แรงเงา ตอนที่ 13
วันต่อมาที่บ้านเจนภพ ทุกคนในบ้านเฮพร้อมกัน ฉีดสายรุ้งใส่ต่อที่ยืนอยู่กลางห้อง นพนภา ต้อง ต้อม แต้ว ยายแหวง เฮกันทั้งบ้าน เจนภพยืนยิ้ม ดูอยู่ห่าง ๆ
“ในที่สุดลูกแม่ก็ทำสำเร็จนะ ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในทูตเยาวชนวัฒนธรรม”
“แล้วไปกี่ประเทศล่ะ”
“สามครับ เริ่มต้นที่ญี่ปุ่นก่อน”
ทั้งหมดเฮกันอีกครั้ง
“นี่คุณ จะไม่แสดงความยินดีกับนายต่อบ้างเหรอ”
“ดีใจด้วย แกฉลาดเหมือนฉัน เรียนหนังสือเก่งได้ที่หนึ่งเหมือนกัน ได้เลือดพ่อไปเยอะ”
“ไม่จริงหรอกครับ”
เจนภพหน้าเจื่อนไป นพนภายิ้มเยาะ แต้วและต้อมวิ่งออกไปนอกห้อง แล้วกลับมาพร้อมต้อมถือเค้กอันใหญ่ แต้วช่วยประคองมา เค้กจุดเทียนเล่มเดียว ทุกคนเฮ ปรบมือ
“โอ้โฮ แม่ครับ”
“สำหรับลูกสุดที่รักของแม่จ้ะ”
ต่อตัดเค้กให้ทุกคน ต้องเข้ามาช่วยแบ่งใส่จานส่งให้พ่อและแม่ ต้อมขอทานตรงที่มีตุ๊กตา
“เฮ้อ นานๆ เห็นทีนะป้า” แต้วคุยกับยายแหวง
“เห็นอะไรวะ”
“ก็เห็นทุกคนในบ้านรักกันน่ะซี ปรกติเห็นแต่จะฆ่ากัน”
“เออว่ะ อย่างนี้ต้องซื้อหวย ตีเลขให้ข้าหน่อยนะ”
ส่วนที่บ้านวีกิจ สร้อยคำนั่งดูข่าวเช้า วีกิจหาวหวอดลงมา เดินเข้ามายิ้มอย่างประจบ สร้อยคำมีอาการหมางเมิน
“ข้าวต้มเหรอครับแม่” มีเสียงสรวลเสเฮฮามาจากบ้านเจนภพ “บ้านนั้นมีฉลองอะไรกันหรือฮะ”
“ตาต่อฉลองได้รับเลือกเป็นทูตเยาวชนอะไรซักอย่าง ส่วนแม่นภาฉลองที่ยกภูเขาออกจากอกได้”
“ทำไมแม่ไม่ไปฉลองกับเขาล่ะครับ”
“ฉลองอะไรล่ะ ฉลองที่ภูเขามันมาทับอกฉันแทนหรือ กิจ แกตัดสินใจแน่แล้วหรือ เรื่อง...หนูตา”
“แม่ฮะ ผมกับตาเคยพูดกันว่าจะคบกันไปเรื่อยๆ ยังไม่มีการตัดสินใจอะไรหรอกฮะ”
“ไม่ใช่หรอก แกตัดสินใจไปแล้วต่างหาก แกรักเขา รักจนไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น”
“โธ่ แม่ฮะ เขาเลิกกับอาภพแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว แม่จะไม่ให้โอกาสตาเลยหรือฮะ”
“ตากิจ แม่ไม่ได้หวังให้ลูกสะใภ้เป็นเบญจกัลยาณี แต่นี่มัน มันมากจนมองไม่เห็นทาง แกอยากให้แม่ของลูกแกคือผู้หญิงที่เป็นเมียเก็บของอามาก่อนหรือตากิจ แกลองคิดดูใหม่ให้ดี”
สร้อยคำปิดทีวีเดินไป บัวหลบเข้าครัว วีกิจก้มหน้าเอามือเสยผมถอนใจยาว
มุนินทร์ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำมีผ้าขนหนูโพกผมเปิดประตูให้วีกิจเข้ามา วีกิจชะงักไปมองล่างมองบน มุนินทร์หน้าแดงขยับเสื้อคลุมให้แน่นเข้า วีกิจถือถุงช็อปปิ้งมา
“ห้ามพูด แล้วห้ามคิดด้วยนะคะ ไปรอฉันที่โซฟา ขอเวลาฉันแต่งตัวแป๊บนึง”
วีกิจมองดูอาการหน้าแดงเพราะไม่เคยเห็น ใจอ่อนโยนหวามไหวระคนกัน มุนินทร์รีบเดินเข้าห้องนอน วีกิจเดินไปเจอดอกไม้คริสตัลวางอยู่บนโต๊ะรับแขกจึงหยิบมาดู แล้วเดินไปที่ระเบียง
คืนนั้นต่อมาฉลองกับก้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ร้านนี้โรแมนติกดีจังครับ”
“พี่จัดให้ต่อโดยเฉพาะไง สำหรับการได้รับเลือกเป็นทูตเยาวชน เก่งมากไอ้น้อง”
“ขอบคุณครับ ผมเชิญพี่ไปที่บ้านเมื่อเช้าแต่พี่ไม่ไป”
ก้องเจื่อนไป
“ต่อ พี่ลำบากใจนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ฐานะพี่น่ะ เทียบต่อไม่ได้เลย พี่เป็นแค่เทรนเนอร์ในฟิตเนสไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไงเลยด้วยซ้ำ”
“ผมไม่ถือสักนิดว่าพี่ก้องจะเป็นอะไร ผมรู้แต่ว่าพี่ก้องเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ของผม ให้คำปรึกษาผมได้ทุกเรื่อง”
“ขอบใจต่อ แต่อีกเรื่องที่พี่ลำบากใจ”
“ครับ”
“ต่อยังไม่ได้เปิดเผยตัวเองกับทางบ้าน มีพี่สาวต่อคนเดียวที่รู้ พี่ว่าจะทำให้ต่อลำบากใจเปล่าๆ” ต่อนิ่งไป
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซี วันนี้เราฉลองกันไม่ใช่หรือมาชนกันหน่อย”
ก้องหยิบแก้วแล้วชนแก้วกับต่อ ต่อยิ้มออกมาได้
ที่คอนโดมุนินทร์ มุนินทร์แต่งชุดอยู่บ้านง่ายๆ เสื้อยืดหลวม กางเกงขาสั้น ผมยังหมาดอยู่ เดินออกมาที่ระเบียงเห็นวีกิจนั่งกับพื้นกอดเข่าดูท้องฟ้าอยู่ มุนินทร์นั่งลงใกล้ๆ วีกิจส่งกล่องแบนให้
“ช็อคโกแลตฮะ คราวนี้ผมให้เพราะรู้มีนนิ่งมันแล้ว”
