เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 1
โลกยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวันเวลา หมู่เมฆลอยเคลื่อนคล้อยแผ่ปกคลุมที่แผ่นฟ้า “กรุงเทพมหานคร” ณ บริเวณหน้าที่ทำการพรรคไทธิวัตถ์วันนี้ มีผู้สื่อข่าวมากมายมารอทำข่าว ทั้งสายโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ หลายคนรายงานอยู่หน้ากล้องถ่ายทอดสด
ตรงบริเวณหน้าบันไดมีโพเดี้ยมวางอยู่ตรงกลาง เหมือนกำลังรอการแถลงข่าวจาก ดร.เมฆา ฐานรัฐ หัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
เมฆาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยได้เกือบ 4 ปีแล้ว
บริเวณทางเดินทอดยาวภายในพรรคฯ ดร.เมฆาเดินเข้ามาโดยมี คมศร เลขาคนสนิทเดินตามอยู่ด้านข้าง ในมือถือไอแพดเหมือนกำลังบรีฟงานให้เมฆาฟัง ด้านหน้ามีบอดี้การ์ดเดินนำและอารักขาโดยรอบอยู่ 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน
“ดร.เมฆา ฐานรัฐ ... นายกรัฐมนตรี”กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเครียด
“ผลการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเป็นยังไงบ้าง” เมฆาถาม
“คมศร สุริยน ... เลขาส่วนตัวนายกรัฐมนตรี” หนุ่มเลขาส่วนตัวของดร.เมฆา มีการศึกษาดีแต่ฐานะยากจน ได้รับการอุปถัมภ์ทุนเล่าเรียนจนจบการศึกษาปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์การเมืองการปกครองจากอเมริกา เชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม นับถือเมฆาเป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต
หนุ่มมาดเนี้ยบ สุขุม หล่อมาก กำลังกดไอแพดเพื่อตรวจสอบข้อมูลด้วยมาดเท่
“รองนายกอนันต์กำลังเจรจาอยู่ครับ แต่ท่าทางจะไม่สำเร็จ ท่านนายกอาจจะต้องยอมอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ตามที่พรรคร่วมเสนอ”
“ไม่มีทาง... ฉันไม่มีวันยอมกินตามน้ำ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คมศรยกขึ้นดูเป็นรูปหน้ารองนายกอนันต์ เขาหันมารายงานกับดร. เมฆา
“รองอนันต์”
"บอกไปว่าฉันยืนยันตามคำพูดเดิม จะไม่มีการอนุมัติโครงการใด ๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์ และผลสรุปด้านความปลอดภัย”
คมศรพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ผ่านทางบลูทูธที่ติดอยู่ข้างหู
"ล้มการประมูลครับ"
ดร. เมฆาสีหน้าเครียด ก่อนเดินนำหน้าเปิดประตูห้องทำงานเข้าไปด้านใน
ป้ายที่หน้าระบุ “ดร.เมฆา ฐานรัฐ หัวหน้าพรรคไทธิวัตถ์”
ดร. เมฆาเดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยสีหน้าและอารมณ์เครียด ก่อนนิ่วหน้ามองไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง
“จักร อมตฤทธา .. ที่ปรึกษาพิเศษพรรคไทธิวัตถ์” นักการเมืองหนุ่มหล่อแต่ชั่ว มุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จของตัวเองจนลืมความถูกต้อง มีลูกน้องนักเลงมากมาย ร่ำรวย มีการศึกษาดี แต่เหมือนเป็นคนเก่งที่เลว กร่าง บ้าอำนาจ หลงตัวเองอย่างร้ายกาจ ไม่ยอมลงให้ใคร คิดว่าอำนาจเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้
จักรนั่งเปิดแฟ้มเอกสารอ่านอยู่อยู่ที่โต๊ะทำงานของดร. เมฆาด้วยท่าทางกร่างยะโส สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความเคารพ
“ใครอนุญาตให้เข้ามา" เมฆาถาม
“ลองอ่านแฟ้มนี้หน่อยสิ”
จักรโยนแฟ้มโครมลงบนโต๊ะตรงหน้าเมฆา
“ที่นี่เป็นห้องทำงานส่วนตัว”
“รู้ แต่อยากให้นายกอ่าน”
ดร. เมฆาจ้องหน้าจักรด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงปรายตาลงมองที่โต๊ะทำงาน เห็นหน้าแฟ้มเอกสารระบุ “โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
"อ่านแล้วเซ็นอนุมัติซะ"
“ไม่มีใครบังคับฉันได้ คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“เจ้าของเงินสนับสนุนพรรคไทธิวัตถ์ ! เลือกตั้งครั้งที่แล้ว ดอกเตอร์เมฆา ฐานรัฐ ได้เป็นนายกเพราะใคร”
“เพราะประชาชน”
“แน่ใจ ... ถามรองอนันต์บ้างสิว่าเงินอุปถัมภ์พรรคได้มาจากไหน”
"ฉันเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ มีหน้าที่ทำงานเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน สนองคุณแผ่นดิน ไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณใคร”
“อยู่กันแค่สองคน ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพ”
“ออกไป”
“อนุมัติซะ...อย่าทำอะไรให้มันยาก”
จักรจ้องหน้าแล้วคิดนิดหนึ่งแล้วถาม
“ รึต้องการค่าลายเซ็นต์”
“บอกให้ออกไปจากห้องนี้”
เมฆาจ้องหน้าจักรที่จ้องตอบแบบไม่เกรงกลัว
“เป็นแค่ไม้ใกล้ฝั่ง อย่าทำตัวดื้อด้าน โลกใบนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองของคนรุ่นใหม่ ทัศนคติต้องทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่”
“โลกแห่งความถูกต้อง จะกี่สิบกี่ร้อยปีก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ แต่อำนาจต้องสร้างความดีงามและถูกต้อง ตราบใดที่ เมฆา ฐานรัฐ ยังเป็นนายกฯ จะต้องไม่มีการโกงกินบ้านเมืองเพื่อตอบแทนบุญคุณใคร... ออกไป”
จักรจ้องหน้าเมฆาพักหนึ่ง
“เราจะต้องเจอกันอีกแน่”
จักรจ้องหน้าดร. เมฆาแล้วจึงเดินออกไปอย่างท้าทาย เมฆามองตามด้วยแววตาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง คมศรเดินเข้ามาหาเมฆา
“ท่านนายกฯ ครับ งานแถลงข่าวพร้อมแล้ว”
เมฆาพยักหน้ารับทราบ แล้วติดกระดุมสูทจัดไทด์ให้เรียบร้อย และกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชะงักหันมาบอกคมศร
“โทรไปบอกคุณนภาด้วยว่านัดวันนี้ยกเลิก”
“แต่วันนี้...”
“หลังแถลงข่าวยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ นภาเข้าใจ”
ดร. เมฆาเดินออกไป คมศรมองตามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แล้วจึงเดินตามออกไป
บนโต๊ะทำงานของเมฆามีกรอบรูปภาพถ่ายเมฆากับนภายิ้มแย้มรักกัน
บริเวณระเบียงบ้านพักสวยงามเชิงเขาในรีสอร์ตสวยงาม ในเวลาเดียวกัน บนโต๊ะมีการจัดโต๊ะอาหารแบบง่ายๆ แม่บ้านกำลังจัดโต๊ะอาหารและประดับดอกไม้
นภา ฐานรัฐ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานสืบสวนพิเศษ พูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไร้ความรู้สึก
“ฉันเข้าใจ บอกดอกเตอร์เมฆาให้ดูแลสุขภาพด้วย ฉันจะอยู่ที่นี่ถึงวันอาทิตย์ ถ้ามาได้ก็แวะมาหน่อย"
นภาวางสายแล้วหันมาบอกแม่บ้าน
"ไม่ต้องจัดอะไรเพิ่มแล้ว"
“แต่ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของท่าน”
“นายกฯเมฆา วันไหน ๆ ก็เป็นวันทำงานได้เสมอแหละ”
นภายิ้มแบบกำลังพยายามทำใจให้ยอมรับได้
บริเวณมุมแถลงข่าวหน้าพรรค มีผู้คนเตรียมการอยู่พร้อมแล้ว รถคันหนึ่งจอดตรงลานด้านหน้า
จักรนั่งอยู่ในรถด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก พลางยกโทรศัพท์ไอโฟนขึ้นมากดเปิดโปรแกรมเฟซไทม์พูดโทรศัพท์แบบเห็นหน้า
“ฉันต้องมีอำนาจมากกว่านี้”
จักรสีหน้าเครียดและจริงจัง
ชายในมุมมืดนั่งอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์ไอแมค
“เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว”
“จะทำอะไรก็เร่งมือ ฉันเบื่อจะรอ” จักรพูดสีหน้าเหี้ยม
“ภายในเจ็ดวัน...ดอกเตอร์เมฆาต้องเปลี่ยนรองนายกคนใหม่ ใช้คนที่มีวิสัยทัศน์เหมาะสม ฮึ ๆ”
“ฉันไม่ต้องการแค่นั้น”
“เพื่อความมั่นคง รากฐานต้องแน่น เรากำลังจะได้ของชิ้นแรกมาแล้ว อีกไม่นานหรอก.. อีกไม่นาน"
บุคคลที่จักรคุยด้วยนั้นคือ “ขมังเวทย์” ผู้น่าเกรงขามยากจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงภายใน โลภและทำทุกอย่างได้เพื่อความสำเร็จของตัวเอง มุ่งหวังอำนาจสูงสุดของรัฐ มีอำนาจคุณไสยฯ ขั้นสูงสุดจนยากจะมีคนต่อต้าน
จักรวางหูโทรศัพท์แล้วหันไปมองนอกหน้าต่างรถไปยังสถานที่แถลงข่าวด้วยสายตามาดมั่น
วันดียวกัน ณ กลุ่มอาคารรูปร่างทันสมัย “ศูนย์ศิลปร่วมสมัยแห่งเอเชีย… มูลนิธิไททัศน์” ที่มีนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์หลายแห่งมารวมกันทำข่าว กำลังรายงานต่อหน้ากล้องอย่างตื่นเต้น โดยรอบอาคารมีผู้คนมากมาย
รายรอบศูนย์ศิลปร่วมสมัยแห่งนี้มีกองกำลังตำรวจดูแลอยู่เต็มไปหมด ทั้งในเครื่องแบบ
และตำรวจจากสำนักงานสืบฯ
ภาพกราฟฟิคตัดเข้าอินเตอร์ลูดโลโก้ 3D สถานีข่าว The Sky News Network
“น้ำใส” กำลังยืนรายงานข่าวต่อหน้ากล้อง
“สกายนิวส์เน็ตเวิร์คกำลังติดตามการเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณชิ้นสำคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยเพิ่งได้รับมาจากประเทศเพื่อนบ้านค่ะ ขณะนี้ดิฉันอยู่กับ “คุณเจนภพ เทวสถิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปร่วมสมัยแห่งเอเชีย...
สวัสดีค่ะท่านผอ. พอจะบอกได้มั้ยคะว่า “ตรีศูลวัชระ” วัตถุโบราณชิ้นนี้มีความสำคัญยังไง”
เจนภพท่าทางสุขุม ใส่สูทเนี้ยบตามแบบของนักวิชาการ
“ตรีศูล...เป็นอาวุธประจำกายของพระศิวะ ตามคัมภีร์ยุทธสงครามโบราณ เชื่อว่า ตรีศูลวัชระ เป็นหนึ่งในเครื่องราง เทวาศาสตราวุธ”
“เทวาศาสตราวุธ”
“มีความเชื่อว่า ถ้าผู้ใดได้ครอบครองเทวาศาสตราวุธทั้ง 4 ชิ้น จะเกิดมงคลสูงสุดกับชีวิต มีทั้งอำนาจคุณไสยฯ และบารมีครับ”
“ศาสตราวุธโบราณทั้ง 4 ชิ้นมีอะไรบ้างคะ”
“ตามคัมภีร์.. เทวาศาสตราวุธทั้งสี่ประกอบไปด้วยตรีศูลวัชระ”
“ตรีศูลวัชระ” นี้มีขนาดความสูงเท่าถ้วยกาแฟ บรรจุอยู่ภายในกล่องใสที่วางอยู่บนแท่นกลางรถตู้คันหนึ่งซึ่งกำลังขนย้ายมายังศูนย์ศิลปฯ
“อนันตคทา”
ภาพแสงสวยที่บรรยากาศโดยรอบมีแต่ความมืด เห็น “อนันตคทา” วางอยู่ที่มุม ๆ หนึ่ง
“จักระนารายณ์”
แสงสวยกลางบรรยากาศเปลี่ยนไป เห็น “จักระนารายณ์” วางอยู่อีกมุม
“และสังข์ไชยมงคล” เจนภพกล่าวสรุป
แสงสวยในบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง เห็น “สังข์ไชยมงคล” วางอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง
สีหน้าของน้ำใสไม่ค่อยเชื่อถือในเรื่องที่เจนภพเล่าเท่าไรนัก กล่าวสรุปแบบไม่ถึงกับดูถูก แต่ไม่เชื่อถือว่า
“ และนี่คือความเชื่อที่กำลังรอการพิสูจน์ในโลกยุคดิจิตอล แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ คงไม่มีไสยศาสตร์หรือเวทย์มนต์สำคัญไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์ .. น้ำใส ภูมิภักดิ์ สกายนิวส์เน็ตเวิร์ค รายงาน”
ฉับพลันที่สิ้นคำพูดของน้ำใส ก็บังเกิดลมพัดแรงราวกับพายุแรงพัดซัดถาโถมเข้ามา ! น้ำใสถึงกับตัวปลิวต้องหาที่เกาะรั้งร่างตัวเองไว้ เธอถึงกับหน้าถอดสี!! ผู้คนที่อออยู่ทางด้านหน้าบริเวณศูนย์ศิลปร่วมสมัยต่างแตกตื่นกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ ลมยังพัดหมุนวนไม่หยุด
เจนภพตรงเข้าไปประคองร่างน้ำใสไว้ ทั้งสองมองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน หมู่เมฆก็ตรงเข้าบดบังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณสลัวมืดไปในทันที
ท้องฟ้าเบื้องบนแปรปรวนอย่างรุนแรง เสียงฟ้าคำรามร้องดังลั่นราวกับกำลังจะเกิดพายุ
ตรงบริเวณลานจอดรถด้านหน้าอาคารศูนย์ศิลปร่วมสมัย ท่ามกลางบรรยากาศลมหมุนใบไม้ปลิวราวกับพายุนั้นเอง มอเตอร์ไซค์ตำรวจสองคันนำรถตู้ที่ขนย้ายตรีศูลวัชระเข้ามา
ประตูรถตู้เปิดออก เท้าของ “ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชย .. หน่วยปฏิบัติการกลยุทธ์ สำนักงานสืบสวนพิเศษ” ก้าวลงมาจากรถพร้อมนำกล่องแก้วที่ใส่ตรีศูลนั้นลงมาจากรถตู้
“แสงกล้า” นายตำรวจมือปราบหนุ่มหล่อ เด็กกำพร้าที่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ของตัวเอง จริงจังกับการทำงานจนดูเครียดและจริงจังกับชีวิต ติดจะเป็นคนปากเสีย พูดจาขวานผ่าซากจนบางครั้งความหล่อก็ทำให้คนรอบข้างปลาบปลื้มไม่ได้ เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น เกลียดและชิงชังกับเรื่องงมงายและโชคลางเป็นอย่างยิ่ง
แสงกล้าสีหน้าเขาเข้มขรึมหันไปส่งสัญญาณกับตำรวจคนอื่น ๆ ให้นำรถเข็นคันหนึ่งเข้ามาเพื่อลำเลียงตรีศูล
ทันทีที่แสงกล้านำตรีศูลในกล่องแก้วใสวางลงบนรถเข็น ฉับพลันสภาพโดยรอบที่มืดมิดกลับสว่างขึ้น !! เมฆดำที่บดบังอยู่นั้นก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์แผดแสงออกมาอีกครั้ง ทั่วทั้งบริเวณศูนย์ฯกลับมาสว่างอีกครั้ง
แสงกล้าเดินเข็นตรีศูลเข้าไปยังบริเวณศูนย์ฯ ด้านใน ลมพายุที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ กลับหายไปโดยสิ้นเชิง! ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ!
