกดีที่เดือนพูดดีๆ
“ได้ครับ...คุณจะติดรถกลับบ้านด้วยไหม”
“ดีเหมือนกัน”
“ฉันไปด้วย...”
ระรินมองหน้าประเดิมแบบเชิดๆแล้วเดินนำไป
กินรีเก็บถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้าน ภราดรนั่งเล่นที่ชานหน้าบ้าน แม่หมอรู้สึกดีขึ้นแล้วเดินออกมาหา
“ยังไม่กลับหรือหมอ”
ภราดรยิ้มให้
“คนขับรถยังไม่มารับน่ะครับ...แต่เดี๋ยวผมก็จะไปร่วมงานศพเมียผู้ใหญ่สนครับ”
“น่าสงสารนังหมอน”
“แม่หมอค่อยยังชั่วแล้วหรือครับ”
“ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นๆหายๆ วิธีของหมอก็ได้แค่บรรเทา”
ภราดรแปลกใจ
“แล้ววิธีของแม่หมอล่ะ...เอ่อ...ผมหมายถึงพิธี....เอ่อ...”
“กลืนบาป...”
“ครับ...พิธีนั่นรักษาไม่ได้หรือ”
“หมอเชื่อเรื่องนี้ด้วยหรือ...ฉันไม่อยากให้กินรีรับบาปมากไปกว่านี้....อีกอย่างนะหมออย่าหาว่าฉันใจจืดใจดำ...ฉันไม่อยากให้หมอมาที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะครับ หรือว่าเรื่องหน้ากากนั่น...”
“ไม่ใช่...แต่เพื่อความปลอดภัยของหมอเอง”
ภราดรก็ยังไม่หายข้องใจ แต่ไม่ทันที่แม่หมอจะเล่าต่อกินรีก็ออกมาที่หน้าชานบ้าน
“ยายค่อยยังชั่วแล้วหรือ”
“ยายไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ นี่พะอูมันไปไหน”
“นั่นสิ...เห็นว่าจะไปตักน้ำที่ลำธาร นี่ก็นานแล้ว” กินรีนึกเป็นห่วงน้องขึ้นมา
“ช่างมันเถอะ”
แม่หมอสีหน้าสลดแล้วเดินเข้าบ้านไป ภราดรมองตามและสงสัยในความลึกลับของแม่หมอและกินรี
กลางป่า...พะอูที่ตามบางสิ่งมา รู้สึกว่ามันหายไปบริเวณนี้ มีสายตาลึกลับบางอย่างจ้องอยู่ พะอูรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ลมเบาปลิวมาปะทะร่างจนรู้สึกสะท้าน เขากำมีดแน่น แล้วมองไปรอบๆ
ทันใด เสือโคร่งตัวมหึมากระโดดลงมาจากคบไม้กระโจนเข้าหา เสียงคำรามก้องไปทั้งป่าอย่างน่ากลัว พะอูกวัดแกว่งมีดสู้และหลบฉากไป เสือโคร่งทะยานขึ้นจากพื้นกระโจนเข้าหาอย่างดุร้าย พะอูแผดเสียงร้องออกมา เหมือนคำราม ขณะที่มือข้างหนึ่งถือมีดเหน็บชูขึ้นเหนือหัวเป็นการป้องกันตัว
เล็บของเสือที่กระโจนเข้าใส่เมื่อสักครู่ทำให้พะอูได้แผล แต่พะอูก็ตัดสินใจสู้ต่อ อย่างรวดเร็ว...เสือกระโจนเข้าใส่พะอู ร่างของมันลอยอยู่กลางอากาศและกำลังกางเล็บออกอย่างเต็มที่หมายตะปบเหยื่ออย่างพะอู
เปรี้ยง !
เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ร่างของเสือโคร่งกระตุกผงะกลางอากาศ ก่อนที่จะหล่นลงพื้น
เปรี้ยง !
ร่างของเสือโคร่งผงะเมื่อถูกยิงซ้ำ พะอูตกใจ หันขวับไปดู อองไชยซึ่งเป็นพรานป่า เล็งปลายกระบอกปืนไปยังเสือโคร่งที่กำลังจะพยายามลุกขึ้นยืน
“เสร็จข้าละวะ “
เปรี้ยง ! เปรี้ยง !
เสือโคร่งกระเด็นหงายหลังไปตามแรงปะทะของลูกกระสุน อองไชยเดินตามเข้าไปอย่างช้าๆ ระมัดระวัง ก่อนที่จะยิงซ้ำ เป็นการปิดฉาก
เปรี้ยง !
เสือโคร่งกระตุกสองสามที ก่อนที่จะนิ่งเงียบไป ตายสนิท
“นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน”
อองไชยหันไปทางพะอูซึ่งมองดูเสือที่นอนตาย ด้วยสายตาที่เฉยเมย
“เป็นอย่างไรไอ้หนู ใจกล้าเหมือนกันนี่หว่า ถ้าเป็นคนอื่นก็เปิดตูดเผ่นแน่บไปแล้ว”
พะอูไม่ตอบ
“อ้าว..หยิ่งเว้ยเฮ้ย...ข้าช่วยเอ็งไว้ จะขอบคุณสักคำไม่มี”
พะอูทำท่าใบ้ขอบคุณ
“อื้อ..อ้า...อื้อ...”
อองไชยเข้าใจทันที
“เอ็งเป็นใบ้หรอกหรือ โทษทีว่ะ....แล้วนี่พวกเอ็งอยู่แถวไหนล่ะ ถึงได้มาปะหน้ากับไอ้เสือตัวนี้ได้ ข้าอุตส่าห์ตามมันมาตั้งนาน”
พะอูชี้ไปทางบ้านสาง
“อ้อ...บ้านสางเหรอ”
พะอูส่งภาษใบ้ว่าลุงตามเสือตัวนั้นมาทำไมล่ะ
“ก็จะยิงมันเอาหนังไปขายไง ข้าเป็นพรานล่าเสือ” อองไชยมองพะอูอย่างพิจารณา
พะอูเห็นตนเองโดนมองแบบสำรวจตรวจตราก็ไม่ค่อยพอใจ เลยจ้องหน้ากลับไป
ส่วนอองไชยบอกกับตัวเองในใจว่า
‘เด็กคนนี้ ท่าทางแปลก ไม่ธรรมดา ถ้าเป็นคนอื่นมันคงจะเผ่นหนีไปนานแล้ว แต่ไอ้หนูนี่ กล้าสู้เสือซะด้วย มันลูกเต้าเหล่าใครวะ...’
พะอูมองตามด้วยสายตาที่กังขา รู้สึกว่า คนๆนี้ไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็น จึงทำท่าบอกว่าจะกลับบ้าน
“ตามสบาย ข้าจะจัดการไอ้ตัวนี้ก่อน”
พะอูเดินแยกไป ทิ้งให้อองไชยอยู่กับซากเสือโคร่งตามลำพัง
ค่ำคืนนั้น...จ่าชิตนำทางตำรวจตามหาสมรักษ์ในป่า บริเวณริมธารน้ำตก ทุกคนต่างถือคบไฟมองไปรอบๆ
“หมวด....หมวด...”