วีกิจจีบเองเขินเอง มุนินทร์ทำตาค้อน เปิดกล่องออกหยิบมาดูก้อนหนึ่งเคี้ยว วีกิจมองยิ่งเห็นแต่ความใสสะอาดบริสุทธิ์ก็ยิ่งวาบหวามในใจ มุนินทร์ดื่มด่ำกับความหวานเดี๋ยวเดียวก็ชะงัก
“หวานจัง เอ๊ะ ขมอี๋ย์ มันมีไส้เป็นเหล้าด้วยหรือคะ”
“ฮะ เพราะคุณทั้งหวาน ทั้งชวนให้มึนเมา”
“สวีท อินทอกซิเคชั่น ความมึนเมาอันแสนหวานหรือไงคะ”
“อะไรฮะ”
“เนื้อเพลงไงคะ จากเรื่องแฟนธ่อม ออฟ ดิ โอเปร่า”
“เดี๋ยวนี้คุณฟังเพลงฝรั่งเยอะจัง นี่ฮะ”
วีกิจส่งดอกไม้คริสตัลให้ มุนินทร์รับมา หน้าแดง เพราะเพิ่งเอามาลูบคลำอยู่เป็นชั่วโมง
“เอามาทำไมคะ เดี๋ยวแตกพอดี ฉันเอาออกมาทำความสะอาดน่ะค่ะ” มินทร์มองวีกิจ ความแปลบปลาบพุ่งขึ้น “ทำไม คุณถึงซื้อนี่ให้ตาคะ”
“เพราะตอนนั้นคุณบอบบางเหมือนดอกไม้แก้วน่ะซีฮะ”
“ตาย งั้นวันเกิดฉันคราวหน้า คุณไม่ซื้อดอกไม้เหล็กให้ฉันหรือ”
“ผมซื้อแหวนเพชรให้ดีกว่า”
วีกิจหลุดปากแล้วหน้าแดงเอง มุนินทร์ใจเต้น วูบวาบ แต่เมื่อเห็นอาการวีกิจก็พูดเล่น เพื่อไม่ให้เขินมาก
“เอาซักสิบกะรัตนะคะ เอาแบบปาหัวคนแล้วแตกน่ะค่ะ”
“ศุกร์นี้คุณไปได้นะฮะ เพื่อนๆ ที่กองดีใจกันใหญ่อยากเจอคุณ ปรกติผมเลี้ยงที่บ้านฮะ แม่ผมน่ะชอบสุดๆ เพราะได้แสดงฝีมือเป็นแม่งาน”
“แต่ปีนี้คุณเลี้ยงที่บ้านไม่ได้ เพราะว่าฉันใช่ไหมคะ” วีกิจอึ้ง มุนินทร์ยิ้มมองดูท้องฟ้าแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ดูนั่นซีคะ มีดาวอยู่ตั้งดวงนึง”
“ตรงนู้นอีกฮะ ตรงนู้นด้วย ท้องฟ้าไม่ได้ไร้ดาวตลอดไปหรอกนะฮะ”
“ที่เพชรบูรณ์บ้านฉันนะคะ ในคืนเดือนมืดจะเหมือนมีดาวอยู่ล้านดวง ฉันจะเอาเสื่อปูที่ระเบียงนับดาวจนหลับไป ไม่เคยนับได้หมดซักที”
“วันหนึ่ง ผมจะไปอยู่ที่นั่นกับคุณ นับดาวบนฟ้าด้วยกันว่ามีซักกี่ดวงกันแน่”
“เขานับเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ เขาว่าในคืนฟ้าโปร่งจะเห็นดาวซัก 4 พันดวงเอง”
“คุณนี่ ไม่โรแมนติกเลย” มุนินทร์ยิ้ม วีกิจมองอย่างเคลิ้ม ยื่นหน้ามาใกล้ มุนินทร์ยิ้มตอบ ทันใดก็เอาช็อคโกแลตยัดปากวีกิจ “นี่คุณจะมอมเหล้าผมหรือ”
“เอาไว้เป็นหน้าที่คุณปริมเถอะค่ะ”
ภายในห้องแจ็คเต็มไปด้วยควัน แสงสลัวลาง ประพงส์ตบหน้าแจ็คฉาดใหญ่ สมุนสามนายยืนอยู่เบื้องหลัง
หน้าแจ็คเลือดอาบ ประพงส์กระชากผมของแจ็คหน้าแหงนเงย
“แกมันโง่ที่ดันถูกตำรวจจับได้ แล้วแกก็ทำตัวเป็นพยานปากเอก ซัดทอดมาที่ฉัน”
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ตำรวจมันแค่ขู่ ผมปฏิเสธทุกอย่าง”
“ไม่ต้องมาโกหก” ประพงส์ตบหน้าอีกฉาด เลือดออกปากแจ็ค แจ็คครางลั่น “ฉันให้แกทำงานให้ฉัน แกกลับมาทรยศเสียได้ ชีวิตแกสั้นแน่ไอ้แจ็ค”
“อย่าทำอะไรผม ผมทำทุกอย่างให้นายแล้วนะครับ ทั้งเรื่องยาทั้งเรื่องต้อง ผมพลาดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว อย่าทำอะไรผมเลย”
“ได้ แต่แกอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไปเก็บตัวอยู่ที่เซฟเฮาส์ของฉันที่ชายแดน”
“ครับนาย”
“เอาตัวมันไป”
สมุนคนหนึ่งลากตัวแจ็คออกไป
“เอายังไงต่อครับ” สมุนอีกคนถามประพงส์
“มันให้การกับตำรวจไปแล้ว คุมตัวมันไว้ แล้วย้ายของออกมาจากผับเดอะซองให้หมด”
“ครับนาย”
ประพงส์หน้าเครียด สายตาเริ่มหวั่นไหว
เจนภพนั่งเหม่ออยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง คิดถึงมุตตา ทอดถอนใจ หันมาเห็นนพนภายืนอยู่สีหน้าหยันๆ
“คิดอะไรอยู่เหรอคะ”
“เปล่า คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ถ้ายังคิดถึงนังนั่นก็เลิกคิดได้แล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่นายกิจมันคิดไป”
“อย่าพูดถึงเขาอีกเลย ผมกำลังจะลืมเขาเสียด้วยซ้ำ”
“จริงนะ”
“แน่นอน”
“งั้นมาดูอะไรนี่ ดูซิว่าคุณจะลืมมันได้จริงรึเปล่า”
นพนภาเดินนำออกไปหน้าบ้าน เจนภพตามไปอย่างงงๆ
อ่านต่อหน้า 2
แรงเงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ที่หน้าบ้านรถเบนซ์รุ่นแพงกว่าคันเดิมจอดอยู่ ต่อกำลังลูบๆ คลำๆ ต้อมมุดออกมุดเข้า นพนภาเดินนำเจนภพออกมา เจนภพเห็นรถแล้วตาลุกวาว
“อะไรน่ะ นภา”
“รถคันใหม่ของคุณ จะได้ไม่เหลือกลิ่นสาปนังนั่นที่เคยนั่งรถคุณเข้าม่านรูดมาก่อนไง เป็นไงคะ ถูกใจไหม”
