เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 3
ติ่งนิ่งอึ้งตะลึงงันอยู่หลังฉากนั่นเอง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเจอชิณ
“เฮ้ย...นี่มัน...ไอ้...ไอ้เจ้าของที่นี่หว่า”
ด้านฉายตะวันตอบกะละแมอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ค่ะ ดิฉันเป็นแม่เขาค่ะ”
ชิณอายแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี จะเปิดตัวก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะไหวตัวทันกันหมด ต้องทนนั่งนิ่งๆ เม้มปากด้วยความแค้น
กะละแมมองดูรูปชิณ โต๊ดอึ้งคิดหนักว่าจะทำไงดี แต่กะละแมหัวไวกว่า เลยคิดแผนการได้อย่างปราดเปรื่อง
“ไหน ไอ้โต๊ด เอาวัน เดือน ปีเกิดไอ้หนุ่มนี่มาให้ข้าดูสิ”
“นี่ครับเจ้าแม่” โต๊ดยื่นให้
“แล้วเอ็งอยากดูอะไรเป็นพิเศษล่ะฮะ”
กะละแมถามฉายตะวัน แต่มิ้วเสนอหน้าบอก “เรื่องคู่ค่ะ”
ชิณกลุ้มใจ กุมขมับ “แม่นะแม่...”
กะละแมหัวเราะอย่างดังหลุดเสียงปกติ “ฮ่าๆๆๆ คู่เรอะ” แล้วก็นึกได้ ทำเสียงแก่ หันมาทางมิ้ว “แล้วเอ็งเกี่ยวอะไรด้วยหะ นังหนูเสื้อชมพู หรือเอ็งเป็นเมียมันหะ”
ติ่งเพ่งมองลุ้นตัวโก่ง มิ้วบิดไปมา อายแต่ในใจก็อยากเป็นอยู่ “เปล่าค่ะ...ไม่ใช่ค่ะ เจ้าแม่น่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้”
มิ้วบิดไปมา ติ่งโล่งอก เฮ่อ...แล้วไป
กะละแมถามต่อ
“อ้าว ไม่ใช่ผัวเมียกัน แล้วจะดูคู่อะไรล่ะวะหะ”
กิมเอ็งแหลมเข้ามา “คืออย่างนี้ค่ะเจ้าแม่ ผู้ชายในรูปเนี่ย ยังไม่มีแฟน คุณพี่ก็เลยกลุ้มใจ อยากจะรู้ว่าคู่เป็นยังไงน่ะค่ะ”
กะละแมทำเป็นคลำๆ รูป “ไม่มีแฟน...ฮ่าๆๆๆ” ขำก๊าก “มันก็น่าอยู่หรอก ลูกชายเอ็งน่ะมันเอาแต่ทำงานแข็งกระด้าง ปากก็จัด ด่าไฟแล่บแบบนั้น ผู้หญิงที่ไหนเขาจะเอา”
ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“คุณป้าดูสิคะ แค่จับรูปก็รู้แล้วว่าพี่ชิณเป็นคนยังไง แม่นจริงๆ นะคะ”
ชิณส่ายหน้า อยากเถียงแต่ก็ต้องหยุดไว้ อยากรู้จะไปไงต่อ
“ธรรมดาข้าไม่ค่อยอยากดูหรอกเรื่องค่งเรื่องคู่น่ะ แต่เห็นว่าเอ็งร้อนใจ ข้าก็จะดูให้”
กะละแมดูแล้วก็ทำเป็นนับ จับยามสามตา ฉายตะวัน มิ้ว กิมเอ็ง ลุ้นตัวโก่ง
ชิณตั้งใจฟังว่ากะละแมจะพูดว่าไง
“ลูกชายเอ็งน่ะมันเป็นคนใจร้อน ถือทิฐิ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังเสียงคนอื่น จริงจังกับงาน แล้วก็ไม่ชอบเสียเปรียบใคร...ใช่มั้ย”
ฉายตะวันตกใจแม่นจริงอะไรจริง “ค่ะๆ ใช่ค่ะ”
ชิณส่ายหน้า โธ่...มันรู้อยู่แล้ว
“ดวงของลูกชายเอ็งมันเป็นดวงเจ้าคนนายคน ร่ำรวย ทั้งชื่อเสียงเงินทอง สบายไปสิบชาติ ไม่ต้องห่วง” ฉายตะวันยิ้ม “แต่เรื่องคู่เนี่ย” กะละแมถอนใจ “ไม่ไหว...ไม่ไหว” แล้วทำเป็นส่ายหน้าหนักใจ
ฉายตะวันตกใจ “ทะ...ทำไมคะ เป็นยังไงคะเจ้าแม่”
“ความรักมันตกอุบาทว์ ดวงคู่มันลงโลกาวินาศ” กะละแม
ฉายตะวันเอามือทาบอก เฮ้ยเป๊ะ...อีกแล้ว
ชิณเหล่ๆ กะละแมพูดต่อ
“ตามดวงลูกชายเอ็งมันแพ้ดวงผู้หญิง ทำเป็นเก่ง แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เรื่อง กลัวผู้หญิง ถ้ามีเมียก็ต้องกลัวเมีย!” ชิณกำหมัด พยายามระงับอารมณ์ “แต่ไม่ต้องห่วง ข้ามีวิธีแก้เคล็ด เอ็งให้ลูกเอ็งจุดธูปกลางแจ้ง บอกเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยพลิกดวง แล้วก็ให้ลูกชายเอ็งมันแก้ผ้ารำถวายเจ้าที่”
สามคนประสานเสียง “แก้ผ้ารำถวาย”
ชิณแค้นหนัก
กะละแมย้ำ “เออสิวะ...เจ้าที่ท่านชอบ รำสักเพลงสองเพลง รับรองว่าผู้หญิงจะวิ่งมาหา หัวกะไดไม่แห้ง และที่สำคัญ ต้องแก้ให้หมดนะเว้ย กางเกงนงกางเกงในก็ไม่ต้องใส่”
ชิณทนไม่ได้ โพล่งออกมา “มันจะมาก...” แต่ยังพูดไม่ทันจบ
ทรงวุฒิรีบปรามนาย “ใจเย็นครับคุณชิณ”
ฉายตะวันหน้าเสียถามต่อ
“ลูกชายดิฉันต้องไม่ยอมแน่ๆค่ะเจ้าแม่ ถ้าเขาไม่ยอมจะทำยังไงดีคะ”
ชิณเริ่มดิ้นพราดๆ นั่งไม่ติด
“ถ้าไม่ยอม ก็ต้องทนอยู่คนเดียวไปจนตายสิวะ”
ชิณสุดทนลุกพรวดขึ้น
“หยุดนะ”
ทรงวุฒิรีบพุ่งเข้ามาปิดปากชิณไว้
“ขอ...ขอโทษครับ เพื่อนผมมันของขึ้นน่ะครับ ไม่มีอะไรครับ...ไม่มีอะไร ไป...ออกไปข้างนอกก่อน”
ทรงวุฒิลากชิณออกไป ชิณดิ้นไปมาแต่ไม่หลุด บ่นอู้อี้...อู้อี้ไปมา
“น่ากลัวจังเลยค่ะคุณป้า”
“สงสัยไอ้นี่มันจะมีองค์ ของเลยขึ้น”
กะละแมพูดจบก็บ้วนน้ำหมาก...ปิ๊ด!!!
ชิณโดนทรงวุฒิลากออกมาที่หน้าสำนักทรง ชิณดิ้นหลุดแล้วก็โวย
“ลากฉันออกมาทำไม ไม่เห็นเหรอว่าไอ้พวกนั้น มันกำลังหลอกแม่ฉัน”
“แต่ถ้าคุณชิณเปิดเผยตัวตอนนี้ ผมว่าเราคงรอดยากนะครับ”
ชิณคิดตาม...เออ ก็ใช่ เซ็งเลย แต่แค้นไม่หาย
“โธ่...แม่นะแม่ มาทำอะไรก็ไม่รู้ ฉันจะไปตามแม่กลับบ้าน” ทำท่าจะเข้าไปอีก
ทรงวุฒิจับไว้ “อย่าเลยครับคุณชิณ เดี๋ยวจะยิ่งวุ่นวายไปใหญ่ ผมให้ลูกน้องเข้าไปดูแทนแล้วครับ เรากลับไปรอฟังข่าวที่บริษัทดีกว่าครับ อยู่แถวนี้ท่าทางจะไม่ปลอดภัย”
ชิณพยายามระงับความกลุ้มใจไว้ ชิณกลับไปที่รถพร้อมกับถอดเครื่องปลอมตัวทั้งมวลออก โดยไม่รู้ว่าขณะที่ถอดวิก ถอดหนวด ถอดแว่น...มีคนถ่ายภาพแชะๆๆๆ จนชิณเดินขึ้นรถไป
ชิณเข้าไปนั่งในรถสงบสติอารมณ์ ไม่วายหันไปมองข้างในสำนักทรงของกะละแมด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยเจ้าแม่กำมะลอ...เล่นถึงแม่แบบนี้ ฉันไม่ปล่อยให้เธอลอยนวลแน่ๆ”
ชิณคำรามด้วยความแค้น
ที่แท้คนที่หน้าคนถ่ายรูปชิณคือ ศจี ผู้ช่วยจักกายที่นั่งอยู่ในรถอีกคัน ศจีลดกล้องลง แล้วก็ยิ้มร้าย ก่อนจะกดเลื่อนปิดกระจกรถ และขับรถออกไป
กะละแมยังเล่นละครสวมบทเจ้าแม่ต่อ และกำลังบอกฉายตะวัน
“นี่เอ็งขยับมาใกล้ๆ ข้าสิ...”
ฉายตะวันกระเถิบมาหา กะละแมกระซิบ มิ้ว กิมเอ็ง และโต๊ดพยายามเงี่ยหูฟังสุดๆ
กะละแมพูดเบาๆ “ลูกชายเอ็งกำลังมีเคราะห์...ให้มันระวังตัวไว้ให้มากๆหน่อย...และที่สำคัญอย่าลืมให้มันไปรำแก้บนด้วย...ไม่งั้น...มันจะต้องอยู่คนเดียวไปจนตาย”
กะละแมพูดจบเท่านั้นก็ตะโกนออกมา
“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว...พวกเอ็งทุกคนอย่าลืมทำบุญทำกุศลให้มากๆ”
โต๊ดสะกิดเรื่องเงิน...กะละแมจำต้องพูด
“แล้วเงินมีเหลือใช้ก็หมั่นช่วยเหลือคนยากคนจน...” โต๊ดยิ้มหน้าบาน “ข้าไปล่ะ”
กะละแมสั่นพับๆๆๆๆ สุดท้ายแล้วก็สลบเหมือด...ปิดฉากการแสดงบทเจ้าแม่ประจำวันนี้
ติ่งรีบวิ่งออกมา ตามองแต่มิ้ว สะดุดโน่นนี่เกือบล้ม...เขินอาย... ลืมไปว่าต้องลากกะละแมเข้าไป กะละแมต้องรีบสะกิดติ่ง ติ่งจำต้องตัดใจหันมาลากกะละแมเข้าไป
“เจ้าแม่ไปแล้วทุกท่านก็อย่าลืมที่เจ้าแม่บอกนะครับ...ทำบุญทำทานกันให้มากๆ ผลบุญจะได้ตกมาสู่ตัวท่านเอง...ใครต้องการซื้อดอกไม้ธูปเทียนก็เชิญทางนี้ครับ น้ำมนต์ก็ทางโน้น...เงินบริจาคก็ใส่ตู้นะครับ”
โต๊ดกำกับการทำบุญ
ส่วนติ่งพอลากกะละแมเข้ามาหลังฉากแล้วก็ปล่อย...โครม! จากนั้นตัวเองก็รีบไปดูหน้ามิ้วต่อ
กะละแมร้อง “โอ๊ย…” พอเห็นว่าพี่ชายตัวเองรีบไปดูหญิงก็บ่น “เออ..ดูคนเรา..เห็นหญิงดีกว่าน้อง”
ติ่งรีบวิ่งพรวดพราดออกไป
โต๊ดรีบคลานมาทางฉายตะวัน
“คุณนายครับ..คุณนายใช่คุณนายฉายตะวันเจ้าของที่ใช่มั้ยครับ”
“จ้ะ ใช่จ้ะ”
“แหม..ผมก็ว่าแล้วว่าต้องใช่ เคยเห็นแวบๆ เมื่อหลายปีก่อน…ผมชื่อโต๊ดครับ เป็นน้าของร่างทรง ผมรู้สึกยินดีมากครับที่ได้รับใช้คุณนาย แล้วคุณนายสนใจจะทำบุญมั้ยครับ”
“สนใจจ้ะ ทางโน้นใช่มั้ย”
ฉายตะวันเดินไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียน แล้วก็หยิบแบงค์พันสองใบหย่อนลงตู้...โต๊ดตาโตเข้ามาเลียบๆเคียงๆ
“ถ้าคุณนายยังไม่สบายใจจะเอาดวงลูกชายมาให้เจ้าแม่ผูกดวงหรือสะเดาะเคราะห์เป็นการส่วนตัวก็ได้นะครับ เรื่องร้ายๆจะได้กลายเป็นดี นี่นามบัตรครับ” ส่งนามบัตรให้ “จะโทรมานัดล่วงหน้าเป็นการส่วนตัวก็ได้นะครับ”
ฉายตะวันรับไป
“ขอบใจจ้ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อนมนุษย์เหมือนกันก็ช่วยกันไป”
ฉายตะวันยิ้มรับแล้วเดินออกไป โต๊ดยิ้มส่งด้วยท่าทางสุภาพ
ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้วเดินมาที่รถ มือมิ้วกำลังเอื้อมมาเปิดประตู แต่มีมือติ่งรีบเข้ามาจับที่เปิดประตูไว้!!