จ่าชิตร้องเรียก ไม่มีเสียงตอบ ตำรวจนายหนึ่งออกความเห็น
“จ่า...ผมว่าเราไปตามชาวบ้านมาช่วยกันหาดีกว่า”
“ดีเหมือนกัน” จ่าชิตเห็นด้วย
อองไชยจุดกองไฟ แล้วพนมมือบริกรรมคาถาตรงหน้าร่างเสือโคร่ง ข้างตัวมีน้ำเต้าที่ทำเป็นขวดใส่น้ำวางอยู่ ตัวเสือมีแสงเรืองขึ้นมานิดเดียวแล้วดับไป อองไชยลืมตาขึ้นอย่างผิดหวัง
“ไม่ใช่ตัวนี้...ข้าต้องตามล่าเจ้าให้ได้ ...เสือสมิงตัวที่ 11”
ไฟเผาร่างของสมรบนฟืนกองใหญ่ ผู้ใหญ่สน เสน ยืนมองศพสมรที่กำลังมอดอยู่ในกองเพลิงน้ำตาคลอ
“แม่...” เสนสะอื้น
“แม่เอ็งไปดีแล้วเสน” ผู้ใหญ่สนปลอบลูกชาย
แม่หมอยืนมองเปลวไฟ ทำพิธีสวดส่งวิญญาณ ขณะที่ภราดร ซึ่งยืนใกล้กับระริน กินรีและมะค่าอีกด้านมองร่างที่เปลวไฟจิตในภวังค์ปรากฏภาพบางอย่าง...
800 ปีก่อน...ณ ลานประหาร ชะเวโบถูกโยงขึ้นที่เสา ด้านล้างเป็นฟืน มีทหารคอยผูกเชือกสองคน ใกล้ๆกันมีทหารหลายคน
“ข้าไม่ผิด...ข้าไม่ผิด...” ชะเวโบโวยวายลั่น
บาเยงโบหยิบคันศรและลูกศรจุดไฟแล้วยิงเข้าใส่กองเพลิง ไฟลุกโชนขึ้นทันที ชะเวโบร้องลั่นและอาฆาต
“ข้าจะจองล้างจองผลาญเจ้าทุกชาติไป...”
ร่างของชะเวโบละลายหน้าเกลียดแล้วพุ่งออกมา
ภราดรสะดุ้งถอยหลัง แล้วร้องเสียงดัง ตกใจสุดขีด
“ไม่...”
ผู้คนในงานต่างตกใจ ขณะที่ภราดรทรุดล้มลงหน้าซีด กินรีเข้าไปประคองอย่างตกใจ
“คุณหมอเป็นอะไรไปคะ...”
ภราดรขวัญผวา
“ไม่..ไม่..อย่า...”
“คุณหมอ...คุณหมอคะ...”
ภราดรเริ่มรู้สติ ระรินรีบวิ่งเข้ามาประคอง แล้วผลักกินรีออกไป
“หลีกไป...คุณหมอคะ มานั่งตรงนี้ก่อนเถอะค่ะ”
ผู้คนต่างมามุงดูภราดร ผู้ใหญ่เสนกับแม่หมอก็เดินเข้ามา ระรินไล่ทุกคน
“เข้ามากันทำไม...คุณหมอเป็นลม ต้องการอากาศ ออกไปยืนห่างๆ”
ภราดรรู้สึกดีขึ้นแล้วทรงตัวนั่งตรงๆ
“ผม...ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
ห่างออกไปพะอูเดินเข้ามาในฝูงชนอย่างแปลกใจ เขาตรงมาที่กินรีกับมะค่า
“พะอู...หายไปไหนมา พี่เป็นห่วงรู้ไหม” กินรีหันไปทัก
“ไหนเอ็งบอกว่าจะไปตักน้ำไง” มะค่าถาม
พะอูอธิบายภาษามือว่าตามเสือโคร่งตัวใหญ่เข้าไปในป่า กินรีตกใจ
“อะไรนะพะอู...ตามเสือตัวใหญ่เข้าไปในป่า”
ผู้ใหญ่สนหันมาถามทันที
“เจอมันไหม”
พะอูแสดงท่าทางว่าเจอ แล้วต่อสู้กับมัน มะค่าพูดตาม
“เจอ..แล้วเอ็งต่อสู้กับมันหรือ”
พะอูพยักหน้าว่าใช่ ผู้ใหญ่สนไม่เชื่อทำสีหน้าเยาะพะอู ชาวบ้านทุกคนก็เห็นว่าพะอูสร้างเรื่องขึ้นมา
“ถุย...เอ็งเนี่ยนะไปสู้กับเสือ...นอกจากหน้าอัปลักษณ์แล้วยังขี้โม้โกหกอีก..ไปไกลๆเลยไป”
ผู้คนโห่ไล่พะอู บ้างก็ก่นด่า
“ไอ้หน้าผีขี้โกหกเอ๊ย...ใครเชื่อเอ็งก็ปัญญาอ่อนสิ้นดีแล้ว...”
แม่หมอเข้าไปปลอบพะอู
“เขาจะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะพะอู”
พะอูทำท่าบอกว่าเขาพูดจริง น้ำตาเอ่อด้วยความน้อยใจ กินรีรีบบอก
“พี่เชื่อพะอูนะ...กลับบ้านกันเถอะ”
มะค่ารีบบอกบ้าง
“ข้าก็เชื่อเอ็งพะอู”
ผู้ใหญ่สนประกาศ
“แต่ข้าไม่เชื่อ...นี่แม่หมอสอนหลานแม่หมอให้ดีๆหน่อย ริโกหกตั้งแต่ตอนนี้อีกหน่อยมันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ”
“เด็กคนนั้นพูดเรื่องจริง”
เสียงอองไชยดังขึ้น ชาวบ้านหันไปดูแล้วแหวกทางให้มาอยู่ตรงกลาง อองไชยแบกเสือโคร่งตัวนั้นมาโยนลงบนพื้น
“ข้าเห็นไอ้หนูคนนี้มันสู้กับเสือกับตา...แต่มันกำลังจะไม่รอด ข้ามาช่วยมันทันพอดี”
ผู้ใหญ่สนตาวาว
“ต้องเป็นไอ้ตัวนี้แน่ที่ฆ่านังหมอนเมียข้า”
อองไชยท่าทางภาคภูมิใจ
“นี่แสดงว่าข้าจับโจรได้ล่ะสิ...อย่างนั้นก็มีรางวัลนำจับใช่ไหม”
“ใช่...ข้าจะตอบแทนเจ้า...”
ผู้ใหญ่สนไม่รู้จักชื่อ
“อองไชย...ข้าเป็นพรานชื่ออองไชย มาจากฝั่งโน้น”
จ่าชิตเดินเข้ามา มองดูเสือที่ตายอยู่กับพื้น
“เสือที่กัดเมียผู้ใหญ่ตายไม่ใช่ตัวนี้หรอก”
“เจ้ารู้ได้ยังไง...” อองไชยหันไปถาม
“ก็ข้าเพิ่งเจอมันมา...ที่สำคัญ ไอ้เสือตัวนั้นลูกปืนไม่ระคายผิวมันเลย”
อองไชยตาโตด้วยความดีใจ
“เสือสมิง...เจ้าเจอมันที่ไหน”
“ชายป่าตีนเขา มันโจมตีเราและตะปบหมวดสมรักษ์ตกน้ำหายไป”
ทุกคนตกใจ ภราดรเป็นห่วงสมรักษ์
“จ่าหาทั่วแล้วหรือ”
“พวกเราแทบจะพลิกป่าอยู่แล้วครับหมอ...ผมเลยอยากจะมาขอแรงชาวบ้านกับผู้ใหญ่ตามหาด้วย”
ผู้ใหญ่สนประกาศทันที
“ได้...ไอ้จ่อยระดมชาวบ้านออกตามหาหมวดสมรักษ์..คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้กลับเข้าบ้านปิดประตูให้แน่นหนา...ไปได้”
อองไชยรีบบอก
“ข้าจะไปด้วย...”