เจนภพหันไปมองน้ำใส ทั้งสองคนอยู่ในอารมณ์ตกใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
เวลาต่อมา ภายในห้องโถงใหญ่ที่ใช้เก็บโบราณวัตถุ โดยรอบมีโบราณวัตถุหลายชิ้น ตรงกลางมีแท่นสวยงามวางอยู่ แสงกล้ายกกล่องตรีศูลขึ้นมาวางไว้บนแท่นนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความขรึมขลัง
น้ำใสรีบหลบวูบเมื่อมีคนเข้ามา เธอแอบอยู่ด้านหลังของผ้าม่านด้านหนึ่งพร้อมกล้องวิดีโอขนาดเล็ก
เจนภพเดินนำทีมเจ้าหน้าที่โบราณคดีที่เริ่มตรวจสอบตรีศูลด้วยอุปกรณ์ทันสมัย
แสงกล้าถอยออกมา แล้วหันไปสั่งตำรวจลูกน้อง
“ตรวจสอบรอบห้องอีกครั้ง ระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด ห้ามผู้สื่อข่าวหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในนี้เด็ดขาด”
แสงกล้ากำลังคุมตำรวจลูกน้องตรวจสอบโดยรอบห้องเพื่อความปลอดภัย ขณะเจนภพตรวจตรีศูลฯ
ภายนอกอาคารและถนน มีรถถ่ายทอดสดและรถนักข่าวกำลังออกไปจากบริเวณนั้น ตำรวจหลายนายกำลังล้อมรอบอาคารนั้นอยู่ ต่างตรวจสอบจุดต่าง ๆ เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย
บรรยากาศโดยรอบคล้ายมีคลื่นพลังงานบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครรู้
บริเวณกลางแจ้ง... “ดาบแหบ” สีหน้ามุ่งมั่นกำลังชี้นิ้วสั่งให้ลูกน้องตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ ดาบแหบทำวิทยุสื่อสารตกจึงก้มลงเก็บ ที่พื้นดาบแหบเห็นเงาตำรวจคนหนึ่งทอดยาวอยู่
จู่ๆ เงานั้นก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เงาที่ทอดยาวลงพื้นกลับตั้งตรงขึ้น ประกอบตัวกลายเป็นร่างมนุษย์ !
ดาบแหบตาเหลือกด้วยความตกใจ กำลังจะร้อง...ฉับพลันแสงและควันดำก็วูบเข้าใส่หน้า ดาบแหบล้มลงทันที วิทยุสื่อสารยังคงตกอยู่ข้างกาย
แสงและควันดำวูบใส่ตำรวจในบริเวณนั้น ทุกคนล้มวูบไปทันที
วิทยุสื่อสารที่ตกอยู่บนพื้นข้างตัวดาบแหบ เสียงแสงกล้าวอออกมาถาม
“ดาบแหบ...ด้านนอกเป็นยังไงบ้าง (เงียบ) ดาบแหบ...รายงานความเรียบร้อยด้วย”
ดาบแหบเข้ามาหยิบวิทยุสื่อสารออกไป พูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ดีครับหมวด รีบ ๆ เคลียร์งานด้านในเหอะ ผมนัดเมียไว้ จะรีบไปขายบะหมี่ยำ”
แม้ว่าดาบแหบจะน้ำเสียงทะเล้นตามสไตล์ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายโดนสะกด!
ภายในห้องแสดงโบราณวัตถุ แสงกล้าปิดกล่องแก้วที่ครอบตรีศูลวัชระ แล้วผนึกด้วยกลไกกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ลายนิ้วมือตัวเองประทับสแกนล็อกเรียบร้อย...
หลังม่านตรงแท่นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่ง น้ำใสกำลังแอบถ่ายภาพ ในกล้องวิดีโอขนาดเล็กเห็นแสงกล้ากำลังคุยกับเจนภพ
แสงกล้าพูดกับเจนภพ
“คนที่เปิดกุญแจนี้ออกมีแต่ท่านกับผม”
เจนภพพยักหน้ากับแสงกล้าเป็นเชิงขอบใจ แล้วเอามือแตะที่ไหล่
“ฝากด้วยนะหมวด”
เจนภพเดินออกไป
ตำรวจลูกน้องทำความเคารพแสงกล้าแล้วกระจายกันออกไปจากห้องฯ
แสงกล้าเดินตรวจบริเวณรอบ ๆ ห้องแสดงโบราณวัตถุอย่างระแวดระวัง ขณะที่น้ำใสยังคงแอบถ่ายวิดีโออยู่
แสงกล้ารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นิ่วหน้าหันกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับกระชากปืนออกมาด้วยมาดเท่
“ใคร”
น้ำใสที่หลบอยู่ด้านหลังแท่นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่ง สะดุ้งสุดตัว หลับตาปี๋ด้วยความกลัว
“บอกให้ออกมา หรือจะให้ยิงเข้าไป”
“อย่ายิงเข้ามานะ ออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
น้ำใสทำหน้าจ๋อย ๆ ค่อย ๆ เดินออกมาหาแสงกล้า
“อย่าทำอะไรฉันเลย น้ำใสเอง... น้ำใสเพื่อนรักของแสงกล้าไง ฉันเข้ามาเก็บภาพตรีศูลวัชระ”
แสงกล้ามองหน้าน้ำใสแล้วส่ายหัว ค่อย ๆ ลดปืนลง สีหน้าและแววตาแสดงให้เห็นว่า คุ้นเคยกับน้ำใสเป็นอย่างดี น้ำใสยิ้มแหยๆ เข้าใส่แสงกล้า
“ยิ้มหน่อยดิ”
“เข้ามาทำไม” แสงกล้าพูดด้วยน้ำเสียงแข็งคล้ายตะคอก
“โอ๊ย กลัวจนฉิ๊งฉ่องจะราด เก็บปืนเหอะ”
น้ำใสเดินไปจับมือข้างที่แสงกล้าถือปืนอยู่ เธอค่อยๆประคองมือเขาเอาปืนไปเก็บที่เอวให้หน้าตาเฉย แสงกล้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่ผู้หญิงมาจับมือ น้ำใสเห็นอาการแสงกล้าแล้วนึกรู้
“โอ๊ย.. ผู้หมวดเนื้อทอง ไม่อยากถูกตัวนักหรอก ฮะ ๆ”
“ไม่ขำ”
แสงกล้ากระชากกล้องออกมาจากมือน้ำใส กดๆๆ ลบภาพทั้งหมด น้ำใสร้องลั่น
“เฮ้ย ๆ ๆ ลบออกหมดเลยเหรอ”
แสงกล้าลบเสร็จก็จับมือน้ำใสขึ้นแล้วเอากล้องยัดใส่มือน้ำใส
น้ำใสยิ้ม ๆ มองมือแสงกล้าที่จับมือตัวเองอยู่ แสงกล้าก้มลงเห็นรีบกระตุกมือออก
“แหม ๆ ตั้งแต่ได้มาอยู่สำนักงานสืบสวนพิเศษ เฮี้ยบเกินเหตุนะเพื่อนรัก”
“ออกไปได้แล้ว” แสงกล้าเน้นย้ำแบบดุๆ
น้ำใสหน้าจ๋อยๆบอก
“ก็ได้...ก็ได้ ไปก็ไป”
น้ำใสเดินออกไปแบบจ๋อย ๆ แสงกล้ามองตามด้วยสายตาระอา แล้ววิทยุออกไปด้านนอกอีกครั้ง
“ภายในโถงจัดแสดงเรียบร้อย กำลังจะออกไป..”
บริเวณทางเดินนอกห้องจัดแสดงนิทรรศการ จ่าหวานกำลังช่วยตำรวจสำนักงานสืบฯ ตรวจความเรียบร้อยที่ด้านนอก ยกวิทยุขึ้นตอบ
“ด้านนอกมีกี่ร้อยก็เรียบ รอหมวดเป็นชาติ ตั้งโต๊ะป๊อกเด้งได้เลย”
“ทะลึ่ง”
“แหะๆ ล้อเล่นคร้าบ”
น้ำใสเปิดประตูเดินออกมา จ่าหวานยิ้มหวานให้แล้วสะดุ้งนิดหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าน้ำใสเข้าไปได้ยังไง
จ่าหวานหันไปทางประตูกระจกด้านหนึ่ง ส่องกระจกดูหน้าตัวเองแล้วยิ้ม ๆ ฉับพลันขมวดคิ้วกับเงาตัวเอง ภาพสะท้อนกลายเป็นใบหน้าของขมังเวทย์
คลื่นควันดำวูบออกมาจากในกระจกอย่างรวดเร็ว กระแทกเข้าที่หน้าจ่าหวาน จนสลบล้มตึงไป
ตำรวจที่อยู่ด้านข้างจ่าหวานสงสัยหันหน้ามาดู แล้วโดนคลื่นควันดำนั้นกระแทกอย่างรวดเร็วจนล้มไปหมดทุกคน
ประตูห้องจัดแสดงเปิดออก ขมังเวทย์ในมาดเหี้ยมน่าเกรงขาม ปรากฏร่างอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกแล้วเดินเข้าห้องจัดแสดงนิทรรศการไป
แสงกล้าเดินตรวจห้องจัดแสดง แล้วรู้สึกได้ว่ามีคนยืนอยู่ทางด้านหลัง เขาคิดว่าเป็นน้ำใส
“น้ำใส...ถ้ายังไม่เลิกวุ่นวาย ฉันจับเธอขังแน่”
“ฮึ ๆ ๆ”
แสงกล้าได้ยินเสียงขมังเวทย์ ถึงกับตกใจรีบกระชากปืนออก หมุนตัวแขนเหยียดตรงจะลั่นกระสุนเข้าใส่
ขมังเวทย์จ้องตาเขม็ง บังเกิดคลื่นควันดำพุ่งถาโถมเข้าใส่แสงกล้า !!
แสงกล้ากลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่สลบเหมือนคนอื่น ๆ คลื่นควันดำผ่านตัวไป...
ขมังเวทย์จ้องตาเขม็งอีกครั้ง คลื่นควันดำพุ่งเข้าใส่แสงกล้าอีกหน แต่แสงกล้ายังคงเป็นปกติ
“ดวงจิตแก่กล้า”
“ออกไป แกเป็นใครกันแน่”
“ฉันควรถามมากกว่า..แกเป็นใคร”
ขมังเวทย์เดินตรงเข้าไปหาแสงกล้าที่ถอยหลังเหมือนหวาด ๆ
ขมังเวทย์สืบเท้าเข้าไปใกล้ แสงกล้าตัดสินใจลดปืนลงยิงเข้าใส่ขาทั้งสองข้างของขมังเวทย์ เปรี้ยง..เปรี้ยง... กระสุนพุ่งทะลุเข้าใส่ร่างของขมังเวทย์ แล้วกระสุนกลับกระดอนออกมาหน้าตาเฉย
“ฮึ ๆ ๆ”
ขมังเวทย์พุ่งเข้าใส่ แสงกล้ายิงกระหน่ำเข้าใส่ร่างปรี้ยง ๆ ๆ จนร่างขมังเวทย์สะท้านแต่ก็ไร้ผล กระสุนร่วงออกทีละนัด ทีละนัด เหมือนคงกระพัน
ขมังเวทย์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยท่วงท่าที่เหมือนเร็วกว่าแสงกล้าหนึ่งจังหวะ เข้าปะทะกับแสงกล้า ทั้งคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าด้วยลีลาสวยงาม ขมังเวทย์มีลีลาการต่อสู้รวดเร็วกว่าแสงกล้าเสมอในทุกท่วงท่า และในที่สุดแสงกล้าก็ล้มลงกองกับพื้น ปืนหลุดมือไถลออกไปกับพื้น
ขมังเวทย์หันไปที่แท่นครอบแก้วที่เก็บตรีศูลวัชระ เห็นกลไกกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ เขายิ้มเหี้ยมตรงเข้าไปกระชากแสงกล้าลอยขึ้นด้วยมือเดียว แสงกล้าดิ้นเต็มแรง ขาแสงกล้าลอยเหนือจากพื้นสะบัดไปมา !