“ผมเปิดให้ครับ”
มิ้วเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นติ่งเก็กเข้มกะว่าหล่อมาก มิ้วมองงงๆ
“ผมติ่ง เป็นพี่ชายของกะละแม เอ่อ...ร่างทรงน่ะครับ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ติ่งเอาแต่มองเพลินยังไม่เปิดให้
มิ้วยิ้มแห้งๆ “ยินดีและกรุณาเปิดประตูด้วย ฉันรีบ”
ติ่งสะดุ้งรู้ตัวรีบเปิดประตู
“เชิญครับ”
ติ่งยิ้มแฉ่ง จะให้มิ้วขึ้นรถแต่ตัวเองยืนขวางประตูเต็มๆ มิ้วขึ้นรถ
“คุณป้า คุณแม่คะขึ้นรถเถอะค่ะ”
กิมเอ็งกับฉายตะวันขึ้นรถ ติ่งยังคงมองมิ้วไม่ละสายตา มิ้วจะดึงประตูปิด ติ่งยื้อไว้ด้วยความไม่ตั้งใจเพราะมัวแต่เหม่อ
มิ้วเม้งทำหน้าวีน...พยายามดึงกลับ...ติ่งยิ้ม
“โอ้ย...ปล่อยสะทีสิ ดึงไว้อยู่ได้”
“ครับ...ครับ” ติ่งไม่รู้ว่าเขาด่า...ยิ้มตลอด “ปล่อยครับ บ๊าย บ๊าย”
มิ้วปิดประตูดัง...ปัง...ติ่งกันมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมาให้รถมิ้วออก จนมอร์เตอร์ไซค์เกือบเบรคไม่ทัน
“ไปเลยครับ...ยาวครับ..ยาว...”
รถมิ้วบึ่งออกไปทันที ติ่งยิ้มหน้าแฉล้ม..เพ้อฝันสุดๆ
สามคนกลับมาที่บ้านมหาทรัพย์ไพศาลแล้ว มิ้วนั่งลงพร้อมพูดด้วยความกระตือรือร้น
“มิ้วว่าเรารำแก้บนคืนนี้เลยดีมั้ยคะ”
“แหม...ถ้าป้ารำเองได้...ป้าก็คงรำไปแล้วล่ะ แต่นี่ต้องให้ชิณรำ ป้าไม่เห็นทางเลยว่ามันจะเป็นไปได้ กลุ้ม”
มิ้วกับกิมเอ็งมองหน้ากัน เอาไงๆ...กิมเอ็งเลยรีบยุต่อ
“จะว่าไปเจ้าแม่ดูแม่นมากเลยนะคะ พูดอะไรที่เกี่ยวกับคุณชิณมาถูกหมดเลย ยังกะรู้จักกันยังงั้นแหละค่ะ...”
มิ้วรีบพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆ”
“แต่จะพูดกับตาชิณยังไง...ให้เขาเชื่อเหมือนเรา เขาไม่มีทางเชื่อแน่ๆ แถมเจ้าแม่ยังบอกว่าจะมีเคราะห์อีกเนี่ย...ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
ฉายตะวันกลุ้มใจ
เวลาเดียวกัน ศจีส่งไอแพดยื่นให้จักกาย เมื่อจักกายเห็นภาพในไอแพดก็เกือบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จักกายพยายามตีหน้านิ่งเดี๋ยวเสียภาพพจน์
“ไอ้ชิณมันลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอ”
จักกายสไลด์ภาพในไอแพด ภาพที่ชิณปลอมตัวไปสำนักทรง เลื่อนดูไปมา ดูไปเรื่อย เห็นภาพถ่ายชิณขณะถอดวิก ถอดหนวด ถอดแว่น ดูตลกๆ ช่างกล้า... จักกายยิ้มเยาะ อย่างดูถูก!
“แสดงว่าที่สำนักทรงต้องมีอิทธิพลกับชาวบ้านมากแน่ๆ !... ไม่งั้นคนอย่างไอ้ชิณไม่มีทางลงทุนทำแบบนี้แน่”
ศจียืนฟังนิ่งๆ นายว่าไงก็ว่างั้น
จักกายมองภาพชิณที่ยืนอยู่หน้าสำนักทรง ซึ่งข้างหลังชิณให้เห็นป้ายชื่อสำนักทรงด้วย ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จักกายขยายรูปภาพชิณให้ใหญ่...เล็ก...ใหญ่ไปเรื่อยดูน่าเกลียด แล้วสุดท้ายก็ใช้นิ้วเขี่ยเลื่อนหน้า
ชิณไปให้พ้นสายตา.. ไป!!/ ภาพดันหยุดที่ป้าย เขียนว่า ‘สำนักทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง’ พอดี
“สำนักทรงเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง”
จักกายคิด แล้วก็ยิ้มมีเลศนัย เหมือนมีแผนอะไรบางอย่างในใจ
คืนนั้นที่บ้านโต๊ดกำลังล้อมวงกินข้าว...กะละแม ยกกับข้าวมาตั้ง ติ่งยังนั่งตาลอยเพ้อถึงมิ้วอยู่ มีตุ้งแช่นั่งมองด้วยความสมเพช ส่วนโต๊ดนั่งนับเงินไปกินข้าวไป
“เงินของพวกเอ็ง...นี่ของเอ็งแล้วนี่ก็ของเอ็ง...แล้วนี่ก็ของเอ็ง ไอ้แช่”
ตุ้งแช่บ่น “ร้อยเดียวเองเหรอพ่อ...พ่อรู้เปล่าว่าตอนนี้น้ำมันมันขึ้นราคานะพ่อ”
โต๊ดงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็งไอ้แช่”
“อ้าวก็น้ำมันขึ้นราคา ข้าวแกงในโรงเรียนก็ขึ้นด้วยนะพ่อ”
“เอ็งก็เอาข้าวใส่ปิ่นโตไปกินสิวะ” โต๊ดว่า
“หิ้วปิ่นโตไปกินที่โรงเรียนเนี่ยนะพ่อ..อายหญิง”
“ถ้าเอ็งอายก็ไม่ต้องกิน หนอย..หน้าบางนักนะเอ็ง แค่หิ้วปิ่นโตไปโรงเรียนทำเป็นอาย ถ้าอาย..เอ็งก็อดไปแล้วกัน”
โต๊ดด่าเป็นชุด ตุ้งแช่จ๋อยๆ
กะละแมเห็นใจ “แช่..เดี๋ยวพี่ทำเผื่อไว้ให้...ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็เอาข้าวไปกินเองแล้วกัน” จับไหล่อย่างรู้ใจ “ทนอายเพื่อนหน่อยนะ”
ตุ้งแช่จ๋อย...ก้มหน้ากินข้าวไป กะละแมรีบกระดิกมือทางติ่ง...เอาเงิน 30 % ที่คุยกันไว้
“30 % พี่ติ่งตามที่ตกลงกันไว้เรื่องคุณเสื้อชมพูเอามาซะดีๆ”
ติ่งจำต้องให้ กะละแมรีบเอาเงินมา
“เขี้ยวจริงๆ...ไม่ลืมเลยนะ”
“ฉันต้องลงทะเบียนพรุ่งนี้ ...ลืมได้ไง”
โต๊ดเหนื่อยใจ “นี่เอ็งคิดจะเรียนจริงๆเหรอไอ้แม เห็นมีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อแต่ตำหรับตำราไปเรียนอะไรของเอ็งนักก็ไม่รู้”
“อ้าวก็แหงสิ..ฉันก็ต้องมีความรู้” พูดไปนับเงินไป “ฉันไม่คิดจะหลอกชาวบ้านไปจนตายหรอก ฉันต้องเรียนให้จบ แล้วก็ทำงานสุจริตกับเขาสักที เออ นี่ น้าว่าผู้หญิงเมื่อกลางวัน เป็นแม่ไอ้เจ้าของที่จริงๆ หรือเปล่า”
“ข้าถามแล้ว ใช่” โต๊ดบอก
“แล้วนายหน้าเลือดเค้าจะรู้มั้ยว่าแม่เขามาหาเจ้าแม่” ติ่งซัก
“ไม่รู้ว่ะ...แต่อย่าไม่สนใจเลย โกยๆแล้วก็เผ่นดีกว่า คิดมากปวดตับ เฮ้ย กินๆกินเข้าไป”
คนอื่นเริ่มกิน แต่กะละแมยังครุ่นคิดติดใจ
คืนเดียวกันชิณเดินมาหาฉายตะวันหน้าเครียด
“แม่ครับ”
ฉายตะวันหันมาตกใจ “อะไรลูก..ชิณเป็นอะไร ทำไมหน้าเครียดจัง”
“ก็จะไม่เครียดได้ยังไง จู่ๆ แม่ตัวเองกลายเป็นสาวกไอ้พวกสิบแปดมงกุฎ”
ฉายตะวันยิ่งตกใจ “ชิณ..ไปเอาอะไรมาพูดน่ะลูก สิบแปดมงกุฏอะไรแม่ไม่รู้เรื่อง” หลบตาวูบ
“แม่” ชิณมายืนดักจ้องตา “ไม่ต้องหลบตาผมเลย วันนี้ผมปลอมตัวเข้าไปสังเกตการณ์ในสำนักเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง ผมเห็นแม่เต็มตา”
ฉายตะวันชะงักอึกอัก “อ้าว..ลูกก็ไปเหรอ” ชิณพยักหน้า ฉายตะวันยิ้มเฉไฉ “แหม...แม่ก็แค่อยากลองดู เห็นเขาว่าแม่นนักแม่นหนา”
“แม่ครับ ไอ้พวกนั้นมันเจ้ากำมะลอ มันหลอกแม่ โดยเฉพาะยัยร่างทรงกะละแมอะไรนั่น ยัยนี่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน แม่อย่าไปเชื่อ”
“แต่เขาทักว่าชิณจะมีเคราะห์นะลูก”
“ก็ยัยนั่นนั่นแหละ มหาเคราะห์เลย เค้าหลอกแม่ แม่อย่าไปเชื่อพวกนั้น มันไร้สาระ หลอกชาวบ้านไปวันๆ ยิ่งไอ้เรื่องรำแก้บงแก้บนอะไรนั่นน่ะ ผมไม่มีวันทำเด็ดขาด”
ชิณเดินไป ฉายตะวันจะพูดก็พูดไม่ออก ได้แต่ตะโกนตามหลัง
“เรื่องแบบนี้โบราณว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ... ถ้าเกิดเจ้าแม่แม่นขึ้นมาจริงๆ ลูกจะทำยังไง”
ชิณหยุดเดินถอนหายใจ..เฮ่อ!!
