รากบุญ ตอนที่ 2
เจติยามีสีหน้ากังวลปนหวาดกลัว เธอเดินคุยกับทวีอยู่บริเวณบริษัท
“หนุงหนิงต้องเป็นงานต่อไปของเจแน่ๆ เลยค่ะลุง”
“ศพพูดกับเจแล้วเหรอะ” ทวีถาม
“ยังเลยค่ะลุง แค่ปรากฏให้เห็น...เจต้องประสาทหลอนตายก่อนคำขอสำเร็จแน่ๆ...นี่มันไม่มีสัญญาณอะไรเตือนเราล่วงหน้าเลยเหรอคะลุง ว่าคนตายพวกนั้นจะมาหาเรา”
ทวียิ้มบางๆ แล้วตบบ่าเจติยา “ซักพักเดี๋ยวก็ชินไปเองล่ะ”
เจติยาถอนใจแล้วเดินพ้นแนวต้นไม้ ทันใดนั้นศพหนุงหนิงก็ยืนหน้าซีดอยู่ที่ข้างต้นไม้พร้อมกับมองมาที่เจติยาเขม็ง เจติยาร้องลั่นด้วยความตกใจพร้อมกับกระโดดเหยงไปที่ถนน จังหวะเดียวกับที่ลาภิณขับรถกลับเข้าบริษัทมาพอดี
ลาภิณตกใจเบรกรถจนตัวโก่งพร้อมทั้งบีบแตรดังสนั่น เจติยาตกใจมากจึงยกมือยอมแพ้พร้อมทั้งหลับตาปี๋ในขณะที่ยืนอยู่หน้ารถลาภิณ
ลาภิณและปริมลงจากรถมาด้วยใบหน้าหงิกแบบบอกบุญไม่รับ
“เดินประสาอะไร ระวังหน่อยสิ” ลาภิณตำหนิ
ปริมมีสีหน้าดูถูก “คงคิดจะเรียกค่าทำขวัญ หารายได้เสริมแหละค่ะคุณต้น”
เจติยาจ้องหน้าปริมด้วยสีหน้าเขม่น
ทวีรีบเข้ามาลากตัวเจติยาเพื่อให้หลบทาง “ขอโทษครับคุณลาภิณ”
ลาภิณถอนใจแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ปริมค้อนใส่เจติยาก่อนจะตามกลับไปขึ้นรถ เจติยาเหล่ๆ มองตามรถลาภิณ เธอเห็นศพหนุงหนิงนั่งอยู่เบาะหลังในสภาพหน้าซีดชิดหน้าต่างพร้อมทั้งหันมองมาทางเจติยา
หนุงหนิงจ้องเจติยาแล้วพูด “บอกความจริง”
เจติยาผงะไปด้วยความตกใจ
“เห็นหนุงหนิงเหรอ” ทวีถาม
“ค่ะลุง เธอมอบหมายงานให้เจแล้ว” เจติยามีสีหน้าเป็นกังวล
ที่บ้านเจติยาตอนหัวค่ำ นทีประคองมยุรีมาขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักแล้วหยิบสมุดโน้ตที่วางไว้ไม่ห่างจากที่ช่างน้ำหนักมาเปิดดูก่อนจะดูน้ำหนักของแม่ในวันนี้
นทีดูน้ำหนักแม่แล้วยิ้มพอใจ “โอเคครับ น้ำหนักขึ้นไม่เกินครึ่งโล” นทีจดใส่สมุดโน้ต
“แม่จดเองก็ได้ลูก”
“ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวยัยขี้บ่น เล่นงานผมตาย”
มยุรียิ้มแล้วส่ายหน้า “เราก็ไปว่าพี่เค้า”
นทีจดเสร็จก็เอาสมุดไปวางที่เดิม “แล้วนี่เค้าไปไหนล่ะครับ”
มยุรีเดินกลับไปนั่งที่โซฟาพร้อมตอบ “เห็นว่าหนูฐาชวนไปเที่ยวไหนต่อก็ไม่รู้ คืนนี้คงกลับดึกล่ะ”
นทีแอบอมยิ้มด้วยความพอใจที่จะได้หนีเที่ยวอย่างสบายใจ
ปริมพาลาภิณมาปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่ผับหรูแห่งหนึ่ง เพื่อนเปลี่ยนเหล้าแก้วใหม่แทนแก้วเดิมให้ลาภิณทันที
เพื่อนยิ้มแล้วบอก “จะได้ไม่ขาดช่วงค่ะ”
“จะมอมแฟนฉันเหรอยะ” ปริมห่วง “ไหวมั้ยคะคุณต้น”
ลาภิณยิ้มแย้มพร้อมทำสัญญาณมือว่าโอเคแต่ก็ยังมีท่าทีมึนๆอยู่
“มีคนขับรถให้จะกลัวอะไร หมดแก้วเลยค่ะ” เพื่อนชวน
ปริมค้อนใส่เพื่อนเล็กน้อย
นิษฐาขับรถญี่ปุ่นรุ่นเก่ามาจอดบริเวณที่จอดรถหน้าผับหรู เจติยากับนิษฐาคุยกันมาอย่างต่อเนื่อง
“แกไม่ได้คบกับพี่หมวดอยู่จริงๆนะ” นิษฐาถามย้ำ
“เออ ต้องให้ฉันตอบกี่ครั้ง” เจติยาบอก
“ก็ฉันกลัวเพื่อนรักจะมาผิดใจกันทีหลัง” นิษฐาอมยิ้ม
เจติยาเหล่มองเพื่อนแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน “พี่หมวดนี่เป็คแกจริงๆเหรอ พี่เค้าอยู่ข้างบ้านฉันเองเดี๋ยวบอกให้”
นิษฐาตกใจ “บ้าเหรอเจ ฉันผู้หญิงนะ” นิษฐาอมยิ้มเพราะแอบเขิน “สงสัยต้องแวะไปเยี่ยมแม่แกบ่อยๆ ซะแล้ว”
เจติยาค้อนใส่ “ย่ะ” เจติยามองไปที่ผับ “นี่แป้งมาเที่ยวผับแพงๆ กะเค้าด้วยเหรอะ”
“ข่าวว่าลูกเศรษฐีมาจีบ ไม่รู้จะโดนหลอกรึเปล่า” นิษฐาบอก
“จะเข้าไปเลยมั้ย”
“เดี๋ยวฉันลองแกล้งโทรหาก่อน”
นิษฐาดับเครื่องยนต์ แล้วทั้งคู่ก็เดินลงจากรถ
ลาภิณลุกขึ้นยืนจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาเซจนปริมต้องรีบประคอง
“ไหวมั้ยคะคุณต้น” ปริมถาม
“สบายมากครับ ห้องน้ำอยู่แค่นี้เอง” ลาภิณเดินไม่ตรงทาง
ปริมหันมาต่อว่าเพื่อน “เดี๋ยวพวกแกจะโดน แกล้งแฟนฉันทำไม”
“รับน้องใหม่นิดหน่อยเอง อยากหวงนักนี่” เพื่อนคนหนึ่งบอก
“โอเลยนะแก ดูเป็นกันเอง ไม่ขี้เต๊ะ ชอบๆ” เพื่อนอีกคนว่า
ปริมยิ้มปลื้มแล้วหันมองตามลาภิณไปด้วยความเป็นห่วง ลาภิณเดินออกไปทางหน้าผับ
“อ้าว เดินออกไปไหนแล้ว” ปริมยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะรีบลุกเดินตามไป
เพื่อนๆ ของปริมพากันหัวเราะชอบใจ
เจติยายืนอยู่ที่ท้ายรถพร้อมกับมองนิษฐาที่พยายามโทรศัพท์หาเด็กที่มูลนิธิดูแลอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางร้อนใจ ลาภิณเดินไม่ตรงทางมาทางรถนิษฐาด้วยสีหน้าท่าทางมึนๆ และผะอืดผะอมเล็กน้อย พอมาถึงหน้ารถนิษฐาเขาก็กลั้นไม่อยู่จึงอาเจียนใส่หน้ากระโปรงรถเต็มที่ เจติยาตกใจเพราะได้ยินเสียงอาเจียน เธอหันไปมองก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังโก่งคออาเจียนใส่รถของเพื่อนอยู่
เจติยาปรี่เข้าไปโวยใส่ทันที “นี่คุณ มาอ้วกใส่รถคนอื่นได้ไง”
ลาภิณทรงตัวได้ก็หันมามองเจติยาพร้อมยกแขนเสื้อขึ้นซับปาก
เจติยาตกใจมาก “คุณลาภิณ”
ลาภิณจ้องหน้า “รถเธอเรอะ”
เจติยาตอบเสียงห้วนๆ “รถเพื่อน”
ลาภิณหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วควักเงินให้ 2 พัน
“เอาไป แล้วหุบปาก หยุดโวยวายซะที”
เจติยามีสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้ในสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงของลาภิณที่ดูถูกสุดๆ
ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังนำมาก่อนตัวจะเดินมาถึง
“มีอะไรคะต้น...อ้าว เธออีกแล้ว”
เจติยาเหยียดปากเซ็งๆ
“เอาไปสิ” ลาภิณยื่นเงินให้
ปริมไม่พอใจ “ให้เงินอะไรกันคะ”
“ผมไปอ้วกใส่รถเค้า”
“ตายแล้ว” ปริมเป็นห่วงมากจึงรีบจับตัวลาภิณ “เป็นอะไรมากรึเปล่าคะต้น”
“อ้วกซะขนาดนี้ ก็คงดีขึ้นมั่งล่ะค่ะ” เจติยาบอก
ลาภิณและปริมเหล่มองเจติยาพร้อมกัน
“เอาเงินไป” ลาภิณยื่นเงินให้
“เยอะไปค่ะ พันเดียวก็เหลือแหล่” ปริมว่าพร้อมกับจะดึงแบงค์คืนมาพันนึง
เจติยาไวกว่าจึงดึงเงิน 2 พันมาได้ก่อนแล้วหันหลังเดินหนีทันที
ปริมเจ็บใจปนหมั่นไส้จึงพูดแขวะ “มีงานพิเศษทำหลายที่จริงนะจ๊ะ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย
“ได้ไป 2 พันฟรีๆ คืนนี้คงไม่ต้องยืนหาลูกค้าแล้วล่ะ” ปริมว่า
เจติยาหันขวับมาจ้องหน้าปริม “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความอย่างที่พูด นักศึกษาดีๆ จะมายืนซุ่มที่ลานจอดรถมืดๆ หน้าผับทำไม ถ้าไม่ใช่...” ปริมทำสีหน้าเหยียดๆ
เจติยาจ้องหน้าปริมด้วยสีหน้าโกรธจัด
ทันใดนั้นเสียงนิษฐาก็ดังขึ้น “เจมากับฉันค่ะ”
ทุกคนหันไปมอง
“ฉันเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อนแท้ตามมาดูพฤติกรรมเด็กในมูลนิธิค่ะ จะดูบัตรประจำตัวมั้ยคะ” นิษฐาถาม
“ไปเถอะปริม” ลาภิณบอกแฟนสาว
ปริมค้อนใส่เจติยาก่อนจะควงแขนลาภิณแล้วพากันเดินกลับไป
“มีเรื่องอะไรเหรอเจ” นิษฐาถาม
“พวกขี้เมามาอ้วกใส่รถเธอน่ะสิ” เจติยาบอก
นิษฐาขยะแขยง “ยี้ สกปรก” นิษฐาเดินไปดูหน้ารถ
เจติยามองตามไปก่อนจะมองเลยไปที่ซอยข้างผับแล้วก็ตกใจจนผงะไปเพราะเธอเห็นหนุงหนิงยืนหน้าซีดเผือดมองมาทางตนแล้วพยักหน้าเรียก
เจติยายืนนิ่งด้วยหน้าตาช็อคเพราะตกใจ เธอบ่นพึมพำ “พยักหน้าเรียกซะด้วย”
เจติยาสูดหายใจลึกแล้วพยายามตั้งสติ ก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินตามไป นิษฐาไม่ทันสนใจเจติยา เธอเปิดรถเอาขวดน้ำมาเทล้างหน้ารถด้วยท่าทางขยะแขยง
เจติยาเดินกำมือแน่นตรงไปยังซอยข้างผับด้วยสีหน้าหวาดกลัวและหายใจไม่ทั่วท้อง หนุงหนิงหันมามองเจติยาช้าๆ เจติยาผงะแล้วหยุดกึก