ขมังเวทย์นำร่างแสงกล้ามาที่แท่นเก็บตรีศูลวัชระ จับมือแสงกล้าแตะที่กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ กุญแจสะบัดออก ครอบแก้วเปิดออกทันที
ขมังเวทย์ขว้างร่างแสงกล้าออกไปกระทบกับผนังอย่างแรง แสงกล้าศีรษะกระทบกับผนัง... ล้มคว่ำลง
ขมังเวทย์หยิบตรีศูลวัชระมาใส่ถุงผ้าที่เตรียมไว้แล้วผูกถุงผ้าไว้ที่เอวแล้วหันหลังกลับเดินออกไปอย่างท้าทาย
ขณะที่ขมังเวทย์กำลังเดินออกไปจากห้องนั้น แสงกล้ากัดฟัน...ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง กระโดดตัวลอยหยิบปืนที่หล่นอยู่กับพื้น วาดแขนยิงเข้าใส่ขมังเวทย์แบบไม่นับ เปรี้ยง ๆ ๆ
กระสุนไม่ระคายผิว ขมังเวทย์ยิ้มเหี้ยม ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฮึ ๆ ๆ”
ฉับพลันโบราณวัตถุรอบ ๆ ห้องนั้นลอยขึ้น...หมุนติ้วรอบตัวแสงกล้าราวกับพายุหมุน แล้วพุ่งซัดเข้าใส่แสงกล้าจนล้มคว่ำกองอยู่กับพื้นตรงนั้น ขมังเวทย์เดินออกไปอย่างไม่ยี่หระ
แสงกล้าหมดสติย่ำแย่อยู่ตรงนั้นท่ามกลางซากโบราณวัตถุก่อนจะพยายามรวบรวมสติกลับมาอีกครั้ง
เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตำรวจเดินตรวจรอบ ๆ บริเวณทางเดินด้านนอกศูนย์ศิลปะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาของแต่ละคนดูเหม่อลอยคล้ายโดนสะกด ขมังเวทย์เดินออกมาอย่างท้าทายไม่เกรงกลัว
ตำรวจเหล่านั้นแหวกทางให้ขมังเวทย์เดินผ่านอย่างเท่ และเมื่อขมังเวทย์เดินผ่านตำรวจกลุ่มไหนไปแล้ว ตำรวจกลุ่มนั้นก็จะล้มร่วงลงไปแทบพื้น หมดสติทันที
บริเวณถนนทางเข้าอาคารศูนย์ศิลปะ “คราม” ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาอย่างรวดเร็ว มีไมค์วิทยุติดอยู่บริเวณหมวกกันน็อค
“กำลังจะถึงอาคารศูนย์ศิลป.. ภายในห้องจัดแสดงเป็นยังไงบ้างแสงกล้า”
... เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ ครามเริ่มนิ่วหน้า
“เกิดอะไรขึ้นแสงกล้า รายงานด้วย...แสงกล้า”
ครามรีบจอดรถบริเวณริมถนนด้านหน้าอาคาร ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วกระชากปืนอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น...สัญญาณเตือนภัยของศูนย์ฯ ดังลั่น ! ไซเรนบริเวณกำแพงหมุนติ้ว !
ครามรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ รีบวิ่งไปยังอาคารจัดแสดงอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการ แสงกล้าในสภาพย่ำแย่ เพิ่งกระชากเปิดสัญญาณเตือนภัยของศูนย์ แล้วยกวิทยุขึ้นรายงานคราม
“ตรีศูลวัชระถูกโจรกรรม ผู้ต้องสงสัยกำลังหนีออกไปทางหลัง สกัดจับด่วน”
แสงกล้ารายงานเสร็จก็หมดแรง หมดสติล้มคว่ำไปทันที
ครามกระชากปืนเตรียมพร้อม วิ่งไปทางด้านหลังตามที่แสงกล้าบอก ครามมองเห็นขมังเวทย์ กำลังเดินอยู่ไกลออกไป และมีคลื่นพลังงานเป็นทางรอบ ๆ ทางเดินนั้น ครามยิงกระหน่ำเข้าใส่จอมขมังเวทย์ เปรี้ยง ๆ ๆ
ขมังเวทย์หันมาเห็นเข้าก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ครามวิทยุทันที
“ขอกำลังสนับสนุน ผู้ต้องสงสัยโจรกรรมตรีศูลวัชระกำลังหนีไปทางอาคารก่อสร้างริมน้ำ”
ครามรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ครามวิ่งเข้ามายังถนนหน้าอาคารก่อสร้างริมน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนตัดสินใจวิ่งขึ้นไปยังด้านบนของอาคาร เพื่อตามขมังเวทย์ไป
ที่ด้านหน้าอาคารก่อสร้าง รถตำรวจสำนักงานสืบสวนพิเศษและรถตำรวจอื่น ๆ แล่นตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงเบรกเสียงดังลั่น ตำรวจพุ่งลงมาจากรถ แยกกำลังออกรายล้อมอาคารแห่งนั้นไว้
น้ำใสลงมาจากรถข่าว รีบรายงานข่าวสีหน้าตื่นเต้น
“ขณะนี้ดิฉันอยู่ที่หน้าอาคารก่อสร้างของศูนย์ศิลปแห่งเอเชียค่ะ ตำรวจสำนักงานสืบสวนพิเศษกำลังรุกไล่ผู้ต้องสงสัยโจรกรรมวัตถุโบราณ “ตรีศูลวัชระ” น่าจะจับตัวได้แน่ค่ะ”
กำลังตำรวจหลายสิบนายกระจายออกรายล้อมตึกทั้งหลัง และบางส่วนกำลังวิ่งขึ้นไปด้านบน
“ผู้ต้องสงสัยอยู่บนดาดฟ้าตึกค่ะ ขณะนี้ตำรวจตัดสินใจบุกขึ้นไปแล้ว”
น้ำใสเงยหน้าขึ้นไปมองบนดาดฟ้าตึกฯ
ขมังเวทย์ยืนนิ่งตระหง่านอยู่ที่ริมดาดฟ้าเหมือนไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครามกระชับปืนในมือแน่นขึ้นมาถึงที่ดาดฟ้า ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปหาขมังเวทย์
“ยอมมอบตัวซะดี ๆ ยังไงแกก็หนีไปไหนไม่รอด”
ขมังเวทย์ยืนนิ่ง หัวเราะเสียงกึกก้อง น่ากลัวมาก
“ฮึ ๆ ๆ “
เสียงดังนั้นกึกก้องไปทั่วทั้งดาดฟ้าตึก ท้องฟ้าเหนือตึกจู่ ๆ บังเกิดเมฆดำปกคลุมไปโดยรอบ ลมพัดแรงคล้ายมีพายุ ครามมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยแววตาวิตกพอสมควร พอดีกับกองกำลังตำรวจสนับสนุนมาถึง ครามส่งสัญญาณบอกให้ตำรวจที่มาพร้อมอาวุธครบมือล้อมขมังเวทย์ไว้
“ฮึ ๆ ๆ”
ครามประจันหน้ากับขมังเวทย์
“ฮึ ๆ ๆ”
แววตาของขมังเวทย์เบิกโพลงกว้างดูดุร้ายน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินตรงเข้าไปหาตำรวจที่รายล้อมอยู่นั้น ฝ่ายตำรวจกดกระสุนยิงเข้าใส่รัว เปรี้ยง ๆ ๆ ๆ จอมขมังเวทย์ไม่สะทกสะท้านราวกับคงกระพัน กลับตรงเข้าใส่ตำรวจและต่อสู้ด้วยมือเปล่าจนตำรวจล้มคว่ำสู้ไม่เป็นท่า
ขมังเวทย์หันขวับเข้ามาเผชิญหน้ากับคราม
ครามถอยอย่างระแวดระวังและมีมาด ขมังเวทย์พุ่งเข้าใส่ทันที ครามยิงปืนออกไปเปรี้ยงแต่ไม่โดน ขมังเวทย์ชกเข้าใส่ครามผลัวะ! ร่างครามลอยเคว้งอย่างรวดเร็ว แหวกอากาศ...ร่วงลงไปจากดาดฟ้าคล้ายตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
ครามร้องลั่น ร่างลอยเคว้งคว้างแหวกอากาศ ลงมาตรงเบาะอากาศที่สำนักงานสืบกำลังกางอยู่พอดี!
ขมังเวทย์แววตาแข็งกร้าวดุดันยืนตระหง่านอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงเสียดฟ้า ท้องฟ้าเบื้องบนมีเมฆดำปกคลุมแล้วบังเกิดแสงฟ้าผ่าและเสียงดังกัมปนาท
ผู้คนด้านล่างฮือฮาเมื่อเห็นสภาพที่ครามตกลงมาจากด้านบน ตำรวจต่างพากันเข้าไปยังเบาะอากาศนั้นเพื่อจะช่วยครามขึ้นมา ครามยังอยู่ในสภาพหมดสติ
น้ำใสรายงานข่าวต่อ
“เมื่อสักครู่ดิฉันได้ยินเสียงปืน เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ต้องสงสัย ร่างของตำรวจตกลงมาด้านล่างค่ะ”
แล้วจู่ ๆ ทุกสิ่งก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ น้ำใสที่กำลังรายงานข่าวอยู่ก็หยุดนิ่ง คนโดยรอบไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ขมังเวทย์ยิ้มสะใจเดินออกมาจากอาคารนั้นท่ามกลางผู้คนที่หยุดนิ่งอยู่
ขมังเวทย์หันไปมองเห็นน้ำใสที่ยืนรายงานข่าวนิ่ง ๆ อยู่ก็เดินเข้าไปมองตรงหน้าเธอ พลางเอานิ้วไล้ไปตามใบหน้าน้ำใส ดวงตา จมูก และแก้มทั้งสองข้าง เหมือนชื่นชอบ
"ฮึ ๆ ๆ"
ขมังเวทย์เดินผละจากน้ำใส เดินออกไปขึ้นรถตำรวจแล้วขับออกไปอย่างท้าทาย จากนั้นภาวะปกติก็กลับมาดังเดิม
“สำนักงานสืบสวนพิเศษ” หลังยามค่ำ
“พ.ต.ต.หญิง รวิ อิงคพัฒน์ ... ผบ.สำนักงานสืบสวนพิเศษ” สาวสวยเซ็กซี่ มีตำแหน่งก้าวหน้าเกินอายุ เป็น ผบ.คนใหม่ของสำนักงานสืบสวนพิเศษได้เพราะ เป็นคนสนิทมือขวาของจักร อมตฤทธา เธอเฉลียวฉลาดและเชี่ยวชาญทั้งอาวุธและการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เคยมีความดีอยู่ในตัวเอง แต่โดนอำนาจเงินและสังคมที่ฟุ้งเฟ้อทำให้เปลี่ยนความคิดกลายเป็นพวกวัตถุนิยม
ภายในห้องสอบสวน รวิกำลังจ้องหน้าแสงกล้าที่ได้รับการพยาบาลเบื้องต้นแล้ว สีหน้าไม่เชื่อสิ่งที่แสงกล้ากำลังให้ปากคำ ด้านหน้ามีโต๊ะประชุมและคอมพิวเตอร์โน้ตบุควางอยู่
“ร้อยตำรวจตรีแสงกล้า...จะให้ฉันเชื่อว่า คนที่ขโมยโบราณวัตถุชิ้นนั้นอยู่ยง คงกระพัน...ยิงแทงไม่เข้างั้นเหรอ”
แสงกล้าไม่มีท่าทางที่เกรงกลัวรวิแต่อย่างใด
“งมงาย! นี่มันยุคไหนแล้ว”
“ผมมั่นใจว่าคนร้ายรายนี้ใส่เสื้อเกราะ”
“ถึงจะใส่เสื้อเกราะ แต่ถ้าโดนกระหน่ำยิง แรงปะทะจากกระสุนต้องทำให้จุกจนแทบสลบ”
แสงกล้าถอนหายใจเบื่อหน่าย ขยับตัวเข้าไปกระชากโน้ตบุ๊กบนโต๊ะเข้าหาตัว รัวนิ้วอย่างรวดเร็ว
โน้ตบุ๊กปรากฏภาพกราฟฟิคสวยงามของเสื้อเกราะทันสมัยหลายมุม หมุนไปมา พร้อมคุณสมบัติภาษาอังกฤษขึ้นพรึ่ดเต็มหน้าจอ
“เสื้อเกราะ US1000 ( ยู-เอส-วันทาวซัน) ทอจากเส้นใยสังเคราะห์ไททาเนียม ป้องกันแรงปะทะได้มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คนใส่จะไม่มีแม้กระทั่งรอยช้ำ”
แสงกล้าหมุนหน้าจอโน้ตบุ๊กให้รวิดูแบบเหนือชั้นกว่า
“เป็นถึงผู้บริหารสำนักงานสืบสวนพิเศษ นอกจากจะมีเส้นสายทางการเมือง คุณต้องมีฝีมือ มีความรู้กว้างไกล เพราะที่นี่เป็นสำนักงานสืบสวนพิเศษ! ไม่ใช่โรงพักรับแจ้งเหตุคดีมโนสาเร่”
รวิบันดาลโทสะปิดฝาโน้ตบุ๊กใส่หน้าแสงกล้าทันที
“แล้วไอ้ตำรวจหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่เดือน รู้มั้ยว่าเสื้อเกราะรุ่นนี้มีใช้เฉพาะประเทศที่ผลิต หาซื้อไม่ได้ทั่วไปตามตลาดนัด โจรในจินตนาการของนายจะไปเอามาจากไหน”
แสงกล้ามีทีท่าสลดลงบ้าง
"ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องรู้"
รวิชี้หน้าแสงกล้าบอก
“อย่าคิดว่าสอบได้อันดับหนึ่งจะมากร่างแถวนี้ได้ ที่นี่คือโลกแห่งความจริง.. ไม่ใช่ทฤษฎี”
“ใช่.. เพราะในตำรา ไม่เคยระบุวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการโดยนักการเมือง”
พ.ต.ต.หญิง รวิ อิงคพัฒน์ตบโต๊ะโครม!