“ผมไม่ได้ลบหลู่ แต่ยัยเด็กนั่นไม่ได้เป็นเจ้าแม่จริงๆ หน้าอย่างนั้นมันจะแม่นได้ยังไง ไม่มีทาง”
สีหน้าแววตาของชิณเชื่อมั่นฟันธง!
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันต่อมากะละแมในมาดเจ้าแม่กำลังนั่งเพ่งสมาธิ ท่าทีดูจริงจัง ขรึม และน่าเกรงขาม บรรดาชาวบ้านมองลุ้นๆอย่างมีความหวัง กะละแมคิดออก ลืมตา ปิ๊งๆ! ชาวบ้านดีใจ
“เบื้องบนยอมให้โชคพวกเรามั้ยครับเจ้าแม่” ชาวบ้านคนหนึ่งถามอย่างตื่นเต้น
กะละแมพยักหน้า เขียนอะไรลงไปในกระดาษแล้วส่งให้ชาวบ้าน เขียนมั่วๆ แต่พอจะดูว่าเป็นเลข 888 โดยไม่ได้ตั้งใจ ชาวบ้านรีบแยกกันมุ่งดู
ชาวบ้านเซ็งๆ เงยหน้ามองเจ้าแม่ “ไม่เห็นมีเลขอะไรเลย มีแต่ตัวหนังสืออะไรก็ไม่รู้”
กะลแมรีบบอก “นี่เป็นคาถาอักษรสวรรค์ ท่อง พุทธ-โธ สามรอบ แล้วเพ่งสมาธิมาที่นี่” พลางชี้ที่แผ่นกระดาษ “ครั้งนี้พวกเอ็งต้องสื่อสารกับเบื้องบนเอง ถ้าพวกเอ็งมีโชคอักษรสวรรค์จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลข แต่ถ้าพวกเอ็งไม่มีโชคก็จะไม่เห็นอะไร แล้วถ้าไม่ได้เห็นเป็นเลขเป๊ะๆก็อย่าไปซื้อเชียวล่ะ เดี๋ยวจะถูกกินเปล่าๆ เข้าใจมั้ย”
ชาวบ้านพยักหน้า “เข้าใจครับ” / “เข้าใจค่ะ”
“งวดนี้ไม่ต้องทำบงทำบุญอะไรทั้งนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับบุญของพวกเอ็ง” กะละแมว่า
โต๊ดสะดุ้ง อ้าวเฮ้ย !!
ชาวบ้านดีใจ
โต๊ดรีบแก้ “เจ้าแม่หมายถึงรอถูกแล้วค่อยมาทำบุญ” ไปตามน้ำ “มาๆทุกคนหลับตา พุทธ - โธ พร้อมกัน เสร็จแล้วจะได้เพ่งจิตไปถึงเบื้องบน อธิษฐานขอเลขจากท่าน”
ชาวบ้านทำตามที่โต๊ดบอก
“พุทธ - โธ”
ทุกคนท่องพร้อมเพรียง
กะละแมยิ้มอย่างพอใจชาวบ้านจะได้ไม่ต้องซื้อหวย
เวลาเดียวกันที่ร้านน้ำเต้าหู้ ซอยมหาลาภ โทฟู่ในชุดนักศึกษากำลังจัดเครื่องน้ำเต้าหู้ พวกวุ้นซอย เม็ดบัว ลูกเดือยช่วยอาม่าทำงานก่อนไปเรียนจักกายเดินเข้ามา โทฟู่ถามทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้า
“รับอะไรคะ” โทฟู่ถามไปจัดไป
“น้ำเต้าหู้แก้วนึง” จักกายมามุกเดิมอีกแระ
โทฟู่ยังไม่เงยหน้า “ไม่มีใส่แก้วค่ะ มีแต่ใส่ถ้วย”
จักกายย้ำคำเดิม “ผมต้องการแบบใส่แก้ว”
คราวนี้โทฟู่ถึงกับชะงักกึก แล้วเวยหน้าหันมามองหน้าจักกาย สองคนมองหน้ากัน แล้วโทฟู่ก็ขำออกมา
“ฮ่าๆๆๆ”
จักกายงงแต่ยังวางฟอร์ม “ขำอะไร”
“ก็ขำที่ได้เจอตัวจริงสักทีไง คุณรู้เปล่า? วีรกรรมการซื้อน้ำเต้าหู้ของคุณครั้งที่แล้ว เค้ารู้กันทั้งซอย นี่ๆ อาม่าฉันเตรียมแก้วน้ำเต้าหู้พิเศษไว้ให้คุณเลยนะ” โทฟู่พูดพลางหันไปหยิบแก้วอย่างดีมาวางไว้ตรงหน้า “อ่ะ..แก้วประจำตำแหน่ง ชอบเปล่า”
จักกายมองแก้วอึ้งๆ ไม่ค่อยชินกับการที่มีคนมาทำดีให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
“เป็นไงคุณ...ชอบเปล่า”
“ก็...ดี”
“แก้วเนี้ยใส่ของร้อนได้ ดีกว่าแก้วที่คุณใช้ครั้งที่แล้ว” โทฟู่บอก จักกายมองแก้วอึ้งอยู่ “ตกลงจะรับน้ำเต้าหู้ใช่มั้ย”
จักกายเงยหน้ามองโทฟู่ “เอ่อ...ใช่”
“หวานหรือเปล่า”
จักกายส่ายหน้า โทฟู่ยิ้มรับแซวๆ เป็นธรรมชาติ
“กลัวอ้วนอ่ะดิ”
โทฟู่ยิ้มสดใส แล้วก็หันไปตักน้ำเต้าหู้ใส่แก้วให้ ตักไปพูดไป
“เสียใจด้วยนะ เรื่องบ้านเช่า” จักกายพูดลอยๆ
โทฟู่ยื่นน้ำเต้าหู้ให้ จักกายรับมา แล้วก็พูดถามด้วยความแปลกใจ
“บ้านเช่า”
“ก็คุณบอกอาม่าว่ามาหาห้องเช่าแถวนี้ แต่คุณคงอยู่ไม่ได้แล้วละ เจ้าของเค้ากำลังจะเวนคืนที่ ชาวบ้านแถวนี้คงต้องย้ายกันไปหมด”
จักกายตัดสินใจเลียบๆ เคียงๆ ถาม “แต่....อาม่าบอกว่าเจ้าแม่ไม่ให้ไปไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่…แต่ใครจะรู้ ระหว่าง “เจ้าแม่” กับ “เจ้าของที่” ใครจะแน่กว่ากัน”
จักกายฟังแล้วก็คิดครู่หนึ่ง คิดจึงถาม
“ผมเคยเจอเจ้าแม่มาขายน้ำเต้าหู้ที่นี่ เป็นญาติกันเหรอ”
“เปล่า... เป็นเพื่อนน่ะ เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก” ตอบไปถอดผ้ากันเปื้อนไปด้วย
โทฟู่วางผ้ากันเปื้อนไว้ข้างๆ แล้วหันมาตะโกนบอกอาม่าในบ้าน
“อาม่า ฟู่ไปเรียนแล้วนะ”
โทฟู่พูดจบ หันไปหยิบกระเป๋าใส่หนังสือเรียนเตรียมไปอย่างรีบร้อน
“วันนี้ฉันต้องไปเรียนแล้ว ไว้คุยกันวันหลังนะ”
โทฟู่พูดจบเดินออกไปเลย
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันมีเรื่องด่วน อยากจะคุยตอนนี้..คุณ”
ทว่าโทฟู่ไม่ได้ยิน แล้วก็ไม่ได้สนใจเดินไปเลย จักกายคิด เอาไงวะ แล้วก็จำต้องรีบเดินตามไปด้วย
ครู่ต่อมาโทฟู่วิ่งกระหืดกระหอบมาที่ป้ายรถเมล์ เพราะรถเมล์คันที่จะไปเข้ามาจอดพอดี โทฟู่รีบกระโดดขึ้นรถ เห็น ด้านหลังเป็นจักกายรีบกระโดดตามขึ้นไปอย่างเงอะงะ
โทฟู่ และจักกายยืนโหนรถเมล์อยู่ จักกายดูทุลักทุเล เซไปเซมาไม่ชิน เพราะขึ้นรถเมล์ครั้งแรก
จังหวะหนึ่งโทฟู่หันมาเห็นก็ตกใจ “เอ๊ย คุณ นี่อย่าบอกนะว่าตามฉันมา! เพราะเรื่องไอ้แม”
จักกายทำหน้างง “เปล่า..ผมไม่ได้มาเรื่องไอ้แม่ แต่ผมมาเรื่อง…เจ้าแม่”
“ก็น่านแหละ..เจ้าแม่ ก็คือ ไอ้แม” จักกายยังงงอีก “คืองี้..เพื่อนฉันที่เป็น” พูดเสียงเบาๆ “ร่างทรง ชื่อ กะละแม”
จักกายพยักหน้า “อ๋อ...งั้นก็ใช่”
กระเป๋ารถเมล์ผู้หญิงรูปร่างอ้วนๆ เดินมาเก็บเงิน โทฟู่ควักเหรียญให้กระเป๋ารถเมล์ 8 บาท กระเป๋ารถเมล์รับเงินมาใส่กระบอกแล้วทอนเงินให้โทฟู่อย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่รถเซไปเซมา แต่กระเป๋าก็ยังทรงตัว
เป็นเลิศ จักกายมองกระเป๋ารถเมล์อย่างอึ้งๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน อะเมซิ่งมั่กๆ
กระเป๋ารถเมล์เห็นจักกายมองก็ฉุนพูดโหดๆ “มองอะไร? จ่ายค่าโดยสารด้วย”
จักกายสะดุ้ง หยิบกระเป๋าตังค์หลุยส์ออกมา มีแต่แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน จักกายเลยควักแบงค์ห้าร้อยส่งให้กระเป๋ารถเมล์
กระเป๋ารถเมล์เคือง มองจักกายตั้งแต่หัวจดเท้า ไอ้นี่วอนโดนบาทา โทฟู่เห็นท่าไม่ดี แต่พูดประชด
“ไม่จ่ายบัตรเครดิตเลยล่ะ”
จักกายพาซื่อ “รับด้วยเหรอ”
โทฟู่ผงะ “ประชด” จักกายสะดุ้งนิดๆ อ้าว...โทฟู่หันไปส่งเงินตัวเองให้กระเป๋ารถเมล์ “นี่ค่ะ”
จักกายไม่ยอม ดึงมือโทฟู่ออก
จักกายพูดกับโทฟู่ “เงินเหมือนกัน ทำไมจะจ่ายไม่ได้” ยังโชว์แบงค์ให้ดู “เขาก็เขียนอยู่ว่าชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย” พลางส่งแบงค์ 500 ให้กระเป๋ารถเมล์ “นี่ครับ”
กระเป๋ารถเมล์มองหน้าจักกาย
“แน่ใจนะว่าจะจ่ายแบงค์ห้าร้อย”
“แน่ใจครับ”
“ได้”
กระเป๋าร่างอวบมองหน้าคิดในใจ จะเล่นกับแม่ใช่มั้ย!! ว่าแล้วกระเป๋ารถเมล์แกล้งทอนแต่เหรียญให้
ยัดถุงเหรียญบาทให้จักกาย
“เอาไป..นี่ห้าร้อย” แล้วก็เปิดถุงหยิบออกมา “แล้วก็เอามา 8 บาท..ที่เหลือ..เงินทอน” ทอนเสร็จกระเป๋าเดินไป
จักกายเซ็งๆ ในมือมีแต่เหรียญ โทฟู่ขำๆ
รถเมล์จอดที่ป้าย โทฟู่ก้าวลงมาจากรถ ในขณะที่จักกายยังแหวกว่ายฝูงชนออกมาอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็ลงจากรถเมล์ได้ สภาพเหมือนผ่านศึกมาอย่างหนัก จักกายจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง โทฟู่มองสภาพจักกายสงสารๆ
เวลาต่อมา โทฟู่เดินนำมาที่หน้าคณะแพทย์ จักกายเดินตาม โทฟู่หยุดแล้วก็หันมาถาม
“ถามหน่อย ทำไม คุณถึงอยากเฝ้าเจ้าแม่เป็นการส่วนตัว”
“ผมก็มีเรื่องร้อนใจนิดหน่อย อยากให้เจ้าแม่ช่วย”
“นายมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ เหรอ” โทฟู่หรี่ตามองอย่างสงสัย “หน้าตาวิทยาศาสตร์อย่างนาย ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะเชื่อเรื่องเข้าทรง”
“ทำไม ผมได้ข่าวว่าขนาดเจ้าของที่ยังมาดูเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมผมจะมาดูบ้างไม่ได้” จักกายหลอกถาม
“เจ้าของที่เค้าไม่ได้มาดู แต่เค้ามาหาเรื่อง”
จักกายตั้งใจฟัง โทฟู่พูดออกมาด้วยความไว้ใจ
“เขาคิดว่าถ้าไล่เจ้าแม่ออกไปได้ ชาวบ้านก็คงจะยอมย้ายตามออกไปง่ายๆ ก็เลยพยายามจับผิดเจ้าแม่... เฮ้อ...พูดแล้วก็สงสารเพื่อนฉันอยู่ดีๆก็โดนจ้องทำลาย...” แล้วนึกขึ้นได้ “เออนี่ ฉันไปเรียนก่อนนะ แล้วก็ขอบใจมากที่อุตส่าห์มาส่งฉันถึงมหาลัย เพื่อเป็นการตอบแทน..เอาไว้ฉันจะช่วยนัดเจ้าแม่เป็นการส่วนตัวให้ก็แล้วกัน” โทฟู่ยิ้มเป็นมิตร แล้วเดินขึ้นตึกเรียน
จักกายอึ้งนิดๆ เออ...ดีเว้ย ก่อนจะตะโกนบอก
“นี่คุณ” รอจนโทฟู่หันมา “ขอบคุณมาก”
จักกายขอบคุณแบบตรงๆ พร้อมกับยิ้มจริงใจ ในมุมที่ดูน่ารัก โทฟู่แอบสะดุดใจกับรอยยิ้มของจักกาย แล้วก็อมยิ้มนิดๆ รับ เขินไม่รู้ตัว แล้วก็หันหลังเดินไป
จักกายมองไปที่หน้าตึกเรียนโทฟู่ เขียนว่า “ คณะแพทยศาสตร์” จักกายมองสลับไปที่หลังโทฟู่อึ้งๆไม่อยากเชื่อว่าโทฟู่เป็นนักศึกษาแพทย์หรือนี่!!