เจติยายังกลัวๆ จึงบ่นพึมพำ “เดินนำไปเถอะ ไม่ต้องหันมาหรอก”
หนุงหนิงหันกลับแล้วเดินนำไปอย่างเนิบๆ เจติยาเป่าปากออกมาแล้วเดินตามไปด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ
เจติยาเดินหน้าหวาดๆ เข้ามาที่ซอยข้างผับที่มีแสงไฟสลัวๆ เพราะไฟถนนขาดไปบางดวง
เจติยากวาดตามองหา “หนุงหนิง เธออยู่ไหน”
เจติยารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้านหลังจึงหันขวับไปมองแต่ก็ไม่มีใคร
เจติยาชักกลัวจึงพูดพร้อมก้าวถอยและกวาดตามองหา “เธออย่ามาให้ฉันตกใจนะหนุงหนิง มาสวยๆ นะ ฉันยังไม่ชิน”
เจติยาถอยไปเรื่อยๆ ทางกำแพงซอยโดยไม่เห็นขาคู่หนึ่งที่กำลังนั่งห้อยลงมาจากกำแพง
เจติยาเรียกหา “หนุงหนิง”
หนุงหนิงนั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนกำแพงโดยกำลังก้มหน้ามองมาที่เจติยา
“พี่เจ”
เจติยาถอยไปชนขาหนุงหนิงพอดี เธอกรี๊ดสนั่นด้วยความตกใจพอหันไปมองกำแพงหนุงหนิงก็หายไปแล้ว
เจติยาดีดตัวออกห่างกำแพงแล้วบ่นพึมพำ “ขึ้นไปนั่งบนนั้นทำไม๊ หนุงหนิง”
เจติยาหันมองหามาอีกทางก็เห็นหนุงหนิงยืนประชิดตัวอยู่ เจติยาตกใจจึงกระโดดเหยงหนีจนเสียหลักล้มไปนั่งกับพื้น
หนุงหนิงมีสีหน้างงปนสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับหนิงคะพี่เจ”
เจติยาสูดหายใจลึกแล้วรวบรวมความกล้าบอกไป “หนุงหนิงโดดตึกฆ่าตัวตาย”
หนุงหนิงนึกถึงตอนที่พลัดตกจากระเบียงอพาร์ทเมนท์
ทันใดนั้นเสียงนิษฐาก็ดังขึ้น
“เจ”
เจติยาหันไปมองนิษฐาที่เดินเข้ามาประคองตน
“หกล้มเหรอ” นิษฐาประคองให้เพื่อนยืนขึ้น
เจติยาหันมองหาหนุงหนิงที่หายไปแล้ว
“เสียหลักนิดหน่อย” เจติยาบอก
“เข้ามาทำอะไรเนี่ย”
เจติยาตอบปัด “หลงทาง”
นิษฐางง เจติยารีบตัดบท “ตกลงแป้งมามั้ย”
“ไม่มา กลับเถอะ ต้องเอารถไปล้างอีก”
เจติยาหยิบเงิน2พันของลาภิณให้นิษฐา “อ้ะ ค่าล้างรถ”
“เฮ๊ย ไม่เอา เยอะไป”
“เอาไปเหอะ นายเศรษฐีนั่นเค้าฟาดหัวมา”
นิษฐาจับเงินยัดใส่มือเจติยา “เก็บไว้รักษาแม่เธอมีประโยชน์กว่าเจ ฉันไม่เอาหรอก”
เจติยาซึ้งใจ “ขอบใจนะฐา”
นิษฐายิ้มให้แล้วจับมือเพื่อน “กลับกันเถอะ”
ทั้งสองเดินจูงมือกันไป หนุงหนิงยืนร้องไห้มองตามทั้งคู่ไป
วันต่อมา เจติยาเดินยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าผู้หญิงกลางคนนางหนึ่งที่บริษัท
“ขอโทษทีนะคะให้รอนาน วันนี้ลูกค้าเยอะ เดี๋ยวหนูดูแลคุณเองค่ะเชิญที่ห้องรับรองดีกว่าค่ะ”
เจติยาพาลูกค้าไปทางห้องรับรอง ทันใดนั้นลาภิณก็เดินมาขวางไว้ก่อนจะยกมือไหว้ลูกค้า
ลาภิณยิ้มแย้ม “สวัสดีครับ ผมลาภิณ ผู้บริหารคนใหม่ครับ”
เจติยาเหล่มองแบบรู้สึกเขม่นๆ และหมั่นไส้แต่ก็เก็บอาการ
ลูกค้าทักตอบ “สวัสดีค่ะ”
เจติยาจะเดินเลี่ยงออกไป
ลาภิณรีบพูด “อ้าว จะไปไหนล่ะ ไปดูแลลูกค้าสิ”
“นึกว่าคุณลาภิณจะดูแลเอง”
“ฉันจะประเมินผลการทำงานของเธอ” ลาภิณหันไปพูดกับลูกค้า “เชิญที่ห้องรับรองเลยครับ” ลาภิณเดินพาลูกค้าไปพร้อมพูด “ถ้าพนักงานให้ บริการไม่ถูกใจ เขียนติชมได้เลยนะครับ”
เจติยาเหยียดปากเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไป
พิสัยยืนหน้าเครียดมองออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานขณะฟังพนักงานในคอนโทรลรายงานการข่าว
หน.ฝ่ายพูด “เวลาแน่นอนผมยังไม่แน่ใจ แต่สายเราคอนเฟิร์มว่าคุณลาภิณจะไปที่โรงงานวันนี้แน่นอนครับ”
พิสัยหันกลับมาหน้าเครียด “ตรวจโน่นตรวจนี่ ไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้มันจงใจจับผิดฉันชัดๆ...ตอนนี้มันอยู่ไหน”
“ก่อนเข้ามาเห็นยังอยู่ในออฟฟิศนะครับ”
พิสัยร้อนใจ “แกหาเรื่องถ่วงเวลาไว้ก่อน ให้มันออกจากออฟฟิศช้าที่สุด”
พิสัยกดโทรศัพท์มือถือพร้อมโทรออกแล้วเดินอย่างร้อนใจออกไปจากห้องทำงานทันที
เจติยาเปิดแฟ้มผลงานพร้อมอธิบายขั้นตอนการทำงานของบริษัทให้ลูกค้าฟัง
เจติยาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สรุปว่าหลังจากได้ใบมรณะบัตรมาแล้ว ที่เหลือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของเรา”
ลาภิณนั่งกอดอกฟังการพรีเซนต์ของเจติยาอย่างจับผิด
ลูกค้าสงสัย “แล้วเคลื่อนย้ายศพไปมานี่ไม่ผิดเหรอคะ”
“ทางลูกค้าต้องทำเอกสารขอเคลื่อนย้ายศพมาสวดที่นิราลัย แล้วย้ายศพไปเผาที่วัดให้เรียบร้อยก่อนค่ะ”
ลูกค้าพยักหน้ารับทราบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เจมีดีวีดีรูปแบบห้องสวดศพที่บริษัทเราเคยจัดให้ลูกค้า ดูเป็นตัวอย่างนะคะ”
“ดีค่ะ กำลังอยากเห็นเลย”
“รอซักครู่นะคะ”
ลูกค้ายิ้มแย้มนั่งจิบน้ำ เจติยาเดินผ่านทางลาภิณเพื่อไปเปิดดีวีดีฉายทางทีวีจอใหญ่
เจติยามองลาภิณแล้วพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน “ฉันพรีเซนต์ขาดตกบกพร่องตรงไหนช่วยเสริมด้วยนะคะ” เจติยายิ้มมั่นใจก่อนเดินไปเปิดทีวี
ลาภิณเหล่มองด้วยความหมั่นไส้
“พนักงานคนนี้เก่งใช้ได้เลยนะคะ” ลูกค้าชม
ลาภิณฝืนยิ้มรับ “ขอบคุณครับ”
ลาภิณเหล่มองไปทางเจติยาด้วยสีหน้าขรึมไปอย่างใช้ความคิด เขาคิดว่าเด็กคนนี้รู้ระบบงานจริงและทำงานดีกว่าตนด้วยซ้ำ
เจติยาล้างมืออยู่ในห้องน้ำ เธอส่องกระจกพร้อมบ่น
“เพิ่งจะเคยเข้าบริษัท จะมารู้งานดีกว่าฉันได้ไง”
ประตูห้องน้ำด้านหลังเจตยาค่อยๆ เปิดออก หนุงหนิงยืนหน้าซีดๆ อยู่ด้านใน เจติยาเห็นผ่านกระจกก็ตกใจเล็กน้อย หนุงหนิงยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ เจติยาไม่กล้าหันไปมองตรงๆ จึงมองผ่านกระจกแล้วเอ่ยถาม
“หนุงหนิง เธอต้องการอะไร จะให้พี่ช่วยอะไร”
หนุงหนิงพูดเนือยๆ “หนิงไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
เจติยาร้อนใจ “มีคนฆาตกรรมหนิงใช่มั้ย”
พนักงานคนหนึ่งเดินเข้าห้องน้ำมาพอดีแล้วก็เดินเข้าห้องส้วมไป ร่างหนุงหนิงจางหายไป
เจติยาหันขวับไปมองทางห้องน้ำด้วยสีหน้าติดใจสงสัย
รากบุญ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ลาภิณเดินคุยกับหัวหน้าฝ่ายอยู่ในโรงงานผลิตโลงศพของบริษัท พนักงานส่วนหนึ่งกำลังประกอบ
โลงศพ ทาสี และประดับรายละเอียดต่างๆ อยู่
“คุณลาภิณไม่น่าเสียเวลามาด้วยตัวเองเลยนะครับ อยากได้เอกสารอะไร สั่งเลขามาก็ได้” หัวหน้าฝ่ายบอก
“ผมอยากเข้ามาดูโรงงานด้วยล่ะ เคยแต่ขับรถผ่าน” ลาภิณกวาดตามองไปทั่วๆ
“ที่จริงข้อมูลทุกอย่างของโรงงาน คุณลาภิณก็เช็คทางคอมฯ ได้อยู่แล้วนี่ครับ”
“ผมอยากเห็นเอกสารตัวจริงประกอบด้วยน่ะครับ”
พนักงาน 2 คนเดินถือแฟ้มเอกสารมา 2 ตั้ง
“มาแล้วครับ”
“ช่วยเอาไปไว้ที่รถเลย”
พิสัยเดินยิ้มเข้ามาหา โดยมีปอง และ ย้งเดินตามประกบหลังมา
“อ้าว คุณต้น มาไม่บอกกันเลยนะครับ ผมจะได้มาต้อนรับ” พิสัยบอก
ลาภิณยิ้มแบบรู้ทัน “วันนี้เราใจตรงกันเลยนะครับ หรือมีใครสายด่วนไปรายงานว่าผมจะมา”
หัวหน้าฝ่ายหลบตาไปเล็กน้อย
พิสัยยิ้มแย้ม “วันนี้จะมีไม้ล็อตใหม่มาส่ง ผมต้องเข้ามาเช็คสินค้าอยู่แล้ว”
“งั้นผมกลับเลยแล้วกัน มีธุระต่อ” ลาภิณเดินเลยออกไป
พิสัยและเหล่าลูกน้องปองกับย้งเหล่มองตามลาภิณไป
“มันเอาเอกสารอะไรไปมั่ง” พิสัยถาม
“ใบออเดอร์ลูกค้า กับ บิลค่าใช้จ่ายน่ะครับ” หัวหน้าฝ่ายตอบ
พิสัยหน้าขรึมขึ้นมา “ไม่มีอะไรผิดสังเกตใช่มั้ย”
“มือใหม่ไร้ประสบการณ์ จับเรายากครับ”
พิสัยยิ้มพอใจ เขาตบบ่าหน.ฝ่ายแล้วเดินนำไปด้านใน บรรดาลูกน้องตามประกบแจ
หัวค่ำ เจติยาเคาะประตูนอนแม่เบาๆ ก่อนจะเปิดแง้มๆ เข้าไป
“นอนรึยังคะแม่”
มยุรีนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอยู่บนเตียง เธอลดหนังสือลงแล้วยิ้มให้ลูกสาว
“เข้ามาสิเจ”
เจติยาเดินเข้ามาพร้อมถาม “วันนี้ชั่งน้ำหนักรึยังคะ”
“ชั่งแล้วจ้า ขึ้นแค่ขีดเดียว”