"ถ้าไม่หยุดหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชา นายได้ออกจากราชการแน่"
"ถ้ากลัวก็คงไม่พูด"
"ผู้การอินทนนท์พ่อเลี้ยงของนายค้ำกะลาหัวได้ไม่นานนักหรอกนะ อย่าพลาดให้ฉันเห็น”
“หมดเรื่องสอบสวนแล้วใช่มั้ย ผมจะไปทำงาน”
แสงกล้าลุกขึ้นอย่างไม่สนใจ และกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยว...”
แสงกล้าชะงักไปนิด หันมามอง ผบ.สำนักงานสืบสวนพิเศษ
“ฉันจะส่งตัวนายไปตรวจสอบสภาพจิตที่เนติเทค”
"อะไรนะ"
“ก้าวร้าว ขาดการอดกลั้น อีคิวต่ำ ถ้าไม่ผ่านการตรวจสภาพจิตจากเนติเทคฯ สิบผู้การอินทนนท์ก็ช่วยอะไรนายไม่ได้”
รวิพูดเยาะแล้วเดินผ่านแสงกล้าออกไปทันที
แสงกล้าอึ้งๆพึมพำ
“ตรวจสภาพจิต"
ครามเพิ่งได้รับการปฐมพยาบาลมาเช่นกัน ท่าทางยังบาดเจ็บไม่น้อยพลางจับที่หัวไหล่ตัวเองอยู่
ดาบแหบและจ่าหวานเดินเข้ามาหา
“ผู้กองเป็นไงบ้าง” ดาบแหบถาม
"มึน ๆ นิดหน่อย" ครามว่า
“นึกไงไปโดดบันจี้จัมพ์เล่น เสียวดีมั้ย ฮิ ๆ” จ่าหวานว่า
ครามไม่ตอบแต่จ้องหน้าจ่าหวานแบบดุ ๆ จนจ่าหวานหน้าม้านไป
“น่าแปลกที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แค่ตามผู้ต้องสงสัยขึ้นไปบนดาดฟ้า หลังจากนั้นเหมือนทุกอย่างถูกลบออกไปจากสมอง”
“เหมือนผมกับไอ้หวาน จู่ ๆ สลบไปได้ยังไงก็ไม่รู้” ดาบแหบบอก
นายตำรวจหนุ่มหัวหน้าหน่วยกลยุทธ์สีหน้าครุ่นคิด หันไปมองอีกด้านหนึ่ง ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ ตำรวจหญิงกำลังยื่นแฟ้มส่งตัวให้แสงกล้ารับไว้
"หนังสือส่งตัวค่ะ"
แสงกล้าสีหน้าเซ็ง
“ไอ้สถาบันเนติเทคเนี่ย.. มันคืออะไร”
ครามเดินเข้ามาได้ยินเข้าพอดีเลยเอามือแตะไหล่แสงกล้าแล้วอธิบาย
“เนติเทคฯ เป็นหน่วยงานใหม่ของสำนักงานสืบฯ ทำหน้าที่วิเคราะห์ พิสูจน์หลักฐานอาชญากรรมโดยใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การสอบสวนหาตัวคนร้ายทำได้ง่ายขึ้น”
“แล้วมันเกี่ยวกับสภาพจิตยังไงครับ” แสงกล้าถาม
“เจ้าหน้าที่ทุกคนของสำนักงานสืบฯ ต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบจากเนติเทคฯ ไม่อย่างนั้น ตกงาน”
"งั้นเลยเหรอ"
ตำรวจหญิงยิ้มๆแล้วบอก
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะหมวด หมอไพลิน ผอ.เนติเทคฯ น่ารักนะคะ”
แสงกล้าแทบกลั้นหัวเราะไม่ทัน
“ผอ.ชื่ออะไรนะ”
ทันทีที่ ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชย ได้ยินชื่อผู้อำนวยการเนติเทคฯ ก็จินตนาการทึกทักวาดภาพ
“ชื่อ “ไพลิน” ทำไมชื่อถึงได้เชยขนาด... ฮ่า ๆ แค่ชื่อก็เหมือนโผล่ออกมาจากโลกล้านปี จินตนาการได้เลยนะว่า หน้าตาจะโบราณแอนทีค..สักแค่ไหน"
ภาพความจริงนั้น … ป้ายคล้องคอของสาวสวยเฉี่ยว แต่งหน้าทันสมัยราวกับไม่ได้เป็นหมอหญิง เหมือนเป็นนางแบบหลุดออกมาจากแคทวอล์ก ระบุชื่อ “ดร.แพรไพลิน นวิยากุล”
“ไว้ผมบ๊อบทรงกะลาครอบ ใส่แว่นขอบกระหนาเป็นนิ้ว” แสงกล้ายังจินตนาการต่อไป
แพรไพลินกำลังตรวจสอบหลักฐานอยู่ที่ ณ จุดเกิดเหตุ หยิบแว่นตาสีสันสดใส รูปร่างแปลกตาแต่ล้ำดีไซน์ขึ้นมาใส่ เพื่อพิจารณาหลักฐานที่อยู่ตรงหน้า
“สวมเสื้อปิดกระดุมถึงคอหอย นุ่งกระโปรงบานคลุมปิดมิดถึงหัวแม่เท้า”
แพรไพลินแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันทันสมัย มีรสนิยม
“โอ๊ย.. เอาคนแบบนี้มาประเมินสุขภาพจิตผม ผมคงนับถือหรอก”
ขณะที่ร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชย ทึกทักวาดภาพนั้น ดร.แพรไพลิน นวิยากุลกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบอยู่ในบริเวณบ้านพักรีสอร์ตแห่งเดียวกับที่นภาพักอยู่
นภากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ริมระเบียงวิวสวย เธอละสายตามองไปยังบ้านพักที่อยู่ทางด้านล่างของรีสอร์ตแล้วนิ่วหน้าเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่กำลังขึงริบบิ้นเหลืองปิดล้อมอยู่ที่บ้านพักหลังหนึ่ง
เจ้าหน้าที่เนติเทคกำลังตรวจสอบหลักฐานรอบบ้าน มีป้ายและเครื่องหมายสถาบันเนติเทคระบุ “ห้ามเข้า !”
แม่บ้านเดินเข้ามาพร้อมอาหารว่าง เอ่ยปากกับนภา
“เมื่อคืนที่รีสอร์ตเพิ่งมีเรื่องค่ะ ผู้จัดการสาวฆ่าคู่นอนตายคาบ้านพัก วันนี้ตำรวจกับเนติเทคเลยเข้ามาตรวจสอบหลักฐาน"
นภาพยักหน้ารับรู้ มองลงไปยังบ้านเกิดเหตุด้วยสายตาสงสัยด้วยสัญชาติญาณของตำรวจ
ผู้กองกิตกำลังช่วยแพรไพลินตรวจสอบหลักฐานอยู่ที่หน้าบ้านพักฯ กิตแอบมองแพรไพลินด้วยแววตาเจ้าชู้ ไล่สายตามองเรียวขา เนินอก และแนวเอวสะโพกที่ได้สัดส่วนของแพรไพลิน
“ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ ผมรีบติดต่อเข้าไปที่สำนักงานสืบทันทีครับ” ผู้กองกิตว่า
“ผู้กองดูคุ้นเคยกับรีสอร์ตนี้” แพรไพลินว่า
"ท้องที่จัดสัมมนาที่นี่บ่อย"
แพรไพลินเดินอย่างไม่ระวังตัว มองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังพยายามตั้งข้อสังเกตความผิดปกติบางอย่าง
"มีอะไรน่าสงสัยเหรอครับ"
“เปล่าค่ะ ก็แค่ตรวจสอบหลักฐาน”
แพรไพลินส่งสายตาด้วยความฉลาดล้ำผ่านแววตาจริงจังไปทั่วบริเวณ
แพรไพลินเดิน มองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังสังเกตความผิดสังเกตบางอย่าง เธอมองไปที่แฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานด้านหนึ่ง จากนั้นก็มองจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดอยู่
เจ้าหน้าที่เนติเทคและตำรวจหลายคน กำลังตรวจดูหลักฐานอื่น ๆ ทั้งหมด
ภายในบ้านพักมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของกระจุย ผ้าปูโต๊ะอาหารถูกลากมากองที่พื้น จานชามแตก
แพรไพลินหยิบเชิงเทียนสวยงามขึ้นมาจากพื้น เธอพินิจดูนิดหนึ่ง แล้วส่งให้กิต
ผู้กองกิตรับเชิงเทียนมาแล้วแกล้งทำเป็นบังเอิญจับมือแพรไพลิน ผู้อำนวยการสาวของสถาบันเนติเทคถึงกับชะงัก แต่ผู้กองฯทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่งหลักฐานให้ตำรวจอีกคนหนึ่งไป แล้วรายงานต่อ
“ผู้จัดการระรินหนีออกไปจากบ้าน หลังจากยิงคู่นอนคนนึงตายตรงนี้”
ผู้กองกิตชี้ไปที่จุด ๆ หนึ่งที่ยังมีรอยเลือด... แพรไพลินหันไปมอง
“คนนึง?”
ผู้กองกิตพยักหน้าตอบ พลางทำหน้าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหมือนแพรไพลินอ่อนต่อโลก แพรไพลินหันไปถามกุ๊บกิ๊บ
“ส่งศพไปชันสูตรแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ ผลน่าจะออกมาภายในสองชั่วโมง”
"แจ้งเนติเทค..ได้ผลแล้วส่งเข้าเมลฉันเลยนะ"
แพรไพลินเดินเข้าไปในห้องนอน สภาพเตียงนอนยับยู่ยี่ บนเตียงมีอุปกรณ์การเสพยากองอยู่ เธอมองไปที่โต๊ะแต่งหน้า มีน้ำหอมและเครื่องสำอาง สายตาของแพรไพลินมองไปที่เครื่องสำอางเหล่านั้น
แพรไพลินหันไปเห็นกระเป๋าถือที่วางกองอยู่ที่พื้น สภาพกระเป๋าถูกรื้อค้น
“ชิงทรัพย์.. โดนกวาดของมีค่าไปหมด” ผู้กองกิตว่า
แพรไพลินมองไปรอบ ๆ เห็นสภาพของห้องนอนและห้องโถงที่อยู่ติดกัน ถูกรื้อกระจุยกระจายเละไปหมด เหมือนเกิดการต่อสู้กันรุนแรง
ผู้กองกิตรายงานว่า ภายในบ้านพัก เมื่อคืนวานนี้ … ระรินกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสองหนุ่มหล่อบนเตียง ข้าง ๆ มีอุปกรณ์เสพยากองอยู่
“เมื่อคืนคุณระรินไปหิ้วคู่ขา 2 คนมาจากผับในเมือง... เสพยาจนไม่ได้สติ คู่ขาทั้งสองคนคิดจะชิงทรัพย์”
หนุ่มหล่อกระชากสร้อยออกมาจากคอระริน ระรินไม่พอใจต่อสู้...หนุ่มหล่อสองคนต่อสู้กับระริน ทั้งหมดตบตีกันอยู่พักหนึ่ง จนข้าวของภายในห้องกระจายเต็มพื้น ระรินล้มคว่ำกับพื้นเหมือนหมดสติไป
หนุ่มหล่อรีบกวาดข้าวของออกจากกระเป๋าระริน และกำลังจะรื้อค้นของชิ้นอื่นจากเนื้อตัวของระริน
ระรินได้สติถีบหนุ่มคนหนึ่งล้มคว่ำไป หนุ่มอีกคนบันดาลโทสะ พุ่งเข้ามาทำร้าย
ระรินตรงเข้าไปเปิดลิ้นชักเคาน์เตอร์บาร์ ชักคว้าปืนออกมายิงเข้าใส่เปรี้ยง หนุ่มหล่อล้มลงตายตรงพื้นที่มีรอยเลือด
หนุ่มหล่ออีกคนผลักระรินล้มลง แล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป ระรินยิงอีกเปรี้ยง...กระสุนโดนเข้าที่ประตู
ระรินวิ่งตามมาที่ประตู เห็นหนุ่มคนนั้นขับรถหนีออกไปแล้ว
“คู่ขาคนนึงหนีไปได้ ทิ้งศพเพื่อนไว้ตรงนี้”
ระรินหันไปมองศพที่กองตรงพื้นแล้วหน้าเสียเหมือนกลัวความผิด
แพรไพลินมองหัวกระสุนที่ยังคงฝังอยู่ตรงประตู เธอจ้องด้วยแววตาวิเคราะห์ หยิบไอโฟน4 ออกมาถ่ายรูปหัวกระสุนตรงประตูนั้น แล้วหันไปที่รอยเลือดที่ปรากฏบนพื้น
ผู้กองกิตเดินไปที่ห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีเสื้อผ้าติดอยู่ในนั้นเลย
“คุณระรินกลัวความผิดก็เลยเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วหนีออกไป”
“แล้วไม่มีใครได้ยินเสียงปืน” แพรไพลินถาม
“มีงานแสงสีเสียงที่รีสอร์ตข้าง ๆ แขกที่มาพักคงนึกว่าเป็นเสียงพลุดอกไม้ไฟ”
กุ๊บกิ๊บส่งไอแพดให้แพรไพลินแล้วบอก
“แลปเนติเทคส่งผลชันสูตรศพมาแล้วค่ะ”
แพรไพลินรับไอแพดมาเปิดดู เห็นผลที่เมลส่งมาแล้วนิ่วหน้า มองไปที่หัวกระสุนที่ฝังตรงประตูหน้า ผู้กองกิตหันไปถามด้วยสีหน้าสงสัย
“มีอะไรเหรอครับคุณหมอ”
แพรไพลินยิ้มกลบเกลื่อนบอก
“เอ้อ..ไม่มีอะไรค่ะ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.. เพราะผู้กองปิดคดีนี้ได้แล้ว"