“เรียนหมอด้วยเหรอเนี่ย? ว้าว”
จักกายแอบทึ่งนิดๆ
กะละแมในชุดนักศึกษาราม เดินออกมาจากห้องพร้อมถือหนังสือในมือ..
“ฉันไปลงทะเบียนที่มหาลัยนะน้าโต๊ด บ่ายๆ กลับ” หันมาทางติ่งที่หลับอยู่ “พี่ติ่ง...จะไปกับฉันหรือเปล่า”
“น้องชมพู...” ติ่งเพ้อไม่สนหน้าไหน
“เฮ่อ...” กะละแมถอนใจ “เดี๋ยวฉันลงเผื่อก็แล้วกัน...เรียนแบบนี้ชาตินี้จะจบมั้ยเนี่ย”
“นี่ยังกะละแม รีบๆกลับนะเอ็ง เย็นนี้มีสองรอบ” โต๊ดกำชับ
กะละแมถอนใจก่อนเดินออกไป
รถดวงแล่นเข้ามาจอดที่หน้าปากซอยมหาลาภ ดวงวางมาดเป็นคุณหนูคุณชายอยู่ในรถ ก๋อยเป็นคนขับ
“ซอยนี้เหรอวะไอ้ก๋อย”
“ครับพี่ดวง..
ดวงมึงรีบๆเข้าไปเลย...กูอยากเห็นเต็มแก่ว่าร่างทรงของมึงจะสวยสักแค่ไหน
ก๋อยก๋อยการันตีพี่ดวงไม่ต้องห่วง...
ขณะที่กะละแมเดินอยู่ในซอย ระหว่างนั้นรถของดวงแล่นเข้ามาในซอยมหาลาภก๋อยเป็นสารถี...ดวงสอดส่ายสายตาสุดฤทธิ์ ก๋อยขับๆ ไปแต่แล้วก็ชะงักกึก เบรคกระทันหัน...จนดวงหน้าทิ่ม
ดวงเงยหน้ามาด่า “ไอ้ห่าก๋อย...เบรคหาพ่อมึงเหรอวะ…” ตบหัวไปที “นี่แน่ะมึง...กูหน้าทิ่มหมด”
ก๋อยร้อง “โอ้ย...” คลำหัวป้อยๆ “ขอโทษพี่..แต่โน่นๆ...เดินมาโน่น..นั่นน่ะ...ร่างทรงพี่...ร่างทรงกะละแม...เดินมาโน่นแน่ะพี่”
ดวงตื่นเต้น “ไหน...ไหนวะ”
ดวงตาลีตาเหลือกลืมอาการหน้าทิ่มเมื่อกี๊เป็นปลิดทิ้ง ดวงเห็นกะละแม เดินอยู่ท่ามกลางเปลวแดดกลางซอย มีไอถนนขึ้นมาเล็กน้อย..กะละแมเดินช้าๆ ค่อยๆ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ..ด้วยท่วงท่าอันเซ็กซี่แบบไม่ตั้งใจ
ดวงอึ้ง...และลืมตัวตาลอยเปิดประตูออกมานอกรถ...แล้วก็ตะลึงอึ้งในความสวยของกะละแม
กะละแมยังคงเดินอย่าสงช้าๆ และสวยอย่างไม่ตั้งใจอยู่นั่นเอง
ดวงอ้าปากค้างน้ำลายหก... กะละแมเดินเลี้ยวเข้าไปอีกทางหนึ่ง... ดวงยังอึ้งอยู่...ก๋อยมาปะเหลาะข้างๆ
“เป็นยังไงพี่ดวง”
“สวย...”
ดวงเพ้อ แล้วก็รู้สึกตัว..
“เฮ้ย...แล้วหายไปไหนวะ”
“เดินเลี้ยวไปทางโน้นแล้วพี่”
“อ้าวทำไมมึงไม่บอกกูหะ…ไป…เร็ว…ขับรถตามไป”
“ครับผม...”
ก๋อยรีบวิ่งขึ้นรถไป...ดวงเร่งด้วยความตื่นเต้น
“เร็วๆนะมึง...ตามให้ทันแล้วหาให้เจอด้วย..วันนี้กูต้องมีอะไรคืบหน้า..ไปเร็ว”
รถดวงออกตัวเอี๊ยด...ตามกะละแมไป
กะละแมยังเดินต่อไป...ไม่ได้รู้เลยว่ามีคนตาม...และเมื่อกะละแมเดินผ่านซอกเล็กๆ ซอกหนึ่งก็ต้องตกใจเมื่อมีมือใครคนหนึ่งหนึ่งเอื้อมมาปิดปากเธอ...เฮ้ย
“อุ๊บ”
แล้วเจ้าของมือนั้นก็ลากกะละแมเข้าหลืบไป...หนังสือในมือหล่นกระจาย
กะละแมดิ้นพราดไปมา ร้องเสียงอู้อี้เพราะมือชิณปิดปากอยู่
“ปล่อยนะปล่อย...ปล่อยฉันนะปล่อย...”
พร้อมกันนั้นเท้ากะละแมเหยียบก็เข้าที่บนเท้าของชายนิรนาม..อย่างเต็มแรง..เสียงดังพลั่ก
ชิณร้อง “โอ๊ย” และปล่อยมือจากปากของกะละแม กะละแมเบี่ยงตัวหลบออกมาดูหน้า
“แก...เป็นใคร!!”
พอชิณเงยหน้าขึ้นมา ทั้งสองก็เผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างตะลึง
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
ทั้งชิณและกะละแมยืนเผชิญหน้ากันที่ซอกหลืบมหาภัยในซอยมหาลาภ
“เฮ้ย..คุณเองเหรอ..ทำแบบนี้ทำไม”
ชิณยังเจ็บตีนอยู่ “นี่อย่าโวยวาย...” พลางขยับเดินจะเข้ามาหา
กะละแมหันไปคว้าไม้หน้าสามแถวนั้นมาถือไว้ แหมจังหวะเหมาะจริงๆ “อย่าเข้ามานะ” ตั้งท่าหวดได้น่ากลัวมาก
ชิณผงะถอย “เดี๋ยวก่อน ค่อยๆ พูดกันก็ได้”
“ค่อยๆ พูดอะไร คุณเริ่มต้นก่อนนะ...คุณมาดักฉันตามซอก ตามหลืบแบบนี้ทำไม หรือว่าคุณ...คิดไม่ดีกับฉัน...” เอามืออีกข้างมารวบเสื้อปิดหน้าอก
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่พวกโรคจิตนะ ที่สำคัญแค่เห็นหน้าเธอ ฉันก็หมดอารมณ์แล้ว”
กะละแมเอาไม้แกว่งไปมาด้วยความโกรธ “ยังจะมาทำปากดีอีก ถ้าไม่ได้คิดลามก แล้วมาดักรอฉันทำไม”
ชิณจะเข้าไป
กะละแมแกว่งไม้ไปมา “อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามา ฉันฟาดจริงๆ ด้วย”
กะละแมท่าทางเอาจริง
ชิณถอยกลับไปอีก
รถดวงยังคงวนหาอยู่ ก๋อยกับดวงสอดส่อง มองหากะละแม
“หายไปไหนวะ เร็วจริงๆ แหม...นอกจากหน้าตาดีแล้วยังคล่องแคล่วปราดเปรียวอีกต่างหาก” ดวงยิ้มกริ่มแล้วก็นึกได้ “เฮ้ย เร็วสิวะ ไอ้ก๋อยหาให้เจอ ไม่เจอมึงโดนเตะแน่”
“อ้าว...ไหงงั้นล่ะพี่”
แล้วก๋อยก็ขับรถต่อไป ดวงสอดส่ายสายตาสุดฤทธิ์
กะละแมยังถือไม้อยู่ กวัดแกว่งไปมา กล้าๆ กลัวๆ ชิณก็พยายามเกลี้ยกล่อม ทั้งสองคนเดินเป็นวงกลมคุมเชิงกันไปมา
“อย่าเข้ามานะ ฉันฟาดจริงๆ ด้วย”
“ที่ฉันมาไม่ได้จะมาหาเรื่องเธอนะ แต่ฉันจะมาเตือนเรื่องที่เธอต้มตุ๋นชาวบ้าน เธอทำผิดบนที่ดินของฉัน ฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรกับสำนักของเธอก็ได้”
“ใครว่าฉันต้มตุ๋น” กะละแมโกหกหน้าตาย “ฉันทำจริงต่างหาก ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา จะหาว่าฉันไม่เตือน”
“นี่! อย่าทำเป็นขู่เลย ฉันไม่ใช่พวกงมงายเหมือนไอ้พวกที่ไปนั่งดูเธอหรอก” ชิณพูดแล้วก็นึกถึงแม่ “แต่ก็มีบางคนที่เค้าไม่โง่ แต่เชื่อเพราะโดนเธอหลอก เพราะความไม่รู้”
กะละแมนึกได้แล้วยิ้ม “อ๋อ...นี่คุณหมายถึงแม่คุณใช่มั้ย” แล้วก็ขำ “ฮ่าๆ เป็นไงล่ะว่าแต่เขาก็เข้าตัวเอง คุณจะมาว่าฉันต้มตุ๋นได้ยังไง ขนาดแม่คุณยังเชื่อฉันเลย ฉันว่าคุณน่ะหาเวลาไปหาแฟนดีกว่า แม่คุณจะได้ไม่ต้องร้อนใจมาให้ฉันดูดวงให้ หรือถ้าอยากแก้เคล็ดก็ทำตามที่ฉันบอกแล้วกัน”
รถก๋อยกับดวงยังวนหาอยู่ แล้วดวงก็เห็นหนังสือเรียนของกะละแมตกเกลื่อนอยู่
“เฮ้ย ไอ้ก๋อยจอด”
ก๋อยเบรคจอดทันทีจริงๆ ดวงหน้าทิ่มอีกรอบ เฮ้ย!!!