เจติยายิ้มพอใจแล้วเดินมานั่งข้างๆ “มื้อเย็นทานอะไรคะ”
“ปลาต้มจ้ะ กินจืดๆ ไม่ใส่น้ำปลาซักหยด พอใจมั้ยจ๊ะคุณพยาบาล”
เจติยายิ้มสบายใจ “ค่ะ คิวนัดฟอกเลือด คุณหมอโทรมาขอเลื่อนเร็วขึ้นมาวันนึงนะคะ เดี๋ยวเจจดใส่ปฏิทินให้”
“จ้ะ”
“นทีล่ะค่ะ ยังไม่กลับเหรอ”
“หลับไปแล้ว เห็นว่าพรุ่งนี้มีสอบ”
“ห่วงสอบกะเค้าเป็นด้วยเหรอะ แปลกๆ”
“อย่าจับผิดน้องมันหน่อยเลยน่าเจ”
เจติยาขี้เกียจเถียงด้วยจึงหยิบซองเงินออกมา “ค่าแรงเจออกแล้ว เจแบ่งมาให้แม่ไว้ใช้ค่ะ”
“ขอบใจมากลูก เจ้าทีต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษพอดี”
เจติยาถามเสียงแข็ง “เรียนพิเศษอะไรอีกคะ เจให้แม่เก็บไว้ใช้รักษาตัวนะคะ”
“ค่าหมอค่ายางวดหน้ามีพอแล้ว แม่อยากให้น้องได้เรียน”
เจติยาไม่ค่อยพอใจนักจึงพูดเสียงเคืองๆ “กู๊ดไนท์นะคะ” เจติยาลุกเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าบึ้งๆ
มยุรีได้แต่มองตามลูกสาวไปถอนใจพร้อมกับส่ายหน้า
เจติยาเดินผ่านหน้าห้องนอนนทีแล้วก็หยุดกึก เธอทำจมูกฟุดฟิดเพราะได้กลิ่นบุหรี่ เจติยาสีหน้าโกรธจัดทุบประตูห้องนทีโครมๆ ทันที
“นที เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
นทีตกใจรีบเอาบุหรี่ไปทิ้งชักโครก แล้วกดทิ้ง ก่อนจะวิ่งไปบ้วนปาก แล้วอมน้ำยาล้างปาก
กลั้วคอไป
เจติยายังคงทุบประตูห้อง “แกแอบสูบบุหรี่ใช่มั้ย”
นทีรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำไปหยิบสเปรย์ปรับอากาศมาฉีดทั่วห้องพร้อมพูดตอบไป
นทีพูดด้วยเสียงรำคาญ “อะไรพี่เจ”
“ฉันสั่งให้เปิดประตู”
นทีพยายามถ่วงเวลาเพื่อให้กลิ่นหาย
“ผมนอนแล้ว” นทีกวาดตามองหาก่อนจะวิ่งไปหยิบสเปรย์ดับกลิ่นปากที่ซื้อเตรียมไว้มาฉีดปาก
เจติยาทำเสียงดุ “ฉันสั่งให้เปิดเดี๋ยวนี้ อยากลองดีใช่มั้ย”
พูดไม่ขาดคำนทีก็เปิดประตูห้องนอนออกมาด้วยหน้าตากวนๆ เจติยาเดินตรงเข้าไปในห้องนอนนทีทันที เธอสำรวจพร้อมสูดกลิ่นไป
นทีเดินตามเข้ามา “มีอะไรมั้ยครับ”
“ฉีดสเปรย์ปรับอากาศทำไม” เจติยาถาม
นทีทำหน้ากวน “ก็ผมชอบให้ห้องหอมๆ”
“กลบกลิ่นบุหรี่ล่ะสิ”
“หาเรื่อง มีอะไรอีกมั้ย ง่วง”
เจติยาตรงเข้าบีบบีบคางน้องชายเพราะจะบังคับให้อ้าปากเพื่อพิสูจน์กลิ่น
นทีขัดขืนแล้วผลักเจติยาออก “มากไปพี่เจ”
เจติยาโกรธ “อย่าให้ฉันจับได้คาหนังคาเขาก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นหนุงหนิงก็เดินช้าๆ ผ่านช่องประตูหน้าห้องไป
เจติยาผงะไปด้วยความตกใจ “หนิง...” เจติยาตัดบท “ระวังตัวไว้ให้ดี”
เจติยาผลักไหล่น้องชายให้พ้นทางแล้วรีบเดินตามหนุงหนิงไปทันที
นทีมองเขม่น “บ้าอำนาจ”
เจติยารีบเดินอย่างรวดเร็วลงบันไดบ้านมาพร้อมกวาดตาหาหนุงหนิง
เจติยาบ่นพึมพำ “หายไปไหนแล้ว”
หนุงหนิงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูโถงแล้วหันมองเจติยาก่อนจะเดินทะลุประตูโถงออกไป เจติยาตาเบิกโพลงเพราะตกใจมากจนเสียหลักก้าวพลาดตกบันไดมานั่งเจ็บที่พื้น
เจติยานวดขาตัวเองเล็กน้อยก่อนจะวิ่งตามหนุงหนิงไป
หนุงหนิงเดินเนิบๆ แต่กลับเคลื่อนที่ไปได้รวดเร็วมาก เธอเดินนำมาตามซอยเปลี่ยวตอนหัวค่ำ เจติยาต้องเดินกวดให้เร็วตามหลังมา
“จะพาพี่ไปไหนหนิง”
หนุงหนิงหยุดเดินแล้วหันมาทั้งตัว
เจติยาผงะแล้วหยุดกึกไป
“หนิงไม่ได้ฆ่าตัวตาย ไม่มีใครฆ่าหนิงด้วยพี่เจ” หนุงหนิงน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมา
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หนุงหนิงคุยโทรศัพท์มือถือพร้อมกับถือเสื้อยืดสีชมพูสกรีนรูปหัวใจเดินมาที่ระเบียงอพาร์ทเมนท์ หนุงหนิงวางเสื้อยืดสีหวานไว้ที่ราวระเบียงพร้อมคุยโทรศัพท์ต่อแต่เพราะไม่รอบคอบทำให้เธอวางเสื้อหมิ่นเกินไป
หนุงหนิงคุยโทรศัพท์ “หนิงขอโทษนะปั๊ม หนิงทำใจได้แล้วล่ะ ของที่ปั๊มซื้อให้ หนิงขอส่งคืนนะ ไม่อยากเก็บไว้แล้ว...แต่ขอเก็บเสื้อยืดไว้ตัวเดียว” หนุงหนิงขยับตัวไปโดนเสื้อ
เสื้อยืดไหลตกระเบียงไป ด้วยความรักและหวงเสื้อมากทำให้หนุงหนิงจะคว้าจนเสียหลักตกระเบียงตามเสื้อไป โทรศัพท์มือถือตกลงไปกระแทกที่พื้นระเบียงจนแตกละเอียด
หนุงหนิงเดินเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตให้เจติยาฟังจนมาหยุดที่ซอยเยื้องๆ บ้านหลังหนึ่ง
หนุงหนิงน้ำตาคลอ “หนิงอยากให้พี่เจช่วยบอกปั๊ม หนิงตายไม่ใช่ความผิดของปั๊ม ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น”
“แล้วพี่จะไปเจอเค้าได้ยังไงล่ะ” เจติยาถาม
หนุงหนิงหันมองไปที่บ้านหลังนั้น “ปั๊มเดินออกมาแล้ว”
ปั๊ม เด็กหนุ่มรูปร่างเพรียวเดินออกมาจากบ้าน เขาสวมเสื้อยืดสีฟ้ามีสกรีนรูปหัวใจอยู่ที่ด้านบนอกขวาคล้ายของหนุงหนิง
เจติยาเรียกทันที “ปั๊ม”
ปั๊มหันมองมาที่เจติยาก็เห็นเจติยายืนอยู่คนเดียว
“เรียกผมเหรอครับ” ปั้มถาม
เจติยาเดินเข้ามาหา “ฉันเป็นเพื่อนกับหนิง”
ปั๊มตกใจปนระแวง “ผมไม่ได้ทำให้หนิงตาย เราเลิกกันก็ต้องทะเลาะกันเป็นธรรมดา แต่เราปรับความเข้าใจกันแล้ว ตำรวจก็สอบปากคำผมไปแล้ว ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก”
เจติยาเห็นหนุงหนิงยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ
“ฉันไม่ได้ให้คุณพูดอะไร แต่อยากให้คุณฟัง”
ปั๊มจ้องหน้าเจติยา
“หนิงฝากฉันมาบอกคุณว่า หนิงให้อภัยคุณทุกอย่าง ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น ที่หนิงตายไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ปั๊มรู้สึกทะแม่งๆ “คุณเป็นใคร ผมไม่รู้จักคุณ”
หนุงหนิงกระซิบข้างหูเจติยา
เจติยาพูดอย่างต่อเนื่อง
“หนิงอยากให้คุณหาเสื้อที่ตกไปจากระเบียงให้เจอ แล้วเอาใส่โลงเผาไปพร้อมกับเธอ”
ปั๊มชะงักไป “เสื้ออะไร”
“เสื้อเหมือนกับที่คุณใส่ ข้างหน้าสกรีนหัวใจยิ้มที่อก”
ปั๊มก้มมองเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่แล้วก็ชักกลัวๆ “ไร้สาระ ผมไม่คุยกับคุณแล้ว”
“หนิงอยู่ข้างๆฉัน” เจติยาบอก
“ผมไม่เชื่อ คุณไปซะเถอะ”
หนุงหนิงบอกเจติยา “เสื้อยืดมีสกรีนด้านหลังเป็นรูปลิงอุ้มฮิปโปปั๊มออกแบบเอง”
เจติยาพูดตาม “เสื้อยืดมีสกรีนด้านหลังเป็นรูปลิงอุ้มฮิปโป คุณเป็นคนออกแบบเอง”
ปั๊มอึ้ง
หนุงหนิงน้ำตาท่วม เธอกระซิบบอกเจติยาไปเรื่อยๆ
เจติยาน้ำตารื้นๆตามหนุงหนิง แต่ก็พูดสรุปตามไปเรื่อยๆ “หนิงยังพูดกับคุณไม่จบ เธออยากรักษาความเป็นเพื่อนไว้เหมือนเดิม ห้ามไม่ให้เจอ ไม่ให้โทรหา เธอพอทำได้ แต่จะให้เลิกรัก หนิงทำไม่ได้ หนิงจะรักคุณยังงี้ตลอดไป”
ปั๊มสัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้จึงกวาดตามองไปรอบๆ ตัว
วิญญาณหนุงหนิงกำลังเลื่อนมือไปลูบไล้แก้มปั๊มด้วยสีหน้าแววตารัก อาลัยและอาวรณ์ หนุงหนิงน้ำตาไหลซึมออกมา
ปั๊มน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา “ผมก็ไม่มีวันลืมหนิง ฝากบอกหนิงด้วยว่าผมก็รักเค้ามากเหมือนกัน”
หนุงหนิงยิ้มดีใจทั้งน้ำตา ปั๊มรู้สึกอายจึงรีบเดินกลับเข้าบ้านทำให้เห็นว่าสกรีนหลังเสื้อของเขาเป็นรูปลิงอุ้มฮิปโปจริงๆ
หนุงหนิงยิ้มสบายใจเพราะหมดกังวล “ขอบคุณมากค่ะพี่เจ หนิงไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว” หนุงหนิงยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะค่อยๆ จางหายไป เจติยาเป่าปากออกมาอย่างโล่งอก
ปากยักษ์บนฝากล่องรากบุญมีดาวโลหะสีดำเพิ่มมาอีก 1 เหรียญ เจติยาหยิบดาวโลหะสีดำขึ้นมาดูเทียบกับดาวโลหะเหรียญก่อนที่ตอนนี้เป็นสีดำเหมือนกัน ลวดลายบนดาวโลหะทั้งสองแตกต่างกัน เจติยาติดใจสงสัย ก่อนจะเอาดาวโลหะมาติดที่ข้างฝากล่องอีกข้าง ดาวโลหะติดสนิททันทีพร้อมสว่างวูบเรืองแสงทองขึ้นมา เจติยาพยายามแกะดาวโลหะออกแต่ก็แกะไม่ได้...