ทุกคนแยกย้ายกันไปทันที
สมรักษ์เดินโขยกเขยก ไปตามลำธาร อย่างไม่ค่อยมีแรง เขามองไปรอบด้านซึ่งมีแต่ความมืด แล้วในที่สุดเขาก็ฟุบลงและสลบไปที่ริมลำธารแห่งนั้น
ไม่ห่างกันนักคือชุมโจรเสือใจ ซึ่งมีคนเดินเฝ้าเวรยามตามจุดต่างๆ เสือใจนั่งอยู่หน้าบ้าน จงใจเดินมานั่งคุยด้วย
“ดึกแล้วพ่อยังไม่นอนหรือจ๊ะ”
“พ่อยังไม่ง่วง นั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ”
“เรื่องพี่ทศหรือ”
เสือใจถอนหายใจ
“....เมื่อไหร่พวกมันจะเข้าใจเสียทีว่า การเป็นเสือมันไม่ได้มีประโยชน์เลย พ่ออยากจะตั้งต้นชีวิตใหม่ ทุกวันนี้เราสร้างชุมชนปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ มีอาชีพพอเลี้ยงตัวเองได้แล้ว เราอยู่ของเราเงียบๆ ตำรวจก็ไม่มากวน...ต่างคนก็ต่างอยู่ เวลามันจะค่อยๆลบเลือนไปเอง”
จงใจเข้าใจเสือใจแล้วกอดอย่างอบอุ่น
“ทำไมพ่อไม่มอบตัวสู้คดีล่ะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก เราสู้พวกอิทธิพลเขาไม่ได้หรอก มอบตัวไปก็เท่านั้น ทางที่ดีเราอยู่เงียบๆไม่ให้ตำรวจรู้จะดีกว่า”
จงใจพยักหน้าอย่างเข้าใจ แววเดินเอาเสื้อมาให้เสือใจ
“พี่เสือ...นี่จ้ะ...เสื้อ..ฉันปะชุนให้เรียบร้อยแล้วจ้ะ...”
“ขอบใจมาก...แวว”
“ฉันกลับก่อนนะ”
“อยู่คุยกันสักพักก็ได้”
จงใจรีบบอก
“ง่วงแล้วฉันไปนอนก่อนละกัน”
จงใจเดินอมยิ้มเข้าบ้านไป อยากจะให้คู่นี้ลงเอยกัน
จ่าชิตนำพวกผู้ใหญ่กับชาวบ้านมาในป่า ถึงจุดสุดท้ายที่เขาตามหาสมรักษ์
“นี่คือจุดสุดท้ายที่ผมตามหาหมวด”
ผู้ใหญ่สนมองไปตามทาง เห็นว่ามันมีทางแยกไปหลายเส้น
“ทางมันแยกไปหลายเส้น เราแยกกันค้นหาดีกว่า”
“ได้ ผมจะไปทางนี้...” จ่าชิตชี้ไปด้านหนึ่ง
ทุกคนรับรู้แล้วแยกกันไป ออกไชยรีบบอก
“ข้าจะไปกับจ่า”
อองไชยบอกทันทีอย่างหมายมาดที่จะจับเสือสมิงให้ได้
ภราดรกลับมาที่บ้านกินรี พร้อมระริน และประเดิม กินรีนำกระเป๋ายาลงมาให้
“นี่ค่ะกระเป๋า..ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าลืมให้แม่หมอกินยาตามเวลานะครับ”
ระรินพูดขึ้นอย่างกวนๆ
“ไม่ต้องไปเตือนหรอกคุณหมอ ถ้าไม่กินก็ปล่อยให้ตายไปเลย”
ประเดิมแย้ง
“อ้าวทำไมคุณระรินพูดอย่างนั้นล่ะ”
“ทำไม...นึกว่าฉันอยากรักษานักหรือไง มีเวทมนต์คาถาก็น่าจะพึ่งตนเองสิ..ทีกับชาวบ้านเนี่ย อวดวิเศษจัง”
ภราดรตัดบท
“คุณระริน....พอทีเถอะ...ผมว่าคุณเงียบๆไว้จะดีกว่า”
ระรินจ๋อย กินรีมองหน้าระรินแล้วไม่พูดอะไร หันไปชวนพะอู
“ไปพะอูขึ้นบ้านเถอะ”
ภราดรกำลังจะจากไป แม่หมอเรียกไว้
“เดี๋ยว...คุณหมอ...เชิญขึ้นมาบนนี้สักเดี๋ยวเถอะ”
ภราดรแปลกใจ แต่ก็ตามขึ้นไป ระรินละตาจากภราดรแล้วหันมาเจอชะเวมะรัตอย่างไม่คาดคิด ใบหน้าของชะเวมะรัตดูดุและน่ากลัว
“ว้าย....”
ระรินโผเข้ากอดประเดิมอย่างไม่รู้ตัวแล้วหลับตาปี๋ เอาหน้าซุกที่หน้าอกของประเดิม
“ผี....ผี..หลอก”
“อะไรกันคุณระริน...ผีที่ไหน”
ประเดิมไม่เห็นมีอะไรแต่ก็ชอบใจที่กินรีกอดซบเขา เขายิ้มแล้วแกล้ง
“ใช่นั่น...ผี..ผีจริงๆด้วย อย่ามองนะคุณระริน...อูยน่ากลัวชะมัดเลย”
ประเดิมยิ้มอย่างพอใจ สูดดมความหอมของระรินอย่างสบายใจ
จ่าชิตเดินนำอองไชย มาตามทาง พลางร้องเรียก...
“หมวด....หมวดสมรักษ์”
ตำรวจที่มาด้วยช่วยกันร้องเรียกแต่ไม่มีคำตอบ อองไชยสนใจเรื่องเสือสมิงมากกว่า
“นี่ท่านจ่า...เสือที่ท่านเห็นน่ะตัวมันขนาดไหน”
“ประมาณ 6 ศอกเกือบ7 ศอกเห็นจะได้”
“ต้องใช่มันแน่”
“ทำไมนายถึงต้องการมันนัก”
“บอกตรงๆ ข้าเป็นพรานล่าเสือสมิง ว่ากันว่า ในโลกนี้มีเสือสมิง 12 ตัว ประจำสิบสองราศี ข้าล่ามันมา ได้ 10 ตัวแล้ว ทุกตัวที่ข้าฆ่ามันได้ ข้าจะเก็บวิญญาณของมันใส่ไว้ในขวดนี้”
อองไชยชูขวดน้ำเต้าให้จ่าชิตดู
“นายฆ่ามันยังไง”
“อาคม...ฆ่าเสือสิงต้องใช้อาคม แต่เสือบางตัวก็มีอาคมแก่กล้า เอาชนะมันยากเหมือนกัน”
“มิน่าข้ายิงมันไม่ตาย”
“จะยิงมันต้องใช้กระสุนเสกแบบนี้”
อองไชหยิบกระสุนออกมาจากย่ามกำมือหนึ่งราว 4 - 5 ลูก แล้วส่งให้จ่าชิต
“ข้าให้ท่านจ่า...แต่ถ้ายิงมันได้ต้องให้เสือข้านะ”
“ข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเหมือนกัน...ให้เจอมันเถอะ ตอนนี้หาหมวดสมรักษ์ก่อนดีกว่า”
จ่าชิตนำทีมเดินหาหมวดสมรักษ์ต่อ
เสือทศนั่งดื่มเหล้ากับเสือชินในที่พัก พลางบ่น
“ไอ้หมวดนั่นมันดวงดีจริงๆ แต่มันคงจะไม่ดวงดีซ้ำสองหรอก”
“นี่พี่คิดจะเก็บมันอีกหรือ”
“เออสิวะ...ปล่อยมันไว้ทำพ่อเหรอ”
“แต่ พ่อเสือห้ามไม่ให้ออกไปนะ”
“นับวันพ่อเสือยิ่งใจอ่อนลงทุกที ไม่เหมาะจะคุมชุมเสือนี้เลย”
เสือชินตกใจที่ได้ยินแบบนี้
“พี่ทศ พี่อย่าพูดแบบนี้นะ...ใครได้ยินมันจะไม่ดี”
“ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง...ขืนปล่อยไอ้หมวดนั่นมันลอยนวลไป วันหนึ่งมันต้องเป็นอันตรายกับเราเข้าสักวัน”
เสือชินพยักหน้าเห็นด้วย กับสิ่งที่เสือทศบอก
ประเดิมขับรถฝ่าความมืดไปตามทาง เพื่อจะส่งภราดร และระรินกลับบ้าน
“เดี๋ยวผมส่งหมอก่อน แล้วจะแวะไปส่งคุณระรินนะครับ” ประเดิมบอก
ภราดรนิ่ง ระรินที่นั่งอยู่ด้านหลัง แกล้งแหย่
“นี่หมอ ตั้งแต่ขึ้นรถมาหมอยังไม่พูดอะไรสักคำ...เอ...หรือว่าจะถูกพวกแม่มดแม่หมอนั่นมันเสกของใส่เอา”
ประเดิมเห็นด้วยกับระริน ภราดรยังนั่งนิ่ง
“นั่นสิครับ แม่หมอเรียกคุณหมอไปคุยเรื่องอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
ภราดรบอกเลี่ยงๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา...