“นภา สุดยอดเลย” เจนภพหันไปกอดจูบแก้มนพนภา นพนภาผลักออกอย่างเขินลูกและสาวใช้ แต้วกับยายแหวงพยักเพยิด “อย่างนี้ต้องไปลองเครื่องกันดูไกลๆ เสาร์อาทิตย์นี้ไประยองกันไหม”
“จริงนะคะภพ”
“จริงซี เราไม่ได้ไปไหนพร้อมหน้ากันมานานแล้ว”
“ใช่ เราไปกันทั้งบ้านเลยนะคราวนี้”
“ที่ว่าทั้งบ้านน่ะ หนูกะยายแหวงด้วยใช่ไหมคะ” แต้วรีบถาม
“ฉันหมายถึงพ่อแม่ลูก แล้วแกน่ะเป็นใคร ฮะ นังแต้ว”
“อ๋อ เป็นแนนนี่ค่ะ ภาษาไทยแปลว่า ขี้ข้า”
นพนภาขำอารมณ์ดี เด็กๆ หัวเราะกัน บรรยากาศครื้นเครง เจนภพและนพนภาเข้าดูรถ ยายแหวงกระซิบ
“คืนนี้ทำพิธียกเสาลงหลุมอีกแน่ๆ”
หลายวันต่อมา คืนวันพฤหัส มุนินทร์สวมเสื้อคลุมชุดว่ายน้ำนอนหลับตาผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำของคอนโด มีดัมเบลล์เล็กสองอันวางอยู่ข้างตัว มุนินทร์หลับนิ่งไม่รู้สึกว่ามีร่างใหญ่คืบคลานเข้ามาช้าๆ ปุ๊ในชุดดำ มือดึงเชือกในมือให้กระชับโถมเข้าไป ปุ๊ตวัดเชือกรัดคอมุนินทร์ มุนินทร์สะท้านเฮือกพยายามดิ้นสุดความสามารถ
“อย่าดิ้น” มุนินทร์หยุดดิ้น ปุ๊ตวัดมีดขึ้นมา “ฉันจะกรีดหน้าเธอ เอาให้แย่งผัวใครไม่ได้อีก”
มุนินทร์เบิกตากว้างนึกถึงคำพูดนพนภาที่เคยพูดขู่เอาไว้
“ฉันจะให้มันข่มขืนกรีดหน้าแกให้ยับ”
“เอาให้ไม่ตาย ก็ต้องนอนเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต”
มุนินทร์ขมขื่น เคียดแค้น มุนินทร์ทำหมดแรง ปุ๊ยิ้มเลื่อนมีดมาที่หน้า มุนินทร์เอื้อมหยิบดัมเบลล์เล็กที่ข้างตัวกระชับในมือแล้วฟาดเต็มแรงมาที่มือของปุ๊ ปุ๊ร้องลั่น มีดหลุดจากมือ กระเด็นลงไปในสระ มุนินทร์ถีบร่างปุ๊กระเด็นไป แล้วถลาวิ่ง ปุ๊ยันตัวขึ้นได้ กระโดดถึงตัวรวบร่างมุนินทร์จนเซตกลงไปในน้ำทั้งคู่
ร่างทั้งคู่ปล้ำกันในน้ำ มุนินทร์สู้แรงปุ๊ไม่ไหวถูกกดจมลงในน้ำ มุนินทร์พยายามตะกายร่างหนีแต่ปุ๊ยังกดร่างมุนินทร์ลงไปอีก มุนินทร์พยายามต่อสู้มองเห็นมีดในน้ำก้นสระ มุนินทร์ตัดสินใจผละจากปุ๊ แล้วดำลงในน้ำ คว้ามีดมาได้สวนแทงเข้ามาที่ต้นขาของปุ๊ ปุ๊ผงะไป เลือดกระจายแผ่ในน้ำ มุนินทร์รีบหนีขึ้นบนสระ หอบหายใจแทบหมดแรง
ร่างปุ๊ทะยานตามขึ้นมาทั้งๆ ที่เลือดไหลอาบ มุนินทร์ยังกำมีดในมือ ยันร่างจะวิ่งหนี
มุนินทร์วิ่งออกมานอกสระที่แผงไฟใหญ่อยู่ด้านนอก ปุ๊ตามมาทันรัดร่างมุนินทร์กระแทกเข้ากับแผงไฟที่มีรั้วเหล็กโปร่งๆ ขึงไว้โดยรอบ ปุ๊จับมีดในมือของมุนินทร์บิด มุนินทร์กรีดร้อง ปุ๊แย่งมีดมาได้ ยันร่างของมุตตาเข้ากับรั้วแผงไฟ
“ตาย”
ปุ๊ทิ่มมีดเข้าร่างมุนินทร์ มุนินทร์หลบได้ทันที มีดทะลวงผ่านรั้วโปร่งเข้าไป ทะลุไปที่แผงไฟ เข้าที่สายไฟใหญ่พอดี มุนินทร์กลิ้งล้มลงกับพื้นหมุนตัวออกมา ขณะที่ร่างของปุ๊สั่นเทิ้มไปทั้งตัวเพราะกระแสไฟแรงสูงช็อทปุ๊ ร่างปุ๊กระตุกสั่นอย่างแรง ควันออกมา ร่างเริ่มเกรียม ไฟในตึกกระพริบดับพรึ่บ เหลือร่างปุ๊ที่ถูกช็อตดิ้นเร่าๆ แล้วทรุดลงขาดใจอยู่กับรั้วนั้น มุนินทร์ถอยกรูดเบือนสายตาไปจากภาพสยองนั้น ร้องไห้ออกมาเบาๆ ไฟสำรองสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงเตือนไปทั่วตึก
นาฬิกาบอกเวลา 4.00 น. ลูกศรกำลังเจรจากับผู้จัดการนิติฯของตึก
“ค่ะ เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ให้ข่าวว่ามันเป็นอุบัติเหตุ โจรเข้ามาโจรกรรมแล้วถูกไฟช็อตตายเองนะคะ เพื่อชื่อเสียงของคอนโดคุณกับเพื่อนของฉัน”
“ครับ ขอบคุณนะครับที่ให้ร่วมมือ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นิติฯ เดินไปที่ประตู
“ทางคุณมุนินทร์เป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพื่อนฉันไม่เป็นไรแล้ว”
นิติฯ ออกไป ลูกศรถอนใจแล้วเดินไปที่ห้องนอนมุนินทร์
มุนินทร์สวมเสื้อคลุมนอนใบหน้าขาวเผือด ดวงตาแข็งกระด้าง มองไปในความมืดมิดภายนอกห้อง
ถ้วยเครื่องดื่มร้อนๆ อยู่ในมือ ลูกศรเดินเข้ามาในห้องนั่งลงข้างๆ
“ฉันเคลียร์กับผู้จัดการคอนโดเรียบร้อยแล้ว ตกลงเราจะร่วมกันปิดข่าวให้คดีกลายเป็นโจรเข้ามาโจรกรรม แล้วถูกไฟช็อตตาย”
“ฉันทำให้คนตาย 2 คนแล้วซีนะ เลือดคน 2 คนเปื้อนมือฉัน”
“ไอ้มือปืนตายคนเดียว ยังมีใครตายอีกเหรอ”
มุนินทร์ไม่ตอบคำถามนั้น
“ฉันคือต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายนี้”