เจติยาหลับตาภาวนา “ขอให้ช่วยแม่ให้หายได้จริงๆเถ๊อะ” เจติยาค่อยๆ ลืมตามองไปที่กล่อง “เหลืออีกงานเดียวเท่านั้น”
เจติยามีสีหน้ามุ่งมั่นว่าต้องทำให้สำเร็จ
รากบุญ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ยามเช้า หน้าบริษัทนิราลัย เจติยากำลังตอกบัตรเข้าทำงานพอตอกบัตรเสร็จก็หันกลับมาเห็นลาภิณกำลังเดินควงแขนปริมเข้ามาหาเธอ
ปริมมองเจติยาแบบจับผิด “ถึงเธอจะมีหุ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอภิสิทธิ์มาทำงานเลทได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างงี้หรอกนะ”
เจติยามองปริมด้วยใบหน้านิ่ง “ขอโทษนะคะ ฉันยังเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ ทำงานแบบเข้ากะ ไม่ได้ทำงานตามเวลาเหมือนพนักงานคนอื่น แล้ววันนี้ลุงทวีขอลาไปทำธุระ ฉันก็เลยมาช่วยทำงานแทน” เจติยาจะเดินเลี่ยงไป
ลาภิณแขวะ “ลื่นไหลได้ตลอด”
เจติยาเหล่มองลาภิณ
“เดี๋ยวจะมีลูกค้าวีไอพีมา เธอดูแลศพภรรยาเค้าให้ดีๆด้วยล่ะ” ลาภิณบอก
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันดูแลศพทุกศพเต็มที่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว ลูกค้าจะได้ตามที่ต้องการทุกอย่างค่ะ”
ปริมยิ้มเหยียดพร้อมทำสีหน้าดูถูก “มีปากก็พูดได้ทั้งนั้นล่ะ ใครจะรู้ว่าเธอจะทำได้จริงอย่างที่ปากพูดรึเปล่า”
เจติยาฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ไว้ใจก็ให้คุณลาภิณเข้าไปจับผิดการทำงานของดิฉันที่ห้องแต่งศพสิคะ” เจติยาใช้หางตามองลาภิณ
ปริมหน้าแหย
เจติยาจ้องหน้าลาภิณแล้วท้าทาย “ถ้าคุณกล้าพอ”
ลาภิณโมโห “นี่เธอท้าฉันเหรอ”
“ช่างเถอะค่ะคุณต้น” ปริมทำท่าขยะแขยง “จะลงไปห้องเก็บศพทำไม ทั้งเหม็นทั้งสกปรก”
เจติยาอมยิ้มเย้ยๆ เชิงดูถูกลาภิณก่อนจะเดินเลี่ยงไป ลาภิณเหล่มองตามเพราะเห็นสายตาและรอยยิ้มของเจติยาแล้วก็ยิ่งเจ็บใจมากเพราะรับไม่ได้ที่โดนดูถูกแบบนี้
โอ้เอ้ห้อยพระพวงโตและมีท่าทางแหยงๆ กลัวๆ กำลังเข็นศพของปรียาเข้ามาในห้องแต่งศพโดยมีเจติยายืนรออยู่ ในห้องมีศพที่ถูกคลุมผ้าอยู่แล้วอีกหนึ่งศพ
โอ้เอ้กลัวผีจึงรีบหยิบเอกสารมายื่นให้เจติยา “ใบรับศพครับพี่เจ”
เจติยารับเอกสารมาอ่านก่อนจะเซ็นแล้วจึงส่งคืนให้โอ้เอ้ โอ้เอ้รับเอกสารคืนมาแล้วก็รีบเผ่นออกจากห้องทันทีด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะชนลาภิณที่เดินหน้านิ่งเข้ามา โอ้เอ้ยกมือไหว้ขอโทษแล้วรีบก้มหน้าก้มตาออกไป
เจติยามองลาภิณ “นี่ไงคะ ศพคุณปรียา ลูกค้าวีไอพีของคุณ จะตรวจดูซักหน่อยมั้ยคะ” เจติยาตั้งท่าจะเปิดผ้าคลุมศพออก
ลาภิณพูดสวนทันควัน “ไม่ต้องเปิด” ลาภิณกลัวแต่ทำฟอร์ม “เธอทำหน้าที่ของเธอให้ดีก็แล้วกัน”
เจติยายิ้มๆ เพราะรู้ทันว่าลาภิณกลัว เธอเดินไปล้างมือ ใส่ถุงมือ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เพราะอยากแกล้ง “ฉันต้องทำงานตามคิวนะคะ ศพของคุณปรียา ต้องรอก่อน คุณช่วยหยิบถาดนั่นให้ฉันหน่อยสิคะ”
ลาภิณแปลกใจ “ถาดไหน”
เจติยาชี้นิ้วให้ดู “ก็ถาดที่มีผ้าคลุมอยู่ข้างๆคุณนั่นไงคะ”
ลาภิณมองตามจนเห็นถาดใบหนึ่งที่มีผ้าคลุมอยู่ข้างๆตน
“นี่น่ะเหรอ”
“ค่ะ เปิดผ้าออกสิคะ ฉันจะได้ทำงานซะที”
ลาภิณเปิดผ้าคลุมออก แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นใบหูของมนุษย์วางอยู่ในถาด ลาภิณเด้งถอยออกมาแต่ก็พยายามเก็บอาการ
เจติยาอมยิ้ม “ศพนั้นได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงมากน่ะค่ะ หูฉีกขาด ฉันคงต้องเย็บติดให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้สภาพศพดูดีที่สุดน่ะค่ะ”
เจติยาจงใจยื่นมือไปหยิบใบหูผ่านตรงหน้าลาภิณอย่างช้าๆ ลาภิณมองตามไปที่ใบหูอาบเลือดแล้วก็รู้สึกขนลุกขยะแขยงจนอยากจะอ้วกแต่ก็พยายามกลั้นไว้
“ฉันขึ้นไปเคลียร์งานก่อน” ลาภิณรีบเดินออกไปทันทีด้วยท่าทางผะอืดผะอม
เจติยาขำ “แค่นี้ก็เผ่นซะแล้วคุณหนู นี่น่ะเหรอจะคอยจับตาดูฉัน” เจติยาเหยียดปากดูถูก
ทันใดนั้นเองศพของปรียาก็เด้งลุกขึ้นมานั่งแล้วหันมาพูดกับเจติยาด้วยใบหน้าถมึงทึงแลดูน่าหวาดกลัว
“บอกความจริง”
เจติยาตกใจสุดๆ เธอผงะถอยจนไปกระแทกตู้เพราะคิดไม่ถึงว่างานต่อไปของกล่องรากบุญที่มอบหมายให้เธอคือศพของปรียานั่นเอง
พิสัยโกรธจัดหลังจากฟังเรื่องจากเจติยา
“เธอมีหน้าที่อะไรก็ทำไป อย่ามาสะเออะรู้ดีไปหน่อยเลย”
พิสัยกำลังอาละวาดใส่เจติยา โดยมีสามีของปรียาอยู่ใกล้ๆ
เจติยาหน้าเครียด “ดิฉันรู้หน้าที่ตัวเองดีค่ะ แต่ยังไงศพของคุณปรียาก็ต้องได้รับการชันสูตรจากทางนิติเวชก่อน”
สามีของปรียาโมโหมาก “จะต้องชันสูตรอะไรอีก ภรรยาผมป่วยเป็นอัมพาตมาตั้งหลายปี ใครๆก็รู้ แล้วผมก็จัดการถูกต้องทุกอย่าง ไม่อย่างงั้นจะออกใบมรณะบัตรได้เหรอ”
“ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย เธอรีบไปจัดการทำความสะอาดศพคุณปรียาแล้วก็ฉีดยาให้เรียบร้อยซะ จะได้ทันงานศพเย็นนี้” พิสัยบอก
เจติยายกมือไหว้พิสัยกับสามีของปรียา “ดิฉันต้องขอโทษอีกครั้งค่ะ ถ้าไม่ได้รับผลการชันสูตรจากทางนิติเวชก่อน ดิฉันคงทำให้ไม่ได้จริงๆค่ะ”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของพิสัยก็ดังขึ้น
พิสัยกดสปีกเกอร์โฟนรับอย่างหัวเสีย “ว่าไง”
เสียงเลขาฯ ดังมาจากโทรศัพท์ “ท่านคะ ทางตำรวจมาขอรับศพคุณปรียาไปชันสูตรค่ะ”
พิสัยหน้าเสีย ในขณะที่สามีปรียาโกรธจัด
สามีปรียาโมโหมากจึงหันไปด่าพิสัย “คุณคอยดูนะคุณพิสัย ถ้าผมไม่ได้จัดพิธีศพภรรยาผมภายในเย็นนี้ ผมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณ”
สามีปรียาเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห พิสัยหันมามองหน้าเจติยาด้วยความโกรธก่อนจะกดตัดสายแล้วรีบเดินตามสามีของปรียาไป
พิสัยหน้าเสีย “คุณชัยวัฒน์ครับ รอก่อนครับ”
เจติยาหน้าเสียเพราะไม่สบายใจที่ทำให้บริษัทเดือดร้อน เธอเลยรีบเดินตามไปอีกคน
พิสัยเดินตามสามีปรียามาด้วยความร้อนใจ โดยมีเจติยาเดินตามหลังมาอีกคน
พิสัยร้อนใจ “คุณชัยวัฒน์ครับ ฟังผมอธิบายก่อนครับ คุณชัยวัฒน์” พิสัยรีบเดินมาดักหน้าสามีของปรียา
สามีปรียาโมโหมาก “ผมไว้ใจคุณ ถึงได้เอาศพภรรยามาอยู่ในความดูแลของบริษัทคุณ แล้วนี่น่ะเหรอะคือสิ่งที่คุณตอบแทนความไว้วางใจของผม” เขาชี้หน้าพิสัย “ผมจะประจานความเฮงซวยของบริษัทคุณออกสื่อ ให้รู้ไปทั้งประเทศเลยคอยดู” สามีปรียามีสีหน้าเจ็บใจมาก
สามีปรียาเดินหงุดหงิดออกไป
พิสัยโมโหมาก เขาหันกลับมาเห็นเจติยาแล้วก็เล่นงานทันที “เพราะเธอยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ รู้มั้ยว่าบริษัทจะเสียหายแค่ไหน”
เจติยาหน้าจ๋อยๆ
“ฉันไล่เธอออก” พิสัยบอก
เจติยาตกใจเพราะคิดไม่ถึง
เสียงลาภิณดังขึ้น “ไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ”
ทั้งสองคนหันมองไปตามเสียงของลาภิณ
ลาภิณเดินหน้ากวนๆ เข้ามาหา โดยมีปริมเดินตามหลังมาติดๆ
“คนที่จะไล่ใครในบริษัทนี้ออกได้น่าจะเป็นผมคนเดียวมากกว่า” ลาภิณบอก
พิสัยโมโหมาก “ต้นก็รู้ดีว่าคุณชัยวัฒน์เป็นใคร มีปัญหากับคนระดับนี้ ไม่เป็นผลดีกับบริษัทแน่ๆ”
“มีปัญหากับใครก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะครับ แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องถามเหตุผลก่อน” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “ว่าไง ทำไมเธอถึงต้องส่งศพคุณปรียาให้ตำรวจด้วย”
“ฉันทำไปตามระเบียบที่ลุงทวีสอนไว้ค่ะ” เจติยานิ่งคิดอยู่ครู่นึงเพราะจะพูดเรื่องผีบอกก็ไม่ได้เลยตอบกลางๆ เอาไว้ก่อน “แล้วฉันก็เห็นว่าการตายของคุณปรียามันผิดธรรมชาติ”