แม่หมอพาภราดรไปนั่งที่หน้าโต๊ะบูชาตามลำพัง
“มีอะไรหรือครับ” ภราดรถามอย่างแปลกใจ
“ฉันมีบางอย่างจะให้”
แม่หมอหยิบประคำที่ทำจากไม้หอมส่งให้
“เก็บเอาไว้”
“มีอะไรหรือครับ”
“เก็บเอาไว้...มันจะช่วยหมอได้ในยามขับขัน มันเป็นเครื่องรางที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ”
ภราดรมองที่โต๊ะบูชาเห็นรูปปั้นต่างๆ มีผีนัตสองตนที่เขาสะดุดตา
“รูปปั้นพวกนี้หรือครับ”
“ใช่....นั่นคือผีนัตของพม่า ชาวบ้านที่นี่และในพม่า เรียกว่าผีฟ้าหน้าทองกับน้องชายของเธอ ผีนัตสองตนนี้เป็นผีที่ดุมาก ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือมากที่สุด”
ภราดรซึ่งนั่งฟังอย่างแปลกใจ แม่หมอมองเขาอย่างสังเกต
“คุณยายเป็นคนพม่าหรือครับ”
“เราเป็นคนไทย เพียงแต่เรามีเชื้อสายของพม่า ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยปู่ทวดมาแล้ว”
ภราดรหันไปมองทางกินรีที่นั่งไกลออกไป และกำลังทำบายสีจัดดอกไม้กับพะอู
“มิน่าล่ะ...กินรีถึงได้หน้าตาสะสวย คมเหมือนคนพม่า และพะอูทำไมเอ่อ...”
ภราดรไม่กล้าจะพูดว่าอัปลักษณ์ แม่หมอจึงเล่าให้ฟัง
“พะอูไม่ใช่น้องแท้ๆของกินรีหรอก ข้าเก็บมันมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ เวทนามัน ตอนที่ไปเจอน่ะ โดนอะไรไม่รู้ทำร้ายจนเนื้อตัวแหลกยับไปหมด รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว”
“น่าสงสารจัง... แล้วนี่เขาเป็นใบ้หรือครับ”
“ก็น่าเวทนาอยู่หรอก มันเป็นใบ้ หลังค่อมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่มันฟังรู้เรื่องทุกคำพูดนะ”
“ถ้าเขาฟังรู้เรื่อง ก็อาจจะไม่ได้เป็นใบ้ก็ได้นะครับคุณยาย เพราะคนเป็นใบ้ พูดไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงเรา”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่ยอมพูดเลยสักคำ...แล้วนี่คุณหมอทำยังไงถึงได้โดนย้ายมาที่นี่ล่ะ”
“ผมไม่ได้โดนย้ายหรอกครับคุณยาย ผมขอย้ายมาอยู่เองแหละ”
“ปกติที่นี่ไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่มากนัก มันป่าดงทั้งนั้น”
“นั่นสิครับ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากมา เหมือนกับว่ามีอะไรก็ไม่รู้บอกให้ผมมาอยู่ที่นี่”
แม่หมอมองดูภราดรด้วยสายตาที่นิ่ง
“คงอาจจะเป็นเพราะเวรกรรมเก่าก็ได้กระมัง...”
“อะไรนะครับ...”
หญิงชราถอนหายใจยาว อย่างมีความนัยอยู่ในใจ
“ไม่มีอะไรหรอก...คุณหมอกลับไปได้แล้วล่ะ”
ภราดรสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก
ภราดรนั่งกุมประคำอย่างครุ่นคิด ขณะที่รถมาถึงหน้าบ้านพอดี ประเดิมจอดรถ
“พรุ่งนี้เจอกัน...ฝากคุณระรินด้วยนะประเดิม” ภราดรบอกเมื่อลงจากรถ
“ครับ” ประเดิมยิ้มให้
ระรินส่งยิ้มให้ภราดร
“ฝันดีนะคะ”
ภราดรรอกระทั่งรถเคลื่อนตัวไป จึงกลับเข้าบ้าน
แม่หมอนั่งมองกินรีกับพะอูที่นอนหลับสนิทในมุ้ง
“ยายช่วยเขาได้แค่นี้...กินรี”
แม่หมอจุดธูปไหว้พระ แล้วก้มลงกราบ แล้วทอดถอนใจ
“หรือว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้วอย่างนั้นหรือท่าน ข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เลยใช่มั้ย เวรกรรมทั้งหลาย มันมาบรรจบกันในชาตินี้แล้วใช่มั้ยเจ้าคะ”
แม่หมอนั้นทั้งหวาดกลัว และทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
ชายชาวพม่านำรูปไม้แกะสลักเทวดาองค์หนึ่งมาให้เสี่ยรงค์ดู เพราะรู้ว่าเสี่ยรงค์ชอบสะสมของโบราณ
“สวย...นี่มันเป็นเทพของพวกมอญนี่” เสี่ยรงค์พลิกดูย่างพิจารณา
“ใช่ครับ อันนี้คาดว่าน่าจะสร้างในสมัยพุกามเรืองอำนาจ สัก 800 ปีมาแล้วเป็นเทวดาแต่ผมไม่รู้จักชื่อ เห็นว่าเป็นเทพแห่งจอมราชันย์ทั้งปวง ชาวบ้านเชื่อว่าจะปกป้องอำนาจมืดได้ แต่มันก็แค่ความเชื่อน่ะครับส่วนความเก่าแก่น่ะ ชัวร์ ...เสี่ยสนใจไหมครับ”
“สนสิ....ใครก็รู้ว่าฉันสะสมของเก่า ดูในบ้านฉันสิ แทบไม่มีที่จะเก็บอยู่แล้ว...นายจะขายเท่าไหร่ล่ะ”
“เห็นแก่ที่เราเคยค้ากันมานาน อันนี้ผมคิดเสี่ย 2 แสนบาทก็แล้วกัน”
เสี่ยรงค์พินิจดูสินค้าอีกทีหนึ่งแล้วพยักหน้ารับ
“เอ้า...สองแสน...ก็สองแสน ฉันพอรับได้”
เสี่ยรงค์เอาเงินจากลิ้นชักให้ เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามา เขามองออกไป
“สงสัยระรินจะกลับมาแล้ว...”