“ต้นเหตุคือนังเมียหลวงมาเฟียต่างหาก อะไรกันเรื่องแค่นี้ถึงกับสั่งฆ่าคนเพราะฉะนั้นเธอเลิกยุ่งกับผัวมันได้แล้ว”
“ตาบอกว่าเลือดจะนำมาซึ่งเลือด เมื่อมันไม่ยอมจบฉันก็ไม่ยอมจบเหมือนกัน”
“นิน ถ้าเธอไม่จบ เธออาจต้องเสียคุณวีกิจไปนะ”
ลูกศรยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด มุนินทร์ขมขื่นรวดร้าวประเดประดังขึ้นมา
“ฉันเสียเขาไปไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่เคยได้เขามา เขาไม่เคยรักฉัน เขารักแต่ตาเท่านั้น”
ลูกศรอ้าปากค้าง
“อะไรนะ”
“เขารักฉันเพราะเขาคิดว่าฉันคือมุตตา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้หญิงชื่อมุนินทร์อยู่ในโลกนี้”
ลูกศรถอนใจหยิบยาลดกรดมาเคี้ยว
“เวร โรคกระเพาะฉันกำเริบเลย เอาล่ะ ได้เวลาที่เธอจะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังได้แล้ว เท่าที่เธอเล่าล่าสุด เธอกับตาเกลียดขี้หน้ากัน เธอเป็นลูกชัง ตาเป็นลูกรัก”
“ใช่ แม้แต่ป่านนี้ทุกคนก็ยังรักมุตตา ไม่มีใครรักมุนินทร์”
มุนินทร์เล่าเรื่องราวของเธอกับมุตตาในอดีตให้ลูกศรฟัง
ร้านกาแฟในตลาดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มุนินทร์ผิวคล้ำตัวผอมเกร็ง ผมบ๊อบสั้นหยิกฟู หน้าเป็นสิว แขนขา กระดำกระด่าง กำลังถูกพิณด่าแว๊ดๆ พลางเอามือฟาดผัวะๆ มุตตายืนดูอยู่ ผมยาวสลวย หน้าขาวแอร่ม อวบเกินวัย 15 ปี จนดูแทบไม่รู้ว่าเป็นฝาแฝด
แปลกละล้าละลังปรามเมีย พิณด่าถึงพีคก็เอานิ้วจิ้มหน้าผากผลักมุนินทร์เซไป มุตตาก้าวมาแตะแขนอย่างปลอบใจ มุนินทร์สะบัดจนมุตตาล้ม พิณร้องวี๊ดเข้าประคองมุตตา แปลกเข้ามาดุมุนินทร์ มุนินทร์เชิดหน้า
“ฉันเป็นลูกชัง โตมากับการทุบตี เสียงด่า ประมาทคาดหน้าว่าต้องเอาตัวไม่รอด ทำให้ฉันดื้อดึง แข็งกระด้าง เจ้าคิดเจ้าแค้น สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตฉันไว้ก็คือ ฉันเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่งมาก เรียนเร็วกว่าตาถึงสองชั้น แถมยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ตาคือดาวโรงเรียน เป็นนางสงกรานต์ นางนพมาศ เป็นกุลสตรีที่เกือบสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยแล้ว”
มุตตากับรินลดาเดินเข้ามาในชุดนางงามถือกระทง หมอบีวิ่งไปหามุตตาทันที เช่นเดียวกับหนุ่มๆ แถวนั้นพร้อมใจกันมองและเข้าไปหามุตตาประหนึ่งมุตตาเป็นนางฟ้า มุนินทร์มองโกรธๆ
“ตามีเด็กผู้ชายติดเกรียว รวมทั้งหมอบีที่ฉันแอบชอบมันด้วย”
มุตตาผูกโบว์เส้นใหม่ สวมชุดอยู่กับบ้านสวยหวาน ดูสมุดหนังสือในมือตัวเองหน้าตาเป็นทุกข์ ส่วนมุนินทร์สวมเสื้อยืดเก่าคอย้วย กางเกงยีนส์ขาสั้นน่าเกลียด อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นไซไฟ พิณกำลังถีบจักรเย็บผ้า แปลกอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ด้วย
มุนินทร์สังเกตเห็นสีหน้าแสนทุกข์ของมุตตาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น แย่งสมุดในมือมุตตามาดู มุนินทร์เปิดสมุดน้องสาว เห็น F สีแดงก็แสร้งร้องเสียงหลง มุตตาอายจนโกรธ
“เฮ้ย เอฟ นี่ก็เอฟ นี่ก็เอฟ เอาเอฟไปขายรวยตาย โอ้โฮ โง่ได้โล่ ไหนบอกจะเรียนให้จบตรี ม. 3 จะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มุตตาโกรธดึงสมุดปิด เลิกเรียกพี่
“ยังไงตาก็จะเรียนให้จบตรี ถึงไม่เก่งเท่านินแต่ตาไม่ยอมโง่ดักดานอยู่บ้านนอกหรอก”
“ไม่ดีเหรอ ได้หิ้วถุงกาแฟไปจนตาย”
พิณตบถุงกาแฟประจำตัวผาง
“มาลำเลิกอาชีพฉันแล้วไหมล่ะ ก็ยังดีกว่าแก หนอยให้ชงกาแฟรสชาติเหมือนน้ำล้างส้วม” พิณต่อว่ามุนินทร์แล้วหันมาพูดกับมุตตา “ไม่ต้องไปสนใจมันนะลูก หนูน่ะถึงไม่เรียนก็ประกวดนางงาม เป็นดารา เป็นพรีเดเต้อร์”
“แกนี่พิลึกคน ชอบสอนให้ลูกฟุ้งเฟ้อ” แปลกต่อว่าพิณ
“อุ๊ย ตุ้มหูใหม่หรือลูก สวยจริง ไว้แม่ขอยืมใส่บ้าง” พิณพูดกับมุตตาโดยไม่สนใจคำพูดแปลก
“ยายตานะ อดข้าวเก็บเงินไปแต่งตัวอีกแล้วซีนี่”
“มิน่าล่ะ เลยไม่มีอาหารไปเลี้ยงสมอง” มุนินทร์บอก มุตตาสวนกลับทันที
“ก็ดีกว่าตัว งก ไม่ยอมใช้เงินซักบาท ห่อข้าวไปกินทุกวัน ใครล้อก็ไม่อาย”
“ก็ยังดีกว่านางงามเดินโชว์ตูดโชว์นมไม่อายคน ยีผมโป่งเดินสายทุกเวทีพอตกรอบก็มีเสี่ยมาเก็บไปเลี้ยงเป็นเมียน้อย”