แพรไพลินเดินไปรอบ ๆ ห้องนอนต่อกับห้องโถงแล้วสรุป
“ผู้จัดการสาวเมายาทะเลาะกับคู่ขา ยิงดับไปคนหนึ่ง แล้วหนีไปอย่างลอยนวล”
ผู้กองกิตยิ้มกับแพรไพลินแล้วบอก
“ไม่น่าเชื่อว่าเราจะปิดคดีได้ง่ายอย่างนี้”
เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
แพรไพลินยิ้มตอบแบบโปรยเสน่ห์
“คนจริตต้องกันได้มาทำงานร่วมกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก”
ผู้กองกิตเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แพรไพลินชะงักนิดหนึ่งแต่ยิ้มตอบเหมือนไม่รังเกียจ ผู้กองหนุ่มเบี่ยงตัวไปกระซิบที่ข้างหู
“ดินเนอร์กับผมสักมื้อนะครับ”
แพรไพลินยิ้มยั่วแต่ไม่ปฏิเสธ
“เพิ่งทำงานด้วยกันครั้งแรกเนี่ยนะคะ”
“มิตรภาพไม่เกี่ยวกับเวลา ปิดคดีนี้เสร็จ...พรุ่งนี้คุณหมอก็กลับกรุงเทพฯ แล้ว ส่วนผมต้องทำงานท้องที่นี้ต่อไป ให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวสักมื้อนะครับ" ผู้กองหนุ่มพูดพลางถือวิสาสะจับต้นแขนแพรไพลิน
แพรไพลินยิ้มแต่ยังไม่ตอบรับ เธอเบี่ยงตัวออกไปจากผู้กองกิตและเดินตรงไปที่ประตูเหมือนกำลังจะเดินออกไป ผู้กองกิตส่งสายตามองตามอย่างเสียดาย แต่แล้วแพรไพลินก็กลับหันมายิ้มคล้ายโปรยเสน่ห์
“ฉันไม่ชอบรอ.. หกโมงเย็นที่ห้องอาหารรีสอร์ตค่ะ”
แพรไพลินเดินออกไปทันทีด้วยมาดราวกับนางแบบหลุดออกมาจากแคทวอล์ก ผู้กองกิตแววตาได้ใจ
แพรไพลินเดินกลับไปยังบ้านพักด้วยแววตาครุ่นคิด กุ๊บกิ๊บเดินตามยิ้มแย้มยั่ว
“เสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจอีกแล้ว ท่าทางผู้กองกิตชอบหมอมากนะคะ”
"เหรอ"
“โฮ..มองจนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ถ้าเป็นกุ๊บกิ๊บ..กิ๊บละลายระทดระทวยไปกองแทบอ้อมอกแล้ว"
แพรไพลินอมยิ้มถาม
“สนใจทานอาหารค่ำฟรี พร้อมบรรยากาศโรแมนติกมั้ย”
กุ๊บกิ๊บมองแพรไพลินแล้วนึกรู้
“โอ๊ะ ๆ ๆ วันนี้มีแคเดิ้ลไลท์ดินเนอร์”
“เจอกันก่อนหกโมงเย็น...อย่าช้านะ”
“ว้าว”
แพรไพลินยิ้ม ๆ แบบระอากุ๊บกิ๊บหน่อย ๆ แล้วเดินออกไป กุ๊บกิ๊บเดินตาม
วันเดียวกัน แสงกล้าเดินมาตามทางเดินที่ทอดยาวออกไปหน้าห้องพัก เขาหันไปมองเห็นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋แขวนอยู่ แสงกล้าเดินไปหยิบมาดูด้วยสีหน้างง ๆ ว่าใครเอามาให้
เสียงโทรศัพท์มือถือแสงกล้าดังขึ้น แสงกล้ากดรับเป็น MMS มีการส่งไฟล์วิดีโอมาให้
บนมือถือปรากฏภาพของน้ำใสที่ยืนอยู่หน้าห้องดูถุงน้ำเต้าหู้พร้อมกับยิ้มแย้มเข้าใส่
"ยู้ฮูเพื่อนเลิฟ กินน้ำเต้าหู้แก้ช้ำในหน่อยนะ พอดีฉันผ่านมาทำข่าวแถวนี้เลยแวะเอามาให้เพื่อนกิน เป็นห่วงนะจ๊ะ.. จุ๊บ จุ๊บ”
แสงกล้ามองถุงน้ำเต้าหู้แล้วสีหน้าแปลก ๆ รู้สึกว่าน้ำใสแปลก ๆ กับตัวเอง
แสงกล้าแกะถุงน้ำเต้าหู้ใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่ม พลางหันไปมองภาพถ่ายคู่กันระหว่างเขากับน้ำใสในชุดนักเรียนมัธยมที่ถ่ายรูปหมู่กับเพื่อน ๆ แสงกล้านิ่งคิดถึงน้ำใส และความผูกพันระหว่างเขาและเธอ
ผ่านเวลามา แพรไพลินนั่งเหยียดขายาวอยู่ที่เก้าอี้บริเวณระเบียงห้องพัก ส่งสายตามองทอดยาวไปยังทิวทัศน์ที่สวยงามของรีสอร์ต แล้วจึงก้มมองไอแพดในมือ… “ประวัติส่วนตัวผู้กองกิต”
แพรไพลินเปลี่ยนหน้าจอไปเปิดเฟซบุ๊กของระริน มีภาพที่โพสต์ล่าสุดของระรินที่ถ่ายด้วยตัวเองจากมือถือที่ด้านหลังบ้านพัก แพรไพลินมองภาพนั้นแล้วนิ่วหน้าเมื่อเห็นเวลาที่โพสต์ภาพ
“โพสต์ไว้ก่อนหายตัวไป 6 ชั่วโมง”
แพรไพลินหันมองไปที่หลังบ้านพักของผู้จัดการสาว ยังคงมีริบบิ้นสีเหลืองคาดอยู่โดยรอบ ด้านหลังมีลานถูกไถจนราบ มีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง
แพรไพลินมองภาพในไอแพดเทียบกับภาพจริงตอนนี้ สีหน้าของเธอเหมือนพบความผิดปกติ
“คุณหมอครับ...คุณหมอ” เสียงผู้กองกิตดังขึ้น
แพรไพลินหันไปมองแล้ววางไอแพดข้างเก้าอี้แล้วเดินออกไป
แพรไพลินเปิดประตูหน้าห้องพักออก ผู้กองกิตเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วท่าทางสำอางมากกำลังยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้ แพรไพลินยิ้มรับดอกไม้
“ยังไม่ทุ่มนึงเลย”
แพรไพลินหันหลังกลับจะเอาดอกไม้ไปวางที่โต๊ะตัวหนึ่ง กิตตรงเข้าสวมกอดทางด้านหลังแบบไม่ให้ทันได้ตั้งตัว เธอพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่ทัน
“ไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ”
"นึกว่าใจเราตรงกัน"
แพรไพลินเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดสำเร็จ แต่เมื่อชำเลืองมองเห็นซองปืนที่กิตใส่ไว้ที่เอว เธอชะงัก
“เร็วหรือช้า.. ขึ้นอยู่กับวิธีแสดงออกของผู้กอง แล้วฉันจะตัดสินใจอีกที”
แพรไพลินกลับก้าวเข้าไปกอดเอวผู้กองหนุ่มไว้ แล้วเอามือซ้ายไล้ไปตามใบหน้าของกิตเหมือนหลงใหล แล้วจู่ ๆ แพรไพลินก็ดึงปืนของผู้กองออกมาจากซองที่เอว ถอยตัวตัวเองออก แล้วยกปืนขึ้นดู
“มาดินเนอร์ ไม่เห็นจำเป็นต้องพก SIGSAUER มาด้วยเลยนะคะ”
“ป้องกันตัว”
แพรไพลินดึงแมกกาซีนออก ตรวจดูกระสุน
“กระสุนขนาด 9 มม.”
“เก่งสมกับอยู่เนติเทคฯ”
แพรไพลิน ขยับตัวออกมาเตรียมพร้อม
“ฉันรู้มากไปกว่านั้นอีก ปืนกระบอกนี้บรรจุกระสุน 9 มม. ชนิดเดียวกับที่ฆ่าชู้ของระรินตาย...เนติเทคระบุผู้ตายตายด้วยกระสุน 9 มม.ซึ่งเป็นกระสุนคนละชนิดกับหัวกระสุนบนประตูบ้านพัก หัวกระสุนที่ประตูเป็นขนาดเล็ก 380”
“ช่างสังเกต” ผู้กองกิตฝืนยิ้มบอก
“เคยคิดมั้ยคะว่าสรุปคดีเร็วเกินไป”
"แล้วความจริงเป็นยังไง"
“ผู้จัดการระรินไม่ได้เป็นคนฆ่าชู้รักตาย”
"ถ้างั้นเธอหายไปไหน"
“ระรินถูกฆาตกรรมพร้อมกับผู้ชายสองคน”
ผู้กองกิตมองแพรไพลินด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
ความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านพัก ระรินกำลังปรึกษางานกับหนุ่มหล่อ 2 คน โดยเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์และเปิดแฟ้มเอกสารไปพร้อมๆ กัน
“เมื่อคืนวาน…ระรินนัดเพื่อนเอ็นจีโอ 2 คนมาทำงานจนดึกมีหลักฐานปรากฏชัดเจน..ที่คอมพิวเตอร์และเอกสารในบ้านพัก ...โชคร้าย...มีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามา” แพรไพลินบอก
...เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ระรินเดินไปเปิดประตู แต่โดนกระแทกกระเด็นออกมาจนล้มคว่ำลงกับพื้น
ผู้กองกิตเดินยิ้มเหี้ยมเข้ามาในบ้าน เกิดการต่อสู้กับหนุ่มหล่อ 2 คนที่เข้ามาช่วยระรินจนข้าวของพังกระจาย เหมือนซากสิ่งของที่แพรไพลินตรวจสอบที่เกิดเหตุที่ผ่านมา
“เอ็นจีโอทั้งสองพยายามช่วยเธอ แต่พวกเขาโดนยิงตายด้วยปืน SIGSAUER ขนาดกระสุน 9 มม.”
ผู้กองกิตกระชากปืนออกมายิง เปรี้ยง...เปรี้ยง... หนุ่มหล่อทั้งสองคนตายทันที
ระรินรีบหนีไปดึงลิ้นชักเคาน์เตอร์ออก หยิบปืนพกขนาดเล็กยิงเข้าใส่กิต
“ระรินพยายามต่อสู้โดยใช้ SIGSAUER ขนาดกระสุน 380”
แต่กิตหลบทัน กระสุนไปโดนที่ประตูจนเกิดรอยกระสุน
“ระรินยิงพลาด.. กระสุนขนาดเล็กไปฝังอยู่ที่ประตูทางเข้า ในที่สุดระรินก็ต้องจบชีวิตลงพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน"
ระรินโดนผู้กองกิตตรงเข้าบีบคอจนขาดใจตาย นายตำรวจปาดเหงื่อ มองไปรอบ ๆ เห็นศพทั้งสามรอบตัวเอง
ทั้งแพรไพลินและผู้กองกิตยืนเหมือนกำลังคุมเชิงกันอยู่ ผู้กองหนุ่มมองหมอสาวด้วยสายตาเปลี่ยนไปเป็นไม่ไว้ใจ ผู้หญิงคนนี้เก่งกว่าที่เขาคิดมาก
“แต่ตำรวจพบแค่ศพเดียว”
“ฆาตกรรมอำพราง!! คนร้ายสร้างหลักฐานว่าเกิดการชิงทรัพย์ ระรินฆ่าคู่ขา...แล้วหนีไป”
แพรไพลินมองผู้กองกิตเหมือนกำลังค้นหาความจริงจากการสนทนาครั้งนี้
ที่หลังบ้านพักระรินหลังเกิดเหตุ ผู้กองกิตแบกร่างระรินโยนลงไปในหลุมที่มีร่างของชายหนุ่มอีกคนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นศพระรินอยู่ที่ไหน” ผู้กองถาม
แพรไพลินบรรจุแม็กฯลงในปืนของกิตไว้ดังเดิม ทำเหมือนเตรียมพร้อม
“หลังบ้านพักตรงที่รถจอดอยู่ และถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้ชายอีกคนก็ถูกฝังไว้ตรงนั้น”
“รู้ได้ไง”
แพรไพลินเริ่มเอะใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อเธอเปลี่ยนหน้าจอเป็นเปิดเฟซบุ๊กของระริน
“ระรินเล่นโซเซียลเน็ตเวิร์ค เธอโพสต์ภาพตัวเองก่อนหายตัวไปเพียงแค่ 6 ชั่วโมง ภาพนั้นถ่ายที่สวนหลังบ้าน ซึ่งไม่มีดอกไม้สักต้น”
ภาพที่โพสต์ล่าสุดนั้น ระรินถ่ายด้วยตัวเองจากมือถือที่ด้านหลังบ้านพัก แพรไพลินมองภาพนั้นแล้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเวลาที่โพสต์ภาพ
แพรไพลินเดินไปรูดม่านหน้าต่างจนเห็นทิวทัศน์ที่ไกลถัดออกไป บริเวณลานจอดที่มีรถยนต์จอดอยู่
“ฆาตกรพยายามอำพรางศพ”
ผู้กองกิตเริ่มออกอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด จนแพรไพลินจับอาการนี้ออก
“ท่าทางไม่ค่อยสบาย เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ปละ…เปล่า ผมแค่คิดโกรธตัวเองที่ไม่น่าสืบสวนผิดพลาด”
“ผู้กองไม่ได้สืบสวนพลาด”
ผู้กองกิตชะงักนิดหนึ่ง
“แต่ผู้กองกลบเกลื่อนหลักฐานพลาด” แพรไพลินพูดน้ำเสียงเน้นย้ำ
ผู้กองหนุ่มโมโหชี้หน้าถาม
“คุณมีหลักฐานอะไรมาหาว่าผมเป็นฆาตกร !”