เสือสมิง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ประเดิมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเสี่ยรงค์ ระรินเปิดประตูลงไป
“แหมอุตส่าห์มาส่งถึงบันไดบ้าน ขอบคุณสักคำก็ไม่มี” ประเดิมแหย่
ระรินหน้าตึง
“ขอบคุณทำไม ตำแหน่งพนักงานขับรถของอนามัยมันเป็นหน้าที่ของนายอยู่แล้ว”
“คร้าบ...ผมมันแค่คนขับรถ...แต่เอาเมื่อกี้นะผมฝันว่าได้กอดนางฟ้าด้วยล่ะ เนื้อนี้นิ่ม..ตัวเนี้ยหอม....เชียว ถึงมีวาสนาแค่นี้ก็พอใจแล้ว”
ระรินหน้าเสียและโกรธ เธอหยิบก้อนหินเล็กๆปาใส่
“นี่ นายประเดิม...นายหมายถึงตอนที่นายกอดฉันใช่ไหม..ไอ้บ้า..ไอ้คนฉวยโอกาส”
ประเดิมหัวเราะอย่างพอใจ แล้วรีบขับรถออกไป ระรินเดินไปในบ้านด้วยอารมณ์ไม่ดี
เสี่ยรงค์เดินมาส่งชาวพม่าหน้าบ้าน
“ผมลาล่ะครับ”
“ตามสบาย หวังว่าเราคงได้ค้าขายกันอีก”
ชาวพม่าเดินออกไป สวนกับระรินที่เดินปึงๆเข้ามา กระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้รับแขกในบ้าน เสี่ยรงค์มองลูกสาวอย่างพินิจ
“พ่อมองอะไร”
“พ่อว่ามันมีอะไรแปลกไปนะ”
ระรินค้อนๆ มองดูตัวเอง
“แปลกอะไรตรงไหน”
“ตรงที่หนูไปกินรังแตนมาสิ”
ระรินรู้สึกเซ็ง
“เฮ้อ...ทำไมวันนี้มีแต่คนยียวนกวนประสาท เบื่อจริงๆ..ไปอาบน้ำดีกว่า”
ระรินเดินขึ้นชั้นบนอย่างเซ็งๆ เสี่ยรงค์มองตาม พลางส่ายหน้ายิ้มด้วยความเอ็นดู เบิ้มเดินเข้ามาเพราะมีเรื่องมารายงาน
“เออๆ...เอ็งมาก็ดีแล้วไอ้เบิ้ม ข้าก็กำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี เรื่องที่ให้ไปจัดการไปถึงไหนแล้ว”
“เรียบร้อยแล้วครับเสี่ย ไม้ของเราข้ามผ่านพม่าเข้ามาฝั่งไทยเรียบร้อยแล้วครับ รอแค่พวกคนงานแปรรูปเสร็จก็ส่งเข้าโกดังได้เลย....แต่....เอ่อ...”
“มีอะไร”
“เสือครับ ไอ้มอญ 2 คนที่มาใหม่ มันเที่ยวมาพูดว่าตัวโคร่งตัวเบ้อเริ่มมันออกอาละวาด พวกคนงานใจเสียไปตามๆกัน ผมกลัวว่ามันจะถอดใจกลับบ้านกันหมดครับ”
“ขึ้นค่าจ้างเป็นสองเท่า ใครไม่เอายิงทิ้งได้เลย”
“ได้ครับเสี่ย”
“ไอ้พวกนี้เพ้อเจ้อจริง เสือ เสอที่ไหน...ไฟออกจะเต็มปางเสือที่ไหนมันจะกล้าวิ่งเข้ามาหาลูกปืน”
เบิ้มพยักหน้าเห็นด้วย
ภราดรนำประคำที่ได้มาแขวนไว้บนหิ้ง แล้วล้มตัวลงนอน...ครุ่นคิดถึงคำพูดแม่หมอตลอดเวลา
“แม่หมอหมายความว่าอะไร...เพราะเวรกรรมเก่า...แล้วผู้หญิง....คนนั้น...เป็นใครกัน...”
ภราดรมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นกินรียืนอยู่ รีบวิ่งลงไปหา แต่กินรีเดินหลบเขาไปในป่า
“กินรี...กินรี....คุณอยู่ที่ไหน”
มีเสียงเสือคำรามดังก้อง ภราดรหันไปมองรอบๆเห็นกินรีเดินลับไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า เขารีบเรียกและตามไป
“กินรี...รอผมด้วย”
ภราดรวิ่งตามไป กินรีหันกลับมาช้าๆแสยะยิ้มเปลี่ยนร่างกลายเป็นเสือกระโจนเข้าใส่ ภราดรสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจกับฝันร้ายนั้น
ค่ำคืนนั้น...คนงานที่ปางไม้พากันเข้านอน ชาวพม่าคนหนึ่งเดินออกมาจากที่พัก อย่างไม่ทันระวังเสือสมิงตัวใหญ่ตรงเข้ามาขย้ำ แล้วลากศพออกไปโดยที่คนอื่นๆไม่รู้เรื่อง
เสือสมิงลากเอาคนงานพม่ามาทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่ที่สมรตาย แล้วร่างเสือค่อยๆเลือนหายไป คนรูสองผัวเมียรีบออกมา ตัวผู้รีบตรงเข้าไปที่ศพแล้วผ่าเอาหัวใจ
งะดินเดอยู่ในถ้ำแล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่เพิ่งจะเริ่มต้น...รอให้อาคมของข้าฟื้นขึ้นมามากกว่านี้...อะไรก็ขวางข้าไม่ได้...รีบเอาหัวใจมาให้ข้าเร็ว...”
เสียงของงะดินเดก้องไปทั่วป่า
เช้าวันใหม่...จ่าชิต อองไชยและตำรวจที่ออกตามหาสมรักษ์ มาพบกับผู้ใหญ่สนและชาวบ้านที่จุดนัดพบ
“ไม่มีวี่แววหมวดเลย...หมวดหายไปไหนนะ” จ่าชิตพูดขึ้นมาอย่างเครียดๆ
“เป็นไปได้ไหมว่า...เอ่อ....เสือมันจะ...”
ผู้ใหญ่สนไม่อยากพูดเป็นลางเท่าไหร่ อองไชยแทรกเข้ามา
“ไม่....ถ้าเป็นตัวที่จ่ายิงไม่เข้าตัวนั้น มันจะหยุดการล่า เพราะต่อสู้ขนาดนั้นพลังมันจะหมด มันไม่ล่าต่อ จนกว่ามันจะพักได้ที่แล้วมันจึงออกมาล่าใหม่”
“แล้วมันจะกินอะไร”
“มันไม่กิน...ใครๆคิดว่าเสือสมิงจะกินคน แต่ไม่ใช่ เสือพวกนี้เกิดจากอาคม ไม่หิว ไม่อิ่ม มันล่าอย่างเดียว”
“เพื่ออะไร”
“ข้าไม่รู้...สุดแต่ว่าคนที่ควบคุมมันจะสั่งให้ทำอะไร”
จ่าชิตกับผู้ใหญ่สนมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด เพราะพวกเขาเจอศัตรูที่ร้ายกาจเข้าแล้ว อองไชยบอกทุกคน...
“ข้าขอแยกกับพวกท่านตรงนี้...ข้าอยากจะไปตามล่ามันต่อ...โชคดีทุกคน”
อองไชยเดินแยกไป ขณะที่ทุกคนยังเครียดกับการหายไปของสมรักษ์
เสี่ยรงค์ กับเบิ้มและหัวหน้าคนงานชาวพม่า ยืนดูร่องรอยของเสือที่มาลากคนงานไปเมื่อคืน มีรอยต่อสู้และรอยเลือด หัวหน้ารายงาน
“มีคนงานหายไปคนนึงครับนาย”
“มันหนีกลับบ้านไปหรือเปล่า” เสี่ยรงค์ถาม
เบิ้มสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เขารู้สึกกังวล
“ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่พอมาเห็นรอยนี่ก็..เอ่อ....”