“ไม่มีทาง ตาไม่มีวันยอมเป็นเมียน้อยใคร”
“นิน เดี๋ยวพ่อจะฟาดให้จริงๆ นะ”
พิณลุกจากจักรเดินมาเท้าสะเอว แล้วเอานิ้วจิ้มหัวมุนินทร์จนหัวโคลง
“อีลูกบ้า อิจฉาน้อง ไม่เหมือนแกชาตินี้คงหาผัวไม่ได้ กระโดกกระเดกเป็นอีแก้วหน้าม้า หน้าเป็นมันฟันเป็นยาง แต่งตัวเหมือนอีง่อยขอทาน ไม่รู้ว่าแฝดอะไรมันถึงได้คนละฝาขนาดนี้”
คำเหล่านั้นเหมือนคำประกาศิตฝังลงในกลางใจ มุนินทร์หน้าเผือด มองแม่อย่างน้อยใจแล้วมองดูน้องสาวอย่างจงชัง มุตตามองตอบอย่างโกรธเหมือนกัน
มุนินทร์นั่งนิ่งขึง ปมในอดีตต่างๆ ทะลักทะลายออกมา ความแค้นความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ภาพอดีตยิ่งเจ็บปวดทับทวียิ่งขึ้น ลูกศรมองดูอย่างเห็นใจ
“และแล้ววันนึง วันที่เปลี่ยนชีวิตเราสองคนก็มาถึง ตาทำครัวอยู่แล้วหมอบีมาหา”
แรงเงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
น้ำมันในกระทะกำลังเดือดพล่าน บนโต๊ะข้างๆ มีชามหมูสับเตรียมทอด ที่หลังร้านนอกครัวมุตตาออกไปต้อนรับหมอบี หมอบีส่งตะกร้าของกินให้มุตตาพลางคุย มุตตายิ้มขอบอกขอบใจ
“ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
มุตตานั่งคุยหัวเราะกับหมอบี ควันพวยพุ่งออกมาจากในครัว มุตตาหันขวับไปมองตกใจสุดขีด
ร้านกาแฟหลังจากดับไฟ ด้านหลังร้านไหม้หมด โต๊ะเก้าอี้ไหม้ดำกลิ้งเกลื่อน น้ำนองพื้น ของบางอย่างยังมีควันขึ้นจางๆ แปลกนั่งหมดแรง มีชาวบ้าน 7-8 คนมามุงดู พิณนั่งอยู่กลางห้องหน้าเหมือนนางยักษ์จิกผมฟาดมุตตาซ้ายขวาไม่นับ มุตตาช็อก มอมแมม ร้องไห้โฮ พิณฟาดบนทุบล่าง มุนินทร์หอบสมุดหนังสือ ม.ต้นมามองดู ดวงตาวาววามสะใจ
“ทำไมมึงแรดอย่างงี้ อีชาติชั่ว”
“นี่พอได้แล้ว แค่ไฟไหม้ครัว ไม่ได้ไหม้หมดหลัง”
“แค่ครัวที่ไหน หน้าร้านก็ฉิบหาย ใครมันจะมาเข้า หลังบ้านก็โหว่ไปถึงหลังคา แก้ผ้าทีคนคงเห็นทั้งตลาด”
“มันซ่อมได้น่า”
“แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซ่อม เปลี่ยนเคาน์เตอร์คราวที่แล้วหมดไปเกือบแสน ยังดีนะไม่ลามไปทั้งตลาด แกอีมุตตาจะได้ไปเป็นเทพีประจำคุก” มุตตาตัวสั่นเจ็บปวด ทุกคำหยาบคายทำลายจิตใจสาหัส “ทีหลังไอ้บีมันมาก็ให้เตรียมน้ำมาดับไฟด้วย เพราะแกมันไวไฟ ขยับก้นทีเป็น...”
“พอ พอ อายชาวบ้านเขา”
มุนินทร์ก้าวออกมาหาพ่อแม่
“พ่อจ๋า แม่จ๋า”
“อะไร้”
“หนูมีเงินเก็บ เอาเงินไปซ่อมบ้านก่อนเถอะจ้ะ”
“เงินอะไรลูก”
“เงินเบี้ยเลี้ยงที่ได้หนูไม่ค่อยได้ใช้ แล้วยังมีทุนการศึกษากับที่หนูไปสอนพิเศษอีก”
พิณอ่อนลงนิดหนึ่ง
“อู๊ย กี่บาทล่ะ ถึงร้อยถึงพันไหม”
“หนูมีอยู่ 8 หมื่นบาท”
พิณอ้าปากค้าง แปลกอึ้งไป พิณโผวามาจับมือมุนินทร์
“แต่เงินหนูเก็บมาแทบแย่”
“อย่าห่วงเลยจ้ะ หนูหาใหม่ได้ พ่อกับแม่เอาเงินไปซ่อมร้านก่อน”
“โถลูก ไม่เคยรู้เลยว่ามีความคิดรู้จักเก็บจักงำ” พิณหันขวับมามองมุตตา “ไม่เหมือนแกอีกระเป๋ารั่ว ดีแต่ซื้อของแต่งตัวยั่วผู้ชาย”
มุตตาน้ำตาหยด มุนินทร์เหลือบมองพลางยิ้มในหน้า
มุนินทร์น้ำตาเอ่อปาดออกมีแววสำนึกบาป ลูกศรนิ่งฟัง
“แล้วที่ซ้ำเติมไปกว่านั้น แม่ถือว่าดวงตกและทางแก้คือหาหมอดูมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์และให้ทำนายโชคชะตาราศีของคนทั้งบ้าน”
กลางร้านกาแฟมีการขึงม่านราคาถูกรับหมอดู พิณอยู่กับคณาญาติร่วมความเชื่อนังพนมมือแต้ ตรงหน้ามีอาจารย์พราหมณ์มุ่นมวยน้อยเท่าหอยขมไว้ท้ายทอย แต่งชุดขาว บุญราศีและรองพื้น กำลังกรีดนิ้วคำนวนง่วน แปลกและมุตตานั่งอยู่มุมร้าน
“ยายตานี่จะได้พึ่งไหมคะหมอ มันสวยออกอย่างงี้ ฉันอยากให้มันประกวดนางงาม ดีไม่ดีได้เป็นดาราหรือไม่ก็นักร้อง”
“ลูกคนนี้ไม่ดี จะไม่ได้พึ่ง” หมอดูสวนทันควัน
“ว้าย”
“แต่อีกคนนี่ดีมาก จะได้เป็นเจ้าคนนายคน จะมีทุกอย่าง มีฐานะ มียศ มีอำนาจ พ่อแม่จะได้พึ่ง”
“อะไรนะหมอ นังนินน่ะหรือ มันหัวดีจริงๆ ต๊าย จะเป็นหมอได้ไหมคะ”
“เด็กคนนี้มีปัญญาเป็นอาวุธ จะได้ดีด้วยตัวเอง ไม่ได้จากพ่อแม่ จะรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีเชียวแหละ”
มุนินทร์แอบฟังบนบันไดอยู่พิศวงในคำทำนาย พิณครุ่นคิด