ชิณกับกะละแมยังต่อรองกันไปมา เดินคุมเชิงกันอยู่เหมือนนักมวยบนเวทียังไงยังงั้น
ชิณทั้งโกรธทั้งอาย “เธอนี่มันร้ายจริงๆ ใช้ความเชื่อของคนอื่นมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ฉันจะบอกให้นะ อีกไม่นานความจริงมันก็ต้องเปิดเผย ทางที่ดีเธอควรจะหาทางหนีทีไล่ ก่อนที่จะโดนประชาทัณฑ์”
กะละแมฉงน “หมายความว่าไง”
“ฉันจะให้เงินเธอก้อนนึง แล้วก็ย้ายไอ้สำนักบ้าๆ ของเธอ ออกไปจากที่ดินของฉัน เธอต้องการเท่าไหร่ว่ามาเลย”
“เงินเหรอ? คุณคิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ” แค้นเลยลืมตัวค่อยๆ ลดมือลง
“ใช่สิ ถ้าไม่เพราะเงิน เธอก็คงไม่ต้องมาหลอกชาวบ้านแบบนี้หรอก หรือจะเถียงว่าไม่จริง”
กะละแมโกรธ “ไม่จริง!” ลืมตัวว่าถือไม้อยู่
ชิณหาจังหวะกะละแมเผลอ เอามือปัดไม้ตก
กะละแมร้อง “โอ๊ย”
แล้วชิณก็ไปเก็บไม้มาถือแทน
“เสร็จฉันล่ะทีนี้”
แต่ยังไม่ทันทีชิณจะทำอะไรต่อ ฝ่าเท้าของดวงก็โผล่เข้ามาถีบที่กลางหลัง พลั่ก!!!
“โอ้ย”
ชิณเซถลา ล้มลงไปกองกับพื้น
ดวงกับก๋อยยืนอย่างสง่าผ่าเผย เก๊กสุดฤทธิ์
“เฮ้ย! เป็นผู้ชายอะไรวะ รังแกผู้หญิง” ทำเสียงหล่อ “แน่จริงมาเจอกันตัวๆ กับไอ้ดวงดีกว่าเว้ย”
ชิณล้มจุก ไม้หล่นจากมือ ไม่ทันจะรู้เรื่องอะไร ดวงก็มาเตะซ้ำ ชิณหน้าคะมำ ล้มกระแทกลงไปอีก
“โอ้ย เดี๋ยวก่อน นี่มันอะไรกัน เฮ้ย...หยุดนะ”
ชิณยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ก๋อยก็เข้ามาล็อค
“ไอ้โจรล่าสวาท ไอ้โจรมุมตึก”
ดวงหันมาทางกะละแมที่ยืนเหวออยู่
“น้องสาวไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพี่ดวงจัดการเอง” อะฮ้า...หันไปเสยผมหนึ่งที
กะละแมยืนเหวออยู่เหมือนเดิม ดวงรีบบุกเข้าไปหาชิณที่โดนก๋อยจับล็อคอยู่
“เฮ้ย...ปล่อยฉัน พวกแกเป็นใคร แล้วไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร ปล่อยโว้ย”
กะละแมอึ้ง
“เอ่อ..คือว่า...เอ่อ”
ดวงไม่สนใจฟัง กะโชว์หญิงอย่างเดียว
“อัดมันเลยพี่ดวง ก๋อยจับให้เอง”
“ได้เลย”
แล้วดวงก็ตะลุยชกชิณแบบไม่นับ ซ้ายขวา ซ้ายขวา ชิณได้แต่ร้องโอดโอย
“โอ้ย! พวกแกทำฉันทำไม โอ้ย...ฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกแกให้หมด ปล่อยฉันนะโว้ย...ปล่อย โอ้ย”
“นี่แน่ะ...เอาตำรวจมาขู่เหรอ...นี่แน่ะ”
ดวงชกไปก็หันมายิ้มหล่อให้กะละแมหนึ่งที กะละแมยังเหวออยู่ พอได้สติก็รีบมาห้าม
“พอแล้ว...พอเถอะค่ะ”
กะละแมเข้ามาห้าม รั้งมือดวงไว้
“พอเถอะค่ะ แค่นี้เขาก็น่วมจะแย่แล้ว เรารีบไปกันเถอะค่ะ”
“โธ่...พี่ดวงยังไม่หายมันเลย”
“พอเถอะค่ะ...แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ...ไปเถอะนะคะ”
ดวงกับก๋อยจำใจต้องปล่อยชิณ พอปล่อยปุ๊บ ชิณก็ทรุดล่วงที่พื้น...ตุ๊บ!!! กะละแมมองด้วยความเป็นห่วง...ห่วงก็ห่วง กลัวก็กลัว แต่ก็จำใจต้องรีบหนีไป
ชิณนอนกองอยู่กับพื้น หน้าตายับเยิน น่าเวทนาสุดๆ
“พวกแก...จำไว้...พวกแก” ชิณคำรามคั่งแค้น ทั้งที่พูดไม่ค่อยจะไหว
กะละแม ดวง ก๋อย รีบวิ่งออกมาที่หน้าถนน
กะละแมรีบขอบคุณจะรีบไป “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย”
ดวงจับมือไว้ แล้วพูดเสียงหล่อ
“เดี๋ยวสิครับคุณ”
กะละแมหันมาพร้อมกับดึงมือออก “คะ...ทำไมคะ”
ดวงส่งหนังสือคืนให้ “หนังสือของคุณครับ”
กะละแมรับมา “ขอบคุณค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ” แล้วรีบเดินไป ดวงเดินตาม
“นี่คุณ จะรีบไปไหนล่ะ ทำความรู้จักกันหน่อยสิ ผมชื่อดวง นี่ลูกน้องผมไอ้ก๋อย แล้วคุณชื่ออะไร”
“ฉันชื่อกะละแม”
“แหม ชื่อหวานจริงๆ”
กะละแมเหล่มอง “ฉันต้องไปจริงๆ แล้ว”
ดวงมาดัก “นี่ผมอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณนะ แค่ขอบคุณแค่นี้เองเหรอ”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง จะให้กราบด้วยมั้ย”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่คุยกันก่อน แล้วนี่คุณจะไปไหนครับ ผมไปส่งเอามั้ย”
กะละแม เริ่มมองหน้าดวงอีกที ไอ้นี่มันมาไม้ไหนวะ ดวงยิ้มละไม
“นี่ ฉันไม่รู้ว่าคุณช่วยฉันเพื่อหวังอะไร แต่คุณรู้มั้ย ว่าคนที่คุณไปชกเขาน่ะ เขาเป็นเจ้าของที่ดินในซอยนี้ และเขาก็กำลังจะไล่ที่พวกฉัน คุณไปซ้อมเขาแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครซวยอะไรหรือเปล่า” ดวงอึ้ง “ทางที่ดี เราควรจะรีบแยกย้ายกันไป ก่อนที่จะมีคนมาเห็น ไม่งั้นซวยกันหมดแน่”
พูดจบกะละแมก็เดินไป มีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี กะละแมโบกเรียกแล้วขึ้นนั่งไปเลย ปล่อยให้ดวงกับก๋อยอึ้งอยู่ที่เดิม
“เจ้าของที่เหรอพี่ ซวยแล้ว”
“เออสิวะ ไปเว้ย รีบไปดีกว่า ทำไมมันซวยแบบนี้วะ”
ดวงกับก๋อยรีบขึ้นรถและขับหนีออกไปแทบไม่ทัน
กะละแมซ้อนมอเตอร์ไซค์มาหน้าตาไม่ค่อยสบายใจ แล้วตัดสินใจบอกมอเตอร์ไซค์
“พี่ๆ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว กลับไปส่งฉันที่เดิมหน่อย”
แล้วมอเตอร์ไซค์ก็ตีโค้งกลับไป
มอเตอร์ไซค์มาจอดที่เดิม กะละแมจ่ายเงินแล้วก็วิ่งไป เห็นชิณนอนนิ่งอยู่ กะละแมวิ่งมาดู
“คุณ....คุณ...”
กะละแมเขย่าตัวชิณ แต่ไม่มีอาการตอบรับ...กะละแมกลุ้มใจ ทำไงดีวะ ?
โทฟู่กำลังเก็บหนังสือ เตรียมออกจากห้องเรียน หมดคาบพอดี เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
โทฟู่ตกใจ “หะ!!! คุณชิณโดนซ้อม แล้วแกจะทำยังไง”
“ฉันไม่รู้ ถึงโทร. มาถามแกนี่ไง”
โทฟู่คิด...เอาไงดี ?
“งั้นเอางี้...”