“เสือ...แกคิดว่าเป็นเสือหรือ”
“ครับ...รอยมันชัด”
เสี่ยรงค์พินิจดูร่องรอยการขย้ำ และรอยลากกระทั่งรอยเลือด เขาสังเกตว่าไม่มีรอยเท้าเสือ
“ทำไมไม่มีรอยเท้าเสือเลย มีแต่รอยเท้าคน...สองคน”
เบิ้มหน้าซีด
“นี่แหละครับที่ผมเป็นห่วง...”
หัวหน้าคนงานรีบบอก
“ถ้าเป็นเสือที่มีรอยเท้าคน มันคือเสือสมิงครับนาย”
เสี่ยรงค์ถึงกับผงะ แต่ก็รีบบอก
“อย่าเพิ่งไปบอกคนงานเดี๋ยวมันจะตื่นไม่เป็นอันทำงานกัน ฉันจะหาวิธีจัดการเอง”
เบิ้มกับหัวหน้ารับคำ แม้จะเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จงใจวุ่นอยู่กับการก่อไฟหุงข้าวในครัว ใบหน้าเปื้อนมอมแมมด้วยเขม่าขี้เถ้า แก้วเดินมาดูแล้วหัวเราะ
“นึกว่าใครเผาบ้านซะอีก ควันคลุ้งไปทั้งหมู่บ้านเลย”
จงใจประชด
“กะว่าหุงข้าวเสร็จก็จะเผาบ้านเอ็งนี่แหละ”
“ก่อนจะเผาบ้านฉันพี่ไปส่องกระจกดูก่อนดีกว่า”
แววเดินมาดูแล้วยิ้มๆ จงใจลุกไปดูกระจกแล้วไม่ค่อยพอใจ
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะน้าแวว”
“หัดติดไฟใหม่ๆก็อย่างนี้แหละ เป็นกันทุกคน หนูจงใจไม่ต้องกังวลหรอก อีกหน่อยก็ชำนาญ เราเป็นลูกผู้หญิงสมควรรู้จักงานครัว งานบ้าน ไม่ใช่กระโดกกระเดกจับอะไรไม่เป็นทำตัวก๋ากั่นเป็นผู้ชายไปวันๆ”
แก้วสะดุ้งรู้ว่าแววเหน็บแนมตัวเอง
“นี่แม่ชมแก้วหรือ...”
จงใจลูบใบหน้าเขม่าติดมือมา
“ไปล้างหน้าล้างตาซะไป” แววบอก
หินเดินเข้ามาร้องเสียงดัง
“โอยหิวข้าว...อะไรกันหุงข้าวยังไม่เสร็จอีกหรือแม่...อ้าวแล้วพี่จงใจจะไปออกรบที่ไหนเนี่ยถึงต้องพลางหน้าพรางตา”
“ถ้าอยากจะมีปากไว้เคี้ยวข้าวเย็นนี้ล่ะก็ เงียบไปเลยหิน...ไปแก้ว”
จงใจชวนแก้วออกไปนอกเรือน หินสงสัยว่าไปไหนกัน รีบตามไปด้วย
“พี่จะไปไหนกันหรือ”
“ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาน่ะสิ เอ็งคิดว่าพี่จะไปรบหรือไง” จงใจประชด
หินหัวเราะ แล้วเสนอ
“ไหนๆก็จะอาบน้ำแล้วเราไปเล่นน้ำที่ต้นลำธารกันไม ที่นั่นน้ำใส ปลาก็เยอะ”
“จะบ้าหรือ นั่นมันนอกเขตชุมเสือของเรา ขืนลุงเสือรู้ ได้หลังลายเป็นเสือไปตามๆกันแน่” แก้วแย้ง
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว เราแอบออกไปซักเดี๋ยว พ่อเสือคงไม่รู้หรอก เพราะตอนนี้กำลังเรียกประชุมลูกบ้าน ท่าทางจะนาน...ไปกันเถอะ”
จงใจบอก แก้วยังหวั่นๆ
“จะดีหรือพี่จงใจ ฉันว่าเราอย่าไปดีกว่า”
“พี่แก้วไม่ไปก็ตามใจ ไม่มีใครบังคับซะหน่อย ฉันไปกับพี่จงใจก็ได้”
พูดจบหินพาจงใจเดินออกไป แก้วหันรีหันขวางแล้วตัดสินใจตามไปที่รำธาร
“หือ...น้ำใสเย็นฉ่ำจริงๆด้วย” จงใจบอกอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นลำธาร
“บอกแล้วว่าต้องชอบ”
แก้วมองหน้าหินอย่างเค้นความจริง
“ว่าแต่ เอ็งรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
หินอึกอัก จงใจสงสัยเช่นกัน
“ใช่ หินรู้จักที่นี่ได้ยังไง ถ้า...”
“...เอ็งไม่เคยแอบออกมา”
หินยอมรับความจริง
“ก็มาครั้งสองครั้ง...แหมพี่ก็...น่าฉันก็แค่อยากมาดูโน่นดูนี่ข้างนอกบ้าง”
“เออ...อย่าให้ลุงเสือจับได้ก็แล้วกัน”
“มือชั้นนี้แล้ว”
หินโอ่แล้วเดินจากไปทางต้นน้ำ แก้วบ่น
“โธ่...ไอ้ขี้โม้...”
“ฉันไปดูปลาทางนี้ก่อนนะ เผื่อจะแทงปลาพลวงได้สักสองสามตัว”
“ไปเหอะ”
จงใจกับแก้วเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน สักครู่ได้ยินเสียงหินร้องอย่างตกใจ
“พี่แก้ว พี่จงใจ...ช่วยด้วย...”
แก้วกับจงใจต่างพากันตกใจ คิดว่าต้องเกิดอันตรายกับหิน!
จงใจกับแก้ววิ่งไปหาหิน เห็นหินยืนตะลึงอยู่
“มีอะไรหรือหิน”
“ดูสิ ศพคน”
หินชี้ไปที่ลำธารตรงหน้า จงใจกับแก้วมองตามแล้วเห็นว่ามีคนสวมชุดตำรวจนอนคว่ำหน้าอยู่ ขาอยู่ในลำธาร ศีรษะเกยอยู่บนฝั่งร่างนั้นแน่นิ่งราวกับคนตาย
“ตำรวจนี่พี่จงใจ” แก้วบอก
จงใจมองอย่างกล้าๆกลัวๆ แล้วเขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ ทันใด...ร่างนั้นหงายหน้าขึ้นมา ทั้งสามคนตกใจ กระโดดโหยง
“ผีหลอก...”
ตำรวจคนนั้นคือสมรักษ์ ที่อ่อนแรงมาก
“ช่วย...ผม...ด้วย”
พูดจบสมรักษ์แน่นิ่งไป
“ยังไม่ตาย...” สมใจขยับเข้าไปดู
“เอายังไงดีล่ะพี่จงใจ” หินถาม
“เราต้องช่วยเขาน่ะสิ”
แก้วอยากช่วย แต่กังวล
“จะช่วยยังไง....เราไม่ใช่หมอ..อีกอย่างเขาเป็นตำรวจด้วย...ไม่มีโจรที่ไหนช่วยตำรวจหรอก”
“นั่นสิ...พี่จงใจ ตำรวจคบไม่ได้หรอก...พอมันรอดตายมันอาจจะย้อนมาจับเราก็ได้” หินเห็นด้วย
จงใจตัดสินใจ
“พี่ไม่ได้ช่วยตำรวจ แต่พี่จะช่วยชีวิตคน...พี่ว่าคนเรามันไม่ได้เลวไปซะทั้งหมดหรอก เราช่วยเขา เขาก็น่าจะสำนึกบุญคุณเราบ้าง...มาช่วยกันเอาเขาขึ้นมาก่อน”
หินกับแก้ว ตัดสินใจช่วยจงใจดึงสมรักษ์ขึ้นมาจากน้ำ
ภราดรกับประเดิมขึ้นมาบนอนามัย แล้วตรงไปเก็บของที่จำเป็น เดือนเดินมาทัก
“สวัสดีค่ะหมอ วันนี้จะออกพื้นที่หรือคะ”
ภราดรยิ้มให้
“ครับ มาหลายวันแล้วยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย”
“วันนี้จะไปที่ไหนคะ”
ประเดิมเก็บข้าวของที่จำเป็นอยู่บริเวณนั้น หันมาบอก
“บ้านน้ำพุ”
“อ๋อ...ที่มีบ่อน้ำพุร้อนใช่ไหม”
“ใช่ เล่าให้คุณหมอฟังว่าที่นั่นเขาใช้น้ำพุรักษาโรคต่างๆ คุณหมอเลยสนใจ” ประเดิมเล่า
“ก็แค่อยากไปดูวิธีการรักษาแบบแปลกๆน่ะครับ”
“ระวังจะไปเจอเหมือนที่บ้านสางนะคะ...”