ปริมหมั่นไส้จึงพูดดูถูก “อย่างเธอจะรู้ได้ยังไงยะ”
“สู่รู้น่ะสิ คุณปรียาเป็นอัมพาตมาตั้งหลายปีแล้ว ตายไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก พยานรู้เห็นก็มี ไม่งั้นเค้าจะออกใบมรณะบัตรมาได้ยังไง” พิสัยว่า
“ถ้าเราจะจัดฉากให้ตายแบบดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็สามารถทำได้ไม่ใช่เหรอคะ” เจติยาบอก
ปริมขำแล้วพูดดูถูก “ฉันว่าเธอคงดูซีรีย์ฝรั่งมากไปแล้วล่ะ”
“เอาล่ะ อย่ามาเถียงกันให้เสียเวลาเลย ยังไงตอนนี้ศพก็อยู่ในมือตำรวจแล้ว อีกไม่นานเราก็คงรู้ผลการชันสูตร” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “แล้วถ้ามันไม่ใช่การฆาตกรรม เธอจะรับผิดชอบยังไง”
เจติยาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดใจพูด “ฉันยินดีลาออกค่ะ”
พิสัยแค่นขำอย่างดูถูก “กะแค่ลูกจ้างชั่วคราวอย่างเธอลาออก มันจะชดใช้ความเสียหายให้บริษัทได้ตรงไหน มองมุมไหนก็ไม่คุ้ม” พิสัยส่ายหน้า
“ถ้าอย่างงั้น ฉันจะคืนหุ้นทั้งหมดให้กับคุณลาภิณ แค่นี้ถือว่าคุ้มพอรึยังคะ” เจติยาบอก
ลาภิณสวนทันที “ก็ดี ฉันตกลงตามนี้” ลาภิณยิ้มพอใจ
ปริมกอดอกแล้วยิ้มสะใจ พิสัยถอนใจแล้วเดินเลี่ยงไปอย่างหัวเสีย ลาภิณจ้องหน้าเจติยาแล้วยิ้มเย้ยๆ เจติยาจ้องหน้าคืนด้วยสีหน้าเจ็บใจ
ตำรวจกำลังขนศพของปรียาขึ้นรถพยาบาล เจติยากำลังยืนคุยอยู่กับนวัชในบริเวณที่ห่างจากรถพยาบาลเล็กน้อย
นวัชหวั่นใจ “ถ้างานนี้ไม่มีอะไร มีหวังพี่ถูกเด้งเข้ากรุยาวแน่เลยนะเจ”
“เจหนักกว่าพี่หมวดอีก ทั้งตกงานแล้วยังต้องคืนหุ้นด้วย”
เจติยาหันไปมองที่รถพยาบาลก็เห็นวิญญาณของปรียานั่งหน้าซีดขาวอยู่บนรถพยาบาลข้างๆ ศพของเธอเอง วิญญาณของปรียาหันมามองเจติยาแล้วยิ้มเย็นๆ ให้
เจติยากลัวจึงรีบหลบสายตาแล้วหันไปพูดกับนวัช “พี่หมวดไม่ต้องกังวลหรอก เจมั่นใจว่าพี่หมวดไม่เดือดร้อนแน่นอน”
นวัชมองเจติยาด้วยความแปลกใจ แล้วเขาก็ชักสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆว่าทำไมเจติยาถึงมั่นใจขนาดนี้
เจติยารวมความกล้าชำเลืองมองไปที่รถพยาบาลอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นวิญญาณปรียาแล้ว
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ลาภิณ ปริม และชูจิตกำลังรับประทานอาหารกันไปคุยกันไป
ชูจิตไม่สบายใจ “แม่ไม่เห็นด้วยเลยนะ ที่ต้นหักหน้าน้าพิสัยเค้าแบบนั้น”
“หักหน้าอะไรกันครับคุณแม่ ผมก็แค่ไม่ให้น้าเค้าทำเกินหน้าที่ ไล่พนักงานออกตามใจชอบ ก็เท่านั้นเอง” ลาภิณมีสีหน้าสะใจอยู่ในที “ดีไม่ดีเราจะได้หุ้นคืนมาสบายๆ ยิงปืนนัดเดียว” ลาภิณขำ
ชูจิตถอนใจเพราะมั่นใจว่าลูกชายต้องการหักหน้าพิสัย
“ก็แค่สัญญาปากเปล่า ถึงเวลาเด็กนั่นอาจจะเบี้ยวก็ได้ แต่ตอนเนี้ย คุณต้นก็มีปัญหากับน้าพิสัยกะคุณชัยวัฒน์ไปแล้วนะคะ ปริมไม่รู้ว่ามันจะคุ้มกันมั้ย”
“หนูปริมพูดถูก ต้นคิดดูนะ ว่าบริษัทเรากำไรปีนึงตั้งเท่าไหร่ เงินปันผลสิบเปอร์เซ็นต์ มันเกินพอที่เด็กนั่นจะอยู่สบายๆไม่ต้องทำงานก็มีกิน ใครมันจะยอมคืนหุ้น หิวเงินซะขนาดนั้น” ชูจิตบอก
“ถึงเด็กนั่นไม่คืน ผมก็ยอมให้น้าไล่คนโน้นคนนี้ออกตามใจชอบไม่ได้หรอกครับแม่ ไม่งั้นตำแหน่งประธานของผมจะมีความหมายอะไร”
“คิดหยุมหยิมอะไรไม่เข้าท่าเลยต้น” ชูจิตว่า
ลาภิณยิ้มเล็กๆ “แต่เด็กคนนี้ก็แน่ดีนะครับแม่ ไม่กลัวน้าพิสัยเลยซักนิด บริษัทเราหาคนแบบนี้ยาก ผมชักหายข้องใจแล้วว่าเด็กนี่มีดีอะไร ทำไมคุณพ่อถึงยกหุ้นให้ตั้งสิบเปอร์เซ็นต์”
ชูจิตยิ้มเหยียดด้วยอาการดูถูก “จะมีดีอะไร๊ ถ้าไม่ใช่...” ชูจิตค้อนเพราะหึงหวงสามี “แม่ไม่อยากพูดให้เป็นเสนียดปาก”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารต่อไป ปริมเหล่มองลาภิณด้วยสายตาไม่พอใจนักที่เห็นลาภิณแสดงความชื่นชมเจติยา
นทีกำลังช่วยมยุรีจัดร้านเตรียมขายข้าวแกงตอนเย็น
“แม่ไปพักเถอะ เดี๋ยวผมจัดร้านเองก็ได้”
มยุรียิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้แม่ทำได้” มยุรีกำลังจะยกหม้อข้าวแกง
นทีรีบเข้าไปยกหม้อข้าวแกงแทนแม่แล้วยิ้ม “อย่าดื้อสิครับแม่ เดี๋ยวพี่เจก็มาด่าผมอีกหรอก”
“พี่เราเค้าขี้กังวลเกินเหตุ นทีอย่าไปถือโทษโกรธพี่เค้าเลยนะ” มยุรีเดินเลี่ยงไปเช็ดจานแทน
นทียกหม้อข้าวแกงมาตั้งบนโต๊ะเพื่อเตรียมจะขาย “ผมไม่ถือหรอกครับแม่ แค่รำคาญเท่านั้นแหละ คนอะไร บ้าอำนาจ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของนทีก็ดังขึ้น นทีหยิบมือถือมาดูแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์ขึ้นมา ลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาซื้อของในร้าน
“ป้า แกงเขียวหวานไก่ กับผัดผักกระเฉดอย่างละถุง”
มยุรียิ้มรับ “ค่ะ” มยุรีหันไปเรียกนที “นที ตักของให้คุณเค้าหน่อย...” มยุรีชะงักที่นทีไม่อยู่แล้ว
มยุรีพยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอนที เธอจึงรีบไปตักอาหารให้ลูกค้าเอง
นิษฐาซื้อขนมและผลไม้ติดมือมาจะมาเยี่ยมมยุรี ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องของชาวบ้านผู้หญิงดังขึ้น
“ว้าย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
นิษฐารีบวิ่งตามเสียงไปทันที ชาวบ้านกำลังเดินเข้ามามุงดู
นิษฐาแหวกชาวบ้านเข้าไป “ขอทางหน่อยค่ะ”
นิษฐาแหวกชาวบ้านเข้าไปจนเห็นมยุรีสลบอยู่บนพื้น โดยมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังประคองอยู่
นิษฐาตกใจสุดๆ “คุณป้า” เธอรีบเข้าไปช่วยทันที
เจติยาเดินสะพายเป้ออกมาจากห้องแต่งศพและกำลังจะกลับบ้าน พอออกมาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลาภิณยืนรออยู่
เจติยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเย้ยๆ “ทำไมมายืนอยู่ข้างนอกล่ะคะคุณลาภิณไม่เข้าไปข้างในล่ะคะ หรือว่ากลัว”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึง “ฉันเพิ่งมาถึง เธอก็ออกมาพอดี”
เจติยาอมยิ้ม “เหรอคะ ตกลงมีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาก็ดังขัดขึ้น
เจติยาหยิบมือถือออกมาดูเบอร์ “ขอโทษนะคะ” เจติยาเบี่ยงตัวไปแล้วกดรับ “จ้ะจา ว่าไงจ๊ะ” เจติยาฟังแล้วก็ตกใจสุดๆ “ตอนนี้อยู่ไหน” เจติยาหยุดฟัง “ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย ขอบใจมากนะ”
ลาภิณเหล่มองเล็กน้อย เจติยารีบกดตัดสาย
เจติยาร้อนใจสุดๆ “ขอโทษนะคะ แม่ดิฉันไม่สบาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลเอาไว้วันหลังค่อยคุยกันนะคะ” เจติยารีบเดินไป
ลาภิณมีสีหน้าใช้ความคิด “เดี๋ยว”
เจติยาหันไปมอง ลาภิณถามต่อ
“โรงพยาบาลไหน ฉันไปส่ง”
เจติยาทั้งอึ้งทั้งงง
ลาภิณรีบตัดบท “รีบไปไม่ใช่เหรอะ อย่ามามัวเกรงใจอยู่เลย ฉันจะได้คุยกับเธอในรถให้จบๆไป ไปรอฉันที่ลานจอดรถ” ลาภิณเดินนำไป
เจติยาถอนใจออกมา ก่อนจะเดินตามไป
ลาภิณเดินนำมาพร้อมโทรศัพท์หาปริม พูดคุยอย่างอ่อนหวาน
“ปริมเหรอจ๊ะ เย็นนี้ผมไปด้วยไม่ได้แล้วนะ ผมจะไปตามสืบประวัติเด็กนั่นซะหน่อย” ลาภิณเหล่มองไปทางเจติยาที่เดินมาด้านหลังแล้วก็ตัดบท “ผมต้องไปแล้ว แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ” ลาภิณรีบเดินนำต่อไป
เจติยาเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหานิษฐาที่ยืนรออยู่หน้าห้องไอซียู ลาภิณเดินตามมาห่างๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆ เพราะพร้อมเก็บข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเจติยาแล้ว
เจติยาร้อนใจสุดๆ “ฉันให้เงินแม่มาฟอกไตแล้ว ทำไมอาการยังกำเริบอีกล่ะ”