“กรรมอยู่ที่การกระทำ คนทำกรรมอะไรไว้ไม่มีทางหนีความจริงพ้น”
หลังระรินเสียชีวิต ผู้กองกิตก้มตัวลงอุ้มศพขึ้นพาดไหล่
“ฆาตกรรายนี้ลงมือฝังศพด้วยตัวเอง กลิ่นน้ำหอมของระรินยังติดอยู่ที่ตัวมัน”
แพรไพลินนึกถึงเมื่อตอนี่เก็บรายละเอียดในห้องพักระริน เธอมองไปที่โต๊ะแต่งหน้า มีน้ำหอมและเครื่องสำอางมีชื่อ สายตาเธอเห็นน้ำหอมยี่ห้อ CHANNEL No.5 อย่างชัดเจน
“ถึงจะเป็นสาวสมัยใหม่ แต่ระรินนิยมน้ำหอมผู้หญิง...กลิ่นคลาสสิคฉุนติดจมูก"
เธอนึกถึงเมื่อตอนที่ผู้กองหนุ่มจอมเจ้าชู้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จนแพรไพลินชะงักนิดหนึ่งแต่ยิ้มตอบเหมือนไม่รังเกียจ
“รู้สึกว่าผู้กองจะนิยมน้ำหอมยี่ห้อนี้...เหมือนระริน”
กลิ่นนั้นผ่านเข้ามาให้เธอได้กลิ่นเมื่อผู้กองกิตเบี่ยงตัวไปกระซิบที่ข้างหูแพรไพลิน
แพรไพลินยกปืนในมือขึ้นดูแล้วชำเลืองมองไปทางผู้กองกิตด้วยอาการเฝ้าระวังพลางยิ้มเหนือแล้วบอก
“เนติเทคฯ คงหาเขม่าดินปืนจากปืนกระบอกนี้ได้ไม่ยาก ทฤษฎีของฉันใช้ได้มั้ยคะผู้กอง"
“แรงจูงใจล่ะ ผมจะฆ่าระรินทำไม”
“ระรินเพิ่งสลัดรักผู้กอง เพราะคุณโดนสอบสวนทางวินัยคดีบุกรุกป่าสงวน”
ผู้กองกิตจ้องแพรไพลิน ยิ้มเหี้ยมขึ้นกว่าเดิม
“สอบประวัติถึงฐานข้อมูลลับสุดยอดของ ปปช.เลยเหรอ”
แพรไพลินยิ้มยั่ว
“ฉันตรวจสอบประวัติคู่เดทของฉันทุกคน”
"แค่เป็นแฟนเก่า ผมไม่จำเป็นต้องฆ่าเธอสักนิด ขอแสดงความเสียใจด้วย ข้อสันนิษฐาน..ศาลไม่รับฟังคุณหรอก"
“จากแฟ้มข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของระริน...ระรินเป็นแกนนำเอ็นจีโอกำลังสืบหาความจริงคดีทุจริต!”
ผู้กองกิตถึงกับรำพึง
“เป็นไปไม่ได้”
“ผู้กองคงคิดว่าลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว ฉลาด..แต่ไม่เฉลียวค่ะ ระรินอัพโหลดข้อมูลทั้งหมดไว้ที่เวปไซค์ออนไลน์” แพรไพลินพูดพลางยิ้มแบบเหนือชั้น
แพรไพลินจ่อปืนในมือเหยียดตรงพร้อมเล่นงานผู้กองกิต !
“ผู้กองถูกจับแล้วค่ะ”
“คงไม่ง่ายอย่างนั้นมั้ง”
ผู้กองกิตตรงเข้าจับข้อมือแพรไพลินบิดอย่างแรง จนปืนในมือตกลงพื้น แพรไพลินพยายามต่อสู้ แต่ตกอยู่ในสภาพตั้งรับ โดนเล่นงานจนย่ำแย่ไปหลายครั้ง สุดท้ายก็ล้มลงที่พื้น
“ผู้หญิงต่อให้เก่งยังไงก็ต้องแพ้แรงผู้ชาย”
แพรไพลินลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ยิ้มเหี้ยมเหมือนไม่กลัวผู้กองหนุ่ม
“ทุกสมมุติฐานมีข้อยกเว้น”
แพรไพลินพุ่งเบี่ยงตัวชกเข้าที่บริเวณชายโครงผู้กองกิตอย่างรวดเร็วจนตัวงอ
ก่อนหน้านี้ แพรไพลินอ่านประวัติของผู้กองกิต ทำให้เธอทราบว่า เขาเป็นคนดื่มเหล้าจัด
“ดื่มเหล้าจัด โจมตีตับ เจ็บปวดมากกว่าปกติ 2 เท่า”
ผู้กองกิตกัดฟันจะทำร้ายแพรไพลินอีกครั้ง แต่เธอเบี่ยงตัวหลบทัน พร้อม ๆ กับเตะเข้าที่หัวเข่า กิตร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
จากข้อมูลประวัติ ทำให้เธอรู้ว่า เขาเคยถูกยิงที่หัวเข่า
“เข่าเคยผ่าตัดสามครั้ง”
ผู้กองกิตทรุดตัวลงแทบพื้นทันที แต่ยังหยิบปืนบนพื้นยกขึ้นจะเล่นงาน แพรไพลินหมุนตัวด้วยท่าสวยงาม ตรงเข้ากระชากแขนกิตข้างที่ถือปืน บิดเต็มแรงโจมตีที่หัวไหล่
“หัวไหล่เคยหลุดโอกาสจะหลุดอีก 70%”
กิตร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด อ๊าก!
แพรไพลินผลักกิตไปกองที่พื้น เธอหยิบปืนมาจ่อไว้ด้วยความระมัดระวัง
“กุหลาบสวยมักมีหนามคม”
ผู้กองกิตจ้องมองแพรไพลินแล้วยังยิ้มสะกดความเจ็บปวดแล้วบอก
“เก่ง...เก่งมาก ฉลาด..แต่ไม่เฉลียว”
แพรไพลินชะงักนิดหนึ่งด้วยความไม่เข้าใจ ทันใดนั้นมีชายอีกคนหนึ่งตรงเข้ามาซ้อนร่างแพรไพลินไว้พร้อม ๆ กับโปะยาสลบเข้าที่จมูก !! แพรไพลินพยายามดิ้น แต่แววตาเหม่อลอยเหมือนกำลังจะหมดสติ
“ผมไม่เคยทำงานคนเดียว”
แพรไพลินตาลอยเคลื่อนไหวไม่ได้และหมดสติไป ชายคนนั้นตรงเข้าไปประคองกิตลุกขึ้นมา
“โชคดีที่ผมตามผู้กองเข้ามาพอดี จะเอายังไงดีครับ” ผู้หมวดลูกน้องผู้กองกิตมองไปที่แพรไพลินแล้วพูดขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้รู้เยอะไปแล้ว”
ทันใดเสียง กุ๊บกิ๊บก็ดังเข้ามา
“หมอคะ พวกเรารออยู่ที่หน้าบ้าน แต่งตัวเรียบร้อยรึยังคะ”
ผู้กองกิตกับหมวดลูกน้องชะงักไปทันที หันไปมองตามเสียงกุ๊บกิ๊บที่ดังมาจากหน้าบ้าน
บริเวณหน้าบ้านพักแพรไพลิน กุ๊บกิ๊บพร้อมกับเจ้าหน้าที่เนติเทคหลายสิบคนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
“พวกเราหิวกันแล้วนะคะ รีบไปกันดีกว่า...เดี๋ยวผู้กองกิตต้องรอนาน ฮิ ๆ ๆ"
ผู้กองกิตหันไปทางหน้าบ้าน แล้วตัดสินใจสั่งหมวด
“เอาตัวหมอแพรไพลินออกไป”
ผู้หมวดกำลังจะพาตัวแพรไพลินออกไปทางประตูด้านหลัง
“ทางประตูหน้า” ผู้กองกิตบอก
ผู้หมวดมีสีหน้าแปลกใจ ส่วนผู้กองทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดแผนการอะไรบางอย่าง
บริเวณระเบียงบ้านพักของนภา นภากำลังถอดประกอบปืนพกส่วนตัวเพื่อทำความสะอาดอยู่ เมื่อประกอบปืนเสร็จกระบอกหนึ่งแล้วทดลองกระชากไก ยกขึ้นเล็งไปทางวิวริมระเบียงก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อมองไปที่บ้านพักแพรไพลินเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่บ้านหลังนั้น
ผู้กองกิตกำลังประคองพาแพรไพลินออกมา กุ๊บกิ๊บและทีมเนติเทคห้อมล้อมอยู่ด้วยตกใจและเป็นห่วง นภานึกสงสัยจึงเดินตรงไปที่ริมระเบียงคอยเฝ้ามองดูและมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสนใจ
ผู้กองกิตอุ้มแพรไพลินออกมา และรีบตรงไปที่รถของตัวเอง กุ๊บกิ๊บกับพวกเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง
“ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องก็พบหมอหมดสติ คงต้องรีบพาไปโรงพยาบาล”
“หมอไพลินไม่เคยมีโรคประจำตัวเลยนะคะ” กุ๊บกิ๊บบอก
“เสี่ยงไม่ได้.. พวกคุณรีบตามไปนะ”
“ค่ะ ๆ”
กุ๊บกิ๊บกับทีมเนติเทครีบเดินออกไปอีกทางหนึ่ง ผู้กองกิตรีบพาตัวแพรไพลินไปที่เบาะหลังรถเอากุญแจมือมาใส่เธอไว้ แล้วรีบขึ้นรถปิดประตู ผู้หมวดรีบเดินอ้อมขับรถฝ่าความมืดออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายกุ๊บกิ๊บกับทีมเนติเทคฯ รีบเดินมาขึ้นรถที่ลานจอดกำลังจะขับออกไป แต่แล้วรถกลับสตาร์ทไม่ติด
“เกิดอะไรขึ้น... รีบ ๆ ไปสิ”
ทีมเนติเทคฯ พยายามสตาร์ทรถ แต่ก็ยังคงไม่ติดและพยายามสตาร์ทอยู่นั่นแล้ว
บนถนนเปลี่ยวแถบเชิงเขา เวลาเย็นใกล้ค่ำ ผู้หมวดขับรถทางด้านหน้า มองไปที่กระจกมองหลัง เห็นผู้กองกิตนั่งคุมแพรไพลินที่ไม่ได้สติอยู่ทางเบาะหลัง โดยข้อมือทั้งสองข้างของเธอถูกใส่กุญแจมือไว้ด้วย
“ผมจัดการกับรถพวกมันเรียบร้อยแล้ว กว่าจะตามมาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง"
ใบหน้าแพรไพลินเหมือนกำลังจะฟื้น มุมด้านข้างเธอปรือตาเห็นผู้กองกิตกำลังเตรียมยาอยู่ เคาะกระเปาะหักปากขวด ดึงไซริงค์ออกมาดูดยาเข้าไป
แพรไพลินค่อย ๆ ฟื้นแล้ว เธอรีบดิ้นเบี่ยงตัวหนี ผู้กองหันมาเห็นพอดี
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว...อยู่นิ่ง ๆ”
ผู้กองกิตยิ้มพลางเอามือไล้ไปตามใบหน้าของแพรไพลิน เธอพยายามดิ้นหนี
“ความจริงคืนนี้เราสองคนน่าจะมีอะไรสนุก ๆ ทำ ถ้าหมอไม่สู่รู้มากเกินไป”
ผู้กองชูไซริงค์ขึ้นมา ไล่เอาอากาศออกแล้วบอก
“อยู่เฉย ๆ แล้วหมอจะสบาย สบายจนไม่อยากจะตื่นมารู้จักโลกความจริงอีกเลย”
แพรไพลินคิดนิดหนึ่งแล้วนึกรู้
"ยาเสพติด"
“ดอกเตอร์แพรไพลินยังคงฉลาดเป็นกรด น่าเสียดายที่หลงผิดเสพยาเกินขนาด ฉลองที่ตัวเองปิดคดีได้เร็วเกินคาด”
“ไม่นะ ไม่”
เขาดึงตัวแพรไพลินเข้ามาใกล้ และกำลังจะแทงเข็มฉีดยาลงไปที่แขนของเธอ แพรไพลินดิ้นสุดแรง เอาหัวโขกเขาจนร้องลั่น เข็มตกลงพื้น กิตบันดาลโทสะตบเธอจนคว่ำสลบไป
"ทำไมต้องทำอะไรให้ยาก ชอบเจ็บตัวรึไง"
ผู้กองกำลังจะก้มลงเก็บไซริงค์ ทันใดนั้นมีแสงไฟสว่างจ้าตบเข้ามาจากทางด้านหลัง พร้อมกดแตรดังลั่นเหมือนจะให้จอด ผู้กองกิตหันไปมอง
"ใคร"
“รถมาจากรีสอร์ท แต่ไม่ใช่รถของทีมเนติเทค”
“พวกชอบแส่เรื่องชาวบ้าน ได้เลย...จัดให้เต็ม”
ผู้กองกิตกระชากปืนออกมาจากเสื้อ
นภากำลังขับรถคันที่ตามมา เธอพูดโทรศัพท์ผ่านหูฟัง สั่งการไปยังปลายสาย
“แจ้งสำนักงานสืบสวนพิเศษฯ ฉันต้องการทราบประวัตินายตำรวจคนที่พาดอกเตอร์แพรไพลินออกไปจากรีสอร์ต”
นภาเห็นผู้กองกิตชะโงกออกมาจากกระจกรถด้านหน้า แล้วระดมยิงเข้าใส่เปรี้ยง ๆ ๆ นภารีบหักรถหลบทันที
“ขอกำลังสนับสนุนมาที่ทางหลวงหมายเลข.... ด่วนที่สุด ย้ำด่วนที่สุด”
นภาขับรถต่อไปพร้อม ๆ กับกระชากปืนออกมาเตรียมพร้อม
ผู้กองกิตชะโงกหน้าออกมายิงรถนภา ในขณะที่นภาพยายามยิงต่อสู้สกัดไม่ให้หนีออกไปได้
หมวดที่ขับรถอยู่ มองไปทางกระจกส่องข้างเห็นหน้านภาที่กำลังยิงต่อสู้อย่างชัดเจน “งานเข้าแล้วล่ะผู้กอง"
"ทำไม"
"คนที่ผู้กองกำลังจัดหนักน่ะ ผบ.นภา..เมียนายกฯ"
“หา !”