“เออใช่ มันงกมาตั้งแต่เด็ก คิดดูซี ให้เงินมันไปโรงเรียน มันไม่ใช้ซักสลึง อยู่แค่ ม. 5 มีเงินเก็บตั้งแปดหมื่น แล้วเอามาให้พ่อให้แม่ซ่อมร้าน”
บรรดาญาติร้องฮ้าไฮ้คล้ายเห่เรือ พิณยืนยันเริ่มเอนเอียงมากขึ้น ทันใดหมอก็มีอาการผวาคล้ายองค์มาประทับเพิ่มอีก 1 องค์
“แต่คนน้องนี่ระวังนะ จะเสียผู้เสียคนเพราะผู้ชาย”
พิณตบอกผางมองไปที่มุตตา
“ต๊าย ฉันกะอยู่แล้วเชียว”
มุตตาอายเดินออกจากร้านไป
“ก่อนจะถามต่อ หมออยากถามว่าพวกลูกใครเคยทำแท้งหรือเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการทำแท้งบ้าง”
มุนินทร์มีแววสมเพช อับอาย รู้สึกผิดปะปนไปหมด น้ำเสียงสั่น
“และมันทำให้แม่ยิ่งเชื่อคำทำนาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่าตาจะเสียคนเพราะผู้ชาย”
ในอดีตที่ร้านกาแฟมุตตาเอากาแฟกับขนมปังปิ้งมาวางที่โต๊ะ ยิ้มทักทายลูกค้าหนุ่ม พิณเอากระบวยตักน้ำฟาดหม้อต้มน้ำ ตวาดแว๊ดให้เข้ามา มุตตาอายและตกใจ
หลังร้านมุตตาเอาผ้าไปตาก มีหนุ่ม 3 คนมาชะเง้อ ทันใดมีน้ำสาดโครมมา 3 หนุ่มกลายเป็นลูกหมาตกน้ำ พิณเดินมา แปลกก็ระแวงระวังด้วย
ตกเย็นมีหนุ่มจิ๊กโก๋แซวมุตตา หมอบีเข้าขวางเกิดชกต่อยกัน มุตตาตกใจร้องห้ามขณะที่มุนินทร์เชียร์อย่างเมามัน เด็กอื่นๆ มุงดู
อาซิ้มเง็กลั้ง แม่หมอบีตีหน้ายักษ์ จูงมือลูกชายที่หน้าแตกฟกช้ำ หมอบีก้มหน้าพยายามห้ามแม่ที่หน้าร้านกาแฟ พิณเท้าสะเอว มุตตายืนหน้าซีด แปลกยืนอึ้งอยู่ในร้าน มุนินทร์อยู่กับพ่อมองดูอย่างสะใจ
“ลื้อเลี้ยงลูกยังไง ให้ท่าให้ทางผู้ชายไปทั่ว หมอบีน่ะยังเด็กอั้วขอไว้คนเถอะ อย่าเพิ่งเอามันทำผัวเลย”
“ม้า”
“ฉันก็ไม่ได้อยากได้ลูกแกเป็นลูกเขย ต๊าย อยู่แค่ ม. 5 เรียกลูกว่าหมอ แล้วคงได้เป็นหมอตี๋ขายยาผีบอกมากกว่า”
“งั้นลื้อก็สอนอีมุตตา ให้มันหาผัวดีๆ รวยๆ ก็แล้วกัน แต่คงสอนกันไม่ได้เพราะอีแรดเหลือเกิน สักวันคงจะท้องไม่มีพ่อ”
หมอบีร้องให้แม่หยุด พิณโกรธสุดขีดจิกผมมุตตาที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน มุตตาล้มลง
“ได้ยินไหม ได้ยินมันด่าไหม ทีนี้ยังจะแรดอีกไหม ฉันจะตีแกให้หายแรด”
พิณคว้าไม้ขัดหม้อใหญ่ฟาดมุตตาตามตัว แขน มุตตาปิดป้องร้องขอความเมตตา น้ำตาไหลพราก ผู้คนมุงดูยิ่งกว่าลิเกที่เปิดวิกกลางตลาด
“แม่”
“สวยนักหรือ แต่ตัวเก่งนักหรือ แต่งไปยั่วผู้ชายนี่เอง คอยดูนะถ้าแกไปคบผู้ชายที่ไหนอีกฉันจะเอาเลือดหัวแกออก”
หมอบีร้องห้าม อาซิ้มดึงลูกชายกลับ พิณตีมุตตาล้มลุกคลุกคลานหน้าร้าน แปลกเข้ายุดตัวพิณ พิณหัวฟูดิ้นรนเหมือนคนบ้าปาไม้ใส่มุตตาส่งท้าย มุตตาคุกเข่านิ่งกับพื้น มุนินทร์มองดูกัดริมฝีปากตัวเองก้าวไปยื่นมือไปจะประคองน้อง แต่มุตตามองตาแข็งกร้าว น้ำตาเต็มหน้า
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
“ก็ดี”
มุตตาลุกขึ้นไม่มองใครเดินขึ้นชั้นบน
มุตตาเข้ามาในห้องนอนทิ้งตัวลงนอนกับเตียงร้องไห้แทบขาดใจ
เวลาผ่านไป มุตตาน้ำตาแห้งแล้วลุกไปปิดหน้าต่างลงในห้องมืดมิด มีเพียงไฟโคมอ่านหนังสือ ส่องไปยังนิยายโรมานซ์เป็นตั้ง ดีวีดีหนังรักหวาน มุตตานั่งลงเปิดหนังสืออ่านอย่างหนีไปในโลกอักษรนั้น
มุนินทร์ยิ้มเศร้าๆ กับเรื่องราวในอดีต
“นับจากนั้นตาปิดกั้นตัวเองจากผู้ชายทุกคน ตาเลยไม่รู้จักผู้ชายไม่ว่าเลวหรือดี ตาไม่รู้ว่าธาตุแท้ของผู้ชายเป็นยังไง นอกจากผู้ชายในนิยายโรมานซ์เท่านั้น” มุนินทร์เช็ดน้ำตา ลูกศรฟังอย่างเห็นใจและเข้าใจ “ตอนเข้ามาเรียนตรีในกรุงเทพฯ ตากับฉันก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีก”
มุนินทร์สะอึกกึ่งสะอื้นแต่ดวงตาแห้งผาก ลูกศรนั่งใกล้เอามือหนึ่งแตะหลังไว้ มุนินทร์ลูบหน้าเหมือนจะลบความขมขื่นลงบ้าง
“แล้วเธอก็ไปต่อโทกับฉันที่นิวยอร์ค แล้วก็รับจ็อบทำงานทุกอย่างเหมือนคนบ้า”
“ใช่ คนมันกลัวจนน่ะ แต่ปีเดียวฉันก็เก็บเงินได้ก้อนใหญ่ ฉันให้พ่อแม่เลิกทำร้านกาแฟ หันมาทำไร่ดอกไม้และขยายออกไปทุกปี พอตาเรียนจบฉันก็บงการให้ตากลับมาทำไร่” มุนินทร์สะอึก “แต่ตาทนไม่ได้และอยากพิสูจน์ว่าตาก็สู้ชีวิตได้เหมือนกัน ในที่สุดตาก็ได้งานเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ในกองๆ หนึ่ง ที่มีผู้อำนวยการกองเป็นซาตานในคราบเทพบุตร”