“คุณหมอบอกว่าคุณป้าไม่ได้มาฟอกไตตามนัดอีกแล้วนะเจ สงสัยจะเอาเงินไปให้นทีหมดอีกแล้วล่ะ” นิษฐาบอก
เจติยาทั้งเจ็บใจทั้งสงสารแม่จนพูดอะไรไม่ออก เธอผลักประตูห้องไอซียูเข้าไปหาแม่ทันที นิษฐาหันไปมองลาภิณเล็กน้อยแล้วยิ้มให้เป็นมารยาท ลาภิณยิ้มตอบก่อนจะมองผ่านกระจกเข้าไปภายในห้อง เขาเห็นเจติยาเข้าไปกุมมือแม่ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ลาภิณยืนมองอยู่ข้างนอกแล้วก็รู้สึกเห็นใจเจติยาขึ้นมา
ลาภิณถามนิษฐาเพื่อสืบข้อมูล “แม่ของเจติยาเค้าเป็นโรคไตเหรอครับ”
“ค่ะ เป็นมาตั้งนานแล้ว”
ลาภิณถามเลียบๆเคียงๆ “แล้วทำไมไม่เปลี่ยนไตล่ะครับ หรือว่ายังหาไตที่เข้ากันไม่ได้”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ไม่มีเงินมากกว่า เจเค้าไม่ได้ร่ำรวยนะคะ ต้องทำงานไปเรียนไป แถมยังต้องดูแลทั้งแม่ทั้งน้องอีก”
ลาภิณเก็บข้อมูล เขาคิดว่าถ้าเจติยาเป็นเมียน้อยของพ่อจริงๆ ก็น่าจะมีเงินเปลี่ยนไตให้แม่ไปนานแล้ว
ลาภิณมองกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เขาเห็นเจติยาเอามือของแม่ขึ้นมาแนบแก้มพร้อมกับมีน้ำตาคลอด้วยความรักและห่วงแม่อย่างที่สุด
เจติยานั่งซึมอยู่คนเดียวที่เก้าอี้ยาวมุมหนึ่งในโรงพยาบาล ทันใดนั้นก็มีกล่องนมยื่นมาให้ เจติยาเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นลาภิณที่ยื่นกล่องนมมาให้
“ยังไม่ได้ทานอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” ลาภิณถาม
เจติยาตอบหน้าซึมๆ “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันทานไม่ลง”
“ไม่ลงก็ต้องฝืนใจ ถ้าเธอล้มไปอีกคน แม่เธอจะลำบาก”
เจติยาจ๋อยๆ ก่อนจะรับกล่องนมมา “ขอบคุณค่ะ”
“ขอนั่งด้วยคนนะ” ลาภิณนั่งลงข้างๆ เจติยา
เจติยาขยับให้ห่างออกเล็กน้อยจนไปกับชนขาผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ เจติยาหันไปมองก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นวิญญาณของปรียานั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ เจติยาดีดตัวยืนห่างๆ ทันที
“เธอรังเกียจฉันขนาดนี้เลยเหรอะ” ลาภิณถาม
“เปล่าค่ะ” เจติยารวมความกล้าแล้วมองไปที่ปรียา
ปรียาพูดดด้วยความแค้นสุดขีด “ตามพวกมันไป แล้วบอกให้ทุกคนรู้ ว่าชายชั่วกับหญิงแพศยาคู่นี้ มันทำอะไรไว้กับฉัน” ปรียามีแววตาโกรธเกลียดพร้อมกับหันมองไปอีกมุม
เจติยาหันไปมองตามก็เห็นสามีของปรียากำลังเดินควงแขนคลอเคลียกับพยาบาลคนหนึ่งผ่านไป
ลาภิณหันไปมองตามเจติยาแล้วก็แปลกใจ “นั่นคุณชัยวัฒน์นี่”
เจติยารีบตามสามีปรียาไปทันที
ลาภิณตกใจเพราะกลัวจะเกิดเรื่อง “เดี๋ยว รอก่อน อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ” ลาภิณรีบตามเจติยาไปติดๆ
สามีปรียาเดินคลอเคลียกับพยาบาลมาที่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เจติยาและลาภิณเดินตามออกมา
“จะทำอะไรของเธอ”
ลาภิณยังพูดไม่ทันจบ เจติยาก็ดึงแขนเขาให้หลบพร้อมทั้งกดคอลาภิณไว้ไม่ให้สามีปรียาเห็น สามีปรียาหันไปมองรอบๆก็ไม่เห็นใครจึงขึ้นรถแล้วขับออกไป
ลาภิณปัดมือเจติยาด้วยความโมโห “เฮ้ย ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ”
เจติยายกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ” เจติยาร้อนใจ “คุณช่วยตามคุณชัยวัฒน์ไปหน่อยได้มั้ยคะ”
ลาภิณโมโห “มากไปแล้วนะ เห็นฉันใจดีเข้าหน่อย เธอกล้าใช้ฉันเลยเหรอ”
เจติยาหน้าจ๋อย
รากบุญ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ลาภิณขับรถพาเจติยาตามรถของสามีปรียามาจอดเยื้องหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง สามีปรียากับพยาบาลก้าวลงจากรถ ทั้งสองเดินโอบเอวและหอมแก้มกันก่อนจะพากันเข้าไปในคอนโด
เจติยาร้อนใจ “ขอยืมมือถือคุณหน่อยสิ มือถือฉันกล้องเสีย”
ลาภิณรำคาญแต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือให้เจติยา เจติยาใช้มือถือของลาภิณถ่ายรูปสามีปรียากับพยาบาล ขณะเดินคลอเคลียเข้าไปในคอนโด
ลาภิณขำ “ฉันชักเชื่อแล้วสิ ว่าเธอดูหนังนักสืบมากเกินไป”
เจติยาเหล่ลาภิณด้วยความรำคาญ “คุณอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่ฉันมั่นใจว่าคุณชัยวัฒน์ต้องเป็นคนฆ่าคุณปรียาแน่ๆ”
“แล้วเค้าจะฆ่าคุณปรียาทำไม โอ.เค.เค้าอาจจะจนมาก่อน แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อน ถึงขนาดต้องฆ่าภรรยาเอามรดกซะหน่อย”
เจติยาแปลกใจ “แล้วคุณรู้ได้ไงคะ ว่าคุณชัยวัฒน์จนมาก่อน”
“คนวงในเค้ารู้กันทั้งนั้นแหละ”
เจติยาฟังเพื่อเก็บข้อมูลก่อนจะมองตามคนคู่นั้นอีก “ดูท่าทางหนุงหนิงกันซะขนาดนั้นถึงได้อยากให้เมียตายเร็วๆ ได้เงินใช้แถมไม่ต้องมาดูแลเมียเป็นอัมพาตอีก” เจติยามีสีหน้าหมั่นไส้ เธอก้มลงกดเบอร์เพื่อส่งรูปที่ถ่ายไว้ไปให้นวัช
ลาภิณเหล่มองเจติยาแล้วพูดแขวะ “ซื้อมือถือใหม่เหรอะ สวยดีนะ”
เจติยาหน้าแหยไปเล็กน้อย “ฉันทำเพื่อบริษัทค่ะ”
ลาภิณถอนใจแล้วส่ายหน้า
เจติยากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกหาหมวดนวัช
“สวัสดีค่ะ นี่เจเองนะ เจกำลังส่งไฟล์ภาพเข้ามือถือพี่หมวด เป็นเบอร์คุณลาภิณนะคะ พี่หมวดช่วยสืบให้หน่อยสิว่าผู้หญิงในภาพเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับคุณปรียารึเปล่า” เจติยานิ่งฟัง “ค่ะพี่หมวด” เขติยากดวางสาย
เจติยาก้มดูมือถือลาภิณที่ส่งรูปเรียบร้อยแล้วก่อนจะส่งคืนลาภิณ
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ตกกะไดพลอยโจนแท้ๆ” ลาภิณถอนหายใจแล้วดึงโทรศัพท์คืนมาพร้อมส่ายหน้า
เจติยายิ้มแหยๆ “งั้นลาเลยนะคะ” เจติยาจะลงจากรถ
ลาภิณมีสีหน้าฉุกคิดเพราะอยากจะสืบต่อ “เธอจะไปไหนต่อ”
“กลับบ้านสิคะ”
“ไม่ต้องลงหรอก ฉันไปส่ง”
เจติยาหันไปมองหน้าลาภิณเพราะทั้งอึ้งและงง
ลาภิณขับรถพาเจติยามาส่งที่หน้าบ้าน เขามองสำรวจบ้านเจติยาอย่างเก็บข้อมูลก็เห็นว่าเธอมีฐานะปานกลาง
“ขอบคุณนะคะ” เจติยาจะชิ่งลงจากรถ
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยสิ” ลาภิณเอ่ยออกมา
เจติยาตกใจเพราะนึกไม่ถึง ในใจเธอชักระแวง “คุณไปเข้าที่โรงแรมดีกว่าค่ะบ้านฉันเล็กๆ เก่าๆ ไม่คู่ควรกับคุณหรอกค่ะ”
“จะให้ฉันยืนฉี่หน้ารั้วเธอรึไง”
“ยี้” เจติยายังลังเล
ลาภิณตัดพ้อ “เนี่ยเหรอะ คือค่าตอบแทนที่เธอจิกหัวฉันใช้ทั้งวัน”
“ฉันไม่กล้าใช้คุณหรอกค่ะ เหตุการณ์มันพาไป”
ทันใดนั้น เจติยาก็เหลือบตามองไปที่หน้าซอย เธอเห็นนทีกำลังเดินคุยกับเพื่อนสาวมาด้วยสีหน้า
ยิ้มแย้มแจ่มใสและกำลังจะเข้าบ้าน เจติยามีสีหน้าโกรธจัด เธอรีบเข้าไปเล่นงานน้องชายทันที ลาภิณแปลกใจ เลยรีบตามลงไปดู
“แกไปไหนมานที” เจติยาโมโหจัด
นทีตกใจ “พี่เจ”
“ฉันถามว่าแกไปไหนมา ทำไมถึงไม่อยู่ดูแลแม่”
นทีไม่พอใจที่ถูกพี่ด่าต่อหน้าสาว “เลิกโวยวายซะทีเถอะพี่เจ ผมอยู่ช่วยงานแม่มาทั้งวัน ผมก็ต้องไปธุระบ้างสิ ทีพี่ยังไปเที่ยวกับผู้ชายได้เลย”
นทีพูดจบเจติยาก็ตบหน้านทีเข้าเต็มแรง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
เพื่อนสาวของนทีตกใจกลัว “นที เรากลับก่อนนะ”
เพื่อนสาวของนทีรีบเดินเลี่ยงกลับไปทันที
นทีโกรธจัด “มากไปแล้วนะพี่เจ”
เจติยาตะคอกสวน “น้อยไปด้วยซ้ำ แกรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ แม่ช็อก ตอนนี้นอนอยู่ในห้องไอซียู”
นทีตกใจมาก เขานึกไม่ถึงเพราะตอนแม่อยู่กับตนยังดีๆอยู่เลย เจติยาโกรธมาก
“แล้วที่แม่ช็อคก็เพราะแม่ไม่ยอมไปฟอกไตแต่เอาเงินไปให้แกเรียนพิเศษ แต่แกกลับเอาเวลาไปเที่ยวกับสาวๆแบบนี้เหรอะไอ้นที” เจติยาเข้าไปทุบตีนทีไม่ยั้ง