“งานนี้ถ้าจัดไม่ถึงตาย...เราก็ตายล่ะ”
"จัดหนัก จัดเต็ม"
ผู้หมวดส่งกระเป๋าอาวุธให้ ผู้กองกิตรับมาเปิดออก เห็นมีอาวุธสงครามเต็มไปหมด เขาหยิบอูซี่ออกมา ชะโงกออกไปยิงกราดเข้าใส่รถของนภาทันที
บนถนนเชิงเขา รถสองคันไล่ล่ากันมา ผู้กองกิตชะโงกกราดอูซี่เข้าใส่รถของนภา ปัง ๆ ๆ นภาพยายามบังคับรถหลบหลีกแต่ไม่สำเร็จ กระสุนปืนกราดถูกฝากระโปรงรถเปิดออกควันขโมง รถนภาเสยเข้าที่ข้างทาง เธอลงจากรถ ตามยิงเข้าใส่สกัดอย่างไม่ลดละ เปรี้ยง ๆ ๆ
นภาเห็นผู้กองกิตชะโงกหน้าออกมาจากรถก็โยนระเบิดเข้าใส่ ลูกระเบิดตกลงพื้น กลิ้งหมุนติ้วตรงมายังรถนภา เธอรีบกระโดดหลบไปอีกทาง พร้อม ๆ กับระเบิดทำงาน ตูม !
นภาถลาออกมาจากที่ซ่อน มองตามรถกิตออกไป เห็นรถกิตกำลังตีโค้งลงจากเนินเชิงเขานั้น เธอไม่ยอมแพ้ มองซ้ายมองหาทางจะไปดักทางด้านล่าง
นภาวิ่งตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของเชิงเขา วิ่งตัดแนวทิวไม้อย่างรวดเร็ว
รถของกิตเลี้ยวลัดเลาะ วนมาตามทางคดเลี้ยวตามแนวเชิงเขา นภาถือปืนพกกำลังวิ่งลาดตัดทิวไม้ตามเชิงเขาลงมา เพื่อจะมาดักรถของกิตทางด้านหน้า บรรยากาศลุ้นระทึก
ในที่สุดนภาวิ่งมาดักที่ถนนด้านหน้าได้ทัน นภาดึงแมกกาซีนออกมาจากปืนพก เปลี่ยนเป็นแมกกาซีนที่บรรจุกระสุนเต็ม กระชากไกปืนเตรียมพร้อม
บนรถ ผู้หมวดเห็นนภายืนขวางถนนอยู่ไกลออกไป
“แสบสันต์สมเป็นอดีต ผบ.สำนักงานสืบฯ กัดไม่ปล่อย”
"ขับชนไปเลย"
ผู้หมวดเหยียบกดคันเร่งเต็มแรงเพื่อเพิ่มความเร็วรถขึ้นไป เลขไมล์มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้กองกิตชะโงกหน้าออกไปที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ยิงกระหน่ำเข้าใส่นภาที่ยืนอยู่ทางด้านหน้ารถ ปัง ๆ ๆ
นภาไม่กลัวเกรง ยืนประจันหน้ารถที่กำลังพุ่งเข้ามาใส่ ลั่นกระสุนปืนในมือไม่นับ
รถของกิตพุ่งเข้ามาใกล้นภามากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับที่ผู้กองกิตชะโงกหน้าออกมายิงกระสุนเข้าใส่นภาแบบไม่นับ ขณะที่หมวดกำลังขับรถตรงพุ่งเข้าไปชน
ที่เบาะหลังข้าง ๆ ผู้กองกิต แพรไพลินเริ่มรู้สึกตัวขึ้น มองไปรอบ ๆ รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอถลาไปต่อสู้กับผู้กองที่กำลังชะโงกตัวเองอยู่เต็มแรง จนเขาเสียหลักจะตกจากรถ
ผู้หมวดหันมาเห็นพยายามจะดึงตัวแพรไพลินไว้ แต่กลับโดนเธอเล่นงานจนรถปัดไปมาเสียหลัก
รถถลาไปเบียดขอบถนนเลียบหน้าผา เหมือนกำลังจะตกผาแล้ว
แพรไพลินที่ยื้ออยู่กับผู้กองผลักเขาเต็มแรงจนเสียหลักหลุดออกมาจากหน้าต่างรถ
ร่างของกิต...ร่วงตกลงจากรถไปยังหน้าผาด้านข้าง ร่างลอยละล่องลงสู่พื้น...
แพรไพลินถลาไปยื้อยุดกับหมวดต่อ จนรถเสียหลักหมุนติ้ว เหมือนกำลังจะพุ่งเข้าชนนภาที่ยืนขวางถนนอยู่ นภายังคงยิงกระหน่ำเข้าใส่รถกิตที่กำลังเสียหลักอยู่นั้น
ผู้หมวดที่กำลังยื้อยุดกับแพรไพลินอยู่นั้น พลาดท่าโดนกระสุนปืนของนภาเจาะเข้าที่กลางศีรษะ
หมวดคว่ำลงกับพวงมาลัย รถไร้การควบคุม แพรไพลินรีบถลามาดึงพวงมาลัยและพยายามบังคับรถไว้
รถกิตพุ่งหมุนเข้ามาหานภามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในที่สุดรถมาหยุดตรงหน้านภาแบบเฉียดฉิว
นภาเอาปืนลงแบบมาดเท่ไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ เดินตรงไปที่รถกิตเปิดประตูด้านหลังให้แพรไพลินออกมา
“หนูปลอดภัย ฉันมาช่วยแล้ว”
แพรไพลินมองนภาด้วยสายตาขอบคุณ
นภาช่วยดึงร่างแพรไพลินออกมาจากซากรถ ท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินที่ถนนเลียบผา
ที่ระเบียงบ้านพักนภา ในเวลากลางคืน แพรไพลินได้รับการปฐมพยาบาลจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ตำรวจท้องที่กำลังสอบถามพนักงานคนอื่น ๆ ตำรวจทั้งหมดเป็นตำรวจของสำนักงานสืบฯ
แพรไพลินรับการปฐมพยาบาลไป นั่งมองกุ๊บกิ๊บที่ทำท่าปิ๊งตำรวจหนุ่มไป เธอยิ้มเอ็นดูเพื่อนร่วมงานคนนี้
กุ๊บกิ๊บให้ปากคำกับตำรวจอีกคนหนึ่ง ให้ปากคำไปก็ทำตาหวานไป เพราะตำรวจคนนั้นหุ่นล่ำหน้าตาดี
“กุ๊บกิ๊บยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีแฟน โสดสนิท”
"อะไรนะครับ"
“เคยมีคนมาจีบ แต่กุ๊บกิ๊บทำแต่งาน เลยไม่มีเวลาให้ค่ะ”
ตำรวจหนุ่มยิ้ม ๆ ไม่ตอบ และจดบันทึกต่อไป กุ๊บกิ๊บเพ้อเจ้อไปเรื่อย
“คุณตำรวจจะเอาเบอร์มือถือเหรอคะ ได้เลย.. 082 122 2213 ค่ะ ทำงานประจำที่เนติเทคฯ ยินดีรับใช้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง"
ตำรวจหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่จดอยู่ ยิ้ม ๆ กับกุ๊บกิ๊บ
“ฟังไม่ทันเหรอคะ งั้นโปรดฟังอีกครั้งนึง.. กุ๊บกิ๊บโสดสนิท.. ไร้คู่ ไร้คนรู้ใจ082 122 2213 ค่ะ”
ตำรวจหนุ่มยิ้ม ๆ ด้านข้างสิรีกำลังดูแลให้คนรีสอร์ตส่งผ้าเช็ดหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
“หมวดถามกิ๊บมาเยอะแล้ว กิ๊บขอถามหมวดบ้างได้มั้ยคะ” กุ๊บกิ๊บพูดยิ้มตาพริ้ม
"ถามอะไรครับ"
“หมวดมีแฟนยัง”
ตำรวจหนุ่มยิ้มไม่ตอบ ส่ายหัวแล้วเดินหนี
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว จะรีบไปไหนล่ะคะ โห ไม่ยุติธรรมเลย ถามกุ๊บกิ๊บอยู่ฝ่ายเดียว”
นภาเดินมาทางแม่บ้าน แม่บ้านเอาผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ส่งให้นภาเช็ดหน้าเช็ดตา
นภาหันไปเห็นแพรไพลินได้รับการปฐมพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือกุ๊บกิ๊บดังขึ้น กุ๊บกิ๊บดึงขึ้นมาดูแล้วหน้าเหรอหรา เดินเข้ามาหาแพรไพลิน
“หมอคะ.. โทรศัพท์หมอค่ะ”
แพรไพลินยิ้มอารมณ์ดีถาม
“โทรศัพท์ฉัน?”
“จากคุณเพชรแท้...คุณแม่คุณหมอค่ะ”
นภาชะงักไปทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เพราะเพชรแท้เคยเป็นเพื่อนรักของนภานั่นเอง
“โทรมาสามครั้งแล้ว บอกว่าโทรเข้ามือถือคุณหมอ คุณหมอไม่ยอมรับสาย”
แพรไพลินถอนหายใจยาว สีหน้าเบื่อหน่าย อารมณ์เปลี่ยนไปทันที
"ฉันไม่ว่าง"
“แต่คุณหมอไม่ได้ทำอะไร.. ว่างแล้ว”
แพรไพลินลุกขึ้นทันทีด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่ว่างต้องรีบไปสรุปหลักฐาน”
แพรไพลินเดินออกไปทันที นภามองตามแพรไพลินด้วยสายตาสนใจ
แพรไพลินเดินกลับมาที่พักด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี เธอยังมีความไม่เข้าใจกับแม่อยู่มาก นภาเดินตามเข้ามาทางด้านหลัง พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ เคาะประตูด้านหน้านิดหนึ่ง แพรไพลินหันมา เมื่อเห็นว่าเป็นนภาก็ยิ้มต้อนรับ นภาส่งผ้าขนหนูให้แพรไพลิน
“ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่ได้คุณนภา หนูคงแย่ คุณนภาทราบได้ยังไงคะว่าหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“สัญชาติญาณตำรวจมั้งจ๊ะ แต่ถ้าไม่ได้หนูสำนักงานสืบฯ คงยังจับตัวผู้กองกิตกับพวกไม่ได้”
“หนูคงทำไปตามสัญชาติญาณ”
“งั้นเราก็เป็นพวกทำงานตามสัญชาติญาณเหมือน ๆ กัน ฮึ ๆ น่าเสียดายที่ฉันออกจากราชการแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีโอกาสทำงานกับหนู”
แพรไพลินยิ้มให้นภา นภาพินิจพิจารณาเค้าโครงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม
"หนูเป็นลูกสาวของเพชรแท้ใช่มั้ย"
แพรไพลินชะงักนิดหนึ่งแล้วบอก
“เอ้อ..ค่ะ"
“ฉันเคยเป็นเพื่อนกับเพชรแท้สมัยเรียนมัธยม นึกไม่ถึงว่าจะมีลูกโตเรียนจบดอกเตอร์แล้ว เป็นยังไงคุณแม่สบายดีมั้ย..ไม่ได้เจอกันนานเลย"
“เอ้อ.. หนูไม่ค่อยได้พบคุณแม่นักหรอกค่ะ”
นภามองแพรไพลินเหมือนแม่มองลูกสาวคนหนึ่ง เห็นอาการอึกอักของแพรไพลินก็พอเดาได้ว่าน่าจะมีปัญหากันอยู่
“ทะเลาะกันใช่มั้ย”
"เอ้อ...คือ"
“ถ้าถึงขั้นเสี่ยงชีวิตเจียนตายยังไม่บอกแม่เนี่ย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ”
แพรไพลินไม่ตอบ หลบสายตานภามองไปอีกทางหนึ่ง
นภาเดินเข้ามาหาแพรไพลินด้วยความเมตตา
“อย่าหาว่าฉันละลาบละล้วงเลยนะ ลูกสาวฉันก็คงอายุพอๆ กับหนู เห็นหนูแล้วฉันก็อดคิดถึงลูกสาวไม่ได้"
“ฉันกับฟ้า...เราเคยมีเรื่องไม่เข้าใจ.. ไม่มองหน้ากันหลายสิบปี สุดท้ายไม่เคยมีใครมีความสุข
หนูรู้มั้ย...ในวันที่เราลดทิฐิหันมาทำความเข้าใจกัน เราถึงพบว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรักกัน...เท่ากับเราสองแม่ลูกอีกแล้ว”
นภายิ้มให้กับแพรไพลิน แล้วเอามือแตะบ่าเธอไว้เป็นเชิงให้กำลังใจ
“หนูแพร หนูอยู่ในท้องแม่เพชร เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอด 10 เดือน เชื่อฉันเถอะ.. ระหว่างแม่กับลูกไม่มีอะไรทำลายความผูกพันระหว่างกันไปได้ ปรับความเข้าใจกับแม่ซะเถอะนะ"
แพรไพลินนิ่งคิดตามนภา นภายิ้ม ๆ ให้กับแพรไพลินก่อนจะก่อนจะเดินออกไป แพรไพลินคิดตามคำพูดของนภา ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอเลือกเบอร์โทรศัพท์ที่มีชื่อ “แม่เพชรแท้” ระบุอยู่ คล้ายกำลังตัดสินใจจะโทรออก แต่ในที่สุดแพรไพลินไม่โทร วางโทรศัพท์คว่ำหน้าไว้ตรงนั้น แล้วเดินหลุดออกไป
บริเวณบ้านดอกเตอร์เมฆา ในห้องทำงาน เวลากลางคืน เมฆากำลังพูดโทรศัพท์พร้อม ๆ กับเปิดทีวีเช็กข่าวในโทรทัศน์ ซึ่งสกายนิวส์เนตเวิร์คกำลังเสนอข่าวการเมืองภาคค่ำอยู่ มีภาพการสัมภาษณ์จักรที่มุมหนึ่งของพรรคไททิวัตถ์
“นภา ผมเพิ่งรู้ข่าว.. เป็นยังไงบ้าง”
CUT /
มุมสวยในรีสอร์ท นภากำลังพูดโทรศัพท์กับเมฆา ยิ้มแย้มอารมณ์ปกติ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกค่ะท่านนายก”
“จะไม่ให้ห่วงสตรีหมายเลขหนึ่งได้ยังไง ขนาดส่งไปพักผ่อน ยังไม่วายไปช่วยเค้าจับโจร อย่าลืมสิ...ว่าคุณไม่ได้เป็นผบ.นภาแล้วนะ"
“อดไม่ได้น่ะค่ะ.. จะให้อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้โจรเล่นงานคนของเราได้ยังไงคะ”
“เออ.. เมื่อหัวค่ำหนูฟ้าโทรทางไกลมาจากซานฟราน บ่นว่าติดต่อคุณไม่ได้เลย ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหรอกนะ กลัวแกจะเป็นห่วง เลยโกหกว่าคุณกำลังสปาไม่สะดวกจะรับสาย"
“เป็นนักการเมือง.. โกหกได้เหรอคะ... ฮึ ๆ รู้ค่ะ รู้ ฉันล้อเล่น ไม่บอกน่ะดีแล้ว กำลังท้องกำลังไส้ไม่อยากให้มีเรื่องต้องเครียด ทางคุณล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าขัดแย้งกับจักร”
เมฆาเดินมาที่หน้าจอทีวี รองอนันต์กำลังให้สัมภาษณ์ ที่หน้าจอทีวีมีตัวหนังสือระบุว่า
“อนันต์ อนัตวานิชกุล รองนายกรัฐมนตรี”
“รองอนันต์น่าจะเอาอยู่ ยังไงผมคงยอมทำตามนายทุนพรรคไม่ได้”
เมฆาหันไปดูทีวีที่กำลังเสนอข่าวการให้สัมภาษณ์ของรองอนันต์ ด้วยความสนใจ
"ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วพบกันที่กรุงเทพฯ สวัสดีจ้ะ"
รถยนต์คันยาวของจักรแล่นเข้ามาภายในบริเวณบ้านพักของรองอนันต์ในเวลาเดียวกัน พอรถจอดบอดี้การ์ดของอนันต์ก็เดินเข้ามาล้อมรถยนต์ไว้ แสดงท่าทางไม่พอใจ
จักรก้าวลงมาจากรถ หัวหน้าใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“รองอนันต์แจ้งคุณจักรแล้ว ท่านไม่มีอะไรจะเจรจา เชิญกลับไปได้”
"แต่ฉันมีเรื่องสำคัญ"
"สำคัญยังไงวันนี้ก็พบไม่ได้"
"แน่ใจเหรอ"
“อย่าทำให้ลำบากใจ ผมกำลังพยายามให้เกียรติท่านอย่างที่สุดแล้ว”
“แต่ฉันต้องการพบรองอนันต์...วันนี้ และ เดี๋ยวนี้”
"ยังไงก็ไม่ได้"
หัวหน้าหันไปพยักหน้ากับบอดี้การ์ดที่รายล้อมรถอยู่ เหล่าบอดี้การ์ดต่างกระชากปืนออกมาทันที
“จะคิดจะทำอะไร ถ้าใช้สติก่อนใช้อารมณ์ โลกใบนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ”
หัวหน้ากับเหล่าบอดี้การ์ดชะงักไปทันที หันขวับไปมองอีกด้านหนึ่งของรถ
วิญญูก้าวลงมาจากรถด้วยมาดเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว นิ่ง ๆ จ้องมองไปยังทุกสายตาที่จ้องเขา
ดวงตาของ “วิญญู อัคนี .. ที่ปรึกษาส่วนตัว จักร อมตฤทธา” คล้ายทรงอำนาจบางอย่าง วิญญูผู้นี้ หาใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้เดียวกับ “ขมังเวทย์” นั่นเอง
“คุณจักรต้องการพบรองนายกอนันต์”
หัวหน้ากับเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด คนทั้งหมดแหวกทางให้วิญญูกับจักร
วิญญูเดินนำจักรเข้าไปด้วยมาดสุขุม ให้ความรู้สึกกับคนดูว่าเขาเป็นเจ้านาย.. ไม่ใช่จักร !