แท็กซี่เข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล กะละแมรีบวิ่งลงมา พร้อมกับทั้งลากทั้งพยุงชิณลงมาด้วย ชิณหมดสติไม่รู้สึกตัว กะละแมร้องบอก
“มีคนถูกทำร้ายค่ะ” กะละแมบอกกับชิณ “ถึงโรงพยาบาลแล้วคุณ ทำใจดีๆ ไว้นะ”
บุรุษพยาบาลรีบเอารถเข็นมารับ แล้วเข็นเข้าไปข้างใน กะละแมวิ่งตามเข้าไปด้วยความเป็นห่วง
กะละแมมองชิณที่นอนสลบอยู่บนรถเข็น รู้สึกเป็นห่วง
“คุณหายใจไว้นะ ... อย่าเป็นอะไรนะคุณ”
ชิณถูกเข็นมาที่มุมหนึ่งของห้องฉุกเฉิน พยาบาล บุรุษพยาบาลที่เข็นมา เดินออกไปหยิบอุปกรณ์เตรียมปฐมพยาบาลเบื้องต้น กะละแมมองงงๆ แอบโวย
“อ้าว..จะไปไหนกันอ่ะ ยังไม่ได้รักษาเลย คุณกลับมาดูก่อนสิ ปล่อยไว้เดี๋ยวเค้าก็ยิ่งแย่หรอก” หันมาทางชิณ “คุณ..คุณ..ได้ยินฉันหรือเปล่า? รู้สึกตัวหน่อยสิ”
กะละแมเห็นชิณนิ่งไป เริ่มใจเสีย กะละแมมองแผลที่เหวอะ ช้ำ ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
พยาบาล และ บุรุษพยาบาล เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์พื้นฐาน และแฟ้มประวัติ
“ญาติคนไข้หรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ” กะละแมบอก
“แล้วเป็นอะไรกับคนไข้ครับ”
กะละแมอึกอัก “เป็นเอ่อ..เป็นคนบังเอิญเดินมาเห็นน่ะค่ะ”
“แล้วพอจะทราบหรือเปล่าว่าคนไข้ชื่ออะไร”
กะละแมอึ้ง “ชื่อ..ช...” ชะงัก “ไม่รู้จักค่ะ” ตัดสินใจกันไว้ก่อน
เจ้าหน้าที่ถามต่อ “คนไข้มีกระเป๋าสตางค์ติดมาด้วยหรือเปล่าครับ เผื่อจะมีเอกสารอยู่”
“มีค่ะ มีแน่นอน เดี๋ยวหาให้ ระหว่างหาช่วยรักษาหรือทำอะไรกับเค้าสักอย่างนะคะ อย่าปล่อยไว้เฉยๆนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราจะดูแลคนไข้อย่างดีที่สุดครับ”
“ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวหากระเป๋าตังค์ให้นะคะ”
กะละแมกุลีกุจอค้นตัวชิณ ค้นไปค้นมา เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังเหมือนลวนลามผู้ชายอยู่ กะละแมแอบเขินเขิน แหม..โชคช่วยเจอจนได้ กะละแมรีบหยิบบัตรประชาชน กับนามบัตรส่งให้เจ้าหน้าที่
“นี่ค่ะ บัตรประชาชน แล้วก็นามบัตรค่ะ” เจ้าหน้าที่รับไป
กะละแมหันกลับมาทางชิณต้องยัดกระเป๋ากลับไปที่เดิม กะละแมก็เขินอีก วุ้ย เกิดมาไม่เคย
“โอเคครับ เดี๋ยวเชิญคุณไปให้ข้อมูลส่วนตัวที่เคาเตอร์ด้านหน้าด้วยนะครับ”
“ข้อมูลฉัน”
กะละแมเหวอ..เอาไงดี
นางพยาบาลถามย้ำอีกครั้ง
“ชื่ออะไรนะคะ”
กะละแมอึกอักๆ แล้วก็เหลือบไปเห็นแจกันดอกกุหลาบที่ตั้งอยู่
“เอ่อ...ดิฉันชื่อกุหลาบค่ะ”
พยาบาลถามต่อ “นามสกุลค่ะ”
กะละแมหันไปเห็นปลาหางนกยูงที่เลี้ยงไว้ในโถบนโต๊ะ “หางนกยูงค่ะ”
นางพยาบาลงงมาก “คุณกุหลาบ หางนกยูง”
“ค่ะ ดิฉันกุหลาบ หางนกยูงค่ะ ไม่ต้องถามหาบัตรประชาชนนะคะ เพราะไม่ได้เอามาค่ะ ตอนนี้ฉันบอกชื่อ นามสกุลแล้ว...ส่งตัวคนไข้แล้ว...ก็กลับได้แล้วใช่ไหมคะ...ขอบคุณค่ะ”
พูดจบกะละแมเตรียมชิ่งกำลังรีบเดินหนี ด้านหลังเห็นนางพยาบาลอีกคนเดินมาบอกอะไรบางอย่างกับนางพยาบาลคนเดิม
นางพยาบาลตะโกนเรียก “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณกุหลาบ”
กะละแมสะดุ้ง แล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป นางพยาบาลเลยต้องวิ่งตามมาจับแขนไว้
กะละแมมองหน้าพยาบาล ท่าทางหวาดหวั่น...ตำรวจป่าววะ ???
“เมื่อสักครู่ เราได้ติดต่อไปที่บริษัทตามนามบัตรที่พบในตัวคนไข้ ญาติของคนไข้ฝากบอกว่าอยากจะพบคุณกุหลาบ พลเมืองดีก่อนค่ะ” พยาบาลบอก
กะละแมตะลึง “ญาติคนไข้”
เวลาเดียวกันฉายตะวันวิ่งมากับมิ้วและกิมเอ็ง มิ้วกับกิมเอ็งเดินมาท่าทางเลิ่กลั่กๆ ส่วนฉายตะวันท่าทางจะเป็นลม
มิ้วเห็นทรงวุฒิเดินมา “ทรงวุฒิอยู่ทางนั้นค่ะคุณป้า”
ทั้งสามคนรีบเดิมไปหา
“ทรงวุฒิ...ชิณเป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้อยู่ในห้องทำแผล แต่หมอยังไม่ให้เข้าเยี่ยมครับ”
“เอ่อ...แล้วคุณพลเมืองดีที่พาชิณมาส่งล่ะ อยู่ที่ไหน”
ฉายตะวันถามด้วยความใส่ใจ
กะละแมก้าวเดินพรวดๆ กำลังจะรีบหนี แต่ทันใดนั้นก็ปรายสายตาไปเห็นว่า ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว และทรงวุฒิกำลังเดินมา กะละแมรีบหันขวับหลบหน้าและวิ่งพุ่งมาที่หลังป้าย...เอาไงดีวะ...มองรอบๆ ตัว เห็นว่ามีหน้าต่างอยู่ไม่ไกล
ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว ทรงวุฒิ เดินพุ่งมา
“เดี๋ยวผมจะไปตามเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องคุณชิณมาให้ครับ” ทรงวุฒิบอก
“จ้ะ”
ทรงวุฒิเดินแยกไป ทั้งสามคนก็เดินตรงดิ่งมาที่กะละแมเอาไงดีๆๆๆ
กะละแมตกใจคิดไปคิดมา ทำไงดีวะ..ตายๆ ตายแน่ๆ แล้วก็หันไปเห็นช่องหน้าต่างเล็กๆ กะละแมรีบเอาเก้าอี้มาต่อแล้วปีนขึ้นไป และจังหวะที่ประตูห้องเปิด กะละแมก็ปีนพ้นออกไปได้พอดีแบบเส้นยาแดงผ่าแปด....มีเสียงดังตุ๊บ!
ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว เดินมาถึงที่กะละแมยืนอยู่
“คุณพี่...คุณลูก...ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าคะ? เสียงเหมือนคนตกจากที่สูง!”
กิมเอ็งพูดได้อย่างแม่นยำ
นางพยาบาลเดินเข้ามาในห้องบอกสามคน
”คุณพลเมืองดีหายไปแล้วค่ะ”
กิมเอ็งฉงน “อ้าว...หายไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ” พยาบาลบอก
มิ้วโวยวาย “คนหายทั้งคน ไม่รู้ได้ยังไง”
ฉายตะวันห้ามมิ้ว “ไม่เป็นไรๆ” ก่อนจะหันมาพูดกับพยาบาล “แล้วพอจะติดต่อเขาได้ไหม ฉันอยากขอบคุณเขาสักหน่อย”
ระหว่างนั้นทรงวุฒิเดินตรงดิ่งมาหากลุ่มของฉายตะวัน
“คุณท่านครับ หมอทำแผลเสร็จแล้ว เข้าเยี่ยมคุณชิณได้แล้วครับ”
ทุกคนดีใจลืมเรื่องพลเมืองดีไปชั่วขณะ
“เหรอๆๆ ดีๆ ไป” ฉายตะวันยิ้มออก
“ไปค่ะ” มิ้วชวน
ฉายตะวันรีบเดินออกไป มิ้วจะพุ่งไปก่อน แต่กิมเอ็งจับลูกสาวไว้ พูดกับฉายตะวัน
“เชิญคุณพี่ก่อนค่ะ”
“แหะๆ เชิญค่ะคุณป้า”
ฉายตะวันรีบเดินออกไปด้วยความเป็นห่วงชิณ
ชิณนอนสลบอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้วและทรงวุฒิเดินเข้ามา ฉายตะวันเห็นสภาพลูกชายแล้วก็ตกใจ
“ชิณ...”
มิ้วฟูมฟาย “โธ่...พี่ชิณขา หน้าตายับเยินหมดเลยนะคะคุณป้า อย่างนี้จะกลับมาหล่อเหมือนเดิมได้ไหมคะเนี่ย”
ฉายตะวันฟังแล้วหน้าเจื่อน กิมเอ็งสะกิดเตือน มิ้วรู้ตัวสงบปาก
ฉายตะวันถามทรงวุฒิ “พอจะรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำร้ายชิณ”
“ไม่ทราบครับ เพราะคุณชิณไม่เคยมีศัตรูที่ไหน”
ทันใดนั้นกิมเอ็งก็โพล่งขึ้นมา
“เจ้าแม่!!!”
ทุกคนหันมาอ้าปาก หะ!
“คุณแม่คิดว่า เจ้าแม่ทำร้ายพี่ชิณเหรอคะ”
“ไม่ใช่ แต่แม่จำได้ว่า เจ้าแม่เคยบอกว่าคุณชิณกำลังมีเคราะห์ (กับฉายตะวัน) หรือว่านี่จะเป็นเคราะห์ที่เจ้าแม่บอกคะคุณพี่”
ฉายตะวันฟังแล้วก็เริ่มคิด เออ...หรือว่าจะจริง
กะละแมนั่งหน้าจ๋อยหลังเล่าเรื่องจบ โต๊ดโวยวาย มีติ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“หาเรื่องมาให้ข้าไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ พวกเอ็งเนี่ย แล้วจะทำยังไง ตกลงเขาจะจับเอ็งเข้าตะรางไหมวะไอ้แม”
“ไม่รู้เหมือนกันน้า ฉันก็กลัวอยู่ ดีนะที่ไม่ตาย ไม่งั้นฉันซวยหนักแน่ๆ”
โต๊ดโวยต่อ “แล้วทำไมเอ็งไม่ห้าม ตอนที่ไอ้พวกนั้นมันซ้อมคุณชิณ”
“ฉันมัวแต่อึ้ง ก็เลย...ห้ามไม่ทัน” กะละแมอ้อมแอ้ม
“เฮ่อ...กรรมแท้ๆ กำลังดีใจ คิดว่าจะได้ลูกค้ารายใหญ่ เป็นคุณนายเจ้าของที่ แล้วนี่อะไร...ลูกค้าก็หนี ดีไม่ดีเขาจะมาลากเอ็งเข้าตะรางซะอีก เคราะห์ซ้ำกรรมกระทืบจริงๆ กลุ้มโว้ย”
โต๊ดพูดจบ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น
ตุ้งแช่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ หันไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ใช่ครับ ไม่ใช่ครับ ใช่ครับ เอ๊ย...ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่โต๊ด นายโต๊ดน่ะพ่อผมครับ รอเดี๋ยวนะครับ” หันไปตะโกนเรียก “พ่อ...มีผู้หญิงโทร. มาหา”