“และนั่นคือคุณเจนภพ อาของคุณวีกิจ”
“จากนั้นตาก็ถูกผู้ชายโฉดชั่วคนนั้นหลอกจนเสียผู้เสียคน ตามคำทำนายของหมอดูบ้านั่น คำทำนายที่จะไม่เป็นจริง ถ้าพ่อ แม่ กับฉัน ไม่ทำกับตาแบบนั้น”
“นินเธอก็รู้ ชีวิตคนมันมีปัจจัยมากมายหลายอย่างนัก มันอาจไม่ใช่แค่ที่เธอเล่าก็ได้”
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็คือคนผลักให้ตาจมลงสู่ความชั่วร้ายของเมืองหลวง”
มุนินทร์ดึงดัน ลูกศรมองพูดอย่างจริงจัง
“นิน เธอเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมบ้างไหม”
“ฉันก่อกรรมกับตาไว้ไง ฉันถึงได้ทุกข์ทรมานใจอยู่ขนาดนี้ แล้วคนพวกนั้นที่ก่อกรรมกับตาก็ต้องถูกกรรมสนองให้มันเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนกัน”
“กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนกว่าที่เธอเข้าใจมากมายนัก เอาไว้ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเธอวันหลัง อุ๊ย”
มือถือมุนินทร์ดัง ลูกศรหยิบมาดู “เมสเสจ คุณวีกิจ แน่ะ เตือนเรื่องปาร์ตี้วันเกิดของเขา เตรียมของขวัญ
ให้เขาแล้วรึยัง”
“เรียบร้อย”
“งั้นเธอนอนพักผ่อนได้แล้ว ฉันก็จะกลับบ้านไปนอนเหมือนกัน”
“ขอบใจลูกศร”
“ลืมเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเสียนะ แล้วนึกถึงแต่เรื่องดีๆ ของคุณวีกิจ”
ลูกศรออกไป มุนินทร์ครุ่นคิด
แรงเงา ตอนที่ 13 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นบัวถือถาดของใส่บาตรเดินมาจากในบ้าน สร้อยคำถือขันข้าวใบใหญ่ สร้อยคำคืนดีกับลูกชายแล้วแต่ยังต้องทำเย็นชานิดๆ ให้ลูกเกรง ถวายอาหารพระ แล้วไหว้พร้อมกันทั้งสามคน พระแยกไป
“สุขสันต์วันเกิดนะคะ คุณกิจ”
บัวบอกวีกิจยิ้มสดใส รับขันข้าวมาจากสร้อยคำ
ขณะนั้นมุนินทร์ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง มือขาวซีดยื่นมาจับไหล่ของมุนินทร์ มุนินทร์สะดุ้งเฮือกพลิกร่างมา ร่างขาวเหมือนซากศพของมุตตายืนอยู่ข้างเตียง
“ไปนะตา อย่ามาหลอกหลอกฉันอีก”
“เธอจะวางมืออีกแล้วหรือ”
“ตา พอเถอะนะ ฉันทำกับพวกเขาเกินไปแล้ว พวกเขาเจ็บปวดทนทุกข์ อับอายมามากพอแล้ว”
“แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับเธอ เมื่อคืนเขาส่งไอ้ฆาตกรมาฆ่าเธอนะ เธอต้องล้างแค้นให้ความทุกข์ของเราทั้งคู่”
“ตา ความเกลียด ความอาฆาตพยาบาทมันเหมือนไฟ มันไม่ได้เผาแค่คนอื่น แต่มันเผาเราด้วย”
“เหมือนความเกลียดของเธอที่มีต่อฉันใช่ไหม”
มุนินทร์ผงะ ดวงตาเบิกกว้างรู้สึกผิดมหาศาล
“เธอเกลียดและผลักไสให้ฉันไปเผชิญกับโลก และฉันก็ถูกแผดเผาจนไม่ได้มีอะไรเหลือ”
“ตา ฉันขอโทษ”
ใบหน้ามุตตาคล้ายการยิ้มเยาะ แล้วกลายเป็นหัวเราะเยาะเย้ย
“เธอใจอ่อนเพราะหลงรักวีกิจต่างหาก ทั้งๆ ที่จริงเขาไม่ได้รักเธอด้วยซ้ำ เขาไม่ได้รักเธอ เขารักฉัน ทุกๆ คนรักมุตตา ไม่มีใครรักมุนินทร์”
“ตา ฉันอยากให้มันจบ”
“นพนภาจะไม่ยอมให้มันจบง่ายๆ หรอก เลือดจะต้องนำมาซึ่งเลือดตลอดไป”
มุนินทร์ผวาตื่นลุกขึ้น ลุกมาเปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบของขวัญของวีกิจขึ้นมามองดู ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นอีกครั้ง
เนตรนภิศกำลังพูดสายกับนพนภา อมรเดินมาจากชั้นบนได้ยินพอดี
“จะไปเที่ยวช่วงวีคเอนด์ ให้หนูไปเฝ้าบ้าน ได้ค่ะพี่ ไม่ต้องห่วงค่ะ จะไปเย็นนี้ล่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะพี่”
เนตรนภิศวางสาย
“พี่สาวคุณจะไปไหนเหรอ”
“ไประยองค่ะ หยุดยาวสามสี่วันนี่ ไปกันทั้งบ้าน แถมซื้อรถใหม่ให้ผัวขับเสียด้วย”
“แล้วเมื่อกี้คุณบอกจะไปเฝ้าบ้านให้เขาเหรอ”
“ค่ะ มรไปอยู่บ้านพี่นภาด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะ ผมเองก็มีนัดกับเจ้าพงศ์มันเหมือนกัน” อมรรีบปฏิเสธ
“ไปไหนเหรอคะ”
“ว่าจะไปดำน้ำดูปะการังน่ะ แต่ยังไม่ได้เลือกที่เลย”
“ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย ฉันจะได้ปฏิเสธพี่นภาแล้วไปกับคุณด้วย”
“อย่าเลยครับ ผมไปแบบสมบุกสมบัน คุณจะไม่สนุกเปล่าๆ”
“ก็ได้ งั้นฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ”
เนตรนภิศแยกไป อมรโทรหาพงศกรทันที
“นายเหรอ นภิศไม่อยู่ช่วงวีคเอนด์นี้หาอะไรสนุกๆ ทำกันดีกว่า”