วิญญูเดินเข้าไปกับจักร เหลียวหันไปมองเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดแต่ละคน แต่ละคน
ที่บริเวณใบหน้า ลำตัว ของแต่ละคน บังเกิดคลื่นใต้ผิวหนังวูบไปมา บ้างกุมท้อง บ้างกุมหัวเหมือนโดนของ ล้มกลิ้งร้องโอดโอยลั่นไปทั้งบ้าน
หัวหน้าบอดี้การ์ดตาลุกวาวด้วยความหวาดกลัว นอนบิดตัวโอดโอยอย่างทรมานจ้องไปที่วิญญู
รองอนันต์โกรธจัด ชี้หน้าวิญญูกับจักร พลางถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้พวกชั่ว แกคิดว่าเป็นใคร เข้ามาทำร้ายคนของฉันได้ยังไง”
“คนที่เป็นถึงรองนายกฯ จะพูดจะจา ควรระวังปากระวังคำให้มากกว่านี้”
แววตาดุดันและจ้องเขม็งของวิญญูทำให้รองอนันต์ถึงกับผงะชะงักไปนิดหนึ่ง
“ก็แค่มาเจรจา”
“พวกแกต้องการอะไร”
วิญญูขยับพูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกทรงพลังเหมือนส่งกระแสอำนาจบังคับเหยื่อ!
“ตำแหน่งรองนายกฯ”
"อะไรนะ"
“ท่านรองนายกอนันต์ ท่านทำงานเหนื่อยมามาก ถึงเวลาต้องพักผ่อนอย่างสงบ พัก... ตลอดไป..!”
วิญญูเน้นย้ำหนักแน่น
รองอนันต์สีหน้าและท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเกรี้ยวกราดกลายเป็นฟังทุกคำพูดของวิญญู
วันใหม่ เวลากลางวัน รถสำนักงานสืบฯ แล่นอยู่บนถนนพร้อมกับเสียงโวยของร.ต.ต. แสงกล้า อภิไชย
“บอกแล้วไงจ่า ผมไม่ไป”
“ไม่ไปไม่ได้ ไม่ไปต้องไป มันครบกำหนดเส้นตายแล้ว ถ้าไม่ไปหมวดนั่นแหละที่จะเดือดร้อน” ดาบแหบบอก
“เดือดร้อนยังไงมันก็เรื่องของผม
“แต่ผมได้รับคำสั่งมา ห้ามขัดขืน”
รถสำนักงานสืบฯ แล่นไปตามถนนอย่างรวดเร็ว
บนถนนแห่งหนึ่ง จ่าสมิง เป็นจ่านอกเครื่องแบบแห่งสำนักงานสืบสวนพิเศษ รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายเป็นขี้เมาไม่ได้เรื่องได้ราว บ้าหวย เชื่อถือโชคลางและไสยศาสตร์
จ่าสมิงกำลังเอาโซ่คล้องที่รถโฟล์คซีร็อคโก้ที่โดนใบสั่งและกำลังจะยกรถออกไป
ตำรวจจราจรคนหนึ่งกำลังบันทึกเอกสารอยู่ หนุ่มหล่อสาวสวยรีบวิ่งเข้ามาอ้อนวอนตำรวจทันที
“เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งยก ผมมาแล้ว”
“ช้าไปแล้วไอ้น้อง กีดขวางการจราจร” ตำรวจบอก
"บ้านผมน้ำท่วม"
จ่าสมิงหันไปมองตำรวจซึ่งชะงักไปเพราะหนุ่มขอร้อง สมิงพูดกับตำรวจ
“ลองฟังเค้าหน่อยดีมั้ยหมู่”
หนุ่มเริ่มยิ้มได้บอก
“นั่นไง อะลุ้มอล่วยกันหน่อย เหมือนที่พี่คนนี้เค้าบอกเหอะ”
“ใครเป็นพี่คุณ ผมไม่เคยมีน้องหน้าตี๋” สมิงบอก
สาวหันมาพูดกับตำรวจ
“นึกว่าเมตตาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเถอะค่ะ จะเอาอะไรเราก็ยอมทั้งนั้น"
หนุ่มพูดเอาเก๋บอก
“นะคะ...วันนี้วันพระนึกว่าทำบุญ”
จ่าสมิงหันขวับมาอมยิ้มหมือนถูกใจบอก
“ไม่น่าเชื่อ...เด็กสมัยนี้รู้จักวันพระ น่าเห็นใจเค้าเหมือนกันนะครับแค่ว่ากล่าวตักเตือนดีมั้ยครับหมู่” สมิงบอก
“เราสองคนอยู่ในศีลในธรรม นี่ก็เพิ่งออกมาจากสถานปฏิบัติธรรม” สาวบอก
“ไหนอาราธนาศีลให้ฟังหน่อย” จ่าสมิงบอก
"อะไรนะคะ"
“อาราธนาศีล! เพื่อยืนยันไงว่าอยู่ในศีลในธรรม ชอบปฏิบัติธรรมจริง ๆ”
หนุ่ม สาว ชะงัก กระอักกระอ่วนเพราะเพิ่งออกจากผับโต้รุ่งมาต่างหาก สมิงยิ้มรู้ทันบอก
“มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ โกหก ! แยกย้ายครับหมู่เดี๋ยวเจอกันที่โรงพัก”
จ่าสมิงเดินขึ้นรถยกแล้วขับยกซีร็อคโก้ออกไป ไม่ฟังเสียง หนุ่มสาวยืนเซ็งอยู่ตรงนั้นเอง ตำรวจส่งใบสั่งให้ จ่าสมิงได้แต่อมยิ้มหัวเราะชอบใจ กดเปิดวิทยุในรถเป็นเสียงเพลงสวดศาลเจ้าแม่กวนอิมลั่นรถ
ร.ต.ต.แสงกล้ากำลังเถียงกับดาบแหบที่กำลังขับรถอยู่
"จอดรถเดี๋ยวนี้นะ ไม่จอดผมโดด"
“อยากเสี่ยงตายก็ตามใจ ยังไงวันนี้ผมก็ต้องเอาตัวหมวดไปเนติเทค”
ดาบแหบหันไปพูดกับแสงกล้าโดยไม่มองถนน แต่พอหันมาที่ถนน ดาบแหบก็ตาเหลือกร้อง “เฮ้ย”
บริเวณสี่แยก รถสำนักงานสืบฯ กำลังพุ่งตรงเข้าไปยังรถยกของจ่าสมิงอยู่ เสียงเบรกดังลั่น
รถทั้งสองคันหักหลบกันไปคนละทางจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ จ่าสมิงกับดาบแหบลงมาจากรถด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
“โว้ย อย่าทำให้เกิดโทสะ ศีลขาดสิวะ ขับรถประสาอะไรวะ”
“ก็เอ็งนั่นแหละ”
ทั้งสองชะงักเมื่อหันมาเจอหน้ากัน
“พี่แหบ”
“ไอ้หมิง”
แสงกล้าเมื่อเห็นดาบแหบกำลังยืนชะงักอยู่นอกรถ ก็ได้ทีรีบวิ่งออกจากรถทันทีเหมือนจะเดินหนี ดาบแหบหันไปเห็นพอดี
“แน่ะ ๆ ๆ ห้ามหนี”
“เชื่อก็กลัวสิ” แสงกล้าบอก
แสงกล้าไม่เชื่อ วิ่งหนีไปทางที่สมิงยืนอยู่
“ไอ้หมิง ช่วยจับหมวดหัวดื้อหน่อย”
จ่าสมิงหันขวับไปมองแสงกล้า ทั้งสองชะงักมองเผชิญหน้ากัน จ่าสมิงเหมือนมีอะไรบางอย่างรู้สึกได้ในใจ
“อ้าว ๆ จะหนีไปไหน”
แสงกล้าถีบจ่าสมิงที่มาดักหน้าไว้จนล้มร้องโอดโอย แสงกล้ารีบวิ่งหนีออกไปอีกทางทันที สมิงเหลียวไปเห็นยางเส้นหนึ่งพาดอยู่ที่ท้ายรถยก ก็เหวี่ยงยางเส้นนั้นเข้าไปยังแสงกล้าที่กำลังวิ่งหนีอยู่
ยางครอบตัวแสงกล้าที่กำลังวิ่งพอดิบพอดี แสงกล้าเสียหลักล้มคว่ำลงไปทันที
“เฮ้ย ๆ ๆ”
จ่าสมิงยิ้มพอใจเดินตรงเข้าไปหาแสงกล้า
“ฮึ ๆ ยังแม่นอยู่เหมือนเดิม”
จ่าสมิงเดินไปยื่นมือส่งให้แสงกล้าดึงเพื่อพยุงตัวยืนขึ้นมา แสงกล้ามองสมิงนิดหนึ่งแล้วจึงยอมจับมือดึงยืนขึ้นมา สมิงจ้องหน้าแสงกล้าคล้ายรู้ว่ากำลังคิดอะไร
“ไปตรวจซะดี ๆ เถอะหมวดมันเป็นวิถีน่ะ ขัดขืนไปก็เท่านั้น”
แสงกล้าบ่นกับตัวเอง
"รู้ได้ไง"
จ่าสมิงไม่ตอบ กลับเอากุญแจมือสับเข้าที่ข้อมือสองข้างของแสงกล้าหน้าตาเฉย
"เฮ้ย"
สมิงหันไปทางดาบแหบ
“รีบเอาตัวไปเหอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา”
ดาบแหบเดินมาคุมตัวแสงกล้าออกไป แสงกล้าท่าทางงง ๆ กับสมิงมากที่ทำเหมือนรู้เรื่องตัวเขา
เลยไม่ได้ดิ้นอะไรกับดาบแหบ
“อย่าพูดยากนักสิวะหมวด เดี๋ยวพ่อจับไปขายบะหมี่ยำซะให้เข็ด”
แสงกล้าขัดไม่ได้จำต้องเดินกลับไปที่รถกับดาบแหบ ดาบแหบหันมาพูดกับสมิง
“ขอบคุณมากไอ้หมิง”
“ธรรมะสวัสดีครับพี่แหบ”
“แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ขับรถยกแล้วล่ะ”
“รับจ็อบ เก็บตังค์ไว้แทงหวย ฮ่า ๆ ๆ”
ร.ต.ต. แสงกล้ามองจ่าสมิงด้วยสายตาไม่เชื่อถือ แต่สมิงจ้องไปที่แสงกล้าด้วยแววตาเคร่งเครียดเกินน้ำเสียงที่พูดออกไป
จ่าสมิงมองรถสำนักงานสืบฯที่แล่นออกไปจนลับตา
ติดตาม เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่ 2