โต๊ดรีบเดินมารับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ” ฟังแล้วทำตกใจตาโต “หะ...” รีบปิดที่พูดแล้วหันไปทางกะละแมและติ่ง “คุ...คุณนายฉายตะวันโทร. มา”
ติ่งกับกะละแมรีบวิ่งมาสมทบ...เอาหูแนบโทรศัพท์
ฉายตะวันพูดสายอยู่ที่โรงพยาบาล มีมิ้วกับกิมเอ็งแนบหูฟังอยู่เหมือนกัน ในมืออีกข้างของฉายตะวันถือนามบัตรของโต๊ดอยู่
“จ้ะ...ฉันเอง จำได้ใช่ไหม ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย”
โต๊ดหน้าตาตื่น สุ้มเสียงสั่นตื่นตระหนก “เขามีเรื่องอยากถามว่ะ”
ติ่งกังวล “จะเป็นเรื่องไอ้แมกับลูกชายเขาหรือเปล่าน้า”
กะละแมร้อนใจ “รีบๆ ถามเขาสิน้า”
โต๊ดเก็กเสียงนิ่ง “เรื่อง...อะไรเหรอครับคุณนาย”
ฉายตะวันพูดสายต่อ มิ้วกับกิมเอ็งยังแอบฟังสุดฤทธิ์
“เรื่องลูกชายฉันน่ะ”
โต๊ด ตาเหลือก บอกเสียงตื่นตระหนก “เขาจะถามเรื่องลูกชายเขาว่ะ”
ทุกคนหน้าตาตื่น เฮ้ย...ซวยแล้ว! กะละแมรีบให้โต๊ดถามต่อ
“ลูกเขาทำไม เอาให้รู้เรื่องสิน้า”
โต๊ดเก๊กเสียงนิ่งอีก “คุณชิณเป็นอะไรครับ”
“วันนี้ลูกชายฉันโดนทำร้าย”
กะละแม โต๊ดติ่ง ตกใจ
โต๊ดถามเป็นชุดน้ำเสียงยังนิ่งอยู่ “แล้วรู้หรือเปล่าครับว่าใครทำ ทำทำไม แล้วคุณนายจะเอาเรื่องมั้ยครับ”
กะละแมเซ็ง “น้าถามอย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็สงสัยหรอก”
ติ่งส่ายหน้า “ไม่ทันและ”
“เรื่องนั้นคงต้องรอให้ลูกชายฉันฟื้นก่อนแล้วค่อยซักไซ้กัน แต่เรื่องที่ฉันโทร. มาวันนี้ เป็นเรื่องของเจ้าแม่”
โต๊ดรู้สึกแปลกใจ
“เจ้าแม่ทำไมครับ”
“ฉันต้องการเฝ้าเจ้าแม่เป็นการส่วนตัวอีกครั้ง” กะละแมส่ายหน้า...ไม่เอานะ “ไม่อยากให้คนอื่นรู้” กะละแมส่ายหน้าดิก...ไม่ยอม
“แหม...” โต๊ดอึกอัก “มันก็...คือตอนนี้เจ้าแม่คิวแน่นน่ะครับ เกรงว่าจะไม่สะดวก”
ฉายตะวัน มิ้วกับกิมเอ็งส่ายหน้าไม่ได้ๆ อย่ายอม...ต้องดูให้ได้
“ฉันต้องเฝ้าเจ้าแม่ให้ได้...ฉันยอมจ่ายไม่อั้น...เท่าไหร่ก็ว่ามา”
เท่านั้นแหละโต๊ดตาโต เปลี่ยนใจทันทีทันใด
“งั้นคิวว่างแล้วครับ” กะละแมตาโตร้อง หะ “เย็นนี้เลยมั้ยครับคุณนาย”
กะละแมฉุนกึกร้องลั่น “น้าโต๊ด”
โต๊ดปิดปากกระบอกโทรศัพท์แทบไม่ทัน กะละแมหน้าวีนขึ้นมาทันที
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 3 (ต่อ)
เย็นนั้นโต๊ดจัดการเอาป้ายปิดหน้าสำนักทรง “งดหนึ่งวัน” มาแขวนไว้...กะละแมเดินตาม หน้าตาไม่พอใจ
“น้าโต๊ด ฉันไม่อยากเจอคุณนาย เมื่อเช้าเพิ่งทำให้ลูกชายเขาเจ็บตัวอยู่แท้ๆ ตอนเย็นจะมาหลอกเอาเงินแม่เขาอีกแล้ว ฉันรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้
“เอ็งจะไปคิดอะไรมากวะ เอ็งก็คิดสิ ว่าตอนนี้เขากำลังกลุ้มใจ ลำบากใจ แล้วเอ็งก็ทำความดีลบล้างความผิด ทำให้เขาสบายใจก็เท่านั้นเอง” โต๊ดอ้างเหตุผล
“ก็ได้ ถ้างั้นไม่เอาเงินเขานะ ทำให้ฟรีๆ” กะละแมบอก
“เฮ้ย...ได้ไง นานๆ จะมาแบบนี้สักที เอ็งจะทำฟรีๆ ได้ไง เอางี้...เอ็งไม่ต้องเอาเงิน ข้าเอาเอ็ง เอ็งก็ดูให้เขาฟรีไป เอ็งก็สบายใจ ข้าก็ได้ตังค์ เอ็งจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย ไปเตรียมตัวได้แล้ว ข้านัดเขาไว้ 5 โมงเย็น ใกล้เวลาแล้ว”
โต๊ดพูดจบเดินเข้าบ้านไป กะละแมยังหน้าเครียดกลุ้มอยู่ เฮ่อ...รู้สึกผิดจริงๆ
พอรู้เรื่องวีรกรรมลูกชายกับไอ้ก๋อย นุ้ยหลิ่วตาถามกลับ
“แน่ใจนะว่าไม่ผิดตัว!”
“ไม่ผิดแน่จ้ะ คนนี้แหละใช่เลย ขาว ใส ไม่มีสิว ผิวผ่อง น่องสวย” ดวงบอกหน้าระรื่น
นุ้ยปวดตับ “เฮ้ย! พอแล้ว ข้าไม่สนใจน่อง ไม่สนใจหน้าอะไรทั้งนั้น ตกลงนังเจ้าแม่มันเป็นยังไงกันแน่หะ”
ดวงตบหัวก๋อย...เผียะ!!!
“โอ๊ย...พี่ดวงตบหัวฉันทำไมเนี่ย” ก๋อยโวย
“ก็มึงพูดจาไม่เข้าเรื่อง ป๋ากูอยากรู้เรื่องเจ้าแม่ แต่มึงดันสาธยายแต่ความงาม”
ก๋อยสะดุ้ง “เฮ้ย! ได้ข่าวว่าพี่เป็นคนพูดไม่ใช่เหรอ ฉันนั่งเฉยๆ” ดวงเลิกคิ้ว ทำหน้าเอาเรื่อง ก๋อยยอม “เออ...ฉันพูดเองก็ได้ ฉันผิดเอง อะไรๆ ก็ไอ้ก๋อย! เชิญครับ...เชิญพี่ดวงรายงานต่อเลยครับ”
ดวงยิ้มย่อง “ดีมาก...ต่อนะป๋า...สรุปเลย น้องกะละแมไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ตัวเล็กๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไร ป๋าสบายใจได้ เดี๋ยวหนูจัดการเอง”
“เหรอ...” นุ้ยแดกดันไม่อยากเชื่อ “แล้วเอ็งจะจัดการยังไง”
ดวงยิ้มอย่างมั่นใจ “หนูมีวิธีก็แล้วกัน...เชื่อหัวไอ้ดวงเถอะป๋า”
ดวงยิ้ม ในใจคิดจะจิกน้องกะละแมมาเป็นเมียให้ได้
ขณะเดียวกันศจียื่นแท็บเล็ต ที่เปิดหน้า “ศจีสาร” เห็นเป็นรูปหน้ากะละแมชัดแจ๋ว พร้อมประวัติส่วนตัวแบบละเอียดยิบให้นายดู
“ข้อมูลทุกอย่างที่คุณกายต้องการ อยู่ในนี้หมดแล้วค่ะ”
จักกายรับมาเลื่อนดูรูป อ่านประวัติ แล้วเลื่อนมาหยุดที่รูปใบหน้ากะละแมอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างมั่นใจ
“คุณกายให้ศจีหาประวัติของเจ้าแม่ร่างทรงคนนี้มาทำไมคะ ? มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” เลขานักสืบสงสัย
จักกายลุกขึ้นยืน พร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ
“มี..พิเศษมากด้วย...ผู้หญิงคนนี้แหละ จะทำให้เราชนะพวก มหาทรัพย์ไพศาล”
จักกายจ้องที่รูปกะละแมในแท็บเล็ต เห็นหน้าแบบชัดๆ เต็มๆ
กะละแมมาหารือกับโทฟู่ ตัดสินใจเล่าเรื่องชิณ และเรื่องที่ฉายตะวันจะมาหาให้ฟัง
“ฉันก็ทำตามที่แกบอก รีบพาเขาส่งโรงพยาบาล เกือบเจอแม่เขาแน่ะ ดีนะที่หนีทัน”
“ทำไมต้องหนี” โทฟู่ฉงน
“ก็ฉันเป็นต้นเหตุให้ลูกชายเค้าถูกทำร้าย”
“แล้วพวกนั้นเป็นใคร แกรู้ป่าว”
“ไม่รู้ แต่ท่าทางไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่” กะละแมยิ่งเครียด “แกว่าฉันจะโดนจับมั้ย”
“ไม่หรอก แกไม่ได้ผิด ทางที่ดี ถ้าเจอ 2 คนนั้นอีก ก็ถ่ายรูปไว้ หรือทำอะไรก็ได้ ให้รู้ว่าพวกนั้นเป็นคนทำ ไม่ใช่แก”
กะละแมยังกลุ้มอยู่ “ช้าไปแล้ว..ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ไม่ได้เตรียมอะไรสักอย่าง คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม” เจ้าแม่จำเป็นถอนหายใจดังเฮ่อ...
โทฟู่มองกะละแมด้วยความเห็นใจ.....แล้วก็นึกอะไรบางอย่างออก
“เออ..ไอ้แม! มีอีกเรื่องฉันลืมบอก ฉันเจอผู้ชายที่กินน้ำเต้าหู้ใส่แก้วแล้วนะ เขามาหาแกที่ร้าน แต่เจอฉัน”
“แล้วเค้ามาหาฉันทำไม”
“เค้าอยากเฝ้าเจ้าแม่เป็นการส่วนตัว”
“เฝ้าส่วนตัวอีกแหละ.....เฮ่อ..ทำไมช่วงนี้มีคนอยากเจอเจ้าแม่เป็นการส่วนตัวเยอะจัง”
สีหน้ากะละแม เซ็งสุดชีวิต
ด้านฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว มาตามนัด และนั่งรออยู่ในสำนักทรงด้วยความร้อนใจ โต๊ดเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“รอสักครู่นะครับ ร่างทรงกำลังเตรียมตัว”
ฉายตะวันเกรงใจ “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันมาก่อนเวลาเอง”
โต๊ดเดินออกไป
ติ่งแต่งตัวหล่อ เสื้อลายดอกพร้อย เหมือนยกมาทั้งป่า โต๊ดเข้ามาเห็นก็งง
“เอ้า...จะไปเล่นลิเกที่ไหนวะไอ้ติ่ง ลายพร้อยเชียวนะเอ็ง”
ตุ้งแช่สาระแนเสนอหน้าอยู่ข้างๆ
“เปล่าพ่อ...พี่ติ่งเขาจะไปเชิดสิงโต”
ติ่งเบิ๊ดกบาลตุ้งแช่ไปหนึ่งที
“เฮ้ย! ไอ้ติ่ง นี่มันลูกข้านะโว้ย ทำอะไรเกรงใจกันหน่อย”
ตุ้งแช่รีบมาออดอ้อน ดึงเสื้อฟ้อง “ใช่ๆ พ่อ พี่ติ่งชอบแกล้งแช่อยู่เรื่อยเลย”
โต๊ดเห็นตุ้งแช่เอามือมาจับเสื้อ เสื้อยับก็เม้ง “อ้าว...ไอ้แช่ อย่ามาจับเสื้อพ่อสิเว้ย เพิ่งรีดมาเรียบๆ ยับหมด เอ๊ะ...ไอ้นี่” พร้อมกับตบกบาลไปหนึ่งที
ตุ้งแช่งงๆ ติ่งขำ
“ไปเตรียมงานได้แล้ว ลูกค้ากำลังรออยู่ ไปดูไอ้แมสิ ถ้ามันพร้อมก็เริ่มได้เลย”
กะละแมเดินออกมา
“ฉันพร้อมแล้ว”
ควันธูปลอยวนทั่วสำนัก ก่อนจะเห็นกะละแมนั่งสั่นงั่กๆๆๆ อาการองค์ลง ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว นั่งดูอยู่ด้วยความระทึก โต๊ดคอยประกบอยู่ข้างๆ