อมรยิ้มเริงร่า
เนตรนภิศมาเฝ้าบ้านให้นพนภา เนตรนภิศนอนหัวสั่นหัวคลอนบนเตียงนวดเอาชุดกรุยกรายของนพนภามาใส่
แต้วเดินเอาของว่างมาวางแล้วพูดประชด
“แหม คุณผู้หญิงให้คุณนภิศมาเฝ้าบ้าน ไม่ยักกะชวนไปด้วยนะคะ”
เนตรนภิศยิ้มเยาะ
“เขาจะชวนไปทำไม เขาเห็นฉันเหมือนเธอน่ะแหละ”
“เหมือนยังไงคะ เป็นสาวโสดประจำซอยเหรอ”
“ไม่ใช่ เขาเห็นฉันเป็นขี้ข้า ชี้นิ้วบงการมาตั้งแต่ฉันจำความได้”
“อู๊ย งั้นก็ไม่เหมือนหรอกค่ะเพราะถ้าหนูไม่อยากทำก็ไม่ทำ เอ คุณทิ้งคุณอมรให้อยู่บ้านคนเดียว ไม่กลัวไปซุกซนบ้างหรือคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกสามีฉันน่ะ เขาไม่เหมือนคุณผู้ชายของเธอ คลำดูไม่มีหางก็เอาแล้ว”
แต้วเอื้อมมือไปคลำบั้นท้ายตัวเอง
“เอ หนูก็ไม่มีหางนะคะ ไม่เห็นเอา”
เนตรนภิศทำตาปริบๆ โทรศัพท์บ้านดังขึ้น แต้วคลานไปรับ
มุนินทร์ดวงตาแข็งกระด้างยืนอยู่ที่โถงกลาง ตรงหน้ามีกล่องของขวัญของวีกิจวางอยู่
“ฮัลโหล ขอพูดสายกับนพนภาหน่อย”
“ไม่อยู่ค่ะ” แต้วบอกเพราะจำเสียงมุนินทร์ได้
“ไปไหน”
“คุณผู้หญิงห้ามบอกใครๆ โดยเฉพาะพวกชอบทำตัวเป็นเมียน้อย”
“มีใครไปบ้าง”
“คุณผู้หญิงห้ามบอกใครๆ ค่ะ โดยเฉพาะพวกชอบแย่งผัวชาวบ้าน”
“เขาไปกันที่ไหน”
“นี่คุณเมียเก็บ หนูไม่ใช่คนใช้โง่ๆ เซราะกราวนะจะได้มาหลอกถามกันได้ เชอะ”
เนตรนภิศก้าวมายืนค้ำหัวแต้ว
“เอามานี่ซิแต้ว ฉันพูดเอง เออ ฉันหิวน้ำ ขอน้ำให้ฉันซักแก้ว”
แต้วส่งโทรศัพท์ให้เนตรนภิศแล้วเดินไป เนตรนภิศรอให้แต้วลับสายตาจนคุยโทรศัพท์กับมุนินทร์
“ฮัลโหล เธอเองเหรอยายมุตตา”
“ค่ะ ฉันเอง”
“ฉันน้องสาวพี่นภาที่หล่อนเคยตบฉันไง หล่อนจะโทรมารังควาญพี่สาวฉันทำไม”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้ ผ.อ.อยู่ที่ไหน”
“อย่าไปขัดความสุขเขาเลย พี่นภาเขาฉลองรถใหม่ที่ซื้อให้พี่ภพ ราคาตั้งแปดล้าน ตอนนี้เลยขับไปเที่ยวทะเลกันทั้งครอบครัว”
“อ้อ กำลังมีความสุขเหรอคะ น่าอิจฉาจัง”
“หล่อนจะต้องอิจฉามากขึ้นไปอีก ถ้ารู้ว่าตอนนี้พี่ภพเขากลับมาคืนดีกับพี่นภาแล้ว ทริปนี้เหมือนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์รอบสอง เขาไปกันที่โรงแรมพรินซ์ ระดับห้าดาวเชียวนะ น้ำหน้าอย่างหล่อนคงไม่มีปัญญาเหยียบเข้าไป
หรอก”
มุนินทร์ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าเนตรนภิศกำลังให้ข้อมูลแบบเนียนๆ จึงนิ่งฟังข้อมูลที่พรั่งพรูจากเนตรนภิศ
วีกิจคิ้วขมวดมุ่นพยายามโทรศัพท์หามุนินทร์แต่ไม่ติด กริบยืนอยู่ข้างๆ ข้างกายคือโต๊ะวางของขวัญหลายกล่อง ที่นี่คือร้านอาหารเล็กๆ ที่ถูกเหมาทั้งฟลอร์เพื่อจัดงาน เพื่อนส่วนใหญ่จากที่ทำงานมากัน ทิพอาภา แจงจิต อรพิมถือเครื่องดื่มกับออร์เดิร์ฟเดินมาหาวีกิจ วีกิจยิ้มสดใส ปริม เลอลักษณ์ นักรบ ฉกรรจ์แอบซุบซิบเล็งมาที่กริบกันใหญ่
“เมื่อไรมุตตาจะมาซักทีฮะ คุณเจ้าภาพ” แจงจิตถามวีกิจ
“คงซักสองทุ่มมังครับ เห็นเขามีงานด่วนเข้ามาเรื่อย”
“งานบริษัทคอมพิวเตอร์ ทำประชาสัมพันธ์ ต้องภาษาดีนะเนี่ย”
“คิดถึงตาจังเลย ยอมเจอแต่คุณกิจ ไม่ยอมติดต่อพวกเราเลย”
ปริมเดินเข้ามา แต่งหน้าเข้มกว่ากลางวันเจ็ดเท่าแถมเพิ่มต่างหูยาวถึงเนินนม
“เป็นเธอ เธอจะมาหรือ ไปผูกมือผูกตีนกันในม่านรูดแบบนั้น”
เกิดอาการวงแตก วีกิจหน้าเผือดลง ทิพอาภาซีดลงไปอีก แจงจิตพยักหน้ากับอรพิม
“ต๊าย นังปากท่าแร่”
“ท่าแร่อะไรกันยะ ฉันคนกรุงเทพฯ”
“อรเขาเปรียบน่ะ ว่าปากเธอน่ะเหมือนกับกินหมาเข้าไป” แจงจิตอธิบาย
“อ๋อ ก็เลยปากหมา”
ปริมร้องวี๊ดกระทืบเท้าเดินกลับไปหากลุ่มเลอลักษณ์ อรพิม ทิพอาภามองกริบตาเป็นมัน
“เพื่อนคุณกิจชื่ออะไรนะ”
“ชื่อกริบ ผู้ช่วยผู้จัดการแบงก์ที่พวกเราเปิดบัญชีกันไง”
“ตาย ทำไมไม่เคยเห็น มัวแต่อีแบงกิ้ง”
“ดีจัง งั้นเลิกใช้เอทีเอ็มดีกว่า”
ทิพอาภาหลุดบทสาวซีด อรพิมตาขวาง ทิพอาภาทำไม่รู้ไม่ชี้
“เดี๋ยวฉันไปคุยด้วยดีกว่า เผื่อขอกู้เงินมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกะทัดรัดของฉัน”
“ที่บางแปลงน่ะ มันพัฒนาไม่ขึ้นหรอกนะ มันตายแห้งตายแล้ง”
จบตอนที่ 13
อ่านต่อตอนที่ 14 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.