ภราดรหน้าเจื่อนๆแต่ยิ้มรับ ประเดิมเก็บของเสร็จแล้วถาม
“นี่คุณระรินไม่มาหรือ”
“มาสิ...เอ๊ะ..ไปไหนแล้ว...เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” เดือนหันมองทั่วๆ
“ดีแล้วล่ะ ไปกันสองคนคล่องตัวดี”
ภราดรกับประเดิมพากันเดินออกไปจากอนามัยไปขึ้นรถ
“ดีนะครับที่คุณระรินไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นต้องขอตามไปด้วยแน่”
ประเดิมสตาร์ทรถจะขับไป ระรินโผล่ขึ้นมาจากหลังเบาะ...
“ใครบอกว่าฉันจะไม่ไปด้วย...”
“เฮ้ย...มาไงเนี่ย...”
“ถ้าฉันไม่ไปใครจะดูแลหมอล่ะ...จริงไหมคะหมอ”
ภราดรยิ้มเซ็งๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนหันไปบอกประเดิม
“รีบไปเถอะ”
ประเดิมขับรถออกไป
หินกับแก้วช่วยกันทำเปลโดยเอาไม้สองท่อน มาวางขนานกันแล้วเอาเสื้อของหินสอดเข้าไปส่วนท้ายก็ใช้เข็มขัดรัด
จงใจพยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาให้ เมื่อเห็นหน้าสมรักษ์ชัดเจนก็รู้สึกประทับใจในความหล่อ เธอมองใบหน้าเขาอย่างเพลินๆ แล้วมองที่ป้ายชื่อที่หน้าอก
“ชื่อสมรักษ์หรือ...”
หินตะโกนบอก
“เปลเสร็จแล้วพี่จงใจ”
แก้วกังวล
“จะเอานายคนนี้ไปไว้ที่ไหนล่ะพี่จงใจ”
“เขาชื่อสมรักษ์”
จงใจชี้ให้ดูชื่อที่หน้าอก แล้วคิดๆ
“มียุ้งเก่าๆที่ไม่ใช้อยู่ท้ายหมู่บ้าน พี่จะเอาเขาไปซ่อนไว้ที่นั่นก่อน”
“แล้งจะรักษาเขายังไง”
“ไปถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน...รีบเอาเขาขึ้นเปลเร็ว”
ทั้งหมดช่วยเอาสมรักษ์ขึ้นเปล
“ตัวหนักเป็นบ้าเลย...”
หินบ่น แต่ก็ช่วยแก้วหิ้วเปล จงใจเดินนำไป
เสือทศซ้อมยิงปืนที่ลานฝึกซ้อมของชุมเสือ กับเสือชิน เสือเข้ม และเสือดำ
“ยังแม่นนี่พี่ทศ” เสือดำชม
“ยังไม่เท่าไหร่...ไม่งั้นไอ้หมวดนั่นไม่รอดไปหรอก คิดแล้วเสียดายจริงๆ”
“วันพระไม่ได้มีหนเดียวพี่”
เสือทศเดินมาหยิบมีดสั้นที่วางไว้หลายด้ามแล้วซ้อมปามีด เป้าเป็นแผ่นไม้มีจุดกลางสีแดง
“แน่นอนถ้าข้าเจอมันอีก รับรองคราวนี้ไม่พลาด”
เสือทศขว้างมีดไปปักที่เป้าห่างจากจุดแดง ไม่มากนัก อย่างรวดเร็ว...มีมีดสั้นด้ามหนึ่งวิ่งแหวกอากาศมาปักกลางจุดแดงพอดี ทุกคนหันไปมอง พบว่าเป็นเสือใจ...
“ค่อยยังชั่วแล้วหรือทศ” เสือใจทัก
“ก็ฆ่าคนได้สบายล่ะพ่อ...”
เสือใจไม่ค่อยจะชอบในคำพูดของเสือทศนัก
“ทำไมพวกเอ็งไม่ไปประชุม”
“ฉันเบื่อน่ะพ่อ...ประชุมทีไรพ่อก็พูดแต่เรื่องเก่าๆ เรื่องทำนาทำไร่ เรื่องขายพืชไร่ เอาไว้ประชุมเรื่องปล้นแล้วพวกฉันจะไป”
“ไอ้ทศ...เมื่อไหร่เอ็งจะเลิกคิดแบบนี้เสียที เอ็งดูสิ ทุกวันนี้มีผู้คนมาอาศัยอยู่กับเรามากมาย ทำมาหากินโดยสุจริต มีความสุข เอ็งจะหาความเดือดร้อนเข้ามาในชุมชนเราทำไม ถ้าตำรวจออกไล่ล่าเราหนักๆวันหนึ่งเกิดเข้ามาที่นี่เอ็งคิดว่าเอ็งเดือดร้อนคนเดียวหรือไง”
“แสดงว่าพ่อจะเลิก”
“ข้าบอกแล้วไงว่าจะปล้นเท่าที่จำเป็น และคนที่สมควรปล้นเท่านั้น”
เสือทศดักคอ
“อย่างเสี่ยรงค์ใช่ไหม”
เสือใจชำเลืองมองเสือทศ แต่ไม่พูดอะไร
จงใจเดินนำหินกับแก้วมาตามทางเข้าชุมโจรอย่างระวัง
“เดินเร็วๆหน่อยสิหิน แก้ว”
หินเหนื่อย จึงประชด
“แหม..ก็พี่เล่นเดินตัวเปล่านี่ ลองมาแบกนายสมรักษ์บ้างสิ...”
“อย่าบ่น...รีบเถอะ” แก้วเร่ง
จงใจเดินมาจนถึงทางเข้าชุมเสือ เธอหยิบใบไม้แล้วเสกคาถาแบบเสือทศ ป่าเปิดออกแล้วทั้งหมดเดินเข้าไป
ภราดรช่วยตรวจคนไข้ที่อนามัยบ้านน้ำพุ เมื่อตรวจคนไข้คนสุดท้ายตรวจเสร็จ ภราดรรู้สึกโล่ง และผ่อนคลาย
“ขอบคุณนะคะ” คนไข้ยกมือไหว้
“อย่าลืม ทานยาตามหมอสั่งนะครับ”
“ค่ะ”
ระรินกับพยาบาลของอนามัย ช่วยกันจ่ายยาให้คนไข้ ประเดิมคอยช่วย ยกข้าวของต่างๆ หมอมีนซึ่งเป็นหมอประจำอนามัย เดินเข้ามาหาอย่างยิ้มแย้ม
“ขอบคุณนะคะหมอ ที่อุตส่าห์มาช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันอยู่แล้ว”
ระรินเห็นทั้งคู่คุยกัน จึงรีบเดินมาเกาะแขนภราดรแสดงความเป็นเจ้าของ
“เสร็จแล้วค่ะหมอ...รีบกลับกันเถอะจะได้แวะบ่อน้ำพุด้วย”
หมอมีนแปลกใจ
“นี่จะไปบ่อน้ำพุกันหรือคะ...”