นทีอึ้งที่แม่อยู่ไอซียูเลยไม่ทันระวัง ทำให้โดนพี่สาวทุบตีเข้าไปหลายที
นทีเจ็บจึงเริ่มเอามือปัดป้อง “โอ๊ยๆ”
ลาภิณรีบเข้าไปดึงตัวเจติยาออกมา “ใจเย็นๆ ก่อนสิ”
นทีโมโหมาก “พี่ก็เป็นซะอย่างเงี้ย เอะอะก็โทษผม ใครมันจะไปรู้ ว่าแม่จะเอาเงินฟอกไตมาให้ผมล่ะ”
เจติยาโมโหมาก เธอจะเข้าไปทุบตีอีกแต่ลาภิณจับตัวไว้ก่อน “ฉลาดแกมโกงอย่างแกมีเหรอจะไม่รู้”
นทีอารมณ์เสียและรำคาญเจติยาจึงวิ่งหนีไปทันที
เจติยาโมโหมาก “จะไปไหน กลับมานี่นะนที”
ลาภิณปราม “ร้อนทั้งคู่ยังงี้ คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก”
เจติยาสะบัดตัวออกจากการจับของลาภิณก่อนจะเดินหัวเสียกลับเข้าบ้านไป ลาภิณมองตามเจติยาไป ด้วยสีหน้านิ่งขรึม เขาคิดว่าวันนี้เขาได้รู้ชีวิตเด็กสาวคนนี้เกินกว่าที่คาดคิดเสียอีก ลาภิณได้แต่ถอนใจยาวออกมาด้วยความรู้สึกเห็นใจ
เช้าวันใหม่ เจติยากำลังคุยกับทวีอยู่ในห้องแต่งศพ ทั้งคู่พูดไปก็จัดของที่เตรียมใช้ในการแต่งศพไปด้วย
“แล้วตกลง เมื่อคืนนี้นทีกลับบ้านรึเปล่า” ทวีถาม
เจติยาหน้าบึ้งตึง เพราะยังโกรธน้องอยู่ “ไม่ทราบหรอกค่ะ เจไม่อยากสนใจมันจะไปตายที่ไหนก็ไป”
ทวียิ้มๆ “พี่น้องกัน จะโกรธกันไปทำไมหนูเจ เออ แล้วอาการแม่เป็นไงบ้างล่ะ”
เจติยาหน้าเศร้าลง “ยังไม่ดีขึ้นเลยค่ะ ตอนนี้เจมืดแปดด้านไปหมดแล้ว หมอก็ยังไม่กล้ารับรองเลยนะคะ ว่าถ้าแม่เปลี่ยนไตแล้วจะดีขึ้นรึเปล่า ตอนนี้เจเหลือความหวังอยู่อย่างเดียว ก็คือกล่องรากบุญ”
“ถ้าหนูทำตามที่กล่องต้องการได้ทันเวลา ลุงมั่นใจว่าแม่หนูหายแน่”
เจติยานิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แต่เจก็ยังสงสัยไม่หายนะคะลุง ทำไมคุณสารัชถึงเลือกเจให้สืบทอดกล่อง แล้วยังทำพินัยกรรมยกหุ้นให้เจอีก”
“เรื่องพินัยกรรม ลุงก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณสารัชคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องกล่องรากบุญ มันเป็นความตั้งใจของคุณสารัชอยู่แล้ว ที่จะให้กล่องตกอยู่ในมือคนดีๆ อย่างเจ”
เจติยามีสีหน้าสนใจอยากรู้ เธอมองหน้าทวีที่มีสีหน้าคิดคำนึงถึงความหลัง
เมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้ สารัชกำลังคุยกับทวีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านคิดมากไปรึเปล่าครับ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ทวีว่า
“ไม่หรอกพี่ทวี กล่องมันไม่เรียกร้องให้ผมทำอะไรมาพักใหญ่แล้ว ผมมั่นใจ ว่าเวลาของผมคงเหลืออีกไม่มากแล้วล่ะ” สารัชบอก
“ท่านก็ยังอายุไม่มากเท่าไหร่ แล้วก็เคยรอดตายจากมะเร็งมาแล้วด้วย คงไม่มาหมดอายุขัยเอาตอนนี้หรอกครับ”
สารัชยิ้มบางๆ “ทุกคนมีเวลาของตัวเองกันทั้งนั้นแหละพี่ทวี แล้วถึงจะเป็นอำนาจของกล่อง ก็ไม่สามารถทำให้ใครเป็นอมตะได้” สารัชมีสีหน้าขรึมลง “ผมห่วงอยู่เรื่องเดียว กลัวผมตายไปแล้วเจ้าของกล่องคนใหม่ไม่ใช่คนดี จะใช้อำนาจของกล่องไปในทางเลวร้าย” สารัชมีสีหน้าหนักใจมาก
ทวีหน้าขรึมลง “ถึงจะเป็นอย่างงั้น เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะกล่องจะเป็นผู้เลือกเจ้าของเอง ไม่ใช่เรา”
“แต่เราก็สามารถหาคนมาให้กล่องเลือกได้ไม่ใช่เหรอ”
ทันใดนั้น เจติยาในชุดนักศึกษาก็เดินถือถุงกับข้าวกับข้าวเปล่าเข้ามาในห้อง
เจติยายิ้ม “สวัสดีค่ะลุง” เจติยาชะงักที่เห็นสารัช “ท่านประธาน” เจติยายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
สารัชรับไหว้
เจติยาหันไปพูดกับทวีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ลุงคะ”เจติยาโชว์ถุงกับข้าวให้ดู “วันนี้แม่เจฝากกับข้าวมาด้วย เดี๋ยวมาทานด้วยกันนะคะ”
ทวียิ้มรับ “แหม กำลังหิวพอดีเลย กินข้าวที่ไหน ก็ไม่อร่อยเหมือนกินในห้องแต่งศพเลยนะหนูเจ”
เจติยาขำๆ “งั้นเดี๋ยวเจไปเอากับข้าวใส่จานก่อนนะคะ”
เจติยาเดินเลี่ยงไป
สารัชมองตามเจติยาไป “เด็กคนนี้ทำงานได้นานดีนะ ไม่เคยเห็นใครทำงานแต่งศพได้ทนขนาดนี้เลย”
ทวียิ้มรับ “หนูเจแกไม่รังเกียจศพครับ ไม่ว่าจะตายยังไง เน่าเหม็นขนาดไหน แกก็จัดการเรียบร้อยทุกที แล้วที่สำคัญ ยังเป็นเด็กดีด้วยนะครับ ขยันขันแข็ง ทำงานเลี้ยงแม่เลี้ยงน้อง แถมส่งตัวเองเรียนอีกตะหาก”
สารัชยิ้มรับก่อนจะมองตามเจติยาไปอย่างใช้ความคิดว่าถ้าเจติยาเป็นคนดีจริงเธอก็อาจจะเป็นเจ้า
ของกล่องต่อจากตนได้
สารัชและทวีเดินคุยกันอยู่ที่สวนหย่อมของบริษัท
“ผมส่งคนไปสืบประวัติเจติยามาเรียบร้อยแล้ว” สารัชยิ้มพอใจ
“เป็นยังไงครับท่าน หนูเจเป็นเด็กดีอย่างที่ผมบอกรึเปล่า”
สารัชยิ้มรับ “ผมเชื่อสายตาพี่ทวีอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ต้องการความมั่นใจเท่านั้นเอง”
“แต่ถึงหนูเจแกจะเป็นคนดีแค่ไหน ผมก็ว่ากล่องรากบุญไม่เลือกแกหรอกครับ เพราะหนูเจไม่มีความปรารถนาแรงกล้าพอ เหมือนกับท่านและผมในตอนนั้น”
“ก็ไม่แน่หรอกพี่ทวี ที่ผมรู้มาตอนนี้แม่ของแกป่วยเป็นโรคไตค่อนข้างรุนแรง แล้วเด็กกตัญญูอย่างนี้ คงทนเห็นแม่ตายไม่ได้หรอก เมื่อถึงวันนั้น แกจะมีแรงปรารถนาที่จะช่วยชีวิตแม่มากพอที่กล่องจะเลือกแน่”
ทวีหน้าขรึมลง “นี่ตกลงท่านจะให้หนูเจ สืบทอดกล่องรากบุญจริงๆเหรอครับ”
สารัชหน้าขรึมลงเช่นเดียวกัน “เวลาผมเหลือไม่มากแล้วพี่ทวี ถ้าผมทำให้กล่องรากบุญตกอยู่ในมือคนดีไม่ได้ ผมคงนอนตายตาไม่หลับ” สารัชมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
เหตุการณ์ปัจจุบัน เจติยาเดินคุยกับทวีด้วยสีหน้าสนใจอยู่ที่สวนหย่อมของบริษัท
“แล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่คุณสารัชคาดการณ์ พออาการแม่ของเจทรุดหนักลง เจก็มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะรักษาแม่จนในที่สุด กล่องก็เลือกเจ” ทวีบอก
เจติยาพยักหน้ารับ “อย่างนี้นี่เอง” เจติยาสงสัย “แต่เจก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพินัยกรรมอยู่ดีล่ะค่ะ ทำไมท่านถึงต้องยกหุ้นให้เจด้วย”
“ลุงก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ แต่ถ้าจะให้เดา ท่านอาจจะอยากให้หนูอยู่ช่วยเหลืองานคุณต้นล่ะมั้ง”
เจติยาเบะปาก “ช่วยคนแบบนั้นน่ะเหรอคะ ไม่เอาด้วยหรอก”
ทันใดนั้น ลาภิณก็เดินออกมาขวางหน้าเจติยาไว้
ลาภิณหน้าบึ้งตึง “แล้วคนแบบฉัน มันไม่ดีตรงไหน”
เจติยาหน้าจ๋อยไปทันที
ทวียิ้ม “คุณต้นมีอะไรให้ผมรับใช้รึเปล่าครับ”
“เปล่าหรอกครับ” ลาภิณทำน้ำเสียงประชด “ผมแค่จะมารายงานลูกน้องคนสนิทของลุงให้ทราบว่าผลการชันสูตรศพของคุณปรียาออกมาแล้ว”
เจติยาตื่นเต้น “จริงเหรอคะ แล้วตกลงคุณปรียาตายเพราะอะไรคะ”
นวัชกำลังคุยกับลาภิณและเจติยาอยู่ในห้องทำงานที่โรงพัก
“คุณปรียาตายเพราะปอดติดเชื้อ คนที่ป่วยเป็นอัมพาตก็มีโอกาสเสียชีวิตเพราะสาเหตุนี้ได้” นวัชก้มอ่านรายงานต่อ “นอกจากนี้ก็ยังพบรอยแผลที่ลิ้น เหมือนโดนอะไรซักอย่างกดลิ้นไว้ แต่กดแรงมากจนเกิดรอยแผล”
ภาพปรียาถูกมือผู้หญิงคนหนึ่งจับอ้าปากแวบเข้ามาในหัวของเจติยา ปรียาถูกไม้กดลิ้นแบบที่หมอใช้ตรวจโรคกดลิ้นของปรียาไว้เพื่อให้อ้าปากออก
เจติยามึนงงกับภาพที่วูบเข้ามาในความคิด
“แล้วผู้หญิงที่เจส่งภาพไปให้หมวดล่ะครับ เกี่ยวข้องอะไรกับคุณชัยวัฒน์” ลาภิณถามขึ้น
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อนฤมล เป็นพยาบาลประจำตัวของคุณปรียาครับ จริงๆแล้วน่าจะเป็นเมียน้อยของนายชัยวัฒน์ด้วย เพราะคอนโดที่เธออยู่ เค้าก็เป็นคนซื้อให้”
ลาภิณถอนใจยาวออกมาเมื่อรู้ความจริง
เจติยาคิดทบทวน “รอยแผลที่เกิดจากการกดลิ้น ปอดติดเชื้อ พยาบาลประจำตัว เมียน้อย...”