กะละแมเงยหน้ามองถามด้วยมาดและเสียงเจ้าแม่
“เรียกข้ามาทำไมวะ”
ฉายตะวัน กิมเอ็ง มิ้ว หวาดๆ โต๊ดรู้คิวรีบจัดการแสดงส่งเชี่ยนหมากให้ “นี่ครับเจ้าแม่ เคี้ยวหมากก่อนครับ”
“ไม่เอา ไม่มีอารมณ์เว้ย มีอะไร รีบๆ พูดมา ข้าจะรีบกลับ”
โต๊ดสบตาฉายตะวันเป็นเชิงบอกให้พูดเลย
“เอาเลยครับคุณนาย สงสัยอะไรถามเลยครับ”
ฉายตะวันอึกอัก “คือว่า...วันก่อนเจ้าแม่บอกว่าลูกชายดิฉันจะมีเคราะห์ เมื่อเช้าเขาก็โดนทำร้ายจริงๆ ดิฉันเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอันตรายร้ายแรงอะไรหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“ก็ลูกชายเอ็งมันคอยแต่จะหาเรื่อง เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ทำอะไรก็ไม่คำนึงถึงจิตใจเขา แบบนี้เคราะห์กรรมมันก็ตามทันน่ะสิ”
ฉายตะวันอึ้ง “แล้วจะมีอะไรหนักหนากว่านี้มั้ยคะ”
“มี” เจ้าแม่กำมะลอบอก ฉายตะวันตกใจ “แต่มันก็พอแก้ไขได้...ให้ลูกชายเอ็งหมั่นทำบุญ มีเมตตากรุณากับคนอื่นบ้าง”
“แล้วจะให้ทำบุญยังไงคะเจ้าแม่ ปล่อยนกปล่อยปลาหรือเปล่าคะ”
โต๊ดยิ้มรับกะว่าฟันแน่
“เรื่องทำบุญน่ะไม่ต้องให้ข้าบอกหรอก เอ็งไปถามลูกชายเอ็งก็แล้วกันว่า ตอนนี้มันกำลังทำให้ใครเดือดร้อนอยู่หรือเปล่า แค่มันเลิกรังควานเขา ก็เท่ากับทำบุญแล้ว” กะละแมหมายถึงตัวเอง แต่โต๊ดไม่ค่อยพอใจ
โต๊ดรีบบอก “หรือจะทำบุญกับเจ้าแม่ก็ได้จ้ะ”
กะละแมตัดบท “อย่ายุ่งไอ้โต๊ด ข้ากำลังพูดอยู่ เอ็งนี่มันสอดจริงๆ”
โต๊ดเหล่มองไม่พอใจนักจ้องหน้าคาดโทษ... จำไว้นะไอ้แม
“เอ่อ...แล้วเรื่องรำแก้บน ลูกชายดิฉันไม่ทำแน่ๆ จะทำยังไงดีคะ”
“งั้นก็เปลี่ยนเป็นจ้างนางรำมารำแทน แต่ไม่ต้องแก้ผ้านะ รำธรรมดานั่นแหละ เจ้าที่เขาชอบ ข้าไปล่ะ”
กะละแมกระตุก ตามด้วยสั่นพั่บๆๆๆ แล้วก็สลบไปตามคิวโชว์
ฉายตะวันหน้าตาไม่ค่อยสบายใจเอาเลย
พอสามคนออกจากสำนักไปแล้ว โต๊ดโวยวายกะละแมลั่น
“นี่ไอ้แม แทนที่เอ็งจะให้คุณนายเค้าทำบุญ ดันพูดอะไรวะ ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย อุตส่าห์ปิดสำนัก คิดว่าจะฟันหมู แต่นี่อะไร เนื้อหมูสักติ่งยังไม่เห็นเลย...เอ็งทำอะไรของเอ็งวะ”
“ก็ทำให้เรื่องมันจบไงน้า ฉันรู้สึกเหมือนเรื่องมันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว ฉันก็เลยฝากคุณนายให้ไปบอกลูกชายเขาว่าอย่ายุ่งกับฉัน ก็แค่นั้นเอง”
โต๊ดประชด “เออ...แม่คนดี คนดีจริงๆ ข้าจะคอยดู ไอ้คนที่ทำดี แล้วมันจะได้อะไรดีๆ กลับคืนมามั้ย”
โต๊ดพูดจบก็เดินไปอย่างฉุนเฉียว ทิ้งให้กะละแมกลุ้มใจอยู่คนเดียว
ฉายตะวัน กิมเอ็ง และมิ้ว ยืนปรึกษากันอยู่หน้าสำนัก ขณะกำลังเดินมาขึ้นรถ
“เฮ่อ...ฟังแล้วก็กลุ้ม ชิณไปทำอะไรให้ใครเขาเดือดร้อน ไปตามรังควานใครนะ”
สีหน้าฉายตะวันครุ่นคิด กิมเอ็งนึกออก
“หรือว่า..จะเป็นเรื่องที่ในซอยมหาลาภ”
ฉายตะวันอึ้ง “ที่นี่เนี่ยเหรอ”
“ใช่ค่ะ พวกชาวบ้านคงเดือดร้อน ที่คุณชิณไล่ที่ เลยรวมตัวกันสาปแช่งให้คุณชิณฉิบหาย เอ้ย! มีเคราะห์น่ะค่ะ” กิมเอ็งมั่นใจมาก
ฉายตะวันคิด...เครียดหนัก มองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านหน้าตาเคร่งเครียด บางคนกำลังขนของออกจากซอยด้วยความกลุ้มใจ ฉายตะวันเห็นแล้วก็คิด...แววตามีประกายเด็ดเดี่ยวขึ้น
เช้าวันต่อมาโทฟู่จัดร้าน ยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ ยกไปพูดไป
“อะไรเนี่ยคุณ จะมาเฝ้าเจ้าแม่ แต่เช้าเนี่ยนะ เจ้าแม่ยังไม่ตื่นหรอก”
ที่แท้โทฟู่คุยอยู่กับจักกาย
“ผมกลัวว่าสายๆคนจะเยอะ ก็เลยรีบมา ตกลง...คุณคุยกับเจ้าแม่เรื่องผมยัง”
จักกายมองโทฟู่ส่งสายตาอ้อนๆ โทฟู่หันมาเห็นหน้าจักกายมองอ้อนแล้วก็แอบเขินไม่รู้ตัว ทำเป็นหลบตา พูดต่อไม่ให้รู้ว่าสะเทิ้นอยู่
“คุยแล้ว”
“แล้วเจ้าแม่ เอ่อ...กะละแมเพื่อนคุณว่าไงบ้าง ? เค้าจะให้ผมเจอเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า”
โทฟู่พยักหน้า “อื้อ”
จักกายยิ้มกว้าง สดใส น่ารัก แล้วก็พุ่งมือเข้ามาจับมือโทฟู่ไว้ด้วยความลืมตัว ประสาเด็กนอก
“ขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากๆ”
โทฟู่เขินปนตกใจจึงค่อยๆ บิดมือออก “นี่...น้อยๆหน่อย ขอบคุณเฉยๆ ไม่ต้องจับมือก็ได้”
จักกายรู้สึกตัว ยิ้มแห้งๆ “ขอโทษ ลืมตัวไปหน่อย” แล้วหัวเราะแหะๆ
“นี่..ฉันชื่อ โทฟู่ เรียกฟู่เฉยๆก็ได้ คุณชื่ออะไร”
โทฟู่ถามด้วยท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น
“ผมชื่อจักกายครับ เรียกกายเฉยๆ ก็ได้”
จักกายตอบกะละแม และโทฟู่ที่นั่งอยู่ในสำนัก
“ฟู่บอกว่าคุณอยากเจอเจ้าแม่”
“ครับพอดี..ผมมีเรื่องอยากจะซักถามเจ้าแม่เป็นการส่วนตัว” จักกายแอบมีเลศนัยในน้ำเสียง
โทฟู่รู้ตัว “งั้นก็เชิญคุยกันตามสบายนะ ฉันไปช่วยอาม่าจัดร้านต่อก่อน ไปละ”
โทฟู่หันมายิ้มให้นิดๆ จักกายยิ้มตอบ
กะละแมแอบเห็นรอยยิ้มของโทฟู่ที่ยิ้มให้จักกายแล้วก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ โทฟู่เดินออกไปลับตัวแล้ว
ด้านโทฟู่เดินออกมาจากสำนักทรง แล้วก็หยุดคิดนิดๆ นึกไปถึงตอนจักกายจับมือแวบเข้ามา โทฟู่ยิ้มนิดๆ ... เขินอ่ะ
จักกายเผชิญหน้ากับกะละแม สภาพรอบๆ แปรสภาพเป็นสำนักทรงแบบเต็มรูปแบบ
“ถ้าพร้อมแล้ว ฉันจะอัญเชิญเจ้าแม่มาล่ะนะ”
“ผมพร้อมแล้ว .. แต่ไม่ต้องอัญเชิญเจ้าแม่” กะละแมงงมองหน้าจักกาย “ผมไม่ได้จะมาคุยกับเจ้าแม่ แต่จะมาคุยกับคุณ”
บรรยากาศมาคุแผ่ปกคลุม จักกายเปลี่ยนบุคลิก และแววตาไปจากเดิมเล็กน้อย จากซื่อกลายเป็นมีเลศนัย
กะละแมงงหนัก ”คุยเรื่องอะไร”
จักกายกวาดตามองไปรอบๆ สำนักทรง แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับกะละแมอีกครั้ง
“เรื่องธุรกิจ”
กะละแมขมวดคิ้ว..เง็ง
“ผมขอจ้างให้คุณทำแบบนี้ต่อไป ทำตัวเป็นเสาหลักของชาวบ้าน ที่จะไม่ยอมย้ายออกจากซอย ถ้านายชิณจ้างคุณย้ายออก ผมพร้อมจะจ่ายให้มากกว่าเพื่อให้คุณอยู่ต่อ”
“เพื่อ...” กะละแมถามยังงงอยู่
“ก็บอกแล้ว...เป็นเหตุผลทางธุรกิจ” จักกายยิ้มร้ายนิดๆ “ถ้าคุณต้องการค่าเหนื่อยสำหรับต่อสู้กับพวกมหาทรัพย์ไพศาล ติดต่อผมได้ตลอดเวลา”
กะละแมมองนามบัตร และมองหน้าจักกายด้วยความหมั่นไส้
“พวกคนรวยนี่มันเหมือนกันหมดจริงๆ เอะอะก็ใช้เงินฟาดหัวคนอื่น ถึงฉันจะเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นคนทรงเจ้า แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากับพวกคุณ ฉันจะย้ายออกหรือไม่ อยู่ที่ความพอใจของฉัน ไม่เกี่ยวกับเงินของพวกคุณ ต่อให้คุณมีเงินล้นฟ้า ก็ซื้อคนอย่างไอ้แมไม่ได้...จำไว้”
จักกายนิ่งฟัง “ผมไม่ได้คิดจะดูถูกคุณ ผมแค่ขอความร่วมมือ” ผุดยิ้มร้ายออกมานิดๆ “ขอให้คุณรู้ไว้ว่าเราอยู่ข้างเดียวกัน”
มือจักกายยื่นนามบัตรให้ กะละแมไม่รับ จักกายเลยวางไว้ตรงหน้าแทน
“ขอแค่พวกนั้นเริ่มงานไม่ได้ ผมยอมจ่ายไม่อั้น”
กะละแมมองตาม แววตาครุ่นคิด...เซ็งแต่ละคนที่มาหา ถอนใจดัง เฮ่อ... !
เวลาต่อมาชาวบ้านในซอยมหาลาภวิ่งหน้าตาตื่นมาดูด้วยความตื่นเต้น ป้ายไล่ที่ถูกคนงานรื้อออก มีชาวบ้านมามุงกันเพียบ แล้วก็ซุบซิบกันอื้ออึง
“เฮ้ย...เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ มาถอนออกวะ”
เห็นพนักงานรางวัด ขนของกลับขึ้นรถ ชาวบ้านยิ่งงง
ที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเช้าเดียวกันนั้น ชิณผงกหัวขึ้นจากเตียงแบบลืมความเจ็บปวดใดๆ ถามทรงวุฒิเสียงดัง
“อะไรนะ! คนงานที่ซอยมหาลาภถอนกลับมากันหมดแล้ว ทำไมเป็นแบบนี้
“เอ่อ...คือ...คือว่า...”
“บอกมาว่าทำไม พูดมาเดี๋ยวนี้...ใครเป็นคนสั่ง”
“เอ่อ...” ทรงวุฒิอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอก “คุณท่านครับ...คุณท่าน แม่คุณชิณเป็นคนสั่งครับ”
“หะ...แม่เป็นคนสั่ง”
ชิณอึ้งอย่างแรง
ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 4