“ผมได้ข่าวมาว่าชาวบ้าน มักจะเอาน้ำพุนี่ไปรักษาโรคบางโรคได้”
“ค่ะ...น่าแปลกนะคะ”
“ไปด้วยกันไหมครับ”
ภราดรชวนตามมรรยาท ยังไม่ทันที่หมอมีนจะพูดอะไรระรินก็แทรกเข้ามากันท่าก่อน
“โอ๊ย...คุณหมอมีนอยู่ที่นี่คงไปจนเบื่อแล้วล่ะค่ะหมอ ใช่ไหมคะหมอมีน....ไปประเดิมออกรถเถอะ”
พูดจบระรินดึงให้ภราดรเดินไปด้วย เขารีบหันมาบอก
“เอ่อ...ผมไปก่อนนะครับ คงจะได้พบกันอีกนะครับ”
“ค่ะ...”
ระรินพูดเบาๆ
“ทางที่ดีอย่ามาเจออีกเลย จะดีมาก...”
หมอมีนมองตามงง และคิดว่าระรินคงเป็นแฟนของภราดร
จงใจเดินมองซ้าย มองขวา บริเวณยุ้งข้าวเก่า ผัวเมียคู่หนึ่งเดินกลับมาจากไร่จึงทักทาย
“อ้าวหนูจงใจมาอยู่ที่นี่เอง พ่อเสือถามหาอยู่แน่ะ”
“เหรอจ๊ะ...เดี๋ยวจะไปหาจ้ะ...”
ทั้งสองคนเดินเลยไป
“มาถามหาอะไรตอนนี้เนี่ย”
จงใจบ่น แล้วส่งสัญญาณเรียกหินกับแก้วให้ยกเปลสมรักษ์เข้าไปในยุ้ง แล้วปิดประตู
สมรักษ์ถูกนำร่างที่สลบไสลมาวางบนกองฟาง
“จะทำยังไงต่อล่ะพี่จงใจ” แก้วถาม
“ต้องหาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยนก่อน...หิน เอ็งไปหายามา พี่จะไปเอาเสื้อผ้าของพ่อเสือแล้วก็ข้าว”
“ยาอะไรล่ะพี่” หินสงสัย
“ยาแก้ไข้แก้ปวดแล้วก็อย่าลืมผ้าพันแผลด้วย”
“แล้วฉันล่ะ” แก้วชี้ตัวเอง
“แก้วอยู่ที่นี่คอยเฝ้าเขาไว้”
“ได้จ้ะ...”
“ไปหิน...”
จงใจกับหินรีบออกไป แก้วมองสมรักษ์อย่างเป็นห่วง
บริเวณน้ำพุร้อนเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมองเห็นวิวต่างๆ เบื้องล่าง ภราดร ระริน และประเดิมยืนมองด้วยกัน
“ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามจริงๆ”
“ฝั่งโน้นคือประเทศพม่าค่ะ ไปที่น้ำพุกันดีกว่า”
ระรินคล้องแขนภราดรเดินไปตามทางที่จะไปบ่อน้ำพุร้อน แล้วผ่านซากเมือง เป็นหลักหิน และสิ่งปลูกสร้างที่จมดิน
“ที่นี่เคยเป็นเมืองโบราณหรือครับ” ภราดรสงสัย
“คงงั้นมั้งคะ...เรื่องนี้ระรินไม่ค่อยจะสันทัดค่ะ”
ประเดิมเล่า...
“อ๋อ..ที่นี่เคยเป็นเมืองตะโก้ง หรืออะไรเนี่ยล่ะครับ ว่ากันว่าเป็นเมืองของพวกมอญ”
“แสดงว่าที่ที่เราอยู่นี่เคยเป็นเมืองของมอญมาก่อนหรือ”
“น่าจะใช่ครับ สมัยก่อนมอญเรืองอำนาจกว่าพม่าเยอะ ภายหลังถูกกลืนชาติไปหมด ชนชนชาติมอญจึงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ บางส่วนอพยพไปตั้งรกรากในเมืองหลวง แต่บางส่วนก็ฝังรากอยู่แถวชายแดนนี่แหละครับ”
ระรินหมั่นไส้ มองประเดิมแล้วประชด
“นายนี่รู้เรื่องเยอะจริงๆ ฉันนึกว่าขับรถเป็นอย่างเดียวเสียอีก”
“พอดีผมอ่านหนังสือออกน่ะ”
ประเดิมตอกให้บ้าง ระรินเชิดหน้าควงภราดรเดินไปที่บ่อน้ำพุ
จงใจกลับเข้าไปในบ้าน ค้นเสื้อผ้าของเสือใจเพื่อจะเอาไปให้สมรักษ์ เสือใจเข้ามาพอดี
“ทำอะไรน่ะ”
จงใจสะดุ้ง
“เปล่า...จ้ะ...”
“เปล่าอะไร แล้วนี่จะเอาเสื้อผ้าของพ่อไปไหน”
“อ๋อ...ชุดพวกนี้มัน เอ่อ...มัน..มันขาดน่ะ จงใจจะเอาไปให้น้าแววเย็บจ้ะ”
“เอ...พ่อว่าพ่อเอาไปให้น้าแววเย็บหมดแล้วนะ”
“พ่อจะไปรู้อะไร...ฉันเป็นคนซักผ้าเก็บผ้า ต้องรู้ดีกว่าพ่อล่ะ...ไป..ไป..ถอย..ถอย...ฉันจะรีบเอาไปให้น้าแววเย็บ”
จงใจมั่วนิ่มถือเสื้อผ้าออกไปทันที
ลุงชมนอนหลับอยู่ในบ้าน หินโผล่มาทางหน้าต่างมองไปรอบๆจนเห็นที่ตั้งตู้ยา จึงปีนเข้ามาทางหน้าต่าง ทันใด ลุงชมละเมอ...
“เฮ้ย...หยุดก่อน...”
หินสะดุ้งสุด ตัวแข็งไม่กล้าหันหน้าไปมอง
“ซวยแล้วกู”
“...ขอข้า...อาศัยรถม้าไปสวรรค์ด้วย...”
หินงง ค่อยๆหันมามองลุงชมปรากฏว่าแกยังหลับอยู่
“ที่แท้ก็ละเมอ...เฮ้อ...”
หินรีบขนเอาเครื่องมือทำแผลและยา ออกมาจากบ้านลุงชม
ระรินพาภารดรมาที่บ่อน้ำพุร้อน ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก
“นี่แหละค่ะ บ่อน้ำพุร้อนที่ว่ากัน”
ประเดิมมองๆ
“น่าแปลกนะครับ ทั้งๆที่ชาวบ้านอาบกันมาไม่รู้กี่ปี แต่ก็ยังไม่เน่าเสีย”
ภราดรมองดูน้ำพุร้อนผ่านม่านควัน แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกดให้อยู่ในภวังค์ ระรินเดินไปรอบๆ...
“คุณหมอจะลองเอาลูบเนื้อลูกตัวดูก็ได้นะคะ แต่ระรินไม่เอาด้วย..หยี..ไม่รู้ใครต่อใครลงไปอาบน่าขยะแขยง”
ทันใด....ม่านควันหนาขึ้น ทั้งสองมองไม่เห็นกัน ภราดรเดินเข้าไปในม่านควันแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ติดตาม "เสือสมิง" ตอนที่ 3