ทันใดนั้นก็มีลมกรรโชกพัดเข้าใส่หน้าเจติยาจนผมปลิว ภาพเหตุการณ์หนึ่งฉายวาบเข้ามาในความคิดของเจติยาทันที
ภาพที่ปรากฏในความคิดของเจติยาเป็นภาพพยาบาลของปรียากำลังจับตัวปรียาไว้ ปรียาเป็นอัมพาต จึงดิ้นไม่ได้ ขัดขืนไม่ได้ แต่สีหน้าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
พยาบาลสาวคนนั้นใช้ไม้กดลิ้นแบบที่หมอใช้ตอนตรวจโรค กดลิ้นของปรียาไว้เพื่อให้อ้าปากออก ในขณะที่ สามีปรียากรอกน้ำเข้าปากปรียาเพื่อให้ปรียาขาดใจตาย ปรียาสำลักน้ำ เธอทั้งหวาดกลัวและคลั่งแค้นจนถึงขีดสุด ในที่สุดเธอก็รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายจับมือของพยาบาลไว้ ปรียาจับแรงจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของพยาบาล
เจติยาสะดุ้งเฮือก เธอลุกพรวดขึ้นจนเก้าอี้ดีดล้มไปข้างหลัง ทุกคนตกใจ เจติยาหน้าตื่นตกใจจนซีดเผือด
นวัชตกใจและเป็นห่วง “เป็นอะไรเจ”
เจติยาหน้าซีด “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“สงสัยจะตื่นเต้น แต่งเรื่องต่อเอาเองในใจ” ลาภิณถอนใจแล้วส่ายหน้า เขาลุกไปตั้งเก้าอี้ให้เจติยา “ไปตรงกับซีรีย์เรื่องไหนเข้าอีกล่ะ”
เจติยาเหล่มองลาภิณอย่างเคืองๆ
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ” นวัชเป็นห่วง
เจติยาส่ายหน้าแล้วค่อยๆ นั่งลงกลอกตามองไปรอบๆ ห้อง
“ความเป็นไปได้ตอนนี้ ก็คือสองคนนั่นอาจจะร่วมมือกันฆ่าคุณปรียาเพื่อหวังมรดก” นวัชพูด “เพราะเท่าที่ผมสืบทราบมา ตอนนี้น้องสาวของคุณปรียาเป็นคนควบคุมการใช้จ่ายเงินทั้งหมด ถ้าคุณปรียายังอยู่ เค้าก็ได้อะไรไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณปรียาตาย ก็จะมีการแบ่งทรัพย์สินมรดก คุณชัยวัฒน์คงได้ไปหลายร้อยล้าน”
ลาภิณถอนใจแล้วนึกถึงตัวเอง “ความโลภตัวเดียวแท้ๆ”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตำรวจนายหนึ่งเปิดประตูพาสามีปรียาและพยาบาลเข้ามา
สามีปรียาโวยวายทันที “ภรรยาผมเสีย ผมก็เสียใจจะตายอยู่แล้ว พวกคุณยังจะมายัดข้อหาให้ผมอีกเหรอ”
เจติยาเหลือบไปเห็นวิญญาณของปรียายืนอยู่ด้านหลังของสามี เธอตกใจกลัวจนหน้าซีดแต่ก็พยายามตั้งสติ
“บอกทุกคน ว่าฉันตายยังไง บอกไป” ปรียาสั่ง
เจติยาลุกขื้นยืนพรวด แล้วหันหน้าไปพูดกับสามีปรียา “ไม่มีใครยัดข้อหาคุณหรอกค่ะ แต่เรามีหลักฐาน ว่าคุณกับคุณนฤมลร่วมมือกันวางแผนฆ่าคุณปรียา โดยทำให้คุณปรียาสำลักน้ำ จนต้องเสียชีวิตเพราะปอดติดเชื้อ”
สามีปรียากับพยาบาลตกใจหน้าซีดเผือดที่เจติยารู้เรื่องถึงขนาดนี้ ลาภิณกับนวัชหันไปมองเจติยาเป็นตาเดียวเพราะไม่เข้าใจว่าเจติยารู้ถึงขนาดนี้ได้ยังไง
พยาบาลแกล้งปล่อยโฮลั่น “หยุดใส่ร้ายฉันซะทีเถอะค่ะ ฉันดูแลคุณปรียามาตั้งหลายปี จะไปทำเรื่องโหดร้ายอย่างงั้นได้ยังไง”
วิญญาณปรียายื่นหน้ามาพูดข้างหูเจติยา เจติยาไม่กล้าหันไปมองตรงๆ ได้แต่ยืนหวาดกลัวจนปากคอสั่น
“บอกไป บอกความจริงให้หญิงแพศยาคนนั้นรู้ ว่าตัวเธอเองก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน ผู้ชายคนนั้นไม่ต้องการเธอจริงหรอก”
เจติยาพยายามข่มความกลัวแล้วพูด “คุณนฤมลคะ ถึงคุณจะช่วยคุณชัยวัฒน์ทุกอย่าง เค้าก็ไม่จริงจังกับคุณหรอกค่ะ คุณได้แค่คอนโด แต่รู้มั้ยคะว่าผู้หญิงคนอื่นได้ทั้งบ้านทั้งรถ สัญญาที่เค้าบอกว่าจะ แต่งงานกับคุณหลังจากได้มรดก มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก อีกไม่นานเค้าก็เขี่ยคุณทิ้งแล้ว”
พยาบาลตกใจสุดๆ รีบหันไปมองสามีปรียา “จริงเหรอคุณชัยวัฒน์ คุณเลี้ยงผู้หญิงอื่นไว้อีกเหรอ”
สามีปรียาตกใจเพราะกลัวความแตก “ไร้สาระ มีอะไรค่อยไปคุยกันข้างนอก”
วิญญาณปรียาที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ยิ้มอย่างสะใจ
ปรียาหันมาพูดกับเจติยา “บอกตำรวจไป ว่าก่อนตายฉันจิกเล็บที่แขนอีนฤมล เศษหนังของมันยังติดอยู่ในเล็บฉันเลย”
“หมวดช่วยบอกนิติเวชให้ตรวจเล็บของคุณปรียาด้วยนะคะ ก่อนตายคุณปรียาจิกเล็บลงที่แขนของคุณนฤมล เผื่อจะมีหลักฐานติดอยู่ในเล็บของคุณปรียา” เจติยาบอก
พยาบาลหน้าตาตกใจมากจึงรีบเบี่ยงแขนซ่อนไว้ด้านหลังก่อนจะแอบสบตากับชัยวัฒน์ด้วยใบหน้าซีด นวัชงงๆ เขาสบตากับเจติยา เจติยาพยักหน้าให้เขามั่นใจ นวัชเองเคยมีประสบการณ์ร่วมกับเจติยาในการจับคนร้ายมาแล้วก็เลยเชื่อจึงยกหูโทรศัพท์แล้วโทรออก
ลาภิณมองไปที่เจติยาด้วยความสงสัยสุดๆว่าเจติยารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง
นิษฐาเดินเข้ามาถึงหน้าห้องไอซียูเพื่อจะเยี่ยมแม่ของเจติยา แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนทีนั่งคอยอยู่หน้าห้องไอซียู นิษฐาเดินมาหานที
“มานานแล้วเหรอนที”
นทีเหลือบมองนิษฐานิดนึงก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “ผมมาอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“แล้วทำไมไม่บอกเจ รู้มั้ยว่าพี่เราเค้าตามหาเราให้ทั่วไปหมดแล้ว”
นทีทำหน้าบึ้งตึง “อย่าพูดให้ขำหน่อยเลยพี่ฐา อย่างพี่เจน่ะเหรอเค้าจะตามหาผม ถ้าผมตายไปซะได้ เค้าคงดีใจที่สุด”
นิษฐาถอนใจ “สองพี่น้องนี่เหลือเกินเลย แต่ละคน”
ทันใดนั้นพยาบาลก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาพยาบาลอีกคนด้วยท่าทางร้อนใจสุดๆ
“รีบตามหมอเร็ว คนไข้ห้องสองอาการไม่ดี”
พยาบาลอีกคนรีบกดโทรศัพท์ตามหมอทันที นิษฐากับนทีตกใจสุดๆเมื่อรู้ว่าอาการของมยุรีทรุดลง
นทีตกใจมาก “แม่”
นทีกับนิษฐารีบวิ่งไปที่ห้องไอซียูทันที
เจติยารีบเดินหนีออกมาจากโรงพัก โดยมีลาภิณวิ่งตามออกมา
“เดี๋ยว”
เจติยามีสีหน้าเซ็งๆ เธอทำไม่ได้ยินแล้วจะรีบหนี
“ไม่ได้ยินฉันเรียกรึไง” ลาภิณถาม
เจติยาหยุดเดินแล้วถอนใจก่อนจะหันมามองหน้า “ฉันจะรีบไปเยี่ยมแม่ คงไม่ได้กลับไปที่บริษัทแล้ว” เจติยายกมือไหว้แบบทิ่มพรวด “ลาเลยนะคะ” เจติยาจะเดินเลี่ยงไป
ลาภิณพูดขึ้นมาทันที “เธอรู้เรื่องการตายของคุณปรียาได้ยังไง”
เจติยาหยุดกึก ลาภิณพูดต่อ
“ตำรวจยังไม่รู้ละเอียดเท่าเธอเลย ทั้งวิธีการฆาตกรรม มูลเหตุจูงใจหรือแม้แต่เรื่องส่วนตัว เธอก็รู้หมด”
เจติยามีสีหน้าใช้ความคิด ก่อนจะหันกลับไปมองลาภิณแล้วยักไหล่กวนๆ “ก็อย่างที่แฟนคุณบอกไงคะ ฉันดูซีรีย์สืบสวนเยอะ ฉันก็แค่พูดลักไก่เรื่อยเปื่อย บังเอิญมันถูก ก็แค่นั้น”
“เธอคิดว่าฉันเป็นเด็กสามขวบรึไง”
“ไม่หรอกค่ะ เด็กที่ไหนจะหน้าแก่อย่างคุณ”
ลาภิณจ้องเจติยาเขม็งด้วยสีหน้าดุเพราะไม่พอใจ เจติยาเห็นว่าเล่นมุกแล้วไม่ขำก็หน้าเจื่อนไป
เจติยาตัดบท “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไปก่อนนะคะ” เจติยาจะเดินเลี่ยงไป
ลาภิณตามไปคว้ามือเจติยาแล้วจับไว้ “ถ้าเธอตอบไม่เคลียร์ ฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่”
เจติยาพยายามสะบัดมือลาภิณออก “ปล่อยฉันนะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเจติยาก็ดังขึ้นพอดี
“บอกความจริงมา” ลาภิณคาดคั้น
เจติยาตาเบิกโพลง “อย่าพูดไดอะล็อคนี้นะ ฉันไม่ชอบ มันสยอง...ปล่อย”
ลาภิณยังจับมือเจติยาไว้
เจติยาสะบัดแรงขึ้น “ปล่อย ฉันจะรับโทรศัพท์”
ลาภิณเห็นว่ามีโทรศัพท์เข้ามาเลยยอมปล่อยมือเจติยา
เจติยาค้อนใส่ เธอหยิบมือถือมาดูเบอร์แล้วกดรับ “ว่าไงจ๊ะฐา” เจติยาฟังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกใจมาก “ได้ๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” เจติยากดวางสายด้วยสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด
ลาภิณเห็นสีหน้าเจติยาก็รู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น “มีอะไรเหรอ”
เจติยาร้อนใจสุดๆ “อาการแม่ฉันทรุดลงอีกแล้ว”
“งั้นไปรถฉัน เดี๋ยวฉันไปส่งที่โรงพยาบาลเอง”
“ฉันไม่ไปโรงพยาบาล ฉันต้องการกลับบ้าน”
ลาภิณมองเจติยาด้วยความแปลกใจว่าทำไมเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้เธอถึงอยากจะกลับบ้าน
ในห้องไอซียู หมอและพยาบาลกำลังพยายามช่วยชีวิตมยุรีอย่างสุดความสามารถ มยุรีนอนสลบไสลไม่ได้สติ รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต เครื่องวัดความดัน ฯลฯ
นิษฐาและนทีคอยอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเป็นห่วงมยุรีว่าจะเป็นอะไรไป
นิษฐาบ่นพึมพำ “ทำไมเจยังมาไม่ถึงอีกนะ” นิษฐาร้อนใจ
นทีถอนใจยาวออกมา เขามีหน้าตาเครียดจัดเพราะห่วงแม่มาก
ลาภิณขับรถมาจอดหน้าบ้านเจติยาด้วยความรีบร้อน เจติยาจะลงจากรถด้วยความร้อนใจ
ลาภิณแปลกใจ “จะกลับมาบ้านทำไมเนี่ย”
เจติยาร้อนใจสุดๆ “ฉันไม่มีเวลาอธิบายแล้ว คุณรออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันมา”
เจติยารีบลงไปจากรถ
ลาภิณบ่นพึมพำ “นี่ฉันไปเป็นคนขับรถให้เธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
เจติยาไขกุญแจเข้าบ้านไปด้วยความร้อนใจสุดๆ พอไขได้เธอก็วิ่งตะบึงเข้าบ้านไป
ลาภิณได้แต่มองตามเจติยาไปด้วยสีหน้างงปนสงสัย